คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : Chapter 23 :: My Hobbit (100%)
Chapter 23
My Hobbit
เราจะสามารถทำใจอยู่กับความสุขได้มากแค่ไหน
ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าอีกไม่นานมันจะต้องหายไป?
งานวันจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายปีสาม ในหอประชุมมีเพียงแค่เสียงผู้อำนวยการโรงเรียนที่ดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณ แน่นอนว่าเด็กวัยรุ่นเหล่านี้ไม่ได้รู้สึกยินดีกับการนั่งฟังคำปราศรัยยาวเหยียดในสคริปท์กระดาษบนโพเดียม
จากตรงนี้มองเห็นชานยอลได้ไม่ยาก เนื่องจากส่วนสูงที่โดดเด่นกว่าใคร ๆ แบคฮยอนมองไหล่กว้างที่เขาเคยเอาคางเกยลงไปเวลานึกอยากออดอ้อน อีกทั้งใบหูของชานยอลที่จื่อเทาชอบล้อว่าเหมือนช้าง แบคฮยอนกำลังจดจำทุกรายละเอียด
เสียงพูดคุยของคนรอบข้างคล้ายยุงที่บินผ่านไปมา แบคฮยอนไม่ได้รู้สึกยินดีกับวันนี้เลยสักนิด ทั้ง ๆ ที่เขาเคยรอให้มันมาถึงตลอด สองมือวางบนหน้าขา เรียวนิ้วค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาจนเปลี่ยนเป็นกำมือแน่นในที่สุด
แบคฮยอนรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนสะพานไม้ชำรุดกลางเหว ซึ่งเป้าหมายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นช่างมืดมนและอยู่ไกลจนมองไม่ชัด เสียงเชือกตอนสะพานสั่นไหวนั้นน่ากลัว คล้ายว่ามันจะขาดได้ทุกเมื่อ เหมือนกับความรู้สึกของเขาตอนนี้
ที่ไม่อยากให้ชานยอลไป...
รู้ว่างี่เง่า...แต่เชื่อเถอะว่าบยอนแบคฮยอนสามารถห้ามปากตัวเองไว้ได้ ซึ่งเขารู้สึกขอบคุณตัวเองเหลือเกิน ที่ยังสามารถยิ้มและใช้เวลาที่เหลืออยู่กับชานยอลได้โดยไม่แสดงออกถึงความเอาแต่ใจ
เพราะฉะนั้นเขาถึงได้จมอยู่กับความรู้สึกหน่วง ๆ แบบนี้สินะ ใช่แล้วล่ะ แบคฮยอนยอมเก็บความรู้สึกต่าง ๆ เอาไว้ในใจ ดีกว่าแสดงออกไปแล้วอีกคนต้องเป็นกังวล
ชานยอลสอบเข้าที่นั่นได้แล้ว...
นั่นคือข่าวดี...ที่ลึก ๆ ในใจไม่อยากให้เกิดขึ้น
‘ขอโทษ’
นี่เป็นครั้งแรกที่แบคฮยอนรู้สึกว่ากำลังคิดเรื่องไม่ดี กับการที่เขาคอยภาวนาในใจว่าขอให้ชานยอลสอบเข้าที่นั่นไม่ได้ เผื่อว่าแผนการไปเรียนที่อเมริกาจะเลิกล้มไป เขาควรจะรู้สึกยินดี มากกว่าการมานั่งคิดเรื่องแย่ ๆ แบบนี้
หลังจากฟังผู้อำนวยการปราศัยจบ นักเรียนก็ทยอยออกมาข้างนอกเพื่อถ่ายรูปสร้างความทรงจำด้วยกัน เชื่อว่าตอนนี้แต่ละคนคงมีความสุขที่เรียนจบ และทุกข์ใจอยู่ลึก ๆ ที่ต้องแยกจากเพื่อน แบคฮยอนเห็นว่าคนรอบข้างคุยกันมากขึ้น มียิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง ก่อนจะกอดส่งท้ายกัน
“ฉันอยากเป็นนักร้องมานานแล้ว นี่กะว่าจะเอาดีด้านดนตรีล่ะ คยองฮีและเซเลปทั้งหลายกำลังรอฉันอยู่” จงแดพูดทำลายความเงียบ หลังจากที่พวกเราสี่คนเอาแต่นั่งมองคนอื่น ๆ ถ่ายรูปสร้างความทรงจำด้วยกัน
“นายเข้าไปก็กลายเป็นแค่ขี้มดเท่านั้นแหละจงแด พวกคนรวยเขาไม่แลชนชั้นกลางอย่างนายหรอก” คำพูดคำจาของจุนมยอนไม่ได้ดับฝันจงแดเลยเสียทีเดียว เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะขณะมองไปยังเบื้องหน้า ราวกับว่าได้วางแผนมาอย่างดีแล้ว
“ผู้หญิงชอบผู้ชายตลก ชอบผู้ชายเล่นดนตรีเป็น แล้วนายดูฉันสิ ทั้งตลก ทั้งร้องเพลงเก่ง มันต้องมีผู้หญิงชนชั้นกลางสักคนที่ชอบผู้ชายอย่างฉัน” พูดจบจุนมยอนกับคยองซูก็พร้อมใจส่ายหน้ากันอย่างเอือม ๆ ส่วนแบคฮยอนเพียงแค่นั่งฟังเงียบ ๆ โดยไม่ออกความเห็น “แล้วพวกนายล่ะ”
“ฉันอยากเป็นนักข่าว” จุนมยอนพูดถึงความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากค้นหาตัวเองมานาน การที่ไม่รู้ตัวว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรนี่มันบัดซบจริง ๆ
“ฉันอยากอยู่เฉย ๆ แล้วก็กินกับนอน”
“...”
“...”
“...”
ทั้งสามคนหันไปทางโดคยองซูพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เด็กหนุ่มไซส์มินิยังคงทำหน้าเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับอนาคตที่ริบหรี่เลยสักนิด
“อ่า...โอเค! ฮะฮะฮะ” จุนมยอนหัวเราะกลบเกลื่อนบรรยากาศแปลก ๆ ที่มักจะเกิดจากคยองซู ก่อนจะกลอกตามองจงแดเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ
“มาทางแบคฮยอนบ้างดีกว่า” เด็กหนุ่มทั้งสองคนก้มหน้าลงมองเจ้าของชื่อที่นั่งอยู่ทางซ้าย และตามด้วยคยองซูที่หันช้าที่สุด “นายจะต้องย้ายกลับมกโพแล้วสินะ คงคิดถึงแย่เลย”
“หมอนี่แค่พูดดีไปอย่างนั้น เดี๋ยวเขาก็ลืมนายแล้ว”
“ย่าห์ คยองซู!”
