ตอนที่ 16 : บทที่ 7 ปัญหาโลกแตก (70%)
สิบนาฬิกาตรงไม่ขาดไม่เกิน ณ ริมสระว่ายน้ำของบ้านอัครบวรเวช ปรากฏภาพพันตำรวจโทปฐพีกำลังสอนลูกชายทั้งสองว่ายน้ำเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเข้าสอบคัดเลือกเข้าสู่รั้วโรงเรียนของลูกผู้ชายอย่างโรงเรียนเตรียมทหารที่จะเกิดขึ้นในอีกสามปีข้างหน้า
“ป๊าให้เวลาสามนาทีทั้งเอกทั้งโตต้องไปถึงฝั่งที่อาปลายนั่งอยู่”
นิ้วยาวชี้ไปยังน้องชายที่กำลังนอนอ่านหนังสือบนเตียงผ้าใบที่อยู่อีกฝั่งของสระ ระยะทางห้าสิบเมตรตามมาตรฐานสระว่ายน้ำทั่วไปทำให้สองพี่น้องทายาทรุ่นเล็กของตระกูลอัครบวรเวชต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยความไม่มั่นใจ และแน่นอนว่าหากทำไม่สำเร็จสิ่งต่อมาที่พวกเขาจะได้รับนั่นคือการโดนทำโทษจากผู้เป็นบิดานั่นเอง
เสียงคุณพ่อลูกแฝดเชียร์ไล่หลังดังขึ้นเมื่อสิ้นเสียงนกหวีดให้สัญญาณ ภาพหลานชายทั้งสองว่ายน้ำในท่าฟรีสไตล์ทำให้ร้อยเอกปฐวีต้องละสายตามามองด้วยความสนใจ พี่ชายเขาในบางครั้งก็เอาใจลูกจนเคยคิดว่าทั้ง ‘เอกลิขิต’ และ ‘โตมร’ จะต้องเสียคนแล้วเป็นแน่ แต่บางครั้งก็โหดไม่ต่างกับครูฝึกโรงเรียนนายร้อยที่เขาเคยผ่านมา มือใหญ่วางหนังสือลงบนโต๊ะข้างๆ และวาดขาลงมามองภาพหลานชายทั้งสองถูกบิดาไล่กวดด้วยคำพูดที่ดุดันด้วยความสนใจ
เข็มนาฬิกาบนข้อมือทำให้ปฐวีรู้ว่าหลานชายเพิ่งใช้เวลาไปแค่สองนาที แต่ไม่ใช่กับพันตำรวจโทปฐพีเพราะบัดนี้ลูกชายทั้งสองของเขาเพิ่งว่ายน้ำไปได้แค่ครึ่งสระเท่านั้น
“เร็วๆ ช้า อืดอาดอยู่ทำไม ถ้าไปทำงานจริงถูกคนร้ายยิงตายไปแล้วมั้ง”
“ใจเย็นๆ สิครับพี่ต้น ตาเอกกับตาโตเพิ่งสิบสองเองนะครับ” ปฐวีปรามพี่ชายเมื่อเห็นว่าในมือพี่ชายมีไม้เรียวถืออยู่ด้วย
“สิบสองแล้วยิ่งต้องฝึก เข้าเตรียมทหารไปจะเจอยิ่งกว่านี้นายก็รู้ไม่ใช่เหรอ”
คำพูดของพี่ชายทำให้ปฐวีเถียงไม่ออกเพราะถึงแม้ว่าโรงเรียนเตรียมทหารจะไม่ได้ฝึกหนักอย่างที่พี่ชายกำลังเคี้ยวเข็นหลานชายแต่ความกดดันก็มีมากไม่ต่างกัน และนั่นก็เป็นวิธีการสอนนักเรียนเหล่าให้พร้อมสู่สังคมที่เต็มไปด้วยความกดดันทั้งจากหน้าที่การงานและสังคมรอบข้าง
