ตอนที่ 91 : เอเบียร่า...อารยะแห่งภูต
Author กัลฐิดา
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หวัดดีค้า ^_^
วันนี้เราก็ได้มาพบกันจนได้ (กัลฝ่าดงเอกสารมาเลยนะคะ)
วันอาทิตย์หน้ากัลกำลังจะสอบกลางภาคแล้ว T_T ที่น่าเศร้าก็คือ กัลยังไม่ได้อ่านซักกะตัว
เพราะมัวแต่ทำรายงาน + แล็ป ใครอยากให้กำลังใจกัลบ้างคะ
ตอนนี้เราจะมารู้จักเมืองใหม่เอี่ยมที่จะพาเพื่อนๆเข้าไปในโลกของเซวีน่าที่ลึกมากกว่าภาคที่แล้วค่ะ
แล้วขอแอบบอกว่า ที่เมืองนี้จะมีอะไรๆ ให้เพือนที่คอยลุ้นเรื่องกุ๊กกิ๊กด้วยค่ะ
แต่ไม่บอกหรอกว่าฉากเด็ดจะออกมาตอนไหน ต้องติดตามเอาเอง ^///^
วันนี้คุยกันพอหอมปากหอมคอดีกว่านะคะ แล้วเจอกันเร็วๆ นี้ค่ะ
กัลฐิดา
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 86 เอเบียร่า...อารยะแห่งภูต
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"เจ้าแห่งสายลมเซเฟอร์มีจริงเหรอ???" เฟมีลครางขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อหู
สิ่งที่ได้ยินไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงได้เลยแต่เสียงที่ก้องอยู่ในหัวก็พูดตอกย้ำขึ้นว่า
ใช่ครับ เจ้าแห่งสายลมคนนั้น นี่คือเหตุผลที่เอนเซลไม่เดือดร้อนมากนักเมื่อภาคีวาโยหายไป
แต่แน่นอน ยังไงสิ่งนั้นก็คือสิ่งที่แสดงถึงตัวตนของท่านผู้ก่อตั้ง เอนเซลจึงทำการค้นหาอย่างหนัก'
เฟมีลวางขนมที่อยู่ในมือกลับไปที่จานก่อนจะเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า
"ถ้าอย่างนั้นทำไมเอนเซลถึงไม่สร้างอัญมณีขึ้นมาใหม่ล่ะ อัคคา ในเมื่อมีคนที่เก่งขนาดนั้นอยู่"
เสียงถอนหายใจดังขึ้นตามด้วยเสียงพูดของเจ้านกไฟว่า
'ทำได้ครับ แต่ที่ทำไม่ได้คือการกำหนดตัวสัตว์ศักดิ์สิทธิ์'
"เหมือนนาย????"
'กระบวนการสร้างสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้สร้างกันง่ายๆ หรอกครับมีอีกหลายอย่างที่เราต้องทำ เออ...แล้ว
ตกลงว่าเจ้านายไปใช่ไหมครับ' เฟมีลรู้ว่าต้องมีเรื่องที่สำคัญกว่านี้แน่แต่มันยังไมถึงเวลาที่อัคคา
จะบอกให้เธอรู้ หญิงสาวจึงยอมเปลี่ยนเรื่องตามที่เจ้านกไฟว่า
"ไปสิ อยากเห็นคนถือครองอัญมณีคนนี้เหมือนกัน" แต่สีหน้าสนุกๆ ของเฟมีลก็จางหายไป
เมื่ออัคคาพูดว่า
'งั้นเจ้านายต้องฝึกหนักอีกหน่อยแล้วครับ...อย่าเถียงเลย เพราะว่าการไปเป็นสักขีพยานน่ะ
ในความหมายร่วมก็คือ...ผู้คุ้มครองพิธีกรรมครับ เตรียมใจไว้ได้เลย'
เฟมีลฟังอย่างนั้นก็อยากจะถอนคำพูดจริงๆ การฝึกกับเจ้านกนี่มันสบายซะที่ไหน
