ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu storage }

    ลำดับตอนที่ #11 : Querencia | 03 (end)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 234
      1
      26 ธ.ค. 58

    { Querencia }

    Super Junior / Siwon x Kyuhyun / PG15 

     

    NOTE SONG : GHOST / ELLA HENDERSON

    https://www.youtube.com/watch?v=t_k-vs5BxYk





    Querencia (n.) a place from which one's strength

    is drawn, where one feels at home, the place
    where you are your most authentic self.

     

     

    แด่ วิลเลี่ยม วู และความทรงจำของเรา


    03

     

    คยูฮยอนเหลือบมองโบว์ชัวร์โครงการดำน้ำที่หมิ่นเหม่จะหล่นร่วงจากโต๊ะพับเป็นรอบที่ร้อยด้วยความรู้สึกลังเลแบบเดิมๆ ทั้งที่คิดว่าจะลองมาทำอะไรที่มันเปิดหูเปิดตาเพื่อสะสางความเครียดขรึงจากเรื่องในครอบครัวแต่เขากลับรู้สึกว่าตอนนี้กลับเครียดกว่าเดิมขึ้นไปอีกหลายเท่า... เขาไม่เคยดำน้ำแบบจริงจังมาก่อนในชีวิต อย่างมากก็แค่ลองไปเรียนเป็นคอร์สตอนเมื่อไปเยือนอินโดนีเซีย แต่มันก็ไม่ได้โหดมากขนาดดำดูปะการังน้ำลึกอะไรจำพวกนั้น

     

    ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาชีวิตของเขาวุ่นวายจนแทบหาความสุขไม่เจอ ตั้งแต่เรื่องต้นฉบับ งานสัมนาด่วนที่เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ลามไปจนถึงเรื่องภายในครอบครัวกับความจริงสุดสะเทือนใจจนทำเอาเขาต้องลุกออกมาจากโต๊ะอาหารเย็นเมื่อพ่อพูดถึงเรื่องของแม่ที่นำไปสู่ความจริงบางอย่างว่าเขาถูกหลอกมาตลอดชีวิต

     

    ความจริงคือพ่อและแม่ของเขาแต่งงานกันด้วยข้อกำหนดบางอย่างซึ่งเขาไม่ได้ถามต่อว่ามันคืออะไร เรื่องแย่ก็คือทั้งคู่ไม่เคยมีความรักต่อกันเลยมันจึงเป็นชีวิตคู่ที่เละเทะพอตัว เรื่องวุ่นวายยิ่งขึ้นเมื่อคนรักจริงของพ่อตั้งท้องอย่างไม่ตั้งใจประจวบเหมาะกับที่ทางบ้านของทั้งพ่อและแม่กดดันเรื่องการมีทายาทสืบตระกูล พ่อจึงตกลงกับแม่ว่าจะให้ลูกของคนรักตัวจริงมาเป็นลูกของทั้งสองและแม่ก็ยอมเพราะเธอมองไม่เห็นทางอื่นอีกแล้ว ดังนั้นแม่จึงถูกย้ายออกไปนอกเมืองให้พ้นสายตาญาติเป็นเวลาเกือบแปดเดือน ทุกอย่างปิดเป็นความลับโดยพ่ออ้างว่าแม่ไม่แข็งแรงและควรใช้ชีวิตในต่างจังหวัดมากกว่าในเมืองหลวง ทุกคนไม่คัดค้านหรือสงสัยอะไรแม้แต่ตอนที่พ่อยืนยันไม่ให้ใครไปพบแม่ก็ตาม

     

    ก่อนที่เธอจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับผมในอีกหนึ่งปีถัดมา

     

    หลังจากนั้นพ่อก็เริ่มละเลยแม่มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าญาติฝ่ายแม่ไม่พอใจกับเหตุการณ์นั้นซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้ทำให้พ่อรู้สึกสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นคือพ่ออาจจะต้องการให้เป็นเช่นนั้นเพื่อตีตัวออกห่างจากแม่

