คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : Chapter 25 :: Our Future (END)
Chapter 25
Our Future
แกร๊ง!
เสียงอะไรน่ะ?
แกร๊ง! แกร๊ง!
“...”
ร่างเล็กขมวดคิ้วก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่พบคือผ้าม่านสีครีมที่ปลิวไหวเพราะลมอ่อน ๆ พัดเข้ามา หน้าต่างถูกเปิดไว้เพียงเล็กน้อยพอให้อากาศได้ถ่ายเท ความอุ่นใต้ผ้าห่มทำคนขี้เซาไม่อยากลุกไปไหน แต่พอมีอะไรบางอย่างฉายเข้ามาในหัว คนตัวเล็กเลยต้องตื่นอย่างเต็มตาปฏิเสธไม่ได้
“...!!!”
แบคฮยอนดีดตัวลุกขึ้นเบิกตาโพลงก่อนจะรีบก้มลงมองสารร่างตัวเอง และก็พบว่าเสื้อผ้ายังสวมอยู่ครบ ไม่ขาดไม่หาย หมายถึงเสื้อแขนยาวตัวเดียวไม่ใช่สองตัวแบบเมื่อคืนนี้ ถึงกางเกงที่ใส่อยู่มันจะเป็นตัวใหม่ก็เถอะ
พอหันไปข้างตัวก็พบเพียงแค่รอยยับ แต่คนหายไปแล้ว ร่างเล็กยกมือขึ้นตะปบปาก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขย้ำกลุ่มผมตัวเองเมื่อภาพลามกเป็นฉาก ๆ ฉายเข้ามาในหัวราวกับม้วนหนังสี่มิติที่ให้แสดงเอง
ชานยอลไปไหน? นั่นคือคำถามในตอนนี้ แบคฮยอนคลานมาอยู่ปลายเตียงพลางกลอกตามองซ้ายขวามองหาสิ่งมีชีวิตในห้องนี้ แต่ก็พบเพียงแค่ความว่างเปล่า แม้แต่ยุงบินผ่านสักตัวก็ไม่ ให้ตายเถอะ ภาพไม่ชัดเลยอ่ะ
ก็จะชัดได้ยังไงเล่า แว่นก็ไม่ได้ใส่!!!
แบคฮยอนคลานไปหยิบแว่นแล้วค่อย ๆ ย่องเบาไปหยุดอยู่หน้าประตู เสียงดังแกร๊ง ๆ ที่ปลุกให้ตื่นเมื่อครู่ดังขึ้นอีกแล้ว คาดว่าต้นเหตุของเสียงนั้นมันต้องมาจากบ้านของเขาแน่ ๆ
ก่อนอื่นต้องเอาหูแนบประตูให้แน่ใจ แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละที่เสียเวลาไปกับการทำตัวติ๊งต๊อง แบคฮยอนก็ค่อย ๆ หมุนลูกบิดออกแล้วโผล่หน้าออกไป สิ่งแรกที่รู้สึกได้คือกลิ่นหอม ร่างเล็กทำจมูกฟุตฟิตแล้วค่อย ๆ ย่องออกมาแบบไม่มีเสียง
แต่เอ...ทำไมเขาต้องมาทำอะไรแบบนี้ในบ้านตัวเองด้วยล่ะ
พอมาถึงก็แอบชะโงกหน้าเข้าไปในห้องครัว ในที่สุดก็รู้แล้วว่าต้นเหตุของเสียงนั้นมาจากไหน ซึ่งมันคงไม่พ้นกระทะกับทัพพีที่กำลังผัดข้าวโดยคนที่น่าจะหาตัวยากในห้องครัว ถ้าเทียบกับสองปีที่แล้ว
ชานยอลถลกแขนเสื้อขึ้นถึงข้อศอก ก่อนจะเอื้อมไปหยิบซอสมาปรุงอาหารในกระทะ คนตัวสูงตักข้าวคำเล็กขึ้นมาชิม ระหว่างให้ลิ้นรับรสชาติก็เคาะปลายนิ้วชี้ลงบนซิงค์ราวกับใช้ความคิดก่อนจะพยักหน้ากับตัวเอง
โห...ท่าทางแบบนั้นดูไม่เหมือนคนละเมอตื่นมาหยิบกระทะเลย นี่เป็นความรู้ใหม่ที่ไม่ว่าใครก็ต้องตกใจแน่ ๆ กับการที่ได้เห็นชานยอลหยิบจับเครื่องครัวโดยไม่เขวี้ยงมันลงซิงค์อย่างหัวเสียเพราะทำอาหารไหม้ติดกระทะ
ขอโทษก็ได้ที่แบคฮยอนกำลังประเมินค่าแฟนต่ำขนาดนี้ แต่เชื่อถ้าว่าภาพเก่า ๆ มันยังคงติดตาอยู่ พอเห็นความเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดแบบนี้เลยแอบสะพรึงใจอยู่นิดนึง
“ไง?”
อุ่ย...
แบคฮยอนค้างอยู่ท่านั้นเมื่ออยู่ ๆ พ่อครัวหัวป่าก็หันมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ชานยอลมีเซนส์หรือว่ามีตาอีกคู่อยู่ข้างหลังกันแน่ถึงได้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ ร่างเล็กขยับแว่นอยู่ในที แบคฮยอนพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดหลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนลอยเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
“ข้าวเสร็จพอดี”
แบคฮยอนอาจจะเป็นบ้าไปแล้ว ที่พอได้ยินเสียงทุ้มต่ำของชานยอลก็ใจเต้นแรงจนขนลุกเกรียวกราวไปหมด มือไม้ก็ไม่รู้จะเอาไว้ตรงไหน เดี๋ยววางบนโต๊ะ เดี๋ยวยกขึ้นมาเกาท้ายทอยอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งจานข้าวผัดถูกวางลงตรงหน้า แบคฮยอนรู้ตัวว่าเมื่อกี้เผลอสะดุ้งด้วย
“เห็นว่ายังมีข้าวเหลืออยู่กูเลยเอามาผัด”
“อ้อใช่...เราแช่ตู้เย็นไว้กะผัดกินวันนี้อ่ะ...” แบคฮยอนยิ้มเจื่อนมองตามคนตัวสูง “ชานยอลทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ”
“อยู่ที่นั่นถ้าขี้เกียจไปข้างนอกก็ทำกินเองบ้าง เมทกูสอนมา” ชานยอลว่าพร้อมเปิดตู้เย็น เทน้ำเปล่าสองแก้วแล้วไว้ตรงกลางโต๊ะอาหาร
แบคฮยอนไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแค่ตักข้าวผัดที่มีไข่ดาวกับไส้กรอกเป็นพร็อพเสริม นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกเกร็งริมฝีปากที่สุด ยิ่งตอนชานยอลนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วกินได้อย่างหน้าตาเฉย แบคฮยอนก็ยิ่งรู้สึกทะแม่ง ๆ
“ชานยอลตื่นนานแล้วเหรอ” เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบคำถาม เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นแล้วเท้าศอกมองแฟนจ๋าที่กำลังมองตาปริบ ๆ ทั้งที่มือข้างหนึ่งยังคงถือช้อนไว้อย่างนั้น ไหนจะผมเผ้าที่ชี้โด่เด่นั่นอีก นี่ยังไม่รวมไปถึงแก้มแดง ๆ ทั้งสองข้างด้วยนะ
“เมื่อคืนหลับสบายไหม?”
“...”
เล่นถามแบบนี้ถึงกับอิ่มเลยอ่ะ แบคฮยอนตาเหลือกมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งกำลังจ้องเขาระหว่างรอคำตอบ ชานยอลเริ่มน่ากลัวแล้ว เขารู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่กับไททันโลกแดงง่ายกว่าผู้ชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามในตอนนี้ซะอีก
“แล้วชานยอลหลับสบายไหม...” แบคฮยอนจะสู้ ต่อให้ชานยอลจะมีทักษะการทำลายล้างสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนจนยากที่จะต่อกร แต่เขาจะไม่ยอมเขินตายตรงนี้เด็ดขาด
“สบายกว่านอนคนเดียวเยอะ” ประโยคนี้มาพร้อมรอยยิ้ม ร่างเล็กรู้สึกเหมือนว่าความพยายามที่จะสู้มันช่างสูญเปล่า เมื่ออีกฝ่ายฮุคหมัดตรงกลับมาได้อีกแล้ว
“เราลืมแปรงฟัน!” แบคฮยอนลุกพรวดกลอกตาไปมาก่อนจะยิ้มเจื่อน แล้วรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำโดยเร็วที่สุด
สองมือเท้าลงกับขอบอ่างล้างหน้า ร่างเล็กมองกระจกแล้วก็ได้แต่หลับตาถอนหายใจหนัก ๆ บยอนแบคฮยอนเริ่มกลัวตัวเองแล้วที่เอาแต่คิดเรื่องลามกตอนมองหน้าชานยอล ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากที่จูบกันนับครั้งไม่ถ้วน ไหนจะมือใหญ่นั้นที่...
“ไม่!!!”
แบคฮยอนทุบมือลงกับขอบอ่าง มือชานยอลไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ทำ เขาต้องหยุดความคิดตัวเองก่อนที่จะสติแตกมากไปกว่านี้ ไม่เอาน่า วันนี้อากาศกำลังดี ไหนจะข้าวผัดในจานนั้นอีก จากที่ลองชิมเมื่อกี้มันอร่อยสุด ๆ ไปเลย แบคฮยอนต้องกินจนหมดไม่เหลือทิ้งแน่ เห็นไหมล่ะ...มีอะไรน่าสนใจอีกตั้งเยอะ เลิกคิดได้แล้ว
“อะไร”
“...”