ร่างของป้าเฟที่เก็บข้าวของไว้ตรงนั้นตรงนี้อย่างคล่องแคล่วทำให้เฟมีลมองการจัดของ
ในการเดินทางทั้งหมดเข้ารถลากอย่างทึ่งปนชื่นชม
"อาหารแห้งอยู่ตรงนี้นะคะ ขนมอยู่ที่เดิม เสื้อผ้าทั้งหมดอยู่ในกระเป๋าด้านท้าย
ของใช้ที่จำเป็นทั้งหมดป้าจัดใส่ไว้ตามช่องเก็บเรียบร้อย..." ขณะจัดป้าเฟก็พูดอธิบายไปด้วย
เฟมีลช่วยหยิบจับบ้างบางอย่างแต่ส่วนใหญ่จะเป็นการมองดูมากกว่าเพราะป้าทำเร็วเหลือเกิน
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเฟมีลก็เอ่ยขึ้นว่า
"ป้าเฟเก่งจัง จัดเหมือนเอาบ้านไปทั้งหลังเลย" เฟลามีนหันมาส่งยิ้มแล้วพูดขณะที่กำลังเดิน
กลับเข้าบ้านพร้อมกับเฟมีลว่า
"ก็คุณหนูจะไปนานนี่คะไปตั้ง 5 เดือน กว่าจะกลับมาก็เดือนมกรานู่น เอาไว้ป้าทำอาหารอร่อยๆ
ส่งไปให้คุณหนูดีกว่า" ความห่วงใยที่ถ่ายทอดมาสู่ตัวเฟมีลทำให้หญิงสาวหอมแก้มป้าเฟแรงๆ
ทีหนึ่งก่อนจะบอกว่า
"ป้าเฟ จะทำให้หนูเป็นเด็กเอาแต่ใจนะคะ กินอะไรที่ไหนไม่ได้ต้องกินของป้าเฟคนเดียว"
หญิงกลางคนหัวเราะอย่างชอบใจก่อนจะพูดว่า
"ป้าไม่เห็นคุณหนูกินอะไรที่ไหนไม่ได้เลยนี่คะ" หญิงสาวทำหน้ายู่ใส่แม่บ้านคนเก่งเสียงหัวเราะ
ก็ยิ่งดังขึ้นอีก คืนสุดท้ายในโซนของเฟมีลจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มของแม่บ้านคนนี้
เช้าวันใหม่สดใสเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เฟมีลแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบร้อยยืนลาป้าเฟ
ซึ่งเดินออกมาส่งหน้าประตูใหญ่พร้อมเจ้าบาซิลซึ่งตอนนี้ตัวใหญ่สูงถึงเอวของเฟมีลแล้ว
"หนูไปนะคะ แล้วหนูจะเขียนจดหมายมาบ่อยๆ ค่ะ" พูดเสร็จก็สวมกอดป้าเฟแน่น ใจมันโหวงๆ
ยังไงชอบกลที่จะไม่ได้เห็นร่างท้วมๆ ของคนๆ นี้อีกนาน
"ดูแลตัวเองให้ดีนะคะ ไม่ต้องห่วงเจ้าบาซิลเดี๋ยวป้าจะดูแลมันเอง" เฟมีลดึงตัวออกจากอ้อมกอด
นั้นก่อนจะใช้สองมือกุมแผงคอของเจ้าบาซิลอย่างรักใคร่
"ดูแลบ้านกับป้าเฟด้วยล่ะ อย่ามัวแต่นอนกับกินนะ ไม่งั้นฉันจะให้รีเนลมาแอบถ่ายรูปแกเอาไปขาย"
บาซิลเหมือนจะรู้จากน้ำเสียงของเจ้านายว่ามันจะถูกแกล้งมันรีบถอยหลังเข้าไปหลบหลังป้าเฟทันที
เฟมีลเลยอดไม่ได้ที่จะเขกหัวมันทีหนึ่งเบาๆ แล้วก้าวขึ้นรถลากโบกมือเป็นเชิงลาจากนั้นอเรย์
ก็วิ่งออกจากคฤหาสน์ไป ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองรถลากที่หายไปจนลับตา
จากนั้นจึงตบหัวเจ้าดาร์กี้เบาๆ บาซิลเงยหน้ามองป้าเฟดวงตาของมันสื่อประมาณว่า...
