คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : SPECIAL CHANBAEK (THE REAL END)
SPECIAL
“ครับ...ผมรู้ เรื่องนั้นผมขอเวลาพิจารณาดูอีกทีก่อน ตอนนี้ผมอยากใช้เวลาทบทวนตัวเองนิดหน่อย”
เสียงคุยโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นเรียกความสนใจจากคนที่กำลังแต่งตัวไปทำงานในตอนเช้า แบคฮยอนเดินออกมาพลางชะโงกหน้ามอง แล้วก็ได้เห็นสภาพนักเรียนนอกจบใหม่นอนก่ายขาไว้กับพนักโซฟาอย่างคนขี้เกียจ ขณะที่เจ้าตัวคงยังพูดคุยกับคนในปลายสายด้วยถ้อยคำกึ่งสุภาพกึ่งกวนประสาท
“ขอบคุณลุงจริง ๆ ที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนพ่อผม แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่เลวร้ายอย่างที่คิดหรอก”
ชานยอลหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะอ้าแขนข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์ออกกว้างเพื่อรออ้อมกอดจากแฟนจ๋าที่กำลังเดินมา แต่แบคฮยอนกลับส่ายหน้าพร้อมชี้นิ้วไปที่ประตู เป็นเชิงบอกว่าต้องรีบไปทำงานแล้ว
“งั้นแค่นี้ก่อนนะลุง ถ้ายังไงว่าง ๆ ก็พาพ่อผมไปดื่มบ้างนะ แกจะได้ผ่อนคลายหน่อย ไม่เครียดเรื่องลูกเรื่องหลานมากเกินไปเดี๋ยวความดงความดันขึ้นจะยุ่ง ครับ...ผมก็รักลุงเหมือนกันแหละน่า รักลูกชายลุงด้วย ถ้าเป็นผู้หญิงผมก็อยากเป็นเมียอัยการเหมือนกัน” พูดจบก็ค้างอยู่ท่านั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาซะเสียงดังหลังจากคนปลายสายก่นด่ากลับมาแรง ๆ ก่อนวางสาย
แบคฮยอนคิดว่าคนที่ชานยอลกำลังคุยด้วยคงเป็นพ่อของจงอินแหง ๆ ไม่งั้นเจ้าตัวคงไม่กล้าพูดกวนประสาทขนาดนั้น ร่างเล็กยืนนิ่งมองคนขี้เกียจที่เอาแต่นอนแห้งอยู่ที่บ้านเขามาเกือบสามเดือน แล้วก็ได้แต่นึกย้อนกลับไปว่าชานยอลไปเรียนถึงอเมริกาทำไม
“มากอดก่อนเร็ว”
“ไม่เอาอ่ะ ชานยอลอย่าเอาแต่นอนนะ ตื่นมากินข้าวเที่ยงด้วย”
“ทำไมทำหน้าเซ็งแบบนั้นล่ะทูนหัว” ชานยอลดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วกระดิกนิ้วเรียกให้คนตัวเล็กมาหา แค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละที่แบคฮยอนใช้เวลาไปกับการคิด ก่อนจะตรงมาทางนี้แล้วนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน
“คุณลุงหางานมาให้อีกแล้วใช่ไหม”
“ใช่ คราวนี้ดีกว่าบริษัทก่อนด้วย”
ทั้งสองคนสบตากัน ก่อนที่คนตัวสูงจะก้มลงมองมือตัวเองที่เพิ่งถูกกุมเอาไว้ สายตาของแบคฮยอนในตอนนี้ดูเป็นกังวล และปาร์คชานยอลรู้ดีว่าต้นเหตุมันมาจากไหน
“เรารู้สึกผิดจัง ถ้าชานยอลอยู่โซลก็คงมีงานดี ๆ ทำไปแล้ว”
“แล้วงานที่มกโพมันไม่ดีตรงไหน?”
“ถ้าดีแล้วทำไมชานยอลถึงไม่ยอมหางานทำสักทีอ่ะ”
กริบ...
ชานยอลนิ่งไปเกือบครึ่งนาทีเห็นจะได้หลังจากโดนสวนกลับมาด้วยหมัดน้อย ๆ จากนักมวยรุ่นไลฟ์เวท บ.แบค ศิษย์หลวงพ่อโต คนตัวสูงคล้ายว่าสตั๊นท์กับประโยคนี้อยู่เนือง ๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนด่าว่าเหี้ยทางอ้อม เพราะงั้นปาร์คชานยอลจะไม่หวั่นไหว
แบคฮยอนเพียงแค่มองคนที่ระเบิดหัวเราะลั่นแล้วลงไปนอนชักดิ้นแด่ว ๆ บนโซฟาอย่างระอา ชานยอลต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่สามารถหัวเราะอย่างมีความสุขได้ เพียงแค่พูดถึงความล้มเหลวเบื้องต้นของชีวิตหลังเรียนจบมาจากสถาบันดี ๆ
“เราไปแล้วนะ”
“เดี๋ยวดิ” ชานยอลดึงแขนอีกคนให้นั่งลงที่เดิม ก่อนจะล็อกคอเอาไว้หลวม ๆ แล้วเอาคางเกยไหล่ แบคฮยอนหันไปมองคนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังและก็ได้แต่ถอนหายใจ ชานยอลเป็นโรคอะไรสักอย่างที่ชอบขัดขวางการไปทำงานของเขา “เห็นนี่ไหม”
“อะไรอีกอ่ะ” ร่างเล็กมองปกหนังสือสีขาวแต่งแต้มด้วยจุดสีดำอยู่ตรงกลาง ซึ่งถูกเขียนด้วยภาษาอังกฤษ ชานยอลจิ้มนิ้วย้ำ ๆ อยู่ตรงจุดสีดำพร้อมรอยยิ้มเวอร์ ๆ “เราอ่านออกแต่แปลไม่ได้ ชานยอลอยากจะสื่ออะไร เราต้องรีบไปทำงานแล้ว”
“มันคือจุดเริ่มต้นของเราน่ะฮอบบิท”
“...”
“ไง? มุกนี้ด้นสดเลยนะ” ชานยอลแสดงออกทางสีหน้าอย่างภาคภูมิใจว่ามุกนี้มันเด็ดดวงมาก ซึ่งถ้าไอ้บ้านนอกยิ้มขำแล้วบอกว่า ‘ชานยอลเล่นอะไรเนี่ย เราจะไปทำงานแล้ว คนบ้า!’ แล้วเขินตูดบิดออกไปทำงานก็คงไม่แปลก
“แล้วชานยอลเห็นนั่นไหมอ่ะ” นั่นไง คราวนี้จะยิงมุกคืนสินะ จัดมาเลยฮอบบิท พี่ตั้งลำรอแล้ว
“ไหน” ร่างสูงยังคงเกยคางไว้กับบ่าคนรัก สายตาก็มองไปตามเรียวนิ้วที่ชี้เข้าไปในห้องครัวซึ่งถูกปิดไฟไว้เมื่อไม่ได้ถูกใช้งาน อะไร จะเล่นมุกเห็นผีเหรอ บอกเลยนะว่าไม่ได้กลัว
“เห็นยังอ่ะ”
“ยัง มึงจะให้กูดูอะไร” ชานยอลขมวดคิ้วเพ่งมองเข้าไปในความมืด แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาแมวที่ไหนทั้งนั้น ห้องครัวบ้านมึงเชื่อมต่อกับชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่เหรอ แฮรี่พอตเตอร์กับครอบครัววิสลี่ย์จะโผล่มาทางนั้นหรือไง นี่มึงจะเล่นมุกอะไรฮอบบิท กูฉลาดเกินกว่าจะตามทัน
“อนาคตชานยอลไง”
“...”
“มืดมิด”
“...”
“ดูไม่มีอะไรเลยอ่ะ”
“คนรักกันเขาพูดงี้ช่ะ” ชานยอลมองเจ้าของแก้มขาว ๆ ที่ล่อตาล่อใจเขาอยู่ตอนนี้ แบคฮยอนย่นจมูกใส่ ก่อนจะหัวเราะเอิ้กอ้ากเพราะถูกโจมตีโดยการจี้เอวหนัก ๆ
“อ๊ากกก ชานยอลอย่า!! เรายอมแล้ว!! คึคึ...”
“ไม่ต้องไปทำงานแล้ว เลิกซะ”
“เลิกได้ไงอ่ะ เรายังต้องช่วยชาวบ้านแถวนี้อีกอาทิตย์นึงนะ” สุดท้ายแบคฮยอนก็ปล่อยให้ไททันตัวโตรั้งเข้าไปในอ้อมกอด ชานยอลเอนหลังพิงกับโซฟา ประคองคนในอ้อมกอดให้นั่งตรงกลางหว่างขาแล้วจูบหัวแรง ๆ
“อีกอาทิตย์นึงเลยเหรอ”
“ใช่ ห้าวัน” ร่างเล็กเอี้ยวหน้าหันไปมองคนรักที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังพร้อมชูห้านิ้วให้ดู ชานยอลมองใบหน้าซน ๆ ของมนุษย์ฮอบบิท แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาเกือบห้าปีแล้ว แต่คนตรงหน้าเขาก็ยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน “ถ้าช่วยงานที่นี่เสร็จค่อยมองหางานอื่นอีกทีตอนกลับมาจากงานแต่งงานของจงแด พอถึงตอนนั้นชานยอลก็ต้องหางานทำเหมือนกันนะ”
“อยากให้กูทำงานอะไรล่ะ”
“เอ้า ชานยอลเรียนจบวิศวกรรมคอมพิวเตอร์มาเพื่อถามเรางี้เหรอ”
“ใช่ กูเรียนจบมาเพื่อถามมึงโดยเฉพาะเลย” ทั้งคู่สบตากัน แบคฮยอนขมวดคิ้วมองอีกคนที่เอาแต่พูดจาแปลก ๆ ถ่วงเวลาไปทำงานเขาอยู่ได้
“เก็บเศษเหล็กไหม”
“เอาดิ ซื้อซาเล้งให้ด้วยนะ”
“หูย ชานยอลอ่ะ ไม่เอางี้สิ ชานยอลต้องหางานทำจริง ๆ นะ ไม่งั้นเราสองคนจะอดตายอ่ะ แล้วก็จะไม่มีหม้อไฟให้กินอีกแล้ว ข้าวก็ด้วย เราจะต้องกินรามยอนทุกวันจนตาย” ชานยอลหัวเราะ เขารู้ว่าที่ทำอยู่มันไม่ดี แต่ตอนนี้ยังไงก็ยังอยากยืนยันคำเดิมว่าขอเวลาอีกหน่อย
จะหาว่าเหี้ยก็ได้แหละ แต่เขายังไม่พร้อมรับงานในโซล ถึงแม้ว่าทางเลือกที่นั่นจะเยอะกว่า ประเด็นหลักคือปาร์คชานยอลไม่อยากห่างจากแฟนอีก ตอนนี้เล็งบริษัทใหญ่ใจกลางเมืองมกโพอยู่
“แล้วเรื่องคุณลุงอีก”
“เรื่องพ่อไม่ต้องเครียดหรอก เดี๋ยวกูจัดการเอง”
“เราสัญญาว่าจะไม่เครียด แต่ต้องเป็นหลังจากที่ชานยอลจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว” แบคฮยอนคิดอย่างนี้จริง ๆ เพราะชานยอลปล่อยให้เวลามันผ่านมาเกือบสามเดือนโดยที่ไม่กลับไปให้คุณลุงเห็นหน้าอีกเลยหลังจากวันนั้น ยิ่งทั้งคู่เคยทะเลาะกันมาก่อนก็ยิ่งกลัวว่าจะปรับความเข้าใจกันยาก
ชานยอลยิ้มแล้วปัดผมม้าออกจากดวงหน้าขาวอย่างเบามือ เขารู้ว่าแบคฮยอนเป็นห่วง แต่เรื่องนี้มันต้องค่อยเป็นค่อยไป เขายังอยากให้ความรู้สึกของพ่อจางลงกว่านี้ พอถึงเวลานั้นค่อยคุยกันอีกที
‘โปรแกรมเมอร์ ผู้พัฒนาฮาร์ดแวร์ ตำแหน่งตรงสายกับที่แกจบมาพอดี ไหนแกจะจบมาจากสถาบันชื่อดัง อีกทั้งเรื่องเกรดเฉลี่ย ทางบริษัทเลยต้องการตัวแกไปทำงานด้วย’
‘ครับ’
‘สตาร์ทก็เกือบสองล้านวอนแล้ว ถ้าอยู่ไปอีกหน่อยเงินเดือนก็สูงขึ้น มากกว่าสายงานของพ่ออีก’
‘ครับ’
‘ถ้าแกสนใจก็อย่าเสียเวลาเลย รีบติดต่อกลับไปจะดีที่สุด เขาจะได้เห็นว่าแกมีความกระตือรือร้นอยากทำงานด้วย’
‘ครับ’
‘ว่าไงล่ะ ทำไมเอาแต่ขานตอบอย่างเดียว แกไม่โอเคหรือไง?’