แบคฮยอนอยากร้องไห้ พอเงยหน้ามองกระจกก็เห็นว่าตอนนี้ชานยอลมายืนอยู่ข้างหลังแล้ว นี่หายตัวได้ตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ ถึงชานยอลจะชอบเล่นมุกว่าวาร์ปได้เหมือนเด็กบ้าการ์ตูนก็เถอะ แต่การอยู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้มันน่าตกใจนะ ไหนจะสีหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวกับแปรงสีฟันในมือนั่นอีก
“แปรงฟันพร้อมกันไม่ได้เลยดิ แค่นี้ไล่เหรอ” ชานยอลผลักหัวคนตัวเล็กเบา ๆ แบคฮยอนเหมือนคนสติหลุด มือไม้ก็คลำ ๆ หาแปรงสีฟันกับหลอดยาสีฟันมาบีบจนแทบล้น
“ได้อ่ะ...”
“บีบให้ด้วย” คนตัวสูงยื่นแปรงสีฟันมา และแบคฮยอนก็บีบให้ทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกจากกระจก
เราสองคนยืนแปรงฟันด้วยกันอยู่หน้าซิงค์ มีบางครั้งที่แอบชำเลืองมองความเคลื่อนไหวของคนตัวโตกว่า ทำไมชานยอลถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้ หรือว่ามันเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์เราจะใช้ชีวิตได้โดยไม่รู้สึกอะไรหลังจากผ่านสมรภูมิรบมา
ไม่สิ...ทำไมถึงใช้คำว่าสมรภูมิรบล่ะ...
“วันนี้ชานยอลอยากไปไหนเป็นพิเศษไหมอ่ะ...”
“ไม่ กูอยากอยู่บ้าน ทำกับข้าวกินด้วยกันแล้วก็นอนอย่างคนขี้เกียจ” ชานยอลพูดอย่างไม่ยี่หระ วูบหนึ่งนึกถึงคยองซูเลย บางทีเพื่อนของเขาอาจจะกำลังทำแบบนั้นอยู่หลังจากผ่านพ้นคืนวันปีใหม่มาแล้ว
แบคฮยอนแปรงฟันพร้อมชำเลืองมองคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง ก่อนจะเซไปข้างหน้าเล็กน้อยเพราะชานยอลวางแขนลงมาบนบ่าเขาซะเต็มแรง “บอกแล้วว่าให้กินข้าวเยอะ ๆ พอผอมแล้วกลายเป็นคนไม่มีเรี่ยวแรงเลยดิ”
ชานยอลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยตอนเราสบตากันผ่านกระจก สายตาคู่นั้นเหมือนจะถามว่ามีอะไร แต่ก็เหมือนว่าจงใจจะแกล้งด้วย แบคฮยอนย่นจมูกแล้วแปรงฟันแรง ๆ ก่อนที่มือใหญ่นั้นจะวางลงบนหัวเขา แล้วโคลงไปมาเบา ๆ
“เออ ลืมไปเลยว่าต้องกลับไปเช็กเอาท์ กระเป๋ากับของขวัญวันเกิดหมาอยู่ที่นั่น”
“ถ้าเราเป็นหมา ชานยอลก็เป็นพ่อวัว”
“พ่อวัวทำไม?” แบคฮยอนหดคอลงเมื่ออีกฝ่ายโน้มหน้าลงมาใกล้ ๆ ร่างเล็กกลอกตาไปมาแล้วส่ายหน้าพรืด
“พ่อวัวตัวใหญ่กว่าหมาไง”
“ถ้าไม่ตัวใหญ่จะอุ้มหมาได้เหรอวะ” ชานยอลไม่พูดอย่างเดียว ผู้ชายคนนี้อุ้มเขาขึ้นไปนั่งบนซิงค์หินขัดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ชานยอลยิ้มก่อนจะเอาแปรงสีฟันออกมาจากปากของเราทั้งคู่แล้ววางไว้บนอ่าง คราบยาสีฟันยังคงเลอะริมฝีปากของเราทั้งคู่ ถึงเมื่อก่อนชานยอลจะชอบบ่นอยู่บ่อย ๆ ว่าเขาใช้เวลาไปกับการแปรงฟันครึ่งค่อนชีวิต แต่นี่คือการสั่งให้เลิกหยุดแปรงหรือไง แบคฮยอนนั่งแข็งทื่อไปหมดแล้ว เขากำลังจะต้องเจอกับอะไรเหรอ
“เอาแต่มองลอกแลกตั้งแต่ตอนกินข้าวแล้วนะ เขินมากไง?”
“โห...เล่นถามกันแบบนี้เลย...”
“ก็ถ้ามึงอึน กูอึน แล้ววันนี้จะคุยกันรู้เรื่องไหม แล้วนั่นหลบตาทำไม หันมานี่” เด็กตัวสูงบีบคางอีกคนให้หันมาสบตากัน เห็นปากจู๋ที่เลอะคราบยาสีฟันแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
“ก็เราเขินอ่ะ”
“เขินอะไร”
“เราไม่พูดได้ไหมอ่ะ มันเป็นเรื่องน่าอายสำหรับเด็กที่ไม่ได้ไปเรียนอเมริกาอย่างเรา” แบคฮยอนอยากร้องไห้ เขาก็พอรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมฝั่งนั้นมาบ้าง ที่การกอดจูบลูบคลำยันมีเซ็กส์คือเรื่องปกติธรรมดา แต่มันไม่ใช่สำหรับเขา
“ไว้ทำบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชิน” แบคฮยอนเบิกตากว้างที่ได้ยินอีกฝ่ายพูด ชานยอลพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉยได้ยังไงกัน เมื่อคืนตอนโดนตีเมืองเขายังรู้สึกระบมไม่หายเลย ถ้าทำอีกคงได้นอนให้เตียงดูดวิญญาณเป็นวันแน่ “ล้อเล่น”
“พูดจริงก็ไม่เอาด้วยแล้ว เราเจ็บจะแย่ แค่นั่งตอนนี้ยังเจ็บเลย” คนตัวเล็กงึมงำพร้อมก้มลงมองซิงค์หินขัดที่นั่งอยู่ ชานยอลยิ้มขำแล้วเลื่อนใบหน้าเข้าไปจูบปากคนช่างพูดจังหวะทีเผลอ ก่อนจะผละออกมาสบตากันอีกครั้ง
“ขอแบบนี้นะ”
“อะไรอ่ะ ชานยอลก็แปรงฟันไปสิ มาขออะไรเรา” แบคฮยอนยื่นแปรงสีฟันให้ แต่คนตัวสูงกลับเอาแต่ยิ้มไม่ยอมรับแปรงไปสักที
“ผลัดกันทำมื้อเช้า แปรงฟันพร้อมกันบ้าง แล้วก็ฟังมึงพูดถึงเรื่องอะไรก็ไม่รู้ทั้งวัน”
“...”
“อีกสองปีนะ”
“...”
“เลี้ยงหมาสักตัวดีไหม”
“...”
“ไม่ชอบเหรอ?” เด็กตัวสูงเลิกคิ้วถาม พอเห็นว่ามนุษย์ฮอบบิทเอาแต่อมแปรงสีฟันไว้ในปากตอนสบตากัน
แบคฮยอนส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะเอามืออังหน้าผากตัวเองแล้วไล่มาจนถึงแก้ม เขารู้สึกร้อนไปหมดกับสิ่งที่ชานยอลกำลังพูดถึง
“เรากำลังคิดภาพตามที่ชานยอลพูด” ร่างเล็กเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งขณะสบตากัน ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มออกมาอย่างขลาดอาย “แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วอ่ะ...”
“...”
“พอเห็นว่าชานยอลวางแผนไว้เราก็ยิ่งรู้สึกดี ทั้งที่เราไม่กล้าหวังอะไรไว้มาก” แบคฮยอนกัดริมฝีปากบนที่เลอะยาสีฟันเบา ๆ เขารู้สึกดีเหลือเกินที่เห็นว่าอีกฝ่ายวางแผนอนาคตของเราไปไกลขนาดนั้น “เพราะเรากลัวว่าวันหนึ่งมันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เราก็คงเสียใจ”
“ใช่” ชานยอลเปิดน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้คนตัวเล็กบ้วนปาก “กูเคยคิดว่าตอนนี้ขอให้เรียนจบได้ก่อนเถอะ อนาคตจะเป็นไงค่อยว่ากันอีกที เพราะถ้าคาดหวังไว้สูงมาก พอทุกอย่างไม่ออกมาเป็นดั่งใจแม่งก็เฟลอีก”
“แล้วชานยอลคิดทำไมอ่ะ” แบคฮยอนถามพร้อมเปิดน้ำใส่แก้วให้ชานยอลได้บ้วนปากบ้าง
“ก็พอคิดแล้วมันมีกำลังใจนี่หว่า” เด็กตัวสูงยืนนิ่งให้อีกฝ่ายเอาผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดปากให้ ก่อนจะเท้าแขนทั้งสองข้างไว้กับซิงค์หินขัดอีกครั้ง “แล้วนั่นมันคือวิธีสร้างกำลังใจของกู”
“ชานยอลรักเราขนาดนั้นเลยเหรอ” อดไม่ได้ที่จะถาม พอเวลาผ่านไปสองปี เราได้เจอกันอีกครั้ง ทุกอย่างที่เป็นชานยอลมันดีขึ้นในขณะที่เขายังหยุดอยู่ที่เดิมกับสิ่งเดิม ๆ
คนตัวสูงยิ้มก่อนจะถอดแว่นอีกคนออก เขาเอามือรองน้ำพอให้ชุ่มมือแล้วล้างหน้าให้คนตัวเล็กอย่างเบามือ และปิดท้ายด้วยการซับผ้าขนหนูให้
“มากแค่ไหนไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แค่ว่าอยากตื่นมาทำแบบนี้ให้”
“...”
