ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu storage }

    ลำดับตอนที่ #10 : Querencia | 02

    • อัปเดตล่าสุด 2 มิ.ย. 58


    { Querencia }

    Super Junior / Siwon x Kyuhyun / PG15 / 4901 WORDS

     

    NOTE SONG : HOLD ON / SONS OF THE EAST

    https://www.youtube.com/watch?v=3KAegTxyO1I


     Querencia (n.) a place from which one's strength

    is drawn, where one feels at home, the place
    where you are your most authentic self.

     

     

    แด่ วิลเลี่ยม วู และความทรงจำของเรา


    02

     

     

                ฟุตบอลจบตอนสองทุ่ม ซีวอนปั่นจักรยานพาไปแวะซื้ออาหารตามสั่งที่ตลาดหลังจากเขาเอาแต่บ่นกระปอดกระแปดว่าหิวจนไส้จะขาด สถาปนิกหนุ่มส่ายหัวด้วยความระอา บ่นพึมพัมว่าเขาหน่ะตัวปัญหาจอมเรื่องมากแต่สุดท้ายก็ยอมจอดจักรยานแล้วปล่อยให้เขาไปเข้าคิวสั่งอาหารอย่างที่ตัวเองต้องการได้

     

                เอ่ยขอบคุณอีกคนพร้อมยื่นกล่องข้าวผัดปลาแห้งให้อีกฝ่ายแทนคำขอบคุณ หมอนั่นยิ้มเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไร แล้วปั่นจักรยานหายไปในความมืดทั้งที่มีกล่องข้าวของเขาแขวนอยู่บนแฮนด์

     

                คยูฮยอนผลักประตูบ้านเข้ามา รีบจัดการกับข้าวผัดร้อนเพราะเกรงว่าหากปล่อยให้มันเย็นลงจะไม่ได้รสชาติอันแสนอร่อย เขานั่งขัดสมาธิที่กลางบ้าน เริ่มต้นมื้อเย็นค่อนข้างดึกของตัวเองไปพร้อมกับการกดโทรศัพท์มือถือหาใครอีกคน

     

                (ไงวะ... หายเงียบเลย)

     

                “ก็ไม่ไง...สบายดี"

     

                (แล้วดีไหม บรรยากาศหน่ะ... อ่าคิบอม ฝากตัวนี้ด้วย) ประโยคหลังได้ยินแว่วมา เดาว่าทงเฮคงจะพูดกับคู่หูหารค่าห้องที่กำลังจะเอาเสื้อผ้าลงไปซัก

     

                “ดี ทะเลไม่สวยเท่าไหร่นะ แต่ลมเย็น ชอบ โดยรวมโอเคเลย"

     

                (เออ ดีแล้ว)

     

                “แล้วมึงเป็นไงบ้าง คุยกับอึนฮยอกยัง?”

     

                (คุยแล้ว แม่งงอนเรื่องที่กูไปดูอเวนเจอร์กะคิบอมแล้วไม่ชวนมันอ่ะ มันบอกน้อยใจไม่อยากพูด เลอะเทอะมาก ไม่เข้าท่าเลย)

     

                “ก็น้องมันสนิทกับมึงมาตั้งแต่เด็กนี่หว่า" คยูฮยอนหัวเราะจางๆ นึกไปถึงใบหน้าตอบของลูกพี่ลูกน้องอีกคนที่ติดทงเฮแจแล้วก็อดนึกขันไม่ได้สักที เขาคิดว่าพอโตมาอาการติดพี่ชายของอึนฮยอกจะหายไป แต่เปล่าเลย มันยังคงเดิมและดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ เดทของทงเฮกับคิบอมจึงต้องมีอึนฮยอกห้อยไปด้วยทุกครั้ง โชคดีที่คนชิลอย่างคิบอมไม่ได้นึกจริงจังอะไร เลยอยู่กันได้นานกว่าคนอื่น

     

                (เออ ก็อยากจะเข้าใจอยู่หรอก) ทงเฮบอก เงียบไปสักพักก่อนก่อนจะตะล่อมถามถึงเรื่องของเขาบ้าง (แล้วมึงโอเคขึ้นไหมอ่ะ?)

     

                “โอเคไร...” คยูฮยอนบอกปัด ปากเคี้ยวข้าวตุ้ยๆอย่างไม่สนใจคำถามนัก

     

                (ก็เรื่องนั้นอ่ะ)

     

                “...”

     

                (คุณอาอาจจะหมายความอย่างที่บอกจริงๆก็ได้นะ)

     

                “เหรอวะ"

     

                (อือ... ไม่รู้สิ กูคิดว่า...เอ่อ...)

     

                “พูดมาเหอะหน่ะ"

     

                (เค้าไม่เหลือใครแล้วจริงๆอ่ะ... ถ้าไม่ใช่มึงก็คงไม่มีใครแล้ว)

     

                “...”

