ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu storage }

    ลำดับตอนที่ #9 : Querencia | 01

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 366
      1
      19 เม.ย. 58

    { Querencia }
    Super Junior / Siwon x Kyuhyun / G / 5931 WORDS

     

    NOTE SONG : BETWEEN US / PETER BRADLEY ADAMS
    https://www.youtube.com/watch?v=m_dvakUl9wA
     


    Querencia (n.) a place from which one's strength

    is drawn, where one feels at home, the place

    where you are your most authentic self.

     

     

    แด่ วิลเลี่ยม วู และความทรงจำของเรา

     

     

    01

     

     

                แรงกระแทกของหัวเรือกับห่วงยางที่ขอบโป๊ะปลุกผมให้ฟื้นขึ้นจากนิทราอันแสนยาวนาน แสงอาทิตย์แยงส่องผ่านผนังเปลือกตาเข้ามาเป็นอย่างแรก ตามด้วยเสียงฝีเท้าของเหล่าผู้โดยสารคนอื่นที่เริ่มทยอยขยับตัวขึ้นสัมภาระ บ้างออกเดินมาตามลูกหลานที่ออกไปวิ่งเล่นตามซอกมุมต่างๆอย่างซุกซนตามประสาเด็กกำลังโตอยากรู้อยากเห็น ผมขยับตัวขึ้นบ้าง คว้าสัมภาระเพียงอย่างเดียวของการเดินทางครั้งนี้ขึ้นสะพายบนหลังด้วยท่าทางทะมัดทะแมงสมกับอาชีพนักเดินทางของตน แรงกระแทกเกิดขึ้นอีกครั้งก่อนเสียงเครื่องยนต์จะดับสนิท ผู้คนเริ่มทยอยเดินขึ้นไปบนท่า เผชิญกับแสงแดดจ้าร้อนในช่วงบ่ายของวัน

     

                ผมก้าวออกมาเกือบสุดท้ายเพราะมัวแต่หลีกทางให้กับหลายครอบครัว เมื่อเดินเข้ามาถึงโป๊ะใหญ่ก็พบว่ามันเริ่มจะเงียบเหงาเสียแล้ว ขาทั้งสองข้างรีบก้าวเข้าไปหาร่มหลบแดดบริเวณท่ารถที่มีเพียงกระบะรับจ้างจอดรออยู่สองสามคันและคาดว่ามันคงได้ถูกจับจองโดยผู้อื่นไปเรียบร้อยแล้ว เป้ใบโตปลดลงจากไหล่อย่างคล่องแคล่ว มือล้วงหาสมุดบันทึกเล่มเล็กที่มักพกติดตัวเสมอไว้จดรายละเอียดของสถานที่

     

    บ้านเลขที่ 18 ซอยโรงพิมพ์

    หลังคาสีเขียว เจ้าของสวนชื่อ ปาร์ค จองซู

     

                เผลอขมวดคิ้วด้วยความงุนงงกับการระบุที่อยู่แปลกประหลาดอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน นิ้วเรียวพลิกไปยังหน้าถัดไปเผื่อว่าจะมีข้อมูลอื่นตกหล่น ทว่ามันก็เป็นหน้าโล่งเปล่าเท่านั้น เมื่อลองพลิกกลับไปทางด้านหน้าก็พบว่ามันเป็นชื่อร้านอาหารของทริปก่อน... ไม่มีการขยายความให้กับบ้านเลขที่สิบแปดซอยโรงพิมพ์อย่างที่เขาต้องการเลยสักนิด

     

                “บ้าหรือเปล่าวะ?” ชายหนุ่มรีบล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาแต่ก็ต้องยัดมันกลับลงไปเมื่อพบว่าไม่มีสัญญาณสักเส้น เขาเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ความเป็นนักเดินทางทำให้พอจะควบคุมสติกับสถานการณ์ไม่รู้ที่จะไปของตัวเองได้ระดับหนึ่ง หากแต่ก็ไม่ได้สามารถสงบนิ่งไปเหมือนอย่างคนปกติ

     

                เขาตัดสินใจแบกเป้ขึ้นหลังอีกครั้งแล้วเดินตรงไปยังรถกระบะที่จอดนิ่งอยู่ใต้ร่มหลังคาสังกะสี กลิ่นคาวปลาบอกได้อย่างชัดเจนว่าพาหนะคันนี้มีหน้าที่ขนส่งสิ่งใด ดวงตาเหลือบมองหาเจ้าของรถที่ไม่ได้นั่งประจำอยู่ตรงที่คนขับแต่ก็ไม่เห็นจะพบ เขาเงยหน้าขึ้นมาชะเง้อคอมองข้ามไปยังอีกฝั่งของถนนสายเล็กที่ซึ่งเคยมีกระบะอีกคันจอดอยู่ แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่าและแสงแดดจ้าที่สะท้อนจนมองเห็นเป็นเงาน้ำบนพื้นยางมะตอยเท่านั้น ขาเรียวเดินวนอ้อมไปยังอีกฝั่งของรถ เผื่อว่าเจ้าของของมันจะหลบแดดอยู่ตรงนั้น

     

                “อะไรหน่ะ...สำเนียงแปลกถิ่นตะโกนลั่นจากด้านข้างจนเขาสะดุ้งตัวโยน ต้องรีบหันไปมอง ชายหนุ่มฉกรรจ์ผิวแทนเข้มคนหนึ่งกำลังคีบบุหรี่ออกมาจากริมฝีปากของตน กลุ่มควันที่เริ่มจางลงทำให้เขามองเห็นเสี้ยวหน้าคมคายแบบชาวทะเลใต้ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ดวงตาคมกริบราวกริชจ้องมองมาทางเขาที่อยู่ในท่าทางมีพิรุธอย่างเอาเรื่องก่อนจะลากขาเดินเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น

     

                “เอ่อ...ผม...

     

                “ทำอะไรของคุณ" เสียงทุ้มเอ่ยถามอีกครั้ง น้ำเสียงนั้นแข็งขึงจนน่ากลัวยิ่งเมื่อผนวกกับรอยสักรูปเทวทูตตรงอกเปลือยข้างซ้ายแล้ว ก็ยิ่งทำให้เจ้าของเรือนกายกำยำนั้นน่ากลัวมากยิ่งขึ้น

     

                “คือผม...เอ่อ...มือทั้งสองรีบเปิดสมุดหาหน้าที่อยู่เมื่อสักครู่ "ผมอยากรู้ว่านี่คือที่ไหนหน่ะครับ" เขายื่นสมุดจดขนาดพอดีมือให้ผู้ชายแปลกหน้า ฝ่ามือกร้านสีแทนเข้มนั้นรับมันมาถือไว้โดยไม่ยอมปล่อยมวนบุหรี่ออกจากมือ ดวงตาคมหยีลงเพื่อมองตัวอักษรสีจางบนแผ่นกระดาษ

     

                “ซอยโรงพิมพ์...