“ไว้ถ้าเรามาโซลแล้วจะโทรหาทุกคนเลยนะ” แบคฮยอนยิ้มขำกับท่าทางของจงแดตอนโดนพูดดัก นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าใจหาย นอกจากชานยอลแล้ว เขาก็ต้องจากเพื่อน ๆ กลุ่มนี้ไปเหมือนกัน
“ฉันได้แต่หวังว่าพวกนายจะไม่ลืมกันน่ะนะ” จุนมยอนพูดอย่างถอดใจ เขาพอจะเคยได้ยินจากรุ่นพี่มาบ้างว่าอะไรที่เคยพูดไว้ก็ทำกันไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นว่าจะติดต่อกลับมา แต่พอเจอสังคมใหม่ เจอเพื่อนใหม่ พวกเขาก็กลายเป็นแค่เพื่อนในความทรงจำในวัยมัธยม
“ฉันว่านายเป็นคนแรกที่จะลืมเพื่อน”
“โธ่คยองซู เลิกแขวะกันสักทีเถอะน่า ไหนบอกว่ากลุ่มเราหนักแน่นที่สุดไง” จุนมยอนเบ้หน้ามองเพื่อนสนิทที่ยังคงมีสีหน้าไม่ต่างจากในทีแรก ราวกับว่าสายตาคยองซูกำลังพูดคำหยาบกับเขาอยู่ยังไงอย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่น ‘ที่หนักแน่นน่ะมือกูเองแหละ’
“มกโพคงมีของกินอร่อยเยอะ ฉันอยากไปที่นั่น” คยองซูว่า “บ้านนายพักฟรีใช่ไหม”
ทั้งสามคนนิ่งไปอีกครั้งกับคำพูดของคยองซู ก่อนที่แบคฮยอนจะยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ สำหรับเขาแล้ว บ้านหลังนั้นต้อนรับเพื่อนได้เสมอ
“ฉันได้ยินมาว่าปาร์คชานยอลติด MIT แล้วล่ะ โชคดีเป็นบ้าเลย” จงแดเป็นคนเปิดเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งมันคงไม่ทำร้ายจิตใจแบคฮยอนมากไปกว่านี้ คนตัวเล็กเพียงแค่นั่งฟังโดยที่ไม่พูดอะไร จนกว่าเพื่อนจะหันมาถาม
“จะเรียกว่าโชคช่วยก็คงไม่ถูก มหาลัยนั่นน่ะใช่ว่าจะหลับหูหลับตาเข้าได้ซะเมื่อไหร่”
“ค่าเทอมหมอนั่นซื้อข้าวกินได้เป็นปีเลย” คยองซูว่า หลังจากลงทุนเสียเวลาคำนวณค่าใช้จ่ายของคนอื่นอยู่หลายนาที ใจจริงก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอกนะ แต่มันอดไม่ได้
“คนมีต้นทุนนี่มันดีจริง ๆ เลยนะ”
“ไม่เอาน่า จบที่ไหนก็มีงานทำเหมือนกันนั่นแหละ หมอนั่นยึดติดสถาบันชัด ๆ” จุนมยอนเบ้ปาก ขณะมองไปยังแก๊งสามทหารเสือที่ถูกน้อง ๆ ปีหนึ่ง ปีสองรุมล้อมขอถ่ายรูปด้วย
“ถ้าสูงเท่าสามคนนั้น ฉันก็จะถูกผู้หญิงรุมล้อมบ้างใช่ไหม” จงแดมองตาลอย
“แต่ถ้าฉันดีดนิ้ว นายก็อาจจะตื่นจากความฝัน” พูดจบคยองซูก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ ก่อนที่จุนมยอนจะระเบิดหัวเราะออกมา
ละแวกนี้ครึกครื้นไปด้วยนักเรียนชายหญิง แบคฮยอนมองไปยังคนตัวสูงที่กำลังยิ้มให้กล้องกับรุ่นน้องที่เข้าไปขอถ่ายรูปด้วย ชานยอลไม่ได้แสดงท่าทีว่าหงุดหงิดตอนที่พวกเธอขอให้โอบไหล่ ผู้ชายคนนั้นใจเย็นพอที่จะปล่อยให้เด็กผู้หญิงส่งเสียงอยู่ใกล้ ๆ
“เฮ้ย”
ร่างเล็กหันไปตามต้นเสียง แล้วก็เห็นคิมนัมจุนและเพื่อน ๆ ล้วงกระเป๋ากางเกงตรงมาทางนี้ แก๊งห้องสมุดอีกสามคนไม่ได้ตกอกตกใจมากนักกับท่าทางขี้เต๊ะของนักเลงจีนแดง ที่เก่งแต่ปาก มือไม้ไม่เคยถึงตัว
แบคฮยอนยังจำความรู้สึกตอนที่ผู้ชายคนนี้เข้ามาทักทายในวันแรกได้เป็นอย่างดี น้ำเสียงโผงผาง กับสายตาที่จ้องจะหาเรื่องอยู่ตลอดเวลานั่นน่ะ แต่วันนี้มันต่างอออกไป เมื่อนัมจุนเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะยื่นให้กับเขา
“ให้”
แบคฮยอนเลิกคิ้วทำตาปริบ ๆ กับอมยิ้มหลากสีที่อีกคนยื่นให้ สีหน้านัมจุนยังคงเก๊กเหมือนอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ พอเห็นว่าแบคฮยอนรับอมยิ้มเอาไว้ เด็กหนุ่มตัวสูงก็ชี้นิ้วมาตรงหน้าแล้วทำท่ายิงปืน
“ขอบใจนะนัมจุน”
“แล้วเจอกันใหม่” นัมจุนและเพื่อนจิ๊กโก๋ในกลุ่มเดินถอยหลังไปพร้อมรอยยิ้ม แบคฮยอนได้แต่มองตามเพื่อนร่วมห้องก่อนจะโบกมือลา
และหวังว่าสักวันหนึ่ง โลกจะเหวี่ยงเราทุกคนให้มาเจอกันอีก
ถ้าพูดถึงความสุข คนเรามักจะพยายามทำทุกอย่าง
เพื่อยืดเวลาออกไปให้ได้มากที่สุดสินะ?
เสียงไม้แขวนเสื้อกับเสียงซิปกระเป๋าคือเสียงเดียวในห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยความทรงจำ แต่ไหนแต่ไรที่แบคฮยอนรู้สึกไม่ดีกับการเห็นกระเป๋าเดินทาง ครั้งแรกคือตอนที่เขาลากมันออกมาจากบ้านที่มกโพ และครั้งที่สองคือตอนนี้ ตอนที่ชานยอลกำลังเก็บของใส่กระเป๋า
ร่างเล็กนั่งอยู่บนเตียง เพราะถูกสั่งให้นั่งอยู่เฉย ๆ แล้วมองหน้าชานยอลเอาไว้ จะได้ไม่ลืมว่ามีแฟนแล้ว
แบคฮยอนเก็บกระเป๋าเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วไททันตัวโตแทบจะเป็นคนจัดการเองทุกอย่าง แม้แต่การพับเสื้อผ้าที่เจ้าตัวไม่ถนัด ชานยอลก็พยายามนั่งพับอย่างตั้งใจ
เราตกลงกันว่าจะไปพร้อมกัน ออกจากบ้านพร้อมกัน แต่ปลายทางของเราต่างกัน ซึ่งชานยอลมีเที่ยวบินตอนบ่ายโมง ส่วนเขาต้องไปขึ้นรถไฟ KTX ที่สถานียงซานตอนบ่ายสามห้าสิบ
“...!!” แบคฮยอนสะดุ้งหลุดออกจากความคิด เมื่ออีกคนดีดนิ้วตรงระดับใบหน้า ชานยอลหยัดตัวนั่งลงบนเตียงพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะวางสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ลงบนมือเขา
“ใช้หนี้”
“หนี้?” ร่างเล็กเลิกคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ และชานยอลก็ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดจะตอบคำถามในทันที
“ก็ที่ยืมไปจ่ายค่าเสียบอลเมื่อคราวนั้น ทั้งต้นทั้งดอกเลยออกมาเป็นมือถือเครื่องนี้ไง” ชานยอลแตะปลายนิ้วหัวแม่มือลงไปตรงปุ่มโฮม แค่ครู่เดียวก็เข้าสู่หน้าจอหลัก คนตัวสูงง่วนอยู่กับระบบเครื่อง ก่อนจะประคองร่างแบคฮยอนให้ขยับมานอนพิงกับแผงอกตัวเอง แล้วแตะนิ้วหัวแม่มือลงไป
“ชานยอลทำอะไรอ่ะ”
“สแกนนิ้วไง สำหรับมือถือเครื่องนี้ มีแค่กูกับมึงที่ทำแบบนี้ได้” ชานยอลยิ้มขณะสบตากับคนรักที่ช้อนตามองเขา
“ชานยอลจะให้เราจริง ๆ เหรอ มันแพงเกินไป”
“ก็ใครใช้ให้ซื้อมือถือที่เฟซไทม์กันไม่ได้ล่ะ?” ชานยอลขมวดคิ้ว
“มันก็มีโปรแกรมสไกป์ไม่ใช่เหรอ จุนมยอนก็เคยเปิดกล้องอวดผ้าปูเตียงผืนใหม่ให้เราดูเมื่อเดือนก่อนอ่ะ”
“เออน่า รับไว้โดยไม่ต้องถามให้มากความได้ไหม แฟนซื้อให้ก็หัดรับไว้โดยที่ไม่ต้องสงสัยไม่ได้เหรอวะ” จูบหัวคนที่กำลังเรียนรู้การใช้โทรศัพท์เครื่องใหม่ไปทีนึงอย่างหมั่นเขี้ยว
“ไปขอให้คุณลุงซื้อให้หรือเปล่าเนี่ย”
“เงินกูค่ะ” อยากจะขบหัวคนขี้สงสัยจริง ๆ ให้ตายเถอะ ชานยอลจับมืออีกคนที่ถือสมาร์ทโฟนเอาไว้ทั้งที่ยังคลอเคลียกลุ่มผมนุ่มอยู่ “ลงแอพ Between ให้เรียบร้อยแล้วด้วย”
“หา?”