“เอะอะอะไรกันสองพี่น้อง” เสียงของพลตำรวจเอกไพโรจน์ดังมาจากในบ้าน กระจกบานใหญ่ถูกเลื่อนออกเผยให้เห็นร่างสมส่วนของชายวัยใกล้เกษียณที่ยังคงแข็งแรงทั้งรูปร่างและท่วงท่าการก้าวเดิน
“ผมกำลังฝึกลูกลิงสองตัวนี้ว่ายน้ำอยู่ครับ” ปฐพีตอบขณะช่วยดึงลูกชายคนเล็กขึ้นมาจากสระเพื่อเข้าสู่กระบวนการทำโทษเมื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จ
สิ่งต่อมาที่พลตำรวจเอกไพโรจน์ได้ยินก็คือคำสั่งสั้นห้วนที่บุตรชายสั่งให้หลานๆ วิ่งรอบสระสิบรอบเพื่อเป็นการลงโทษ
“สั่งให้ลูกลิงมันวิ่งแล้วพ่อลิงมันไม่ไปวิ่งด้วยเหรอ” ท่านว่าเข้าให้เพราะสงสารหลานๆ ตามประสาคนเป็นปู่
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อยทำไมต้องไปวิ่งด้วยล่ะครับ” ปฐพีโวยวายเมื่อบิดาเรียกตนว่า ‘พ่อลิง’
“ก็ผิดที่สอนลูกว่ายน้ำจากฝั่งโน่นมาถึงฝั่งนี้ภายในสามนาทีไม่ได้ยังไงล่ะ ไป...ไปวิ่งได้แล้ว และรีบมาหาป๋าด้วย” บิดาย้อนก่อนเอ่ยปากไล่ ปฐพีเดินคอตกไปหาสองหนุ่มน้อยฝาแฝดที่กำลังพากันหัวเราะชอบใจเพราะบิดาถูกคุณปู่ทำโทษ
เมื่อลูกชายคนโตเริ่มออกวิ่งพร้อมกับหลานๆ พลตำรวจเอกไพโรจน์ก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ ปฐวีหยิบหนังสือที่อ่านค้างเมื่อครู่ขึ้นมาเปิดอ่าน แต่ก็ต้องหยุดอาการทั้งปวงเมื่อบิดายื่นมือเข้ามากดหนังสือให้ต่ำลง
“ป๋ามีเรื่องจะคุยด้วย”
“เรื่องอะไรครับ” ปฐวีถามด้วยความสงสัย แต่ดวงตานิ่งแน่วมั่นคงของบิดาทำให้เขาเดาออกว่าคงไม่พ้นเรื่องของน้องสาวคนเล็กอย่างปรางรวีเป็นแน่
“ป๋าไปออกรอบกับเจ้าสัวมาตั้งแต่เช้า เมื่อคืนยายน้องว่ายังไงบ้าง”
“ก็ไม่ว่าอะไรนะครับ ผมก็พยายามใช้เหตุผลแล้วก็บอกน้องไปตามความจริง” ปฐวีเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้บิดาฟังโดยละเอียด และตบท้ายด้วยประโยคที่เอ่ยกับน้องสาวก่อนแยกตัวขึ้นไปพักผ่อน “ผมบอกน้องไปว่า...ก็ดีไม่ใช่เหรอ น้องปรางจะได้มีข้ออ้างปฏิเสธ และคุณป๋าจะได้ไม่เสียหน้าด้วย”
“เฮ้ย!”