     

                “ครับ...คือบ้านพักของผมจะอยู่ตระ--

     

                “อ้อ! ตาแก่จองซู" เสียงทุ้มโพล่งตัดคำอธิบายของเขาขึ้นมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา บุหรี่ในมือที่ยังเหลืออยู่อีกเกือบครึ่งมวนถูกโยนลงกันพื้น รองเท้าผ้าใบพื้นสึกบางขยี้มันจนดับมอดก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะเดินเข้ามาหยิบเอาเสื้อกล้ามสีดำที่พาดอยู่กับกระจกมองข้างของรถขึ้นมาสวมใส่ "ไปนั่งฝั่งนู้นไป... กระเป๋าเอาขึ้นกระบะนั่น"

     

                เขาชี้นิ้วไปท้ายรถที่มีผ้าใบปูเอาไว้ ผมมองเอี้ยวคอแทบหักตามหลังของเขาที่เข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยประจำที่คนขับก่อนจะพอเข้าใจได้ตอนเสียงเครื่องยนต์กุกกักดังขึ้นว่า ชายแปลกหน้ากำลังจะพาไปส่งสินะ

     

              'คนที่นั่นใจดีจะตาย ไปถึงแล้วลองโบกรถดูก็ได้นะ'

     

              นึกถึงคำพูดของอีทงเฮแล้วก็สูดลมหายใจลึก มองเหลือบผ่านกระจกรถเห็นผู้ชายคนนั้นกำลังก้มลงไปขยับเบาะให้พอดีกับตัว เอาวะ... เป็นไงเป็นกัน...

     

                กระเป๋าสัมภาระเหวี่ยงขึ้นไปบนท้ายกระบะก่อนที่ขาเรียวจะรีบก้าวอ้อมไปอีกฝั่ง เปิดประตูรถที่ผุจนไม่รู้ว่าจะมีเอาไว้ทำไมออกแล้วหย่อนตัวลงนั่งด้านข้าง เขาหันไปมองผู้ชายผิวเข้มเอื้อมแขนมาจับเบาะอีกฝั่งขณะเอี้ยวตัวมองกระจกหลังเพื่อถอยออกจากที่จอดรถ ตอนนั้นเองที่สังเกตได้ว่านอกจากเทพเจ้าบนอกข้างซ้ายแล้ว ด้านในของต้นแขนด้านขวายังมีตัวอักษรสลักเป็นคำว่า "ชเวซีวอน" เอาไว้อีกด้วย

     

                นักเดินทางหนุ่มหลุบสายตากลับเมื่ออีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนรถในทางตรง กลิ่นบุหรี่จากชายผิวแทนเริ่มจางหายไปเพราะลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างรถ เพราะรอยสักเมื่อสักครู่มันทำให้เขาเผลอยกมือขึ้นมาลูบตรงต้นแขนในตำแหน่งเดียวกัน บางทีโลกนี้ก็มีความบังเอิญมากเกินไปถ้าหากชเวซีวอนเป็นชื่อของผู้ชายคนนั้นเพราะเขาเองก็สักชื่อ "โจวคยูฮยอน" เอาไว้ในต้นแขนขวาเช่นเดียวกัน

     

                แต่ก็คิดเรื่องนั้นได้ไม่นานเท่าไหร่ เพราะหลังจากหักรถออกสู่ถนนใหญ่ ห่างจากท่าเรือมาได้สักระยะ ทิวทัศน์เบื้องหน้าก็ทำให้เขาต้องหันเอี้ยวไปเกาะขอบหน้าต่าง ถนนทั้งสายตัดขึ้นลงไปตามเนินเขาที่ทอดตัวยาวเลียบไปกับชายฝั่ง กลิ่นคาวน้ำเค็มกับเสียงคลื่นและลมร้อนที่พัดโบกมาทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้มากกว่าครั้งไหน

     

                มีคนเคยบอกว่าคนเราเที่ยว ไม่เพราะกำลังตามหาอะไรสักอย่าง ก็คงหนีอะไรสักอย่างมา โจวคยูฮยอนคิดว่าทริปก่อนหน้าเขาหามามากพอแล้ว จนถึงเวลาที่ต้องหนีไปสักแห่ง

     

                และเกาะแห่งนี้ก็คงจะเป็นสถานที่หลบหนีที่ดีที่สุดแล้ว

     

    - - -

     

                บ้านหลังคาสีเขียวตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างของผืนดินว่างเปล่าที่ไม่มีแม้แต่หญ้าแยงผ่านขึ้นมาสักต้น เจ้าของกระบะคันเก่าดับเครื่องยนต์ลงก่อนจะผลักประตูรถออก เขายืนท้าวเอวแหงนหน้ามองขึ้นไปบนยอดหลังคาที่มีเถาวัลย์เลื้อยต่อมาจากต้นไม้สูงใหญ่เพียงต้นเดียวที่แผ่ร่มเงาคลุมลานหน้าบ้านเอาไว้

     

                ผมค่อยๆผลักประตูรถตามออกมา รีบคว้าเอากระเป๋าเป้ของตัวเองลงมาวางไว้ที่พื้น สอดส่ายสายตามองหาป้ายบอกบ้านเลขที่ซึ่งก็พบว่ามันถูกสนิมกัดกินจนมองแทบไม่เป็นเลขสิบแปดเสียแล้วแต่ก็ยังมีร่องรอยทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าแบบพอเดาออกบ้าง คยูฮยอนย่อตัวลงควานหากุญแจพวงใหญ่ในกระเป๋า เขาหยิบมันขึ้นมาพลิกหาลูกกุญแจที่มียี่ห้อเดียวกับแม่ตัวใหญ่ที่ล่ามรั้งโซ่เส้นใหญ่เอาไว้ เขาลองเสียบแล้วบิดไขอยู่นานสองนานกว่าจะสามารถต่อสู้กับแรงหนืดและสนิมภายในนั้นได้

     

                ประตูบ้านเลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ ดวงตากลมเหลือบมองชายหนุ่มที่ยังคงแหงนหน้าจ้องไปเบื้องบน ละล้าละหลังว่าควรจะตอบแทนอีกฝ่ายอย่างไรดี จะชวนเข้าไปดื่มน้ำในบ้านก็คงจะไม่ได้เพราะเขาเองก็เพิ่งมาถึงที่เหมือนกัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเจออะไรข้างในบ้านบ้าง

     

                “เอ้า! ไอ้ซีวอน... โถ่ๆ ข้าก็นึกว่าใคร" ระหว่างที่กำลังขบคิดอยู่ก็มีเสียงพร่าของบุคคลที่สามปรากฏขึ้นเบื้องหลัง คยูฮยอนหันหน้าตามไปแล้วพบกับชายหนุ่มวัยกลางคนเดินไพล่หลังออกมาจากประตูไม้ด้านข้าง เข้ามาทักทายผู้ชายผิวเข้มคนนั้นด้วยรอยยิ้ม

     

                “แล้วนึกว่าใครเล่าลุงจองซู" ริมฝีปากหยักสวยยกยิ้มขึ้นมาหน่อยๆก่อนจะรีบเข้าไปพยุงชายคนนั้นมายืนอยู่ใต้ร่มไม้ที่แผ่ออกมาจากด้านในตัวบ้าน

     

                “แล้วนั่นใครหล่ะฮึ?”