“แต่คงไม่ทำทุกวันหรอกนะ วันไหนอยากตื่นสายก็ล้างเองแล้วกัน” ชานยอลพูดกลั้วหัวเราะ “ตอนนี้แค่อยากทำให้ ในอนาคตมันอาจจะน้อยลง”
“มันคือเห่อไงชานยอล”
“ก็ให้เห่อหน่อยได้ไหมล่ะ อะไรที่เคยทำแล้วหยุดทำ มันไม่ได้หมายความว่าที่เคยเกิดขึ้นมันไม่ใช่ความจริง” ชานยอลยักคิ้ว ก่อนจะผลักหัวคนตัวเล็กที่แกล้งปั้นหน้าปั้นตากวนประสาท
ทุกครั้งที่รู้สึกเหนื่อยกับการเรียนเขาจะนึกถึงหน้ามนุษย์ฮอบบิท แล้วบอกตัวเองว่าให้อดทนหน่อย เวลามันไม่คงที่ตลอดไปหรอก สักวันหนึ่งความสำเร็จจะเดินทางมาหาเขาในที่สุด
“เราขี้เห่อเหมือนกันเลยอ่ะ เป็นคู่รักขี้เห่อ” ได้ยินอย่างนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ชานยอลบีบจมูกรั้นเบา ๆ แล้วหันหลังให้ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อย “อะไรเหรอ?”
“เห็นบอกว่าปวด เดี๋ยวพ่อวัวจะพาไปกินยา” ชานยอลหันมายิ้มแล้วพยักหน้าย้ำ และมันทำให้หัวใจของผู้รับพองโตเหลือเกิน
ร่างเล็กขยับไปกอดคอแกร่งเอาไว้ ก่อนที่ชานยอลจะสอดแขนเข้ามาใต้ขาพับแล้วกระชับให้เขาขึ้นไปอยู่ข้างหลัง แบคฮยอนเคยเห็นฉากแบบนี้ในละคร แต่เขาไม่คิดว่าจะเป็นฝ่ายที่ได้ขึ้นมาอยู่บนหลังใครสักคน นอกจากพ่อ...หมายถึงตอนที่ยังตัวสูงไม่ถึงเอวท่านน่ะนะ
ร่างเล็กเกยคางลงกับบ่าคนตัวโตกว่า เขาไม่สามารถหุบยิ้มได้กับความสุขที่เกิดขึ้นในทุกวินาทีที่เราได้อยู่ด้วยกัน
“ชานยอลต้องกินยากับเราไหม ปวดตรงไหนบ้างหรือเปล่า”
“คนทำไม่ปวดหรอก แต่ถ้าอยากให้กินเป็นเพื่อนก็ย่อมได้” ขายาวก้าวไปอย่างไม่เร่งรีบ แบคฮยอนกระชับวงแขนแล้วหัวเราะพอใจ
“ชานยอลไม่ชอบกินยาไม่ใช่เหรอ”
“เออไง เมื่อกี้กูพูดเล่น อยากหล่อให้แฟนฟินเฉย ๆ”
“โห จะโกหกว่าพูดจริงก็ได้อ่ะ พอสารภาพงี้ไม่เห็นจะหล่อเลย” แบคฮยอนเอาหัวโขกกับหัวอีกคนเบา ๆ
“หล่อแค่นี้ก็พอแล้ว เดี๋ยวมึงเขินจนไม่กล้ามองหน้ากูหนักกว่านี้แล้วจะยุ่ง” เด็กหนุ่มยิ้มขำเมื่อนึกถึงท่าทางของอีกคนที่เอาแต่หลบตาเขาอยู่บ่อย ๆ
“ชานยอลไม่อยากไปเที่ยวแน่นะ?”
“กูอยากนอนอยู่ใต้ผ้านวม แล้วก็ดูหนังที่โหลดฟรีจากอินเทอร์เน็ต” เด็กตัวสูงเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งแล้วหันไปสบตากับคนที่อยู่บนหลัง “กับมึง”
“เดี๋ยวพอชานยอลย้ายมาอยู่กับเราแล้วจะเบื่อบ้านเอานะ ถ้าไม่ออกไปไหนเลย”
“กลัวกูเบื่อบ้านหรือเบื่อมึงกันแน่” ชานยอลวางคนตัวเล็กไว้บนเก้าอี้แล้วเดินไปเอากระปุกยาแก้ปวดมาวางไว้บนโต๊ะ เราควรจะกินข้าวกันต่อหลังจากปล่อยให้มันเย็นชืดเพราะใช้เวลาไปกับการแปรงฟันนานเกินไป
“ก็เมื่อก่อนชานยอลชอบออกไปเที่ยวอ่ะ”
“เมื่อก่อนก็ส่วนเมื่อก่อนสิ ตอนนี้อยากนอนกอดมึง ได้ไหมล่ะ”
ร่างเล็กไม่ได้แย้งอะไรอีก พอได้ยินชานยอลยืนยันแบบนี้แล้วก็สบายใจขึ้นมาหน่อย แบคฮยอนคิดว่าเขาคงกังวลเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ บางทีการทำตัวให้เป็นปกติเหมือนเมื่อก่อนมันอาจจะไม่แย่อย่างที่คิดก็ได้
“แล้วพรุ่งนี้เช้าพาไปทำความเคารพพ่อตาแม่ยายด้วย”
“...”
ชานยอลเท้าคางมองยิ้ม แบคฮยอนไม่เคยคิดเลยว่าชานยอลจะนึกถึงเรื่องนี้ ไม่เคยคิดเลย มันอาจจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่การที่ผู้ชายคนนี้นึกถึงพ่อกับแม่เขา มันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าชานยอลใส่ใจมากแค่ไหน
“งั้นกินข้าวเสร็จแล้วเราไปนอนดูหนังกันนะ”
ชานยอลมองคนตัวเล็กที่ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติได้แล้ว เขาเคี้ยวข้าวอย่างไม่เร่งรีบแล้วพยักหน้าตกลง
.
.
ช่วงเย็นทั้งคู่ออกมาข้างนอกเพื่อตรงไปเช็กเอาท์โรงแรม ชานยอลลากกระเป๋าออกมาขึ้นแท็กซี่ที่ร่างเล็กนั่งรออยู่ข้างใน ระหว่างทางก็คุยกันถึงมื้อค่ำ ซึ่งก็ได้บทสรุปออกมาเป็นหม้อไฟ เพราะชานยอลอยากกิน แบคฮยอนก็เลยอยากกินด้วย
เราไปซื้อของที่ซุปเปอร์ ลากรถเข็นกันคนละมือ หยิบของที่อยากกินใส่เข้าไปราวกับว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไป พอเลือกของเสร็จหันมาดูอีกทีของเต็มรถเข็นแล้ว
“กระเป๋าฉีกแน่ฮอบบิท”
“ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้อ่ะ ชานยอลกะอยู่เป็นเดือนเลยใช่ไหมเนี่ย ดูสิ อีกสองวันจะกินยังไงหมด” แบคฮยอนค้นของดู แต่คนตัวสูงกลับเลื่อนรถเข็นหนีไปเฉยเลย “เดี๋ยวสิชานยอล ขอเราคำนวณเงินก่อน!”
ได้แต่ยืนอ้าปากหวอมองแผ่นหลังกว้างของไททันตัวโตที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ ชานยอลยังคงเหมือนเดิม ชอบหยิบของไม่จำเป็นใส่รถเข็นเยอะแยะเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด จากสภาพเงินสดที่มีอยู่ตอนนี้คงไม่พอจ่ายแหง ๆ
“เท่าไหร่อ่ะ...” แบคฮยอนกระซิบถามระหว่างแคชเชียร์กำลังคิดเงิน ชานยอลไม่ตอบคำถาม ผู้ชายคนนี้เพียงแค่ยิ้มแล้วควักกระเป๋าเงินออกมาจากกางเกงตัวเอง
“เดี๋ยวป๋าจ่ายเองนะคะ” ร่างเล็กขมวดคิ้วมองเจ้าของเสียงทุ้มต่ำแต่กวนประสาทสุด ๆ ชานยอลจ่ายเงินเสร็จสรรพก่อนจะลากรถเข็นออกไปข้างนอก
“หารสองนะ!”
