คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : Chapter 24 :: My Titan (100%)
Chapter 24
My Titan
ชานยอลถือตะเกียบค้างไว้อยู่อย่างนั้นมาเกือบครึ่งนาทีแล้ว สายตาของเด็กหนุ่มมองตามมือเล็กที่เอาแต่คีบเนื้อย่างให้เขาโดยไม่คิดจะเอามันเข้าปากตัวเองสักคำ จนจานแทบไม่มีที่วางแล้วนั่นแหละ เขาถึงได้จับข้อมืออีกคนไว้แล้วส่ายหน้ายิ้ม ๆ
“กะจะขุนให้กูท้องแตกตายเลยไง จะล้นอยู่แล้ว”
“แหะ” ไอ้บ้านนอกยิ้มเจื่อนแล้วอมตะเกียบไว้แก้เขิน ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วที่เจ้าตัวเอาแต่มองหน้าเขา แล้วก็ยิ้มอยู่อย่างนั้นราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ถึงจะน่ารักมากแต่เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายเอาแต่ดูแลเขาอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ
“ทำไมมึงแห้งแบบนี้วะฮอบบิท ก่อนไปยังมีเนื้อมีหนังกว่านี้ แก้มงี้หายไปไหน” พูดจบก็เอื้อมไปดึงแก้มคนตัวเล็กให้ยืดออก เขาเห็นว่าไอ้บ้านนอกหลับตาปี๋ทั้งที่ยิ้มอยู่แม้ว่าจะถูกแกล้ง
“เราอยากทดลองเป็นคนขี้ก้างเหมือนชานยอลตอนม.ปลายบ้าง”
“เดี๋ยวโดน” เด็กตัวสูงเลิกคิ้วมองหาเรื่องคนตัวเล็กที่เอาแต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่ใครจะไปกล้าว่าล่ะ ในเมื่อจุดประสงค์การมาในครั้งนี้ก็เพื่อให้แฟนยิ้มได้ไม่ใช่เหรอ
“ชานยอลต้องกินเยอะ ๆ นะ พอกลับไปอเมริกาจะไม่ได้กินอีก” คนตัวเล็กพูดเสียงจ้อเจื้อย ชานยอลไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาเพียงแค่เท้าศอกมองคนรักที่กำลังเอาผักห่อเนื้อย่างเข้าปาก
มนุษย์ฮอบบิทแก้มตุ่ยเหมือนหนูแฮมสเตอร์ ไม่สิ แบบนี้ต้องหมูแฮมสเตอร์มากกว่า ชานยอลยิ้มขำแล้วรินน้ำเปล่าใส่แก้วให้ ถึงสีผมจะเปลี่ยนลุคส์ไอ้บ้านนอกให้น่ารักขึ้น แต่รูปร่างที่ผอมลงก็ทำให้น่าเป็นห่วง
“ชานยอลต้องกลับวันไหน” เจ้าของชื่อชูสามนิ้วเป็นคำตอบ ซึ่งแบคฮยอนก็ไม่ได้ผิดหวังนัก เวลาสี่วันที่จะได้อยู่ด้วยกันมันก็มากเพียงพอสำหรับเขาแล้ว
“ตอนนั่งรถมากูเห็นเขาจัดงานอะไรไม่รู้ใกล้ ๆ ท่าเรือ เดินไปคุยกันไปดีกว่านะ ตอนนี้ช่วยกินให้ดูทีเถอะ กูจะได้โล่งใจว่ามึงจะไม่ผอมตายเร็ว ๆ นี้”
“รับทราบคับ” ชานยอลห่อเนื้อด้วยผักแล้วยื่นให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งไอ้บ้านนอกก็อ้าปากรับเหมือนเด็ก ๆ
“ฮึ่ย...”
ได้แต่มองคนที่เอาแต่ยิ้มอย่างหมั่นเขี้ยว เชื่อเถอะว่าคุณไม่รู้หรอกว่าการต้องหักห้ามใจไม่ให้เข้าไปฟัดแก้มมนุษย์ฮอบบิทแรง ๆ สักทีมันเป็นเรื่องยากแค่ไหน สำหรับคนที่ห่างกับแฟนไปเกือบสองปีอย่างปาร์คชานยอล
ชานยอลทำหน้าเซ็งทันทีที่เห็นว่าใครคนหนึ่งโผล่หน้ามาให้เห็น หลังจากที่เขากับมนุษย์ฮอบบิทมาถึงงานวัดที่จัดอยู่ใกล้ ๆ ท่าเรือ ซึ่งนั่นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้แว๊นหัวส้มที่ตอนนี้หัวมันเป็นสีบรอนด์สว่างแล้ว สภาพมันไม่ต่างจากแมลงวันหัวเขียวเลยสักนิด
“ว้าว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเจอนายที่นี่” กูก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าจะได้เจอเด็กแว๊นที่นี่
ชานยอลแค่นยิ้มแล้วชักมือกลับเมื่ออีกฝ่ายเข้ามากุมมือเขาแล้วเขย่าประหนึ่งจะเสี่ยงเซียมซี มึงไม่เอาแป้งมาถูแขนกูดูเลขดูเบอร์ไปเลยล่ะซั้ซ
“เขามาเมื่อไหร่น่ะแบคฮยอน ไม่เห็นบอกกันบ้าง”
“เราก็เพิ่งรู้เหมือนกันอ่ะ”
“มาสิมา ฉันเป็นเจ้าถิ่น จะดูแลนายเป็นอย่างดีเลย” แทฮยองว่าแล้วหันไปกอดคอแฟนสาวเดินนำหน้าไป ชานยอลเพียงแค่เอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มแล้วหันไปทางคนรักที่กำลังยิ้มแหย ๆ บางทีมกโพมันก็แคบจนเดินไปทางไหนก็เจอคน ๆ เดิมได้สินะ
“ไอ้หมอนั่นคบกับแฟนมานานแค่ไหนแล้ว”
“คนนี้เหรอ เห็นแทฮยองเล่าให้ฟังว่าปิ๊งกันในผับ แล้วก็คบกันเมื่อวานก่อนอ่ะ”
“โอเค งั้นไม่แปลกใจ”
“ทำไมเหรอ?” แบคฮยอนมองอีกคนที่กำลังยิ้มขำขณะมองไปยังคู่รักป้ายแดงตรงหน้า
“ผู้หญิงคนนั้นเอาแต่มองกู สายตาของเธอเหมือนกำลังพูดว่า ‘น่าแดกจังๆๆ’ ตอนสบตากัน” พอได้ยินอย่างนั้นแบคฮยอนก็หลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“ชานยอลดัดเสียงซะเสียเลยอ่ะ”
“หึงไหมล่ะแฟนโดนมอง” เด็กตัวสูงแอบเหลือบมองคนตัวเล็กที่ไม่มีท่าทีว่าจะเป็นอย่างที่เขาพูดเลยสักนิด ไอ้บ้านนอกเพียงแค่เอนหัวมาพิงแขนเขาแล้วหัวเราะแหะเท่านั้น
“ก็ได้แค่มองแหละ”
“...”