“มันคือแอพแชทเห็นแก่ตัวน่ะ” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง “แอดใครไม่ได้ แล้วก็รับแอดใครไม่ได้ด้วย มีแค่กูกับมึงเท่านั้นที่ใช้แอพนี้ได้”
“ไหงงั้นอ่ะ”
“ดูนะ” ชานยอลกดเข้าโปรแกรมแล้วสอนให้คนตัวเล็กเล่น “ถ้าจะคุยกันให้กดเข้าตรงนี้”
“อ๋อ ตรงนี้”
“ถ้าคิดถึงกันเมื่อไหร่ก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปตัวเองแล้วก็อัพโหลดลงในนี้ ไม่ต้องไปลงเฟซบุ๊ค อินสตาแกรมนะ ให้คิดว่ากล้องคือกู”
“เราไม่ได้บ้าถ่ายรูปเหมือนจื่อเทาสักหน่อย คิดถึงก็ส่วนคิดถึงสิ ถ้าเกิดเราคิดถึงชานยอลตอนตื่นตอน งี้ไม่ต้องถ่ายตอนหน้ามึน ๆ หรอกเหรอ”
“ก็ถ่ายทั้งอย่างนั้นแหละ นอนมาด้วยกันเกือบปีนึงแล้วยังจะอายอะไรอีกวะ”
“เราเขินอ่ะ” แบคฮยอนเกาหัว ก่อนจะรีบชักมือกลับเมื่อถูกอีกคนงับมือเข้าให้ “อะไรของชานยอลเนี่ย”
“ก็แล้วแต่ ถ้ามึงไม่ถ่ายรูปลง กูก็จะไม่ถ่ายเหมือนกัน”
“หูย ไหงงั้นอ่ะ ชานยอลจะปล่อยให้เราคิดถึงจนตายให้ได้เลยใช่ไหม” เห็นคิ้วเรียวขมวดมุ่นแล้วก็นึกขำในใจ เด็กตัวสูงกระชับวงแขนที่กอดรอบเอวคนตัวเล็กเอาไว้ให้แน่นยิ่งขึ้นแล้วลอยหน้าลอยตา
“ก็รอดูว่าใครจะตายเพราะความคิดถึงก่อนกัน”
“เราไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
“เอ้อ เดี๋ยวรู้เรื่องเลย”
“แผนสูงอ่ะ ชานยอลเป็นคนแบบนี้ตลอดเลย”
“ถ้าทำตามที่บอกแต่แรกก็จบแล้ว ทำไมต้องเถียง ทำตัวน่ารักกับแฟนบ้างมันจะตายไหมหื้อ” พูดจบก็ก้มลงฟัดแก้มแฟนแรง ๆ ทีนึง หมั่นเขี้ยว
“ก็ได้”
ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบโรยตัว แล้วอยู่กับสัมผัสอุ่น ๆ ที่ทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่ตรงนี้ ชานยอลถอนหายใจเบาหวิว เขารู้ว่าในระดับไหนที่จะซ่อนความรู้สึกไม่ให้อีกฝ่ายรู้ได้ ว่าตัวเขาเองก็กำลังปวดหัวใจ ที่พรุ่งนี้เราต้องแยกกันแล้ว
ช่วงเวลาที่เคยอยู่ด้วยกัน จะว่านานก็นาน แต่มันก็สั้นสำหรับเด็กสองคนที่ต้องแยกจากกัน ทั้ง ๆ ที่เราต้องการกันและกันมากขนาดนี้ ชานยอลหลับตาลงแล้วหอมกลุ่มผมนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วบอกกับตัวเองว่าในอนาคตเขาจะกลับมาทำแบบนี้อีกครั้ง
“ดูแลตัวเองให้ดีนะ ถ้ามีปัญหารีบโทรบอกไอ้จงอินกับไอ้เทาเลย จากโซลไปมกโพนั่ง KTX แค่สามชั่วโมงครึ่ง พวกมันรับปากแล้วว่าจะไปทันทีขอแค่มึงบอก”
“เราจะทำอย่างนั้นได้ยังไง จงอินกับจื่อเทาก็มีเรื่องที่ต้องทำเหมือนกันอ่ะ”
“บอกเผื่อไว้ไง ถ้าวาร์ปจากเมกาไปมกโพได้ก็จะไม่พูดงี้หรอก”
แบคฮยอนพยักหน้า เขายังคงนั่งพิงอกแกร่งอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ขยับตัวไปไหน ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็อดดีใจไม่ได้จริง ๆ ที่ชานยอลใส่ใจเขาถึงขนาดนี้ แบคฮยอนวางสมาร์ทโฟนลงบนเตียงแล้วกุมมืออีกคนเอาไว้
“ชานยอล”
“ว่าไง”
“เราเคยคิดว่าความรู้สึกทุกอย่างมันจะรุนแรงแค่ช่วงแรก ๆ ทั้งความสุขที่คงพีคสุด ๆ ในตอนนั้น แล้วก็ความทุกข์ที่ทำให้เจ็บหนักในช่วงเจอเรื่องราวเลวร้าย”
“...”
“เราคิดว่าถ้าทำใจอยู่กับสิ่งนั้นให้ได้สักวันหนึ่งก็คงชินไปเอง แต่เราไม่อยากรู้สึกอย่างนั้นกับเรื่องของเราหรอกนะ” แบคฮยอนผละตัวออกจากอ้อมกอดอีกคน ก่อนจะหันหน้าเข้าหาอย่างจริงจัง “วันนั้นเราฟังชานยอลพูดทั้งหมดแล้ว งั้นวันนี้ชานยอลเป็นฝ่ายฟังเราบ้างนะ”
แบคฮยอนมองมาด้วยแววตาจริงจังเป็นครั้งแรกในรอบเดือน หลังจากได้รับรู้ข่าวร้ายจากปากเขาในวันนั้น ชานยอลไม่ได้ปฏิเสธ แน่นอนว่าเขาอยากฟังทุกอย่างไม่ว่าจะดีหรือร้าย ขอแค่มาจากคน ๆ นี้ก็พอ
“เราไม่อยากชินกับความรู้สึกตอนไม่มีชานยอล แล้วเราก็จะไม่พยายามหาอะไรทำเพื่อไล่เรื่องของชานยอลออกไปจากหัวเราด้วย” เด็กตัวสูงก้มลงมองมือตัวเองที่ถูกกุมเอาไว้ “เพราะถ้ารู้สึกคิดถึงน้อยลง เรากลัวว่าสักวันหนึ่งความเคยชินจะทำให้เราเปลี่ยนไป”
“...”
“เพราะงั้นชานยอลไม่ต้องเป็นห่วงเรานะ ถึงมันจะเศร้ามาก ๆ แต่เราก็ยังอยู่ได้”
สีหน้าของคนตัวเล็กยังคงจริงจัง ราวกับจะบอกให้เขารู้ว่าคำพูดทุกอย่างที่ออกมาจากปากบยอนแบคฮยอนนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องจริง
“อย่างตอนเวลาใกล้สอบ เราก็ยังต้องอ่านหนังสือเพราะยังจำเนื้อหาที่ครูสอนไปทั้งหมดไม่ได้ แต่ชานยอลรู้ไหม” แบคฮยอนยิ้ม ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “พอเป็นสิ่งที่ชานยอลเคยพูด เรากลับจำได้หมดเลย”
“...”
“อีกสี่ปีเราจะได้อยู่ด้วยกัน เราจะบอกตัวเองอย่างนี้ตอนที่รู้สึกท้อ”
“...”
“เพราะงั้น ชานยอลต้องตั้งใจเรียนแล้วก็ดูแลตัวเองให้ดีนะ”
ชานยอลไม่ได้ตอบอะไร หรือที่จริงแล้วคำพูดของคนตรงหน้าทำให้เขากลายเป็นใบ้ขึ้นมา เด็กหนุ่มได้แต่ถามตัวเองว่า มันจะมีอะไรดีไปกว่าการที่คนรักเข้าใจเราอีกนะ? ชานยอลยิ้มบาง ๆ แล้วก้มลงมองมือคนตัวเล็ก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นฝ่ายกุมมือนั้นแทน
“Of course.” (แน่นอนอยู่แล้ว)
50%
“ดูแลสุขภาพด้วยนะครับคุณลุง”
“เราเองก็เหมือนกันล่ะ ติดต่อกลับมาบ้างนะ อย่าเงียบหายไปเลย”
หลังจากใช้เวลาร่ำลากันอยู่สักพัก ปาร์คจองซูก็ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ แน่นอนว่าคนทำงานอย่างเขามักจะจริงจังกับการตรงต่อเวลา ซึ่งการเตรียมตัวไปให้ถึงสนามบินก่อนกำหนดมันก็เป็นเรื่องที่ดี
แบคฮยอนยิ้มก่อนจะโค้งหัวเคารพเจ้าของบ้านที่ยืนอยู่ข้างรถเบนซ์สีดำคันหรู โดยมีชานยอลยืนอยู่ขนาบข้าง วันนี้จงอินกับจื่อเทาก็มาด้วย ลู่หานเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าครูสอนภาษาเกาหลีของเขา ก่อนจะวางมือลงบนไหล่เล็กแล้วยิ้มบาง ๆ
“เราจะได้เจอกันอีกใช่ไหม?”