“พูดมากจังฮอบบิท เก็บแรงไว้ทำหม้อไฟเถอะ” เด็กหนุ่มละมือข้างหนึ่งออกมาปิดปากคนตัวเล็กแล้วเรียกแท็กซี่ เขารู้ดีว่ามนุษย์ฮบบิทเป็นคนยังไง
“แต่บางอย่างมันไม่จำเป็นอ่ะ นมกับซีเรียลมันเยอะเกินไปนะ”
“ไม่เยอะหรอก ของพวกนี้อยู่ได้นาน มึงจะได้ไม่ต้องออกไปซุปเปอร์บ่อย ๆ”
“หา”
“อะไร” เด็กตัวสูงเลิกคิ้วมองอีกคนที่กำลังทำตาปริบ ๆ เรื่องมึนโลกแตกนี่ขอให้บอกเถอะ
“หมายความว่าชานยอลซื้อของพวกนี้ไว้ให้เราเหรอ”
“ให้หมาข้างบ้านมั้งเนี่ย ถ้ามันชอบกินซีเรียลมากกว่าข้าวคลุกตับก็เทใส่ชามแล้วไปนั่งกินเป็นเพื่อนมันนะ” ชานยอลขยับปากบ่นอุบอิบพลางมองคาดโทษมนุษย์ฮอบบิทที่เกาหัวเหมือนคนซื่อบื้ออยู่ได้ เกือบนาทีนึงเลยมั้ง กว่าไอ้นี่จะรู้ตัวว่าควรเขิน
“หูย...ทำไมชานยอลดี”
“เลิกพูดได้ละ กูหมดอารมณ์จะหล่อเลย”
“ชานยอลหล่อตั้งแต่ควักกระเป๋าเงินออกมาแล้ว อย่างงี้” คนตัวเล็กไม่พูดอย่างเดียว เจ้าตัวยังทำท่าควักกระเป๋าเงินออกมากรีดแบงค์ห้าหมื่นวอนโชว์อีกด้วย ชานยอลแค่นหัวเราะแล้วกอดคออีกคนเข้ามาอย่างหมั่นเขี้ยว
มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกกับสิ่งที่เราทำร่วมกันในวันนี้
เราใช้เวลาไปกับการนั่งกินหม้อไฟในบ้านอุ่น ๆ เกือบสามชั่วโมง แบคฮยอนจำเป็นต้องกินเยอะ ๆ เพราะชานยอลอยากให้เขามีเนื้อมีหนังกว่านี้ แต่ชานยอลไปเรียนไกลถึงเมืองนอก ที่นั่นเขาไม่ได้สอนเหรอว่าคนเราอ้วนขึ้นทันทีหลังจากกินหนักมื้อเดียวไม่ได้
ตอนนี้ข้างนอกหิมะกำลังตก เราสองคนนอนแห้งอยู่บนเตียงในเวลาเกือบสี่ทุ่ม ชานยอลลุกขึ้นไปค้นกระเป๋าเดินทางก่อนจะกลับมาพร้อมกับกล่องอะไรบางอย่าง แบคฮยอนลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วมองอย่างลุ้น ๆ
“นั่นของขวัญวันเกิดเรา”
“แสนรู้นี่” ชานยอลนั่งลงแล้วเกาคางคนตัวเล็กที่กำลังยิ้มอย่างดีใจ แต่ยังไม่ทันได้แกะกล่องของขวัญก็ต้องหุบยิ้มเมื่ออยู่ ๆ คนตัวสูงก็ลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่หน้าประตู “แกะเลย เดี๋ยวกูไปฉี่แป๊บนึง”
“เดี๋ยวเรารอชานยอลกลับมา”
“แกะเลย ไม่ต้องรอ”
“ไหงงั้นล่ะ ชานยอลจะไม่รอลุ้นกับเราเหรอ”
“กูจะลุ้นกับของที่เลือกเองกับมือทำไมวะ ประสาท” ชานยอลยิ้มขำพลางส่ายหน้าหน่าย ๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องโดยไม่มีท่าทีว่าที่พูดออกมาเมื่อกี้แค่ล้อเล่น
“อะไรอ่ะ” แบคฮยอนอ้าปากค้าง สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ประตูห้องที่เปิดทิ้งไว้ ชานยอลทำโรแมนติกมาตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เจอกันอีกครั้ง แล้วไหงอยู่ดี ๆ มาดับฝันกันแบบนี้เนี่ย
ก็ได้ เดี๋ยวพอชานยอลกลับมาเขาจะแกล้งทำเป็นไม่ตื่นเต้นให้ดู
ร่างเล็กค่อย ๆ แกะกล่องของขวัญขนาดเหมาะมืออย่างตั้งใจ แม้ว่าหลังจากนี้มันคงถูกชานยอลเก็บเอาไปทิ้งขยะเพราะคิดว่าไม่จำเป็นแล้ว เขาคิดว่าการกระชากกระดาษห่อของขวัญจนขาดมันเป็นการทำร้ายจิตใจคนห่อเกินไป ถึงบางทีชานยอลจะไปจ้างคนอื่นห่อมาก็ตาม
“โอ๊ะ”
แบคฮยอนหยิบแว่นแฟชั่นหน้าตาแปลก ๆ ขึ้นมาเพ่งมองใกล้ ๆ แล้วพลิกซ้ายขวา ก่อนจะควานเศษกระดาษในกล่องแต่ก็ไม่เจออะไรอีก ทำไมมันดูเหมือนของที่ซื้อตามร้านแผงลอยข้างฟุตปาธเลยล่ะ นี่นำเข้าจากอเมริกาจริง ๆ เหรอเนี่ย
เขากำลังรู้สึกผิดหวังอยู่ลึก ๆ งั้นเหรอ แบคฮยอนไม่ได้อยากรู้สึกอย่างนี้เลยจริง ๆ นะ คือไม่ว่าชานยอลจะให้อะไรมันก็ดีทั้งนั้นนั่นแหละ แต่แว่นหน้าตาแปลก ๆ นี่มันคืออะไร ไม่ใช่แว่นสายตาด้วย และถึงเป็นแว่นสายตาจริง ๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะกล้าใส่ออกนอกบ้านไหม
แกร่บ!
“โอ๊ะ!”
ร่างเล็กเบิกตาอย่างตกใจเมื่ออยู่ ๆ ขาแว่นข้างหนึ่งมันก็หลุดออกมาเสียอย่างนั้น ต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ นี่เพิ่งจะหยิบมันขึ้นมาดูเมื่อกี้เองนะ ถ้าเขวี้ยงไปรอบ ๆ ตัวก็ว่าไปอย่างอ่ะ ถึงลึก ๆ จะแอบผิดหวัง (รู้สึกผิดจัง) แต่ก็ใช่ว่าเขาจะแกล้งทำมันพังสักหน่อย
“...”
“ชานยอล!!”
แบคฮยอนผงะพอหันไปอีกทีก็เห็นว่าคนตัวสูงยืนกอดอกอยู่หน้าประตูแล้ว สีหน้าคนให้ของขวัญดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เขาไม่สามารถจินตนาการดราม่าที่กำลังจะเกิดขึ้นได้เลยหลังจากทำอิมพอร์ตจากอเมริกาพัง
“เราไม่ได้ตั้งใจนะ เราเพิ่งหยิบออกมาแล้วอยู่ดี ๆ มันก็หักอ่ะ” แบคฮยอนลนลานอธิบาย แต่สีหน้าชานยอลก็ยังไม่ต่างไปจากทีแรก
คนตัวสูงนั่งลงบนเตียงแล้วมองหน้ามึน ๆ ของเขาสลับกับแว่นขาหักในมือ เสียงถอนหายใจแบบนั้นคืออะไร ชานยอลกำลังจะโกรธใช่ไหม แบคฮยอนควรจะอธิบายให้มากกว่านี้
“เรา...”
อุ่ย...
“รู้ไหมว่ามันกี่เหรียญ”
“ไม่รู้อ่ะ...”
“กว่าจะทำงานพิเศษได้ ทำไมไม่รักษาของให้ดี”
“เรารู้ว่ากว่าจะได้เงินชานยอลคงลำบากมาก แต่เราไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะ พอแกะกระดาษออกเราก็วางไว้อย่างงี้ แล้วเราก็หยิบขึ้นมา...ดังกร๊อบเลย” แบคฮยอนทำท่าทางประกอบเรียกร้องความเห็นใจ แต่ชานยอลก็ยังเอาแต่ทำหน้ามึนตึงอยู่นั่น
“มือข้างไหนทำมันพัง”
“หูย...ชานยอลอ่ะ ไม่เอางี้สิ” จะให้ทำยังไงถึงจะเข้าใจ ชานยอลยังคงทำหน้าโหดเหมือนเดิมแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เขารีบตอบมาสักที “มือขวาก็ได้อ่ะ...”