‘เปล่า งานที่พ่อบอกมามันดีกับผมทุกอย่าง’
ชานยอลยังจำสีหน้าของพ่อในตอนนั้นได้ แววตาที่มีแต่ความคาดหวังอยู่ลึก ๆ เคล้าไปด้วยความภาคภูมิใจ แม้ว่าริมฝีปากของพ่อจะไม่ได้ยกยิ้มเลยก็ตามที
‘แต่พ่อ...’
ร่างสูงเงียบไปชั่วอึดใจขณะสบตากับคนตรงหน้า เขากำลังจะทำสิ่งที่ผิดกับผู้เป็นพ่อ และทำสิ่งที่ถูกต้องกับหัวใจตัวเอง
‘ผมรักแบคฮยอน’
‘...’
เชื่อว่าตอนนั้นพ่อคงรู้สึกเหมือนถูกลูกชายวัยเด็กฟาดหน้าด้วยความหวัง แววตาคู่นั้นแข็งเกร็ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสั่นไหวขณะที่ยังไม่ละสายตาจากเขา ปาร์คชานยอลรู้ว่าสิ่งที่กำลังทำมันเลวร้ายมาก ถ้าเขาเป็นพ่อคน ก็คงจะรู้สึกแย่มากไม่แพ้กัน กับการที่ลูกชายวัยย่างเข้ายี่สิบห้าเดินมาบอกว่า ‘ผมชอบผู้ชาย’
ชานยอลไม่ได้มือสั่นถ้าเทียบกับตอนตอนอายุสิบเก้า ตอนนั้นเขานิ่งและใจแข็งมากพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง พ่อหลุบสายตาลง เสียงผ่อนลมหายใจออกหนัก ๆ ราวกับกำลังสงบสติอารมณ์นั้นเขาได้ยินชัดเจนเป็นอย่างดี
‘ผมจะไปอยู่มกโพ’
‘...’
‘ผมรู้ว่าพ่อกำลังช็อก เพราะงั้นผมจะยังไม่อธิบายให้ฟังตอนนี้’
‘มีอะไรก็พูดมาให้หมด’
‘พ่อกำลังโกรธ ตอนนี้สมองของพ่ออาจจะรับฟัง แต่ใจของพ่อจะไม่ทำความเข้าใจ’
‘...’
‘ผมจะไม่มาให้พ่อเห็นหน้าสักสามเดือน พอถึงเวลานั้นผมหวังว่าพ่อจะใจเย็นพอที่จะรับฟังคำอธิบายจากปากผมนะ’
‘...’
‘แต่ก่อนผมจะไป’
ชานยอลยังคงไม่ละสายตาจากคนเป็นพ่อ มันเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ให้กำเนิดเหลือเกินที่จะทำใจยอมรับกับเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ แต่เขาก็ยังหวังอยู่ลึก ๆ ว่าพ่อจะยอมเปิดใจกับเรื่องนี้ และไม่รังเกียจแบคฮยอน
‘ผมอยากขอบคุณที่พ่อให้ผมเกิดมา ส่งเสียผมจนได้ดีถึงขนาดนี้ แต่ผมอยากให้พ่อรู้ไว้...ว่าผมเป็นลูกที่ดีได้โดยที่ไม่ต้องแต่งงานกับผู้หญิง’
และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขากับพ่อได้คุยกัน...
ตอนนี้แบคฮยอนไปทำงานแล้ว ร่างสูงนอนก่ายหน้าผากปล่อยให้ความเงียบช่วยทบทวนตัวเองอีกครั้ง เหมือนกับทุกวันตลอดเวลาเกือบสามเดือนที่ได้ผ่านไป
มันเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะต้องทนอยู่กับความรู้สึกค้าง ๆ คา ๆ แบบนี้ แต่ถ้าคุยกันต่อหน้าม้วนเดียวจบแล้วพ่อเข้าใจได้ง่าย ๆ ก็ว่าไปอย่าง ปาร์คชานยอลรู้ดีว่าพ่อเป็นคนยังไง แล้วพ่อก็คงรู้จักนิสัยของเขาดีเช่นกัน
แต่ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา เหมือนอย่างที่เขาเคยบอกกับตัวเองตลอด ซึ่งมันได้ผลมาแล้วตอนกัดฟันไปเรียนต่อเมืองนอก และครั้งนี้มันก็ต้องได้ผล
ชานยอลตัดสินใจหางานทำในมกโพ หลังจากใช้เวลาทบทวนตัวเองมานานสามเดือนว่าควรเดินไปทางไหนดี ครั้นจะกลับโซลก็ห่วงแฟน แต่ถ้าจะหางานทำที่นี่ก็มีบางอย่างให้ได้ลังเล แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เจอทางออกดี ๆ จนได้
ชานยอลสมัครงานไปหลายบริษัทเลยทีเดียว ที่เหลือก็แค่รอฝั่งนั้นตอบกลับมา
เย็นนี้เขากับมนุษย์ฮอบบิทมากินข้าวกันในเมืองเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ไอ้บ้านนอกนี่ก็คิดมากเหลือเกินกลัวว่าเขาจะเบื่อมกโพจนต้องถ่อหนังหน้ากลับไปอยู่โซล แต่ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ถือโอกาสดูสิ่งแวดล้อมแถวนี้ถ้าเกิดมีงานทำแล้ว
เรายังใช้รถประจำทางเนื่องจากไม่มีรถเป็นของตัวเอง ก็แน่ล่ะ...ผู้ชายวัยยี่สิบห้าสองคนที่เพิ่งเรียนจบจะเอาเงินจากไหนไปซื้อ ทุกวันนี้อยู่ได้ด้วยบุญเก่ากับเงินเก็บที่สะสมไว้ พอมาแลกเป็นเงินวอนแล้วเลยดูเป็นคนมีตังค์ขึ้นมาหน่อยนึง แต่การเอาส่วนเงินนี้ไปดาวน์รถมาขับแล้วผ่อนแบบรายเดือนก็จะลำบากเรื่องปากท้องอีก อยากสะดวกสบายก่อนอื่นก็ต้องมีงานเป็นหลักเป็นแหล่งเสียก่อน
“ชานยอลพาเราไปเลือกสูทใส่ไปงานแต่งของจงแดได้ไหม”
“เอาสิ ไหน ๆ ก็มาแล้ว จะได้ไม่เสียเวลา”
ทั้งคู่เดินไปตามฟุตปาธอย่างไม่เร่งรีบ ถ้ามีรถขับมันก็คงสะดวกต่อการไปไหนมาไหน แต่ปาร์คชานยอลก็ยังยืนยันคำเดิมว่าการเดินตามทางไปเรื่อย ๆ กับแฟนในเวลาว่างมันก็ดีเหมือนกัน คลาสสิก โรแมนติกไปอีก
เราไม่ได้เดินจับมือกันเหมือนคู่รักทั่วไป ไอ้บ้านนอกเพียงแค่หันมาคุยด้วย ยิ้ม และหัวเราะ มีบ้างที่เขาคว้าแขนอีกคนเอาไว้เพื่อพาข้ามถนน การสกินชิพของเราไม่มากและไม่น้อยเกินไปจนดูแปลก หลังจากที่ปาร์คชานยอลได้รู้แล้วว่าความพอดีเป็นยังไง
เราไม่จำเป็นต้องแสดงความรักกันตลอดเวลา ซึ่งถ้าจะทำมันก็ได้อยู่แล้ว แต่ทำไมต้องไปทำให้คนอื่นมองด้วยล่ะ อยู่บ้านทำได้มากกว่าข้างนอกอีก ปาร์คชานยอลคิดอย่างนั้น
ในที่สุดก็มาถึงร้านขายสูท ไอ้บ้านนอกเลือกแบบราคากลาง ๆ มากกว่าจะเลือกของแบรนด์เนม ไอ้ตัวเขาก็มีสูทอยู่แล้ว สถานภาพทางการเงินตอนนี้ยังไม่พร้อมจะซื้อชุดใหม่พร่ำเพรื่อ เลยต้องนั่งรอแบคฮยอนลองชุดไปพลาง ๆ
RRrrr!!!
