คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Silently X::เริ่มต้นใหม่ [100%]
Silently X
เริ่มต้นใหม่...
Author: Wi Lyn
แบคฮยอนยังคงก้มหน้าก้มตาเช็ดแผลให้ผมต่อไปเรื่อยๆโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยซ้ำ แรงกดย้ำที่แผลทำให้ผมต้องเบ้หน้า ก่อนจะเห็นรอยยิ้มมุมปากของแบคฮยอน ถึงได้รู้ว่าโดนคนตัวเล็กแกล้ง
หลังจากที่ผมโดนแก้วบาด แบคฮยอนก็ประคองผมที่เดินกะเผลกมานั่งบนเตียงสีขาวสะอาด ยกขาข้างที่เป็นแผลขึ้นไปวางบนตักเล็ก เปิดกล่องยาเพื่อหาสำลีชุบแอลกอฮอล์
เพราะผมมักได้แผลจากการซ้อมฟุตบอลอยู่เสมอ ทำให้เคยชินกับการทำแผล ไม่รู้สึกเจ็บแสบอะไรมากหากคนตัวเล็กไม่แกล้งกดสำลีแรงๆกับแผลลึก
พอทำแผลเสร็จแบคฮยอนก็หายาแก้ปวดมาให้ผมกิน ก่อนจะมึนงงแล้วหลับไป รู้สึกว่าแบคฮยอนใช้แรงอย่างมากในการจัดให้ผมนอนบนเตียงดีๆลมเย็นๆพัดเข้ามาผ่านระเบียงที่แบคฮยอนเปิดเอาไว้
ผมตื่นอีกทีตอนเที่ยงกว่าเพราะท้องร้อง ไม่ได้กินอะไรอีกเลยตั้งแต่เย็นเมื่อวาน ตื่นมาก็เห็นแบคฮยอนในผ้ากันเปื้อนน่ารัก ทำให้นึกถึงวันที่ตื่นมาเห็นลู่ฮานกำลังเข้าครัว
แต่สิ่งที่ต่างคือความรู้สึก ผมมองลู่ฮานด้วยหัวใจที่เจ็บปวด ส่วนแบคฮยอนผมมองด้วยความอุ่นใจ ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หลายสิ่งหลายอย่างเตือนสติผมให้รู้ตัวว่าบางที ผมอาจจะหลงรักแบคฮยอนมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ หากก็แต่ยังไม่อยากจะเพิ่มปัญหาให้ตัวเอง เลยเลือกที่จะยืนข้างกันแบบคนรู้จักทั่วไป
โดยที่ใจรู้ดีว่ามันไม่ได้ทั่วไปเหมือนเพื่อนๆ เป็นอะไรที่มากกว่านั้น มากจนคับแน่นในอก นานวันจึงรู้สึกตัวว่า บางส่วนของหัวใจยกให้คนๆนี้ไปแล้ว
ผมไม่อยากดูเป็นคนรุ่มร่ามในสายตาแบคฮยอน จึงทำแค่เดินกะเผลกๆไปหยุดยืนมองแบคฮยอนที่กำลังคนอาหารในหม้ออยู่ห่างๆ
“หอมจัง ต้มอะไรอยู่อ่ะ?” เพราะกลิ่นที่หอมมากทำให้ผมถามออกไป ท้องก็ส่งเสียงร้อง ส่งผลให้ร่างบางหันมาหัวเราะ
แบคฮยอนดึงผมเข้าไปใกล้เตาแล้วใช้ทัพพีในมือคนไปพลาง ผมถึงได้รู้ว่ามันคือแกงกิมจิ อาหารง่ายๆแต่อร่อยเหาะ
แบคฮยอนปิดแก๊สแล้วใช้ถุงมือกันความร้อนใส่มือแล้วยกหม้อร้อนๆลงจากเตา ผมเดินตามอย่างว่าง่ายเพราะท้องกำลังหิว แบคฮยอนวางหม้อลงบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กใกล้ระเบียงห้อง ถอดถุงมือออกแล้วช่วยประคองผมให้นั่งลงกับพื้น
อาหารง่ายๆสองอย่าง แกงกิมจิกับไข่ทอด ไม่จำเป็นต้องทานอาหารหรู แต่สำคัญที่ว่าทานกับใคร...
