ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FIC] All About - "JOKE" #Chansooตลกร้าย

    ลำดับตอนที่ #23 : [OS] - Forever love #Chansoo #Sekai

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 616
      4
      8 ก.พ. 59

    ©
    t
    h
    e
    m
    y
    b
    u
    t
    t
    e
    r

     

     

    เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักนะคะแค่ OS แก้เครียดของไรเตอร์

     

     

     

     

     

    มีคำกล่าวว่า “แม่งร่างกายดับสลาย แต่วิญญาณและความรู้สึกยังคงติดอยู่ ณ ที่เดิม กับความทรงจำเดิม”

    ผมไม่เคยเชื่อจนกระทั่งย้ายเข้ามาในบ้านบ้านหลังนี้

     

     

    ผมชื่อพัคชานยอลเป็นนักศึกษาปีสอง ผมจำเป็นต้องย้ายมาอยู่ในบ้านหลังนี้เพราะช่วยปิดเทอมผมไม่มีที่อยู่ เพราะหอพักในมหาลัยปิด เมื่อปีที่แล้วผมไปค้างบ้านญาติ แต่พวกเขาก็ย้ายออกไปไม่บอกไม่กล่าว แต่ผมไม่สนใจอยู่แล้ว เพราะตอนที่ผมไปอาศัยบ้านเขา พวกเขาทำเหมือนผมไม่มีตัวตน ไม่เคยแม้แต่จะเรียกกินข้าวด้วยซ้ำ

     

    ผมจึงย้ายมาอยู่ที่นี่จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องที่อยู่อีก...

     

    บ้านหลังนี้เป็นบ้านสไตล์ตกแต่งสไตล์ยุโรป ไม่ได้มีบริเวณมากนัก เป็นเพียงบ้านสองชั้นสีขาวที่ทำจากไม้ทั้งหลัง ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเจ้าของมันคือใคร ผมไม่เคยเจอเขา แต่ผมก็โอนเงินค่าเช่ากับค่ามัดจำไปตามที่เขายื่นข้อเสนอมา

     

    ในคืนหนึ่งหลังจากอยู่มาได้หลายเดือน ผมก็เจอดีเข้าให้ ผมลงมาหาอะไรกินเพราะรู้สึกท้องว่างหลังจากที่นั่งอ่านหนังสือเรียนแบบนันสต๊อปตั้งแต่2ทุ่ม จนตอนนี้ปาเข้าไป ตีสองกว่าแล้ว ผมย่างเท้าลงมาและพบว่าห้องครัวมีเสียงแปลกๆ ผมเม้มปากและข่มใจไม่ให้แต๋วแตกกรี๊ดออกมาขณะที่เดินเข้าไปในครัว

    เด็กผู้ชายตัวเล็กกว่าผมยืนปิ้งขนมปังอยู่ เขาหันมามองผมด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน เขาดูไม่ได้น่ากลัวเหมือนผีในจินตนาการผม จนผมคิดว่าเขาเป็นคนธรรมดา จนกระทั่งเขาเดินผ่านทะลุผมไป

     

    “นายก็หิวหรอ? กินด้วยกันไหม?”

    เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ยิ้มที่ทำเอาผมใจเต้นแรง รอยยิ้มที่แสนหวานจากริมฝีปากรูปหัวใจสวย ผมคิดว่าตัวเองบ้าไปแล้วที่รู้สึกแบบนั้นกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงเช่นเขา

    “เป็นผีกินได้ด้วยหรอ?” ผมถามไปตรงๆ เขาน่ารักเกินกว่าที่ผมจะรู้สึกกลัว

     

    เขาเหลือบมองผมด้วยดวงตากลมโต ขาดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรที่ผมเรียกเขาแบบนั้น

    “อื้ม” เขาบอกแล้วเลื่อนจานมาให้ผมตรงหน้า แต่ผมกลับรู้สึกหายหิวไปแล้วและทำได้แค่นั่งเท้าคางมองเขากิน

    “ชื่ออะไรหรอ?” ผมถามเขาขณะที่มองเขาเคี้ยงขนมปังปิ้งตุ้ยๆไม่สนใจ

    “คยองซู” เขาตอบสั้นๆแล้วหันไปสนใจขนมปังตรงหน้าต่อ

     

    เขาดูมีเลือดเนื้อจนผมคิดว่า มนุษย์เราคงเข้าใจโลกของวิญญาณผิดเพี้ยนไปมากเลยทีเดียว

     

    “อยู่ที่นี่มานานรึยัง?” ผมถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเขาจัดการกับขนมปังในมือหมดแล้ว คยองซูเหลือบมองผมเขาทำท่าลำบากใจนิดหน่อยตอนที่ผมมองหน้าเขาตรงๆ