     

                (อีกอย่าง ร้านนั่นมันก็มาจากแม่แกด้วยนะ เขาคงอยากคืนให้มึงจริงๆนั่นแหละ)

     

                “กูก็ไม้่ได้อยากทำทิฐิสูงหรอกมึงรู้ไหม แต่กูคงทนเลี้ยงเมียใหม่เขาได้เนอะ สำหรับกูเขาก็เหมือนคนแปลกหน้านั่นแหละ" รสชาติข้าวผัดชืดลงไปทันทีเมื่อประเด็นนี้ถูกเปิดขึ้นมา มันก็เหมือนครั้งแรกที่พ่อเรียกเขาไปคุย พิซซ่าในร้านวันนั้นอร่อยมาก แต่เขากินไม่ลงเพราะคำพูดและข้อเสนอของพ่อที่ฟังดูเหมือนจะดีทว่ามันก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของใครบางคนเท่านั้น

     

                (อือ กูเข้าใจนะ)

     

                “คงต้องนอนฟังเสียงคลื่นแล้วก็คิดอีกสักพักหล่ะมั้ง"

     

                (หาเรื่องอยู่ยาวสิไม่ว่ามึงหน่ะ) น้ำเสียงประชดประชันจากปลายสายเริ่มทำให้รสชาติข้าวผัดกลับมาดีอีกครั้ง คยูฮยอนยังคงชวนทงเฮคุยเรื่อยเปื่อยไปอีกพักใหญ่ เขากับทงเฮเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมาก ทงเฮเป็นญาติฝั่งแม่ที่เติบโตมาด้วยกันตลอด เพิ่งจะแยกกันได้ก็ตอนเข้ามหาวิทยาลัยเพราะไปกันคนละสาขา แต่ก็ยังคงติดต่อกันอย่างสนิทชิดเชื้อ นัดเจอกันให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกเรื่องของคยูฮยอนทงเฮมักจะเข้าใจและรับรู้มันเป็นอย่างดี

     

                เรียกได้ว่าถ้าอยากรู้จักคยูฮยอนให้เวลาทงเฮนั่งเล่าสักวันก็สามารถเข้าใจชีวิตตั้งแต่เด็กยันโตของคยูฮยอนได้เลยทีเดียว

     

                (เออ ว่าแต่อยู่นั่นมีพ่งมีเพื่อนบ้านบ้างมะ?)

     

                “มีลุงจองซูอ่ะ ที่เลี้ยงแม่ตอนเด็กๆ แล้วก็มีสถาปนิกประหลาดๆคนนึง"

     

                (สถาปนิกเหรอ?)

     

                “อื้อ สถาปนิกชุมชน เขามาทำพิพิธภัณฑ์แล้วก็อยู่ยาว" พอพูดถึงอีกคนก็พาลนึกไปถึงเรื่องบนโขดหินเมื่อเช้าวานก่อน "แต่ลึกลับยังไงก็ไม่รู้ ตอนเจอกันครั้งแรกกูนึกว่าคนขายปลา เขาบอกถึงได้รู้ว่าไม่ใช่คนบนเกาะอ่ะ"

     

                (อ่า...)

     

                “แม่งรู้ด้วยว่ากูเป็นนักเดินทาง เขียนคอลัมน์ กูว่า....มันแปลกๆ"

     

                (เขาอาจจะเป็นแฟนคลับตัวยงของนายก็ได้นะ)

     

                “ก็อยากจะคิดให้เป็นแบบนั้นนะ แต่ดูเหมือนจะยาก เขาชอบทำตัวลึกลับยังไงไม่รู้อ่ะ"

     

                (ยังไงวะ?)

     

                “ก็พูดเหมือนรู้จักกูดี แต่พอถามกลับไม่ยอมบอกอะไร... แล้วพอเจอหน้ากันอีกครั้งก็เหมือนกลับมารู้จักเท่าเดิมแล้ว อะไรทำนองนี้อ่ะ"

     

                (เข้าใจยากจัง)

     

                “นั่นดิ"

     

                (เออๆ เห็นคิบอมบอกว่ามีคนติดต่อมาหานายเมื่อวันก่อนอ่ะ เอ... อาสาสมัครอะไรสักอย่างที่ตอนนั้นนายไปดำน้ำที่บราซิล)

     

                “บราซิลเหรอ...บราซิล...”

     

                (หลายปีแล้วนะ...)

     

                “กูเคยไปบราซิลที่ไหน... ช่างเถอะ เค้าว่าอะไรหล่ะ?”

     

                (สมงสมองเนอะ ไปหมด)

     

                “เขาว่าไงอ่ะ?”

     

                (เห็นบอกว่าจะมีจัดอีก ก็เลยโทรมาชวน กูเลยบอกให้เขาติด่อมึงทางอีเมลล์เอา ลองหาเน็ตเช็คดูแล้วกัน)

     

                คยูฮยอนพยักหน้ารับ เขายังคงคุยกับทงเฮจนผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ข้าวหมดไปนานแล้วแต่ก็ยังนั่งนิ่าง สายตัดไปแล้วแต่ก็ยังนั่งนิ่ง คำว่าบราซิลกับอาสาสมัครดำน้ำก้องอยู่ในหัว วนไปวนมาเหมือนลูกบอลที่กลิ้งปะทะกำแพงแล้วเด้งอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน

     

                เสียงทะเลลอยครืนเข้ามาในหู

     

                โจวคยูฮยอนในบราซิลหน่ะเหรอ ตลกสิ้นดีหล่ะ เขาเคยไปซะที่ไหนกันประเทศที่อยู่ไกลขนาดนั้น

     

    - - -

     

                “เคยฝันไหมครับ?” คยูฮยอนเอ่ยถามออกไปหลังจากระหว่างเขากับสถาปนิกผิวคล้ำมีแต่ความเงียบมานานแสนนาน ร่างผอมเอนลงนอนราบกับโขดหินขรุขระด้วยความเมื่อยล้าหลังจากหมดเวลาทั้งวันไปกับการช่วยลุงจองซูดูแลพืชผัดสวนครัวในบ้านมาทั้งวัน พอเห็นว่าอากาศดีลมเย็นเลยตัดสินใจเดินยาวมาจนถึงริมชายหาด นอนแผ่ได้พักใหญ่ถึงรู้สึกตัวว่ามีใครบางคนเดินมานั่งข้างกันแล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบเป็นสัญญาณปักหลัก