“ถ้าเกอยังอยากเจอผม ก็ได้ทุกเมื่อเลยครับ แหะ...” แบคฮยอนยิ้มตาหยีแล้วปล่อยให้คนตรงหน้ายีหัว
“แน่ใจนะว่าจะไม่ไปส่งชานยอลด้วยกัน เราขึ้นรถไฟตั้งเกือบสี่โมงไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ครับ แต่ชานยอลไม่ให้ผมไปน่ะ...” ร่างเล็กมองไปยังคนตัวสูงที่เอาแต่ยิ้มตั้งแต่ออกมาจากบ้าน ชานยอลยังไม่ยอมละสายตาไปไหนเลยแบคฮยอนรู้สึกได้
ซึ่งเหตุผลที่ชานยอลไม่อยากให้ไปส่งก็คล้าย ๆ กับตอนนั้น ที่เราต้องแยกกันอยู่ครั้งแรกหลังจากชานยอลกลับไปอยู่บ้าน ที่แบคฮยอนขอปั่นจักรยานไปส่ง แต่ชานยอลกลับปฏิเสธ พร้อมให้เหตุผลว่า
‘ไม่อนุมัติ เดี๋ยวกูไปส่งมึงที่ทำงานพิเศษเอง’
‘แล้วชานยอลจะนั่งรถกลับเองเหรอ เราอยากไปส่งชานยอลที่บ้าน’
‘อืม กูอยากเห็นมึงเดินเข้าไปในร้านมากกว่าเห็นมึงปั่นจักรยานกลับบ้านคนเดียว มันไกลจากที่นี่’
และครั้งนี้ก็ไม่ต่างกันนัก ชานยอลไม่อยากให้เขาต้องมองตามหลังตอนที่ชานยอลเดินไป มันน่าตลกดีนะที่ไม่เชื่อเรื่องงมงายอย่างชานยอล จะมีความคิดว่าการมองคนรักเดินจากไปมันเป็นลางไม่ดี แถมเจ้าตัวยังบอกอีกว่าสนามบินมีไว้เพื่อยืนรอคนเดินออกมาจากเกทเท่านั้น
“ถึงแล้วก็ติดต่อมาด้วยล่ะ”
“ถ้าเจอแหม่มสวย ๆ ก็ให้นึกถึงเพื่อนเป็นคนแรกนะครับ” บทสนทนาของสามหนุ่มแผ่วเบา ดูเหมือนคนเป็นพ่อจะรู้ว่าตอนนี้เด็ก ๆ อยากมีเวลาส่วนตัว เขาเลยขึ้นไปรอบนรถ และตามด้วยลู่หาน
ชานยอลกอดลาเพื่อนสนิททั้งสองคน เด็กหนุ่มทั้งสามมองหน้ากันโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรอีก พวกเขารู้ดีว่าต้องทำอะไรยังไง หลังจากใช้เวลาคุยกันส่งท้ายไปกับขวดเหล้าเมื่อคืนวานก่อน
“ฝากด้วยนะ”
“จะบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงก็ไม่ได้ด้วยดิ คนแถวนี้แม่งห่วงแฟนกว่าเพื่อนอีก” คำพูดของจื่อเทายังพอเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่กำลังทำหน้าเหมือนจะสำลอกความทุกข์ได้บ้าง แม้ว่าเจ้าตัวจะแสร้งทำเป็นยิ้มอยู่ตลอดเวลา
“ถึงกูจะชอบเตือนสติมึง แต่ก็ใช่ว่าที่พูดไปกูจะทำได้ทั้งหมด” ชานยอลรู้ว่าจงอินต้องการจะสื่ออะไร หลายต่อหลายครั้งที่มันมักจะพูดปิดท้ายแบบนี้หลังจากสั่งสอนเขาด้วยประโยคว่า
‘พอเป็นเรื่องของคนอื่น คนปลอบเลยพูดให้มันง่าย แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองเท่านั้นแหละ หันไปทางไหนก็มองเห็นสีดำเต็มไปหมด’
มันบอกว่าคนเราสามารถปลอบคนอื่นด้วยคำพูดดี ๆ สารพัด จุดประสงค์ของคนปลอบคือต้องการให้ผู้ฟังรู้สึกดีขึ้น แม้ว่าคำเหล่านั้นจะช่วยไม่ได้เลยก็ตาม
“กูจะไม่ทำให้มันเป็นเรื่องยากกว่านี้” ชานยอลรับปากย้ำอีกครั้ง เขายังจำได้ว่าคืนก่อนพวกเราเมากันมากแค่ไหน ตอนที่คุยเรื่องราวบ้า ๆ ในชีวิตวัยมัธยมที่ผ่านมาด้วยกัน เด็กหนุ่มชาวจีนตบบ่าเพื่อนตัวสูงแล้วหันไปทางร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“เดี๋ยวเสาร์อาทิตย์กูจะหาเวลาไปเยี่ยมแบคฮยอนที่มกโพ”
“ขอบใจ บุญคุณนี้จะทดแทนอย่างดีตอนทำงานมีเงินแล้ว” เหมือนจะพูดติดตลก แต่ชานยอลก็ยังอยู่ในสีหน้าจริงจัง
“พ่อมึงก็ไปด้วยสินะ”
“เออ ยังมีอะไรที่เด็กอย่างกูยังต้องให้ผู้กำเนิดช่วยจัดการอยู่”
“กูจะไม่สั่งเสียอะไรมาก เพราะคิดว่าเดี๋ยวมึงคงกลับมาอ้อนตีนเร็ว ๆ นี้ เอาเป็นว่าโชคดีแล้วกันเพื่อน” จื่อเทาแท็กมือกับเพื่อนตัวสูงแล้วถอยหลังออกมา ก่อนจะกระซิบบอกแบคฮยอนว่าจะไปรอในรถ
จงอินล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วยิ้มให้เพื่อนสนิท แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นที่เขาได้มีโอกาสมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ปาร์คชานยอลก็ยังคงเป็นปาร์คชานยอล ไอ้เพื่อนหัวดื้อที่เอาแต่ขวางโลกไปวัน ๆ เพราะน้อยใจครอบครัว แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว และเขาเชื่อว่ามันเปลี่ยนไปในทางที่ดี
“พยายามเข้าล่ะว่าที่อัยการ”
“มึงก็เหมือนกัน กว่าจะเข้าที่นั่นได้ก็ไม่ใช่ง่าย ๆ อย่าเสือกโดนดีดกลับมาเพราะความดักดานล่ะ”
“เออ แต่ละคำนี่เป็นกำลังใจทั้งนั้น” ชานยอลหัวเราะแล้วแท็กมือกับเพื่อนสนิท
จงอินเดินไปขึ้นรถแล้ว ที่ยืนอยู่ตรงนี้มีเพียงแค่เขากับแบคฮยอนเท่านั้น ทั้งคู่เอาแต่มองหน้ากันแล้วปล่อยให้ความเงียบทำงานอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะชานยอลจะวางมือลงบนศีรษะคนตรงหน้าแล้วโคลงเบา ๆ
“ต้องไปแล้วนะ”
“เราก็จะไปแล้วเหมือนกัน”
“ถ้าไม่สบายจนลุกไม่ไหวก็โทรตามไอ้แว๊นให้มันพาไปโรงพยาบาลนะ อย่าเอาแต่นอนซม ห้ามตายก่อนกูกลับมา”
“เราจะไม่ตาย เราจะดูแลตัวเองให้ดีเลย” ดวงตาคู่นี้ส่องประกายสดใส และมันทำให้คนที่กำลังจะไปอยู่ที่ไกลรู้สึกดีได้
“เวลาป่วยอนุญาตให้งอแงได้”
“ทำไมถึงได้อ่ะ”
“เพราะตอนกูป่วย กูก็จะเฟซไทม์ไปงอแงกับมึงเหมือนกัน” คำพูดของชานยอลทำเอาคนฟังหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ มันเป็นอีกเครื่องหนึ่งที่แบคฮยอนเคยห้ามตัวเองเอาไว้ ว่าจะไม่งอแงให้ชานยอลรำคาญใจเด็ดขาด แต่พอได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกดีจังเลยแฮะ “เวลาป่วยคนทั้งโลกเขาก็อ้อนแฟนกันทั้งนั้นแหละ”
“เราจะแช่งให้ชานยอลป่วยบ่อย ๆ เลย”
“ดี กูจะได้หยุดเรียนบ่อย ๆ แล้วก็โดนไล่ออก กลับมาอยู่มกโพกับมึง ทำอาชีพเก็บเศษเหล็กไปขาย” ชานยอลยังคงไม่ละสายตาจากใบหน้าซน ๆ ของคนตัวเล็ก เขาโล่งอกไปบ้างที่อย่างน้อยไอ้บ้านนอกก็ไม่ได้ทำหน้าหงอยเหมือนคนฝืนยิ้มอย่างก่อนหน้านี้
“ถ้าถึงแล้วจะรีบติดต่อมานะ”
“คับ”
“อยากพูดอะไรอีกไหม?”
ประโยคนี้เป็นสัญญาณเตือนว่าเวลาของเราใกล้จะหมดแล้ว พอเห็นว่าคนตัวเล็กดูเกร็ง ๆ ราวกับกำลังคิดหาคำพูดในเวลาจำกัดแล้วก็เป็นกังวลใจ แต่ไม่ใช่แค่แบคฮยอนหรอกที่รู้สึกอย่างนั้น ปาร์คชานยอลเองก็ไม่ต่างกันนัก ถึงริมฝีปากกำลังยิ้ม แต่ในใจนั้นอยากเข้าไปกอดแน่น ๆ แล้วกระซิบข้างหูว่า ‘รอกูกลับมานะ’ แต่ก็ทำไม่ได้
“พอไปถึงชานยอลก็ต้องปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับเวลาที่นั่น ไหนจะอาหารอีก แต่ชานยอลคงกินได้ง่ายอยู่แล้วเพราะไม่ต้องฝืนกินรามยอนทุกวัน”
“นั่นดิ ที่นั่นคงไม่มีรามยอนห่วย ๆ ฝีมือมึงให้กิน”
“ช่าย ต้องกลับมามกโพก่อนถึงจะได้กินนะ” คนตัวเล็กยิ้มตาหยี “ชานยอลของเราเก่งอยู่แล้วอ่ะ สู้!” แบคฮยอนกำมือทำหน้ามุ่งมั่น เด็กตัวสูงยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ ไอ้บ้านนอกของเขาเป็นคนเข้มแข็งเสมอ เรื่องนี้ปาร์คชานยอลรู้ดี
แบคฮยอนยังคงยิ้มแม้ว่าแววตาคู่นั้นจะกำลังสั่นไหว แต่มันคงถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องแยกกันเดินไปคนละทาง เพื่อที่จะได้พบกันอีกครั้งที่จุดหมายปลายทางข้างหน้า
“แบคฮยอน”
“คับ”
“อย่าจดจ่อกับปฏิทินมากนะ มันจะทำให้เวลาเดินช้าลง”
หลังจากมาถึงสนามบินพ่อลูกตระกูลปาร์คตรงไปเช็กอินโหลดกระเป๋าลงเครื่อง เด็กตัวสูงวางกระเป๋าเป้เพื่อให้พนักงานเช็กสิ่งของ ก่อนจะกางแขนออกเพื่อตรวจร่างกาย
‘ชาล...ยอล...’