“แบมือออกมา”
“จะตีเราเหรอ แฟนที่ดีเขาไม่ตีแฟนกันหรอกนะ”
“แบ – มือ – ออก – มา”
“แบแล้วคับ” ร่างเล็กเม้มปากแน่นหลังจากรีบขานตอบอย่างเอาใจ แบคฮยอนหลุบตาลงมองอีกคนที่ประคองมือเขาไปแล้วลูบ ๆ ฝ่ามือเตรียมฟาด โห...โหดจริงอ่ะท่าทาง
“อยากให้กูตีกี่ที”
“ถ้าชานยอลรักเรา ชานยอลจะตีแค่ทีเดียว”
“หึ”
อุตส่าห์ขอความเห็นใจแล้วยังจะหึใส่อีก แบคฮยอนได้รู้วันนี้แล้วว่าการเป็นนักเรียนนอกทำให้ชานยอลอบอุ่นขึ้น แต่ก็ทำให้แอบโหดขึ้นนิดนึงด้วยเหมือนกัน
ร่างเล็กหลับตาแน่น ถ้าชานยอลฟาดลงมาทีเดียวเลยก็คงดีหรอก แต่ถ้าตีแล้วต้องหายโกรธนะ เดี๋ยวออกไปหากาวตาช้างมาแปะแล้วใส่ให้ดูเลยก็ได้อ่ะ
ความคิดที่อยู่ในหัวเมื่อครู่จางหายไปในพริบตาเมื่อรู้สึกได้ถึงโลหะเย็น ๆ สวมเข้ามาในนิ้วนางข้างขวา แน่นอนว่าเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บเพราะมันแน่ ๆ แบคฮยอนลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่มองเห็นคือรอยยิ้มของคนตัวโตกว่า ก่อนสายตาจะหลุบลงมองนิ้วมือตัวเองที่สอดประสานกับมือใหญ่ แล้วก็ได้พบว่าแหวนที่เพิ่งสวมใส่ที่นิ้วนางเมื่อครู่ มันหน้าตาเหมือนแหวนที่สวมอยู่กับนิ้วก้อยข้างซ้ายของชานยอล
“ชอบไหม”
แบคฮยอนไม่รู้ว่าจะต้องตอบยังไงหลังจากได้ยินคำถามนี้ รู้สึกเหมือนถูกตบหัวแล้วลูบหลังยังไงอย่างนั้น ร่างเล็กทำตาปริบ ๆ ก้มลงมองมือตัวเองกับมือชานยอลใกล้ ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน
“อะไรอ่ะ”
“ยังจะถามอีกเหรอว่าอะไร” ราวกับว่าคำถามของมนุษย์ฮอบบิทกลืนรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไปยังไงอย่างนั้น ปาร์คชานยอลได้แต่ถามตัวเองว่าแฟนของเขาแกล้งโง่หรือว่าโง่อย่างตั้งใจกันแน่ แบคฮยอนเกาหัวแล้วอ้าปากพยักหน้าเข้าใจ
“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นของตบตาเรานี่เอง” ร่างเล็กหยิบแว่นขาหักขึ้นมาระดับใบหน้าแล้วสบตากับคนตัวโตกว่า “เราก็ว่าทำไมชานยอลแปลก ๆ ที่ให้เรานั่งแกะของขวัญคนเดียว”
แบคฮยอนเอาแต่ยิ้มตอนมองแหวนในมือ ชานยอลพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เขาไม่อยากแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นว่ากำลังอายมากแค่ไหนกับแผนการบ้า ๆ ที่วางเอาไว้เพราะอยากเซอร์ไพรส์แฟนอีกแล้ว
ร่างเล็กหันหลังแล้วขยับเข้าไปนอนพิงกับอกแกร่ง ชานยอลหลุดยิ้มออกมาเมื่อมนุษย์ฮอบบิทจับมือทั้งสองข้างของเขามากอดเอวตัวเองไว้ ได้ยินเสียงงึมงำอยู่คนเดียว แต่พอจะจับใจความได้ว่า
‘เหมือนถูกขอแต่งงานเลยอ่ะ ไม่สิ แบบนี้ต้องเรียกว่าหมั้นไว้ก่อน พอเรียนจบแล้วค่อยแต่งงานกัน...ไม่สิ เราเป็นผู้ชายแต่งงานกันไม่ได้ งั้นเราแต่งกันเองสองคนได้ไหมอ่ะ...’
ชานยอลเพียงแค่ยิ้มพร้อมกระชับกอดแล้วกดจูบลงบนขมับอีกคนเบา ๆ เขาจะไม่รับปากให้แบคฮยอนต้องรอ แต่ถ้าเวลานั้นมาถึง แน่นอนว่าเขาจะไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉย ๆ โดยที่ไม่ทำอะไร
แค่อดทนรออีกหน่อย...
ทั้งคู่ไปไหว้หลุมศพพ่อกับแม่แบคฮยอนด้วยกัน สีหน้าชานยอลดูจริงจังมากตอนทำพิธีเคารพหลุมศพ และพิธีซังโย โดยการเอาอาหารและเครื่องดื่มเซ่นไหว้ อากาศวันนี้ก็ยังคงหนาวเหมือนกับเมื่อวาน เราสองคนใช้เวลาอยู่ตรงนี้สักพัก ก่อนที่ชานยอลจะหันมาบอกกับเขาว่า ถ้าได้อยู่ด้วยกันเมื่อไหร่จะมาช่วยทำความสะอาดหลุมศพอีกที เพราะสภาพอากาศตอนนี้คงไม่สะดวกนัก
สี่วันเต็ม ๆ กับการได้อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา จะเรียกว่าสั้นก็สั้น แต่มันก็มากเกินพอสำหรับคนที่ต้องกลับไปสานต่อความสำเร็จอย่างชานยอล แบคฮยอนไม่ได้ถามว่าถ้าเรียนจบแล้วจะเป็นยังไง ปัญหามันจะจบง่าย ๆ แค่นั้นจริงเหรอ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกเก็บมันไว้ในใจ เพราะไม่อยากทำลายช่วงเวลาดี ๆ ของเรา
ทั้งสองคนยืนอยู่หน้าชานชาลาสถานีรถไฟมกโพ วันนี้ผู้คนคับคั่งเพราะเป็นช่วงเวลาเดินทางกลับไปใช้ชีวิตเหมือนอย่างเคย เราไม่ได้จับมือกัน แบคฮยอนเพียงแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชานยอลตอนรอรถไฟ
หลายครั้งที่ปลายนิ้วแตะกัน เสียงผู้คนที่ลอดเข้ามาในหูเป็นสิ่งเดียวที่บอกให้รู้ว่าปาร์คชานยอลควรหักห้ามใจตัวเองให้มาก แบคฮยอนยังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน เขาไม่อยากให้คนอื่นมองคนรักของเขาเป็นตัวประหลาด เพียงเพราะว่าเราจับมือหรือกอดกัน
“แบคฮยอน”
“คับ”
“หันหลัง”
“...”
แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตัวสูงที่กำลังยิ้มให้เขา มันไม่ใช่รอยยิ้มของความเศร้าหลังจากที่พวกเรารู้ว่าความสุขในปีนี้สิ้นสุดลงแล้ว แต่มันคือรอยยิ้มที่กำลังบอกให้เขาเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี
ร่างเล็กยืนหันหลังให้กับรางรถไฟตามที่อีกคนบอก เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น รถไฟ KTX ก็เคลื่อนตัวเข้ามาเทียบชานชาลา
ผู้คนทยอยเข้าไปข้างในเรื่อย ๆ แต่ชานยอลยังคงไม่ไปไหน แบคฮยอนคิดว่าสิ่งที่เขาอยากทำในตอนนี้ไม่ใช่การยืนหันหลังข้าง ๆ คนตัวสูง แต่เขาอยากจะกอดหรือพูดอะไรสักอย่างก่อนที่เราจะไม่ได้เจอกันอีกสามร้อยหกสิบวัน
“...”
แบคฮยอนรู้สึกได้ถึงมือแกร่งเพิ่งวางลงบนศีรษะของเขา ชานยอลเพียงแค่ลูบเบา ๆ โดยที่ไม่พูดอะไร หรือบางทีตอนนี้คำพูดทั้งหลายอาจจะไม่จำเป็นแล้ว เพราะตลอดสี่วันที่ผ่านมา เราสองคนก็ใช้เวลาร่วมกันไปกับการทำความเข้าใจ
“จำได้ไหมว่าบอกอะไรไว้บ้าง”
“เราจำได้”
“กินข้าวเยอะ ๆ จะได้มีเนื้อมีหนังมากกว่านี้” ชานยอลเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ตอนนี้ประตูยังไม่ปิด เขายังมีเวลาอีกสิบวิในการย้ำเตือนคนตัวเล็ก “กูจะไม่หักโหมทำงานพิเศษเพื่อหาเงินค่าตั๋วเครื่องบิน แต่จะเปลี่ยนเป็นค่อย ๆ ทยอยเก็บแทน เราจะได้มีเวลาคุยกันมากขึ้น”
การคุยกันแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะแบคฮยอนไม่รู้ว่าตอนนี้ชานยอลกำลังทำสีหน้าแบบไหน การจากลามันเป็นเรื่องเศร้าทั้ง ๆ ที่เขาก็เข้าใจ ว่าครั้งนี้มันไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่ก็อดหดหู่ไม่ได้เลย
“ชานยอล”
“อืม”
“ถ้าขึ้นรถไฟแล้วก็อย่าหันกลับมาจนกว่าขบวนจะออกนะ” ชานยอลไม่ได้ตอบในทันที จนกระทั่งสัญญาณดังเตือนว่าอีกไม่กี่วินาทีรถไฟจะเคลื่อนตัวออกนั่นแหละ เขาถึงได้ขานตอบในลำคอ
“แล้วเจอกันใหม่นะ”
“แล้วเจอกัน”
ประโยคบอกลาธรรมดาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก แบคฮยอนคิดว่าที่ออกมาเป็นแบบนี้มันอาจจะดีกว่าการกอดสั่งลากัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้น เขาอาจจะไม่อยากปล่อยให้ชานยอลไปก็ได้
เสียงล้อของกระเป๋าลากออกไปแล้ว ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเสียงประตูก็ปิดลง แบคฮยอนยังคงยืนหันหลังให้กับรางรถไฟ ความต้องการของชานยอลคือให้เขาเดินออกไปจากตรงนี้โดยที่ไม่ต้องหันกลับไป
เสียงรถไฟกำลังเคลื่อนตัวออก แบคฮยอนกำมือแน่นแล้วหายใจเข้าลึก ๆ ยังไงดีนะ...เขาอยากหันกลับไปมองหน้าชานยอลอีกสักหน่อย ซึ่งถ้าหันหลังกลับไป บยอนแบคฮยอนสัญญาว่าจะไม่เจ็บปวดกับการเห็นชานยอลต้องไป
“...”