     

                “เห็นฉันเป็นปลาดาวรึไง...เคยสิ" ซีวอนพ่นควันบุหรี่ออกมาทั้งรอยยิ้ม เสใบหน้าคมกลับเข้ามาหาเจ้าของคำถามประหลาดที่นั่งห้อยขาอยู่บนโขดหินพลางแกว่งไปมาตามจังหวะเสียงคลื่อนที่กระพือกระพัดเข้ามากระทบฝั่ง

     

                “ผมไม่ชอบฝันร้ายเลย"

     

                “ก็ไม่มีใครชอบทั้งนั้นแหละ" ซีวอนละใบหน้ากลับไปที่ทะเลอีกครั้งเมื่อเห็นภาพเกลียวคลื่นสะท้อนอยู่ในลูกตากลมโต "แต่การมีฝันร้ายก็ดีกว่าเจอเรื่องพวกนั้นในชีวิตจริง"

     

                คยูฮยอนพยักหน้า "นั่นสิครับ"

     

                “...”

     

                “ผมก็เลยได้แต่ภาวนาให้วันที่พ่อทิ้งแม่ไปเป็นแค่ฝันร้าย... แต่มันดันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาซะได้... อันที่จริงมีอีกตั้งหลายเรื่องที่ผมอยากให้มันเป็นฝันร้ายแต่มันก็ดันเกิดขึ้นจริงซะอย่างนั้น"

     

                “นายเลือกไม่ได้หรอก"

     

                “ผมยอมฝันร้ายทุกคืนดีกว่าเจอเรื่องพวกนี้" ลมทะเลรุนแรงโกรกกระพือเข้ามากลบเสียงอ้อนวอนอันแผวเบาของนักเดินทางที่ยังคงแผ่เอนตัวเองอยู่บนโขดหิน สัมผัสอุ่นบนกลุ่มผมทำให้ร่างบางเผลอปิดเปลือกตาลงมาแล้วคลี่ยิ้มจาง ปะทะกับแสงแดดส้มแสดที่คล้อยต่ำลงมาเหมือนกาลเวลาที่ผ่านไป

     

                “อยากเล่าอะไรหรือเปล่าหล่ะ?”

     

                “ผมเล่าได้ใช่ไหม?”

     

                ซีวอนยีกลุ่มผมนุ่มมือก่อนจะเอนตัวลงนอนราบให้แผ่นหลังทาบสนิทกับโขดหิน "จะลองเปลี่ยนจากสถาปนิกเป็นศิลาณีดูสักวันนะ"

     

    - - -

     

                คยูฮยอนรู้ว่าแม่จากไปแล้ว แค่ไม่รู้ว่าไปไกลมากและนานด้วย

     

                ในงานศพญาติทุกคนเอาแต่พูดว่าแม่ไม่ควรต้องไป ดูเหมือนว่าเขาเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันขณะที่คุณป้าอุ้มเขาเอาไว้ในอกแล้วพาเดินเข้าไปยืนที่ข้างหลุมศพของแม่ เด็กน้อยรู้สึกอึดอัดคล้ายจะร้องไห้ออกมาแต่เพราะนึกได้ว่าแม่เคยบอกว่าห้ามร้องไห้ เขาจึงได้แต่กัดริมฝีปากแล้วสะกดก้อรสะอื้นพวกนั้นไว้ในลำคอ แสดงออกราวกับไม่มีอะไรผิดปกติ

     

                ทุกคนบอกว่ามันคืออุบัติเหตุแต่ก็ยังมิวายมองหน้าเขาขณะพูดไปด้งบ แม่เป็นที่รักของญาตอพี่น้องในบ้านทุกคน แต่พ่อไม่... การแต่งงานกับพ่อเป็นเรื่องที่เหล่าพี่ป้าน้าอาของเขาบอกว่าเป็นจุดผิดพลาดที่สุดในชีวิตของแม่จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะฝังใจว่าเขาที่มีเลือกของพ่อไหลวนอยู่ในตัวเองครึ่งหนึ่งเป็นข้อผิดพลาดอีกข้อหนึ่งด้วยเช่นกัน

     

                ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเช้าวันอังคารของช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน แม่พาเขาออกมาเดินซื้อของในย่านการค้าแห่งหนึ่ง คยูฮยอนชอบเสมอเวลาได้ออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอก ที่ไม่ใช่บ้านสวนกับร้านกาแฟของแม่  พวกเราเดินดูนั่นนี่อย่างมีความสุข กระทั่งเหลือบไปเห็นพ่อที่หัวมุมถนนอีกฝั่ง พ่อกับคุณน้าผู้หญิงแสนสวยคนหนึ่ง

     

                คยูฮยอนดีใจ เขาไม่ได้เจอพ่อมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว เด็กน้อยตะโกนเรียก ป๊ะป๋า จากตรงที่ยืนอยู่แล้ววิ่งพรวดออกไป เสียงเล็กตะโกนดังขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าพ่อของตนยังไม่หันหลังกลับมา ขาสั้นป้อมทั้งสองข้างซอยถี่สลับอย่างรวดเร็วเพื่อจะวิ่งเข้าไปกอดพุงกลมของพ่อแล้วอ้อนให้เขาอุ้มขึ้นมาอีกครั้ง