กริ๊ง ๆ
เด็กหนุ่มลดระดับสายตาลงพลางมองไปยังเงาจาง ๆ ที่นั่งอยู่บนจักรยาน ในมือของคนตัวเล็กมีไอติมแท่งรสส้ม และภาพที่เห็นมันทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
‘ซ้อนท้ายเราไหม เราจะพาชานยอลไปอเมริกาเอง’
เสียงนั้นแผ่วเบาแต่กลับก้องอยู่ในหัว ชานยอลเพียงแค่มองคนที่กำลังปั่นจักรยานวนรอบตัวเขาอย่างเอ็นดู อีกทั้งเสียงกระดิ่งเบา ๆ เคล้ากับเสียงหัวเราะของคนคุ้นเคย
‘ถ้าช้ากว่านี้ เราไม่รอแล้วนะ’
ตอนนี้เงาจาง ๆ อยู่ห่างจากเขาไม่มากนัก ชานยอลอมมองคนตัวเล็กที่กำลังกัดไอติมที่เหลืออยู่ครึ่งแท่ง ส่วนมืออีกข้างยื่นตลับเมตรออกมา ก่อนที่ใบหน้าซน ๆ จะแลบลิ้นที่กลายเป็นสีส้มใส่เขา
‘กฎสองเมตร’
ชานยอลรู้ดีว่าภาพตรงหน้าเป็นเพียงแค่จินตนาการที่สร้างขึ้นเอง แต่เชื่อเถอะว่ามันทำให้หัวใจเต้นแรงก่อนจะแผ่วเบาลงอย่างน่าใจหาย เมื่อรู้สึกว่าเขากำลังจะไปอยู่อีกฟากหนึ่งของโลก และมันห่างไกลกับหัวใจของเขา
วูบหนึ่งมีความคิดอยากวิ่งกลับไป แต่ปาร์คชานยอลก็ได้แต่ย้ำบอกกับตัวเองว่า ‘อย่า’ เด็กหนุ่มจะทำให้ความตั้งใจทุกอย่างพังเพราะความต้องการในตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด เขาจะต้องเข้มแข็ง และอดทนเพื่อให้ถึงวันนั้น
คนตัวเล็กลากกระเป๋าลงมาจากรถไฟเมื่อถึงปลายทาง สองขาหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นพลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ สถานีที่เงียบสงบในเวลาเกือบสองทุ่ม หลังจากที่ผู้คนทยอยกันออกไปจากชานชาลาแล้ว
เสียงล้อลากครูดไปกับพื้นซีเมนต์ บรรยากาศที่นี่ไม่ได้ต่างไปจากเดิมสักเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้รู้สึกว่าจากที่นี่ไปนานเหมือนกัน
ร่างเล็กหยุดอยู่กับที่เมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก ผู้ชายคนนั้นกำลังยิ้มขณะมองมายังเขา ก่อนจะโบกมือทักทายกับการได้พบเจอกันอีกครั้ง
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน เพื่อนรัก”
เด็กหนุ่มตัวผอมตรงเข้ามาช่วยเพื่อนสนิทลากกระเป๋า แบคฮยอนยิ้มแล้วปล่อยให้แทฮยองกอดคอเดินไปด้วยกันเหมือนอย่างเคย เขาได้ยินเสียงเพื่อนสนิทถอนหายใจราวกับว่าโล่งอก หลายครั้งที่แทฮยองเอาแต่หันมามองหน้าแล้วก็ยิ้มโดยที่ไม่พูดอะไร
“หิวไหม?”
“หิวมากเลยอ่ะ เราอยากไปกินข้าวร้านคุณลุงหน้าโรงเรียน ไปกินกันนะ”
“ตามนั้น อยากไปไหนขอให้บอก วันนี้คิมแทฮยองจะเป็นสารถีให้เอง” สองหนุ่มหัวเราะแล้วเดินกอดคอไปด้วยกัน
คิมแทฮยองทำให้บยอนแบคฮยอนรู้ว่าเพื่อนสนิท ไม่ว่าเราจะห่างกันไปนานแค่ไหน แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ ความรู้สึกของเราก็ยังคงเหมือนเดิม
“แทฮยองพอจะรู้ไหมว่าลุงกับป้าเราย้ายออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“สองสามวันแล้วมั้ง”
“อ่า...ทำไงเป็นอย่างนั้นไปได้นะ” ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่เลย เพราะท่าทางของญาติหน้าเลือดที่จ้องจะกอบโกยผลประโยชน์นั้นไม่น่าจะย้ายออกไปได้ง่าย ๆ แบคฮยอนอุตส่าห์เตรียมคำพูดมาซะดิบดีเพื่อที่จะได้เชิญคนเหล่านั้นออกไป
แบคฮยอนกวาดสายตาไปรอบ ๆ บ้านที่เคยอยู่มาตั้งแต่เกิด บรรยากาศมันไม่เหมือนเดิม เพราะข้าวของถูกย้ายที่วาง อีกทั้งฝุ่นและหยากไย่ที่เกาะอยู่บนมุมเพดานนั่นอีก ลุงกับป้าไม่ดูแลบ้านเลยหรือไงนะ
“แน่ใจเหรอว่าเขาเพิ่งย้ายออก”
“ใช่ เมื่อวานฉันมาก็ไม่เห็นรถแล้ว คืองี้นะ” แทฮยองถูปลายจมูกแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟา “ฉันเป็นคนจัดการเรื่องนี้เองแหละ”
“หา?”
“ฉันไม่อยากให้นายต้องมาเจอคนพวกนี้ทั้งที่นั่งรถไฟมาเหนื่อย ๆ ถึงนายจะตั้งใจมาเพื่อไล่พวกเขาออกไปก็เถอะ”
แบคฮยอนเดินไปค้นหาอุปกรณ์ทำความสะอาดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็ไปเจอไม้กวาดที่นอนอยู่ใต้บันได ก่อนจะเดินกลับมาปัดกวาดบ้าน
“เมื่อหลายวันก่อนฉันมาที่นี่ ตอนแรกที่เห็นว่าฉันเป็นเพื่อนของนาย ไอ้คนเป็นลุงทำท่าจะไล่ออกไปให้ได้ ฉันเลยบอกกับพวกนั้นว่า ‘คุณมีเวลาสองวันในการเก็บของย้ายออกไป ก่อนที่ตำรวจจะมา’ ตอนนั้นสองผัวเมียถึงกับเหวอไปเลยล่ะ นายน่าจะได้เห็นสีหน้าพวกมันนะ ซีดจนเป็นไก่ต้ม” แทฮยองหัวเราะ “ฉันเลยบอกอีกว่า ‘แบคฮยอนอายุยี่สิบแล้ว เขามีสิทธิ์ไล่สัมพเวสีอกไปจากบ้านได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย อีกสองวันถ้าพวกคุณยังไม่ยอมย้ายออกไป เขาจะมาลากคอพวกคุณเข้าตารางทุกคน’ ตอนแรกฉันก็แค่ขู่ไปเล่น ๆ ใครจะคิดว่าพวกนั้นจะเชื่อกันล่ะ แต่ดูท่าทางจะไม่ได้แกล้งโง่นะ คือโง่จริง รู้งี้น่าจะทำตั้งนานแล้ว นายจะได้ไม่ต้องย้ายไปอยู่โซล”
แทฮยองยังคงนึกขำไม่หาย กับเรื่องราวเมื่อไม่กี่วันก่อน ใครจะไปเชื่อว่าสองผัวเมียจะกลัวจนหัวหดเข้าไปในกระดอง โผล่มาอีกทีขนของกลับหลังเขากันหมดแล้ว คนเห็นแก่ตัวมันต้องเจออย่างนี้
“เป็นวิธีที่ใจร้าย แต่ก็ดีเหมือนกันนะ เราก็ไม่อยากเห็นหน้าพวกเขาเหมือนกัน” ถ้าเป็นเรื่องของคนที่เรียกตัวเองว่าญาติพี่น้องแค่ในนาม แบคฮยอนไม่คิดว่าที่แทฮยองทำมันเป็นเรื่องผิด
คนตัวเล็กยังคงง่วนอยู่กับการจัดของในบ้าน โดยที่ไม่คิดจะเอากระเป๋ากลับไปเก็บในห้องของตัวเองแล้วพักผ่อน แบคฮยอนมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ ถ้าเขายังจัดการอะไรไม่เสร็จก็จะไม่ยอมนอนเด็ดขาด เด็กหนุ่มผมสีสว่างเอนตัวลงนอนกับโซฟาแล้วผิวปาก
“นี่แบคฮยอน”
“เราฟังอยู่”
“ฉันเลิกกับแฟนแล้วนะ”
“ปาร์คจองฮวาเหรอ”
“ใช่” เด็กหนุ่มตอบเสียงเอื่อย แบคฮยอนไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาเพียงแค่เปิดเช็กของในตู้เย็น แล้วเก็บของเน่าเสียทิ้งลงถุงขยะ “เป็นอย่างนี้ทุกคนเลย พอคบได้สามเดือน ฉันก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอเธออีกแล้ว”
