ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [LoL Fanfic] Lover Birds ปีกคู่กู้โลก♡[Rakan × Xayah story]♡

    ลำดับตอนที่ #4 : อดีตโหยหา

    • อัปเดตล่าสุด 22 มี.ค. 62


      <Xayah> 

    ท่ามกลางหมู่บ้านที่ว่างเปล่า ข้ามองไปรอบๆ มันไร้ซึ่งสัญญานของผู้คนที่ข้ารู้จัก หรือแม้สิ่งมีชีวิตอะไรก็ไม่พบเห็นเลย ที่นี้ที่ไหนกัน? ความคุ้นเคยที่ข้ารู้สึกนั้นมันกลับสร้างความเจ็บปวดภายในจิตใจลึกๆของข้า  ข้ารู้จักที่นี้ แต่ข้าแค่แสร้งทำเป็นลืมมันเท่านั้น และเมื่อข้านึกขึ้นได้ว่าที่นี้คือที่ไหน ข้าก็รีบวิ่งไปรอบๆมองหา 'พวกเขา' ทันที

    "ท่านพ่อ! ท่านแม่!" ข้าตะโกนเรียกผู้ที่ข้าอยากจะเจอมากที่สุดออกไป ข้าวิ่งโดยไม่หยุดพัก ตะโกนเรียกชื่อของใครสักคนที่ข้ารู้จัก  ตอนนี้จะเป็นใครก็ได้! แม้เจ้ามอญทอลจอมคร่ำครวญ ข้าก็ยินที่ที่ได้พบกับมันในตอนนี้

    แต่แล้วไม่นานนักที่ข้าต้องรอคอย... 

    "ซาย่าห์ ซาย่าห์ลูกข้า" ข้าได้ยินเสียงของคนผู้หนึ่งที่ข้าอยากพบมากที่สุด ข้าหันไปตามทิศทางของเสียง แล้วก็ได้เห็น 'พวกเขา' อีกครั้ง ท่านพ่อ และท่านแม่ที่กำลังยืนมองอยู่ข้างกัน ข้าประหลาดใจ แต่ก็รู้สึกดีใจมากในเวลาเดียวกัน
         
    "ท่านพ่อ! ท่านแม่!" ข้าวิ่งโผเข้าหาพวกเขา "ข้าคิดถึงพวกท่านเหลือเกิน..." แต่ในขณะที่ข้ากำลังจะเข้าถึงตัวของพวกเขา ยังไม่ทันที่ข้าจะได้กอดพวกเขา ข้าก็ถูกพลักกลับมา
    "เจ้าทอดทิ้งพวกเราไป ซาย่าห์! ข้าผิดหวังในตัวของเจ้ามาก..."  ท่านพ่อพูดต่อว่าข้า ในตอนนั้นเองที่ข้ารู้สึกถึงเสียงแตกร้าวที่กำลังเข้ามากัดกินจิตใจ 
    "ไม่...ไม่... ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ทิ้งพวกท่านเลย" ข้าพยายามที่จะพูดอธิบาย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ ไม่นะ...
    "เจ้าทำ! เจ้าทิ้งพวกเรา เจ้าทิ้งทุกคน! เจ้าทิ้งหมู่บ้านของเจ้า เพื่อที่จะออกไปทำอะไรที่โง่เขล่าที่เมืองของพวกมนุษย์ แล้วสุดท้ายเจ้าก็ทำลายวิหารวานทาย่าโบราณ ที่เป็นแหล่งกักเก็บเวทย์มนตร์แห่งสุดท้ายของพวกเรา!" ท่านพ่อชี้ที่หน้าของข้าในตอนที่กำลังกล่าวโทษ
    "ไม่! ข้าต้องทำลายมัน! พวกท่านไม่เข้าใจเหรอ? ว่าวิหารกำลังถูกเวทย์มนตร์ดำที่ผิดธรรมชาติครอบงำอยู่! ข้าจำเป็นต้องทำลายมันทิ้ง!" ข้าพยายามตอบกลับไป แต่ดูเหมือนว่าโทสะของท่านพ่อก็ไม่ลดน้อยลงไปเลย
    "ไม่... ซาย่าห์ เจ้าเป็นผู้ที่มีความผิด การหายตัวไปของเจ้า นำพวกมนุษย์มาทำลายพวกเรา และเจ้า ซาย่าห์ เจ้าลงมือเผาวิหารที่เป็นเหมือนแหล่งพลังงานชีวิตของพวกเราลงไป เจ้านั่นแหละ คือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องแบบนี้!"