“ไงครับเพื่อน”
( จะโทรมาถามว่าอดตายยังครับ เป็นห่วง )
“ปากวอนตีนนะครับ แฟนกูเลี้ยงดี ที่นี่ค่าครองชีพถูก”
( โถ ให้ตายเถอะว่ะจงอิน ตอนนี้เพื่อนของเรากำลังโฆษณามกโพดินแดนแห่งความบ้านนอกให้เราฟังอยู่ )
( ถุยเถอะ กูยังจำได้นะว่าวันแรกมึงด่าแบคฮยอนว่าไงบ้าง )
เสียงของสองเพื่อนสนิทผลัดกันส่งเข้ามาในสาย ชานยอลเพียงแค่หัวเราะเบา ๆ กับเสียงก่นด่า แน่นอนว่าตัวเขาเองก็จำเหตุการณ์วันแรกที่เจอมนุษย์ฮอบบิทได้เหมือนกัน
“พวกมึงทำอะไรอยู่วะ”
( วันนี้กูนัดท่านอัยการออกมากินข้าว คิดถึงมึงเลยโทรหา )
“แล้วมึงเป็นไงบ้างล่ะ เปิดโรงเรียนสอนว่ายน้ำนี่รวยยัง”
( จะรวยนะถ้าได้มึงมาเป็นลูกค้าอีกคน )
( เงินจะแดกข้าวยังไม่มี มึงยังจะชวนมันมาเป็นลูกค้าอีกเหรอ )
( ฮ่า ๆ )
( แล้วมึงล่ะทำอะไรอยู่ )
“กูนั่งรอแบคฮยอนลองสูทอยู่ จะใส่ไปงานแต่งไอ้จงแดแหละ”
( เออ กูก็ว่าจะถามเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน สรุปมึงจะมาโซลวันไหน? )
“ก็คงอีกสักสองสามวัน รอแบคฮยอนเคลียร์งานเรียบร้อยคงได้นั่งรถไฟไป”
( โหไอ้เหี้ย คำก็แบคฮยอน สองคำก็แบคฮยอน ถ้าไม่ห้ามให้กูใช้คำว่าเห่อเมียนะ... )
( เมียมันไม่สุภาพ เรียกแม่ก็พอแล้ว )
( 555555555555555555555 )
“กวนตีนละสัด ไปแดกขี้กันต่อเถอะ คุยกับกูนาน ๆ เดี๋ยวได้อมเหรียญแทน”
( โหดจังครับพี่ )
( นักเลงมกโพก็งี้ )
“เออ แค่นี้นะ”
ร่างสูงยิ้มพลางส่ายหน้าหน่าย ๆ พอได้คุยกันแบบนี้แล้วก็อดคิดถึงวันเก่า ๆ ไม่ได้ มันก็นานมากแล้วที่เราไม่ได้นั่งคุยกันอย่างจริงจัง เพราะตอนกลับมาเกาหลีเมื่อไหร่ก็จะได้เจอสองคนนั้นแค่ที่สนามบินเท่านั้น ใช่ว่าปาร์คชานยอลจะสนใจแบคฮยอนแค่คนเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ แต่ละคนก็มีเรื่องที่ต้องทำเหมือนกัน
“ชานยอล”
“ไง?”
“ชุดนี้ตัวใหญ่ไปไหมอ่ะ” แบคฮยอนเดินออกมาพร้อมชุดที่เพิ่งลองใส่ ชานยอลลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็ก จับหัวไหล่ให้หมุนตัวเป็นวงกลมพร้อมเพ่งมองพิจารณา
“หลวมไป” คนตัวสูงว่าแล้วหันไปทางพนักงานสาวที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ “มีไซส์เล็กกว่านี้ไหมครับ?”
“อ๋อมีค่ะ รอสักครู่นะคะ” เธอยิ้มแล้วเดินหายเข้าไปข้างใน แบคฮยอนก้มลงมองตัวเองแล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นเมื่อชานยอลเข้ามาช่วยจัดแจงปกเสื้อให้เข้าที่
คิ้วหนาที่แอบขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเป็นสิ่งบ่งบอกว่าตอนนี้ชานยอลกำลังจริงจัง พอคนตัวโตรู้ตัวว่ากำลังถูกมองอยู่ เราทั้งคู่เลยมีโอกาสได้สบตากันระหว่างรอชุดใหม่ ร่างเล็กอมยิ้มแล้วปล่อยให้มือใหญ่ยีหัวเหมือนอย่างเคย
“ยิ้มอะไร”
“ไม่รู้สิ เวลามองชานยอลแล้วก็ยิ้มเฉยเลยอ่ะ”
“ไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ” ร่างสูงก้มลงมองใกล้ ๆ ซึ่งคนตัวเล็กก็ยิ้มแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“เวลาอยู่กับชานยอล คำว่าเหตุผลก็ไม่จำเป็นแล้ว”
ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่เกิดขึ้นเอง รวมไปถึงความรู้สึกฟุ้ง ๆ ในใจ แบคฮยอนคิดว่ามันไม่มีเหตุผลกับสิ่งที่เกิดขึ้นเวลาอยู่กับคนรัก หรือถ้ามันจะมีจริง ๆ เหตุผลทุกอย่างก็คงจบอยู่แค่คำว่า ‘เรารักกัน’ เท่านั้น
“มาแล้วค่ะ ดิฉันว่าไซส์นี้น่าจะเหมาะกับน้องชายของคุณนะคะ” เธอว่าแล้วยื่นสูทตัวใหม่ให้ แบคฮยอนชะงักไปชั่วอึดใจกับคำว่าน้องชาย ก่อนจะเรียกสติตัวเองกลับมาแล้วยิ้มเจื่อน
“แหะ ขอบ...”
“อ๋อ ไม่ใช่น้องครับ นี่แฟน”
“เอ่อะ...”
“ชานยอล...”
“คบกันมาตั้งแต่ม.ปลายแล้ว ถ้าแต่งงานมีลูกได้ป่านนี้คงกระเตงกันมาเลือกชุดด้วย” แบคฮยอนถึงกับตาเหลือก ในขณะที่ชานยอลเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่า ‘อะไรเหรอ?’ ผู้ชายคนนี้ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น
“ชานยอล...” ร่างเล็กกดเสียงลงต่ำปรามให้อีกคนหยุด แต่มนุษย์โลกแดงกลับยิ้มกวนประสาทให้หญิงสาวที่ยังคงช็อกอยู่ตรงนี้
“เอ่อ...”
“ผมเอาชุดนี้แล้วกันครับ...ขอใส่กลับเลย” แบคฮยอนคืนสูทที่ถือไว้ให้เธอก่อนจะรีบเข้าไปในห้องลองชุดเพื่อเอาชุดเดิมออกมา หญิงสาวยิ้มเจื่อน สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็แค่ยิ้มโง่ ๆ เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์แล้วคิดเงิน แม้ว่าในหัวของเธอจะมีแต่คำถามว่า ‘ไอ้เด็กสองคนนั้นต้องการอะไรจากกู’
“โอ๊ย เจ็บนะเว้ย!” ถึงจะบ่นอย่างนั้นแต่ชานยอลก็เอาแต่ขำตอนถูกชก คนตัวสูงลูบแขนป้อย ๆ แล้วแย่งถุงเสื้อผ้าไปถือให้
“เอาคืนมาเลย เราจะถือเอง”
“ถือของหนักเดี๋ยวจะเตี้ยลงนะ ไม่รู้เหรอ”
“ไม่ต้องมาขู่หรอก เราจะไม่เตี้ยไปกว่านี้แล้ว เอาคืนมา” คนตัวเล็กในสภาพชุดสูทแบมือออก แต่ก็ต้องชักมือกลับเมื่ออีกคนทำท่าจะฟาดลงมา “จะตีเราทำไมเนี่ย”
“ปล่อยให้ถือก็จบแล้ว อย่าดื้อกับแฟนให้มันมากนัก เดี๋ยวมีน้ำโห” ไม่ขู่อย่างเดียว ชานยอลชี้หน้าคาดโทษแฟนจ๋าที่กำลังย่นจมูกทำปากจู๋ใส่เขาเป็นการสั่งให้หยุด ปาร์คชานยอลไม่อยากฟัดแฟนในที่สาธารณะแบบนี้
“ชานยอลไปแกล้งพี่สาวคนนั้นทำไมก็ไม่รู้ เห็นไหมล่ะ เราเลยต้องใส่ไซส์ใหญ่กว่าตัวเลย”
“ดีแล้ว ซื้อไซส์ใหญ่ใส่เผื่อโตไง”
“เราอายุยี่สิบห้าแล้ว แถมเกิดก่อนชานยอลตั้งหลายเดือนด้วย”
“แค่นี้อวดเหรอ กูอายุจะยี่สิบห้าแล้ว ไม่มีงานทำด้วย กะว่าจะเกาะแฟนกินไปเรื่อย ๆ แบบนี้แหละ...โอ๊ย!” ชานยอลกัดฟันกรอดมองคาดโทษมนุษย์ฮอบบิทที่เตะต้นขาเขาซะแรงเชียว เดี๋ยวนี้หัดใช้กำลังใช่ไหม เดี๋ยวกลับบ้านมึงรู้เรื่องแน่ฮอบบิท
“สมน้ำหน้า”
“สมน้ำหน้าเหรอ พรุ่งนี้เช้าอยากคลานออกจากห้องสินะ...” เสียงลอดไรฟันนั้นช่างน่าสยดสยอง แบคฮยอนทำตาเหลือกแล้วรีบเดินไปข้างหน้าเมื่ออีกฝ่ายทำท่าว่าจะเข้าชาร์จใส่
“อย่านะ!!! ชานยอล...เดี๋ยวสิเดี๋ยว!!!”
ไม่เดินอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้แบคฮยอนเร่งฝีเท้าวิ่งหนีไททันโลกแดงที่จ้องจะเอาชีวิตเขาอย่างไม่คิดชีวิต ถึงตอนมัธยมบยอนแบคฮยอนจะเก่งเรื่องกีฬา แต่พอขึ้นมหาลัยแล้วก็อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย เขาแทบจะลืมวิธีการวิ่งไปแล้วด้วยซ้ำ ในขณะที่ฝั่งชานยอลกลับเฟิร์มขึ้น มีกล้ามเนื้อ เพราะอาหารและกีฬา เชื่อเถอะว่าขายาว ๆ นั่นสามารถวิ่งมาถึงตัวเขาได้อย่างไม่ยาก
“อ่อก!” แบคฮยอนอ้าปากแลบลิ้นเพราะถูกคว้าตัวเอาไว้จากทางด้านหลัง ไหนจะต้นแขนแกร่งที่โอบรอบคอตอนนี้อีก ไม่สิ...เรียกว่าล็อกคอเลยจะดีกว่า ชานยอลกะเอาตายเลยหรือไงเนี่ย โหดเกินไปแล้ว
“จะหนีไปไหน?” เสียงกระซิบข้างหูนั้นแบคฮยอนจั๊กจี้ชะมัด ไหนจะลมที่แกล้งเป่าลงมาอีก
“หูย ใครหนี ไม่มี๊”
“เมื่อกี้ใครสมน้ำหน้านะ?”
“คนพูดวิ่งไปโน่นแล้วอ่ะ” แบคฮยอนชี้ไปข้างหน้า แต่มือนั้นก็ถูกคว้าเอาไว้ ร่างเล็กยืนนิ่ง ปล่อยให้คนตัวโตกอดเขาจากข้างหลังท่ามกลางเสียงรถขับผ่านไปมาในเวลาค่ำคืน
เหมือนกับเดจาวูอีกแล้ว เขาจำได้ว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นตอนเราทั้งคู่อยู่ม.ปลาย แบคฮยอนจับต้นแขนแกร่งที่อยู่ใต้คางแล้วก้มลงไปจุ๊บเบา ๆ
“คิดถึงตอนอยู่ม.ปลายจัง”
“อาจารย์ที่ MIT บอกว่าถ้าคนเราคิดถึงอดีต แสดงว่าเราไม่มีความสุขกับปัจจุบัน”
“มันอาจจะถูกอย่างที่อาจารย์ของชานยอลพูดนะ แต่ทฤษฎีนั้นใช้ไม่ได้กับทุกคนในโลกหรอก ยกเว้นเราแล้วคนนึง” ร่างสูงก้มลงมองคนในอ้อมกอด “การที่เรานึกถึงอดีต มันอาจเป็นเพราะเรามีความสุขกับปัจจุบันมาก เลยนึกย้อนกลับไปว่าเพราะอะไรที่ส่งผลให้เรามีความสุขได้ถึงขนาดนี้”
“...”