     

                “อ้อ...เออ...จริงสิ นี่ก็ลืมถามไปเลย... ชื่ออะไรเหรอคุณหน่ะ?” เจ้าของผิวสีแทนเงยหน้าขึ้นมองผมที่ตอนนี้ได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบ้านอย่างงุนงง จริงสิ... พอขึ้นรถมาก็ไม่ได้แนะนำตัวเลย ความจริงคือไม่ได้พูดอะไรกันสักคำด้วยซ้ำ

     

                “ผมโจวคยูฮยอนครับ...เป็น...เอ่อ...หลานห่างๆของเจ้าของบ้านนี้หน่ะครับ"

     

                “อ้อ... หลานของคุณอีหน่ะเหรอ"

     

                “ครับ"

     

                “อ้อออออ~” ชายแก่ลากเสียงยาว "ให้เดานะ...ลูกของฮาราใช่ไหมหล่ะ"

     

                “เห?... คุณลุงรู้จักแม่ผมด้วยเหรอครับ?” ตากลมเบิกโพล่งขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น สาวเท้าเข้าไปหาคุณลุงโดยลืมความหนักของกระเป๋าเป้บนหลังไปเสียสนิท

     

                “รู้สิ... ข้าเล่นกับยัยหนูนั่นมาตั้งแต่มันตีนเท่าฝาหอย อุ้มไปซื้อปลาด้วยกันทุกอาทิตย์นั่นแหละ" เสียงทุ้มกังวานยังคงเอ่ยด้วยท่าทางขี้เล่นก่อนที่สีหน้าทั้งหมดจะแปรเปลี่ยนเรียบลงเมื่อเสียงหัวเราะสิ้นสุด "เสียดาย... ไม่น่าอายุสั้นเลย"

     

                เด็กหนุ่มได้แต่ยิ้มขื่นอย่างเสียไม่ได้ เพราะเขาเองก็เห็นด้วยกับคุณลุงจองซูเช่นกัน... แม้ตอนที่เสียแม่ไปเขาจะยังเด็กเกินกว่ารับรู้ความเศร้าแต่เมื่อโตมาก็มักจะโดนถามเสมอถึงเรื่องของแม่และคยูฮยอนพบว่าบางครั้งมันก็ยากที่จะตอบด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร จริงอยู่ที่เขาไม่ได้เศร้าตอนโปรยดินลงบนหลุมศพของเธอแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่นึกเสียใจที่เธอจากไปเสียหน่อยเพราะหลายต่อหลายครั้งที่เขาได้ยินญาติบางคนพูดว่าหากวันนั้นไม่ใช่เพราะเขา... แม่คงจะรอดชีวิต

     

                คำพูดเหล่านั้นนั่นแหละ... ที่ก่อปมในจิตใจของโจวคยูฮยอนเรื่อยมา

     

                “แล้วจะมาอยู่ถึงเมื่อไหร่หล่ะเรา?”

     

                “สักพักแหละครับ ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่" คยูฮยอนหันไปมองประตูบ้านและเรือนภายในที่คงสภาพเก่าครึเอาไว้เหมือนในรูปไม่มีผิดเพี้ยน "อาจจะพักใหญ่...

     

                “อืม...งั้นรึ" จองซูพยักหน้า มองตามเข้าไปในบ้านที่เขากำลังจะได้เห็นการเคลื่อนไหวของมันครั้งแรกในรอบหลายสิบปี "มีอะไรที่คนแก่ๆพอจะช่วยได้ก็บอกแล้วกัน...

     

                “แก่ละเจียมสังขารบ้างเถอะลุง"

     

                “เอ๊ะไอ้นี่...ยกไม้เท้าหมายจะฟาดหนุ่มที่มีลายสักทั้งตัว ทว่าชเวซีวอนก็ไม่ได้มีแววจะหวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น ร่างสูงยิ้มร่าหัวเราะเสียงดัง มือไม้ก็โบกกันไม้เท้าไผ่อันสวยของคุณลุงจองซู ภาพตรงหน้าพาให้คยูฮยอนหัวเราะตามออกมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

     

                “มีอะไรเรียกผมก็ได้ อยู่บ้านฝั่งนั้น...พอพ้นมือชายแก่มาได้ เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นกับเขาพร้อมชี้มือไปยังบ้านชั้นเดียวฝั่งตรงข้ามที่เยื้องออกไปไม่กี่บล็อคถนน "อย่าหวังพึ่งคนแก่เลย"

     

                “ไอ้ซีวอน!!

     

                “ฮะๆ... ขอบคุณมากนะครับ...

     

                “อืม"

     

                “ยังไงผมขอตัวก่อน" คยูฮยอนโค้งลาเจ้าถิ่นทั้งสองก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน กระนั้นก็ยังยืนมองหนุ่มฉกรรจ์กลิ่นปลาคนนั้นเดินประคองลุงจองซูเข้าไปส่งถึงหน้าประตู เขาวิ่งเหยาะกลับมาเมื่อจัดการผลักรั้วไม้ของคุณลุงเข้าที่ให้เรียบร้อย แว่วเสียงกำชับสั่งว่าอย่าลืมทานยาหลังอาหารตอนเย็นเพราะดูเหมือนคืนนี้จะไม่ได้แวะเข้ามาที่บ้านเหมือนอย่างเคย ประตูรถกระบะแย้มออก สอดตัวเข้านั่งหลังพวงมาลัยอย่างคล่องแคล่วเช่นเคย

     

                “เอ่อ...ขอโทษนะครับ... คุณชื่ออะไรนะครับ"

     

                “ผมเหรอ...เขาท้าวแขนข้างหนึ่งออกมานอกรถ ปลายนิ้วชี้ย้อนกลับเข้ามาที่ตัวเอง "ซีวอน...ชเวซีวอน"

