ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #312 : เป็นเหล่าท่านหญิงแห่งตระกูลบุสโซ่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.54K
      403
      14 ม.ค. 62


    กาเล็ทยื่นมือออกไปคว้าเอาตัวของมิร่าซึ่งบินว่อนวนเวียนรอบกายของตนเองอยู่มาไว้ในอ้อมกอด "บอกให้อยู่อย่างเรียบๆร้อยๆไว้ก็ไม่เคยยอมฟังเลยนะ" กาเล็ทเอ่ยกล่าวกับมิร่าที่ยืดคอของตนเองขึ้นมาหายใจฟุตฟิตสูดดมใบหน้าของตนเองอยู่
    กาเล็ทซึ่งอุ้มมิร่าอยู่ค่อยๆเดินผ่านกลุ่มขบวนของผู้คนซึ่งติดตามอองตวนมา พร้อมทั้งเหลือบมองสมาชิกราชวงศ์ของแคว้นสมิธด้วยหางตา
    กลุ่มขบวนของพ่อค้าและขุนนางใหญ่ที่พึ่งจะดึงสติกลับคืนมาได้ ค่อยๆทยอยคุกเข่าลงกันตามลำดับ ไม่เว้นแม้แต่สมาชิกราชวงศ์แห่งแคว้นสมิธที่ถูกกาเล็ทเหลือบมองจนตัวสั่น
    "วันนี้เป็นงานเลี้ยงเปิดกิจการของตระกูลโรม่าหากมีการเข่นฆ่ากันมากกว่านี้คงไม่เป็นผลที่ดี สำหรับหนี้บัญชีที่พวกเจ้าช่วยสนับสนุนให้เกิดการทำร้ายคนของข้าขึ้นจะคิดกับพวกเจ้าในภายหลังอย่างแน่นอน ล้างคอรอไว้เถอะ" กาเล็ทเอ่ยกล่าวจบก็อุ้มมิร่าเดินกลับเข้าหาเหล่าญาติมิตรที่คอยท่ารออยู่
    "เหนื่อยหรือไม่ลูก กาเล็ท" นีน่าเอ่ยถามขึ้นมาก่อนเมื่อเห็นว่าผู้เป็นบุตรชายเดินเข้ามาในระยะใกล้แล้ว
    "ไม่เท่าไหร่ครับท่านแม่" กาเล็ทเอ่ยตอบ
    นีน่าเห็นเช่นนั้นก็เหลือบมองไปยังมาร์ตินวูบหนึ่ง "อย่างนั้นก็ดูอาการของหัวหน้ามาร์ตินให้กับแม่สักหน่อยสิลูก เห็นว่าเมื่อครู่ดีอกดีใจส่งเสียงร่ำร้องออกมาจนอาการบาดเจ็บกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว"
    กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็เหลือบมองไปยังมาร์ตินที่กำลังนอนส่งยิ้มแห้งๆมาให้แก่ตนเองอยู่ "มันน่านัก ข้าล่ะอยากจะรู้นักว่าในโลกแห่งนี้จะมีตัวโง่งมใดที่โง่กว่าเจ้าเหลืออยู่หรือไม่ นอนนิ่งๆรอไปก่อน" กาเล็ทเอ่ยกล่าวจากนั้นจึงหันไปเอ่ยกล่าวกับซาฮาน
    "ท่านลุงซาฮานคิดเห็นว่าการต่อสู้ขอระดับจักรพรรดิเป็นอย่างไรบ้าง" กาเล็ทเอ่ยกล่าว
    ซานฮานที่พึ่งจะตั้งสติกลับมาได้ไม่นานพยักหน้า "ตื่นตาตื่นใจมาก ไม่คิดว่าชั่วชีวิตนี้ของข้าจะได้มีโอกาสได้เห็นการต่อสู้ที่สะเทือนไปทั้งฟ้าดินเช่นนี้เป็นบุญตา ห...ห หลานกาเล็ทต่อสู้กับท่านอองตวนอยู่กลางอากาศสูงขึ้นไปแท้ๆหากแต่ผู้คนที่หยัดยืนอยู่เบื้องล่างกลับสามารถรับรู้ถึงความรุนแรงของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน"
    กาเล็ทเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้างกับการที่ซาฮานเอ่ยเรียกขานอองตวนอย่างพินอบพิเนาให้เกียรติ "ขอท่านลุงอย่าได้ดูถูกตนเองจนเกินไป ขอเพียงมีความมุมานะพยายามและฝึกฝนในแนวทางที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่องโดยไม่ยอมแพ้ สักวันท่านลุงเองก็สามารถที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ฝึกฝนพลังระดับสูงได้เช่นกัน" เอ่ยกล่าวจบกาเล็ทก็ขยับมือของตนเองยกขึ้นต่อยเข้าใส่อากาศธาตุที่เบื้องหน้าส่งให้เกิดพลังสภาวะของอากาศที่ถูกมือของกาเล็ทดันให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง เกิดเป็นลมพัดสบัดปลิวว่อนไปทั่ว "มีคำกล่าวที่ว่าอ่านตำรามานับสิบปีมิสู้การได้พบเห็นเองกับตาเพียงครั้งหนึ่ง หวังว่าการต่อสู้ของข้าในครั้งนี้จะสามารถช่วยเหลือให้ท่านลุงมีความก้าวหน้าในเส้นทางของการฝึกฝนพลังได้ไม่มากก็น้อย"