    “ก็ไม่นาน เพิ่งอยู่ได้ไม่นาน นายชื่อชานยอลสินะ”

     

    เขาตอบและเอ่ยถามผม ผมไม่แปลกใจนักที่เขารู้ชื่อผม วิญญาณก็คงรู้ทุกอย่างนั่นแหละ

     

    “ใช่ แล้วนี่นายจะไปไหนหรอ?” ผมถามเมื่อเห็นเขาลุกขึ้นเก็บจานวางไว้ในซิงค์ล้างจานและทำท่าจะเดินไปชั้นสอง

    “นอนไง จะนอนต่อแล้ว”

    “ข้างบนมีห้องเดียว....”

    “เราก็อยู่ห้องเดียวกันมานานแล้วชานยอล...” เขาเอ่ยในสิ่งที่ทำให้ผมขนลุก

     

    ผมพยักหน้าแล้วเดินตามขึ้นไป ผมไม่รู้ว่าเขานอนอยู่ตรงไหนแล้วทำไมผมถึงไม่เห็น ผมรู้แค่เพียงผมเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้คืนเดียวและเอาแต่อ่านหนังสือ

     

    บางทีเวลาในโลกของเขากับผมอาจจะไม่เท่ากัน

     

    หลังจากคืนนั้นผมก็เจอคยองซูบ่อยๆในช่วงหลังเที่ยงคืน เขาจะมาเวลานี้เสมอ พอหลังเที่ยงคืนผมจะได้ยินเสียงเขาลุกขึ้นมาหาอะไรกินไม่ก็เปิดทีวีดูบอล ผมมานั่งข้างเขาและเราก็เริ่มสนทนาเรื่องต่างๆด้วยกัน คยองซูไม่เคยบอกผมว่าเขาเรียนที่ไหน เขาบอกเพียงว่าเขาอยู่ที่นี่ และผมไม่เซ้าซี้พอที่จะถามว่าเขาตายได้ยังไง

     

    จากตอนแรกที่คุยเล่นเป็นเพื่อนกัน กลับกลายเป็นความสนิทสนม เราใช้เวลาคุยกันบ่อยๆ เขาจะนอนอยู่บนเตียงในขณะที่ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือและหมุนเก้าอี้กลับไปมองเขาพูดถึงเรื่องเกมการแข่งขันฟุตบอลที่เราเพิ่งดูด้วยกัน และตามด้วยเรื่องเยอะแยะมากมาย

     

    คยองซูผมยาวเร็วมาก ผมเพิ่งสังเกตุว่าจากวันแรกที่เจอกันมันน่าจะไม่ถึงสองสัปดาห์ดี คยองซูก็บอกว่าจะไปตัดผม ตอนแรกผมหัวเราะขำเขา ที่พูดแบบนั้น....วิญญาณจะตัดผมไปทำไมนะ

     

    “นายมีเพื่อนบ้างไหมชานยอล”

    “ไม่มีหรอก ตั้งแต่สอบเอ็นได้ ฉันก็อยู่คนเดียวมาตลอด” ผมบอกไปตามความรู้สึก มันเป็นเรื่องจริง.....

     

    ผมเรียนอยู่คณะแพทย์ก่อนจะได้เข้ามาเรียนที่นี่ ผมเครียดมากจนแทบบ้า แต่ผมก็ผ่านมันมาได้เพียงลำพัง ผมอยากเรียนหมอเพราะผมแม่ของผมที่ป่วยเป็นมะเร็ง ตอนนี้พ่อและแม่อยู่ต่างประเทศเพื่อพักผ่อน ผมอยากเรียนจบให้เร็วจะได้ไปดูแลแม่

     

    “ไม่เป็นไร ฉันจะเป็นเพื่อนกับนายเอง” เขาบอกผมและยิ้มให้ สายตาเขาเศร้าเหลือเกิน ผมคิดว่าโลกของวิญญาณคงโดดเดี่ยวไม่ต่างกัน

    ผมยิ้มตอบคยองซูและเอื้อมมือไปจะแตะมือเขา......แต่มันกลับมีเพียงความว่างเปล่าเบื้องหน้า จู่ๆคยองซูก็หายไป หายไปนานมาก จนผมกังวล และเริ่มลุกขึ้นเดินไปรอบๆบ้านเพื่อตามหาเขา

     

    “คยองซู!” ผมตะโกนเรียกและมองดูนาฬิกา ตอนนี้เวลาตีสอง ผมว่าเราคุยกันมาหลายชม.มากๆ แต่มันยังคงแค่ตีสองเองหรอ? แปลกจัง

     

    ผมเดินไปหยุดที่หน้าประตู รู้สึกถึงความอบอุ่นจากด้านหลัง ก้มลงมองที่เอว แขนเล็กๆของคยองซูกอดเอวผมไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่เราถึงเนื้อถึงตัวกัน และเป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสกับเขาได้

     

    “ตัวนายอุ่นดี” เขาพูดพลางซบหน้าลงที่หลังผม ความรู้สึกเปียกชื้นทำให้ผมรู้สึกว่าคยองซูกำลังร้องไห้....