     

                ทว่าแม่ก็คว้าเขาเอาไว้ก่อนที่เราจะกระเด็นสูงขึ้นไปบนฟ้าแล้วร่วงลงมานอนนิ่ง

     

                เขาจำได้เลือนราง แต่ที่รู้คือมันเจ็บอย่างสาหัสสำหรับเด็กอายุ 8 ขวบที่เพิ่งเคยมีบาดแผลถลอกปอกเปิกไปทั้งตัว คยูฮยอนเห็นเลือดเยอะมากขนาดนั้นเป็นครั้งแรกไหลออกมาจากร่างของแม่ หัวกลมมองซ้ายมองขวา มีผู้คนมากมายมุงเข้ามารุมล้อมพวกเขา คยูฮยอนเห็นพ่อที่กำลังเดินหลบออกไป เขาอยากจะลุกขึ้นยืน บอกให้พ่อมาช่วยแม่ แต่ยืนไม่ไหว

     

                “ป๊ะป๋า!คยูฮยอนเจ็บ...ฮืออออออ" เด็กตัวน้อยตะโกนสุดเสียง น้ำตาไหลพรากลงมาทาบบนบาดแผลที่ข้างแก้มของเขา เด็กน้อยตะโกนร้องไห้ออกมาเสียงดัง ครู่หนึ่งเขาเห็นพ่อหันหน้ากลับมามอง ภาวนาให้พ่อวิ่งมาหาเพราะตอนนี้เขาไม่มีเสียงมากพอจะตะโกนเรียกออกไปขนาดนั้นอีกแล้ว

     

                แต่เปล่า... พ่อเดินจากไป...

     

                มันเป็นฝันร้ายที่คยูฮยอนภาวนาให้มันเป็นแค่ฝัน ทว่ามันเป็นความจริง

     

     

     

     

                ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้อย่างดิบดีว่าจะไม่ร้องไห้ให้กับเรื่องพวกนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ทว่าตอนนี้เขากลับต้องปล่อยให้ฝ่ามือสากกร้านของซีวอนเช็ดปาดคราบน้ำเหล่านั้นออกไปจากใต้ตาของเขา

     

                “ผมขี้แงมากนะที่จริง"

     

                “กับเรื่องแบบนี้ ต่อให้เป็นเดอะร็อคก็คงร้องไห้"

     

                “ฮะๆ คุณนี่มัน...” มือบางฟาดลงไปที่หลังฝ่ามือหนาของอีกคนก่อนจะคลี่รอยยิ้้มกับเสียงหัวเราะแกนๆออกมา คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องห้าที่เริ่มหม่นมืดลงไปกว่าเดิม เวลาตอนนี้เขาควรจะกลับบ้าน ควรจะนอนเล่นอยู่ที่ชานระเบียง ทว่าแม้แต่ความอยากจะลุกออกจากโขดหินก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ

     

                “นี่หน่ะเหรอที่ทำให้นายมาที่นี่"

     

                “พ่อติดต่อมาหาผมเมื่อสองสามเดือนก่อน เขาบอกว่าจะยกร้านกาแฟของแม่ให้... พ่อผมป่วยหนัก... เขาบอกว่าอยากให้ผมทำมันต่อ แล้วก็อยากจะฝากภรรยาใหม่ของเขาไว้กับผม"

     

                “...”

     

                “ผมไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นนะ สาบานเลย... แต่ผู้หญิงคนนั้นหน่ะ...ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม...เธอทำให้ผมเสียแม่ไป สำหรับคนอื่นเธออาจจะไม่ได้เป็นอะไร แต่สำหรับผม เธอเอาทุกอย่างไปหมด...”

     

                ซีวอนเลื่อนมือลงไปกุมมือของคนที่นอนอยู่ข้างกายเอาไว้ก่อนจะบีบมันเบาๆ "ฉันเข้าใจนะความรู้สึกนั้น"

     

                “ผมพยายามคิดว่าจะต้องตัดสินใจยังไงดีเลยลองกลับมาที่นี่ เพราะแม่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก บางทีแม่อาจจะช่วยบอกได้ว่าผมควรเลือกอะไร" คยูฮยอนหัวเราะเสียงแผ่ว "มันดูโง่นะครับ... แต่มันก็เป็นที่เดียวที่ทำให้รู้สึกเหมือนมีแม่อยู่ด้วยตลอดเวลา"

     

                “บางทีนายอาจจะต้องให้อภัย... กับบางอย่าง"

     

                “...ยังไงครับ?”

     

                “ก็เหมือนโยนมันทิ้งไป แบบนี้" ซีวอนคว้าเอาก้อนหินอันเล็กเขวี้ยงออกไปที่ทเลข้างหน้า เสียงคลื่นทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าหินห้อนนั้นร่วงลงไปอยู่ตรงไหน แต่ที่รู้คือมันไม่ได้อยู่กับเราอีกแล้ว "ถ้านายมาที่นี่เพื่อตัดสินใจ ผมก็มาที่นี่เพื่อให้อภัย"

     

                “...”

     

                “แล้วก็เพิ่งรู้ตัวว่าทำสำเร็จด้วย"

     

                “นานไหมครับ?”