“แทฮยองเลยบอกเลิกเธอใช่ไหม”
“เปล่า ฉันจงใจมีคนอื่นให้รู้ เธอถึงได้บอกเลิก”
แบคฮยอนเดินกลับมาพร้อมน้ำดื่ม แทฮยองหยัดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วรับแก้วมาถือไว้ แล้วมองหน้าเพื่อนสนิทที่นั่งลงบนโซฟาเดี่ยว
“วิธีบอกเลิกมีตั้งเยอะ ไม่เห็นต้องทำร้ายจิตใจเธอขนาดนั้นเลย”
“ฉันมันขี้ขลาดเองแหละ เรื่องนี้ยอมรับผิด” แทฮยองยกน้ำดื่มไปครึ่งแก้ว “พูดก็พูดเถอะ เหมือนมันเป็นอาถรรพ์สามเดือนยังไงอย่างนั้น เขาเรียกว่าอะไรนะ...หมดโปรเหรอ? หรือฉันจะตายด้านกับเรื่องความรักไปแล้ว”
“ไม่หรอก แทฮยองอาจจะยังไม่เจอคนที่ใช่จริง ๆ” ทันทีที่พูดจบเจ้าของชื่อก็หัวเราะออกมาราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดมันเป็นเรื่องตลก
“บางทีคนที่ใช่สำหรับฉันอาจจะยังไม่เกิด”
“ถ้าเราเจอคนที่ใช่ในเวลาที่ต้องการ โลกนี้ก็คงไม่มีคนอกหัก” ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้นแทฮยองก็หันไปมองเจ้าของคำพูดที่กำลังนั่งจ้องมือถือ ราวกับว่ากำลังรอใครโทรมา
“แล้วนายล่ะ เจอหรือยัง?” แทฮยองรู้ว่าช่วงเวลาที่ห่างกัน ยังมีอะไรอีกมากมายที่เขาไม่รู้เกี่ยวกับแบคฮยอนแต่มันคงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจมากที่เดียว ถ้าเจ้านี่ตอบว่าใช่ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเจ้าตัวไม่เคยแสดงท่าทีเลยว่าจะมีความรัก
“เจอแล้ว”
“พูดจริง?”
“ใช่ หมายถึงตอนนี้นะ” แบคฮยอนหัวเราะ “คน ๆ นั้นคือคนที่ใช่สำหรับเรา แต่ในอนาคตก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พอถึงตอนนั้นก็คงให้เวลาตัดสิน ว่าเราเป็นคนที่ใช่หรือเราแค่ผ่านเข้ามาในชีวิตกันและกันเพื่อให้รู้จักความรักมากขึ้น”
“ให้ตายเถอะ นายทำให้ฉันอยากรู้ว่าแล้วนะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?” แทฮยองจะไม่ยอมละสายตาออกห่างเพื่อนสนิทเด็ดขาดจนกว่าเขาจะได้คำตอบ
“สิ่งที่เราจะพูดมันอาจจะทำให้แทฮยองตกใจ” แบคฮยอนยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาตรงระดับใบหน้าตัวเองแล้วก็ยิ้มให้กล้อง ก่อนที่เสียงชัตเตอร์จะดังในวินาทีถัดมา
“...”
“แต่คน ๆ นั้นไม่ใช่ผู้หญิงหรอกนะ”
‘ตอนนี้ชานยอลคงอยู่บนเครื่องบิน แล้วก็คงไม่เห็นข้อความนี้ แต่เราคิดถึงชานยอลแล้วนะ (แนบรูป)’
นาฬิกาของคนรอนั้นช้าเสมอ แบคฮยอนนึกขอโทษอยู่ในใจที่เขาเอาแต่กากบาทวันที่ในปฏิทิน และมันก็เป็นอย่างที่ชานยอลพูดจริง ๆ ว่าการเอาแต่หันไปมองมันในแต่ละครั้งจะทำให้เวลาเดินช้าลง
แบคฮยอนมีที่เรียนแล้ว คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ สาขาไบโอเทคโนโลยีอาหารและสัตว์ ซึ่งเป็นมหาลัยเล็ก ๆ ในมกโพ สังคมที่นี่ก็ไม่ต่างจากโซลมากนัก แต่มันก็ยังรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง
แบคฮยอนโชคดีที่มีแทฮยอง เพื่อนสนิทที่ลงเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬา แต่ยังไปมาหาสู่กันอยู่ตลอด แทฮยองแนะนำให้เขารู้จักกับเพื่อนใหม่ที่มีความสามารถเรื่องกีฬา บางคนเป็นถึงแชมป์เหรียญทองในแต่ละประเภท รวมไปถึงแฟนใหม่ของแทฮยองที่พบรักกันในวันปฐมนิเทศ
แบคฮยอนเริ่มปรับตัวให้อยู่ได้อย่างมีความสุข หลังจากที่ได้คุยกับคนรักทุกวันก่อนนอน ซึ่งมันเป็นเวลาที่เอาเปรียบชานยอลอย่างสิ้นเชิง เขาเคยเสนอว่าให้สลับกันบ้าง แต่ไททันโลกแดงก็ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าไม่อยากให้ฮอบบิทเตี้ย ๆ อย่างเขาต้องเสียการเรียนเพราะมัวแต่มองความหล่อของแฟนที่นอนอ่อยอยู่บนเตียง
และนั่นเป็นเหตุผลที่น่ารักเกินกว่าที่จะขัดใจได้ แบคฮยอนได้รู้จักเพื่อนใหม่ของชานยอลซึ่งเป็นคนอเมริกาทั้งหมด คนตัวโตเล่าให้ฟังว่าเพื่อน ๆ ในกลุ่มเป็นนักอเมริกันฟุตบอลทั้งหมด แต่ชานยอลคงไม่ถึกพอที่จะร่วมด้วย เพราะสภาพร่างกายก็ใช่ว่าจะหนาแน่นเหมือนฝรั่ง แต่ชานยอลบอกว่ามีกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งก็คือฮอกกี้น้ำแข็ง ที่เจ้าตัวเพิ่งรู้ผลว่าได้ร่วมเข้าทีมไปเมื่อตอนกลางวัน
ช่วงแรก ๆ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง เรายังคงรู้สึกว่ามีกันและกันเมื่อได้ได้ยินเสียงและเห็นหน้ากันผ่านจอสี่เหลี่ยมของสมาร์ทโฟน แม้ว่าจะเดินไปไหนมาไหนในมหาลัย หรือแม้แต่ตอนกำลังนั่งเรียนอยู่ ชานยอลขอเปิดเฟซไทม์ไว้โดยที่เราไม่ได้คุยกัน ผู้ชายคนนั้นต้องการแค่ได้เห็นหน้าเขาตอนหลับ
ชานยอลดูมีเนื้อมีหนังขึ้น สังเกตได้จากกล้ามแขนอ่อน ๆ ตอนใส่เสื้อแขนกุด เจ้าตัวบอกว่าอาจเป็นผลพวงจากโปรตีนปั่นที่เหมือนกับอ้วกที่พวกเพื่อน ๆ นักกีฬาบังคับให้ดื่ม
แบคฮยอนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงได้รู้สึกไม่ดีเพียงเพราะเห็นรูปชานยอลถ่ายกับเพื่อน ๆ วูบหนึ่งมันมีความคิดแปลก ๆ ขึ้นมาว่าชานยอลกำลังห่างออกไป ให้ตายเถอะ เขากำลังคิดอะไรบ้า ๆ อีกแล้ว
ไม่...มันไม่ใช่แค่ความคิด
พอถึงช่วงปีใหม่ที่น่าจะเป็นช่วงปิดเทอม ชานยอลก็ไม่ได้กลับเกาหลี ซึ่งเจ้าตัวอ้างเหตุผลว่าคุณลุงตามไปเยี่ยมถึงที่แมสซาชูเซตส์ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้คนคิดมากโล่งใจไปได้ กับบทสนทนาในหลาย ๆ ครั้งที่ต้องหยุดลงเพราะชานยอลอ้างว่าแบตหมดบ้าง จะต้องอ่านหนังสือบ้าง ง่วงบ้าง
กลัว...
หนึ่งปีครึ่งที่บยอนแบคฮยอนฝังความกลัวเอาไว้ และความกลัวเหล่านั้นกำลังย้อนกลับมาทำร้ายเขาในวันนี้ เราคุยกันน้อยลง เฟซไทม์วันละไม่ถึงสิบนาที แบคฮยอนได้แต่บอกตัวเองว่าชานยอลคงเรียนหนักมากกว่าคนอื่นเพราะเป็นคนเอเชีย แต่...