    “คยองซูร้องไห้ทำไม?”

    “ฉัน....คิดถึงนาย”

     

    ราวกับตกอยู่ในภวังค์ ราวกับคำว่าคิดถึงมันเป็นมนต์สะกดที่นำพาให้ผมหัวหมุนไป ผมหลับตาลงเพราะอาการแปลกๆที่ลำคอราวกับมีอะไรรัดอยู่ และหายใจไม่ออก.....

     

    “เราจะอยู่ด้วยกันนะ” คยองซูพูดและกอดผมไว้แน่นขึ้นเรื่อยๆ

    “คะ...คยองซู ฉัน....ฉันหายใจไม่ออก” ผมทรุดตัวลงนอนบนพื้นอย่างทรมานราวกับจะขาดใจตาย เขายังคงกอดผมไว้ มือเล็กๆลูบแก้มของผมเบาๆ

    “ไม่เป็นไรชานยอล แปบเดียวเท่านั้น เจ็บแค่แปบเดียว....”

    “กะ...เกิดอะไรขึ้น” ผมถามและมองเขาผ่านม่านน้ำตาที่ทำให้ผมมองเห็นทุกอย่างพล่าเลือนไปหมด

     

    แต่ก่อนที่ผมจะได้คำตอบ เสียงระเบิดดังลั่นก็มาจากในครัว พร้อมกับเปลวไฟที่โหมเข้ามาชั่วพริบตา ผมมองเห็นคยองซูทรุดตัวลงนอนหนุนหัวแนบหน้าอกผมไว้

     

    “หลับซะนะ...หลับซะชานยอล”

    “เกิดอะไรขึ้น.....คยองซู”

    “อย่าไปนึกถึงมันเลย อย่าไปคิดถึงมันเลยนะชานยอล”

     

    ผมหลับตาลงด้วยความรู้สึกที่เหนื่อยล้า ผมไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว ......

     

     

    .........................

     

     

    และอีกครั้งที่ผมลืมตาขึ้น ผมมองเห็นคนแปลกหน้า กำลังเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับสัมภาระมากมาย พวกเขาเลือกที่จะย้ายเข้ามาในเวลากลางคืน กระเป๋าเสื้อผ้าพะรุงพะรัง

     

    “ทำไมมันน่ากลัวแบบนี้วะ ไอ้เหี้ยถึงว่าค่าเช่าถูกสัด” เสียงเด็กผิวขาวซีดหันไปพูดกับเพื่อนตัวเล็กผิวคล้ำ

    “พูดมากไอ้ฮุน ในโซลจะหาบ้านเช่าราคาถูกขนาดนี้ได้ยังไงวะ อยู่ๆไปเหอะอย่าเรื่องมาก”

    “โหแม่ง....ถ้ากูเจอผีขึ้นมานะ กูจะบอกให้ผีไปหลอกมึงก่อนเลยจงอิน”

     

    ผมฟังบนสนทนาของพวกเขาและทำได้แค่เงียบฟัง คนที่ชื่อเซฮุนเดินสำรวจบ้านไปมาจนกระทั่งเปิดประตูหลังบ้านไปสู่สวนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาด้านหลัง ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าบ้านมีสวนแบบนี้ด้วย

     

    “”จงอิน.... คิมจงอิน!!!!!!!!!!!” เด็กที่ชื่อเซฮุนแหกปากเรียกเพื่อนด้วยอาการตกใจสุดขีด เขาเดินถอยหลังและมองไปที่อะไรบางอย่างที่พื้นดิน

     

    “อะไรของมึงวะ?” จงอินเดินมองสีหน้าเอือมระอา เขาดูไม่กลัวอะไรเหมือนเพื่อนเลย

    “มึงหลุมฝังศพอ่ะ!

    “แล้วไงวะ? มึงอย่าป๊อดได้ป่ะ มันก็แค่แผ่นหินสลักจงอินบอกพลางจิกคอเสื้อเพื่อนกลับเข้าบ้าน

    “แต่...”