พลตำรวจเอกไพโรจน์ร้องลั่นเมื่อสิ่งที่ลูกชายคนรองทำนั้นมันเป็นการชี้โพรงให้ปรางรวีหนีการแต่งงานที่ท่านและเพื่อนซี้ตั้งใจจะเกี่ยวดองกันดีๆ นี่เอง “แกไปบอกน้องอย่างนั้นได้ยังไงเจ้าปลาย อย่างนี้ยายน้องก็ปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานกับตี๋เล็กสิ”
“คุณป๋าใจเย็นๆ ก่อนครับ ที่ผมทำน่ะผมมีเหตุผล”
“เหตุผลที่ไม่อยากช่วยคุณป๋าล่ะสิ” ปฐพีที่อาศัยช่วงขาและการฝึกหนักวิ่งครบสิบรอบตามจำนวนทำโทษลูกในเวลาไม่ถึงห้านาทีเดินหายใจหอบเข้ามานั่งใกล้ มือใหญ่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มดับความกระหาย และชี้ไปทางน้องชายที่นั่งข้างๆ “นายไม่อยากให้คุณป๋าเกี่ยวดองกับเจ้าสัว ต่อมหวงน้องสาวทำงาน”
“แต่ผมก็ทำให้ยายน้องยอมไปดูตัวได้” ปฐวีตอบกลับเสียงราบเรียบเมื่อถูกกล่าวหา หายใจเข้าปอดลึกและเอ่ยต่อ “ผมบอกยายน้องไปอย่างนั้นก็เพื่อซื้อใจยายน้อง ให้เขาเห็นว่าผมยังคงอยู่ข้างเขา แต่คุณป๋าก็อย่าลืมนะครับผมบอกยายน้องว่าคุณป๋ากับเจ้าสัวเป็นเพื่อนรักกัน และครอบครัวเราก็อยากเกี่ยวดองกัน ดังนั้นถ้ายายน้องปฏิเสธก็เท่ากับเป็นการหักหน้าเจ้าสัวและสองบ้านก็จะมองหน้ากันไม่ติด สาเหตุของความแตกหักก็จะมาจากยายน้องทันที แล้วคุณป๋ากับพี่ต้นคิดหรือครับว่ายายน้องจะกล้าทำแบบนั้น ยายน้องอาจจะดูแข็งๆ แบบนั้นแต่ก็รักพวกเรามากกว่าใคร ยายน้องไม่กล้าทำอย่างนั้นแน่นอนครับ”
“แกมั่นใจนะ”
“ผมแน่ใจครับพี่ต้น ว่ายังไงยายน้องก็จะไม่ปฏิเสธ” ตอบด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมก่อนจะหันมามองทางบิดาที่นิ่งคิดตาม “คุณป๋าเตรียมตัวนัดยายน้องดูตัวกับตี๋เล็กได้เลยครับ”
“อืม...เก่งมากเจ้าปลายสมกับที่เป็นลูกชายป๋า” คุณไพโรจน์ตบไหล่บุตรชายคนรองแรงๆ ด้วยความภาคภูมิใจในแผนการของคนเป็นลูก ปฐพีเห็นท่าว่าจะเสียคะแนนนิยมจึงชะโงกหน้าเข้ามากลางวงและเอ่ยขึ้นบ้าง
“แล้วคุณป๋าไม่อยากฟังการรายงานผลแผนรถเสียของผมหรือครับ”
“แล้วมันได้ผลมั้ยล่ะ” พลตำรวจเอกไพโรจน์ว่าเย้ยๆ เมื่อคิดว่าแผนการของปฐพีคงไม่มีทางสำเร็จเป็นแน่ แต่คุณพ่อลูกแฝดกลับยิ้มเจ้าเล่ห์ตอบกลับ
“เมื่อวานสายของผมที่กลางสี่แยกแถวบ้านเรารายงานว่ามีรถบีเอ็มดับเบิลยูสปอร์ตสีบรอนซ์เงินคันหนึ่งจอดลงขับรถชนมาสด้าคูเป้สีขาวมุก ท่าทางผู้ชายคนนั้นหน้าตาใช้ได้ทีเดียว และสายของผมยังรายงานอีกว่าทั้งคู่นั่งรอประกันด้วยกันตั้งนานสองนานก่อนจะแยกย้ายกันไป”
“หมายความว่ายังไงครับ” ปฐวีถามด้วยความสงสัย