“เธอเอาชานยอลไปจากเราไม่ได้หรอก”
ท่ามกลางกระแสลมเย็นริมทะเล เสียงเพลงและเสียงผู้คนดังเซ็งแซ่ไปรอบอาณาบริเวณ แต่คำพูดของคนบางคนกลับชัดเจนราวกับว่ากระซิบให้ฟังอยู่ข้างหู ชานยอลอมยิ้มหลังจากได้ยินคำตอบนั้น และเป็นอย่างที่ไอ้บ้านนอกพูดไม่มีผิด
ว่าปาร์คชานยอลไปไหนไม่ได้แล้ว
ทั้งสี่คนเดินเล่นอยู่ตรงนั้นนานก่อนจะหาร้านนั่งกินมื้อเย็นกัน มีแค่แทฮยองกับแฟนที่เอาแต่พูด จนชานยอลกลายเป็นคนพูดน้อยไปเลย แต่มันก็ยังดีกว่าการที่เราสี่คนพร้อมใจกันเงียบแล้วใช้สายตาคุยกัน
เราเดินมานั่งบนซีเมนต์ริมทะเลก่อนจะหย่อนขาลงไป เบียร์ขวดเล็กคือเครื่องดื่มเพิ่มความอบอุ่นในตอนนี้ แบคฮยอนเคยดื่มบ้างตอนไปกับแทฮยอง ซึ่งชานยอลก็ไม่ได้ว่าอะไร ผู้ชายคนนี้เพียงแค่บอกว่าดื่มแล้วต้องดูแลตัวเองด้วย ไม่ได้ห่วงว่าใครจะลากไปปล้ำเพราะแบคฮยอนก็ไม่ได้หน้าตาน่าพิศวาสอะไร แต่ชานยอลกลัวเขาจะไปอ้วกใส่เสื้อผ้าใครเข้าให้
ชานยอลเป็นคนน่ารักกับแฟนเสมอ แบคฮยอนซึ้งใจ
ร่างเล็กดื่มไปแค่ขวดเดียว แต่มันก็มากพอสำหรับคนคออ่อนที่เห็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเพียงแค่น้ำขม ๆ ที่ไม่ควรเอาเข้าร่างกาย จนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าเพราะอะไรคนถึงชอบดื่มมัน
ชานยอลก็คือหนึ่งในนั้น ถึงปากจะบอกว่าไม่ได้ชอบดื่ม แต่หลายครั้งตอนเฟซไทม์กันก็เห็นว่าชานยอลไปปาร์ตี้ที่บ้านเพื่อน แล้วไอ้น้ำเหลือง ๆ ที่อยู่ในแก้วพลาสติกสีแดงนั่นก็คงไม่ใช่ฉี่
ชานยอลเริ่มดื่มขวดที่สอง แทฮยองกับแฟนอาสาว่าจะไปซื้อของกินเล่นมาเพิ่มเพราะไม่อยากให้ทิ้งช่วงนานเกินไป อีกไม่ประมาณชั่วโมงครึ่งก็จะเข้าวันปีใหม่แล้ว วิวจากตรงนี้คงมองเห็นพลุได้ชัดที่สุด
“ดีจังที่ชานยอลอยู่ตรงนี้” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เคยให้ความรู้สึกเหงาเมื่ออยู่คนเดียว แต่พอมีชานยอลอยู่ข้าง ๆ แบบนี้ ท้องฟ้าสีดำกลับดูอบอุ่นขึ้นมา “พอเห็นแบบนี้แล้วก็อดนึกถึงปีก่อนไม่ได้”
“หืม?”
“ถ้าวันนั้นไม่ทะเลาะกัน ครั้งนี้ก็คงเป็นครั้งที่สองแล้วที่เราจะได้เคาน์ดาวน์ปีใหม่ด้วยกัน”
นึกย้อนกลับไปตอนวันสิ้นปีที่โรงแรมริมทะเล ชานยอลยังจำวันนั้นได้เป็นอย่างดี เสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ เสียงเพลง รอยยิ้ม ไปจนถึงความเศร้าที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของเขา
“เชื่อเถอะว่ามันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย” ชานยอลยิ้มพลางโคลงศีรษะคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งมันทำให้แบคฮยอนรู้สึกอุ่นใจกับคำสัญญาอย่างไม่เป็นทางการของคนตัวโตจริง ๆ
เราปล่อยให้เสียงคลื่นทะเลทำลายความเงียบ แบคฮยอนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกเกร็ง ๆ ทั้งที่เมื่อก่อนเขาเคยเป็นตัวของตัวเองที่สุดเวลาอยู่กับชานยอล เพราะความตื่นเต้นงั้นเหรอ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ เพราะช่วงเวลาที่เราห่างกัน มันนานกว่าตอนที่เคยอยู่ด้วยกันซะอีก
“ชานยอลเพิ่งมาถึงหรือว่ายังไงอ่ะ ไม่เห็นมีกระเป๋าเลย” สุดท้ายก็เลือกทำลายช่องว่างที่บางทีอาจจะเป็นตัวเขาเองที่สร้างมันขึ้นมา เราเคยสนิทกันกว่านี้ และแบคฮยอนอยากกลับไปเป็นคนเดิมให้เร็วที่สุด
“พักอยู่โรงแรม K ห่างจากตรงนี้หกเจ็ดบล็อกเองมั้ง” ชานยอลหันไปข้างหลังพร้อมชี้ทางไปให้ดู “ห้องก็พออยู่ได้ สะอาดดี”
“อ๋อ” คนตัวเล็กพยักหน้า ก่อนจะเบิกตาอย่างตกใจเมื่อถูกอีกคนบีบคางให้หันมาสบตากัน
“อยากพูดอะไร?” แบคฮยอนมองตาปริบ ๆ ริมฝีปากที่ยู่เข้าหากันจนเหมือนเป็ดนั้นเพราะถูกมือใหญ่บีบ
“เอาอ่าวอ่ะ...” (เราเปล่าอ่ะ)
“ที่ถามนี่อยากไปนอนด้วยเหรอ?” พอได้ยินคำพูดสองแง่สองง่าม แบคฮยอนถึงกับทำตาเหลือกรีบดึงมืออีกคนออก
“หูย เราเปล่าพูดอย่างนั้นเลยนะ เราแค่จะชวนชานยอลมานอนบ้านเราเฉย ๆ”
กริบ...
“อ้อ...”
“เอ่อ...”
“จะให้ไปนอนด้วยว่างั้น?” อีกแล้วอ่ะ ชานยอลยิ้มเจ้าเล่ห์อีกแล้ว แบคฮยอนกลอกตาไปมาแล้วกัดริมฝีปากบน หลังจากรู้ตัวว่าหลุดปากพูดสองแง่สองง่ามกลับไปเหมือนกัน
“ชานยอลจะได้ไม่เปลืองเงินไง...”
“ดี งั้นเดี๋ยวไปเช็กเอาท์ออกเลย” ชานยอลพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ แบคฮยอนยกขวดเบียร์ขึ้นมากรึ๊บย้อมใจ แล้วหันไปก่นด่าตัวเองว่าทำไมถึงพูดแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่จะชวนชานยอลดี ๆ ก็ได้
“นี่ฮอบบิท”
“อะไรอ่ะ...”