ถ้าไม่เคยได้รับความใส่ใจตั้งแต่แรก...บยอนแบคฮยอนก็คงไม่คิดมากขนาดนี้ กับสิ่งที่ขาดหายไป
“วันนี้ไปไหนหรือเปล่า?”
“ไม่ไปหรอก ทำไมเหรอ?”
“ไม่เอาน่า พรุ่งนี้ก็ปีใหม่แล้ว เราต้องทำอะไรให้มันพิเศษหน่อยสิ” แทฮยองว่าแล้วกอดคอเพื่อนสนิทให้เดินไปด้วยกัน
“ทำอะไรอ่ะ”
“ปีก่อนนายก็เอาแต่นอนเฟซไทม์คุยกับหมอนั่นทั้งคืน แต่แล้วยังไงล่ะ ปีนี้หายหัวตั้งแต่ก่อนคริสต์มาสซะอีก ดูหน้าตัวเองบ้างสิ เหมือนกับคนไม่เคยรู้จักรอยยิ้ม” แทฮยองจับหัวไหล่อีกคนให้หันหน้าเข้าหากระจกใสร้านเสื้อผ้า
ร่างเล็กมองตัวเองในกระจก มันถูกอย่างที่แทฮยองว่าไม่มีผิดเลย สภาพเขาตอนนี้ดูไม่จืดเลยสักนิดเดียว มันก็คงจริงอย่างที่ใครเขาว่า ที่สภาพจิตใจดิ่ง สภาพร่างกายก็จะดิ่งไปด้วย
“ไปแปลงโฉมกันเถอะ ฉันจะแนะนำแฟนใหม่ให้นายรู้จักด้วย”
แบคฮยอนปล่อยให้เพื่อนสนิทลากไปโดยที่ไม่ยื้อดึง ร่างเล็กถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า แบคฮยอนเกลียดความคิดในหัวที่มันกำลังปั่นประสาทให้เขาแทบเป็นบ้า แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยปล่อยให้ความคิดทำร้ายตัวเอง แต่สิ่งที่เห็นและความห่างไกล มันทำให้ความฟุ้งซ่านเข้ามาแทนที่ความเชื่อใจได้ยังไง
จะเข้าปีที่สองแล้วนะที่เราจะไม่ได้เจอกัน ชานยอลรู้สึกอะไรบ้างหรือเปล่า บยอนแบคฮยอนได้เพียงแค่ยิ้มให้กล้องอย่างอารมณ์ดีตอนที่เราเฟซไทม์กัน พอหลังจากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายไป
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวมันเคยทำให้ต่อเวลาให้คนรอได้ แต่พอถูกความกลัวครอบงำเมื่อไหร่ ความสุขเหล่านั้นมันเลยกลายเป็นเรื่องเจ็บปวดขึ้นมา
‘ชานยอลไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก เลิกคิดบ้า ๆ สักที’
แบคฮยอนได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจ เขามองตัวเองในกระจกขณะที่หญิงสาวร่างผอมเพรียวกำลังตัดผมให้หลังจากทำสีเสร็จ นี่เป็นครั้งแรกที่คนตัวเล็กปล่อยให้สารเคมีลงบนหัวเขา
“โอเคไหม?”
“เยี่ยมเลย”
แทฮยองกับแฟนหันไปคุยกัน ก่อนจะปิดท้ายด้วยการหอมแก้มสักฟอดเพื่อแสดงความรัก แบคฮยอนก้มหน้ามองสมาร์ทโฟนในมือที่ยังคงเงียบ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงรอการติดต่อมาจากคนที่อยู่อีกซีกโลกอย่างลม ๆ แล้ง ๆ
พอทำผมใหม่เรียบร้อยคนตัวเล็กก็ขอตัวกลับบ้าน ซึ่งแทฮยองก็ไม่ได้เซ้าซี้หลังจากรบเร้าให้ทำสีผมได้ดั่งใจแล้ว ผมสีน้ำตาลทำให้แบคฮยอนหน้าสว่างขึ้น ถึงจะดูแปลกตาไปหน่อย แต่ก็โอเคดี
“ฮัลโหลจุนมยอน ว่างคุยสักสองนาทีไหมอ่ะ”
( ว่างสิว่าง ว่าไงเหรอ? อ๋า มันวิ่งไปโน่นแล้วครับแม่! กลับมาก่อนไมเคิล! เดี๋ยวฉันโทรกลับนะแบคฮยอน หมาของฉันมันวิ่งออกไปนอกถนนแล้ว ขอโทษนะ เดี๋ยวรีบโทรกลับ! )
“โอ...เค...” ยังไม่ทันได้ตอบกลับก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งออกไปด้วยความเร็วสูง ดูเหมือนว่าจุนมยอนจะวิ่งตามไมเคิลโดยที่ไม่ได้หยิบมือถือไปด้วยสินะ
“ฮัลโหลจงแด ยุ่งอยู่หรือเปล่า”
( แบคฮยอนนน )
“อ่า...นั่น...ซอนฮวา?” แบคฮยอนไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยที่ได้ยินเสียงเธอในตอนนี้ พอละมือถือออกจากหูก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อพบว่าที่โทรออกก็คือเบอร์ของจงแด
( ใช่ ฉันเองแหละ เป็นไงบ้าง ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ )
“เราสบายดี แล้วซอนฮวาล่ะเป็นไงบ้าง”
( ก็เรื่อย ๆ น่ะ คิดถึงนายจัง )
“คิดถึงเหมือนกัน ว่าแต่ทำไมซอนฮวาถึงรับโทรศัพท์แทนจงแดได้ล่ะ”
( อ๋อ เรื่องนั้น )
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะคิกคักเบา ๆ
( ฉันคบกับหมอนี่ได้สองอาทิตย์แล้ว ตอนนี้จงแดกำลังไปซื้อป๊อปคอร์น เรามาดูหนังกันน่ะ )
“อ๋า จริงเหรอเนี่ย?” ร่างเล็กเบิกตาโพลง คนหนึ่งคือคนที่เคยบอกว่าชอบเขา ส่วนอีกคนก็เพื่อนสนิทที่ไม่มีทีท่าว่าจะจีบใครติดได้ง่าย ๆ อ้างอิงจากคำพูดของจุนมยอนเลย
( อื้ม... ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่านายคือคนที่ใช่ โดยที่มองข้ามผู้ชายห่วย ๆ อย่างหมอนั่นตลอด )
“พูดไปนั่นเลย จงแดต้องดูแลซอนฮวาได้แน่ ๆ อ่ะเราเชื่อ”
( ขอบใจนะ )
“งั้นซอนฮวาไปดูหนังกับจงแดเถอะ เราแค่โทรมาสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าน่ะ ขอให้รักกันนาน ๆ นะ”
( เช่นกันนะจ้ะ รักนายนะ )
แบคฮยอนกดวางสายแล้วมองหน้าจอมือถือ เขาควรจะโทรหาคยองซูดีไหมนะ ถ้าโทรไปแล้วจะฟลุ๊คโดนด่ากลับมาหรือเปล่า เพราะจากปีที่แล้วก็ได้ยินจงแดเล่าให้ฟังว่าคยองซูนอนข้ามวันโดยไม่มีการเคาน์ดาวน์อะไรทั้งนั้นเพื่อทำสถิติ
สุดท้ายก็เลิกล้มความคิดนั้นไป ร่างเล็กมองไปยังทะเลที่กว้างสุดหูสุดตาก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายรูปตัวเอง แบคฮยอนมองรูปที่เพิ่งถ่ายเสร็จอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลังเลว่าจะกดส่งให้ชานยอลดูดีหรือเปล่า
ทำไมถึงมีความคิดแบบนี้กันล่ะ ทำไมถึงได้คิดว่าบางทีชานยอลอาจจะไม่อยากรู้ก็ได้ว่าบยอนแบคฮยอนจะทำผมสีอะไร และตัดผมใหม่ตอนไหน
RRRrrrrr!!!!
“...!!!”