สุดท้ายหัวใจก็เอาชนะสมอง ร่างเล็กเอี้ยวตัวหันเข้าหารถไฟเพื่อที่จะได้มองชานยอลอีกครั้ง แต่ภาพที่เห็นมันทำให้เขาตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อคนที่บอกว่าจะหันหลังให้ชานชาลา กลับมองมายังเขาผ่านกระจกในโบกี้รถไฟเช่นกัน
เด็กตัวสูงยิ้มบาง ๆ เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นระดับหัวไหล่เพื่อโบกมือลาคนตัวเล็ก เราทั้งคู่ต่างผิดสัญญาด้วยกัน แต่บนใบหน้าของเด็กหนุ่มทั้งคู่กลับมีแต่รอยยิ้ม และวันนี้ปาร์คชานยอลก็ได้รู้แล้วว่า การสบตากันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกเดินทาง มันไม่ใช่เรื่องแย่อย่างที่คิด หากว่าเราทั้งคู่ยิ้มรับความหวังเพื่อกันและกัน
รถไฟเคลื่อนตัวออกไปทุกทีแล้ว แบคฮยอนเริ่มเดินตามก่อนจะเร่งจังหวะเป็นวิ่งในที่สุด เขายังอยากมองหน้าชานยอลต่ออีกหน่อย แค่วินาทีเดียวก็ยังดี
“เรา – รัก – ชาน – ยอล”
แม้จะไม่ได้ยินเสียง แต่การแกะคำพูดผ่านริมฝีปากอีกฝ่ายก็ทำให้เขาอบอุ่นไปทั้งหัวใจ ชานยอลไม่สามารถหุบยิ้มได้ มันคงไม่ดีแน่ถ้าปล่อยให้มนุษย์ฮอบบิทขาสั้นเอาแต่กึ่งวิ่งกึ่งเดินแบบนี้ไปจนสุดชานชาลา ชานยอลยิ้มขำกับท่าทางคนตัวเล็ก
แล้วพูดแบบไม่ออกเสียง เพื่อให้อีกคนอ่านคำนั้นผ่านทางริมฝีปากของเขา
“รัก – เหมือน – กัน”
“แบคฮยอน”
“ครับพี่?”
“นี่จดหมายของนายใช่ไหม ไปรษณีย์มาหยอดตู้บ้านพี่เฉยเลย”
“ใช่ครับ ของผมเอง ขอบคุณมากนะครับพี่ฮโยลิน”
แบคฮยอนโค้งหัวขอบคุณหญิงสาวผิวแทนผู้ซึ่งเป็นสะใภ้บ้านข้าง ๆ ที่เพิ่งแต่งเข้ามาได้สามเดือน เธอทำมือปัด ๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยสภาพชุดคลุมอาบน้ำ ร่างเล็กถูปลายจมูกขณะมองซองจดหมายสีขาว ชื่อคนส่งมามีเพียงแค่ตัวย่อว่า K.J เท่านั้น
แบคฮยอนเปิดประตูเข้าไปในบ้าน วางหนังสือกับแฟ้มเกี่ยวกับการเกษตรลงแล้วถอดเสื้อตัวนอกออก วันนี้อากาศดี แต่เพราะเด็กเรียนจบใหม่อย่างเขาถูกผู้ใหญ่ทาบทามให้ไปช่วยให้ความรู้ชาวบ้านเกี่ยวกับพืชพันธุ์ธัญญาหาร รวมไปถึงปุ๋ยแต่ละชนิดที่ควรใช้ให้ถูกต้อง เลยกลายเป็นว่าตอนนี้เขาต้องการที่จะอาบน้ำมากที่สุด
ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วแกะซองจดหมายออกอย่างใจเย็น แล้วก็พบว่ามีซองสีครีมสอดอยู่ข้างในอีกที คนตัวเล็กขมวดคิ้วขำ ใครที่ไหนกันนะที่ใส่ซองจดหมายซ้อนกันหลายชั้นแบบนี้ แต่พอแกะซองออกเท่านั้นแหละ บยอนแบคฮยอนถึงได้รู้ว่าทำไมเจ้าของซองจดหมายถึงได้ใส่มันมาหลายชั้นแบบนี้
‘ขอเรียนเชิญท่านเพื่อเป็นเกียรติ และร่วมรับประทานอาหาร เนื่องในพิธีสมรสระหว่าง คิมจงแด และ ฮันซอนฮวา’
“หา?”
แบคฮยอนขมวดคิ้วอ้าปากค้าง ก็รู้หรอกนะว่าสองคนนั้นคบกันมาสองปีแล้ว แต่การแต่งงานหลังจากเรียนจบได้ไม่ถึงสามเดือนนี่มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ ไม่สิ...ข้างล่างเขียนเพิ่มไว้ว่างานแต่งจัดอีกสามเดือนข้างหน้า แต่พูดก็พูดเถอะ หกเดือนเองนะ จงแดเพิ่งหางานทำเป็นหลักเป็นแหล่งได้ไม่นานนี้เอง
“อะไรกัน ทำไมดูฉุกละหุกจังเลยล่ะ” แบคฮยอนพึมพำกับตัวเองแล้วล้วงสมาร์ทโฟนออกมาจากกางเกงเพื่อโทรหาคยองซู หน่วยข่าวกรองที่ดีที่สุด “ฮัลโหลคยองซู ว่างไหมอ่ะ”
( มันก็อยู่ที่ว่าเรื่องที่จะคุยเป็นเรื่องอะไรน่ะ )
“แสดงว่าคยองซูต้องว่าง เพราะเราจะโทรมาถามเรื่องแต่งงานของจงแดกับซอนฮวา” ถึงจะอยู่ห่างกัน แต่พวกเราก็ยังมาพบปะสังสรรค์กันบ้างปีละครั้ง แล้วก็ไม่เคยมีความลับต่อกันด้วย เรื่องนี้จงแดต้องเคลียร์
( นายเห็นการ์ดแต่งงานเห่ย ๆ นั่นแล้วสินะ )
“ใช่ เราเพิ่งได้เมื่อกี้เอง”
( ฉันล่ะอายแทนจริง ๆ อารมณ์เหมือนลูกสาวกำนันแต่งงานกับคนเลี้ยงควายท้ายหมู่บ้านยังไงอย่างนั้น การ์ดแต่งงานนี่ถามหน่อยว่าใช้โฟโต้ช็อปทำจริงเหรอ นึกว่าเอาขาหน้าละเลง )
“คยองซูรู้มานานแล้วใช่ไหม?”
( ก็เพิ่งรู้ตอนมันสั่งทำการ์ดเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ ฉันเพิ่งวางสายจากจุนมยอนไปเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วเอง หมอนั่นก็ตกใจเหมือนกัน )
“เกิดอะไรขึ้นอ่ะ...อย่าบอกนะว่าซอนฮวาท้อง...”
( ไม่ท้องหรอก ยัยนั่นเป็นฝ่ายอยากแต่งงานเร็ว ๆ เอง เธออ้างเหตุผลว่าไม่อยากให้ผู้หญิงที่ไหนมองไอ้หมอนั่นอีก เฮ้อ ก่อนจะหวงนี่ช่วยดูเหง้าหน้าแฟนตัวเองด้วยก็จะดีมาก )
“จงแดฟินเลยสิงี้”
( จะไม่ฟินได้ไง พ่อแม่ฝ่ายหญิงชอบไอ้จงแดชนิดว่าจะเป็นฝ่ายยกขันหมากไปขอมันเองเลยล่ะ ไหนจะแฟนสวย รวย เก่ง ขี้อ้อน แถมขาสวยด้วย )
“เดี๋ยวนะคยองซู” แบคฮยอนหรี่ตาลงทันทีที่รู้สึกได้ว่าประโยคหลังมันแปลก ๆ
( ตัดอันหลังไปก็ได้ เอาเป็นว่าเพื่อนเรามันตกถังข้าวสาร นายต้องมานะแบคฮยอน ไอ้หมอนั่นแพลนไว้ว่าอยากให้เพื่อนเจ้าบ่าวสมัยม.ปลายขึ้นไปร้องเพลงในงานแต่งด้วยกัน )
“แล้วเพื่อนที่มหาลัยล่ะ”
( มันมีเพื่อนซะที่ไหนล่ะ ติดเมีย...เอ๊ย...ติดแฟนซะขนาดนั้น เราคือผู้โชคร้ายไม่รู้เหรอ )
แบคฮยอนหัวเราะ สิ่งที่เขากับคยองซูควรทำในตอนนี้คือการอวยพรให้เพื่อนมีความสุขมากกว่ามานินทาเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ มากกว่าไม่ใช่เหรอ
( เห็นว่าคิมจงอินก็จะไปนะ แต่หวงจื่อเทาต้องรอดูอีกที ส่วนปาร์คชานยอลนี่ยังไม่รู้ว่าไง เพราะต้องฝากสองคนนั้นติดต่อไป หรือถ้านายได้คุยกับหมอนั่นก็เกริ่น ๆ ไปก่อนก็ได้นะ )
“ได้เลย”
( ว่าแต่มีสูทหรือยังล่ะ ถ้าไม่มีก็มาเช่าได้นะ แถวบ้านฉันมีร้านราคาถูกอยู่ )
“โอเค ถ้าใกล้ถึงวันแล้วจะบอกอีกทีนะ”
( ได้ )
หลังจากที่วางสายแบคฮยอนก็ทิ้งตัวลงนอนกับโซฟา สายตาจับจ้องไปยังเพดานบ้านให้ความเงียบช่วยคลายอาการเหนื่อยล้าจากการทำงาน ร่างเล็กยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตจนมาถึงปัจจุบัน นี่พวกเราโตขึ้นจนต้องไปงานแต่งของเพื่อนแล้วสินะ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าสองคนนั้นจะลงเอยกันได้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนซอนฮวาแทบจะไม่สนใจจงแดเลยด้วยซ้ำ แต่พอขึ้นมหาลัยทุกอย่างก็เปลี่ยนไป จงแดกลับกลายเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดสำหรับเธอไปโดยปริยาย และนั่นทำให้รู้ได้ว่าผู้หญิงบางคนก็ไม่ได้ต้องการผู้ชายหล่อ รวย อบอุ่น เพราะที่เธอต้องการจริง ๆ ก็แค่ผู้ชายที่รักและดูแลเธอคนเดียวเท่านั้น
ก๊อก ๆ
“แบคฮยอน!”