     

    ทุกอย่างถูกเก็บเป็นความลับมาตลอดกระทั่งเมื่อห้าเดือนที่แล้วคยูฮยอนต้องเดินทางไปที่แคนาดาและสถานทูตได้ขอสูจิบัตรเพื่อยืนยันตัวตน สิ่งที่ทำให้เจ้าตัวตกใจคือชื่อของเธอคนนั้นที่ปรากฎอยู่ในช่องมารดา ทว่าด้วยความเร่งของงานทำให้เขาเลือกที่จะเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อนแล้วติดต่อพ่อหลังจากส่งงานเรื่องแวนคูเวอร์ไปแล้ว คำตอบที่ได้มาก็คือความจริงทั้งหมดที่ทำให้เขาสะอิดสะเอียนตัวเองจนแทบจะอ้วกออกมา

     

    อาการของเขาไม่ดีขึ้นจนเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งถามเขาว่าดำน้ำเป็นหรือเปล่า และมันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาเลือกนั่งเครื่องบินทางไกลไปที่บราซิลเพื่อเข้าร่วมโครงการดังกล่าว คยูฮยอนคิดว่ามันคงจะช่วยทำให้ทุเลาความเครียดทั้งหมดได้ เหมือนกับที่เพื่อนสมัยมัธยมของเขาเคยหนีไปเที่ยวเวียดนามตอนเลิกกับแฟนโดยอ้างว่าการเดินทางจะช่วยผ่อนคลายเวลามีเรื่องทุกข์ใจเพราะเราจะลืมเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาเพื่อจดจ่อกับสภาพตรงหน้าซึ่งแปลกใหม่และยากเกินกว่าจะเข้าใจ คยูฮยอนไม่มีความรู้ภาษาบราซิล หรือ โปรตุเกส เขาจึงคิดว่าที่นี่เหมาะสมมากที่สุด

     

    การดำน้ำเป็นไปอย่างสนุกสนาน เขาได้รู้จักเมลินดา เธอเป็นอดีตนักว่ายน้ำ พวกเราคุยกันหลายเรื่อง แทบจะทุกเรื่องเลยก็ว่าได้เพราะเธอมีอัธยาศัยดี แม้ว่าภาษาเกาหลีจะทำให้นึกถึงเรื่องของพ่อและแม่แต่เมลินดาก็สามารถลบมันออกไปอย่างง่ายดายนามเธอชี้ชวนให้เขาดูสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล

     

    เหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นในการดำน้ำก่อนวันสุดท้าย พวกเขาล่องเรือออกนอกชายฝั่งไประยะหนึ่งเพื่อสำรวจจุดที่สวยงาม ทว่าเกิดคลื่นลมแรงขณะเราดำดิ่งลงไป ครั้นเมื่อโผตขึ้นมาฝนก็ตกปรอย กว่าจะรวมพลได้ครบ พายุฝนก็โหมกระหน่ำลงมา คยูฮยอนกลัวจนตัวสั่นแต่เมลินดาและแฟนหนุ่มของเธอก็พยายามปลอบประโลมเขา ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่นาทีคลื่นลูกใหญ่ก็พัดสาดเข้ามาที่ตัวเรือของพวกเขา เรากลิ้งโคโล่กันไปคนละทิศคนละทางก่อนที่ท้องเรือจะยกหงายขึ้น ความเย็นชื้นจากปลายเท้าจนถึงยอดศีรษะบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาร่วงลงมาจากเรือเสียแล้ว

     

    คยูฮยอนหวาดกลัวไม่ได้สติ เขาพยายามตะเกียกตะกายเพื่อเกาะอะไรสักอย่างทว่าคลื่นลมก็ซัดให้ตัวของเขาปลิวห่างออกไป เสียงทุ้มกังวาลของเมลินดาตะโกนเรียกชื่อเขาฝ่าสายฝนก่อนที่เธอจะเข้ามาโอบอุ้มเขาเอาไว้ แขนทั้งสองข้างเผลอรัดเธอเอาไว้แน่น แรงของเขากำลังจะหมดเหมือนกับสติที่ทำให้มองเห็นท้องฟ้าสีเทาเป็นสีแดงสีเขียว

     

    หลังจากนั้น น้ำก็ท่วมมิดหัว...