“เรารู้สึกว่าชานยอลมีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกเราอยู่” ร่างเล็กไม่ได้หันกลับมา เขารู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่รดลงบนแขนเขา “แต่ไม่เป็นไรนะ เรารู้ว่าชานยอลมีเหตุผลที่อยากเก็บเอาไว้ในใจ”
“...”
“เรารู้ว่าชานยอลไม่ได้อยู่บ้านเฉย ๆ ...เราสังเกตจากกองหนังสือที่วางซ้อนกันผิดตำแหน่ง แหะ...เราแปลไม่ออกหรอก แค่จำสีหน้าปกได้” ร่างเล็กหัวเราะเบา ๆ เพราะตอนแรกเขาคิดว่าชานยอลเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ เฉย ๆ แต่เปล่าเลย...ชานยอลไม่ได้ทำอย่างนั้น “ที่จริงชานยอลก็อยากทำงานแล้วใช่ไหม”
“...”
“ไม่เป็นไรนะ เราไม่ได้หวังคำตอบหรอก แต่ถ้าสิ่งที่กวนใจชานยอลอยู่คือตัวเรา...เราก็อยากให้ชานยอลตัดทิ้ง”
“กูจะทำอย่างนั้นได้ไง”
ชานยอลคลายอ้อมกอดออกเมื่ออีกคนพลิกตัวหันเข้าหาเขา ร่างสูงมองรอยยิ้มบนใบหน้าคนรัก อีกทั้งมือของเขาที่ถูกจับไปวางบนศีรษะทุยนั่นอีก แม้ว่าจะใส่สูทเต็มตัว แต่มนุษย์ฮอบบิทก็ยังดูเหมือนเด็กอายุยี่สิบเหมือนในตอนนั้น
“เราว่าเรารักชานยอลมากเกินกว่าจะทำใจยอมรับอะไรไม่ได้แล้ว”
“...”
“ต่อให้ชานยอลจะไปทำงานที่โซล เราก็ยังมีแผนบีอยู่ไม่ใช่เหรอ เรานั่งรถไฟไปหาก็ได้ แค่สามชั่วโมงก็ได้เจอกันแล้ว แหะ” มนุษย์ฮอบบิทยังคงยิ้ม จนดูเหมือนว่าปัญหาที่ก่อกวนใจปาร์คชานยอลมาตลอดหลายเดือนนั้นกลายเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเลย
ร่างสูงยิ้มบาง ๆ เขาไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้ ทุกอย่างมันเป็นเพราะเรารักกันมากใช่ไหม ทั้งเขาและคนตัวเล็กถึงได้นึกถึงความรู้สึกของกันและกันอยู่ตลอดกับทุกเรื่องที่จำเป็นต้องตัดสินใจ
เขาไม่อยากไปอยู่โซล ถ้าแบคฮยอนยังอยู่ที่นี่ ส่วนแบคฮยอนก็พร้อมที่จะยอมรับการตัดสินใจของเขาทุกอย่าง เพื่อความสบายใจเขาและพ่ออีกคน ไอ้บ้านนอกมักจะคิดถึงใจคนอื่นอยู่เสมอ จนยอมลดความสุขของตัวเองลง
ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนั้น
“นี่แบคฮยอน”
“คับ”
“ถ้ามึงคิดมากเรื่องงานกู เรื่องพ่อ หรือเรื่องต้องแยกกันอยู่ล่ะก็...” ชานยอลวางมือลงบนไหล่เล็กแล้วยิ้มบาง ๆ “เลิกคิดไปได้เลยนะ”
“เลิกคิดไม่ได้หรอก ยังมีสิ่งสำคัญกว่าเรารอชานยอลอยู่นะ” แบคฮยอนไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเต็มร้อยได้ ทั้ง ๆ ที่คุณลุงกำลังเสียใจแบบนี้
“สิ่งที่สำคัญกว่าคืออะไรล่ะ พ่อน่ะใช่ แต่งานทำที่ไหนก็ได้” ชานยอลลูบหัวคนตัวเล็กเบา ๆ “ต่อให้เงินเดือนมากแค่ไหน แต่ทำแล้วไม่มีความสุขกูก็ขอเลือกเงินเดือนน้อยแต่ได้อยู่กับแฟนดีกว่า”
“...”
“ไม่ต้องห่วงนะ ปัญหาทุกอย่างที่ค้างคา กูจะจัดการมันด้วยตัวเอง โดยที่เราไม่ต้องแยกกันไปไหนอีกแล้ว”
“แน่ใจนะว่าจะพักโรงแรม บ้านกูมีห้องว่างอยู่”
“โรงแรมแล้วกัน เกรงใจมึงเผื่อตอนดึกกูกับไอ้บ้านนอกเผลอส่งเสียงกุกกักรบกวน”
“ชานยอลอ่ะ”
จงอินยิ้มขำส่ายหน้าหน่าย ๆ เมื่อแบคฮยอนที่นั่งอยู่เบาะหลังโผล่มาตรงกลางแล้วมองคาดโทษชานยอลซึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับ คนตัวสูงดันหัวร่างเล็กให้กลับไปที่เดิม แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมง่าย ๆ
“ไอ้เทาล่ะ”
“มันมีสอนเด็กว่ายน้ำจนถึงห้าโมงเย็นน่ะ เดี๋ยวกูพามึงไปเช็กอินก่อน ถ้าหิวก็หาหญ้าแดกไปพลาง ๆ ก่อนนะกูต้องไปทำงาน”
“เออ แค่มารับกูก็ขอบใจมากแล้ว”
“สบายดีนะแบคฮยอน?” จงอินมองคนตัวเล็กผ่านกระจกมองหลัง ซึ่งเจ้าของชื่อก็พยักหน้ายิ้มเป็นคำตอบ
“จงอินล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีนะ มีบททดสอบให้ใช้สมองทุกครั้งที่ขึ้นศาล”
“หูย งานแบบนั้นชานยอลคงทำไม่ได้แน่ ๆ อ่ะ”
“เดี๋ยวจะโดน” แบคฮยอนยิ้มตาหยีหลบไปนั่งชิดกับประตูรถเมื่อร่างสูงทำท่าว่าจะโน้มตัวมาทำร้ายเขา
และแล้วก็มาถึงโรงแรม ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานของจงแดในวันพรุ่งนี้ จงอินบอกว่าถ้าค้างที่นี่จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการเดินทาง พอเก็บของเรียบร้อยทั้งคู่ก็ออกมาข้างนอกเพื่อหาร้านกินมื้อเที่ยง แทนที่จะนั่งกินของแพง ๆ ในโรงแรม
ร้านเนื้อย่างเจ้าประจำเมื่อตอนม.ปลายคือเป้าหมายหลัก ชานยอลเปิดประตูแล้วดันใหล่ให้แบคฮยอนเข้าไปก่อน ข้างในร้านค่อนข้างเงียบ เนื่องจากตอนนี้มีลูกค้าอยู่แค่สามโต๊ะ ทั้งคู่เดินเข้าไปเลือกหาที่นั่ง ก่อนจะหยุดฝีเท้าเมื่อเจอใครคนหนึ่งอย่างไม่คาดคิด ผู้ชายคนนั้นที่นั่งอยู่ทางด้านในสุด
“พ่อ?”
“ไว้เจอกันนะจองซู”
“ครับฮยองนิม”
เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งคุกเข่าอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ พลางมองคนเป็นพ่อกับน้องชายคนเล็กที่ลุกขึ้นยืนขาชิดกัน ก่อนจะโค้งหัวลารุ่นพี่ผู้ซึ่งเป็นพ่อของจงอิน
เจโน่โตขึ้นเยอะกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า ส่วนสูงและเสียงทุ้มต่ำนั้นที่ทำให้รู้สึกว่ามีส่วนคล้ายชานยอลอยู่บ้าง ร่างเล็กเม้มริมฝีปากพลางก้มหน้าเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงความน่ากลัวจากความเงียบโดยรอบ
เสียงพูดคุยของโต๊ะอื่นเปรียบเสมือนเสียงยุงบินผ่าน ซึ่งมันไม่สามารถทำให้เขาผ่อนคลายกับความอึดอัดนี้ไปได้เลย
แบคฮยอนรู้แล้วว่าคนเราไม่สามารถวิ่งหนีความจริงไปได้ตลอด เพราะไม่ว่ายังไงสักวันหนึ่งเขาก็ต้องได้เผชิญหน้ากับคุณลุงอีกครั้งเพื่อยอมรับคำพิพากษา และวันนี้โลกก็ได้ผลักให้เรามาเจอกันโดยบังเอิญแล้ว
ถ้าเทียบกับเขา ตอนนี้ชานยอลนิ่งกว่าเป็นไหน ๆ คนตัวสูงเพียงแค่ใช้สองมือถือแก้วใบเล็กเอาไว้พร้อมก้มหน้าลงเมื่อคนเป็นพ่อรินเหล้าให้
“มาถึงโซลตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว”
“ขึ้นมาทำอะไรล่ะ”
“งานแต่งงานเพื่อน”
“ให้แบคฮยอนตอบบ้างก็ได้ ฉันอยากคุยกับเขา” ร่างเล็กก้ม ๆ เงย ๆ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย พอเห็นว่าคุณลุงทำท่าจะรินเหล้าให้ เลยยื่นแก้วออกไปด้วยสองมือแล้วก้มหัวลงตามพิธี ก่อนจะหันไปทางด้านข้างแล้วยกดื่มรวดเดียว
“ขอบคุณครับ...”
“กลัวเหรอ?”
“อ่ะ...” แบคฮยอนพูดไม่ออก เขาไม่รู้ว่าจะต้องตอบแบบไหนดีในสถานการณ์แบบนี้ แน่นอนว่าเขากำลังกลัว แต่ถ้าจะให้เลือกระหว่างขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัด กับยอมนั่งอยู่ตรงนี้แล้วยอมรับความจริง เขาก็ขอเลือกอย่างหลังดีกว่า
“ทำไมถึงกลัว?”
“เพราะผมทำให้คุณลุงรู้สึกไม่ดีครับ...”
“อย่างเช่น...?”
“พ่อมีอะไรก็คุยกับผมคนเดียวเถอะ”
“ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้นในเมื่อแกสองคนเลือกที่จะอยู่ด้วยกัน” สีหน้าของคนเป็นพ่อยังคงเรียบเฉยเหมือนในทีแรก ชานยอลขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะสบตากันอย่างหยั่งเชิง ไม่รู้ว่าพ่อต้องการอะไรกันแน่
“คุณลุงถามมาได้เลยครับ” มือที่วางอยู่บนหน้าขาเริ่มกำเข้าหากันแน่นตามความอึดอัดที่ก่อตัว ชานยอลหันไปทางคนรักที่กำลังเงยหน้าขึ้นสบตากับพ่อของเขา “ผมพร้อมจะตอบทุกอย่าง”
“...”