“กูยังจำได้นะ ที่มึงเคยถามว่าถ้ามีอะไรก็อยากให้พูดกันตรง ๆ” ชานยอลไม่ได้หันมามองหน้ากันตอนที่พูดประโยคนี้ สายตาของคนตัวสูงทอดมองไปยังทะเลมืดเบื้องหน้า ก่อนจะยกขวดเบียร์ขึ้นดื่มบ้าง
“ชานยอลไม่สบายใจที่เราเป็นแบบนี้เหรอ” แบคฮยอนถามเสียงแผ่ว เขากำลังทำให้ชานยอลไม่ชอบใจหรือเปล่านะ
“เล่นเกมถามตอบกันไหม?” คนตัวสูงไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่กลับเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่น แบคฮยอนเกาหัวระหว่างใช้ความคิดก่อนจะพยักหน้าหงึก บางทีเขาอาจจะเสียความเป็นตัวเองไปเพราะดื่มเบียร์
“ใครถามก่อนดีอ่ะ”
“คำถามแรกเริ่มจากเมื่อกี้ คำตอบคือกูไม่สบายใจ” คำตอบของชานยอลเหมือนมีดทิ่มลงกลางอก แบคฮยอนเสียศูนย์ไปเกือบห้าวินาทีก่อนที่ใบหน้าคมจะหันมาสบตากันพร้อมรอยยิ้ม “กูอยากเป็นคนที่มึงอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด แต่ดูเหมือนว่ามึงจะไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น”
“เปล่านะเปล่า เราสบายใจที่สุดเลยอ่ะ ชานยอลอย่าเข้าใจผิดนะ”
“แล้วทำไมมึงถึงเอาแต่นั่งเงียบเหมือนคนกำลังคิดว่าจะพูดอะไรด้วยล่ะ แล้วก็ชอบยิ้มโง่ ๆ ด้วย ถึงมึงจะน่ารักแต่มันก็เอามาหักลบกันไม่ได้หรอกนะ” แบคฮยอนพูดไม่ออก ทำไมเดาใจออกหมดเลยอ่ะ ชานยอลเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ปกติไม่เห็นจะฉลาดขนาดนี้เลย
“ก็ชานยอลดูดีขึ้นอ่ะ คำพูดคำจาก็ทำให้เราใจเต้นแรงอยู่เรื่อย เราไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวแบบไหน ความรู้สึกมันก็แปลก ๆ ไปด้วย เหมือนชานยอลโตขึ้น เราเลยกลัวว่าถ้าทำอะไรออกไปแล้วจะขัดใจ”
“สรุปคือแฟนหล่อขึ้นก็เลยเขินว่างั้น”
“ก็ประมาณนั้นเลยอ่ะ...”
“ทีมึงน่ารักขึ้นกูยังเก็บอาการได้เลย มึงนี่อ่อนหัดจริง ๆ นะฮอบบิท” พูดจบก็กระตุกเส้นผมจนร่างเล็กหน้าหงาย แบคฮยอนย่นจมูกแล้วชกแขนแน่น ๆ ของคนตัวโตเบา ๆ
“ตาชานยอลถามมั่ง”
“มีคนมาชอบบ้างหรือเปล่า”
“ไม่มีเลยอ่ะ ขนาดซอนฮวาที่บอกว่าชอบเรายังไปคบกับจงแดเลย นอกจากชานยอลก็ไม่มีใครเอาเราแล้ว” เห็นหน้าหมา ๆ กับคำพูดคำจาอย่างนั้นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
แบคฮยอนมองคนข้าง ๆ ที่กุมท้องขำราวกับว่าที่เล่าไปมันเป็นเรื่องน่าตลกส่งท้ายปีเก่ายังไงอย่างนั้น นี่ก็เกือบนาทีนึงแล้วอ่ะ ชานยอลก็เอาแต่ขำเหมือนกับว่าพรุ่งนี้จะไม่มีเรื่องตลกอีกแล้ว แบคฮยอนสะกิดแขนแฟนตัวโตเบา ๆ เป็นเชิงขอให้หยุด
“อะไรอ่ะ”
“ทำไมมึงน่าสงสารแบบนี้วะฮอบบิท”
“มากอ่ะ แล้วซอนฮวาก็พูดเหมือนว่าตอนนั้นก็แค่หลงผิดที่มาชอบเรา เมื่อก่อนเคยแอบดีใจด้วยนะว่าที่ซอนฮวาชอบเราก็เพราะความดีล้วน ๆ”
“ไม่มีความดีอะไรทั้งนั้นแหละ ยัยนั่นแค่เปลี่ยว”
“จริงอ่ะ”
“เออ แต่ก็ดีเหมือนกัน ได้ยินแบบนี้แล้วสบายใจ” ชานยอลยิ้มพอใจแล้วยกเบียร์ขึ้นดื่ม
“ตาเราแล้ว” แบคฮยอนกระแอมไอพลางเพ่งมองอีกคนที่เพิ่งละขวดเบียร์ออกมา “ชานยอลล่ะ มีคนมาชอบบ้างไหม”
“มี”
“ได้ไงอ่ะ!!!” แบคฮยอนอ้าปากหวอ ชานยอลต้องตอบว่าไม่มีเหมือนกันสิ
“มึงดูหน้าแฟนมึงก่อนจะถามอย่างนั้น” คนตัวสูงชี้หน้าตัวเอง ตอนนั้นแบคฮยอนถึงได้เข้าใจ จมูกโด่ง คิ้วหนา ตาเรียว เสียงทุ้ม หุ่นดี ตัวสูง เอเชีย โอเค ชานยอลหล่อก็ได้
“แล้วชานยอลทำยังไง”
“ตากูถามไม่ใช่เหรอ”
“หูย หยวน ๆ ไม่ได้เหรอ ถือว่าเป็นคำตอบย่อย” แบคฮยอนจีบนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้พร้อมทำตาปริบ ๆ แต่ก็ถูกไททันตัวโตดันหน้าออกไป
“เมื่อวาเลนไทน์ไอ้จงอินส่งอะไรมาให้”
“ชานยอลรู้ด้วยเหรอ”
“ไม่ได้ให้ถามกลับ ตอบมา” สายตาของคนตัวสูงในตอนนี้ทำให้แบคฮยอนนึกถึงเมื่อก่อนเลย เมื่อกี้เหมือนองค์ไททันโลกแดงลงมาประทับยังไงอย่างนั้น
“ขนมกล่องใหญ่กับหนังสือนักเขียนชื่อดังอ่ะ”
“...”