     

                “ไม่นานหรอก... วันที่นายมาถึงที่นี่ วันนั้นนั่นแหละ ที่รู้ว่ามันสำเร็จ" ร่างสูงชันเข่าของตัวเองขึ้นตั้งแล้วทอดสายตามองออกไปยังผืนทะเลสีดำครึ้มเบื้องหน้า

     

                “นานอยู่นะครับ"

     

                “ก็คงเหมือนที่มันยังติดอยู่กับนายตั้งแต่แปดขวบยันยี่สิบปลายๆแบบนี้หล่ะมั้ง" คยูฮยอนหัวเราะออกมาแล้วลุกขึ้นนั่งตาม "กลับมั้ย?”

     

                คยูฮยอนส่ายหน้า "เล่าเรื่องของคุณก่อนสิครับ"

     

                “หืม?” สันคิ้วเลิกขึ้น มองใบหน้าหวานที่จ้องมาทางเขาแทนคำถามว่าแน่ใจหรือไง

     

                “ผมก็อยากฟังเรื่องของคุณนะ ไม่สิ... ผมอยากลองเป็นศิลาณีดูบ้าง"

     

                “เอางั้นเหรอ... แน่ใจนะ?”

     

                “ทำไมหล่ะครับ?" คยูฮยอนยิ้มกว้าง นึกขันกับท่าทางไม่ไว้ใจของซีวอนที่แสดงออกมาให้เห็นผ่านแววตาทั้งสองข้างอย่างชัดเจน

     

                “เพราะนาย... คือคนที่ทำให้ฉันต้องมาที่นี่"

     

    - - -

     

                ซีวอนไม่เคยนึกชอบกิจกรรมใต้น้ำเลยสักนิดแต่มันช่วยไม่ได้ที่แฟนสาวของเขาดันเป็นอดีตนักว่ายน้ำและครูฝึกสอนดำน้ำที่หลงรักโลกใต้ทะเลเป็นชีวิตจิตใจ เธอมักใช้เวลาว่างไปกับการดำดิ่งลงไปใต้พื้นผิวน้ำ มองดูสิ่งมีชีวิตสีสันแปลกตาที่เวียนว่ายใต้เกิดอยู่ในนั้น ซีวอนไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่ากิจกรรมดำน้ำดูฝูงปลาหรือปะการังพวกนั้นสนุกตรงไหนแต่เขาก็ไม่ได้คิดว่ามันน่าเบื่อจึงมักจะตามเธอไปทุกที่เมื่อมีโอกาส

     

                เธอมักพูดเสมอว่าโลกใต้ทะเลเป็นโลกอีกใบหนึ่ง สวยงาม และ ลึกลับ นั่นทำให้มันน่าค้นหาที่สุด ใต้ผิวน้ำลงไปเราไม่มีทางรู้ว่าอะไรซ่อนอยู่ในนั้นและเธอไม่สามารถเก็บงำความสงสัยใคร่รู้นั้นได้จริงๆ เธอจำเป็นต้องค้นหามัน

     

                เมลินดา คิม มักบอกเสมอว่าเธอได้ไหล่กว้างข้างหนึ่งมาจากพ่อซึ่งเป็นชาวบราซิลและอีกข้างได้มาจากการฝึกว่ายน้ำอย่างหนักตั้งแต่อายุหกขวบ เธอเป็นอดีตสิบเหรียญทองกีฬาว่ายน้ำที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ซีวอนหลงรักทุกอย่างที่ประกอบสร้างขึ้นมาเป็นเธอ ไม่ว่าจะเป็นผิวสีแทนเข้มจากการผ่านแดดหลายทวีป น้ำเสียงใหญ่กังวาลที่สามารถพูดได้ถึงห้าภาษาอย่างคล่องแคล่ว เรียวขายาวที่มีกล้ามแทรกแซมในบางจุดสมกับการเป็นนักกีฬา ดวงตากลมสองชั้นซึ่งมักหยีลงเป็นเส้นขีดเมื่อเธอหัวเราะ

     

                ซีวอนพบเธอขณะฝึกงานที่บริษัทรับออกแบบอาคารซึ่งพ่อของเธอทำงานเป็นที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจให้ ไม่มีใครรู้ว่ามันเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไรจากการเดินผ่านกันในแผนกบุคคล อาจเป็นเพราะเธอเป็นนักกีฬาที่ซีวอนปลาบปลื้มมาโดยตลอดก็เป็นได้ อาทิตย์ถัดมาพวกเขาจึงเข้าไปดื่มกาแฟกันคนละแก้วและตกลงแลกเบอร์โทรศัพท์กัน อายุที่มากกว่าทำให้ชายหนุ่มรู้สึกประหม่า เก้อเขินทุกครั้งเมื่อต้องสบตา ทว่าหญิงสาวกลับมองว่ากิริยาเหล่านั้นช่างน่ารัก

     

                เธอเองก็ตกหลุมรักทุกอย่างที่เป็นชเวซีวอนเช่นกัน

     

                พวกเขาคบหากันเรื่อยมา กระทั่งซีวอนเรียบจบและทำงานเป็นหลักแหล่ง เมลินดาเองก็ลาจากวงการแข่งขันว่ายน้ำเมื่อเธอเริ่มรู้สึกสนุกกับการดำน้ำ เธอเริ่มมันครั้งแรกที่เกาะเต่า ประเทศไทย ความงามของมวลหมู่ปะการังและสิ่งมีชีวิตน้อยๆเหล่านั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เธอศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังและตัดสินใจเดินทางไปยังหมู่เกาะ ทะเล ทั่วโลกเพื่อจดบันทึกเรื่องราวใต้ผิวน้ำ