     

                “ผมโจวคยูฮยอน... ขอบคุณมากนะครับสำหรับรถจากท่าเรือ"

     

                “รู้แล้ว...เขาตอบกลับมาพร้อมกับร้อยยิ้มก่อนจะขับรถเคลื่อนออกไป ผมมองตามหลังกระบะคันเก่าที่วิ่งหายไปตามถนน ถอนหายใจยาวเมื่อหันกลับมาพบกับตัวบ้านฝุ่นเขรอะตรงหน้าโดยคิดว่าคืนแรกที่นี่อาจจะเปิดตัวอย่างแสนสาหัสโดยแท้

     

    - - -

     

                คยูฮยอนไม่มีเวลาพิถีพิถันเรื่องอาหารเย็นมากนัก เพราะความเหนื่อยล้าจากการขัดถูบ้านพักทุกซอกมุมและย้ายข้าวของเก่าๆแม่ไปเก็บแยกไว้ในห้องเก็บของก็กินเวลาไปจนถึงยามเย็น แน่นอนว่าเขายอมแพ้เรื่องจัดวางข้าวของทั้งหมดในบ้านให้เข้าที่เข้าทางภายในวันนี้จึงลงเอยด้วยการไปเอาฟูกนอนเก่าออกมาปูบนพื้นของห้องโล่งกว้าง เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เขาจึงตัดสินใจว่าจะออกไปหาดูของกินง่ายๆที่ตลาด ไม่ทำเองเหมือนอย่างทุกครั้ง

     

                นักเดินทางหนุ่มเปิดประตูบ้านออกมายืนมองถนนที่เงียบเหงา ดูเหมือนว่าบ้านพักหลังนี้จะอยู่ไกลออกมาจากเขตตลาดเสียหน่อยจึงได้ไม่มีผู้คนเพ่นพ่านให้เห็นมากนัก ร่างผอมหันกลับไปใช้กุญแจล่ามโซ่คล้องประตูบ้านให้ปิดสนิทมิดชิดก่อนจะเริ่มออกเดินย้อนขึ้นไปบนถนน เพื่อเข้าไปยังเขตตลาดตามที่ทงเฮบอกเอาไว้

     

                ครั้นก้าวไปได้ไม่ไกลมากนักก็ได้ยินเสียงกริ่งจักรยานดังมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงเสียดทานระหว่างรองเท้าแตะกับพื้นยางมะตอย ดวงหน้าเรียวหันกลับไปมองและก็พบว่าคนๆนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกลหากแต่เป็นชายหนุ่มเสื้อกล้ามดำ เจ้าของรถกระบะเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง

     

                “จะไปตลาดเหรอ?” เขาเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ไม่ปรากฏอารมณ์ใด

     

                “ครับ"

     

                “ขึ้นมาสิ" ชายหนุ่มพยักเพยิดไปยังเบาะหลังของจักรยานทรงแม่บ้านที่ว่างอยู่ คยูฮยอนคิดว่าพาหนะขี้ก้างคันนี้ช่างไม่เหมาะกับมัดกล้ามบนต้นแขนนั่นเอาเสียเลย แต่ก็ช่วยไม่ได้จริงๆที่เขาต้องพึ่งพามันไป

     

                “รบกวนคุณอีกรอบนะครับ" เอ่ยบอกออกไปพร้อมกับโค้งตัวอย่างเกรงอกเกรงใจ คนมองก็ได้แต่ยิ้มขำ ส่ายหัวไปมาด้วยรู้สึกว่าท่าทางแบบนั้นช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย

     

                “ติดรถแค่นี้ไม่เห็นต้องคิดมาก" เสียงทุ้มบอกตอนที่ล้อทั้งสองเริ่มเคลื่อนออกไปข้างหน้าแล้ว

     

                “ก็ผมเกรงใจนี่ครับ ทั้งที่เราก็ไม่ได้รู้จักกันแต่คุณช่วยผมตั้งเยอะ"

     

                “คนเมืองก็คิดมากอย่างนี้แหละเนอะ" ซีวอนเปรยขึ้นมา พอดีจังหวะกับที่รถหักเลี้ยวเข้าโค้งเบื้องหน้า ด้วยเกรงว่าจะได้กลิ้งหล่นลงไปคยูฮยอนเลยคว้าเอวของอีกคนเอาไว้ "อย่างว่าแหละ สังคมมันต่างกัน"

     

                คยูฮยอนพยักหน้า "คุณพูดอย่างกับไม่ใช่คนที่นี่เลย"

     

                “ฮะๆ... ก็ไม่ใช่หน่ะสิ!คำตอบนั้นทำให้คนที่ซ้อนท้ายอยู่เบิกตากว้างขึ้นมา "ผมเป็นนักวิจัย มาเก็บข้อมูลที่นี่เท่านั้นแหละ"

     

                “ห๊า! ต แต่...แต่คุณดูเหมือน...อยู่มานานแล้วเลย"

     

                “ก็นานแล้วหล่ะ เกือบจะสองปีได้แล้ว" ซีวอนตอบ ครานี้สำเนียงเริ่มเปลี่ยนเป็นแบบคนเมืองมากขึ้นจนคยูฮยอนตกใจ

     

                “สองปีเลยเหรอครับ?”

     

                “อืม... สังเกตการณ์ชุมชนหน่ะ... สถาปนิกชุมชนเคยได้ยินไหม?”

     

                “อ๋ออ... เคยได้ยินนะครับ แต่ยังไม่เคยเจอคนที่ทำงานด้านนี้แบบจริงจังเลย" คยูฮยอนเอ่ยด้วยความตื่นเต้น เขาเองก็เคยได้ยินมาบ้างว่าสมัยนี้มีการพูดถึงเรื่องการลงไปทำงานกับชุมชนที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวงของหลายสาขาและสถาปนิกกลุ่มหนึ่งก็ได้พยายามพัฒนาเรื่องนี้เช่นกัน ทว่าไม่ได้รับความสนใจมากเหมือนภาคธุรกิจ พอได้มาเจอกับตัวเองแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ยิ่งเห็นว่าภาพลักษณ์ของชเวซีวอนนั้นกลมกลืนเข้าไปกับคนในเกาะได้ดีจนแยกแทบไม่ออกเขายิ่งรู้สึกสนใจมากเข้าไปใหญ่

     

                “อืม... สายนี้มีน้อยหน่ะ... จบมาก็อยากจะเป็นสถาปนิกมีชื่อกันทั้งนั้น ทำงานร่างแบบตึกสูงๆ บ้านเหลี่ยมๆ ...บอกเลยว่านั่นไม่ใช่แนวผมเท่าไหร่" ซีวอนยักไหล่ ชะลอความเร็วของจักรยานลง คยูฮยอนจึงได้เห็นว่าเบื้องหน้าของเขาเป็นตลาดเย็นที่มีทั้งของสดของแห้งและอาหารสำเร็จรูปขายพร้อม

     

                เขาก้าวออกมาก่อนเพื่อให้ซีวอนเข็นจักรยานเข้าไปจอดไว้ด้านใน ร่างสูงก้มลงใส่กุญแจล็อคพาหนะคันจิ๋วไว้กับเสาเหล็กทิ้งร้างแถวนั้นก่อนจะเดินเข้ามาหาเขา

     

                “กินอะไรหล่ะ?”