“ดี” คนเป็นพ่อถอนหายใจเบา ๆ แล้วดื่มเหล้าที่เจโน่รินให้ ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบโดยรอบกัดกร่อนความรู้สึกของเด็กหนุ่มทั้งสองคน “ชานยอล แกออกไปรอข้างนอกก่อน”
“พ่อ?”
“ฉันอยากคุยกับแบคฮยอนตามลำพัง”
“แต่ที่เราสัญญากันไว้มันไม่ใช่แบบนี้” ชานยอลไม่เข้าใจว่าพ่อต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปคุยกับพ่อด้วยตัวเองหลังจากผ่านงานแต่งงาน ปาร์คชานยอลมีเวลามากพอถ้าพ่อต้องการ แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ
“นั่นคือสิ่งที่แกพูด ฉันไม่เคยตอบตกลงสัญญาด้วย”
“...”
“ชานยอลออกไปรอข้างนอกก่อนนะ” ร่างเล็กยังคงยิ้ม เพื่อบอกให้อีกคนรู้ว่าเขาจะต้องไม่เป็นอะไร ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี
ร่างสูงถอนหายใจอย่างหัวเสียแล้วเดินออกไปรอข้างนอก ถ้าแบคฮยอนไม่พูดอย่างนั้น แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมลุกไปไหนจนกว่าจะคุยกับตาแก่หัวดื้อรู้เรื่อง
“คออ่อนหรือเปล่า?”
“ผมพอดื่มได้ครับ” แบคฮยอนยื่นแก้วไปตรงหน้าอีกครั้ง เขายังคงก้มหัวรับแล้วหันไปด้านข้างเพื่อดื่มอย่างไม่อิดออด
“เป็นยังไงบ้าง”
“ผมสบายดีครับ แล้วสุขภาพคุณลุงเป็นยังไงบ้างเหรอครับ”
“ก็ดีนะ เรื่อย ๆ”
“คุณลุงดูผอมลงไปเยอะ ถ้าไม่คิดว่าผมวุ่นวายจนเกินไป ผมว่าคุณลุงเพลา ๆ บุหรี่ลงอีกสักหน่อยดีไหมครับ ดื่มน้ำผลไม้แทนเหล้า มันช่วยได้เยอะเลย”
“...”
ยอมรับว่ารู้สึกผิดอยู่ในใจลึก ๆ พอเห็นแววตาคู่นั้นที่อยู่ใต้เลนส์แว่น แน่นอนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาปาร์คจองซูเห็นเด็กคนนี้เป็นเหมือนลูกชายคนหนึ่ง ซึ่งเขารักและเอ็นดูแบคฮยอนมากเกินกว่าจะทำใจโกรธได้ลง
เด็กคนนี้ยังคงเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของเขาเสมอ เหมือนตอนที่เคยอยู่บ้านหลังเดียวกันแบคฮยอนก็มักจะทำอาหารเพื่อสุขภาพให้เขาได้กินอยู่ตลอด
“แบคฮยอน”
“ครับ...”
“ก่อนอื่นลุงต้องบอกก่อนว่า ลุงเสียใจที่เราสองคนปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับมาตลอด ความรู้สึกมันเหมือนถูกตบหน้า”
“ขอโทษครับ...ผมยินดียอมรับคำต่อว่าจากคุณลุงทุกอย่าง” แบคฮยอนก้มหัวอย่างรู้สึกผิด
“รู้ใช่ไหมว่าลุงรักเราเหมือนลูกคนหนึ่ง?”
“ครับ...ผมรู้”
“ลุงไม่รู้เลยว่าจะทำใจยอมรับเรื่องนี้ยังไงดี” เขาเพียงแค่มองอีกคนที่นั่งก้มหน้าอยู่ฝั่งตรงข้าม ความรู้สึกต่าง ๆ มันถาโถมเข้ามาให้ได้คิดอีกครั้ง ว่ามันเป็นความผิดของเด็กคนนี้จริง ๆ น่ะหรือ?
“ถ้าเลือกได้ ผมก็ไม่อยากให้ต้องมีใครรู้สึกแย่ครับ” แบคฮยอนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย คนที่เป็นเหมือนพ่อคนที่สอง “ผมไม่อยากให้คุณลุงเสียใจมากไปกว่านี้ ส่วนความเสียใจที่เกิดขึ้นแล้ว ผมอยากให้คุณลุงระบายกับผมนะครับ”
“...”
“ผมไม่อยากให้ชานยอลโทษตัวเองว่าเขาเป็นลูกที่ไม่ดี กับการที่เราสองคนคบกัน และมันส่งผลทำให้คุณลุงต้องเสียใจ” ร่างเล็กกำมือแน่นจนมือชุ่มเหงื่อ แบคฮยอนกำลังพยายามเรียบเรียงคำพูดดี ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจได้มากกว่านี้ “ผมจะดูแลชานยอลเป็นอย่างดีครับ”
“...”
“ผมอาจจะมีลูกให้คุณลุงอุ้มไม่ได้ แต่ผมสัญญาว่าผมจะทำให้ชานยอลมีแต่ความสุข”
เจโน่มองพ่อสลับกับรุ่นพี่ที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี ใช่แล้ว เขาได้ฟังเรื่องของพี่ชายคนรองมาเมื่อสามเดือนก่อน ซึ่งพ่อก็เป็นกังวลกับเรื่องนี้มาก ถ้าพี่ลู่หานไม่กลับไปอยู่จีนเสียก่อน ตอนนั้นพ่อก็อาจจะมีผู้ฟังที่ดีมากกว่าเขา
“คบกันมาตั้งแต่ม.ปลายแล้วใช่ไหม?”
“...ครับ”
“โอเค” ปาร์คจองซูยกเหล้าดื่มแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาคิดว่าเขาคงไม่สามารถคาดคั้นเอาอะไรจากคนตรงหน้าได้แล้ว เพราะสิ่งที่ได้รับกลับมานั้นมันมีแต่ความรู้สึกผิดต่อใจตัวเอง เขารู้สึกเหมือนกำลังชี้หน้าสั่งให้เด็กคนนี้สารภาพผิด ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้ทำอะไร “เจโน่ ไปตามพี่เรามา”
“ครับ” เด็กหนุ่มวัยสิบแปดลุกขึ้นออกไปตามพี่ชายที่อยู่ข้างนอก เพียงแค่ครู่เดียวชานยอลก็กลับมา สายตาของร่างสูงดูเป็นกังวลเมื่อมองไปยังใบหน้าของคนตัวเล็ก สลับกับพ่อของเขา
“แบคฮยอนออกไปรอข้างนอกก่อน”
“ครับ” ร่างเล็กโค้งหัวอย่างสุภาพ ก่อนจะหันไปมองคนรักเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีเวลาให้ได้อิดออด ชานยอลเพียงแค่ถอนหายใจอย่างเบาหวิวกับสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่
“ว่ามาสิ กับเรื่องที่แกอยากอธิบายให้ฉันฟัง”
“พ่อแน่ใจเหรอว่าพร้อมที่จะฟังแล้ว”
“ฉันไม่คิดว่าคนเป็นพ่อแม่จะมีความพร้อมสำหรับเรื่องแบบนี้ได้”
“จากน้ำเสียงของพ่อ ผมคิดว่าพูดไปก็คงเท่านั้น”
“ยังไงล่ะ กับการที่ฉันบอกว่าไม่พร้อม มันหมายความว่าฉันจะรับไม่ได้หรือไง?”
“พ่อรู้อยู่แก่ใจดีว่ารับได้หรือไม่ได้”
“ใช่ ฉันรู้ แต่นั่นต้องเป็นหลังจากที่ได้ฟังเหตุผลทุกอย่างแล้ว” พูดจบคนเป็นพ่อก็ยกเหล้าขึ้นดื่ม ก่อนจะสบตากับลูกชายอีกครั้ง
“ผมรู้ว่าพ่อคาดหวังในตัวผมไว้สูง แต่ผมเลือกทางนี้แล้ว และผมคงไม่เปลี่ยนใจ”
“งั้นก็ช่วยพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้ฉันวางใจหน่อยสิ อย่างเช่นว่าแกจะไม่ลำบากถ้าไม่มีลูกหลานคอยเลี้ยงดูตอนแก่ตัวลง”
“ผมดีใจที่พ่อเป็นห่วงว่าตอนนั้นผมจะอยู่ยังไง แต่ผมก็อยากอยู่กับแบคฮยอนอยู่ดี ต่อให้ตอนนั้นเราจะแก่จนเดินไม่ได้แล้ว ผมก็กะว่าจะนอนแห้งตายกันตรงนั้นแหละ”
พ่อคงคิดว่าเขากำลังกวนประสาท แต่เชื่อเถอะว่าทุกอย่างมันออกมาจากสมองจริง ๆ ถึงจะดูเหมือนคิดเป็นเด็ก ๆ ไปหน่อย แต่พอถึงเวลานั้น ปาร์คชานยอลมั่นใจว่าเขาคงไม่มานั่งคิดเสียดายเรื่องลูกหลาน
“พ่อ...ไม่เคยมีใครรักแล้วก็ทำเพื่อผมถึงขนาดนี้”
“...”
“ถ้าพ่ออยากให้ผมเลิกกับแบคฮยอนเพราะเราเป็นผู้ชายเหมือนกัน ผมก็คงบอกพ่อได้เลยว่าผมจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่ไหนทั้งนั้น” ปาร์คจองซูไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่มองหน้าลูกชายคนรองที่กำลังพยายามอธิบายเรื่องนี้ให้เขาฟัง “และพอผมไม่แต่งงาน พอถึงตอนนั้นผมก็คงใช้ชีวิตเหมือนพ่อ ทำงานงก ๆ ไปจนแก่ตัว แต่ไม่มีความสุขเรื่องความรัก”
“...”
“ผมคิดว่ามันแย่กว่าการรักเพศเดียวกันซะอีก”
ปาร์คจองซูรู้สึกเหมือนถูกหอกทิ่มกลางอกกับสิ่งที่เขาเคยมองข้ามไป ว่าสิ่งที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้มันช่างว่างเปล่าเหลือเกิน ถูกอย่างที่ชานยอลพูด เขาจำไม่ได้แล้วว่าความสุขที่เกิดจากความรักมันเป็นยังไง หลังจากต้องเลี้ยงลูกด้วยตัวเองมาตลอดหลายปี
“ผมเรียนจบแล้วและกำลังจะมีงานทำ ผมจะเลี้ยงตัวเองให้ได้ ถ้ามันถึงวันที่พ่อทำงานไม่ไหว ผมจะเป็นคนที่อยู่ข้าง ๆ พ่อเอง” สายตาของชานยอลในตอนนี้จริงจังมากไปกว่าทุกครั้ง เขารู้สึกได้ว่าลูกชายคนนี้ไม่ได้พูดเล่น “ส่วนเรื่องลูกหลานที่จะดูแลผมในอนาคตน่ะช่างหัวมันเถอะ”
“...”