    "ไม่จริง..." แล้วทันใดนั้นเอง ที่ข้าก้มลงมามองที่มือของข้าเองที่กำลังถือคบเพลิงอยู่ ข้าตกใจแล้วปล่อยมันหลุดมือลงไป ไฟจากคบเพลิง เริ่มลุกลามแล้วเริ่มเผาทำลายหมู่บ้านรอบตัวของข้าเอง ทุกสิ่งทุกอย่างำลังพังทลายลงไป ข้านะคุกเข่าลงไป ที่จริงมันไม่ใช่แบบนี้สิ! 


    ข้าพยายามที่จะบอกเตือนสติของตัวเอง แต่เสียงรอบข้างของข้านั้นมีเพียงแค่สียงของผู้คนที่ข้ารักและนับถือสาปแช่ง จนข้านั้นไม่อยากจะอยู่ต่อไป...


    ข้าใช้มือปิดหูทั้งสองข้างของข้า ข้าไม่อยากจะได้ยินอะไรทั้งนั้น.. แต่ทว่าเสียงรอบตัวของข้ากลับไม่ได้เบาลงเลย แต่ตรงกันข้าม มันกลับดังขึ้น และดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับต้องการจะที่จะบีบตัวข้าให้แตกเป็นเสี่ยงๆด้วยเสียงคำสาปแช่งเหล่านั้น 


    "ใครก็ได้..." ข้าเริ่มส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมาอย่างสิ้นหวัง "ใครก็ได้ พาข้าออกไปจากที่นี้ที!"


    แต่แล้ว มันผ่านไปไม่นาน ไม่นานเลยจริงๆที่ข้าต้องรอ...


    "ซาย่าห์.. ซาย่าห์! ตื่นก่อน! ตื่นสักทีสิ!!"  ข้าที่เริ่มรับรู้แล้วว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไปก่อนหน้านี้มันไม่ใช่ความจริง และในขณะที่ข้ากำลังจะตื่นขึ้นมาจริงๆ...

    'เพี้ยะ!'  ใบหน้าของข้ารับรู้สึกถึงความเจ็บปวด ที่ทำให้สติของข้ากลับมาในทันที กลับมาพร้อมกับความโกรธมากๆเลยด้วย!


    ข้าลืมตาขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าของผู้ที่ข้าก็ยังรู้สึกว่าไม่อยากจะยอมรับว่าเขาเป็นผู้ที่เพิ่งช่วยพาข้า 'หนี' ออกมาจากฝันร้ายนี้เท่าไหร่นัก


    "เจ้าแล้ว! ตื่นสักที! ข้านึกว่าเจ้าจะถูกปีศาจในฝันร้ายนั่นจับกินแล้วซะอีก!" 'ราคาน' ออกท่าทางเหมือนกับว่ากำลังจะกระโดดโล้ดเต้น ส่วนข้าน่ะเหรอ? หึ! หน้าชาเลยทีเดียว

    "นี่เจ้า... เพิ่งตบข้างั้นเหรอ?" ข้าถามออกไป พยายามอย่างมากที่จะไม่ให้ความรู้สึกเคืองนี่เปิดเผยออกมาทางน้ำเสียง เพื่อไม่ให้ 'เหยื่อ' รู้ตัวก่อน

    "ก็... ใช่! แต่ข้าก็แค่เห็นว่าเจ้ากำลังฝันร้ายน่ะสิ เอาแต่พูดแบบว่า 'ไม่จริงๆ ใครก็ได้ พาข้าออกไปที' ข้าไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เรียกแล้วก็ไม่ตื่น ข้าเลยต้องตบเนี่ยแหละ" 

    ความหงุดหงิดของข้าทวีคูณมากขึ้น เมื่อราคานทำเสียงลอกเลียนแบบข้า ในแบบที่ดูเหมือนพวกผู้หญิงอ่อนแอๆที่เห็นตามละครเวทีของพวกมนุษย์นั่น ผสมกับความอายที่ทำให้เลือดขึ้นหน้าของข้าเลย

    "จริงสิ ข้าต้องขอบคุณต่อความคิดแก้ปัญหาที่ชาญฉลาดของเจ้าด้วยสินะ..."  ข้ากำหมัดแน่นแล้วค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆกับเขา

    "อ่อ อ่า... เอ่อ... ม-ไม่ต้องหรอกนะข้าเกรงใจ ข้าชอบทำเพื่อสตรีอยู่แล้วน่ะนะ" ราคานส่งยิ้มแบบเกรงใจออกมาแล้วค่อยๆเดินถอยออกไป ดูเหมือนว่าเหยื่อจะรู้ตัวแล้วสินะ งั้นข้าก็คงต้องลงมือให้ 'รางวัล' เขาสักหน่อยแล้ว

    ข้าส่งยิ้มให้กับเขา ก่อนจะท่องคาถาที่ท่านพ่อเคยสอนให้ข้าพูดกับศัตรูที่เรากำลังจะลงมือฆ่ามันอย่างโหดเหี้ยมว่า...

    "โอมาเอวะ โมชิน เดรุ"

    "ห้ะ?? เดี๋ยวๆๆ!!"

    'พลั่ก!!'


    [Rakan]

    60 ลมหายใจต่อมา

    จนถึงตอนนี้ ใบหน้าของข้าก็ยังคงรู้สึกปวดหนุบจากกำปั้นของแม่นางซาย่าห์อยู่เลย ข้าหวังว่าจะไม่ได้มีรอยช่ำที่เห็นได้ชัดบนใบหน้าของข้านะ หมดสวยกันพอดี เอ... ข้าควรสวยหรือว่าต้องหล่อกันนะลืมแล้ว?


    ยังไงก็เถอะ ข้าพอจะเข้าใจว่านางกำลังฝันถึงอะไร...เมื่อคืนพวกเราพูดคุยกัน มันทำให้ข้ารู้เรื่องราวที่นางยอมบอกข้าเล็กน้อยเกี่ยวกับนาง นั้นคือ เผ่าของซาย่าห์หายตัวไปอย่างลึกลับในวันนึงที่นางไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้าน ซาย่าห์ไม่ยอมบอกว่าตอนนั้นนางหายไปไหน แต่ข้าก็ไม่ใส่ใจนักหรอก เรื่องของนางหนิ ซึ่งนางทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นผิดซะอย่างงั้น แต่ให้ตายสิ! พวกเขาหายไปกันเองไม่ใช่เหรอ?? นางไม่ผิดอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย


    หลังจากที่เดินทางมาสักพักข้าก็เพิ่งรู้ตัวว่าพวกเราไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วนี่นา... ข้าชักจะเริ่มรู้สึกหิวแล้วสิ

    "นี่ ซาย่าห์ เมื่อไหร่จะถึงเมืองที่เจ้ากำลังหาอยู่อ่ะ ข้าเริ่มชักจะหิวแล้วนะ หาผลไม้กินกันก่อนมั้ย?" ข้าเปิดประเด็นถามขึ้นมาก่อน "หุบปากแล้วเดินต่อไปซะ..." คำตอบของนางเล่นเอาขนของข้าลุกพอง แส-ดงว่านางยังโกรธข้าอยู่สินะ แย่จัง เท้าและกำลังใจของข้ามันไหวนะ แต่กระเพาะของข้ากำจะใช้ใบมีดที่ติดไปเล่นงานม้องน้อยของของข้า และมันคงจะไม่สนุกเอาซะเลยที่ต้องเต้นในขณะที่ท้องกำลังว่างเปล่า


    ข้าตักสินใจที่จะลืมความหิวนี่ไปซะ ด้วยการเริ่มฮัมเพลงเบาๆ "อ่ะ เอ เอ เอ --"

    'ฟิ้ว!' แต่ไม่ทันไรที่ข้าเริ่มเปิดปากฮัมเพลงไม่ถึงห้าจังหวะลมหายใจ อะไรบางอย่างสีแดงก็พุ่งตักผ่านใบหน้าของข้าไปอย่างรวดเร็ว

    "เราตกลงกันแล้วว่าจะเดินทางเงียบๆนะ 'นกยูง' " เสียงของซาย่าห์บ่งบอกถึงจิตสังหาญอันแรงกล้าของนาง หากข้าไม่รีบหยุดละก็ มีหวังโดนถอนขนแน่ๆเลย ที่สำคัญนะ นางเรียกข้าว่านกยูงซะแล้วล่ะแง

    "จำไว้นะนกยูง หากเจ้าไม่อยากมาด้วยก็ไปซะ ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าอยู่"

    "เฮ้! ข้าอยากไปด้วยอยู่แล้วสิ เมื่อคืนไหงยังคุยกันดีๆอยู่เลยนะ" ใช่แล้ว เมื่อคืนนางก็ยอมคุยด้วยดีๆจนเผลอหลับไปกันทั้งคู่เลยนะ ไหงตอนเช้าตั้งแต่ที่ข้า 'ปลุก' นางขึ้นมานางดูเปลี่ยนไปแบบนี้ล่ะ? เย็นชาและดุร้ายอีกครั้ง...