ปฐพีเบนสายตาล้อเลียนมาทางบิดาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดทะเล้นตามนิสัยที่แท้จริงของตนเอง “คุณป๋าเคยบอกว่าอะไรนะครับ เจ้าสัวเคยเล่าให้ฟังว่าตี๋เล็กเพิ่งเปลี่ยนมาใช้บีเอ็มสปอร์ตสีบรอนซ์เมื่อเดือนก่อนใช่มั้ยครับ”
ครานี้ท่านไพโรจน์เข้าใจทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ใบหน้าของผู้สูงวัยที่ยังคงหล่อเหลาพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ พร้อมกับหัวเราะร่าด้วยพึงพอใจในผลงานของลูกชายทั้งสองที่แผนการทั้งหมดสำเร็จลุล่วง
“ถ้าอย่างนั้นป๋าจะโทรศัพท์นัดเจ้าสัวว่าทางเราเรียบร้อย เริ่มแผนดูตัววันเสาร์นี้กันได้เลย”
"อะไรนะคะ ดูตัววันเสาร์นี้" เสียงโวยวายของปรางรวีดังลอดออกไปจนถึงโถงทางเดินที่มีสี่หนุ่มสามเจเนอเรชั่นเกาะขอบประตูตามลำดับอาวุโสแอบมองความเป็นไปที่เกิดขึ้นภายในห้องนั่งเล่นอยู่ด้านนอก
หลังมื้อค่ำปฐวีก็ได้รับมอบหมายให้แจ้งข่าวการดูตัวกับน้องสาว โดยพลตำรวจเอกไพโรจน์ ปฐพีและลูกชายฝาแฝดรีบเผ่นแน่บออกไปเป็นพลซุ่มยิงอยู่ห่างๆ ปล่อยให้ปฐวีรับหน้ากับปรางรวีเพียงลำพัง และเวลานี้ภาพที่ทุกคนเห็นก็คือปรางรวียืนกระทืบเท้ากับข่าวที่ได้รับ
"ทำไมมันถึงเร็วแบบนี้ล่ะคะพี่ปลาย"
"เร็วที่ไหนกันคะ คุณป๋ากับเจ้าสัวคุยเรื่องนี้กันมาเป็นสิบปีแล้วนะ" ปฐวียังคงพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่อารมณ์ร้อนๆ ของน้องสาวกู่ไม่กลับเสียแล้ว
"แต่เป็นสิบปีที่น้องปรางไม่รู้อะไรเลย น้องปรางไม่ไปค่ะ น้องปรางไม่พร้อม"
"แต่น้องปรางรับปากพี่ว่าจะยอมไปดูตัวแล้วนะคะ" ผู้กองหนุ่มย้อนคำที่ปรางรวีตกหลุมพรางเมื่อคืน ซึ่งนั่นทำให้คนโดนย้อนถึงกับหน้างอ
"วันเสาร์นี้พี่ว่าไม่เร็วไปหรอกนะ" ว่าต่อเมื่อเห็นน้องสาวอ้าปากจะเถียง ยื่นมือไปคว้ามือนุ่มแล้วกระตุกเบาๆ ให้มานั่งเคียงกัน ก่อนจะเข้าสู่มาตรการหว่านล้อมอย่างใจเย็น "น้องปรางไม่คิดว่ายิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเหรอคะ"
"น้องปรางยังไม่ได้ทำใจเลย"
"ถ้าประวิงเวลาออกไป แทนที่น้องปรางจะได้ทำใจ พี่ว่าจะยิ่งทำให้คุณป๋าและเจ้าสัวมีความหวังมากขึ้นนะคะ แล้วรู้ไหมว่าการให้ความหวังพวกท่าน ผลมันจะเป็นยังไง"
ปรางรวีเม้มปากแน่น คิดทบทวนตามคำพูดของพี่ชายก็เห็นคล้อยอยู่ไม่น้อย แต่วันเสาร์นี้มันเร็วเกินไปจริงๆ เธอยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเลยด้วยซ้ำ
"ตกลงตามนี้นะคะ" เห็นน้องสาวเงียบ ปฐวีก็รีบตีขลุมเอาคำตอบ
ปรางรวีเงยหน้ามองพี่ชายตาปรอย "เราเลื่อนไปก่อนไม่ได้เหรอคะ อีกสักอาทิตย์ก็ยังดี"
ปฐวีส่ายหน้า "ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ก็มีผลลัพธ์ไม่ต่างกัน แล้วเราจะเลื่อนเวลาออกไปอีกทำไมละคะ"
"ก็น้องปรางทำใจไม่ได้"