     

    เขาเห็นหน้าแม่ชัดเจนแต่แย่เหลือเกินที่ไม่สามารถคว้าเธอเอาไว้ได้


    - - - 


    คยูฮยอนไม่ได้คุยอะไรกับสถาปนิกหนุ่มตั้งแต่บทสนทนาวันนั้นจบลง เขาหมกัวอยู่ในบ้านหลังเล็ก ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นลำพังผ่านสายตาจ้องมองไปยังเพดานสีหม่น บางครั้งก็ยอมรับสายทงเฮและบางครั้งก็แสร้งทำเป็นไม่มีเวลาว่าง ใจหนึ่งเขาอยากให้ญาติคนสนิทลองเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแต่อีกใจหนึ่งเขาก็กลัวว่ามันจะมีอะไรสักอย่างที่เปลี่ยนไปอีกซึ่งตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงไม่เคยเป็นเรื่องดีเลยสักนิด


    กระทั่งเช้าวันนี้ นักเดินทางผู้กำลังลี้ภัยจากอดีตได้ยินเสียงเขย่าประตูรั้ว ครั้นชะโงกออกไปมองก็พบว่าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นลุงจองซูกับไม้เท้าค้ำยันและรอยยิ้มประดับแต่งอยู่บนหน้า


    “รบกวนสักอย่างสองอย่างได้ไหม?” ซุ่มเสียงแหบแห้งเอ่ยถาม แน่นอนว่าคยูฮยอนไม่มีทางปฏิเสธ 


    “ได้สิครับคุณลุง"


    “มาช่วยกันย้ายต้นไม้หน่อยสิ" ทั้งวันนี้จึงกลายเป็นกิจกรรมเรียกเหงื่อบริหารร่างกายที่ทำเอาปวดเนื้อปวดตัวไปกันทั้งเด็กหนุ่มและชายแก่ ต้นไม่จากสวนบางส่วนย้ายมาอยู่ที่หน้าบ้าน บางส่วนถูกย้ายจากกระถางลงไปในดินที่น่าจะทำหน้าที่แบกรับรากยาวบของมันได้ดีกว่า แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันเแป็นครั้งแรกที่เขากับลุงจองซูได้คุยกันถึงหลากหลายเรื่องราวซึ่งมันทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีเชียวว่า ทำไมทุกคนถึงรักคุณลุงคนนี้น่าดู


    ลุงจองซูเป็นผู้ชายหลายสมัย จะว่าให้ถูกคือมีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งที่ผกผันหมุนเวียนไปกับโลกใบนี้ มุมมองพวกนั้นทำให้เขาขบคิดตาม แม้บางเรื่องจะเข้าข่ายคนหัวโบราณแต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่มันช่างเป็นเหตุเป็นผลกันเหลือเกิน เมื่อลองคิดตามคำพูดเหล่านั้น โลกอีกด้านที่ไม่เคยเห็นก็แผ่ปรากฎขึ้นมาเบื้องหน้า แต่เรื่องที่ทำให้หูผึ่งมากที่สุด ก็คงเป็นเรื่องของสถาปนิกที่หายหน้าหายตาไปเช่นกัน


    “หมอนั่นตอนมาใหม่ๆก็ไม่เป็นผู้ไม่เป็นคน" คุณลุงตอบเมื่อเขาถามว่าตอนที่ซีวอนมาที่นี่ช่วงแรกเป็นอย่างไรบ้าง "พูดจาโผงผางไม่รู้เรื่อง ถือขวดเหล้าหอบไปนั่นมานี่อย่างกับอุ้มลูก แต่ทุกคนก็เข้าใจ... คนที่สูญเสียคนที่รักมากไปมันยากจะครองสติเอาไว้ ฉันเห็นแล้วยังนึกถึงสมัยหนุ่มๆที่แอบชอบเสมียนโรงเกลือแต่เขาไม่เล่นด้วย รู้ตัวอีกทีเขาแต่งงานข้าก็หวิดจะโดดลงทะเลหลายครั้ง"


    “ไม่อยากเชื่อ... คนใจเย็นแบบคุณลุง...” 