    "ทำไมถึงอยากมาด้วยนัก? ข้าบอกชื่อของข้าไปแล้วไง ทีนี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องข้องใจอะไรอีกต่อไปแล้ว จะไปที่ไหนก็เชิญ" ซาย่าห์หันกลับไปแล้วเริ่มเดินต่อไป ไม่รอให้ข้าตอบอะไร

    "ข้าแค่คิดว่าเจ้าต้องการคนช่วยเหลือเท่านั้นเอง ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าต้องอยู่คนเดียวนะ!" ข้าตัดสินใจพูดออกไป นั่นแหละ เท่าที่ข้าจะเข้าใจตัวเอง และพูดออกอะไรแบบนั้นไปได้ล่ะนะ นางหยุดชะงัก ก่อนจะหันหางตามาตอบ

    "ข้าไม่ต้องการให้ใครช่วยหรอกนะ... ข้าทำคนเดียวได้ ไปซะ..." เสียงของนางแผวเบาผิดปกติ ราวกับว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดออกมา เพียงแต่ข้าเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่แล้วจริงๆ... ก็ได้ นางน่าสนใจนะ แต่ถ้านางต้องการแบบนั้นจริงๆ ข้าก็ควรจะไปตามที่นางบอก 

    ข้าหันหลังกลับ "ก็ได้ ซาย่าห์ ข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้แล้วล่ะ"

    "ดีแล้ว.." เสียงของซาย่าห์ไกลขึ้น บ่งบอกว่านางก็เริ่มเดินต่อไปจริงๆ

    "เจ้าเป็นคนที่น่าสนใจนะ ข้าจะไม่ลืมเลย" ข้าบอกทิ้งท้าย

    "ทุกสิ่งที่เจ้าทำก็เช่นกัน ข้าจะพยายามไม่ลืมเลย..." นางตอบกลับมาไกลๆ


    เรื่องมันก็ควรจะจบลงแค่ตรงนี้นะ... มีงานเลี้ยงก็ต้องมีเวลาที่งานเลี้ยงเลิก แม้ว่ามันจะสนุกสุดเหวี่ยงแค่ไหน หรือยาวนานมาก่อนเพียงใด สุดท้ายมันก็ต้องจบลง

    .

    .

    .

    .

    แต่ถ้าพวกเราไม่ได้จะมาประสบพบเจอกันอีกเลย นิยายเรื่องนี้ก็จะจบง่ายไป ถูกมั้ย? เพราะงั้น...


    ข้าหยิบเหรียญสีทองรูปมนุษย์ผู้หญิงติดปีกขึ้นมาโยน แล้วรับเล่น  ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนนางเอาเหรียญนี้มาให้ข้าดู แล้วบอกว่ามันคือของที่นางไปเอามาจากบ้านเทศมนตรีที่เมืองวารันโค ข้าไม่อยากรู้หรอกว่านางจะเอาไปทำอะไร แต่ที่รู้ๆคือซาย่าห์บอกว่ามันสำคัญต่องานของนางมาก

    ข้าโยนเหรียญขึ้น แล้วรับอีกครั้งอย่างมีระดับ มันสวยดีนะ และข้าก็เริ่มชักจะคิดถึงนางเข้าให้แล้วล่ะสิ... 


    เอเดี๋ยวนะ! ถ้าซาย่าห์บอกว่ามันสำคัญต่อภารกิจของนาง งั้นก็...


    [Xayah]

    ไม่! ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้น! งานกอบกู้อิสระภาพน่ะ ต้องใช้ความตั้งใจจริงๆ เท่านั้น และข้าจะลงมือจัดการทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว(กับสายข่าวดีๆสักราย) ไม่ต้องการตัวตลกมาช่วยหรอกนะ! คิดสิ คิด! ซาย่าห์! แค่เขามาช่วยข้าไว้ไม่กี่ครั้ง ข้าก็ไม่เห็นจำเป็นต้องจะต้องนึกถึงเขาขนาดนี้เลย! ปล่อยไปเดี๋ยวก็ลืม! 