ผมกับแบคฮยอนนั่งกินข้าวกันเงียบๆคงมีแค่ผมที่ลอบมองเขาบ่อยๆพอเขารู้ตัวก็ทำตาดุใส่ผม แล้วใช้ตะเกียบชี้หน้าสั่งให้กินข้าว
หลังจากทานเสร็จผมก็ช่วยเขาเก็บโต๊ะแล้วออกมานั่งเล่นรับลมที่ระเบียง ยอมรับว่าสภาพแวดล้อมของที่นี่ไม่น่าอยู่ซักนิด เมื่อคืนเหมือนได้ยินเสียงคนทะเลาะกันด้วย แต่คงเพราะว่าผมอยู่ในห้องของแบคฮยอน กลับรู้สึกว่ามันน่าอยู่ยิ่งกว่าคอนโดราคาแพงใจกลางเมืองซะอีก
กระถางต้นไม้หลากหลายสีของแบคฮยอนกำลังชูก้านรับแสงแดดยามบ่าย ผมนั่งมองดอกเดซี่สีขาวสวยแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เลี้ยงต้นไม้ได้เข้ากับเจ้าของสุดๆ
ความหมายของดอกเดซี่สีขาวคือ ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง...
แบคฮยอนเดินมาข้างๆก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือของผมมาให้ เพราะก่อนนอนผมวางมันเอาไว้ที่โต๊ะหนังสือของแบคฮยอน
สายเข้าจากชานมี...
ผมกดรับสายพี่สาวตัวเอง แล้วก็ได้ยินเสียงแปดหลอดดังมาตามสายจนผมต้องยกโทรศัพท์ห่างหู มลพิษทางเสียงชัดๆเลย ยัยนี่!
“เมื่อคืนทำไมไม่กลับบ้าน หนีไปไหนยะ แม่ห่วงแกจะแย่ โทรไปก็ไม่รับสาย กลับมาบ้านฉันจะฟาดแกด้วยไม้นวดแป้ง คอยดูสิ!” ชานมีขึ้นเสียงใส่โทรศัพท์ รู้ว่าห่วงนะ แต่จะใช้ไม้นวดแป้งฟาดผมจริงหรอ? ตายได้เลยนะ...
“รู้แล้วๆๆๆเมื่อคืนมาส่งแบคฮยอน แล้วฝนมันตกนี่นา เมื่อคืนเลยค้างบ้านแบคฮยอน แล้วก็เลิกคิดเอาไม้นวดแป้งตีผมไปได้เลยนะ” ผมกรอกเสียงใส่ชานมีแบบหน่ายๆ
“อ้าวหรอ ฮิฮิ อยู่กับแบคฮยอนก็ไม่บอกตั้งแต่แรก แกคงไม่ทำอะไรมิดีมิร้ายเขาหรอกใช่มั้ย?” พี่บ้า ใครจะไปทำอย่างนั้น
“พี่อย่ามาเพ้อเจ้อ เดี๋ยวอีกซักพักก็จะกลับบ้านแล้ว” ผมบอกชานมีเพื่อชิงตัดสาย
“ถ้าแกวางก่อนแกตาย จะบอกว่าให้ชวนแบคฮยอนมาบ้านด้วย ให้เขามากินข้าวเย็นบ้านเรา พี่จะสอนเขาทำเค้ก” ชานมีพูดจบก็เป็นฝ่ายวางสาย
ยัยนี่ไม่ชอบให้ใครวางสายใส่ แต่ดันชอบวางสายใส่คนอื่น...บ้าจริงๆ
ผมหันไปบอกแบคฮยอนว่าเย็นนี้ให้ไปกินข้าวเย็นที่บ้าน คนตัวเล็กเองก็ตกลง เพราะไม่ใช่คนอื่นคนไกล กับชานมีก็คุ้นเคยกันดี
ห้องของแบคฮยอนไม่มีอะไรให้ทำ ไม่มีทั้งทีวี เพราะคนตัวเล็กบอกเปลืองไฟ ไม่มีคอมพิวเตอร์เพราะแบคฮยอนบอกว่ามันไม่จำเป็น ผมเลยได้แต่นอนกลิ้งไปมาเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือ
แบคฮยอนเข้าห้องน้ำไปนานมาก ผมอยากรู้ว่าโทรศัพท์เขามีอะไรบ้าง เลยถือโอกาสแอบดูมันซะเลย
โทรศัพท์ฝาพับรุ่นเก่าแต่ยังดูดี เพราะแบคฮยอนใช้ของอย่างถนอม ผิดกับผมที่ใช้รุ่นใหม่ล่าสุดแต่สภาพเหมือนผ่านสนามรบมา
ไม่มีสายโทรออก สายโทรเข้าก็มีเพียงสายสองสาย ไม่มีอะไรพิเศษ ผมจึงกดเข้าเมนูข้อความที่คิดว่าน่าจะถูกใช้เยอะที่สุด
แล้วคิ้วก็ขมวดเป็นปม ข้อความครึ่งหนึ่งส่งมาจากเทา ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกัน แต่...อีกครึ่งหนึ่งนี่มันยังไง?