ร่างเล็กสะดุ้งสุดตัวกับสิ่งไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าคนที่คอลไลน์มาเป็นคนในความคิด สองขาหยุดยืนอยู่ข้างฟุตปาธทางยาวติดทะเล กระแสลมหนาวช่วงปลายธันวานั้นเพิ่มความโดดเดี่ยวให้เด็กหนุ่มตัวคนเดียวได้เป็นอย่างดี แบคฮยอนไม่รู้ว่ามือของเขากำลังสั่น
“ว่าไงชานยอล” แบคฮยอนเม้มปากแน่นหลังจากพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติในการทักทาย
นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะที่ชานยอลเลือกคอลไลน์แทนการเฟซไทม์ แบคฮยอนไม่อยากงี่เง่าเลยจริง ๆ แต่การไม่เปิดกล้องเหมือนเคยมันคือการเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งที่ชวนให้คิด ทั้งที่พยายามทำความเข้าใจและบอกตัวเองว่าอย่าคิดมาก แต่การห้ามความคิดนี่มันยากจัง
( อยู่ไหน ทำไมมีเสียงลม )
“เราออกมาข้างนอกอ่ะ วันนี้แทฮยองพามาทำสีผมด้วย สีคล้าย ๆ ชานยอลเลยนะ แต่ของเราสว่างน้อยกว่า” แบคฮยอนรู้ว่ากำลังยิ้มเหมือนคนโง่ แม้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินแค่เสียงของเขา
( ทำเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ทำไมไม่ลงรูปให้ดู )
“เพิ่งเสร็จเมื่อกี้เอง แล้วเราเพิ่งถ่ายรูป พอจะกดส่งชานยอลก็โทรมาพอดีอ่ะ”
( ขี้โม้ว่ะฮอบบิท )
“ไม่ได้โม้จริง ๆ นะ ชานยอลนั่นแหละ”
พูดจบก็รีบตะปบปากตัวเอง แบคฮยอนทำตาปริบ ๆ เหมือนคนถูกสาปให้แข็งเป็นท่อนไม้หลังจากหลุดปากออกไป ถึงมันจะไม่ชัดเจน แต่ก็คงทำให้เกิดความสงสัยว่าไอ้บ้านนอกคนนี้เป็นอะไรถึงได้โพล่งออกมาอย่างนั้น
( กูทำไมเหรอ )
“เปล่า เราแค่จะบอกว่าเราหิว”
( เรื่องกูกับเรื่องหิวมันโยงเข้ากันได้มากเลยดิ แล้วนี่กินข้าวเที่ยงไปตอนกี่โมง )
“ยังไม่ได้กินเลยอ่ะ เราไม่รู้ว่าทำสีผมมันจะใช้เวลานานขนาดนี้ ว่าแต่ทำไมชานยอลยังไม่นอนอีก ตอนนี้จะตีสองแล้วไม่ใช่เหรอ” แบคฮยอนมองนาฬิกาข้อมือ แต่ก็ได้ยินเพียงแค่ความเงียบ
( อยากได้ยินเสียงเลยโทรหา )
แบคฮยอนเบ้ปาก เขาต้องบีบจมูกตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อไล่น้ำตาให้กลับคืนไป เขาไม่เคยรู้เลยว่าแค่คำพูดประโยคเดียวจะทำให้คนคิดมากรู้สึกดีขึ้นมาได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้รู้สึกเหมือนถูกถีบตกเหวเลย
“เราก็อยากได้ยินเสียงชานยอลเหมือนกันนะ”
( เหมือนกันเหรอ? )
“ใช่ เราเฟซไทม์กันได้ไหมอ่ะ...”
( ... )
สุดท้ายหัวใจก็กลับมาห่อเหี่ยวอีกครั้ง แบคฮยอนกัดริมฝีปากจนห้อเลือดเพราะถูกความเงียบเล่นงาน ถ้าชานยอลตอบด้วยน้ำเสียงติดตลกว่ากำลังเปลือยอยู่ เขาอาจจะรู้สึกดีกว่านี้ก็ได้ หรือเหตุผลอีกเป็นร้อยเป็นพันข้อที่ขอเพียงแค่พูดออกมา แบคฮยอนก็พร้อมจะเข้าใจ
แต่ทำไม...ถึงเงียบแบบนี้ล่ะ
“ถ้ายุ่งก็ไม่เป็นไรนะ เราแค่ถามเฉย ๆ แค่ได้ยินเสียงเราก็พอใจแล้ว...แหะ”
ชานยอลคงไม่ได้อยู่กับใครหรอก บางทีชานยอลอาจจะไม่อยากเปิดกล้องเพราะกำลังจะเข้านอนก็ได้ ซ้อมฮอกกี้มาเหนื่อย ๆ ช่วงนี้คงกลัวโดนแซวว่าโทรมแหง ๆ
แต่...ทำไมถึงรู้สึกว่ากำลังหลอกตัวเองอยู่เลยล่ะ
“เราคงหิวมากเลยเอาแต่พูดอยู่คนเดียว...อ่า...ที่นี่หนาวจัง” แบคฮยอนปล่อยให้เสียงรถยนต์บนถนนลอดเข้าไปในสาย ถ้าขืนพูดบ้า ๆ ออกไปอีกชานยอลอาจจะรำคาญได้ เพราะฉะนั้นเขาควรหยุดพูดสักที
( ของขวัญวันเกิดที่ส่งไปให้กูน่ะ ถึงเร็วกว่ากำหนดสองวันนะ )
“อ่ะ...เหรอ ไม่เห็นชานยอลเล่าให้ฟังเลย”
พอนึกไปถึงของขวัญวันเกิดที่ส่งไปเมื่อเดือนก่อนแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ เขาส่งสมุดไดอารี่ที่เขียนถึงชานยอลไปให้ จากที่หาข้อมูลในเน็ตเวลาการจัดส่งก็น่าจะคลาดเคลื่อนบ้าง แต่พอเห็นว่าชานยอลไม่พูดถึงก็เลยไม่ได้ถาม
“แต่ทำไมชานยอลถึงใช้คำว่า ‘ส่งไป’ ล่ะ”
มันควรจะเป็นคำว่า ‘ส่งมา’ ไม่ใช่หรือไงกัน?
ชานยอลไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก แต่คราวนี้มีเสียงกระดิ่งลอดเข้ามาในสายแทน หลังจากนั้นไม่ถึงสองวินาทีแบคฮยอนก็รู้สึกเหมือนเสียงมันซ้อนทับกัน ราวกับว่า...
เราสองคน...ยืนอยู่ในที่เดียวกัน...
“...”
แบคฮยอนหันไปทางฝั่งตรงข้ามถนน หลายครั้งที่จำคนผิดคิดว่าคนที่เดินผ่านไปมาคือชานยอล และสุดท้ายก็พบกับความผิดหวัง ตอนนั้นเขาได้แต่บอกตัวเองว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่ชานยอลจะมาที่นี่ มันเป็นแค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่นี่คือชีวิตจริง ไม่ใช่เหมือนในละครที่พระเอกจะมาหานางเอกได้ทุกที่ทุกเวลา
แต่คราวนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น ภาพผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่หน้าร้านหนังสือฝั่งตรงข้ามถนนนั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดจากจินตนาการ สายตาที่กำลังมองมาทางนี้ อีกทั้งมือข้างหนึ่งที่ยังคงยกโทรศัพท์แนบหู นั่นเป็นสิ่งบ่งบอกว่า...บยอนแบคฮยอน...ไม่ได้ตาฝาด
“ชานยอล...”
( จากอเมริกาวาร์ปมามกโพได้ด้วยนะรู้ยัง? )
“...”
สิ้นสุดความอดทนแล้ว แบคฮยอนกัดริมฝีปากแน่นแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างดีใจ เขารู้สึกเหมือนคนบ้าที่กำลังร้องไห้และยิ้มอย่างมีความสุขไปพร้อม ๆ กัน คนตัวสูงเก็บมือถือใส่กระเป๋าแล้วเดินมาหยุดอยู่ริมฟุตปาธพร้อมหันซ้ายขวา
“ชานยอลระวังรถด้วยนะ!”
“โว้ว ๆ”
“ใจเย็นก่อน เดี๋ยว ๆ ทางซ้าย!”
ร่างเล็กยกมือขึ้นป้องปากอย่างหวาดเสียวเมื่อไททันตัวโตรีบข้ามถนนมาจนเกือบโดนรถเฉี่ยว แค่ครู่เดียวเท่านั้นที่แบคฮยอนรู้สึกว่าการรอคอยที่แท้จริงเป็นยังไง จนกระทั่งคนตัวสูงวิ่งข้ามถนนมาฝั่งนี้ได้สำเร็จ
เรายืนสบตากันแล้วปล่อยให้เสียงรถขับผ่านทำลายความเงียบในตอนนี้ ชานยอลดูเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย แต่โดยรวมแล้วหล่อขึ้นจนเขารู้สึกเขิน คนตัวสูงถอดแว่นที่เลอะน้ำตาออกมาเช็ดให้ เหมือนกับฉายภาพเก่าซ้ำ ๆ กับความทรงจำที่เราเคยมีร่วมกัน
ชานยอลเซถอยหลังไปก้าวหนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นระดับใบหน้า เมื่ออีกฝ่ายโผเข้ากอดเขาทั้งที่ยังเช็ดแว่นไม่เสร็จ เด็กหนุ่มนักเรียนนอกยิ้มขำก่อนจะเกยคางลงบนศีรษะทุย เมื่อวงแขนนี้กอดรัดแน่นยิ่งขึ้นราวกับกลัวว่าเขาจะหนีไปไหน
“มาใช้เวลาอยู่ด้วยกันในวันปีใหม่กันเถอะฮอบบิท”
TBC
ตอนหน้าตอนจบแล้ว และจะมีสเปอีก 1 ตอนนะคะ ซึ่งฟิคอีนี่แปลกมาก จะจบบริบูรณ์ในสเปเชียลค่ะ 555555555555555555 คือจบแบบธรรมดาก็คือจบแหละ แต่จบแบบเต็มๆ ก็จบในสเปนะคะ
ไททันมึง ไปแก้ตัวเลยนะทำให้คนอื่นเค้าคิดมาก ซั้ซ #อ้าวเมนท์ฟิคตัวเองอีกแล้ว
ความคิดเห็น