    "หลานกาเล็ทช่วยให้ข้าผู้เปรียบเสมือนกบในกะลาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว" ซาฮานเอ่ยกล่าว
    "ท่านลุง เนื้องจากคนของข้าได้รับบาดเจ็บ ข้าจำเป็นต้องขอตัวสักครู่หนึ่งเพื่อปลีกตัวไปช่วยเยียวยารักษามัน หวังว่าท่านลุงคงจะไม่ถือสาหาความข้า" กาเล็ทเอ่ยกล่าว
    ซาฮานได้ยินเช่นนั้นก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา "นี่คือความจำเป็นที่ต้องกระทำ ข้าจะไม่รู้ความถือสาหาความหลานกาเล็ทได้อย่างไร"
    กาเล็ทได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา "ผู้ใดจะคาดว่าอองตวนผู้นี้กลับเสนอตัวมาพบจุดจบเองเช่นนี้โดยข้าไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงควานหาตัว เมื่อปราศจากมันการเชิญตระกูลซานเดรียกับตระกูลเคนนี่มาร่วมงานเลี้ยงในรอบค่ำของตระกูลโรม่าคงไม่มีอุปสรรคแล้วกระมังท่านลุง?"
    ซาฮานผงกศรีษะรับ "ข้าจะเป็นธุระจัดการเรื่องราวให้กับหลานกาเล็ทเอง"
    "ขอบคุณท่านลุงที่ช่วยเหลือ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน" กาเล็ทเอ่ยกล่าว

    "เกรงว่าเพราะต้องรักษาอาการบาดเจ็บของมาร์ตินคงต้องพลาดการชมละครเวทีกับพวกเจ้าแล้ว" กาเล็ทที่เดินกลับมาจากการพูดคุยกับซาฮานเอ่ยกล่าวกับว่าที่ภรรยาทั้งห้าของตนเอง
    "นี่หัวหน้ามาร์ตินเจ็บปวดจะตายอยู่แล้วยังไม่รีบไปรักษาเยียวยาให้อีก มาเอ่ยกล่าวพูดคุยกับพวกข้าอยู่ทำอะไร" แชลเทียเอ่ยกล่าวขึ้นมา
    "ให้มันได้รับความเจ็บปวดเสียบ้างก็ดีจะได้จดจำไว้เป็นบทเรียน" กาเล็ทยิ้มเอ่ยกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ที่กาเล็ทแสดงออกเช่นนี้เพราะทราบแน่แก่ใจว่าอาการของมาร์ตินในยามนี้หาได้ร้ายแรงถึงกับชีวิต
    "นี่รีบไปจัดการเรื่องราวให้แล้วเสร็จเถอะ พวกเราหาได้ไม่รู้ความถึงเพียงนั้น ที่จะไม่พอใจกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้" เบลล่าเอ่ยกล่าว
    กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็ส่งมอบร่างเล็กของมิร่าที่ตนเองอุ้มชูอยู่มอบให้แก่เบลล่า "ขอบใจพวกเจ้าที่เข้าใจ" เอ่ยกล่าวจบกาเล็ทก็หันความสนใจไปหามาร์ตินที่กำลังนอนคอยท่าอยู่พร้อมทั้งนำมาร์ตินเข้าสู่มิติเทพเจ้าไป
    กาเล็ทค่อยๆช่วยเหลือในการถอดเกราะรบที่มีรูปทรงบิดเบี้ยวต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อยออกจากร่างใหญ่ของมาร์ติน
    "เพราะความไม่เอาไหนของข้าทำให้เกราะรบที่นายน้อยลำบากสร้างให้ต้องเสียหาย" มาร์ตินเอ่ยกล่าวออกมาอย่างรู้สึกผิด