    "ไม่หรอก... รู้ไหมว่าคนเราพออายุเปลี่ยนความคิดก็เปลี่ยน ที่จริงแค่สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปสักอย่างสองอย่างเราก็เปลี่ยนแล้ว ซีวอนเองก็เหมือนกัน โชคดีที่มันไม่ใช่คนยึดติดมากมายถึงได้รู้เรื่องเร็วหน่อย"


    “ยังไงเหรอครับ?” ร่างผอมถามขณะทิ้งตัวลงบนแคร่ทั้งเหงื่อโชกชุ่มไปทั่วกาย


    “เห็นอนามัยไหมล่ะ มีไม่กี่เหตุผลที่ชาวบ้านจะไปที่นั่น ส่วนมากเพราะโดนงูกัด... ตอนนั้นซีวอนมันทำงานอยู่ที่โรงเรียน เห็นว่าไปหาอาจารย์หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ข้าก็จำไม่ค่อยได้ว่ามันเป็นยังไงนะ แต่เย็นนั้นมีเด็กคนนึงโดนงูกัดเข้าให้ โชคร้ายที่กว่าคนจะไปเห็นก็เกือบไม่ทัน พิษมันแผ่ไปทั่วทั้งขา เจ้าซีวอนไปถึงอนามัยได้ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว... มันก็นั่งเฝ้าจนเด็กฟื้น คอยเทียวไปเทียวมาหาข้าวหาปลาไปให้กิน ตอนนั้นนั่นแหละที่มันเริ่มดูเหมือนคนปกติธรรมดาขึ้นมาสักหน่อย ก่อนรู้ข่าวร้ายว่าเด็กคนนั้นต้องตัดขาทิ้งเพราะแผลมันเริ่มเน่า มันก็เสียใจน้ำตาไหลเป็นทาง ตั้งสติอยู่วันสองวันก็หายไปจากเกาะ ไม่มีใครเห็นมันราวอาทิตย์ได้แล้วมันก็กลับมาพร้อมกับขาเทียม...” 


    “ให้เด็กคนนั้น...”


    “อืม... ก็เหมือนแฟนมันที่เคยพยายามช่วยคน มันคงได้รู้แล้วว่าตอนเห็นเด็กคนนั้นกลับมาเดินได้มันมีความสุขมากแค่ไหน" จองซูเอื้อมมาตบบ่าของเด็กหนุ่มที่นั่งอ้าปากค้างอยู่ข้างกัน "ตอนที่แฟนมันได้ช่วยชีวิตคนๆนึงเอาไว้ เธอก็คงจะรู้สึกดี" 


    - - -


     เขายืนมองแผ่นหลังกว้างอยู่นานกว่าจะกล้าเดินเข้าไปยืนขนาบข้างอยู่ตรงนั้นแล้วเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่าย ความรู้สึกเบาหวิวเหมือนลอยไปตามลงปะทะทั้งร่างตอนที่อีกฝ่ายหันมาแล้วคลี่ยิ้มกว้าง


    “ไง"


    คำพูดที่ตระเตรียมมาระหว่างทางก็คงจะหล่นหายไประหว่างทางเช่นกัน คยูฮยอนนึกอะไรไม่ออกในหัว มันมีแต่เสียงคลื่นลมโบกไหวไปมา สุดท้ายร่างบางได้แต่ส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วมองออกไปที่ผืนน้ำสีมืดตามสายตาของอีกคน 