แล้วใครจะเล่นกับผมล่ะคร้าบ ป้าเฟหัวเราะออกมาเบาๆ
ก่อนจะหันหลังกลับเดินเข้าคฤหาสน์โดยมีเจ้าบาซิลวิ่งตามไปไม่ห่าง เสียงพึมพำดังออกจาก
ปากของแม่บ้านคนเก่ง เสียงหวานที่ไม่น่าจะเป็นเสียงของหญิงวัยกลางคนคนนี้สักนิด
"มาเถอะบาซิล...ได้เวลาทำงานของเราแล้วล่ะ..."
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สถานทูตวารีเน่คราคร่ำไปด้วยนักเรียนฮอยเต้ทั้งที่เดินทางมาจากรัฐอื่นและผู้ที่อยู่ในโซน
เฟมีลมาถึงก็เอาอเรย์ไปขึ้นหมายเลขสัมภาระ
เมื่อรับบอลคาร์ที่ลงมนตราผ่านเรียบร้อยจึงค่อยมองหาเซและรีเนลซึ่งมองหาไม่ยากเลย
เพราะสาวน้อยผมสีทับทิมมักมีผู้คนรุมล้อมมากมายไม่ต่างจากสาวน้อยผมทองเท่าไร
"เฮ้ สาวน้อยผมทองหันมาทางนี้หน่อย" เซเลน่าหันตามคำเรียกพอเธอรู้ว่าใครรอยยิ้มอันสดใส
แทบทำให้เด็กผู้ชายห้องสองที่เดินตามหลังเฟมีลมาใจแทบละลายทำให้เฟมีลหัวเราะคิกคัก
ออกมาอย่างชอบใจจนเซค้อนใส่ตั้งหลายรอบ
"หัวเราะอะไรนักหนาเฟมีล" เมื่อเห็นว่าเพื่อนชักจะเริ่มโกรธจริงเฟมีลจึงรีบหุบยิ้ม
พร้อมกับกลั้นหัวเราะทันที
"จ้าๆ ไม่หัวเราะแล้ว ก็แค่อยากจะบอกว่า เซน่ะสวยจังเลย แล้วที่อยากจะถามมาตั้งนาน
แล้วว่าสร้อยข้อมือข้างซ้ายเนี่ยของใครกันจ๊ะ" เซเหลือบมองสร้อยข้อมือที่ใส่ไม่เคยถอดออกเลย
สีหน้านวลไม่เปลี่ยนสักนิดที่ตอบออกไปว่า
"ของคนบ้าคนหนึ่งเท่านั้น" เฟมีลเลยหมดมุขที่จะล้อต่อแต่คนที่เดินเข้ามาพอดีอย่างรีเนล
เอ่ยอย่างกระแนะกระเเหนขึ้นว่า
"ของคนบ้าคนหนึ่ง เฮอะ แล้วใครกันมานั่งกระฟัดกระเฟียดกับฉันว่าจดหมายของ
คนบ้าหายไปเป็นเดือน" คราวนี้เฟมีลเลยได้เห็นใบหน้านวลแดงขึ้นทันตา
มือบางตีลงเบาๆที่หัวไหล่ของรีเนลอย่างโกรธๆ ปนเขิน
เสียงหัวเราะอย่างรู้ทันของรีเนลและเฟมีลจึงดังขึ้น
"หยุดหัวเราะได้แล้วพวกเธอนี่ โน้น เขาเรียกรวมแล้ว..."