ชานยอลยังคงไม่ละสายตาไปจากดวงหน้าขาว สีหน้าของคนตัวสูงเหมือนกำลังพิจารณาว่าคำตอบนี้มันฟังขึ้นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งคิ้วหนาที่ขมวดเข้าหากันนั้นมันเรียกรอยยิ้มจากคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดี
“ชานยอลหึงเหรอ”
“ตอนแรกก็ไม่หรอก จนกระทั่งไอ้หอกหักมันบอกว่า ‘วาเลนไทน์ส่งของให้แฟนเพื่อนนี่จะเหี้ยป่ะวะ?’ สัด ทำกูพีคเลย” ชานยอลแค่นหัวเราะเมื่อนึกถึงไอ้เพื่อนชั่วที่ชอบปั่นหัวเขาอยู่เรื่อย กวนตีนนักนะมึงว่าที่อัยการ
“ตาเราถามแล้ว!” แบคฮยอนนั่งยืดหลังตรงแล้วจับมือแกร่งเอาไว้แน่น ชานยอลเห็นท่าทีจริงจังของมนุษย์ฮอบบิทแล้วก็เอ็นดู “ชานยอลทำยังไงหลังจากรู้ว่ามีคนมาชอบ”
“กูบอกว่า ‘Sorry, I’m gay.’ แค่นั้นแหละ รู้เรื่อง”
“โห เหมือนตัดน้องชายตัวเองโชว์สาวเลยอ่ะ ชานยอลต้องใจเด็ดมาก ๆ เลยนะที่จะประกาศตัวในอเมริกาอย่างนั้น” แบคฮยอนปรบมือก่อนจะหัวเราะร่าทันทีที่ถูกอีกคนผลักหัวเข้าให้
“กูกลายเป็นประเด็นอยู่ช่วงนึงเลย ‘ไอ้หนุ่มเอเชียที่ชอบอยู่กับเพื่อนนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลเป็นเกย์ มันคงโดนระเบิดตูดครบทั้งทีมแล้ว’ มึงรู้ใช่ไหมว่าคนอย่างกูจะทำยังไงถ้าได้ยินอย่างนั้น” เด็กหนุ่มหันหน้าเข้าหาคนรัก แบคฮยอนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าหงึก “แต่กูไม่ได้ทำ”
“อื้อ”
“ถ้ากูมีเรื่องชกต่อย ปัญหาสารพัดก็จะตามมา กูจะทำตามใจตัวเองเหมือนตอนอยู่มัธยมไม่ได้แล้ว แต่เชื่อเถอะว่าตอนใช้เวลาสี่ชั่วโมงไปกับการต่อยกระสอบทรายในโรงยิมระบายอารมณ์มันยังไม่พอ”
“ตอนแรกเราก็ดีใจนะที่ชานยอลปฏิเสธเธอไปแบบนั้น แต่...” แบคฮยอนไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไง ทั้งดีใจ แต่ก็รู้สึกแย่ที่ชานยอลถูกคนเหล่านั้นมองด้วยสายตาแปลก ๆ
“Everything happens for a reason. ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีเหตุผลเสมอ ถ้ากูไม่บอกว่าเป็นเกย์ ใครที่ไหนจะมาล้อวะ” ชานยอลหัวเราะ
“แต่มันก็ทำให้รู้สึกไม่ดีใช่ไหมอ่ะ”
“ก่อนจะรู้สึกดีได้ มันก็ต้องผ่านเรื่องไม่ดีมาทั้งนั้นแหละ” ชานยอลยิ้มแล้วยันมือไว้ข้างหลัง “นอกจากไอ้จงอินแล้วก็ยังมีอาจารย์หน้าตาเหมือนผู้พันแซนเดอส์อีกคนที่ทำให้กูเข้าใจอะไรได้มากขึ้น”
“...”
“คิดว่าฝึกความอดทนน่ะ ช่วงแรก ๆ มันก็ยากหน่อย แต่พอทำได้แล้วชีวิตมันก็ง่ายขึ้น” เด็กตัวสูงทอดสายตาไปยังทะเลกว้าง ก่อนจะหันกลับมาสบตากับคนตัวเล็กอีกครั้ง “มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ต้องรักษาน้ำใจผู้หญิงที่เข้ามาชอบกู ต่อให้ไม่ได้เป็นแฟนกัน ผู้หญิงเหล่านั้นก็ไปชอบคนอื่นได้”
“คับ”
“แต่ถ้าไม่มีมึง กูก็คงชอบคนอื่นไม่ได้”
“...”
“มึงคงคิดว่ามันต้องมีผู้หญิงดี ๆ สักคนแหละที่มาชอบกู แต่แล้วยังไงล่ะ” ชานยอลเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ถ้าไม่มีแฟนจะคุยกับใครมันก็ได้อยู่แล้ว แต่กูเสือกโชคร้ายตกหลุมรักมนุษย์ฮอบบิทก่อน” ชานยอลหัวเราะในลำคอเบา ๆ ระหว่างที่เราปล่อยให้เสียงของบรรยากาศรอบข้างคั่นจังหวะของความคิด “กูไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อตามหารักแท้ แต่กูไปที่นั่นเพื่ออนาคตของเรา”
“...”
“ใครจะสนล่ะว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนดีนะ ถ้าคบแล้วต้องมีความสุขแน่ ๆ ในเมื่อกูมีสิ่งที่เรียกว่าความสุขอยู่แล้ว และกูก็มั่นใจด้วยว่าเลือกไม่ผิด” ชานยอลแบมือออกมาตรงหน้า ก่อนจะหลุบสายตาลงเป็นเชิงบอกให้คนตัวเล็กวางมือลงมา ซึ่งแบคฮยอนก็ทำตามอย่างว่าง่าย
“เราเข้าใจชานยอลนะ” คนตัวเล็กอมยิ้ม สำหรับเขาคงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการอธิบายให้เข้าใจ เพราะการคิดไปเองมันมีแต่ความเจ็บปวด แบคฮยอนไม่ชอบอย่างนั้น
“ขอโทษที่ทำให้คิดมาก แต่กูแค่อยากบอกว่าช่วงที่ไม่ค่อยได้คุยกันกูไม่เคยมีใคร” ชานยอลสอดประสานเรียวนิ้วกับคนตัวเล็กแล้วจูบหลังมือนั้นเบา ๆ “แค่อยากมาเซอร์ไพรส์ เลยเอาเวลาไปทำงานพิเศษงก ๆ เก็บเงิน”
“...”
“ที่ไม่ได้ส่งของขวัญวันเกิดมา ก็เพราะว่ากูอยากเอามาให้ด้วยตัวเอง” แบคฮยอนรู้สึกเหมือนว่าคนข้าง ๆ เป็นพ่อมด ที่สามารถเยียวยาจิตใจของเขาให้ดีขึ้นได้ด้วยเวทย์มนต์ทางคำพูด “แต่ของอยู่ในกระเป๋าเดินทางนะ ต้องกลับโรงแรมก่อนถึงจะให้ได้”
“อยู่ด้วยกันอีกตั้งหลายวัน เราไม่รีบหรอก” แบคฮยอนยิ้มกว้าง หมดสิ้นความทุกข์ที่เคยก่อกวนจิตใจ ร่างเล็กเชื่อว่าที่ชานยอลพูดมาทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นความจริง
“ทำงานพาร์ทไทม์เป็นไลฟ์การ์ดวันนึงคนจมน้ำไม่บ่อยหรอก เงินดีกว่าไปล้างจานในร้านอาหารให้น้ำร้อนลวกมือเล่นอีก นั่นชั่วโมงละสิบสองเหรียญเลยนะ เก็บไม่นานก็ได้ค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว” ชานยอลหัวเราะก่อนที่ริมฝีปากหยักจะหุบยิ้มลงเมื่ออีกคนขยับมานั่งซบไหล่เขาแล้วกอดแขนแน่น
“ทำไมแฟนเราน่ารักอย่างนี้น้า”
“...”
“ทั้งหล่อ ทั้งแสนดี เราโชคดีกว่าถูกหวยอีก” เสียงของมนุษย์ฮอบบิทงึมงำอยู่คนเดียว แต่มันก็เรียกรอยยิ้มให้กับคนที่พยายามต่อสู้กับความเหน็ดเหนื่อยมาตลอดอย่างเขาได้เสมอ
“เพราะงั้นเชื่อใจกูนะ” เสียงของชานยอลคล้ายกระซิบ แบคฮยอนพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วกอดแขนแกร่งแน่นยิ่งขึ้น
“กรี๊ดดด!!!”