     

                “ไม่รู้สิครับ... คุณซีวอนมีอะไรแนะนำบ้างไหม?”

     

                “ตามสั่งมั้ย ? หรือชอบแบบเป็นเส้นก็มีพวกหมี่ผัด...

     

                “ลองหมี่ผัดก่อนดีกว่าครับ"

     

                “งั้นป่ะ...ซีวอนเดินนำน่าไปก่อนอย่างชำนิชำนาญ แต่จู่ๆแผ่นหลังกว้างก็ชะงักแล้วผินหน้ากลับมาทางเขา "เออ เรียกพี่ก็พอ ไม่ต้องคุณหรอก"

     

               

     

                อาหารเย็นของเขาเป็นผัดเส้นหมี่ทะเลแบบง่ายๆที่ต้องนั่งกินบนโต๊ะเตี้ยปูเสื่อ ลมเย็นโกรกพัดไปพัดมาตามประสาเกาะที่ต้องคอยรับลมจากทะเล มีนักท่องเที่ยวหลายคนเดินวกวนกันไปอย่างใจเย็น เสียงดนตรีจากร้านอาหารห้องแถวช่วยสร้างบรรยากาศไม่ให้เงียบเหงาจนเกินไป

     

                “ผมเพิ่งจะรู้ว่าสถาปนิกต้องสังเกตการณ์นานหลายปี"

     

                “หืม?”

     

                “หมายถึงพี่อยู่ที่นี่ตั้งสองปี ออกแบบอะไรเหรอครับ?”

     

                “พิพิธภัณฑ์ความรู้ชุมชน" ตอบเสียงอู้อี้เพราะมีเส้นหมี่อยู่เต็มปาก ร่างสูงรีบเคี้ยวมันลงคอแล้วเริ่มอธิบายต่อ "ที่จริงก็ออกแบบมาได้สักพักแล้วหล่ะ สองสามเดือนให้หลังนี่ติดลมล้วนๆ"

     

                “อ่าว...

     

                “...”

     

                “ไม่คิดถึงบ้านเหรอครับ?" คยูฮยอนถามอีกแล้วตักเส้นหมี่เข้าปากเคี้ยวตุ้ยจนไม่ทันสังเกตว่าคนฝั่งตรงข้ามเผลอชะงักกับประโยคดังกล่าว ดวงหน้าเรียวเงยขึ้นมามองเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปไม่ตอบ

     

                ซีวอนเบือนหน้าไปทางห้องแถว ดวงตาสะท้อนแสงสีภายในร้านอาหารที่มีนักร้องจากเมืองกำลังบรรเลงเพลงอยู่ "ไม่มีอะไรให้คิดถึงแล้วมากกว่า"

     

                “...” ผู้มาเยือนใหม่รู้ตัวได้ทันทีว่าเขาคงเผลอถามอะไรออกไปจี้จุดอีกคนเข้าให้ จึงพยายามเสาะหาคำถามใหม่เพื่อเรียกบรรยากาศคืนมา หากแต่ว่าเขาก็ยังคิดไม่ออกเมื่ออีกคนไม่ได้หันกลับมามองเขาอีก

     

                “อะไรที่ทิ้งได้เราก็ต้องทิ้งไป"

     

                “...”

     

                “นายเองก็คงจะมาที่นี่เพื่อทิ้งอะไรบางอย่างใช่ไหมหล่ะ"

     

                “...สถาปนิกนี่อ่านใจคนอื่นออกด้วยเหรอครับ" เขาพูดติดตลกให้กับคนรู้ทันที่ตอนนี้ยอมหันหน้ากลับมาจ้องตาของเขาอีกครั้ง

     

                “ไม่มีนักเดินทางคนในมาที่เกาะนี่เพื่อเขียนคอลัมน์หรอก"

     

                “...”

     

                “ผมพูดถูกไหมล่ะ?”

     

    - - -

     

                เพราะรู้สึกไม่คุ้นกับสถานที่คยูฮยอนจึงตื่นเช้าเป็นพิเศษ เขางัวเงียลุกขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พับผ้าที่ใช้ปูนอนให้ไปกองรวมกันที่มุมห้องก่อนจะตัดสินใจคีบรองเท้าแตะออกไปเดินรับลมยามเช้าตามท้องถนน

     

                จากบ้านพักของเขาเดินไปอีกไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงคลื่น ครั้นพอเลี้ยวซ้ายแล้วเดินไปจนสุดซอนก็พบว่ามันเป็นถนนทอดยาวเลียบตามชายฝั่ง ขาเรียวเปล่าภายใต้กางเกงขาสั้นเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อยเดินเตะทรายสีขาวไปหาด ฟังเสียงคลื่นและสูดกลิ่นเค็มทะเลเข้าปอด โดนน้ำเย็นเลียข้อเท้าบ้างเมื่อคลื่นลูกใหญ่หน่อยซัดเข้ามาที่ฝั่ง บรรยากาศเหล่านี้ทำให้รู้สึกปล่อยวางได้มากกว่าการท่องเที่ยวที่ไหน

     

                เขาหวนนึกไปถึงคำถามของซีวอนที่ยังไม่ได้ตอบเมื่อคืน มันจริงอย่างที่สถาปนิกติดดินคนนั้นว่า เขาไม่ได้มาที่นี้เพื่อเขียนคอลัมน์ ไม่ได้มาด้วยหน้าที่ของนักเดินทาง อีทงเฮเรียกมันว่าการพักผ่อนซึ่งคยูฮยอนก็อยากจะเชื่อเช่นนั้นเพียงแต่เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่

     

                มันคือการหนีความจริง

     