ไอ้คริส...
ข้อความมากมายถูกส่งมาจากเพื่อนหล่อลากของผม ซึ่งแบคฮยอนเองก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง แต่ละข้อความก็ชวนอ้วกเหลือเกิน มันน่าจะเช็คสมองหน่อยนะ
คิดถึงเธอตั้งแต่เมื่อคืน
มะรืนก็จะยังคิดถึงอยู่
เลิกคิดถึงได้เมื่อไรไม่รู้
ถ้าได้เธอมาอยู่ใกล้ๆ
คงสุขใจขึ้นเยอะ ^^
ดูเอาครับ พอจะรู้นะว่ามันเสี่ยว จีบใครก็ติด ส่วนหนึ่งมาจากหน้าหล่อๆของมันนั่นแหละ ส่วนเรื่องเสี่ยว คนที่คบกับมันเขาคงทำเป็นไม่สนใจ =_=
ดีใจที่ส่วนใหญ่แบคฮยอนไม่ค่อยได้ตอบ จะมีซักกี่คนที่ไม่เล่นด้วยกับไอ้คริส คงมีแบคฮยอนคนแรกนี่แหละ ฮ่าๆๆๆๆ
แบคฮยอนออกมาจากห้องน้ำ ทำให้ผมต้องปิดโทรศัพท์ของเขาแล้ววางมันลงที่เดิม หันไปมองนาฬิกาก็พบว่า 4 โมงแล้ว ทำไมเวลามันเดินเร็วงี้วะ?
แบคฮยอนเดินไปเก็บเสื้อผ้าของผมที่เปียกฝนจากเมื่อวานมาส่งให้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน อยากจะยื้อเวลาอยู่ที่นี่อีกซักนิด เลยขออาบน้ำอีกรอบ
แบคฮยอนไม่ขัดข้องจึงบอกให้ผมไปอาบน้ำอีกรอบ ออกมาก็เจอร่างบางนั่งรดน้ำต้นไม้ที่ระเบียง ผมเดินมาใกล้แล้วยื่นผ้าขนหนูให้เขาเช็ดผมให้
แบคฮยอนเดินไปหยิบกระดานกับปากกาเมจิกแล้วเริ่มเขียน ‘มือก็มี ทำเองสิ’
สนิทกันแล้วใช่มั้ยเนี่ย? ถึงได้กล้าตอกผมกลับแบบนี้
ผมไม่สนคำปฏิเสธยืนปักหลักเป็นยักษ์เฝ้าประตู จนร่างบางยอมแพ้มาคว้าผ้าไปไว้ในมือ บอกให้ผมนั่งลงจะได้เช็ดถนัดๆ
แบคฮยอนเช็ดผมให้อย่างเบามือ เหมือนกลัวว่าผมจะเจ็บ ซึ่งนั่นมันก็ดี เช็ดเบาๆแห้งช้าๆ ยืดเวลาที่จะอยู่ด้วยกันสองต่อสองออกไปได้อีก
“แบคฮยอน อยากไปเที่ยวประเทศไหนมากที่สุด? แบบว่า...ชีวิตนี้ต้องไปให้ได้น่ะ” เพราะรู้สึกว่าห้องมันเงียบเกินไป ผมเลยยกหัวข้อขึ้นมาคุย
แบคฮยอนผละจากหัวผมแล้วเดินไปบนเตียง หยิบภาพที่แขวนเอาไว้มาใบหนึ่ง แล้วส่งมันให้ผม
ภาพทะเลกว้างใหญ่ของทะเลอันดามัน ประเทศไทย
‘ Islands of the Andaman Sea, Thailand’ คำบรรยายใต้ภาพที่บอกถึงสถานที่ๆคนตัวเล็กใฝ่ฝันจะไปเหยียบซักครั้ง
“ชอบทะเลหรอ?” ผมถามแล้วหันไปมองหน้าแบคฮยอน คนตัวเล็กผงกหัวยึกๆอย่างน่ารัก
ถึงจะเหมือนพูดอยู่คนเดียว แต่เวลาอยู่ด้วยกันผมกลับไม่เคยรู้สึกเหงาเลย...