    กาเล็ทได้รับฟังเช่นนั้นก็ได้แต่ส่ายศรีษะ "ข้าวของเครื่องใช้พวกนี้ต่อให้ บิดเบี้ยว ผุพังเสียหายสักเพียงไร ข้ายังมีความสามารถที่จะซ่อมแซมแก้ไขให้กลับมาดังเดิมได้ หากแต่ชีวิตของผู้คนหากสูญเสียไปแล้วไม่ว่าจะมีความสามารถเพียงไหนก็ไม่อาจดึงรั้งให้กลับคืนมาได้ การตัดสินใจของเจ้าในครั้งนี้ถือว่าสุ่มเสี่ยงอันตรายนัก" กาเล็ทเอ่ยกล่าว
    มาร์ตินที่ได้รับฟังเช่นนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่สามารถตอบคำอย่างสำนึกผิด
    "ยังดีที่มันไม่มีจิตคิดฆ่าเจ้าตั้งแต่แรก หาไม่แล้วในยามนี้เราคงไม่ได้มีโอกาสมานั่งพูดคุยถกเถียงถึงข้อผิดพลาดแล้ว" กาเล็ทเอ่ยกล่าวขณะที่ใช้พลังของตนเองหยั่งสัมผัสถึงอาการบาดเจ็บของมาร์ตินอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง
    "ดีที่แก่นจิตวิญญาณของเจ้ายังคงไม่ได้รับความเสียหาย เช่นนั้นคงนับว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากแล้วในการรักษา" เอ่ยกล่าวจบกาเล็ทก็ใช้มือของตนเองดันเข้าใส่หลังของมาร์ตินเพื่อจัดตำแหน่งของกระดูกที่แตกร้าวให้เข้าที่เข้าทางจากนั้นจึงถ่ายเทพลังของตนเองเข้าสู่ร่างของมาร์ตินเพื่อเร่งรัดกระบวนการเยียวยารักษาร่างกายของมันให้ฟื้นฟูตนเอง
    มาร์ตินส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดคราหนึ่งเมื่อถูกมือของผู้เป็นนายกระทบถูกเข้าใส่จุดที่ตนเองได้รับบาดเจ็บ
    กาเล็ทใช้เวลาอยู่หลายสิบชั่วโมงภายในมิติเทพเจ้าเพื่อช่วยเหลือเยียวยารักษามาร์ตินให้กลับคืนมาเป็นปกติ พร้อมทั้งปรับปรุงซ่อมแซมชุดเกราะของมาร์ตินให้กลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม
    "นี่ค้อนของเจ้า จดจำไว้ว่าให้หมั่นฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง การได้ผ่านประสบการณ์ของความเป็นและความตายของเจ้าในครั้งนี้คงเป็นประโยนช์ไม่น้อย" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพลางนำค้อนซึ่งเป็นอาวุธคู่กายของมาร์ตินออกมาจากแหวนมิติและส่งคืนให้กับขุนพลร่างใหญ่ของตนเอง
    "ขอบพระคุณขอรับนายน้อย" มาร์ตินคุกเข่าพร้อมทั้งยื่นสองมือออกไปเพื่อรับเอาสิ่งของจากผู้เป็นนาย
    กาเล็ทได้แต่ส่ายศรีษะออกมาอีกครั้งกับท่าทีของผู้เป็นลูกน้องซึ่งปฎิบัติต่อตนเองเสมือนกับตนเองเป็นสิ่งของเครื่องบูชาชนิดหนึ่ง จากนั้นกาเล็ทจึงนำแหวนวิเศษที่ตนเองยึดถอดออกมาจากร่างของอองตวนออกมาพินิจวิเคราะห์ดู
    "นี่คือ.." มาร์ตินที่ยืดกายลุกขึ้นมาเป็นปกติแล้วเบิกตาโปนโตของมันมองไปยังแหวนกว่าสิบวงที่ล่องลอยอยู่เบื้องหน้า
    "เป็นแหวนที่ข้ายึดถอดออกมาจากร่างของอองตวนนั่น" กาเล็ทเอ่ยตอบ เว้นวรรคไปช่วงใหญ่สุดท้ายแล้วกาเล็ทก็เอ่ยต่อ "ข้าจะใช้เวลาพินิจศึกษาดูกลไกการทำงานของแหวนวิเศษเหล่านี้สักหน่อย ยังพอมีเวลาอีกครู่ใหญ่กว่าที่งานเลี้ยงรอบค่ำของตระกูลโรม่าจะเริ่มขึ้น ตัวเจ้าเองก็ไปซักซ้อมลองขยับร่างกายดูเถอะว่ายังมีส่วนใดเจ็บปวดไม่เป็นปกติอยู่หรือไม่" กาเล็ทเอ่ย
    "ขอรับนายน้อย" มาร์ตินตอบคำ

    หลังจากที่กาเล็ทหายเข้าสู่มิติเทพเจ้าไปได้ไม่นาน งานเลี้ยงของตระกูลโรม่าต่างค่อยๆมีแขกเหรื่อที่ไม่ได้รับเชิญทยอยเดินทางมาขอเข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง แขกที่ไม่ได้รับเชิญเหล่านั้นย่อมเป็นผู้คนที่เคยให้การช่วยเหลือสนับสนุนเข้าร่วมกับทวีปกลางเอง หนึ่งในนั้นยังรวมไปถึงสมาชิกราชวงศ์ของแคว้นสมิธด้วย