“ครับพี่โฮลิน!”
ร่างเล็กหลุดออกจากความคิดแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู ตั้งแต่เธอย้ายเข้ามาอยู่บ้านรุ่นพี่ที่รู้จักกันตอนเป็นเด็กในฐานะภรรยา แบคฮยอนก็ได้แต่คิดว่าโลกนี้ยังมีปัญหาให้เขาต้องแก้ไขอีกเยอะ ยกตัวอย่างเช่นวิธีช่วยหมาที่อ้วกออกมาเป็นหญ้า ทั้งที่เคยบอกไปแล้วว่าอย่าปล่อยหมาไว้กับหญ้าพี่ฮโยลินก็ไม่เคยฟังเลย
“ว่าไงครับ”
“วันนี้หมาฉันไม่ได้อ้วกหรอกนะ”
อุ่ย...อย่างกับอ่านใจผ่านทางสีหน้าออกยังไงอย่างนั้น แบคฮยอนยิ้มเจื่อนพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เขาไม่ได้ใจแคบจนรำคาญเธอหรอกนะ
“ไปแจกใบปลิวประกาศขายบ้านไว้หรือไง?”
“หา?”
“ไม่สิ ฉันหมายถึงใบปลิวประกาศหาคนช่วยหารค่าบ้าน” ยิ่งอีกฝ่ายอธิบายแบคฮยอนก็ยิ่งงงไปใหญ่ ร่างเล็กรับกระดาษเอสี่ที่ถูกตกแต่งด้วยโฟโต้ช็อปเป็นเรื่องเป็นราวมาดูแล้วก็ยิ่งงง
“นายอยู่คนเดียวก็จริง แต่สามีฉันบอกว่าบ้านหลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่ไม่ใช่เหรอ แล้วยังจะหาคนมาหารอะไรอีกล่ะ” เธอเคี้ยวหมากฝรั่งพลางเท้าเอวมองเด็กหนุ่มตรงหน้า
“ผมเปล่านะ”
“จะเปล่าได้ไง จะบอกว่าไอ้กระดาษแผ่นนี้ดัมเบิลดอร์เป็นคนเสกมันขึ้นมาเหรอ” จากที่บ่นเก่งอยู่แล้ว ตอนนี้แบคฮยอนยิ่งรู้สึกว่าพี่ฮโยลินบ่นเก่งเข้าไปอีก เด็กหนุ่มส่ายหน้าพรืด เขายังคงยืนยันว่าไม่ใช่ฝีมือตัวเอง บางทีอาจจะมีคนแกล้งก็ได้
“พี่ไปเจอไอ้นี่จากที่ไหน”
“มีคนมาถามหาบ้านหลังนี้ เขากำลังหาที่พักอยู่” เธอว่าแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ บ้าน “แต่มีคนหารด้วยก็ดีเหมือนกันนะ นายก็อยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ ถ้าให้ใครสักคนมาอยู่ด้วยก็คงไม่เสียหาย แถมได้เงินใช้เพิ่มอีกต่างหาก ผู้ชายคนนั้นท่าทางจะต้องการบ้านด่วนเพราะเห็นลากกระเป๋าเดินทางมาด้วย ต่อให้โก่งราคาหน่อยก็คงเอาอยู่ดี ดูจากภายนอกท่าทางจะเป็นคนมีเงินอยู่ ถ้านายตกลงเดี๋ยวฉันเรียกให้เลย”
“เขาอยู่ที่นี่เหรอครับ?” แบคฮยอนเบิกตากว้าง เขาไม่ได้ตั้งใจจะหาคนมาหารค่าบ้านอะไรทั้งนั้น แล้วจะให้ปฏิเสธยังไงดี บอกว่ามีคนอุตริทำใบปลิวประกาศแบบนี้น่ะเหรอ แล้วเขาจะต้องปฏิเสธอีกสักกี่คน ไม่รู้ด้วยว่ามันถูกแจกไปกี่ใบแล้ว
“น้องจ๋า เชิญเข้ามาได้เลยค่ะเจ้าบ้านนางพร้อมคุยแล้ว” หญิงสาวเสียงใสตะโกนออกไปข้างนอก
แบคฮยอนเห็นกลุ่มผมสีอ่อนที่โผล่พ้นรั้งกำแพง คาดว่าผู้ชายคนนั้นคงตัวสูงพอสมควร ร่างเล็กถอนหายใจแล้วก้มลงมองดูใบปลิวในมืออีกครั้ง ถ้าปฏิเสธผู้ชายคนนั้นไป เห็นทีว่าเขาคงต้องเป็นธุระหาโรงแรมให้อยู่สักคืนแล้ว
สายตาจับจ้องไปที่รองเท้าหนังมันเงาที่ก้าวเข้ามา ก่อนที่สายตาจะค่อย ๆ เลื่อนลำดับขึ้นไปตามลำดับ ขายาวหยุดยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านพร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ผู้ชายในชุดโทนสีเข้มรูปร่างภูมิฐาน เข้ากับทรงผมที่ถูกเซ็ทขึ้นเป็นอย่างดีนั้น...
บยอนแบคฮยอนคิดว่า...เขารู้จักผู้ชายคนนั้นเป็นอย่างดี...
“นี่ไงคะ บ้านที่น้องกำลังตามหาอยู่”
“ขอบคุณมากนะครับพี่สาว”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ถ้าน้องได้อยู่บ้านหลังนี้ พี่ก็ยินดีที่จะเป็นเพื่อนบ้านเสมอ” เธอระเบิดหัวเราะออกมาจนหมดคราบสาวสวยอกอึ๋ม ก่อนจะหันมาทางรุ่นน้องข้างบ้านที่ยืนอึ้งโดยที่ไม่พูดอะไร ก็พอจะเข้าใจหรอกนะ ตอนเธอเจอผู้ชายคนนี้ครั้งแรกก็อึ้งเหมือนกัน เห็นหล่อ ๆ มากดออดหน้าบ้านคิดว่าจะโดนจีบ แต่ที่ไหนได้มาถามทาง
นี่คือความคิดของหญิงสาวที่มีสามีแล้วและวางแผนว่าจะมีลูกกันสักสองคน
“นั่นเจ้าของบ้าน ชื่อบยอนแบคฮยอน เพิ่งเรียนจบเอง น่าจะอายุห่างจากน้องไม่มาก แต่น้องมันนิสัยดีนะ” ฮโยลินยังคงสาธยายความดีของน้องชายข้างบ้านให้คนแปลกหน้าฟัง มันจะดีนะถ้าผู้ชายคนนี้ย้ายเข้ามาเป็นอาหารตาให้เธอชมบ้าง
“สวัสดีครับ ผมมาขอหารค่าบ้าน”
“หา?”
“ผมพูดเบาไปสินะ” ชายหนุ่มร่างสูงพูดกลั้วหัวเราะด้วยท่าทีสุภาพ “ผมบอกว่าผมขอหารค่าบ้านกับคุณน่ะครับ”
ร่างเล็กยืนนิ่ง เขาไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรในสถานการณ์แบบนี้กับละครที่อีกฝ่ายกำลังแสดง แน่นอนว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคงไม่ใช่ผู้ชายหน้าเหมือนปาร์คชานยอลอย่างในละครช่วงค่ำแน่ ๆ
แบคฮยอนอ้าปากเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง เช่น ‘กลับมาจากอเมริกาตั้งแต่เมื่อไหร่’ อะไรอย่างนี้มากกว่าการมาคิดคำถามในหัวว่าควรจะแกล้งโง่แล้วเล่นกับชานยอลดีไหม
“เอ่อ...”
หญิงสาวมองเด็กหนุ่มทั้งสองคนสลับไปมา ในทีแรกน้องหน้าหล่อก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่หรอก พอเห็นว่าแบคฮยอนมันมัวแต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่ยอมตอบคำถาม น้องหน้าหล่อเลยจะหมดความอดทน
“คือ...”