เมื่อไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไรอีกผมก็เลยปล่อยให้แบคฮยอนเช็ดผมต่อไป จนมันใกล้จะแห้งผมเลยบอกให้พอ แบคฮยอนเก็บของสำคัญใส่กระเป๋าเป้ คว้ากุญแจห้องแล้วล็อคเสร็จสรรพ เพื่อไปบ้านผมตามคำชวนของชานมี
ผมตั้งใจเอาไว้ว่าต้องหาเวลามาเยี่ยมร่างบางบ่อยๆเสียแล้ว
*ตัวหนังสือตรงจะเป็นปัจจุบันแล้วนะคะ เหตุการณ์จะต่อจากที่ลู่เข้าโรงพยาบาล
เรื่องที่ลู่ฮานเข้าโรงพยาบาลรู้ถึงหูของคนที่รอจัดงานเลี้ยงให้แบคฮยอนอยู่ที่บ้าน ทุกคนต่างก็ตกใจ แต่เมื่อรู้ว่าลู่ฮานสบายดี ทุกคนก็หายห่วง
แต่เรื่องที่ทุกคนยังคาใจคือเรื่องของ ชานยอล ลู่ฮานและเซฮุน คงไม่แปลกถ้าคนเป็นแฟนกันจะมีเรื่องต้องเคลียร์ แต่ไอ้คนหลังไปเกี่ยวอะไรด้วย
คนที่รู้เรื่องทุกอย่างดีอย่างชานมีได้แต่นั่งเงียบ ภาวนาให้น้องชายตัวเองเข้มแข็งพอที่จะตัดขาดกับคนนิสัยไม่ดี
เพื่อนของชานยอลต่างก็งง ยิ่งจงแดนี่ สงสัยจนแทบจะตามไปดูเหตุการณ์อยู่แล้วถ้าพี่ชานมีไม่รั้งเอาไว้
แบคฮยอนเดินลงมาจากชั้นสอง ทำให้ทุกคนหันไปมองกันเป็นตาเดียว ความรู้สึกเดียวกันที่ทุกคนรับรู้ได้คือ มันต้องเกี่ยวกับร่างบางที่พึ่งตื่นนอนแน่ๆ
เทาดึงผมให้นั่งลงที่โซฟาข้างๆม๊า ทุกคนดูแปลกๆแต่ก็พยายามคุยเล่น หัวเราะสนุกสนาน ผ่านไปซักพักชานยอลก็เปิดประตูบ้านเข้ามา ผมหน้าขึ้นสีทันทีที่นึกถึงความฝันเมื่อกี้ ที่ฝันว่าตัวเองถูกชานยอลจูบ
ไม่รู้ว่าคิดอกุศลกับคนมีเจ้าของแล้วตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่ว่าตอนนี้หัวใจเต้นรัวจนกลัวว่าใครจะได้ยิน มือไม้อยู่ไม่สุข รู้สึกว่ามันเกะกะขึ้นมาเฉยๆ เลยลุกออกจากที่นั่งไปช่วยพี่ชานมีเตรียมอาหาร
แต่ก็ถูกชานยอลดักหน้าเอาไว้ ผมหลบซ้ายเขาก็ซ้าย ผมหลบขวาเขาก็ขวา เหมือนเล่นเกมทดสอบอะไรซักอย่างที่ทำเอาผมสับสนจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง
“คุยกันหน่อยได้มั้ย?” ชานยอลพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาจับมือผมสองข้างขึ้นมากุมไว้
“ไอ้ยอล มึงจับมือแบคฮยอนทำไมวะ? ปล่อยเลยมึงๆ” คริสเข้ามาคว้ามือผมออกจากชานยอล แล้วดันตัวผมไปหลบข้างหลัง
“มึงจะให้กูคุยกับแบคฮยอนดีๆหรือมึงจะให้กูต่อยมึงก่อน” ชานยอลพูดเสียงเย็นๆแต่เหมือนคนร้อนใจใส่คริส