“ถอยออกมาเร็วเข้า!!!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายที่ดังมาจากด้านหลังเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มทั้งสองคน ชานยอลลุกขึ้นยืนก่อนจะดึงแขนร่างเล็กให้ลุกขึ้นตามพร้อมมองไปยังภาพเบื้องหน้า แล้วก็ได้เห็นว่ามีกลุ่มเด็กวัยรุ่นกำลังตะลุมบอนกันอยู่
“แย่แล้ว นั่นแทฮยอง!!!”
แบคฮยอนเบิกตาอย่างตกใจ ทันทีที่เห็นว่าคนในวงล้อมนั้นคือเพื่อนสนิท และกำลังโดนเด็กหนุ่มอีกเกือบแปดคนชกต่อยจนทรุดลงไปกองกับพื้น โดยที่แฟนสาวของแทฮยองถูกผู้ชายคนหนึ่งโอบไหล่เอาไว้
ไม่มีใครเข้าไปห้ามหรือหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เด็กหนุ่มที่ถูกรุมทำร้าย คนแถวนั้นเพียงแค่ยืนดูและถ่ายคลิปไว้ ชานยอลขมวดคิ้วแล้วให้สมองประมวลผล เสียงของแบคฮยอนที่เอาแต่พูดว่า ‘จะทำยังไงดี’ ยังคงลอยเข้าหูเหมือนเทปม้วนเดิมที่เปิดวนเล่นซ้ำ ๆ
“ชานยอล!!!” เรียกไม่ทันแล้ว แบคฮยอนทำตัวไม่ถูกเมื่อตอนนี้ชานยอลถือขวดเบียร์ติดมือไปด้วย
เพล๊ง!!!
เสียงขวดเบียร์แตกกระจายทันทีที่ถูกฟาดลงกลางหัวเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ชานยอลไม่รอให้เสียจังหวะ ขายาวก็ถีบเข้ากลางอกจนคนตัวผอมกว่าเสียหลักถอยออกไป แทฮยองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลโดยได้รับความช่วยเหลือจากคนที่คิดว่าพร้อมจะตั๊นท์หน้าเขาได้ทุกเมื่ออย่างปาร์คชานยอล ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันกลับไปสนใจกับพวกแก๊งนักเลงอีกครั้ง
ต่อให้ชานยอลจะมีฝีมือชกต่อย ส่วนแทฮยองเองก็เคยอยู่ชมรมมวย แต่จำนวนคนก็เป็นเรื่องสำคัญ แน่นอนว่าสองต่อแปดเป็นอะไรที่เสียเปรียบ เมื่อตอนนี้พระเอกขี่ม้าขาวในสายตาผู้คนรอบข้างกลายเป็นเหยื่อไปอีกคนแล้ว
“ไม่สิ ต้องไม่ใช่แบบนี้...” แบคฮยอนหันซ้ายขวา เขาควรทำอะไรสักอย่างก่อนที่ชานยอลและแทฮยองจะเจ็บตัวมากไปกว่านี้ “ตำรวจมา!!!!”
ประโยคนี้ใช้ได้เสมอกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลุ่มเด็กวัยรุ่นรีบวิ่งหนีไปจากตรงนี้พร้อมกับแฟนของแทฮยองที่เพิ่งคบกันได้ไม่กี่วัน ก่อนที่แบคฮยอนจะเข้าไปดูอาการเพื่อนสนิทที่นอนขดตัวอยู่บนพื้น ส่วนชานยอลเจ็บตัวไม่มากเพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายสนใจที่แทฮยองมากกว่า
“เวรเอ๊ย ลุกไหวไหม?” ชานยอลหิ้วปีกเด็กหนุ่มตัวผอมขึ้นมาและแบคฮยอนก็เข้าไปช่วยอีกแรง
ตอนนี้ใบหน้าของชานยอลขึ้นริ้วแดงตรงโหนกแก้มและหัวคิ้ว แต่ก็ยังไม่หนักหนาเท่ากับแทฮยองที่เลือดกบปาก อีกทั้งแขนขาที่ดูไร้เรี่ยวแรงจนแทบล้มหากไม่มีคนช่วยประคอง ถ้าปล่อยไปนานกว่านี้ชานยอลคงได้น่วมไปอีกคนแน่
ประมาณสิบห้านาทีทั้งสามคนก็มาถึงบ้านของแทฮยอง คุณป้ากับลูกสาวคนเล็กรีบเข้ามาประคองเด็กหนุ่มตัวผอมให้เข้าไปข้างใน พอเห็นว่าแบคฮยอนจะตามเข้ามาแทฮยองเลยยกมือห้ามเอาไว้แล้วส่ายหน้า
“นายสองคนกลับไปเถอะ อีกสี่สิบนาทีก็จะปีใหม่แล้ว”
“แต่...”
“ไม่ต้องเป็นห่วงน่า ฉันไม่เป็นไร” แทฮยองแกะมือแม่กับน้องสาวออก เขาไม่อยากให้แบคฮยอนต้องมาเสียเวลากับเขาจนพลาดการเคาน์ดาวน์ปีใหม่กับคนรักที่รอเจอกันมาตั้งนาน
แทฮยองหันไปทางคนตัวสูงกว่าแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ยอมรับว่ายังคงประหลาดใจไม่หายที่ชานยอลยอมเสี่ยงเข้ามาช่วยเขา ทั้งที่เจ้าตัวน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าอาจจะโดนอัดไปด้วย อีกอย่าง ไอ้หมอนี่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาเรื่องนี้คิมแทฮยองรู้ แต่ที่สุดแล้ว คนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเขากลับเป็นคนกรุงโซล มากกว่าคนมกโพด้วยกัน
“ขอบใจ”
“ขากลับก็พาไปเลี้ยงข้าวด้วย ถ้าสำนึกบุญคุณก็ต้องตอบแทน” ชานยอลไม่ได้พูดให้อีกคนต้องรู้สึกผิด ซึ่งแทฮยองก็แค่นหัวเราะกับความกวนตีนของแฟนเพื่อน ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวไม่ทันดูพลุหรอก”
“ถ้ามีอะไรโทรหาเราเลยนะ” แบคฮยอนว่าก่อนจะโค้งหัวลาแม่ของเพื่อนสนิท
“ขอบใจมากนะลูก” แม่ของแทฮยองมองเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่อุตส่าห์พาลูกชายของเธอมาส่ง หลังจากได้ยินข่าวร้ายทางโทรศัพท์ว่าแทฮยองถูกทำร้าย
50%
“ผิดคาดเลยนะ บ้านน่าอยู่กว่าที่คิด”
ชานยอลถอดเสื้อโค้ทออกแล้วพาดไว้บนโซฟา ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องนั่งเล่นที่ขนาดไม่กว้างและไม่แคบจนเกินไป ถึงที่นี่จะไม่มีใครอยู่ แต่เขาก็พอจะจินตนาการออกว่าเมื่อก่อนบ้านหลังนี้คงอบอวลไปด้วยความสุข
“น่าสงสารไอ้หมอนั่นนะ จะมีแฟนทั้งทีดันไม่รู้ว่าเธอมีผัวแล้ว”
“เราว่าแทฮยองต้องพาเพื่อนไปเอาคืนแน่เลย”
“ก็สมควรอยู่ โดนรุมซะขนาดนั้น แต่ถ้าดวลกันหนึ่งต่อหนึ่งกูว่าไอ้เด็กแว๊นคงชนะได้ไม่ยากหรอก ส่วนสูงก็ไม่ได้ต่างกันมาก จากที่เห็นมันก็ดูมีฝีมือพอสมควร”
“เราอยากห้ามจัง แต่แทฮยองนิสัยเหมือนจื่อเทาเลยอ่ะ ยิ่งห้ามก็ยิ่งเอามือมาปิดปาก” ชานยอลยืนนิ่ง พลางขมวดคิ้วกับประโยคเมื่อครู่นี้
“ยังไงวะ?”