                สุดชายหาดเป็นโขดหินกองถมกันอยู่สองสามชั้น คยูฮยอนจึงตัดสินใจปีนขึ้นไปนั่งตากลมบนนั้น เขามองพระอาทิตย์ที่เพิ่งจะพ้นขอบฟ้าล่างมาได้ไม่เท่าไหร่ แสงของมันถูกบังเอาไว้ด้วยก้อนเมฆครึ้มที่พอจะบอกได้ว่าสภาพอากาศวันนี้คงไม่เอื้ออำนวยให้ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน ลมเย็นโกรกผ่านเข้ามากระทบหนักหน่วงจนใบหูอื้ออึงไปหมด... ครั้นเมื่อคลื่นอากาศเริ่มสงบเขาก็ได้ยินเสียงหอบหายใจคล้อยมาจากเบื้องหลัง

     

                ใบหน้าหวานเอี้ยวกลับไปมองตามเสียงนั้น มันมาจากนักเรียนมัธยมกลุ่มใหญ่ในชุดกีฬา กางเกงขาสั้นและเสื้อกล้ามสีแดงเลือดหมูเหมือนกันทุกคนทำให้พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นทีมกีฬาประจำโรงเรียนหรือเขต พวกเขาวิ่งเหยาะ สลับเท้าพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียงจนคยูฮยอนต้องหันมองสุดสายตา

     

                เขาหวนนึกถึงชีวิตวัยมัธยมของตัวเองที่ผ่านมาอย่างทุลักทุเล เขาไม่ใช่เด็กเรียนดีเท่าไหร่อาจเป็นเพราะทั้งหัวไม่ดีแล้วก็ยังไม่ตั้งใจ มีหลายครั้งหลายหนที่แอบโดดเรียนไปต่างจังหวัดแต่ที่บ้านก็ไม่มีใครสนใจ หากพูดให้ถูกคือไม่มีใครสนใจเขาตั้งแต่แม่เสียไป พ่อที่แยกทางไปตั้งแต่ก่อนคลอดมีหน้าที่จ่ายค่าเทอมและค่าเลี้ยงดูเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่มาตามติดดูพฤติกรรมของลูกชายที่แอบนอกลู่นอกทาง ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างมีอิสระ หากแต่มันเป็นอิสระที่ไม่ได้ชวนให้พึงใจเท่าไหร่

     

                เป็นอิสระที่ต้องแลกมาด้วยคำว่าครอบครัว

     

                "ตื่นเช้าเหมือนกันนี่" เสียงทุ้มที่เริ่มจะเคยคุ้นเอ่ยเรียกมาจากเบื้องหลัง คยูฮยอนตะแคงหน้ากลับไปมองพบกับเจ้าของลายสักเทวทูตกล้ามใหญ่ยืนเอามือไพล่หลัง ปล่อยให้ลมทะเลพัดผมม้าปรกหน้าปลิวไสวขึ้นไปด้านบนเผยให้เห็นใบหน้าคมคายราวถูกกำหนดสัดส่วนมาอย่างดีโดยช่างศิลป์ชื่อดัง ทั้งที่เมื่อคืนนั่งตรงข้ามกินข้าวด้วยกันอยู่นานแต่คยูฮยอนไม่ยักสังเกตว่าชเวซีวอนนั้นมีรูปหน้าคมกริบได้มากเพียงใด อีกทั้งคิ้วคมกับรูปร่างสมสัดส่วนนั้นก็บ่งบอกได้ว่าชายหนุ่มคงจะผ่านการดูแลตัวเองมาอย่างดีไม่น้อย ไม่น่าจะเป็นคนต่างจังหวัดไปได้

     

                เขาไม่ทันได้คิดเลยจริงๆ

     

                "ยังไม่ค่อยคุ้นที่ก็เลยนอนไม่ค่อยหลับหน่ะครับ"

     

                "ธรรมดา" ร่างสูงโปร่งย่อตัวลงนั่งบนโขดหินที่เชื่อมต่อกันอยู่ ทิ้งระยะห่างไว้ประมาณหนึ่งช่วงแขนเพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัดมากเกินไป

     

                "พี่ตื่นเช้าแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ?"

     

                "อืม... ไปช่วยชาวบ้านขนปลาที่ท่า แล้วก็รับเด็กไปส่งที่โรงเรียน"

     

                "เช้ามากเลยสินะครับ"

     

                "ก็ประมาณตีสามตีสี่" เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบโดยที่รู้ว่าร่างบางด้านข้างคงประหลาดใจ "ถ้าตื่นทุกวันก็จะชินไปเอง"

     

                "แบบนั้น... ผมคงชินไม่ลง"

     

                "ฮะๆ..."

     

                "ว่าแต่... พี่รู้จักผมด้วยเหรอครับ?" คยูฮยอนเอ่ยถามสิ่งที่คาใจมาตั้งแต่เมื่อคืนเพราะดูเหมือนว่าชเวซีวอนจะรู้จักงานของเขาถึงได้ทักออกมาเรื่องการเป็นนักเดินทาง จริงอยู่ที่เขาเขียนคอลัมน์จำนวนมากและหนังสือท่องเที่ยวอีกสองเล่มแต่ก็ไม่เคยมีใครได้เห็นหน้าคร่าตาของเขานอกจากคนในกองบรรณาธิการเท่านั้น คยูฮยอนไม่อยากเปิดเผยตัวเองเพราะเขารู้สึกอยากให้คนอื่นรู้จักงานของเขาไม่ใช่ตัวของเขาที่ไม่มีอะไรสวยงามเลยสักนิด

     

                "..." ทว่าซีวอนกลับไม่ตอบคำถามนั้น ชายหนุ่มเพียงแค่จ้องมองไปเบื้องหน้าแล้วหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าปอดเสียงดังทั้งที่เห็นว่าอีกคนกำลังรอคำตอบอยู่

     

                "..." ในเมื่ออีกคนไม่ได้พูดอะไร คยูฮยอนจึงไม่ถามหรือเอ่ยอะไรต่อออกไป เขารอจนร่างสูงยอมเปิดตาขึ้นมาอีกครั้ง รอกระทั่งใบหน้าคมคายนั้นหันมาสบตากับเขาทางตรง

     

                "จำที่บอกได้ไหม ว่าไม่มีอะไรให้คิดถึงหน่ะ"

     

                "...ครับ" คยูฮยอนพยักหน้ารับ นึกถึงบทสนทนาเมื่อคืนที่มันคลุมเครือแต่ภายหลังก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นเรื่องอื่นไปเมื่อมีเด็กคนหนึ่งเดินเข้ามาขายขนมปิ้งให้กับพวกเขา บทสนทนายุติลงอย่างแนบเนียนโดยที่เราต่างก็ลืมไปว่าคุยค้างไว้ตรงไหน และไม่มีใครเอ่ยมันขึ้นมาอีกแม้แต่ตอนที่ปั่นจักรยานกลับบ้านก็ตาม

     

                "ฉันเป็นแอมเนสเซีย" น้ำเสียงที่เคยหนักแน่นเบาหวิวจนแทบกลืนหายไปกับเสียงคลื่นลม "สูญเสียทักษะการวาดรูป... ฉันต้องเริ่มใหม่"

     

                "..."