พี่ชานมีเห็นท่าไม่ดี เลยเข้ามาจับผมแยกจากคริส แล้วส่งผมให้ชานยอลแทน คริสทำท่าจะแย้งอีกครั้ง ก่อนจะโดนพี่ชานมีปรามทางสายตา
“เออ ผมยอมแล้ว รู้หรอกน่าว่ามันคิดยังไง โด่ววววว” คริสพูดอะไรที่ผมไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมยืนนิ่งๆไม่เข้ามาวุ่นวาย
ชานยอลลากผมขึ้นมาบนชั้นสอง พาเดินเข้ามาในห้องนอนของผมกับเทา ปิดประตูใส่กลอน เหมือนกลัวใครจะเข้ามารบกวน
ผมมองการกระทำอย่างงงๆ แต่พอเห็นชานยอลล็อคห้องแล้วย่างสามขุมเข้ามา ผมก็ค่อยๆถอยหลังหนีอัตโนมัติ คงไม่ทำอะไรกันหรอกใช่มั้ย?
ชานยอลหัวเราะเสียงดังลั่น พร้อมกับลากเก้ามาสองตัวให้ผมกับเขานั่งลง
“ที่ถอยหนีนี่ คิดว่าฉันจะทำอะไร กำลังคิดอะไรพิเรนท์อยู่ใช่มั้ย?” ชานยอลใช้นิ้วจิ้มแก้มผมเล่นแล้วก็ยิ่งหัวเราะหนักขึ้นเมื่อผมยู่หน้า
ชานยอลหยุดหัวเราะก่อนจะเข้าโหมดจริงจัง สีหน้าขี้เล่นก่อนหน้านี้ไม่มีหลงเหลือ ผมใจเต้นแรงเมื่อมองไปรอบห้องที่มีแค่ผมกับเขา แม้จะเคยใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แต่จากท่าทางที่แสดงออกว่าเฉยๆนั้น กลับต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
พยายามหักห้ามใจ...
ไม่ให้หลงรักคนที่เขามีเจ้าของ...
ไม่รู้ว่าความรู้สึกสับสนแบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? เป็นความรู้สึกดีที่คนเป็นเพื่อนมีต่อกัน หรือรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเพราะที่ผ่านมาตนมีชานยอลคอยช่วยเหลือเสมอ หรือเพราะเห็นใจที่โดนเพื่อนกับคนรักหักหลัง ไม่แน่ใจจริงๆ
พอวันเวลาเดินผ่านไป รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโลภมากก้าวขึ้นบันไดทีละสองสามขั้น แทนที่จะเป็นทีละขั้น อยากเรียกร้องเวลาจากคนตัวสูงคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
อยากให้เขาสนใจเพียงแค่เรา แต่สุดท้ายสิ่งที่เขาสนใจคงมีแค่คนๆนั้นที่เขารักหมดใจ
เชื่อว่าตัวเองเป็นคนดีมาตลอด จนวันหนึ่งที่ได้รู้ว่าร่างสูงที่มีพระคุณกับตนกำลังถูกหักหลัง กลับรู้สึกอยากจะเปิดโปงเรื่องทุกอย่างให้มันรู้แล้วรู้รอด ให้เขาตัดขาดกับคนๆนั้น เพื่อที่จะไม่มีพันธะสัมพันธ์ใดๆกับใคร
เหมือนคนเห็นแก่ตัวที่พอได้มากเข้า ก็อยากได้เพิ่ม...