“กูบอกว่าขอหารค่าบ้านด้วย หูแตกหรือไงไอ้บ้านนอก”
หญิงสาวผิวแทนสะดุ้ง ในขณะที่แบคฮยอนเพียงแค่ยืนทำตาปริบ ๆ มองคนตัวสูงที่กำลังสบถด่าแบบไม่มีเสียง ตอนนั้นแหละเขาถึงได้ยิ้มออกมา แบคฮยอนชอบเวลาชานยอลหงุดหงิดหลังจากเซอร์ไพรส์ไม่สำเร็จจริง ๆ
“ใจเย็น ๆ ลูก...”
“ไม่เย็นแล้ว มึงจะหารไม่หารบอกมาคำเดียว” ประโยคแรกตอบฮโยลิน ส่วนประโยคหลังหันมาเหวี่ยงเจ้าของบ้าน
แบคฮยอนไม่ตอบคำถาม เขาเพียงแค่ยืนนิ่ง ๆ แล้วทำท่าเหมือนจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อคนตัวสูงตรงมาทางนี้แล้วเปิดประตูบ้าน ก่อนจะโยนกระเป๋าเดินทางเข้าไปอย่างถือวิสาสะในสายตาของหญิงสาวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างฮโยลิน
“อะไรอ่ะ เราไม่ให้อยู่นะ”
“ทำไมไม่ให้อยู่”
“เราไม่ยอมหารด้วยหรอก เอาของออกไปเลย”
“กูไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ”
“ถ้าไม่ยอมไป เราจะเอาตลับเมตรมาไล่”
ทั้งคู่สบตากันอย่างหยั่งเชิงแล้วปั้นหน้าปั้นตากลั้นยิ้มเอาไว้ หญิงสาวมองเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่กำลังฟาดฟันกันทางคำพูดด้วยท่าทางแปลก ๆ แล้วก็ได้แต่สงสัย ไอ้เด็กสองคนนี้มันเถียงกันประสาอะไรเธอไม่เข้าใจ แต่มันคงดีกว่านี้ถ้าเธอหลบมวยกลับบ้านไปแล้วแกล้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“จะให้ขนออกไปไหนวะ นี่เพิ่งโดนพ่อไล่ออกจากบ้าน”
“ทำไมโดนไล่ล่ะ เกิดอะไรขึ้น?” จากที่จะเล่นต่ออีกหน่อย เลยต้องเปลี่ยนเป็นโหมดห่วงใยทันที ชานยอลไม่ตอบคำถาม เขาเพียงแค่มองซ้ายขวา พอเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่แล้วก็โอบไหล่คนตัวเล็กเข้าไปในบ้านด้วยกัน
แบคฮยอนหันหน้าเข้าหาคนตัวโตอย่างร้อนใจ ถึงจะอยากพูดถึงเรื่องมาเซอร์ไพรส์ถึงที่นี่ แต่เขาก็เป็นห่วงเรื่องบ้านที่โซลของชานยอลมากเกินกว่าจะลำดับความสำคัญของเรื่องอื่นมาแทนได้
จริงอยู่ที่แบคฮยอนรอวันนี้มานานหลายปี กับวันที่เราทั้งคู่เรียนจบและได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งเขาก็รู้ด้วยว่ามันต้องมีวันนี้ วันที่ชานยอลอาจจะเข้าหน้ากับคุณลุงไม่ติด ถ้าเกิดพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเราออกไป
“ชาน...”
ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม มือแกร่งก็โอบใบหน้าเขาเข้าไปจูบอย่างดูดดื่มเสียแล้ว ชานยอลรั้งร่างคนตัวเล็กให้เข้ามาในอ้อมกอดก่อนจะปรับองศาใบหน้าเพื่อรสจูบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ชานยอลคิดว่าตอนนี้มันไม่ใช่ช่วงเวลาสำหรับเกมถามตอบ ในเมื่อมีสิ่งที่เขาอยากทำมากกว่านั้น
แบคฮยอนกอดตอบแล้วปล่อยให้ความคิดถึงทำหน้าที่ของมัน เราจูบกันอยู่อย่างนั้นก่อนจะผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ชานยอลคลอเคลียปลายจมูกรั้นอย่างหลงใหลแล้วกดจูบซ้ำลงไปอีกครั้งอย่างหมั่นเขี้ยว
“บอกเราก่อนได้ไหมว่าทำไมถึงถูกคุณลุงไล่ออกจากบ้าน”
“ถ้าไม่บอกจะไม่ให้อยู่ด้วยเหรอ?” เด็กตัวสูงยิ้มขำ จนถึงตอนนี้มนุษย์ฮอบบิทก็ยังแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่าเป็นกังวลเรื่องของเขา
“ได้สิได้ แต่เราเป็นห่วง ถ้าเรารู้แล้วจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาไง”
ชานยอลมองคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู มือแกร่งโอบใบหน้าขาวเอาไว้พลางใช้นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามแก้มเนียนอย่างเบามือ ดวงตาคู่นั้นที่เคยมองเขายังไง ในวันนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนไป
และเขาจะไม่ยอมให้มีอะไรมาเปลี่ยนอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้สึกของเราสองคน หรือสิ่งที่เคยตั้งใจไว้ ในเมื่อวันนี้ปาร์คชานยอลเรียนจบแล้ว เขาได้ก้าวขึ้นบันไดแห่งความสำเร็จมาอีกขั้น
ปาร์คชานยอลพร้อมแล้วสำหรับการใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ ที่จะยิ้มรับความสุข และต่อสู้กับปัญหาที่ถาโถมเข้ามา เหมือนอย่างที่มนุษย์ทั้งโลกกำลังทำอยู่ และแน่นอนว่าเขาไม่สามารถทำคนเดียวได้...หรืออาจจะได้?
แต่มันคงดีกว่า ถ้าเขาได้เรียนรู้และใช้ชีวิตไปกับคน ๆ นี้ คนที่เขารักมากที่สุด
“เล่าวันนี้คงไม่หมดหรอก ขอเปลี่ยนเป็นเล่าวันละนิดวันละหน่อยจนกว่าจะตายได้ไหมวะ...ไอ้บ้านนอก”
THE END
โอย เขียน Talk ไปเยอะมากแต่ดันโพสไม่ติด เลยต้องมานั่งเขียนใหม่
เรื่องนี้จบเหมือนไม่จบ ไปจบแบบเคลียร์ ๆ ที่สเปเชียลนะคะ
ฟิคเรื่องนี้อาจจะเอื่อย ๆ เฉื่อย ๆ อาจจะทำให้พอใจหรือไม่พอใจบ้าง ยังไงเราก็ขอบคุณและขอโทษทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
ตัวละครในฟิคเราอาจจะเดินเรื่องเร็วบ้าง ช้าบ้าง แล้วแต่ว่าทามไลน์เนื้อเรื่องช่วงนั้นเป็นยังไง และช่วงหลัง ๆ นิสัยทั้งชานยอลและแบคฮยอนเปลี่ยนไป ไม่มากก็น้อย นั่นเป็นเพราะว่าตัวละครได้โตขึ้นมา เขาได้เรียนรู้อะไรได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นผู้อ่านอาจจะไม่ค่อยได้เห็นชานยอลในมุมไททันโลกแดงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว (หรือมีก็อาจจะน้อย)
เราเป็นกังวลกับการเขียนตอนจบ เพราะสำหรับเรามันเป็นเรื่องยาก การเขียนตอนจบให้ประทับใจได้มันสุดจริง ๆ ค่ะ มันไม่เหมือนกับการเปิดฟิคให้ดูน่าสนใจ การเดินเรื่องให้น่าสนใจ เหมือนกับว่าเราจะพาตัวละครนั้น ๆ มาจนถึงจุดนี้โดยสมบูรณ์ได้ยังไง (สมบูรณ์ในที่นี้คือ สมบูรณ์ทางเนื้อเรื่อง ไม่ใช่ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบนะคะ เพราะเราคิดว่าชีวิตคนเราคงไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบทุกอย่าง) คนอ่านจะรู้สึกอิ่มไหม เราสื่อให้คนอ่านถึงแล้วหรือยัง
สำหรับตอนจบนี้ยังไม่จบทั้งหมดหรอกค่ะ เหมือนที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าฟิคเราจะจบอย่างเป็นทางการคือจบในสเปเชียล เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้เคลียร์
ในสเปเชียลจะกล่าวถึงเรื่องงานแต่งงานของจงแดและซอนฮวา และเรื่องของคุณพ่อค่ะ เรามาเอาใจช่วยไททันโลกแดงกับฮอบบิทกันอีกหนึ่งตอนนะคะ
ยังไงก็ขอบคุณทุกคนจริง ๆ ที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ เราไม่รู้ว่าคนอ่านจะรู้สึกได้ไหม เราไม่รู้ว่าคนอ่านมองเรายังไง แต่เราก็อยากบอกอยู่ดีว่าเรารู้สึกขอบคุณพวกคุณทุกคนที่ชื่นชอบงานเขียนของเรา ทั้งคนที่ตามเราแค่ฟิค และตามตัวตนของเราด้วย เรารู้สึกดีจริง ๆ ที่มีพวกคุณค่ะ ขอบคุณจริง ๆ นะคะ
เดี๋ยวถ้าเราเขียนสเปจบแล้ว จะมาอัพให้ทุก ๆ คนอ่านเลยจ้า รักกกกกกก
-มลินค่ะ-
ความคิดเห็น