“ผมวางแผนว่าจะอยู่ทำงานที่มกโพสักปีหนึ่ง พอเก็บเงินได้แล้วจะไปเรียนต่อโท MBA ที่อเมริกา หลังจากจบจากที่นั่นผมก็จะมีเครดิตที่ดีขึ้น พอถึงตอนนั้นผมจะทำหน้าที่ลูกชายที่ดีที่สุด” (MBA = Master of Business Administration หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต)
ถ้าเรียนจบโทสาขานี้เขาจะมีโอกาสเลือกงานได้มากขึ้น เงินเดือนก็จะสูงกว่าคนเรียนจบปริญญาตรีทั่วไป ชานยอลวางแผนไว้ว่าถ้าจบสายนี้เขาก็อยากจะบรรจุเข้าตำแหน่งงานด้านบริหาร ถึงดูเหมือนว่าจะฝันสูงไปหน่อย แต่คนที่ประสบความสำเร็จก็เริ่มจากการฝันแล้วค่อยลงมือทำไม่ใช่หรือไงกัน
“พอได้ยินแบบนี้แล้วพ่อจะยอมถอยให้ผมสักก้าวหนึ่งไหม?”
“...”
“ให้ผมเลือกแบคฮยอน และนอกจากนั้นผมจะทำตามที่พ่อต้องการทุกอย่าง”
คนเป็นพ่อนิ่งไปเป็นนาที เขาไม่สามารถตอบตกลงในทันทีได้ แต่การปฏิเสธความต้องการของลูกชายที่ร่างเป้าหมายมาเป็นฉาก ๆ ในแบบที่เขาเองก็ยังคิดไม่ถึงได้...เขาก็ไม่กล้าทำเหมือนกัน
ปาร์คจองซูยอมแพ้แล้ว วันนี้เขาได้รู้อีกอย่างว่าลูกชายคนรองนั้นนิสัยเหมือนใคร ซึ่งก็คงไม่พ้นตัวเขาเอง วูบหนึ่งเขามองเห็นเงาตัวเองในตัวเด็กคนนี้ ความเด็ดขาด หนักแน่น เหมือนตอนที่เขาเลือกที่จะเดินออกมาจากชีวิตแม่ของลู่หาน เพื่อที่จะใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ
“พวกแกจะมีความสุขจริง ๆ ใช่ไหม?”
“...”
“ถ้าเลือกแล้ว ก็ต้องทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด จำคำที่พ่อพูดเอาไว้นะชานยอล”
“หมายความว่าพ่อ...”
“อืม...” คนเป็นพ่อเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย เขากำลังพยายามทำความเข้าใจกับความสุขของลูกชายคนนี้ “แล้วก็อย่าลืมว่าแกยังมีบ้านอยู่ที่นี่ล่ะ”
ชานยอลเบิกตากว้าง เขาแทบจะไม่อยากเชื่อตัวเองว่าพ่อจะยอมใจอ่อนกับเรื่องนี้ได้ ยอมรับว่าคาดหวัง แต่มันก็ริบหรี่มากเกินกว่าจะมั่นใจในคำพูดของตัวเองและความหัวดื้อของคนเป็นพ่อ ร่างสูงถอยหลังออกไปเล็กน้อย ก่อนจะก้มหัวติดกับที่นั่งเพื่อทำความเคารพ
“ขอบคุณครับพ่อ”
“เอาล่ะ แกกับแบคฮยอนคงทนหิวมานานแล้ว” ปาร์คจองซูพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ลูกชายคนเล็กลุกขึ้นยืน ก่อนที่เขาจะคว้ากระเป๋าเงินออกมาแล้วมองลูกชายคนกลางเป็นครั้งสุดท้าย “ฉันจะพาเจโน่ไปซื้อของ พรุ่งนี้หลังจากผ่านงานแต่งงานเพื่อนไปแล้วแกยังไม่รีบกลับ วันมะรืนฉันก็อยากจะกินข้าวกับแกสองคน”
ชานยอลเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายแล้วพยักหน้ารับ ร่างสูงมองตามแผ่นหลังของพ่อที่เดินไปหยุดอยู่หน้าแคชเชียร์ แล้วก็เห็นว่าเจโน่หันหลังมองมาทางนี้พร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกกับเขาว่า ‘ผมเชื่อในตัวพี่เสมอ’
“วันนี้เราต้องซื้ออะไรกันบ้างนะ?”
“หลัก ๆ ที่ต้องซื้อก่อนก็เป็นรองเท้าบาสครับ ส่วนของอย่างอื่นยังไม่จำเป็นเท่าไหร่ ถ้าพ่อไม่ว่างผมไปเองก็ได้นะ” เจโน่มองตามคนเป็นพ่อที่เดินไปเปิดประตูที่นั่งคนขับแล้วแทรกตัวเข้าไปข้างใน
เขาเห็นว่าพี่แบคฮยอนยืนมองอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วโบกมือลาซึ่งร่างเล็กก็โบกมือกลับมาเช่นกัน แค่ครู่เดียวเท่านั้นพี่ชานยอลก็ตามออกมาข้างนอก แล้วทั้งคู่ก็กลับเข้าไปข้างในด้วยกัน
“เลือกยี่ห้อมาหรือยังล่ะ พ่ออยากให้เราใส่ของดี ๆ”
“ครับ ผมเล็งมาแล้ว”
“หืม เท่าไหร่ล่ะ?”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะเอาเงินเก็บซื้อเอง” จองซูหันไปมองลูกชายที่กำลังง่วนอยู่กับการคาดเข็มขัด เด็กหนุ่มหันมายิ้มแล้วควักกระเป๋าเงินออกมาตบกับฝ่ามือเบา ๆ “เงินเก็บของผมก็คือเงินที่พ่อเคยให้นั่นแหละครับ พ่อไม่ต้องห่วงนะ”
“...”
“พี่ลู่หานเคยบอกว่าถ้าพึ่งตัวเองได้ตั้งแต่เด็ก เราจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้” เด็กหนุ่มทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าเมื่อรถเคลื่อนตัวออก มันทำให้อดคิดถึงพี่ชายคนโตที่ที่เคยอยู่ด้วยกันไม่ได้จริง ๆ
“แล้วรู้หรือยังล่ะว่าผู้ใหญ่ที่ดีเป็นยังไง?”
“ตอนนี้ผมยังไม่รู้หรอกว่าการเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเป็นยังไง แต่ผมรู้ว่าผมจะทำให้พ่อสบายใจได้”
“...”
“พ่อไม่ต้องห่วงนะ ถ้าพ่ออยากอุ้มหลาน พ่อยังมีผม”
“...”
“พี่ชานยอลแค่อยากใช้ชีวิตอยู่กับพี่แบคฮยอน แต่เขาไม่ได้เป็นคนเลว ผมเชื่อว่าพ่อก็รู้เรื่องนี้ดี”
“...”
“ผมจะอยู่กับพ่อ ต่อให้แต่งงานแล้วผมก็จะไม่ย้ายหนีไปไหน เพราะงั้นเลิกเครียดเรื่องพี่ชานยอลเถอะนะครับ พ่อยังมีผมอยู่อีกคนนะ”
ในห้องงานเลี้ยงใหญ่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีครีมและสีชมพู ผู้คนมากมายต่างทยอยเข้ามาลงชื่อเข้าไปในงานแต่ง บ้างก็ถ่ายรูปกับซุ้มดอกไม้ บ้างก็นั่งคุยกัน
“พูดก็พูดเถอะ มึง...ไอ้คุณอัยการ” จื่อเทามองเพื่อนสนิทที่นั่งไขว่ห้างเงียบ ๆ แล้วดื่มไวน์อย่างใจเย็น
“ถ้าจะพูดเรื่องนั้นมึงหุบปากไปเลยเทา” จงอินเอามือดันหน้าเพื่อนชาวจีนออก ชานยอลเพียงแค่ยิ้มขำ เขาพอจะรู้ว่ามันสองคนหมายถึงเรื่องอะไร และคาดว่าคงมีใครสักคนที่ไม่ต้องการพูดถึงมันอีก
“เห็นทีว่าเราสามคนจะไม่ได้มีโอกาสได้มีงานแบบนี้เป็นของตัวเอง” ชานยอลมองไปยังคู่บ่าวสาวบนเวทีซึ่งกำลังพูดถึงความรักที่หมักหมมกันมานานหลายปี ประหนึ่งว่าจะสำลักความสุขออกมารอมร่อ
“ตอนแรกกูไม่เศร้านะ พอมึงพูดงี้ปุ๊บชีวิตกูหดหู่เลย”
“เต๊าะเด็กที่ไปเรียนว่ายน้ำสิ เห็นว่าคนมาชอบเยอะไม่ใช่เหรอ” จงอินถาม ซึ่งจื่อเทาเพียงแค่แค่นหัวเราะ
“เด็กไม่ใช่แนวกูว่ะ กูชอบคนที่สามารถหยุดกูได้”
“คนเก็บเงินค่าทางด่วนสินะ” จงอินหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้หลังจากที่ชานยอลเบรกจื่อเทาด้วยประโยคนี้
“เจอกันทั้งทีไม่น่าจะกวนตีนนะครับพี่”
“นิดนึงไงครับ ผมก็เหงาปาก อยู่กับแฟนก็ได้ด่าแฟน เผลอ ๆ โดนมันหลอกด่าอีก ชีวิตดีเหลือเกิน” จงอินกับจื่อเทาค้างอยู่ในท่ายกแก้วไวน์ดื่ม ทั้งคู่หลุดขำออกมาเบา ๆ เมื่อนึกถึงหน้าซื่อ ๆ ของมนุษย์ฮอบบิท
ทั้งสามคนหันไปสนใจกับเวทีอีกครั้ง ตอนนี้ความรู้สึกเหมือนได้กลับมางานคืนสู้เหย้ายังไงอย่างนั้น เมื่อหันไปทางไหนก็เห็นแต่คนคุ้นหน้าคุ้นตา ทั้งเพื่อนร่วมห้องของฮันซอนฮวาและเพื่อนร่วมห้องของเขา
วันนี้คิมจงแดยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ซึ่งอันที่จริงแล้วเขาก็เห็นมันทำหน้าแบบนั้นอยู่บ่อย ๆ ตอนที่ยังเรียนอยู่ด้วยกัน ก็พอจะเข้าใจหรอกนะ ได้เมียสวยเลยเก็บอาการฟินไว้ไม่อยู่ ร่างสูงกระแอมไอเบา ๆ เสียงในห้องงานเลี้ยงเงียบไปแล้วเมื่อเจ้าสาวหยิบไมค์
“จงแดเป็นผู้ชายอารมณ์ดี ฉันรู้สึกอบอุ่นเสมอเวลาอยู่กับเขา จงแดมีอะไรหลายอย่างที่ผู้ชายหล่อ รวย สมาร์ทให้ฉันไม่ได้ค่ะ”
บางทียัยนั่นน่าจะแยกแยะให้ออกว่าอารมณ์ดีกับเป็นบ้ามันไม่เหมือนกัน
พอถึงช่วงเพื่อนเจ้าบ่าวกับเพื่อนเจ้าสาวขึ้นไปกล่าวความภาคภูมิใจ ตัวแทนฝั่งเจ้าสาวคือจอนฮโยซอง แม่สาวอกอึ๋มที่เคยหลงผิดชอบปาร์คชานยอลมาก่อน ยัยนั่นพูดติดอ่างเพราะตื่นเวที แถมยังทำท่าเหมือนคนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ก็นะ...เพื่อนสาวคนสนิทหาผัวได้ก่อนมันก็น่าเศร้าอย่างนี้
ส่วนฝ่ายชายตอนแรกกะจะส่งจุนมยอนไป แต่ไอ้หมอนี่ก็เหมือนกัน มัวแต่ร้องไห้เพราะตื้นตันใจ แบคฮยอนก็ได้แต่ลูบหลังปลอบ แต่หมอนั่นก็หยุดร้องไม่ได้คยองซูเลยอาสาขึ้นไปแทน
“สวัสดีครับ ผมโดคยองซู”
กริบ...