    “โกหกก็โกหกให้มันเนียนสิ" ซีวอนว่าติดตลก เอื้อมมือมาโอบไหล่แคบเอาไว้ "นั่นคือฝั่ง นายเห็นใช่ไหม?” ปลายนิ้วชี้ชวนให้ดูฝั่งที่มีแสงไฟระยิบระยับเหมือนหิวห้อยในป่า เจ้าของไหล่พยักหน้าตาม เพ่งสายตามองตามด้วยความสงสัย 


     “อาฮะ" 


    “นายมาจากที่นั่น ฉันเองก็เหมือนกัน" ซีวอนพูดเสียงเบาจนคล้ายกับกระซิบ "บางทีฉันก็สงสัยว่าตัวเองทำไมถึงยังไม่กลับไปทั้งที่ทุกอย่างก็เสร็จแล้ว...ทั้งที่ตอนแรกก็ไม่ได้กะจะมาเพื่ออยู่นานแบบนี้ แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราเปลี่ยนไปตลอดเวลา" 


    คยูฮยอนไม่เข้าใจนัยที่อยู่ในนั้น แต่เขาเชื่อว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องที่บราซิลและเรื่องทั้งหมดระหว่างเราที่มันเป็นความสัมพันธ์แบบขรุขระ กระอักกระอ่วนชวนอ้วกอย่างแน่นอน 


    "ฉันเคยเกลียดนาย ถ้าเราเจอกันเมื่อปีสองปีที่แล้วฉันอาจจะขับรถชนนายตั้งแต่วันแรกด้วยซ้ำ ลึกๆในใจฉันอยากผลักนายให้หายไปกับทะเลเหมือนกับที่เมลินดาหายไปในนั้น... แต่มันคงตลกน่าดู เธอช่วยนายขึ้นมาจากทะเลแล้วคนที่สัญญาจะทำเพื่อเธอทุกอย่างกลับเลือกผลักนายกลับไปในนั้น" ซีวอนหันมามองหน้าเขา บนใบหน้าคมคร้ามมีรอยยิ้มจางอ่อนประดับอยู่ มันไม่ได้ดูปั้นแต่งหรือปลอมแปล 


    “คุณคงรักเธอมาก" 


    “ฉันคงแต่งงานกับคนที่ไม่รักหรอก ตลกสิ" คิ้วเข้มของสถาปนิกหนุ่มเลิกสูงขึ้น ถลึงตาโตใส่เขายกใหญ่ "ฉันรักเธอแต่มันเปลี่ยนไปทุกวัน ช่วงแรกก็เป็นความรักแบบที่หนังสือหรือเพลงนิยามไว้ แต่หลังจากนั้นก็เหมือนผูกพัน เหมือนคนที่คอยประคับประคองกันไปเรื่อย บอกแล้วไง ว่ามนุษย์มันก็เปลี่ยนไปทุกวันนั่นแหละ" 


    “ผมไม่เห็นเข้าใจ" 


    “ไม่ลองรักใครสักคนดูล่ะ?” 


    “ห๊ะ?” เป็นคยูฮยอนที่ถลึงตาโตเหลือกบ้าง เขามองเจ้าของแขนที่พาดอยู่บนไหล่ด้วยสายตาประหลาด "คนเราจะไปรักกันง่ายขนาดนั้นได้ยังไง?” 


    “ก็รักใครก็ได้... บางทีอาจจะเริ่มจากพ่อนายนะ" 


    “...” คราวนี้คยูฮยอนเงียบสนิทโดยไม่คิดโต้เถียงยืนนิ่งให้อีกฝ่ายโอบไหล่เอาไว้ทั้งที่ไม่ได้คิดว่าเราสนิทกันถึงขั้นนี้แต่ก็ไม่มีเหตุผลจะต้องปฏิเสธอะไรในเมื่อมันไม่ได้เป็นเรื่องราวหนักหนาใหญ่โตเท่ากับสิ่งที่เราผ่านมาด้วยซ้ำ


    “ถึงตอนนั้นนายจะเข้าใจว่าทำไมฉันถึงมายืนอยู่ข้างนายตอนนี้"  


    “...” 