     

                ซีวอนรู้ว่ามันอันตรายแต่เขาก็ตระหนักได้ว่าเธอรักโลกใต้น้ำมากเหลือเกิน เขาจึงไม่คิดห้าม ยิ่งเมื่อเธอยืนยันว่าอยากแม้แต่จัดแต่งงานของเราใต้น้ำ... เชื่อเลยว่าเขาห้ามอะไรเธอไม่ได้จริงๆ

     

                ทว่าเรากลับไม่มีโอกาสนั้น

     

                หมอตรวจพบว่าเธอเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองหลังจากมีอาการแพ้เป็นผื่นขึ้นที่หน้าเมื่อโดนแสงแดดและดูเหมือนว่าอาการของเมลินดาจะทรุดหนักเรื่อยมากเพราะเธอยังดึงดันจะออกไปดำน้ำ ทุกคนลงความเห็นว่าเธอควรเลิกมัน เขาเองก็เช่นกัน แต่ก็เชื่อเถอะ ลูกสาวคนเดียวที่แสนรั้นอย่างเมลินดาไม่มีทางฟังคำพูดเหล่านั้น จนวันหนึ่งเธอเกิดอาการทรุดหนักต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ซีวอนรีบบึ่งไปที่นั่นหลังจากรับรางวัลสถาปนิกดีเด่นที่ปูซาน เขาเฝ้าเธอจนอาการเริ่มดีขึ้นและคิดว่าควรต้องคุยกับเธอเรื่องการดำน้ำ

     

                “ผมรู้ว่ามันยากแต่คุณควรจะเลิก...ดำน้ำ...เมลินดา ผมรู้ว่ามันยาก ผมรู้ แต่ผมก็เสียคุณไปไม่ได้...” เขายกมือของเธอขึ้นแนบข้างแก้ม มองเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ปรืออ่อนเพราะฤทธิ์ยา "เมลินดา... ผมขอ"

     

                “บราซิลนะ... หลังจากบราซิล เค้าจะเลิก เค้าอยากเห็นทะเลที่บ้านเกิด"

     

                คำขอของเธอทำให้ซีวอนใจอ่อน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจใช้เวลาพักร้อนที่มีอยู่เดินทางไปบราซิลกับเธอ เพื่อจะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด ทว่าบราซิลก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้เห็นโลกใต้ทะเลจริงๆ

     

                มันเป็นอุบัติเหตุที่เขาไม่อาจลืมได้ คลื่นลมรุนแรงกับเรือที่ล่มลงไปต่อหน้าต่อตา เมลินดาล็อคคอของเขามาส่งที่เรือช่วยเหลือจากฝั่ง พวกเราหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า พลันสายตาอันเฉียบขาดของนักว่ายน้ำสาวเหลือบไปเห็นอีกชีวิตหนึ่งกำลังดำผุดดำว่าย เธอไม่รีรอกระโดดลงไปในน้ำแล้วปรี่ตรงไปยังร่างนั้นโดยมีเสียงของซีวอนร้องตะโกนห้ามเพราะเขาเห็นว่าผื่นแดงขึ้นไปทั่วปรางแก้มของเธอ

     

                ท้ายที่สุด... สองร่างที่ว่าถูกหอบหิ้วขึ้นมาจากน้ำโดยเจ้าหน้าที่ร่างใหญ่ชาวบราซิล ผู้ชายผิวขาวคนนั้นชื่อโจว คยูฮยอน เป็นนักเดินทางที่มาเขียนคอลัมน์ บังเอิญกระแทกเข้ากับท้องเรือจึงหมดสติ เขารอดชีวิต ในขณะที่เมลินดา ไม่มีโอกาสได้ลืมตาขึ้นมาอีก.. เธอกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา และสามเดือนถัดมา เราตัดสินใจเอาเครื่องช่วยหายใจออก

     

                ส่วนโจวคยูฮยอนทำความทรงจำหายไปทั้งหมด สามเดือน เหตุการณ์เรือล่มที่บราซิลในครั้งนั้นกลายเป็นเรื่องเล่าที่เก็บอยู่ในส่วนลึก

     

                ซีวอนได้รับคำขอบคุณและคำขอโทษจากครอบครัวของโจวคยูฮยอนมาโดยตลอด รวมทั้งคำอธิบายถึงความจำเป็นที่ไม่มีใครอยากให้คยูฮยอนรื้อฟื้นความทรงจำพวกนั้นขึ้นมา ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาคิดว่ามันเป็นปมซึ่งในชีวิตของคยูฮยอนมีมันมากอยู่แล้ว คุณพ่อของคยูฮยอนของโทษที่ลูกชายไม่สามารถกล่าวคำขอบคุณและขอโทษได้ก่อนจะก้มลงคำนับเพื่อแสดงความเสียใจ เขายอมรับว่าไม่สามารถทำใจได้และหลายต่อหลายครั้งที่ไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตัวเองจนต้องไประบายใส่กำแพง เขาคิดว่าถ้าเมลินดาไม่กระโดดลงไปช่วยคยูฮยอน เธอจะรอด เธอต้องรอด

     