เมื่อเด็กๆ ทุกคนจัดการกับสัมภาระของตัวเองเรียบร้อยก็ทยอยกันเข้ารับมนตราพาซอลเซ่
เฟมีลและพวกนั้นเข้ารับมนตราพร้อมกัน ดังนั้นจึงออกมายืนรอที่ลานรอคอนโดล่าได้
ในเวลาไม่ต่างกันมากนัก
เสียงประกาศเรียกคนที่ไม่ได้นำพาหนะของตัวเองมาให้ไปลงชื่อรอคอนโดล่า รีเนล เซ
และลอลินต่างตกลงว่าจะไปกับเฟมีล อเรย์เลยได้ออกมาจากบอลคาร์ให้ทั้งหมดใช้เป็นพาหนะกัน
คอนโดล่า 4 ลำพร้อมทั้งพาหนะหลากหลายของเด็กทั้งหมดเคลื่อนตัวออกจากลานรอคอนโดล่า
อย่างรวดเร็วมุ่งไปสู่พื้นน้ำส่วนตะวันออกของริเวียร่าเพื่อตรงไปยังเมืองเอเบียร่า
เมืองซึ่งเป็นเหมือนเมืองหลวงอีกแห่งของริเวียร่า
ลำน้ำที่ตอนแรกค่อนข้างแคบเพราะอยู่ในเขตชุมชนก็ค่อยๆ ขยายกว้างออกจนมองเห็น
เป็นแผ่นน้ำสุดลูกหูลูกตา พาหนะส่วนตัวเริ่มเคลื่อนตัวนำคอนโดล่าลำใหญ่ซึ่งบรรทุก
เด็กนักเรียนฮอยเต้ที่เหลือทั้งหมดเอาไว้
เพราะพาหนะส่วนตัวเริ่มฉีกความเร็วออกไปทำให้เฟมีลสังเกตสัตว์พาหนะพวกนั้นอย่างตื่นเต้น
เพราะว่าทุกทีการเดินทางไปไหนของห้องหนึ่งจะมีแค่อเรย์แล้วก็มารีของลีโอเท่านั้น
แต่ตอนนี้พอเรียนรวมกันทั้ง 3 ห้อง สัตว์พาหนะที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็นกัน คันที่วิ่งนำหน้าสุดก็ต้อง
มารีของลีโอ ตามด้วยวูฟาของนายนิก มีทิงเจอร์สีเหลืองของเด็กห้องสาม 2 คัน
สัตว์พาหนะจากบาซิลล่ามีลักษณะเหมือนจิ้งโจ้ซึ่งตอนหลังเฟมีลมารู้ว่ามันชื่อ...จิลบา 4 ตัว
ลากรถลากของเด็กห้องสอง ที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับเฟมีลก็คือรถลากของนายเซอร์รัสคนนั้น
เพราะสัตว์พาหนะนั้นเป็นตัวดาร์กี้สีเงินสวยมากจนเฟมีลไม่อยากละสายตาจากเจ้าตัวนี้เลย
"รีเนล ดาร์กี้ตัวนั้นสวยเป็นบ้าเลย" เฟมีลเรียกเพื่อนสาวพร้อมทั้งชี้ไปยังร่างของดาร์กี้สีเงินที่ค่อยๆ
วิ่งตีคู่ไปกับมารี
"ใช่ นั่นล่ะ...ดาร์กี้ในตำนาน มีแต่ในปราการวินด์เซอร์นีเท่านั้น ไม่มีการเพาะพันธุ์ที่อื่น