“ก็เมื่อปีที่แล้ว จงอินกับจื่อเทาไปมีเรื่องกับคนกลุ่มนั้นอ่ะ ที่เคยรุมทำร้ายชานยอลจนเราแว่นแตก”
“พูดจริง? ทำไมกูไม่เห็นจะรู้เรื่องเลยวะ?” เด็กตัวสูงเท้าแขนไว้กับมุมผนังพลางมองไปยังใครอีกคนที่เดินมาพร้อมกับแก้วน้ำให้เขา
“เรานึกว่าชานยอลจะรู้ซะอีก” แบคฮยอนยิ้มเจื่อน “อย่าบอกสองคนนั้นนะว่าเราเล่าให้ฟังอ่ะ...”
“ทำไมมึงรู้ แต่กูที่เป็นเพื่อนสนิทมันกลับไม่รู้” ชานยอลหมุนนิ้วชี้ตรงระดับขมับ ซึ่งแบคฮยอนก็ยังคงยิ้มแห้ง ๆ แทนคำตอบ
“พวกเขาคงไม่อยากให้ชานยอลเป็นห่วงอ่ะ เรียนอยู่ที่โน่นก็กดดันมากพอแล้ว จื่อเทาบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แลกหมัดกันแล้วก็จบ”
“เดี๋ยวมีเคลียร์แน่” เด็กหนุ่มจิ๊ปาก ไอ้พวกเพื่อนเวรนี่ยังไงกันวะ ไหนบอกว่ามีอะไรแล้วจะเล่าให้ฟัง เจอกันเมื่อไหร่โดนถีบแน่
“ถ้าชานยอลบอก เราก็โดนว่าสิ อย่าบอกเลยนะ นะ ๆๆ แกล้งทำเป็นไม่รู้ต่อไปได้ไหม ไหน ๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว” แบคฮยอนเขย่าแขนแล้วยิ้มหน้าหมาอีกแล้ว เด็กตัวสูงหลุบตาลงมองมนุษย์ฮอบบิทที่กำลังออดอ้อนด้วยท่าทางและสีหน้า แล้วมีหรือที่ปาร์คชานยอลจะไม่ใจอ่อน
“เออ ก็ได้”
“น่ารักกว่าแฟนเราไม่มีอีกแล้ว” ไอ้บ้านนอกยิ้มตาหยีแล้วเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้ยาซึ่งติดอยู่กับผนังบ้าน
“จะไม่ไปดูพลุจริงเหรอ”
“ไม่เอาอ่ะ เมื่อกี้ชานยอลเพิ่งเอาขวดไปฟาดหัวคนอื่นแตก เรากลัวตำรวจจับชานยอลไปโรงพัก” เสียงของคนตัวเล็กดังมาจากทางด้านใน พอชะเง้อหน้ามองก็พบว่าตอนนี้ไอ้บ้านนอกกำลังง่วนอยู่กับการเลือกยาทาแผล
ชานยอลเกาท้ายทอย จะหาว่าเหี้ยก็ได้ที่เขาไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิดที่เอาขวดเบียร์ฟาดหัวพวกเวรนั่น มันน่าโมโหจริง ๆ ที่พวกมันเอาแต่รุมกระทืบไอ้แว๊นมากกว่าการหันมาสนใจเขา ถ้าถามว่าไม่ดีหรือไง มันก็คงดีล่ะมั้งที่ปาร์คชานยอลไม่โดนอัดจนปวดหน้าไปหมด
คนกำลังเมากึ่ม ๆ โดนขัดจังหวะพลอตรักกับแฟนเลยมีเดือดกันบ้าง ไหนจะเพิ่งเล่าเรื่องพวกนรกตาน้ำข้าวที่เคยแซวว่าเขาเป็นเกย์นั่นอีก ความเดือดสะสมเลยต้องถูกงัดออกมาใช้กันหน่อย ไอ้ที่บอกว่าฝึกความอดทนอะไรนั่น เอาไว้ใช้ตอนที่เหล้าเบียร์ยังไม่เข้าปากก็แล้วกัน
“อยู่ห้องไหน”
“ห้องนั้นแหละ สวิตซ์ไฟอยู่ซ้ายมือนะ” พอได้ยินคำตอบเด็กหนุ่มเลยหมุนลูกบิดเข้าไป ทันทีที่เปิดไฟก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเพียงแค่เห็นการตกแต่งห้องที่ดูสบายตาและเป็นระเบียบ
ขายาวเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะไม้แล้ววางแก้วน้ำลง หนังสือเรียนที่กองกันไว้อย่างเป็นระเบียบนั้นไม่สะดุดตาเท่ากับภาพถ่ายในกรอบทั้งสองรูปที่วางอยู่ข้างกัน ทางซ้ายเป็นรูปพ่อแม่ลูก ส่วนทางขวาคือรูปเขากับมนุษย์ฮอบบิท
“เป็นแบบนี้แล้วใครจะอยากไปมีคนอื่น...”