                เพื่อให้ตัวเองสงบ เขาจึงเดินทางมาที่นี่ในฐานะสถาปนิกชุมชน ทั้งที่งานนี้มีค่าตอบแทนต่ำและลำบาก ไม้มีใครสนับสนุนแต่ซีวอนก็ไม่ฟังคำทัดทานใด หลังพิธีอำลาคนรักจบลงเขาก็แพ็คกระเป๋าเตรียมตัวสำหรับการเดินทางโดยไม่คิดจะซื้อตั๋วเที่ยวกลับ

     

                เขามาที่เกาะแห่งนี้ด้วยความหวังที่ว่าจะลืมทุกอย่างเหมือนที่โจวคยูฮยอนลืมมัน

     

     

     

                แววตาที่ซีวอนมองมาทางเขาค่อนข้างว่างเปล่า คยูฮยอนภาวนาให้เป็นเพราะฟ้ามืดแล้วจึงไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรในสายตาคู่นั้น ทว่าคลื่นความรู้สึกบางอย่างก็ว่างเปล่าไม่แพ้กัน เขาได้แต่เม้มปากนิ่ง... ย้อนนึกไปถึงเรื่องบราซิลที่ทงเฮบอกผ่านทางโทรศัพท์ ดูเหมือนจะมีมากกว่าสองความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาและหนึ่งในนั้นคือความหวาดกลัว

     

                คยูฮยอนไม่ได้กลัวจะโดนซีวอนทำร้าย เขาคิดว่าต่อให้โดนต่อยจนตายก็คุ้ม

     

                แต่ที่กลัว... เขากลัวโดนชเวซีวอนเกลียดมากกว่า

     

                “ที่บอกว่าสำเร็จ... มันคงไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว หลงเหลือแต่เพียงแสงนีออนที่ทอประกายมาจากเบื้องหลัง เสียวหน้าคมคายมองไม่ชัดเบือนหันมามองทางเขาที่กำลังพยายามกวาดเอาความกล้าขึ้นมา "ฉันเองก็ยังคงโกรธนายอยู่บ้าง"

     

                “คุณเกลียดผม... หรือเปล่า...”

     

                “...แน่นอน" หลังจากซีวอนยืนยันมันด้วยน้ำเสียงผะแผ่ว ฝ่ามือบางก็จับข้อมือของอีกคนขึ้นมาแล้วใช้มันทุบลงไปบนแผ่นอกของตัวเอง ฟาดมันลงมาบนใบหน้าที่ไม่รู้ว่าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาตั้งแต่เมื่อไหร่

     

                ซีวอนไม่ขืนมือออก... เขาปล่อยให้อีกคนบังคับข้อมือของตนเองอย่างที่ต้องการ

     

                “ฮึก... ตีผมเลย..ผมอยากให้คุณตีผม...ฮึก..”

     

                “...”

     

                “ผมรู้ว่า..ฮึก..ว่าคุณเจ็บ...ฮือ...ตีผม...ฮึก...ตี...ผม"

     

                “...”

     

                เสียงสะอื้นฮักของคยูฮยอนทำให้เขาตัดสินใจขืนแรงของตัวเองเอาไว้ในที่สุดก่อนจะเอนตัวไปโอบรั้งร่างนั้นเข้ามาไว้ในอ้อมกอด กลับกลายเป็นฝ่ามือกร้านที่ต้องเข้าไปจับข้อมือของอีกคนเอาไว้เพื่อไม่ให้ทำร้ายตัวเอง ซีวอนก้มลงจูบเบาๆที่ขมับชื้นเหงื่อพร้อมกับใช้มืออีกข้างลูบไปบนแผ่นหลังของอีกฝ่าย ปลอบโยนให้นักเดินทางหนุ่มเย็นลงจากสิ่งที่หนักอึ้ง

     

                “ผมให้อภัยคุณแล้ว...” เสียงทุ้มกระซิบบอกหนักแน่น ซีวอนไม่ได้โกหกเพราะเขาปล่อยวางเรื่องนี้ได้แล้วจริงๆ

     

                หลังจากมาอยู่ที่เกาะแห่งนี้เขาเริ่มเข้าใจได้ว่าทำไมเมลินดาตัดสินใจใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของตัวเองคว้าร่างของคยูฮยอนไว้ไม่ให้จมหายไปกับคลื่นทั้งที่รู้ว่าเธออาจจะต้องตาย... เธอคงต้องการให้มันเป็นแบบนั้น การได้มาเป็นสถาปนิกชุมชนทำให้ซีวอนเข้าใจถึง ความรัก ที่มีต่ออะไรสักอย่าง รักที่ไม่ใช่แบบต้องการคนมาอยู่เคียงข้างกันเพียงอย่างเดียวแต่เป็น รัก ที่สร้างความสุข รักที่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้คนมากมาย สิ่งเหล่านั้นมันคือความสุขที่แท้จริงซึ่งรั้งเขาเอาไว้ไม่ให้ไปจากที่นี่

     

                โปรเจ็คต์พิพิธภัณฑ์จบลงตั้งแต่ห้าเดือนแรกแล้วแต่ซีวอนตัดสินใจอยู่ต่อ เขาผูกพันกับเด็กๆที่นี่ คุณลุงจองซูผู้มีเรื่องเล่ามากมายมาสอนได้เสมอ บรรยากาศเป็นกันเองของชาวบ้านที่แสนจริงใจ ซีวอนรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขาได้รับมามันไม่ใช่แค่หมึกสองสามกิโลหรือเงินค่าตอบแทนเท่านั้น แต่มันเป็นหัวใจของชาวบ้านที่มอบให้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อเราจริงใจแก่กัน เมื่อเขารักในอาชีพสถาปนิกของตนเองและใช้มันสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนด้วยการสร้างพิพิธภัณฑ์ มันคงเหมือนที่เมลินดารักโลกใต้น้ำและพร้อมจะอุทิศชีวิตของตัวเองเพื่อสำรวจมันแล้วบันทึกอย่างไม่เคยเบื่อหน่าย เธอชอบการเดินทาง ชอบการท่องเที่ยว และเธอคงคิดแล้วว่าการเสี่ยงชีวิตเพื่อนักเดินทางคนนั้นคงดีกว่ามองตัวเองที่เป็นโรคทรุดลงไปเรื่อยๆ