    แต่ในขณะที่ข้ามัวแต่พยายามทำจิตใจให้สงบนั้น ข้าเองก็ไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอตัวเลย จนกระทั่งมันก็อาจจะช้าไปแล้ว...


    ข้าเงยหน้าขึ้นมามองรอบข้าง เงามากมายกำลังเครื่องวนอยู่รอบตัวของข้านั้น ไม่ใช่เงาของต้นไม้ หรือสัตว์ป่า

    พวกภาคีแห่งเงานี่ทำตัวสมชื่อจริงๆ ตามติดไม่เลิกลาง่ายๆ เหมือนกับเงา และข้าเองก็โดนพวกมันล้อมอีกครั้งนึง

       ข้าเตรียมขนขึ้นมาหนึ่งกำมือ ไม่ต้องประเมินก็พอเข้าใจได้ ว่าพวกมันมามากกว่าเมื่อวานนี้อีก และการที่จะผ่านไปยังเมืองได้ ก็คงต้องซัดกับเจ้าพวกนี้ก่อนจริงๆสินะ พวกมันไม่รอช้าที่จะกำจัดข้า แล้วพุ่งโดดลงมาจากที่สูงพร้อมกันหลายตัว หลังจะปริชีพของข้าในหนเดียว

    หึ! ใครจะอยู่กับที่ให้โง่กันเล่า ถ้ามากันขนาดนี้ ข้าจะจับปาดคอเรียงตัวเลย 

    ข้ากระโดดหลบออกไปข้างๆ พร้อมกับปักขนนกไว้ที่จุดที่ข้าเคยยืนอยู่เป็นของขวัญสำหรับพวกมัน  และในขณะที่พวกมันกำลังงุงงงกับพื้นที่ไม่มีข้าหรือศพของข้ายืนอยู่ ข้าก็จัดการเรียกขนนกกลับมา พร้อมกับที่พุ่งทะลุร่างกายของพวกมันมาด้วย

    "อ้ากก!!"  เสียงร้องที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดของพวกมันบ่งบอกถึงหน้าที่ของขนนกที่ทำสำเร็จ และมันทำให้ข้าพอใจเป็นอย่างมาก  แต่เวลาดีใจก็มีไม่มากนัก เมื่อข้ายังต้องกลิ้งหลบลูกธนูที่พุ่งเข้ามาอีกมากมาย แม้ว่าครั้งนี้พวกมันจะไม่ได้พานักเวทย์มาด้วย แต่ข้าก็รับรู้ถึงจำนวนของพวกมันที่มีมากมาย เกินกว่าที่ข้าจะคาดการณ์ได้  ข้ากระโดดเหยียบหัวของนักรบเงาโง่ๆคนนึงที่กำลังถือมีดมาหมายจะใช้มันฟันข้าให้โดนสักครั้ง แต่น่าเสียดายที่คอของมันได้หักก่อนที่จะได้ส่งเรียงร้องออกมา ข้าเตะเข้าไปที่ใบหน้าของนักรบเงาที่ถือหน้าไม้ที่กำลังเล็งตรงมาที่ข้า ทำให้มันเหนี่ยวไกแล้วลูกธนูก็พุ่งไปเสียบอกของพวกมันอีกรายที่โชคร้ายพอที่จะไปโดน

    แต่ถึงอย่างงั้นจำนวนของห่าลูกธนูจำนวนมากก็ยังสาดเข้ามาในทิศทางของข้าอย่างไม่ขาดสาย ราวกับว่าพวกมันอยากจะปลิดชีพของข้ามากซะจนไม่สนใจว่าจะมีเพื่อนร่วมรบมาโดนลูกหลงด้วยรึเปล่า  หึ! พวกมนุษย์มันเห็นแก่ตัวอย่างที่ข้ารู้มาตลอดแบบนี้แหละ

    'ฉีก!' เอะ... 

    ข้าเพิ่งรู้ตัวว่าขาข้างซ้ายของข้าดันไปเป็นเหยื่อสังเวยให้ลูกธนูลูกนึงเข้าให้จนได้ ความเจ็บปวดแผ่ซ่าดไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว ลูกธนูอาบยาพิษ!

    "บ้าที่..สุด...."