เขาว่ากันว่าสายพันธุ์สีเงินน่ะใกล้เคียงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเลยรู้เปล่า"
"เหรอ" เฟมีลรับคำทั้งที่ตาก็ยังมองเจ้าสัตว์ขนสีเงินนั่นอย่างชื่นชมก่อนจะละสายตาอย่าง
เสียดายไปมองพื้นน้ำอันกว้างใหญ่ ถึงไม่มีแม้แต่แผ่นดินให้เหยียบแต่ก็ยังมีบ้านหลังน้อย
ที่ตั้งเรียงรายเป็นระยะตามด้วยฟาร์มตัวโมลี
ร่างของโมลีนั้นคล้ายกับนกน้ำขนาดใหญ่กำลังบินเล่นบนท้องฟ้าอย่างสง่างาม
"ที่นี่ สงบพิลึกเลยเน๊าะ ไม่ค่อยมีแสงสีเท่าไร" เฟมีลเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลงมือเอื้อมหยิบขนม
ที่รีเนลค้นออกมากินอย่างเอร็ดอร่อย
"ใช่ วารีเน่น่ะสงบมาก คนภายนอกไม่ค่อยเข้าถึงหรอก ส่วนใหญ่จะมาอยู่ก็แค่ที่ริเวียร่าเท่านั้น
เพราะถ้าคนที่มีวารีเวทไม่เเข็งพอมาถึงนี่ก็ตายแน่" เซเอ่ยตอบ
"แล้วเอเบียร่าที่เราจะไปถึงนี่มันเป็นยังไงล่ะสวยเหมือนริเวียร่าไหม" เฟมีลถามขึ้นพลางค้นหนังสือ
ที่เธออุตส่าห์ขนมา(เพราะมอรีลขอร้องหรอก)ออกมาเปิดดู รีเนลก็เลยอธิบายอย่างผู้ชำนาญการว่า
"ที่นั่นน่ะเป็นเหมือนเมืองหลวงอีกแห่งของวารีเน่เลยน้า ตามประวัติศาสตร์เอเบียร่าน่ะ
เป็นสถานที่ที่มีภูตวารีอาศัยอยู่มากที่สุด"
"ภูตวารี?????? คล้าย 'วาตารี' สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของวารีเน่หรือเปล่า" เฟมีลถามตัดตอนขึ้นก่อน
เลยทำให้เซอธิบายต่อว่า
"ภูตวารี เป็นภูตน้ำชนิดหนึ่งที่เหมือนคนมากเลย ข้อสันนิษฐานที่เฟมีลว่ามันก็เป็นไปได้สูงนะฉันว่า
ต่อจากที่รีเนลว่านั่นนะ ที่นั่นน่ะเป็นสถานที่...เออ...ที่มนุษย์กับภูตอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนที่สุดเลยล่ะ
ภูตวารีสวยมากนะเฟมีล ดูสิ"
เฟมีลทำตาโตเมื่อเซเปิดรูปภาพที่มีภูตวารีกำลังร่ายรำอยู่กลางน้ำ
"สวยจัง..." ทำไมหน้าตามันคุ้นๆ หว่า ใช่แล้ว...