"กลัวตกหลุมรักนายตี๋เล็กหรือไง" เย้าแหย่หวังให้อีกฝ่ายคลายความวิตกกังวล แต่กลับทำให้คนกังวลตาลุกวาว
"บ้าสิ" แว้ดใส่คนตัวโตที่นั่งเคียง "น้องปรางไม่มีวันตกหลุมรักนายตี๋น้อยอ้วนฉุคนนั้นหรอกค่ะ อ้วนก็อ้วน เนิร์ดก็เนิร์ด คงหน้าตาแย่ถึงขนาดหาแฟนไม่ได้ต้องมาแต่งงานการเมืองแบบนี้"
เสียงบ่นกระปอดกระแปดดังขึ้นอีกหลายประโยค โดยมีคนข้างๆ คอยพยักหน้าคล้อยตามอยู่ไม่ห่าง ขณะที่ด้านนอกประตูนั้น สี่หนุ่มสามเจเนอเรชั่นค่อยๆ เผยรอยยิ้มร่าบนใบหน้า
"เจ้าปลายนี่มันร้ายกาจจริงๆ" พลตำรวจเอกไพโรจน์เอ่ยปากชมลูกชายคนรอง ซึ่งปฐพีก็พยักหน้าเห็นด้วยทั้งแอบยกนิ้วโป้งให้น้องชายในจังหวะหนึ่งที่ปฐวีหันมายักคิ้วส่งให้
"อย่างนี้พวกผมก็จะมีมะม๊ากันแล้วใช่ไหมครับคุณปู่" โตมรซึ่งเกาะขอบประตูอยู่ล่างสุดเงยหน้าขึ้นมาถามผู้เป็นปู่
พลตำรวจเอกไพโรจน์หลุบตามองหลานชายแล้ว วกขึ้นมาหรี่ตามองลูกชายคนโตด้วยความหมั่นไส้ที่สอนให้สองแฝดเรียกธีรดาว่า 'มะม๊า' ตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า "มะม๊าน่ะต้องถามพ่อเราโน้น ว่ามีความสามารถพอหรือเปล่า"
"โธ่ คุณป๋า เชื่อมือผมเถอะครับ โตกับเอกได้มะม๊าแน่ๆ ปะป๊ารับรอง" ท้ายประโยคนั้นก้มลงบอกกับลูกชายทั้งสองที่เงยหน้าขึ้นมาฟังคำตอบ และทันทีที่ได้รับคำยืนยัน สองแฝดลิงแสบก็ยกมือขึ้นทำไฮไฟฟ์จนเสียงดังไปทั่วทั้งบริเวณ
ปรางรวีขวับกลับมามองทางประตูหน้า ก็เห็นเงาไหวๆ ที่วูบหายไปกับกรอบประตู พอจะลุกเดินมาดู ปฐวีก็รีบคว้ามือไว้แล้วชวนคุยไปเรื่องอื่น
ขณะที่สี่หนุ่มสามเจเนอเรชั่นด้านนอกยืนเรียงหน้ากระดานแผ่นหลังแนบชิดกับผนัง พลตำรวจเอกไพโรจน์ยกมือขึ้นตะปบปากลูกชายคนโตแน่นไม่ให้ส่งเสียง ซึ่งปฐพีก็ทำเช่นเดียวกันกับเอกลิขิต และเอกลิขิตก็ทำเช่นเดียวกันกับโตมรผู้เป็นน้องชายฝาแฝด ทว่าสีหน้าและแววตาของคนทั้งหมดไม่ได้กำลังหวาดกลัวว่าจะถูกจับได้เลยแม้แต่นิด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งที่แผนการทุกอย่างกำลังเดินไปอย่างที่ต้องการ
โดยเฉพาะปฐพีที่ดูจะมีพึงพอใจมากกว่าใคร เพราะนอกจากปรางรวีจะเลิกกับธนาวินและมาเกี่ยวดองกับตระกูลศุภวณิชย์แล้ว เขาเองก็กำลังจะมีเหตุผลให้เกี่ยวข้องกับใครบางคนที่จากกันไปนานถึงสิบสามปีเช่นเดียวกัน
...รอผมก่อนนะยาหยี ผมสาบานว่าครั้งนี้จะไม่ปล่อยมือจากคุณอีกเด็ดขาด
คุณป๋าคะ พบคนคิดไม่ซื่อ 1 อัตราค่ะ (ฟ้อง ฟ้อง ฟ้อง)
ขอฝากนิยายเรื่องอื่นๆ ด้วยนะคะ บ้านสินิท-สิริน ร่วมโปร meb E-book Fair 2020 - สัปดาห์หนังสือที่บ้าน ลดทั้งร้านกว่า 30% นะยูว์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