โดยลืมนึกถึงความรู้สึกของชานยอล ลืมนึกว่าเขาจะเจ็บปวดแค่ไหนหากรับรู้เรื่องพรรค์นั้น
เลยต้องกลับมาสงบจิตสงบใจให้แบคฮยอนคนเดิมกลับมา ก่อกำแพงอิฐที่สูงขึ้นกว่าเก่า ก่อจนแน่ใจว่าตนจะปลอดภัยจากความชั่วร้ายที่เกิดขึ้น
สูงจนแน่ใจว่าตัวเองจะกระโดดข้ามไปอีกฝั่งไม่ได้ สูงจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายก็ไม่สามารถกระโดดมาได้เช่นกัน
คงสถานะทุกอย่างให้เป็นเหมือนเดิมอย่างวันแรกที่เจอกัน เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องจากลา ตนจะไม่ถูกความผูกพันเล่นงาน แต่กลับไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนหยิบก้อนอิฐออกเองทีละก้อน ทีละก้อน จนตอนนี้จากกำแพงมั่นคงที่เคยสูง ลดลงจนแค่เพียงยกขาก็ผ่านไปได้
“แบคฮยอน” เสียงทุ้มที่เรียกชื่อทำให้ต้องหันกลับมามองหน้า
“คุยกันก็ต้องมองหน้าสิ มองไปรอบห้องแบบนั้น นายไม่อยากคุยกับฉันหรอ?” ชานยอลถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
ผมรีบส่ายหน้าจนตัวเองมึนหัว ชานยอลยกมือขึ้นมาดีดหน้าผากผมเบาๆอย่างที่ชอบทำ แล้วปฏิกิริยาตอบกลับของผมทุกครั้งคือ ยกมือขึ้นมากุมทั้งที่ไม่เจ็บ
ชานยอลยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน จนใจเผลอเต้นแรงไม่รู้ครั้งที่เท่าไรเพราะไม่เคยนับ ผมหลบสายตาสื่อความที่ส่งมาของชานยอล มือสองข้างที่วางเอาไว้หน้าตักบีบกันจนแน่น
ชานยอลเลยจับมันแยกออกจากกัน แล้วถือวิสาสะดึงเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่ให้เข้าไปชิดตัวที่ชานยอลนั่งอยู่
ตอนนี้ผมกับเขาเลยอยู่ในท่านั่งบนเก้าอี้ ชานยอลกางขาออกกว้าง แล้วผมก็นั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมแต่อยู่หว่างขาชานยอล ใบหน้าห่างกันแค่ไม่เท่าไร
ใจเจ้ากรรมก็เต้นรัวอีกรอบ
ตึก ตัก ตึก ตัก ตึก ตัก
จนต้องสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนคำพูดบางคำของร่างสูงตรงหน้าที่ทำเอาหายใจติดขัดแล้วใจก็เต้นแรงอีกครั้ง จากที่จะห้ามใจ กลับกลายเป็นปล่อยใจไปกับคำหวานที่ได้ฟัง
“ชานยอลรักแบคฮยอนนะ ”
----------100%-----------
[คุยกับไรท์เตอร์]
ตอนนี้ก็เป็นอีกตอนที่เบาๆอ่ะนะคะ
แต่ประเด็นมันอยู่ตรงที่ชยอลบอกรักแบคแล้ว #ชนแก้ว
สาเหตุที่ไม่ได้หวานมาก ก็เพราะ ชยอลเองก็ยังคงไม่แน่ใจตัวเองนั่นแหละค่ะ
ส่วนแบคเพราะชยอลมีเจ้าของก็พยายามหักห้ามใจ
พยายามสื่อให้เนื้อเรื่องไม่หวานมากจนผิดจากจุดประสงค์ซึ่งก็คือ ดราม่า นั่นเองค่ะ ^^
รีดเดอร์บอกว่าขอหวานกว่านี้ โอ่ย!
จะหวานยังไงให้รีดเดอร์ฟินดีเนี่ย...
ตอนหน้าตัวละครใหม่จะปรากฏตัวแล้วค่ะ เดารอล่วงหน้าได้เลย
ใครขอคริสแบคมาต้องขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง
เรื่องนี้พี่คริสมาเพื่อหล่อเฉยๆเท่านั้นค่ะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ให้กำลังใจนะคะ
เจอกันเมื่อสมองไรท์ไม่ตัน ปย๊ง!!!
สำหรับใครที่เล่นทวิต รบกวนติดแท็ก #ฟิคเงียบ ให้ไรท์ทีนะคะ จะได้เช็คง่ายหน่อย
ความคิดเห็น