'อัคคา อัคคาเห็นรูปนี้ไหม...เห็นไหม' เฟมีลเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นจนทำให้อัคคาส่งเสียงเหนื่อยหน่ายว่า
"เห็นครับ ทำไมเหรอ'
ก็ๆ มันทำไมเหมือนมาสเตอร์วาตารีเลยล่ะ เอ...จะว่าเหมือนก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าคล้ายก็แล้วกัน'
เสียงถอนหายใจของอัคคาทำให้เฟมีลรู้สึกเหมือนตัวเองถามอะไรผิดไป
'ผมนึกว่ารู้แล้วซะอีก ก็มาสเตอร์วาตารีของเจ้านายน่ะน่ะ ก็คือวาตารี สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของวารีเน่ไงครับ'
คราวนี้สาวน้อยช่างพูดของเราถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าไปมาแล้วล้มตัวอย่างหมดแรง
จนทำให้เพื่อนๆ ของเธอตกอกตกใจกันใหญ่ว่าเฟมีลเป็นอะไร เมื่อกี้ก็จ้องรูปซะตาแทบถลน
ตอนนี้ก็ล้มตัวยังกับหมดแรงเอาดื้อๆ
ให้ตายเถอะ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหรอเนี่ยถึงว่าทำไมเก่งยังกับไม่ใช่คน...ไม่ใช่คนจริงๆ ด้วย
ตายแล้วตอนนั้นเราว่าเขาไปตั้งเยอะเขาก็อ่านใจเราได้หมดเลยสิ เจ้านกไฟบ้านี่ก็ไม่เตือนกันบ้างเลย
ปล่อยให้เราปล่อยไก่ไปตั้งเยอะ
มือใครบางคนโบกสะบัดไปมาเหนือหน้าของเฟมีล เฟมีลกระพริบตาเล็กน้อยอย่างงๆ
ก่อนจะจับมือคนโบกให้อยู่นิ่ง ดวงตาสีชมพูอ่อนก้มลงมองเพื่อนที่เดี๋ยวนี้ชักจะเเปลกขึ้นทุกวัน
"เป็นอะไรหรือเปล่า เฟมีลดูรูปแล้วเงียบไปเลย" เฟมีลส่ายหน่าพร้อมทั้งยึดมือของรีเนล
เป็นหลักแล้วรั้งตัวเองขึ้นมาจากพื้นเบาะ
"เปล่าหรอกคิดอะไรเพลิน แล้วนี่เราจะถึงเอเบียร่าเมื่อไร" เซทำท่าคิดเหมือนคำนวณเวลา
เล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามของเฟมีลว่า
"เราออกจากที่ริเวียร่าตอน 9 โมงครึ่ง คงถึงประมาณ 4 โมงเย็น"
"โห นานขนาดนั้นเลย แล้วถ้าอย่างนี้อเรย์เกิดหมดแรงขึ้นมาจะทำไง" คราวนี้อเรย์ไม่ยอมอยู่เฉย
เสียงของสัตว์พาหนะที่อายุอานามก็เข้ารุ่นคุณปู่แล้วเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจว่า
"ไม่ต้องห่วงครับ ผมวิ่งได้ แถมเคยไปมาหลายครั้งไม่หลงแน่" เฟมีลแอบหัวเราะน้อยๆ
ที่สัตว์พาหนะไม่ช่างพูดตัวนี้เปิดปากออกมาสักที การเดินทางของเฟมีลก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นเคย
การเดินทางสิ้นสุดตอนเวลาบ่ายสามโมงเกือบบ่ายสี่โมงดังคำที่เซว่า
คอนโดล่าจอดเทียบท่าขนาดใหญ่ของเมือง พวกพาหนะส่วนตัวก็ลงจอดที่ลานจอดข้างๆ
ชานเมืองเอเบียร่าซึ่งมีลักษณะเหมือนชานเมืองใหญ่ในวารีเน่ทั่วไป