     

                "สถาปนิกหน่ะไม่ควรเป็นแบบนั้นใช่ไหมหล่ะ ทั้งที่รู้สึกว่าจับดินสอมาตลอดทั้งชีวิตแต่พอกลับมาถือมันอีกครั้งกลับทำได้แค่ขีดเส้นโง่ๆขึ้นมาเท่านั้น... ตอนฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลแล้วรู้เรื่องนี้ก็แทบเป็นบ้าแต่ที่ทำให้บ้าไปเลยคงจะเป็นเรื่องเมียตายหล่ะมั้ง"

     

                "..."

     

                "พูดเองว่าจะดูแลเธอทั้งชีวิต แต่เอาเข้าจริงกลับทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ตอนเห็นเธอจมลงไปในน้ำ แม้แต่มือยังคว้าไว้ไม่ได้เลย"

     

                คยูฮยอนเอื้อมมือไปตบบ่า ทับบนรอยสักรูปเทวทูตที่เขาไม่รู้จักชื่อ "...ไม่หรอกครับ คุณพยายามแล้ว"

     

                "..."

     

                "สุดแขนของเราไม่ได้ยาวพอจะรั้งชีวิตใครไว้ไดหรอกครับ" นักเดินทางว่าด้วยน้ำเสียงที่พร่าลง "บางครั้งอื้อมถึงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะจับไว้ได้ด้วยซ้ำ"

     

                "มองเห็นใครสักคนเดินออกไปหน่ะ ลำบากชะมัด นายรู้ไหม?" ใบหน้าคมเบือนข้างมองไปยังท้องทะเลกว้างใหญ่ แสงแดดเริ่มส่องประกายเป็นสัญญาณให้กับเช้าวันใหม่ "ฉันก็เลยยังลังเลว่าควรจะจากที่นี่ไปดีหรือเปล่า"

     

                "พี่คงผูกพัน"

     

                "อืม..."

     

                "...ว่าแต่ มันเกี่ยวกับที่พี่รู้จักผมได้ยังไงครับ?" คยูฮยอนหันไปถามอีกฝ่ายถึงสิ่งที่เขาอยากรู้ แต่ร่างสูงกลับเพียงแค่ยิ้มออกมาบางๆ

     

                "ไม่เกี่ยวหรอก แค่อยากเล่าให้นายฟัง"

     

                "อ้าว..." ซีวอนหัวเราะทันทีที่เห็นสีหน้าเหวอหวาของอีกคน เขากระโดดลงจากโขดหิน ปัดกางเกงที่เปรอะคราบไคลโคลนสองสามครั้งแล้วหยิบเอาบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาป้องมือจุดไฟที่ปลายมวน

     

                "อยู่ที่นี่นายไม่ใช่นักเดินทางสักหน่อย" เสียงทุ้มกล่าวบอกพร้อมกับกลุ่มควันสีเทาที่ลอยคลุ้งไปทั่ว "ปัญหาหนีมาก็เท่านั้น" ประโยคนั้นทำให้คยูฮยอนขมวดคิ้ว เขายังไม่ทันได้ตอบอะไรแผ่นหลังกว้างก็เคลื่อนหายกลับไปยังรถกระบะที่จอดอยู่ริมถนน ดวงตากลมนึกสงสัยในความลึกลับของสถาปนิกติดลมคนนี้

     

                ชเวซีวอนต้องรู้จักเขาอย่างแน่นอน นั่นคือสิ่งที่เขามั่นใจ

     

                แต่นั่นไม่สำคัญเท่า เหตุผลที่ทำให้เรารู้จักกัน

     

    - - -

     

                เย็นวันนั้นคยูฮยอนเห็นซีวอนมาที่บ้านของลุงจองซูพร้อมกับถุงข้าวจำนวนหนึ่ง เขาเหลือบมองจากทางระเบียงบ้าน เห็นทั้งสองคนคุยกันอยู่บนแคร่ท่าทางสนุกสนาน คนแก่ก็คงชอบให้มีคนคุยเล่นด้วยแก้เหงา ดูเหมือนซีวอนจะถนัดเรื่องนั้น

     

                คยูฮยอนอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นคุณลุงยกมือขึ้นตบกลางหัวของหนุ่มฉกรรจ์ที่ดูแข็งแรงกำยำ และอีกฝ่ายก็แกล้งร้องโอดโอยเสียงดังทั้งที่นั่นมันเบากว่าลมทะเลเสียอีก เขาคิดว่าชเวซีวอนคงเป็นผู้ชายที่ใจดีผิดกับหน้าตาและท่าทางอย่างมากทีเดียว สถาปนิกคนนั้นดูมีทักษะในการสร้างปฏิสัมพันธ์สูงเพราะขนาดเมื่อเช้าที่พูดจากลับไปกลับมาเหมือนตั้งใจกวนประสาทแต่พออีกฝ่ายเดินจากไปคยูฮยอนกลับรู้สึกโล่งใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

     

                และคำพูดนั้นมันก็ทำให้เขาได้คิดอะไรบางอย่าง

     

                “เฮ้! ถ้ำมองเหรอ?”

     

                “...เปล่านี่ครับ”

     

                “ก็เห็นอยู่...” เสียงทุ้มตะโกนขึ้นมา ลุงจองซูเมื่อเห็นอีกคนป้องปากตะโกนจึงเงยหน้าตามขึ้นมาบ้าง

     

                “อ้าว... คยูฮยอนเหรอ”

     

                “ครับ”

     

                “กินอะไรหรือยังหล่ะ” ผู้อาวุโสถามเสียงดังที่ไม่ได้ดังมากแต่ก็พอจะจับใจความได้อยู่

     

                “ลงมาสิ” ตามด้วยเสียงกังวานของชเวซีวอนที่ยังคงท้าวเอวมองเขา “สุกี้ทะเลเชียวนะ”

     

                คยูฮยอนมองตามมืออีกคน กลอกตาด้วยความลังเลอยู่เพียงไม่กี่นาทีก็ตะโกนตอบกลับไป “งั้นรอแป้บนึงนะครับ”

     

     

     

                เขาเข้ามาในบ้านของลุงจองซูที่เป็นสวนขนาดย่อย สีเขียวชอุ่มชวนให้สบายตาทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่าควรหาต้นอะไรมาประดับในบ้านของแม่บ้าง แต่พอนึกได้ว่าเขาไม่อาจปักหลักที่นี่ได้จึงล้มเลิกความคิดนั้นไปเพราะเกรงว่ามันจะกลายเป็นเถาวัลย์เลื้อยเข้าบ้านช่วงที่เขากลับเข้าเมืองหลวงเป็นแน่

     

                โค้งทักทายลุงจองซูที่ตักคำสุดท้ายเข้าปากพอดี พูดคุยถามไถ่กันอยู่ไม่กี่ประโยคคุณลุงก็ขอตัวเข้าไปอาบน้ำปล่อยให้เขานั่งอยู่บนแคร่กับคนส่งอาหารที่นั่งเปลือยอกเปล่า ชันเข่าตักสุกี้เข้าปากอยู่

     

                “เอาสิ...” สถาปนิกหนุ่มดันชามอาหารเย็นที่ยังระอุร้อนมาทางเขา

     

                “ทำเองเหรอครับ?”