ราวกับไอ้เตี้ยนั่นมีเวทมนต์ที่สามารถดึงความสนใจของทุกคนให้มาหยุดที่ตัวเองได้ ไม่มีแม้แต่เสียงซุบซิบ หรือที่จริงแล้วพวกคนเหล่านั้นกำลังลุ้นว่าโดคยองซูพูดได้ด้วยเหรอ ทีแรกนึกว่าเป็นใบ้
“ตอนแรกจุนมยอนจะขึ้นมากล่าว แต่เขาไม่สามารถเรียกสติตัวเองกลับมาได้ในเวลานี้” เด็กหนุ่มตาโตกล่าวเสียงเรียบ ซึ่งตอนนี้จงแดกำลังยิ้มอย่างปลื้มปิติ กับการที่คนพูดน้อยในกลุ่มกำลังจะกล่าวถึงเขา “ในฐานะที่ผมเป็นส่วนหนึ่งในชมรมห้องสมุดเมื่อตอนม.ปลาย ผมอยากจะบอกจงแดว่า...โชคดีจังเลยน้า...”
น้ำเสียงกระแนะกระแหนปิดท้ายทำเจ้าบ่าวยิ้มค้าง และคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน เจ้าสาวอย่างซอนฮวาเพียงแค่ลูบหัวปลอบใจว่าที่สามี เธอชินแล้วกับการเห็นโดคยองซูฆ่าคนอื่นทางคำพูด
“เมื่อกี้ผมแซวเล่นนะครับ เราสนิทกันเลยเล่นกันขำ ๆ บ้าง ผมจะเอาจริงแล้วนะ อะแฮ่ม!” คยองซูกระแอมไอเรียกเสียงก่อนจะปรับขาไมค์ “จงแดอาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่ดีที่สุด...ไม่ใช่ผู้ชายที่หล่อที่สุด...ไม่ใช่เจ้าชายในเทพนิยาย...”
ประโยคนี้ค่อยดีขึ้นมาหน่อย ประโยคต่อไปเขาเชื่อว่ามันต้องเป็น ‘แต่เขาคือผู้ชายที่ดีพอสำหรับซอนฮวาแล้ว’ แน่ ๆ จงแดยิ้มกว้างแล้วอ้าแขนออก ถ้าคยองซูเดินมากอดเขาตอนนี้มันคงเป็นภาพที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
“สรุปคือมันไม่มีอะไรดีเลย”
กริบ...
“ย่าห์! โดคยองซู แกก็ไม่มีอะไรดีเหมือนกันนั่นแหละ!” เจ้าบ่าวตะโกนกลับไปจนหมดมู้ดผู้ชายอารมณ์ดีอย่างที่เจ้าสาวเคยโฆษณาไว้ ซอนฮวาล็อกแขนจงแดเพื่อห้ามไม่ให้คนรักของเธอขึ้นเวทีไปดวดหน้าเพื่อนสนิทกลางงานแต่ง
“เพราะฉะนั้นสาวคนไหนที่ยังโสดอยู่และต้องการลองสิ่งแปลกใหม่ก็ให้ติดต่อผม เบอร์โทรหลังไมค์ได้ ขอบคุณสำหรับพื้นที่โฆษณาครับ...ลาล่ะ” คยองซูโค้งลาก่อนจะเดินลงเวทีไปอย่างสวยงาม
วูบหนึ่งแขกเหรื่อในงานต่างกันไปมองหน้ากัน อารมณ์แบบว่ากูควรจะปรบมือดีไหม รอยยิ้มตามมารยาทนี่ยังจำเป็นอยู่หรือเปล่า จนกระทั่งจุนมยอนเป็นคนปรบมือเปิดทั้งน้ำตานั่นแหละ คนอื่น ๆ เลยทำตาม
ไม่นานนักแก๊งห้องสมุดยืนอยู่ด้วยกันทั้งสี่หน่อ โดยมีจงแดยืนอยู่ตรงกลาง และแล้วก็มาถึงช่วงเจ้าบ่าวแอนด์เดอะแก๊งพาเพลิน ทั้งสี่คนมีไมค์เดี่ยวอยู่ในมือ ทันทีที่ดนตรีบรรเลงขึ้น คนแคระก็โยกตัวไปมาแล้วร้องเพลงไปพร้อม ๆ กัน
เสียงปรบมือเป็นจังหวะประสานกับเสียงร้องของชายหนุ่มทั้งสี่ ทุกคนยังคงเหลือเค้าโครงใบหน้าเดิมอยู่ ถึงแม้ว่าบางคนจะเปลี่ยนไปบ้าง อ้วนขึ้น ผอมลง แต่ก็ไม่ถึงขั้นจำไม่ได้
ชานยอลมองคนรักที่กำลังร้องเพลง สายตาของมนุษย์ฮอบบิทตอนมองไปยังคนเป็นเจ้าบ่าวนั้นเต็มไปด้วยความยินดี ร่างสูงหลุดขำออกมาเบา ๆ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเลโกลัสที่กำลังนั่งมองแก๊งฮอบบิทร้องเพลงสรรเสริญอะไรบางอย่าง พอจงอินกับจื่อเทาเห็นเพื่อนเอาแต่ยิ้มเลยสะกิดเพราะความอยากรู้
“ขำไรวะ”
“กูแค่รู้สึกเหมือนเพิ่งแกล้งแก๊งคนแคระไปเมื่อวานนี้น่ะ” ชานยอลยังคงมองไปยังภาพเบื้องหน้า “รู้สึกเหมือนเพิ่งโดนโดคยองซูนินทาว่ากูเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ทำให้พวกมึงซวยไปด้วย รู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาดที่ทำให้คิมจุนมยอนกับคิมจงแดต้องผวา” รวมไปถึงวันแรกที่ได้เจอกับแบคฮยอนเช่นกัน
จงอินกับจื่อเทายิ้มเมื่อนึกไปถึงวันเก่า ๆ ที่ผ่านพ้นไป ในวันนี้ทุกคนต่างเปลี่ยนเส้นทางการเดินแยกกันไป เราถอดชุดนักเรียนออกแล้วใส่สูท สำหรับหนทางข้างหน้าที่มีเรื่องราวน่าค้นหารออยู่ พวกเขายังต้องเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ
แม้ว่าเราจะคิดถึงอดีตมากแค่ไหน แต่สิ่งที่ยังต้องทำคือการเดินหน้าต่อไปเพื่อต้อนรับสิ่งแปลกใหม่หรือความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จะเข้ามาทดสอบความเข้มแข็งของจิตใจ แต่สิ่งหนึ่งที่จะไม่เปลี่ยนไป...ก็คือมิตรภาพของคำว่าเพื่อนที่จะอยู่ในใจพวกเราทุกคนไปตลอด
“อึ่ก...”
“เดินดี ๆ หน่อยได้ไหม”
“เดินดี ๆ แล้วแต่โลกมันหมุนเองได้ด้วยอ่ะ...”
ร่างสูงจิ๊ปากก่อนจะล้วงกระเป๋าเอาคีย์การ์ดขึ้นมาแตะสแกนประตูห้อง แต่เรื่องง่าย ๆ แค่นี้กลับกลายเป็นเรื่องยาก เมื่อคนตัวเล็กที่กำลังเมาแอ้ทำท่าจะดิ่งโหม่งโลกอยู่ตลอดเวลา ไอ้ครั้นจะแบกขึ้นหลังมันก็ได้หรอกนะ แต่พอทำอย่างนั้นแล้วมนุษย์ฮอบบิทเสือกดิ้นยุกยิกจนต้องปล่อยให้เดินเองน่ะสิ
สาบานตรงนี้เลยว่าถ้าได้เจอสามแก๊งคนแคระเมื่อไหร่มีได้เคลียร์แน่ ไอ้พวกนั้นไม่ดูสังขารตัวเองเลยหรือไงถึงได้ดื่มเหมือนสามล้อถูกหวยขนาดนั้น การเลี้ยงส่งให้เพื่อนไปมีครอบครัวนี่ต้องจัดหนักกันขนาดนี้เลย
ร่างสูงวางคนเมาลงบนฟูกนุ่มแล้วคลายหัวเน็กไทออกจนหลุดลุ่ย จากอากาศเย็น ๆ เพราะแอร์ในโรงแรมก็ร้อนอบอ้าวขึ้นมาเพราะโดนพิษของมนุษย์ฮอบบิทเล่นงานเข้า
เสื้อสูทถูกถอดออกแล้วพาดไว้กับเก้าอี้ ก่อนจะตามด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใน เขาอยากจะอาบน้ำให้รู้สึกสดชื่นหน่อย หลังจากนั้นค่อยเช็ดตัวให้คนเมาอีกที
หมั่บ!!!
“...?”
ร่างสูงก้มลงมองวงแขนเล็กที่ตวัดกอดรอบเอวเขาซะแน่น ไหนจะใบหน้าร้อน ๆ ที่ซบลงกับแผ่นหลังเขาอีก เออนะ คนเมายังไม่สิ้นฤทธิ์
“อะไร”
“เราจะสอนศัพท์ภาษาอังกฤษให้ชานยอลแหละ...” เจ้าของชื่อยิ้มขำก่อนจะเอนตัวไปตามแรงที่อีกคนชักนำเหมือนเด็ก ๆ เอาวะ เล่นกับเขาหน่อย “รู้ไหมว่าที่เราทำอยู่เขาเรียกว่าอะไร...”
ปาร์คชานยอลคิดว่าปกติแบคฮยอนก็ทำตัวน่ารักอยู่แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าพอเมาแล้วระดับความน่ารักจะเพิ่มขึ้นไปอีก ชานยอลจับมือเล็กที่กอดเอวเขาเอาไว้แล้วอมยิ้ม
“ไม่รู้สิ มันเรียกว่าอะไรล่ะ?”
“แบคฮัคไง...แบคฮัค...”
“อ้อ...อย่างนั้นเหรอ” ร่างสูงยิ้มขำ ยิ่งตอนคนตัวเล็กกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้นและตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอนั่นก็ยิ่งน่าเอ็นดูเข้าไปใหญ่
“แบคที่ไม่ได้แปลว่าข้างหลัง...แต่แบคในที่นี้แปลว่าแบคฮยอน...เพราะฉะนั้นแบคฮัคในภาษาอังกฤษเลยต้องแปลว่า...แบคฮยอนกอดชานยอล...อึ่ก...”
“ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย”
“ตัวชานยอลเย็นจัง...เราร้อนไปหมดแล้วอ่ะ...แล้วก็มีความสุขมาก ๆ ด้วย...เราอยากเมาอีก...จะได้ตัวเบา”
ที่ดูลัลล้าเปลี่ยนเป็นเหมือนคนเมาง่วงหลังจากเล่นมุกศัพท์ภาษาอังกฤษไป ชานยอลพลิกตัวหันเข้าหาคนตัวเล็กแล้วกอดเอวไว้ด้วยมือข้างเดียว เพื่อไม่ให้คนเมาเทกระจาดลงไปกับพื้น ก่อนจะใช้มืออีกข้างปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างใจเย็น
“ชานยอลจะแก้ผ้าเราอีกแล้วเหรอ...”
“อืม ชอบไหมล่ะ”
“ชอบ...แก้เลย!” คนเมาเขาไม่พูดอย่างเดียวหรอกนะคุณ เขากางแขนออกกว้างแล้วเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มด้วย
ปาร์คชานยอลไม่สามารถกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไปแล้ว ร่างสูงส่ายหน้าหน่าย ๆ แล้วจูบปลายคางมนของคนที่เอาแต่หัวเราะเอิ้กอ้าก ตอนนี้มนุษย์ฮอบบิทกลายร่างเป็นบอลลูนลมหน้าโชว์รูมรถไปแล้ว ท่าทางตอนยืนนี่ตลกเกินกว่าจะเซ็กซี่
“เราแก้ของชานยอลด้วยได้ไหมอ่ะ...”
“แก้แล้วต้องทำอย่างอื่นด้วยนะ ถ้าไม่อยากทำก็อย่าแก้”
“ทำสิทำ...เดี๋ยวเราทำให้...เราทำเก่ง”
“เดี๋ยวจะโดน เมาแล้วทะลึ่งเหรอ” ชานยอลยิ้มขำพลางเลิกคิ้วมองดุคนตัวเล็กที่กำลังสะอึกขณะปลดเข็มขัดกางเกงเขา ถ้าเมาแล้วเป็นงี้จะจับมอมบ่อย ๆ เลยให้ตายสิ
“เราซักผ้าเก่ง...เราซักกางเกงให้ชานยอล”
“ไม่ใช่ซักผ้าสิ เฮ้อ...” คนตัวสูงจิ๊ปากแล้วหลับตาลงเมื่อคนเมาสิ้นฤทธิ์จนล้มลงมาทับตัวเขาเสียแล้ว
ชานยอลเซถอยหลังไปก้าวหนึ่งจนกึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่กับเคาน์เตอร์บาร์ไม้ ร่างสูงยิ้มบาง ๆ แล้วประคองให้คนรักเกยคางลงกับไหล่เขา ก่อนจะลูบศีรษะทุยเบา ๆ เป็นการกล่อมให้หลับ
“คลื่นไส้ไหม?”
“ไม่คับ...”
“งั้นไปนอนบนเตียงนะ” เสียงกระซิบที่อยู่ข้างหูนั้นอบอุ่นไปถึงหัวใจ คนเมาพยักหน้าช้า ๆ แล้วตวัดแขนกอดรอบคอแกร่งก่อนจะจุ๊บแก้มคนตัวสูงเบา ๆ
“รักชานยอลจัง”
“อารมณ์ไหนเนี่ย” สรุปจะนอนหรือไม่นอนกันแน่ มนุษย์ฮอบบิทตัวยุ่งที่เหมือนจะเคลิ้มหลับกำลังทำตาใสใส่เขา ก่อนจะยิ้มตาหยี
“อารมณ์รักชานยอลมาก ๆ รักที่สุดเลย...”
“เออ รักแล้วก็ต้องนอนพัก”
“ชานยอลก็ต้องรักเราให้มาก ๆ นะ...”
“เออ รักจนไม่รู้จะรักยังไงแล้วเนี่ย”
“มีความสุขจังอ่ะ...”
ชานยอลลุกขึ้นยืนพลางถอนหายใจ เขาพอจะเข้าใจหัวอกเพื่อนที่มหาลัยแล้วว่าทำไมมันถึงบ่นนักหนาตอนเพื่อนอีกคนเมาอย่างสาหัส ชานยอลประคองร่างอีกคนเอาไว้ พอจะอุ้มขึ้นคนตัวเล็กก็ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาเกี่ยวเอวเขา ก่อนจะตามด้วยขาอีกข้าง
ให้ตายเถอะ...นี่แฟนหรือลูกลิงกันแน่
“ไปกินข้าวกับคุณลุงกันนะ...”
“หืม”
“คุณลุงยอมรับเราแล้ว...ไปกินข้าวกัน...”
เสียงงึมงำอยู่ข้างหูนั้นเรียกรอยยิ้มจากร่างสูงได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ชานยอลทิ้งตัวลงนอนบนเตียงโดยที่ยังไม่ปล่อยตัวร่างเล็กออก ก่อนจะสบตากับคนเมาที่กำลังปรือตามองเขา
“เราโชคดีจังที่มีชานยอล...”
แบคฮยอนยิ้มกว้าง ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะจางหายไปพร้อมกับเปลือกตาที่ค่อย ๆ ปิดลง ชานยอลยังคงไม่ละสายตาจากดวงหน้าขาว เชื่อว่าตอนนี้คนเมาคงหลับจริง ๆ แล้วและคงไม่ตื่นขึ้นมาสร้างความวุ่นวายอีก
ร่างสูงยิ้มขณะใช้เวลาไปกับการมองคนรัก ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าเข้าไปกดจูบริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา เกือบชั่วอึดใจเลยทีเดียวที่ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน ชานยอลก็เป็นฝ่ายผละออกมาก่อน
ไม่ใช่แค่แบคฮยอนที่มีความสุขหลังจากได้รู้ว่าพ่อของเขาเปิดไฟเขียวให้ ปาร์คชานยอลรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก กับปัญหาที่เคยค้างคามานานซึ่งเขาทั้งสองคนก็ผ่านพ้นมันไปได้ด้วยดีจนได้
มันน่าตลกดีเมื่อนึกไปถึงครั้งแรกที่ได้เจอกัน พระเจ้าพาคนบ้านนอกจากมกโพมาให้ปาร์คชานยอลถึงที่เลยเหรอ? นั่นคือสิ่งที่เขาเคยถามตัวเอง
ความรู้สึกของเราเริ่มจากติดลบ ชานยอลเคยคิดแต่จะหาทางเอาเปรียบคนบ้านนอกหน้าตาซื่อ ๆ อย่างแบคฮยอนอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งวันหนึ่งความรำคาญก็เปลี่ยนเป็นความเห็นอกเห็นใจ
จากตอนแรกคิดว่าไอ้บ้านนอกคนนี้เป็นเพียงแค่เหยื่อที่จะทำให้เขาอยู่รอดจากทิฐิกับพ่อได้ แต่มันกลายเป็นว่าความหยาบกระด้างของปาร์คชานยอลนั้นค่อย ๆ จางหายไปทีละนิด หลังจากซึมซับความเป็นบยอนแบคฮยอนเข้าไป
มนุษย์ฮอบบิทสอนให้เขาหัดมองเห็นคนอื่นมากกว่าการเอาแต่คิดถึงตัวเอง และอะไรอีกหลายอย่างที่ทำให้ปาร์คชานยอลรู้สึกว่าโลกนี้ยังมีอะไรอีกเยอะที่เขายังต้องเรียนรู้ โลกที่เคยปิดตายเอาไว้ แต่แบคฮยอนกลับเข้ามันมาได้ง่าย ๆ โดยที่เขาไม่เคยรู้ตัว
ต่อไปนี้ทุกอย่างมันคือการเริ่มต้นที่แท้จริง เขาจะอยู่มกโพแล้วทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์สักปีนึง ก่อนจะชวนแบคฮยอนไปอยู่อเมริกาด้วยกันสองปีเพื่อเรียนต่อโทและทำงานไปด้วย ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศการใช้ชีวิต ซึ่งพอถึงเวลานั้น...เขาเชื่อว่าคนตัวเล็กคงพร้อมที่จะไปด้วยกัน
ไม่สิ...เราสองคนพร้อมจะไปทุก ๆ ที่ที่มีกันและกันแล้ว
‘เราโชคดีจังที่มีชานยอล’ งั้นเหรอ...
ชานยอลยิ้มขำแล้วเขี่ยปลายจมูกรั้นของคนตัวเล็กที่ผล็อยหลับไปแล้ว การเป็นความโชคดีของใครสักคนมันรู้สึกดีขนาดนี้เลยเหรอ ปาร์คชานยอลไม่เคยคิดว่าเขาจะดีพอสำหรับใคร จนกระทั่งมาเจอคน ๆ นี้...ที่ชื่อบยอนแบคฮยอน
“ไม่หรอก...เราโชคดีที่มีกันและกันต่างหาก”
ถ้าจุดเริ่มต้นของเรามันเริ่มที่การแชร์ค่าบ้าน...งั้นต่อไปนี้เรามาแชร์ชีวิตในส่วนที่เหลือไปด้วยกันจนแก่เถอะนะฮอบบิท
THE REAL END
จบบริบูรณ์แล้วค่ะ สำหรับ NERDY BOY หรือ #มนุษย์แบคฮยอน
เป็นยังไงกันบ้างคะ จบแบบเคลียร์ ๆ นะคะ โอย ใจหายเนอะ คงคิดถึงไททันกับฮอบบิทแย่เลย
เราเป็นคนเขียน เรารู้สึกว่าเด็กทั้งสองคนนี้มีอยู่จริง ผูกพัน ความรู้สึกตอนนี้ไม่ต่างจากตอนมนุษย์ชานยอลจบเลยอ่ะ แต่งานเลี้ยงก็ต้องมีเลิกราเนาะ
ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจกับฟิคเรื่องนี้ และติดตามมาจนถึงตอนจบนะคะ ขอบคุณทุกกำลังใจ ทั้งในแท็กทวิตเตอร์ และคอมเมนท์ต่าง ๆ รวมไปถึงคำนิยมด้วยและการกดโหวตฟิคด้วยค่ะ ขอบคุณที่บอกต่อฟิคเราให้คนอื่น ๆ ได้รู้จักนะคะ
ถ้าไม่มีพวกคุณ ฟิคเราก็ไม่มีใครสนใจแน่นอน พวกคุณคือกำลังใจของเราค่ะ ขอบคุณจริง ๆ ขอบคุณที่ชอบงานเขียนของเรา ซึ่งมันอาจจะดีสำหรับบางคน หรือแย่สุด ๆ สำหรับบางคน และเราจะพยายามพัฒนางานเขียนตัวเองให้ดีขึ้นนะคะ
บ๊ายบายจ้า
สนใจสั่งซื้อฟิค เชิญลิงค์นี้ได้เลยค่า :: http://my.dek-d.com/megacreep/writer/viewlongc.php?id=1227545&chapter=23
ความคิดเห็น