     

                เมลินดาคงไม่เสียใจถ้าได้รู้ว่าคนที่เธอช่วยเอาไว้รอดชีวิต


       

    - - -

                                       

                “มีอะไรที่กูยังไม่รู้อีกหรือเปล่าทงเฮ...

     

                (อะไรหล่ะ...?)

     

                “...ก็...อะไรที่ไม่รู้... จะรู้ได้ยังไงหล่ะว่ามันคืออะไร" ขาเรียวก่ายเข้ากับผนังบ้าน ดวงตากลอกมองเพดานเหนือศรีษะซึ่งเปรอะไปด้วยคราบไคลขัดไม่ออก คยูฮยอนเงี่ยหูฟังเสียงลมพัดใหญ่ที่ดังลอดเข้ามาเป็นระยะ เป็นสัญญาณเตือนของพายุที่กำลังคืบคลานเข้ามา

     

                (พูดอะไรของมึง)

     

                “ก็เห็นพูดเรื่องที่บราซิล"

     

                (...จำไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?)

     

                “สถาปนิกคนนั้น... ชื่อซีวอน"

     

                (...) ความเงียบของทงเฮยิ่งทำให้คยูฮยอนมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่าสิ่งที่ได้รับฟังมาเมื่อตอนเย็นคงจะเป็นเรื่องจริง ดูเหมือนมันจะยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเมลินดาคือผู้ต่อลมหายใจของเขาให้ยังคงอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้

     

                “เขาเล่ามาหมดแล้ว...

     

                (...)

     

                “พ่อขอให้เก็บเป็นความลับใช่ไหม...

     

                (อื้อ) เสียงตอบรับแสนแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน (แต่กูก็คิดว่าวันนึงมึงคงจำได้แหละ... บางทีกูก็คิดว่าคุณอาควรจะบอกแต่มันก็จริงที่มึงมีเรื่องต้องคิดมากเกินไปแล้ว...)

     

                “...เหรอวะ"

     

                (มึงอาจจะเสียใจกูรู้)

     

                “มันไม่ใช่เพราะเรื่องอื่นเหรอ...คยูฮยอนไม่รอให้ทงเฮได้ลากประบทสนทนาออกไปไหนอีก เพราะเขาตัดสินใจว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าหวาดกลัวมันก็ต้องเป็นจริงอยู่แล้ว "เรื่องที่... เกี่ยวกับแม่...

     

                เสียงพรูลมหายใจเป็นเพียงสัญญาณเดียวที่บอกว่าคลื่นโทรศัพท์ยังไม่ถูกตัด ไม่ใช่แค่ทงเฮที่เงียบนิ่งไปแต่คยูฮยอนเองก็ได้แต่เม้มปากแน่นขณะดันตัวเองขึ้นนั่งแล้วเอาศีรษะอิงับระเบียงของบ้านเพื่อลอบมองเจ้าของเสียงรถกระบะหน้ารั้วของลุงจองซู

     

                ซีวอนมาพร้อมอาหารเย็นเหมือนอย่างเคย บนใบหน้านั้นปราศจากแววหมองเศร้า มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มประดับ หลังจากได้รับรู้เรื่องราวของสถาปนิกหนุ่มเขาก็เริ่มตระหนักได้ถึงการปล่อยวางที่ผู้ชายกล้ามใหญ่คนนั้นบอก ซีวอนดีขึ้นจากอาการซึมเศร้าก็เพราะสามารถวางสิ่งที่แบกบั่นเอาไว้บนหลังลงมาได้ มันจึงอาจจะดีถ้าเขาเองปล่อยเรื่องราวบนหลังให้ได้แบบนั้นบ้าง

     

                แม้ว่าขั้นตอนจะยุ่งยาก แม้ว่าอาจจะทำให้เสียสมดุลย์เมื่อเริ่มต้น...

     

                (คนที่มึงเรียกว่าแม่เลี้ยงต่างหาก... ที่เป็นแม่จริงๆ...แม่จริงๆของมึง)

     

                คยูฮยอนรู้สึกอื้ออึง... เขาลอยห่างจุดสมดุลย์มากขึ้น มากขึ้นทุกที...

     - - -

    เรื่องนี้ ไม่ได้มีแค่เรื่องของความรักเท่านั้น
    ที่ต้องบอกก็เพราะตอนหน้าเป็นตอนจบ
    มันออกจะติสม์ไปนิด... ถ้าคิดว่าอ่านต่อไม่ไหวเราอยากให้พักแค่ตอนนี้นะ
    แล้วรอเรื่องใหม่ที่น่าจะแหววกว่านี้ 555555555555555

    ขออภัยกับการแบ่งเปอร์เซ็นต์ตอนที่แสนจะเท่าเทียม (กดเสียงต่ำ)
    เรามีปัญหากับมันจริงๆ 5555555555


     

     

     

    Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×