    “ถ้ามีเมียก็จะรู้ว่าเรารักเธอเท่าๆกับที่รักแม่นั่นแหละ" 


     - - -


    หนึ่งปีถัดมา


    ซีวอนไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมานั่งดูแผนที่บ้านเกิดของตัวเอง แต่ตอนนี้เขาก็คือคนที่กำลังกางแผ่นกระดาษในมือกลับซ้ายทีขวาทีประกอบคู่ไปกับแอพพลิเคชั่นนำทางในโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ ชายหนุ่มรู้ว่าตัวเองเข้าใกล้เป้าหมายมาก เพียงแต่เขาไม่แน่ใจเลยว่าต้องเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาเพราะมันคล้ายว่าจะเป็นทางตันทั้งคู่


    “คุณครับ... คุณครับ?!” เสียงเรียกจากด้านหลังเหมือนจะเป็นแสงสว่างให้กับผู้หลงทาง เขาดันแว่นกันแดดลงมาที่ปลายจมูกแล้วเดินย้อนไปยังยานพาหนะคันเล็กซึ่งใบหน้าของใครบางคนโผล่พ้นออกมานอกกระจก


    "ไปไหนครับ ผมช่วยดูไหม?” ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้อย่างเป็นมิตร 


    “ผมกำลังหาร้านนี้น่ะครับ... ไม่ได้มานานแล้วจำทิศจำทางไม่ค่อยได้" 


    “อ้อ... ขึ้นมาก่อนครับ" เจ้าของรถว่าแล้วเอื้อมมือมาปลดล็อคประตู "ผมจะไปตรงนั้นพอดี" 


    “โอ้ โชคดีจัง... รบกวนด้วยนะครับ" ขายาวก้าวขึ้นมานั่งบนเบาะยังไม่ทันจัดการกับเข็มขัดนิรภัยได้เรียบร้อยยานพาหนะก็จอดสนิทลง คนหลังพวงมาลัยหันมายิ้มปนหัวเราะที่เห็นสีหน้าเหรอหราของเขา 


    “ถึงแล้วล่ะครับ” ซีวอนหัวเราะแห้งกลับไปแล้วปล่อยสายเข็มขัดออกจากมือ รอให้เจ้าของรถก้าวลงไปก่อนจะเดินตามออกมาทีหลัง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่อร้านที่ปรากฎอยู่ในข้อความ รูปร่างคล้ายคลึงทำให้เขารู้สึกโล่งใจที่ไม่ได้ทำอะไรพลาดไปอีกหลังจากที่เช้าก็พลาดลงผิดสถานีมาแล้ว เสียงกระดิ่งกรุ้งกริ้งดังขึ้นตอนรับเขาก่อนจะตามด้วยคำเอ่ยทักทายของพนักงาน พื้นที่กว้างขวางกับการตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าดูหรูหราและร่มรื่นย์ทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจเพราะมันแตกต่างจากประตูทางเข้ารกรุงรังเหลือเกิน กระนั้นมันก็ไม่สำคัญเพราะเขาคงไม่ได้มาชื่นชมบรรยากาศอะไรทำนองนั้น 


    “ผมมาหา เอ่อ... คยูฮยอน” พอไปหยุดยืนที่หน้าเคาท์เตอร์ ชายหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อผู้ชายสูงวัยที่กำลังง่วนอยู่กับการขีดฆ่ารายการอาหารในบิลเงยขึ้นมองเขา ใบหน้าขรึมคมใสต้กรอบแว่นสี่เหลี่ยมดูเรียบนิ่งเหมือนวันที่ได้เจอกันในโรงพยาบาล วันที่ผู้ชายคนนั้นเข้ามาขอร้องไม่ให้เล่าเรื่องอะไรก็ตามให้ลูกชายของตนเองฟัง ชายมีอายุทำท่าคล้ายจะกล่าวอะไรสักอย่างออกมา แต่ก็กลืนมันลงไปในลำคอ 


    “ไปบอกคยูฮยอนหน่อยว่ามีแขก” เสียงพร่าหันไปกระซิบกับลูกน้องคนหนึ่งแล้วสายตาคู่นั้นจึงจรดมองกลับมาอีกครั้ง 


    “เอ่อ...”