    ในคราครั้งนี้ ราชาและราชินีของแคว้นสมิธถึงกลับเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงและส่งมอบของขวัญด้วยตนเอง
    ภายในห้องรับรองของตระกูลโรม่า กษัตริย์และราชินีแห่งราชวงศ์ของแคว้นสมิธถึงกลับคุกเข่าก้มหัวขอร้องให้กับซาฮานที่กำลังแสดงออกถึงสีหน้าที่ลำบากใจออกมา
    "ขอองค์ราชาและองค์ราชินีอย่าได้กระทำเช่นนี้เลยพะยะค่ะ" ซาฮานเอ่ยกล่าว
    "หากท่านซาฮานไม่ยอมรับปาก ข้ากับชายาของข้าจะไม่ยอมลุกขึ้นเป็นอันขาด ขอท่านซาฮานได้โปรดเห็นแก่แคว้นสมิธของเราด้วย" กษัตริย์ซึ่งทำหน้าที่ปกครองแคว้นสมิธก้มศรีษะเอ่ยกล่าวขอร้อง ในยามนี้ยังต้องเอ่ยกล่าวถึงศักดิ์ศรีอันใดอีก?
    ซาฮานถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ "ขอองค์ราชาได้โปรดเข้าใจความลำบากใจของข้า มิใช่ว่าข้าไม่อยากที่จะช่วยเหลือ หากแต่ไม่สามารถ ข้ากับหลานกาเล็ทหากจะให้กล่าวแล้วก็เป็นเพียงคนรู้จักที่ไม่คุ้นเคยเท่านั้นต่อให้ข้ายินยอมเอ่ยปากออกหน้าให้เกรงว่าผลลัพธ์ก็คงไม่แตกต่างจากเดิมเท่าใดนัก"
    แม้ซาฮานจะเอ่ยกล่าวเช่นนั้นมีหรือที่กษัตริย์และราชินีแห่งแคว้นสมิธจะเชื่อได้ ยิ่งได้มาเห็นว่าซาฮานสามารถที่จะเอ่ยเรียกหลานจักรพรรดิทมิฬได้อย่างสนิทสนมเช่นนี้ ทั้งสองยิ่งปักใจเชื่อว่าซาฮานนั้นคือหนทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของพวกตน "หากแม้แต่ท่านซาฮานยังเอ่ยกล่าวเช่นนี้ เกรงว่าแคว้นสมิธคงถึงคราวต้องพินาศล่มสลายลงแล้ว" กษัตริย์แห่งแคว้นสมิธเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเสมือนว่าจะสามารถร่ำไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ
    ซาฮานเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา "ข้าไม่อาจออกหน้าช่วยเหลือไม่ได้หมายความว่าไม่มีผู้ที่จะสามารถออกหน้าช่วยเหลือได้" ซาฮานเอ่ยกล่าว
    คำเอ่ยกล่าวของซาฮานเสมือนว่าเป็นการจุดประกายความหวังของหนทางรอดของแคว้นสมิธขึ้นมา "เป็นผู้ใดที่สามารถช่วยเหลือแคว้นสมิธได้ขอท่านซาฮานโปรดบอกมา"
    ซาฮานได้ยินเช่นนั้นก็ทำได้แต่หันเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาของซาฮานจับจ้องไปยังเวทีกลางแจ้งที่ถูกจัดตั้งขึ้นซึ่งคณะละครเล่กำลังแสดงละครกันอยู่ ซาฮานถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่พร้อมกับเอ่ยคำ "เป็นเหล่าท่านหญิงแห่งตระกูลบุสโซ่เอง" ซาฮานเอ่ยกล่าว จากการที่ได้สัมผัสพูดคุยทำความรู้จักกับตระกูลบุสโซ่มากล่าวครึ่งค่อนวัน ซาฮานกลับพบว่า จักรพรรดิทมิฬที่ทั้งแคว้นสมิธต่างหวาดกลัวอยู่ในขณะนี้กลับให้ความเคารพและใส่ใจผู้เป็นมารดา รวมทั้งเหล่าว่าที่ภรรยาทั้งห้าเป็นพิเศษ ดังนั้นซาฮานจึงคิดว่าหากเหล่าท่านหญิงทั้งหลายยอมออกหน้าช่วยเหลือพูดจาให้ อาจบางทีราชวงศ์แห่งแคว้นสมิธก็ยังคงหลงเหลือทางรอดอยู่




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×