ผู้คนพลุกพล่านแต่งตัวหลากหลาย คอนโดล่าเล็กใหญ่มากมายจอดรออยู่ริมลานไม้
ที่สร้างตลอดแนว
เมื่อเท้าเหยียบพื้นลานเฟมีลต้องรีบเก็บอเรย์เข้าบอลคาร์อีกครั้ง เพราะจากนี้ไปต้องนั่งคอนโดล่าต่อ
อีกอย่างที่นี้ห้ามใช้พาหนะชนิดอื่นก็จะต้องโดยสารคอนโดล่าลำเล็กเท่านั้น
เมื่อเด็กทั้งหมดมากันครบคณะคอนโดล่าเล็กหลายสิบลำจึงเคลื่อนตัวจากชานเมืองเข้าสู่
ตัวเมืองเพื่อเข้าไปยังสถานที่พักซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านใต้ของเมืองเอเบียร่า
ถ้าจะให้บรรยายถึงลักษณะของเอเบียร่าอย่างง่ายๆ ตามความคิดของเฟมีลก็คือ
มันเป็นเกาะขนาดใหญ่กลางผืนน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้
บนเกาะมีภูเขาอยู่กลางเกาะล้อมรอบด้วยบ้านเรือนที่ดูจากอายุท่าทางจะเก่ากว่าริเวียร่ามาก
ตามบ้านเรือนจะมีรอยสักลากเป็นลวดลายคล้ายๆ กันเหมือนจะเป็นลายมนตราอะไรซักอย่างมี
ทั้งลายใหม่และลายเก่าแก่ เฟมีลนั่งมองมันอย่างอัศจรรย์ใจว่าที่นี่ทั้งๆ ที่มีคนมากแท้ๆ
เมืองกลับดูสงบเยือกเย็นอย่างน่าประหลาด
เอเบียร่า...เป็นแหล่งอารยธรรมเดิมของภูตวารี*
(ภูตวารีเป็นภูตน้ำเผ่าที่ปกครองอาณาเขตแถบนี้มาช้านานตั้งแต่ก่อนจะมีการก่อตั้งอาณาจักร)
เจ้าของแผ่นน้ำทั้งหมดของวารีเน่ ที่นี่คือดินแดนที่พิสูจน์ความเท่าเทียมของ
แต่ละเผ่าพันธุ์ได้ดีที่หนึ่งในเซวีน่า
เพราะเราจะไม่รู้เลยว่าคนที่นั่งคอนโดล่าสวนกันเมื่อกี้เป็นภูตหรือเป็นคน
การดำเนินชีวิตที่กลมกลืนจนเป็นพวกเดียวกัน
เซบอกเฟมีลว่าที่นี่มีลูกครึ่งมนุษย์กับภูตมากมายจนเป็นเรื่องปกติซึ่งในสมัยก่อน
ลูกครึ่งอย่างนี้จะไม่ได้รับการยอมรับ แต่สมัยนี้ไม่มีอีกแล้ว ที่นี่คือนครแห่งความเสรี
ผสมผสานอารยธรรมของมนุษย์และภูตเอาไว้อย่างสมดุล
เมื่อคอนโดล่าล่องผ่านลำน้ำสายกลางเข้าสู่เขตภูเขา เฟมีลเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง
ที่มันผิดธรรมชาติ เธอรู้สึกว่าคอนโดล่ามันกำลังเคลื่อนขึ้นที่สูงทั้งๆ ที่มันไม่น่าจะขึ้นได้
แต่ไม่นานเฟมีลก็ได้รับคำตอบ ลำน้ำที่ชันขึ้นทำให้กระแสน้ำที่ไหลทวนลงไปเบื้องล่างเเรง
ขึ้นแต่คอนโดนล่าก็ยังเคลื่อนไต่ขึ้นไปเหมือนมีอะไรมาดึงมันขึ้นไป
เฟมีลหันกลับไปมองคัลล่าแสนสวยที่ยืนอยู่ท้ายคอนโดล่าอย่างทึ่งๆ ที่เขาสามารถบังคับคอนโดล่า
ได้อย่างกับเป็นเรื่องธรรมดา
การเดินทางอันยาวนานกินเวลาหลายชั่วโมงจบลงเมื่อคอนโดล่าของกลุ่มเฟมีลมาถึง
ปราสาทที่มีลักษณะคล้ายปราการอาโบล่ามากแต่มีขนาดเล็กกว่า
สายน้ำที่ไหลลงมากระทบบึงน้ำเบื้องล่างแรงมากจนเกิดละอองน้ำสะท้อนกับแสงแดดจนเกิดเป็นรุ้ง