    “อ้อ จุนมยอน... บอกคยูฮยอนด้วยว่าสำคัญ” ชายคนนั้นส่งยิ้มให้กับเขาที่ยืนเกาปลายจมูกด้วยไม่รู้ว่าตัวเองควรวางท่าทีอย่างไร 


    “กินอะไรดีล่ะ?” 


    “…มีอะไรแนะนำมั้ยล่ะครับ?” 


    “ก็...” 


    “สำคัญมากแค่ไหนกันเชียวห๊ะ! นี่ ขอร้องล่ะ อย่างให้มันละลายก่อนนะ” ไม่ทันจะเลือกได้เสียงหวานที่ดังมาจากทางประตูหลังร้านก็ดึงเอาความสนใจทางหมดของเขาไป โจวคยูฮยอนสวมผ้ากันเปื้อนลายทางเรียบร้อย ลำตัวสูงโปร่งดูมีเนื้อขึ้นมา ไม่ผอมแห้งเหมือนตอนเจอกันบนเกาะอีกแล้ว แต่ที่ทำให้ซีวอนยิ้มออกมาได้ก็เห็นจะเป็นท่าทางทะมัดทะแมงไม่เคยเปลี่ยนตอนเจ้าตัวคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดมือนั่นแหละ “ซีวอน!” 


    “เอ้าๆ มารับเองแล้วกันออร์เดอร์เนี่ย” ชายแก่ว่าแล้วหันมามองหน้าเขา 


    “ขอบคุณอีกทีสำหรับเรื่องบนเกาะนะ” เสียงพร่าแหบกล่าวกับเขาก่อนจะหายเข้าไปในความวุ่นวายข้างหลัง ตรงเครื่องแคชเชียร์โดนแทนทีด้วยคนตัวขาวคุ้นตาผู้ที่ทำให้เขายอมสละเกาะออกมาเปิดหูเปิดตาในเมืองอีกครั้ง 


    “รับอะไรดีครับ” 


    “อืม... เอาเป็น” 


    “อเมริกาโน่นกับแซนด์วิชทูน่าสลัดแล้วกันเนอะ” เสียงนั้นกล่าวขัดขึ้นมาทั้งๆที่เขายังกวาดสายตาไปบนเมนูอยู่ 


    “แล้วเดี๋ยวผมแถมคุกกี้ช็อคโกแลตชิพให้เป็นค่าเรือเข้าฝั่งอีกโหลนึง” ยิ้มกว้างออกมาขณะจิ้มนิ้วลงไปบนหน้าจอระบบสัมผัส ซีวอนได้แต่หัวเราะ เขาเอื้อมมือไปบีบปลายจมูกของอีกคนก่อนจะชี้ไปยังโซฟาริมกระจกที่ว่างอยู่ 


    รบกวนขอมานั่งคุยด้วยคนนึงแล้วกัน” 


    “….” “อันที่จริงของเป็นพนักงานที่ชื่อโจวคยูฮยอนจะดีมากครับ” ซีวอนเว้นช่วงจังหวะ จ้องเข้าไปในดวงตาคู่เรียวที่ดูมีประกายสดชื่นกว่าเคย 


    “บังเอิญผมคิดถึงเขาเป็นพิเศษน่ะ” 


    “ไม่มีปัญหาครับ” พนักงานชื่อโจวคยูฮยอนตอบรับทั้งรอยยิ้มก่อนจะกดส่งออร์เดอร์ไป 


     x The End x


    Merry X'Mas and Happy New Year

    ขอให้ทุกคนมีความสุขนะคะ ปีหน้าจะเป็นปีที่ดีขึ้นแน่นอน <3

     





    Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×