    ร่างกายของข้าล้มลงอย่างช่วยไม่ได้ ความหวังที่จะหลบหลีกหายไปทั้งหมด และห่าฝนลูกธนูอีกชุดก็กำลังจะลงมาเก็บซากสุดท้ายของข้า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเร็วมาก จนข้าไม่มีเวลาให้หลับตาและภาวนาเลยแม้แต่น้อย

    'เคร้ก!! ป๊อก! แป็ก!' เสียงของลูกธนูที่กระทบเข้ากับโลห์เวทย์มนตร์อันคุ้นเคยได้ดังขึ้น แสงสีทองที่ปรากฏอีกครั้งราวกับว่ามันคือปาฏิหาญประจำตัวของข้าไปแล้ว ได้แสดงตัวของเขาเพื่อมาช่วยข้าอีกหนหนึ่ง...


    [Rakan]

    ถ้าข้าก้าวเท้าช้าไปอีกนิด ข้าคงมาช่วยนางไม่ทันแล้ว! 

    ซาย่าห์ที่กำลังล้มอยู่ ทำให้ข้าเข้าใจทันทีว่าครั้งนี้ข้าไม่ควรจะปล่อยนางให้ไปคนเดียวแบบนี้อีก โชคยังดีที่ข้าเอาขนกลิมมิ่งยัดกระบาลเจ้าพวกเชยพวกนี้มาเยอะ ทำให้ตอนนี้ข้ามีพลังชีวิตเอาไว้แบ่งให้พอกับคนทั้งหมู่บ้านที่ป่วยเป็นมะเร็งเลย แต่หนนี้ ข้าจะเอามาใช้กับนางแค่คนเดียวเนี่ยแหละ!

    "ซาย่าห์! เจ้าไม่เป็นไรนะ??" 

    "ข้าเดิน..ไม่ไหว..ต้อง...หนี" นางค่อยๆพูดออกมาทีละคำอย่างทุลักทุเล เหมือนคนที่โดนพิษงูหางระฆังกัดมา แสดงว่าอาการของนางแย่จริงๆสินะ

    ไม่ได้การ ถ้าครั้งนี้นางบอกว่าต้องหนี ก็แปลว่างานนี้ต้องวิ่งสถานเดียวจริงๆ ข้าไม่รอช้าที่จะปล่อยโล่ห์พลังเวทย์ไว้สักพักแล้วเริ่มก้มลงไปอุ้มร่างของซาย่าห์ขึ้นมาอย่างรวดเร็วก่อนที่โล่ห์เวทย์จะสลายไป พลังชีวิตที่ดึงมาค่อยๆไหลเข้าไปในร่างกายของนาง ข้ารีบใช้พลังแล้ววิ่งโกยสุดชีวิต หนีไอ้กิ่งไม้ที่มีปลายเหล็กแหลมติดอยู่พวกนี้ 

    กิ่งไม้ปลายเหล็กพวกนี้พุ่งเฉียดหน้า ขา และส่วนต่างๆของข้าไปมากมาย มีทั้งเกือบโดน และเกือบโดนมาก แต่ไม่เคยโดนข้าอย่างจังเลยนะ! พวกนี้มันต้องเป็นญาติสักฝั่งของพวกสตอร์มทรูปเปอร์แน่ๆ

    ในขณะที่กำลังวิ่งหนีตาย ซาย่าห์ก็ค่อยๆได้สติกลับมา เพราะพลังชีวิตที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของนาง 

    "ราคาน..." ข้าไม่เข้าใจว่านางจะเรียกข้าทำไม แต่ตอนนี้ข้าโดนลูกธนูปักเข้าให้แล้วสักสองลูกมั้ง? ที่หัวไหล่ และแก้มก้นขวาน่ะนะ โคตรเจ็บเลย แต่ไม่เป็นไร พลังชีวิตที่เหลืออยู่ก็ถูกแบ่งมารักษาข้าบ้างแล้ว ทำให้ขาของข้ายังคงวิ่งต่อไป...รึเปล่า?

    ข้าดันเริ่มรู้สึกอ่อนล้าลงไปอย่างไม่มีเหตุผล เอ... หรือไอ้ไม้พวกนี้จะมีพิษกันนะ?

    ไม่นาน ขาของข้าก็หยุดทำงานซะงั้น ข้ามองไปที่ข้างทาง มันมีเหวอยู่ และมันคือทางรอดเดียวเท่าที่สมองอันน้อยนิดของข้าจะรับรู้ได้ในตอนนี้ ข้าจึงไม่รอช้าที่จะเอี้ยวตัวลงไปทางนั้นทันที

    และทุกกสิ่งก็มืดลงไป...

    ################################################################################################################


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×