ชานยอลอมยิ้มแล้วหยิบกรอบรูปขึ้นมาดูใกล้ ๆ ราว ๆ ครึ่งนาทีล่ะมั้งที่เขาใช้เวลาไปกับการเพ้อความน่ารักของแฟนในหัว ก่อนจะวางกรอบรูปลงที่เดิมแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ
ห้องนี้ไม่ได้กว้างเท่าไหร่ถ้าเทียบกับห้องของเขาในโซล หรือหอพักในมหาวิทยาลัย ข้างผนังมีรูปถ่ายมากมายติดอยู่ มันควรจะดูรกแต่ไอ้บ้านนอกกลับตกแต่งให้มันน่ามองได้ ขายาวเดินไปหยุดอยู่ข้างผนัง ชานยอลไม่สามารถหุบยิ้มเมื่อสายตาของเขาจับจ้องอยู่กับรูปถ่ายสมัยเด็กของแบคฮยอน ตั้งแต่ตอนยังแบเบาะไปจนถึงวัยมัธยม ที่มีทั้งถ่ายเดี่ยว ถ่ายกับเพื่อน และครอบครัว
ชานยอลหันไปทางประตูห้องที่ยังคงเปิดทิ้งไว้ แล้วอาศัยจังหวะนั้นค่อย ๆ ลอกรูปถ่ายมนุษย์ฮอบบิทตอนวัยแบเบาะออกมาพร้อมยัดใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง ก่อนจะรีบเดินไปนั่งกับขอบเตียงเมื่อได้ยินฝีเท้ากำลังเดินมาทางนี้
แบคฮยอนมาพร้อมชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น คนตัวเล็กจัดแจงวางของไว้ข้างตัวคนเจ็บที่ดูเหมือนว่าจะไม่สะทกสะท้านกับรอยแผลสักเท่าไหร่ ทั้งคู่สบตากันแค่ครู่เดียวแบคฮยอนก็หันไปสนใจกับการเทแอลกอฮอล์ลงบนสำลี พอหันหน้าเข้าหาจิ๊กโก๋นักเรียนนอกแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น เมื่อพบว่าเจ้าตัวกำลังยิ้มอยู่
“อะไรเหรอ”
“เห็นมึงหน้าบึ้ง กูเลยช่วยเรียกรอยยิ้มให้ไง”
แบคฮยอนไม่ได้ต่อล้อต่อเถียง เขาหยุดยืนอยู่กลางหว่างขาคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงก่อนจะดันปลายคางคนตัวสูงให้เงยขึ้นแล้วแตะสำลีลงไปเบา ๆ ตรงโหนกแก้ม ก่อนจะได้ยินเสียงซี๊ดปากอย่างเจ็บปวด
“เบาหน่อยได้เปล่า”
“เราไม่สงสารชานยอลหรอก ทีตอนวิ่งเข้าไปให้คนอื่นรุมตื้บยังไม่เห็นบ่นงี้เลย”
“โธ่ทูนหัว ถ้ากูไม่เข้าไปช่วย ไอ้แว๊นได้เละเป็นโจ๊กตรงนั้นไปแล้ว” ชานยอลถอนหายใจพลางวางมือลงบนเอวคนตัวเล็กที่ยังคงตั้งใจทำแผลบนหน้าเขาอย่างเบามือ “ไม่อยากดูพลุจริง ๆ เหรอ”
“อยากสิ แต่เราดูที่บ้านก็ได้นะ ตรงนี้ก็มองเห็น” ร่างเล็กว่าพลางพยักหน้าไปทางหน้าต่างด้านซ้ายมือ
“จะสวีทก็สวีทไม่สุด มารผจญจริง ๆ” ชานยอลหัวเราะ ก่อนจะนิ่วหน้าเพราะสำลีแตะลงบนแผลอีกครั้ง
“อย่าทำแบบนี้อีกได้ไหมอ่ะ เราตกใจแทบแย่” แค่ไม่กี่วินาทีที่แบคฮยอนยอมละสายตาออกห่างจากรอยแผลบนใบหน้าคมเพื่อสบตากัน ชานยอลยิ้มบาง ๆ พร้อมพยักหน้าตกลง
พรึ่บ!!!
ทุกอย่างค้างอยู่ท่านั้นเมื่ออยู่ ๆ ไฟก็ดับ แบคฮยอนจำได้ว่าเขาจ่ายค่าไฟไปแล้วนะ ไหงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ พอมองออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่าไฟบ้านละแวกนี้ก็ดับกันหมด แย่แล้วสิ เขายังทำแผลให้ชานยอลไม่เสร็จเลย
“ทำไงดีเนี่ย ชานยอลเปิดไฟมือถือหน่อยสิเราจะได้ทำแผลต่อ”
“แบคฮยอน”
“อื้อ?”
“จูบหน่อย”
“...”
แบคฮยอนไม่เคยคิดว่าคำถามนี้จะทำให้พูดไม่ออก เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงยิ้มแล้วหลับตาลงรับจูบอีกฝ่ายโดยไม่อิดออด แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ทั้งบรรยากาศเงียบ ๆ ตอนใกล้เที่ยงคืน รวมไปถึงความมืดโดยรอบ ที่ทำให้มองเห็นเสี้ยวหน้าข้างหนึ่งของชานยอลได้ มีเพียงแค่แสงดวงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้น
“อยู่คนเดียวคงเหงามากเลยใช่ไหม?”
ตึกตึก...ตึกตึก...
อยู่ ๆ มือที่เคยวางอยู่บนเอวทั้งสองข้างก็เป็นเรื่องน่าเขินขึ้นมา พอปรับสายตาให้ชินกับความมืดได้ ร่างเล็กก็รู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้าเพราะแววตาของใครอีกคนที่มองมา มันต่างไปจากทุกครั้งหรือเปล่านะ ไม่...ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชานยอลมองแบบนี้
“ถึงจะอยู่ด้วยกันได้แค่ไม่กี่วัน แต่กูสัญญาว่าปีหน้าจะมาอีก อดทนรอหน่อยนะ”
ตึกตึก...ตึกตึก...
หัวใจเต้นแรงขึ้น สายตาของชานยอลมีผลกับอัตราการเต้นของหัวใจเขาเหลือเกิน ซึ่งแบคฮยอนก็ไม่เข้าใจตัวเองเลย เราสองคนเคยสบตากันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ถึงเมื่อก่อนจะทำให้เขินอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่เหมือนกับครั้งนี้ สายตาชานยอลมีเสน่ห์มากขึ้นจนไม่เหลือคราบผู้ชายทะเล้นคนเดิม
“ให้ตายเถอะ ขนาดมองหน้ามึงแบบนี้กูยังคิดถึงอยู่เลย”
“เราก็เหมือนกัน...”
“เหรอ?” ชานยอลยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นมาไล้ริมฝีปากล่างคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา ทั้งที่ดวงตาคู่นั้นยังไม่ละห่างไปไหน “ตัวสั่นเลยนะ หนาวหรือไง?”
“...ก็...หนาว”
ประโยคโง่ ๆ หลุดออกมาจากปากทุกทีที่ทำตัวไม่ถูก แบคฮยอนยิ้มเจื่อนก่อนจะเบิกตาอย่างตกใจเมื่ออยู่ ๆ คนตัวสูงจะจับคอเสื้อตัวเองแล้วถอดออกจนท่อนบนเปลือยเปล่า แบคฮยอนค้างอยู่ท่านั้น พอรู้ตัวอีกทีร่างของเขาก็ถูกรั้งลงไปให้นั่งคาบหน้าตักของชานยอลเสียแล้ว
“เดี๋ยวสิ...ชาน...”
คนตัวสูงใส่เสื้อแขนยาวที่เพิ่งถอดออกให้กับเขา ความหนาวติดลบของสภาพอากาศในวันสุดท้ายของเดือนธันวาไม่มีผลสำหรับคนตัวเล็กในตอนนี้ แบคฮยอนรู้สึกเหมือนกำลังหายใจไม่ค่อยออกกับบรรยากาศแปลก ๆ ที่กำลังทำให้ใจเต้นแรง มันเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์จากเบียร์ขวดนั้นหรือเปล่านะ
“อุ่นหรือยัง?”