ภาพของปราสาทสีขาวที่มีสวนน้ำไหลลงมายังบึงเบื้องล่างประดับด้วยม่านรุ้งนั้นทำให้สวยจน
เฟมีลตะลึง...ที่นี่สวยจริงๆ
"เฟมีล~~~" เสียงเรียกของมอรีลดังมาแต่ไกลเฟมีลรีบหันจากภาพม่านรุ้ง
ตรงหน้าแล้ววิ่งไปหามอรีลทันที
"มอรีล มาถึงตั้งแต่เมื่อไร"
เฟมีลถามขึ้นเมื่อทั้งสองวิ่งจนมาเจอกันครึ่งทางจากนั้นก็รอให้พวกเซที่เดินมาเรื่อยๆ
ตามมาทันก่อนจึงออกเดินไปตามทางเดินไม้ที่ต่อทอดยาวเข้าสู่ประตูของปราสาท
ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างสายน้ำที่ร่วงมาจากสวนน้ำเบื้องบน ประตูหินโบราณที่สลัดรูปภูตวารี
กำลังร่ายรำเมื่อมีสายน้ำจากเบื้องบนไหลอยู่ข้างๆ มันเหมือนภูตหินนั้นมีชีวิตขึ้นมาเลย
"เมื่อวาน ของฉันเดินทางนานหน่อยต้องมาต่อคอนโดล่าที่ริเวียร่าแล้วค่อยมาที่นี่
โชคดีบังอิญทันคอนโดล่ารอบสุดท้ายของเมื่อวานเลยถึงเร็วกว่ากำนหนดวันนึง"
มอรีลเดินไปพูดไปจนชนคนที่หยุดยืนอยู่ข้างหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
"อุ๊ย ขอโทษจ้ะ" เสียงขอโทษดังขึ้นก่อนที่มอรีลจะผละตัวออกมามองหน้าเจ้าทุกข์
"คุยจนลืมอย่างอื่นเลยนะ" เสียงพูดเหมือนจะล้อก็ไม่ใช่จะว่าก็ไม่เชิงทำให้เฟมีลมอง
หน้าคนพูดให้ชัดก่อนจะเอ่ยปากกับมอรีลเบาๆ ว่า
"เดี๋ยวฉันเอาของไปเก็บก่อนนะ..." จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองคนที่จับไหล่ของมอรีลตั้งแต่
เพื่อนของเธอชนไม่ปล่อยคนนั้น ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้างอย่างรู้ทันก่อนจะพูดว่า
"หวัดดีเซอร์รัส ตัวดาร์กี้ของนายน่ารักมากหวังว่าคงได้มีโอกาสเล่นกับมัน"
พูดเสร็จก็เดินหลบฉากออกมาปล่อยให้มอรีลยืนทำท่าไม่ถูกกับคนตรงหน้า
ส่วนเฟมีลได้แต่แอบหัวเราะเบาๆ เมื่อหันกลับไปมองใบหน้าที่กำลังต่อว่าอะไรบางคนตัวสูง
เจ้าของเรือนผมสีเงินนั่น ...เขินล่ะสิท่า ตายล่ะเรานึกจะเป็นแม่สื่อกับเขาอีกล่ะ
เฮ้อ!!! เฟมีลคิดพลางมองหาพวกเซซึ่งเดิมเดินตามตอนนี้กลายเป็นเดินนำลิ่วไปแล้ว
เมื่อเจอเป้าหมายหญิงสาวมุ่งตรงไปทางนั้นทันทีโดยไม่ได้รู้เลยว่ามีดวงตาคู่หนึ่ง
คอยมองดูอยู่อย่างห่วงๆ
"เฮ้ ลีโอไปเถอะเราได้อยู่ห้องเดียวกับพวกอาเรสล่ะ คืนนี้สนุกแน่"
ไมล์เดินเข้ามาตบไหล่คนที่มองร่างของใครคนหนึ่งจนลับตา ก่อนจะหันมารับคำของเพื่อน
แล้วเดินแยกไปทางที่พักฝ่ายชาย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

? คำว่าสนุกแน่ ? มันแปลว่าไรอ่ะ พวกเค้าคิดอะไรกันเหรอ ใครรู้บ้าง