     

                “อืม... คนที่โป๊ะหมึกกับกุ้งมา”

     

                “สดๆเลยสิเนี่ย” คยูฮยอนพึมพำขึ้นมาเมื่อลองตักหมึกเข้าปากแล้วสัมผัสได้ถึงความกรอบของเนื้อสีขาวนวลนั่น

     

                “เหอะๆ นายอยู่ทะเลนะคยูฮยอน ไม่สดสิแปลก”

     

                “นานๆครั้งจะได้กินนี่ครับ”

     

                “หึ...” สีวอนไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาลดชามที่พร่องลงไปแล้วมาวางบนหน้าตัก “เออ มะรืนนี้มีแข่งฟุตบอลเยาวชน สนใจจะไปดูมั้ย?”

     

                “หืม ที่ไหนเหรอครับ?”

               

                “โรงเรียนข้างตลาด...”

     

                “มาชวนผมแบบนี้แปลว่ามีค่าบัตรหรือเปล่านะ” หรี่ตามองคนชวนที่เอนตัวไปด้านหลังด้วยท่าทางแสนสบาย ตามด้วยการเอียงคอ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อสำรวจดูว่าทำไมซีวอนถึงมาชวนเขาไปดูการแข่งขันฟุตบอลนั่น

     

                “ไม่มีหรอก สนามเปิด ให้ใครเข้าไปดูก็ได้”

     

                “...ถ้าอย่างนั้นก็น่าสนใจนะครับ” ละใบหน้าออกมาแล้วตักน้ำซุปขึ้นมาชิม “กี่โมงเหรอครับ?”

     

                “สี่ห้าโมงนั่นแหละ”

     

                “งั้นผมติดรถพี่ไปนะ”

     

                “ฉันคงปล่อยให้นายเดินไปเองหรอก” ซีวอนสบถเสียงเบาก่อนจะหงายตัวลงไปนอนแผ่บนแคร่ไม้ คยูฮยอนมองเจ้าของคำประชดเมื่อครู่ด้วยสายตาค้อน เอื้อมมือไปดึงขนใต้วงแขนของอีกฝ่ายให้ร่างสูงได้สะดุ้งโหยงชวนหัวเราะ

     

                “ฮะๆ...”

     

                “ไอ้นี่หนิ”

     

                “อะไรกัน พี่พูดไม่ดีกับผมก่อนนี่”

     

                “ไม่ดี? ฉันแค่บ่นหรอก”

     

                “นั่นแหละ บ่นหน่ะไม่ดี”

     

                “เหอะ” ซีวอนยกแขนขึ้นเอื้อมไปบีบจมูกโด่งรั้นของอีกคนแน่น เขาลากใบหน้าหวานให้ขยับโน้มต่ำลงมาจนเหลือระยะห่างเพียงแค่ศอกเดียวเท่านั้น เสียงหวานร้องโวยวาย ตีมัดกล้ามหนาบนแขนแกร่งเป็นพัลวันแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้สามารถพ้นมือนั้นไปได้

     

                “อื้ออออออออ~” ครวญประท้วงอยู่สักพักกว่าซีวอนจะยอมปล่อยออกมา แต่ยังไม่ทันชักหน้ากลับเขาก็โดนรั้งเอาไว้ที่รอบคอ ดวงตากลมประสานเข้ากับสายตาเฉียบคมของคนที่นอนหงายอยู่

     

                คยูฮยอนรู้สึกว่าใจของเขาสั่นไหวแบบไม่มีเหตุผล บางอย่างที่กอปรขึ้นมาเป็นชเวซีวอนให้ความรู้สึกเคยคุ้นราวกับว่าครั้งหนึ่งเคยได้ขลุกอยู่ในนั้นอย่างใกล้ชิด ภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในลูกปัดสีชาก็ยิ่งขับให้ความรู้สึกของเขาชัดเจนขึ้นจนน่ากลัว

     

                “เดี๋ยวจะคิดค่าขนส่ง” หลุดออกจากภวังค์เมื่อเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ร่างผอมสะดุ้ง รีบดึงตัวกลับขึ้นนั่งแล้วทาสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด เขารู้สึกว่ามันกินเวลาอยู่พักใหญ่กว่าที่ซีวอนจะพูดออกมา เหมือนผู้ชายคนนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อมองเข้ามาในม่านตาของเขา

     

                ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ซ่อนอยู่ในนั้น เขาต้องรู้ให้ได้...

     

    - - -

     

    ขอขยายความคำว่า นักเดินทาง ก่อน ในที่นี้เราหมายถึงผู้ที่เดินทางเป็นอาชีพ
    ซึ่งหมายความว่าต้องใช้เวลาขั้นต่ำในพื้นที่ประมาณ 2-3 เดือนนะ ไม่ใช่การเดินทางแบบแบคแพ็ค

     

    เราเปลี่ยนใจกะทันหัน เราคิดว่ามันต้องแบ่งตอนอ่ะ

    เพราะดูเหมือนจะยาวเล็กน้อย เลยเอามาเพิ่มให้แล้วก็ถือว่าจบหนึ่งตอนนะ

    ยังไม่แน่ใจว่ากี่ตอนจบดีแต่คงไม่เกิน 3-4 ตอน

     

    เราเขียนเรื่องนี้เพราะคิดถึงเพื่อนคนนึงที่ตอนนี้มันกำลังมีปัญหาชีวิต

    มันอ่านไทยไม่ออกหรอก แต่พอได้คุยกับมันแล้วก็นึกอยากเขียนขึ้นมา

    คำพูดของตัวละครในเรื่องนี้ส่วนมากเป็นสิ่งที่เราผ่านมาด้วยกัน

    แค่อยากแชร์บางส่วนออกมาเท่านั้นเอง

     

     


    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×