เสียงของชานยอลทุ้มต่ำ แหบพร่า แบคฮยอนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงขนลุกกับน้ำเสียงแบบนี้ ร่างเล็กคิดว่าตอนนี้เขากำลังร้อนจนเหงื่อออก มันเป็นเพราะเสื้อของชานยอลที่สวมทับลงมาอีกชั้น หรือเป็นเพราะว่าใบหน้าของเราห่างกันแค่คืบเดียวก็ไม่รู้
“ถ้ายังไม่อุ่นจะได้กอด”
เมาเหรอ ไม่...ชานยอลไม่ได้เมา ถึงจะดื่มเบียร์ไปหลายขวด แต่คนเมาคงไม่สามารถชกต่อยกับคนอื่นแล้วยังมีแรงหิ้วปีกแทฮยองกลับไปส่งถึงบ้านได้แน่ ๆ
กลิ่นโคโลญจน์ที่มาจากตัวชานยอลและเสื้อที่เขาสวมอยู่มันคลุ้งลอยติดจมูก ราวกับมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้อยากเข้าไปสูดกลิ่นใกล้ ๆ แบคฮยอนวางมือลงบนลาดไหล่กว้าง ผิวของชานยอลอุ่นจนทำให้อดนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่เรายังอยู่ด้วยกันไม่ได้
“แบคฮยอน...”
ไม่เคยชินสักครั้งตอนได้ยินชื่อตัวเองจากริมฝีปากของคนตรงหน้า ร่างเล็กรู้สึกว่าชื่อของเขามันมีความหมายทุกครั้งที่ชานยอลเรียก และมันทำให้รู้สึกอบอุ่นไปทั้งใจ
แบคฮยอนเข้าใจคำว่าไม่หายคิดถึงอย่างถ่องแท้แล้ว แม้ว่าตอนนี้เราจะอยู่ใกล้กัน สบตากัน และพูดคุยกัน แต่แบคฮยอนก็ยังรู้สึกคิดถึงชานยอลจนขึ้นสมอง มันมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้ความรู้สึกนี้ถูกเติมเต็มได้ ไม่...บยอนแบคฮยอนไม่ได้หมายถึงวิธีที่ทำให้ความคิดถึงหายไป
“เรา...”
“...”
“เราอยากจูบชานยอล...”
เสียงนี้ช่างแผ่วเบา แต่เชื่อเถอะว่าปาร์คชานยอลได้ยินมันอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มตัวสูงถอดแว่นกรอบดำออกก่อนจะวางไว้ข้างตัว พลางมองริมฝีปากที่เขาคิดถึงมาตลอดเกือบสองปี แล้วค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้และจูบคนตัวเล็กในที่สุด
เสียงลมหายใจผ่อนออกเมื่อเราทั้งคู่เอียงใบหน้าเพื่อปรับองศาการจูบ วงแขนแกร่งกระชับร่างคนตัวเล็กเข้ามาจนแทบไม่เหลือช่องว่างคั่นกลาง แบคฮยอนไม่รู้ว่าจะต้องเอามือไว้ตรงไหน ในทีแรกมันเคยวางไว้บนไหล่กว้าง ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนขึ้นสอดกลุ่มผมสีอ่อนในวินาทีถัดมา
ความอดทนที่สะสมมาเป็นปี ชานยอลคิดว่ามันอาจจะทุเลาลงหลังจากได้เจอกันอีกครั้ง แต่มันกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด การที่เรากอดกันบนฟุตปาธริมทะเลมันก็ช่วยเยียวยาได้แค่ในตอนนั้น
ไม่อยากปล่อยคนตัวเล็กออกจากอ้อมกอด แต่สถานที่ตรงนั้นมันคงเป็นเรื่องประหลาดเกินไปหากผู้ชายสองคนจะยืนแสดงความรักต่อกันโจ่งแจ้งขนาดนั้น และนั่นคือเหตุผลที่ชานยอลยอมผละตัวออก แล้วเริ่มนับหนึ่งกับความอดทนอีกครั้ง
การคุยกันแบบ face to face มันดีกว่าการคุยผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟนเป็นไหน ๆ ยิ่งจับต้องตัวอีกฝ่ายได้ ปาร์คชานยอลก็อยากสัมผัสบยอนแบคฮยอนมากยิ่งขึ้น
ทุกครั้งที่จูบกัน แบคฮยอนรู้สึกได้ว่ากำลังถูกทะนุถนอมจากผู้ชายคนนี้ ชานยอลทำให้รู้ว่ามันคือการแสดงออกถึงความรัก และครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้จูบของชานยอลจะเร่าร้อนมากไปกว่าทุกครั้ง แต่มันก็ทำให้รู้สึกดี
ร่างเล็กหดคอลงเมื่ออีกฝ่ายจูบไล่ไปจนถึงต้นคอ เรากำลังก้าวเข้าสู่เขตอันตราย แต่แบคฮยอนกลับไม่ออกปากห้ามเหมือนอย่างที่เคย
ชานยอลเคยบอกว่าเซ็กส์อาจจะไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับแบคฮยอน และผู้ชายคนนี้ก็พร้อมจะเคารพการตัดสินใจนั้น ครั้งหนึ่งร่างเล็กเคยถามจงอินว่าทำไมคนเราถึงปล่อยให้การจูบเลยเถิดไปจนเกิดการมีเซ็กส์ได้ ตอนนั้นจงอินเงียบไปชั่วอึดใจ แล้วก็ตอบกลับมาด้วยสายตาเรียบเฉยว่า
‘การจูบเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกอย่างหนึ่ง บางครั้งมันอาจจะมาเพราะความรัก แต่บางครั้งก็มาจากความต้องการอย่างเดียว’
‘จูบแสดงความรักกับจูบเพราะความต้องการมันไม่เหมือนกันเหรอ?’
‘อาจจะใช่มั้ง’ จงอินยิ้ม ‘จูบแสดงความรักมันก็หยุดได้ แต่ถ้ามีความต้องการพ่วงมาด้วยเมื่อไหร่ ก็คงรู้สึกอยากทำมากกว่านั้น’
‘เราเคยจูบกับชานยอลหลายครั้ง เรารู้ว่าชานยอลไม่ได้อยากทำแค่จูบ’
‘อืม...แล้วนายล่ะ ไม่เคยคิดอยากทำมากกว่าจูบเหรอ?’
‘ไม่รู้สิ เรากลัว ๆ อ่ะ ตอนที่...’
‘ไม่เป็นไร ที่อายที่จะพูดถึงก็เอาเป็นว่าฉันเข้าใจความรู้สึกของนายนะ’
‘อื้อ’
‘การเข้าหาอีกฝ่ายมันก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน ถ้ามาในรูปแบบหื่น นายก็คงกลัวใช่ไหมล่ะ’
‘ใช่เลยอ่ะ’
‘ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ มันจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เมื่อถึงเวลาที่สมควรแล้ว’
และแบคฮยอนเชื่อแล้วว่าที่จงอินเคยพูดมันเป็นเรื่องจริง
CUT
(จะอ่านหรือไม่อ่านก็ได้นา 55555)
TBC
ก่อนอื่นขออภัยถ้าหากทำให้งง เพราะเราเปลี่ยนชื่อตอนจาก Our Future มาเป็น My Titan แทน คือตอนแรกว่าจะให้จบตอนนี้แหละ พอดูไปดูมา อ้าวเขียนไป 46 หน้าเลยเรอะ เลยต้องไปจบที่ Chapter 25 (คือตอนหน้านั่นเอง เป็น Our Future เนาะ) และต่อด้วย Special อีก 1 ตอนนะจ๊ะ
ฉากตัดอยู่ในไบโอทวีต หรือจะเสิทกูเกิ้ลว่า malinworldfiction กะดั้ย
ความคิดเห็น