    “มึงจะอยู่นี่หรือจะไปนอนข้างถนนก็เลือกเอา กูไปจัดห้องนอนและ”

     

    หลังจากที่พวกเขาไป...ผมก็เดินไปดูสิ่งที่พวกเขาบอกว่ามันคือหลุมฝังศพ แต่มันก็แค่แผ่นหินสลักไว้

    มันแปลกดีที่ผมมารู้เอาตอนที่ผมมั่นใจว่าตัวเองคงตายกลายเป็นผีไปแล้ว แต่เมื่อมองมันก็แค่แผ่นหินที่สลักไว้เป็นภาษาเกาหลีว่า “ชั่วนิรันดร์” และไม่มีอะไรมากกว่านั้น....

     

    ผมไม่รู้ว่าควรจะถามใครเพราะหลังจากวันนั้นผมก็ไม่เจอคยองซูอีกเลย

    ผมคิดว่าตัวเองคงเป็นตัวตายตัวแทน อย่างเรื่องผีสางเหนือธรรมชาติที่อ่านมา.....

    เมื่อตอนนี้ผมอยู่ที่นี่ คอยงซูก็คงไปเกิดใหม่แล้ว.....แบบนั้นรึเปล่า

     

     

    .....................

     

     

    “มึงเลิกกอดกูเถอะเซฮุน” จงอินหันมาตีแขนเพื่อนสนิท

    “พิเรนท์อะไรวะถึงมาเช่าบ้านหลังนี้อ่ะ”

    “ก็เจ้าของเขาให้เช่าถูก”

    “ย้ายออกเหอะมึง....”

     

    จงอินถอนใจและหันไปหยิบแลปท็อปมาวางไว้บนตักขณะที่เพื่อนตัวโตกอดเขาไม่ยอมปล่อย

     

    นิ้วมือเรียวเสิร์ชเลขที่บ้านลงในกูเกิ้ลเพื่อมองหาข่าวของบ้านนี้ มันก็จริงที่บ้านเช่ามันราคาถูกเกินไป....แต่มันใหม่มากราวกับสร้างขึ้นมาใหม่ในพื้นที่เดิม บ้านทรงโมเดิลที่มีบริเวณมากพอที่เขาจะได้เลี้ยงหมาอย่างที่ต้องการ ถึงจะมีแผ่นหินสลักไว้แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นหลุมฝังศพเสียหน่อย

     

    “นี่ไงเจอแล้ว” จงอินไล้นิ้วไปตามตัวหนังสือในหน้าจอเพื่ออ่านข่าวที่หาเจอด้วยการค้นหาจากเลขที่บ้าน มันเป็นข่าวเมื่อสามสิบปีที่แล้ว.....

     

    นักศึกษาชายเครียดจัดเพราะเอ็นฯไม่ติดเผาบ้านวอดทั้งหลัง

    วันที่ 11 พ.ย. 1984 เวลาตี2ครึ่ง เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากพลเมืองดี บ้านเลขที่ 11 ถนน xxx เกิดเพลิงไหม้ขึ้น สาเหตุเบื้องต้นมาจากแก๊สภายในบ้านที่เปิดทิ้งไว้อย่างตั้งใจ มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อภาพหลังว่านายพัคชานยอล คนรักของผู้เสียชีวิตให้การว่าอีกฝ่ายเครียดกับการสิบเข้ามหาวิทยาลัยจนไม่เป็นอันกันอันนอน เอาแต่อ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน จนกระทั่งผมสอบออกมาแล้วไม่ได้คณะที่หวังไว้และเกิดเหตุดังกล่าว

    จากการชันสูติภายหลังพบว่า ผู้เสียชีวิตผูกคอไว้กับคานในห้องครัวหลังจากเปิดเกิดรมไว้ แต่แก๊สเกิดปฏิกิริยาและเกิดการระเบิดขึ้นหลังจากนั้น

     

     

     

     

    “เห็นมะบ้านหลังเก่ามันไหมไปแล้วมึง นี่เขาสร้างใหม่แล้ว” จงอินพูดก่อนจะเลื่อนสกอร์เม้าลงมา เซฮุนยังนั่งเบียดเขาเหมือนเดิมราวกับเด็ก สายตาเหลือบเห็นข่าวต่อมาจากเลขที่บ้านเดิม แต่คราวนี้ไม่มีใครตาย....

     

     

    ............................

     

     

    ผมเดินขึ้นในห้องนอน หลังจากที่พวกเขาหายไปแล้ว มันแปลกดีที่ผมพบพวกเข่าเพียงแค่ช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน ผมไม่ได้แยแสอะไรมาก ทำเพียงแค่เดินขึ้นมาและอ่านหนังสือ....

     

    ที่โต๊ะหนังสือคอมพิวเตอร์เปิดค้างเอาไว้ หน้าจอมันเปิดค้างไว้ เหมือนโหลดอะไรทิ้งไว้สักอย่าง ผมถือวิสาสะยื่นหน้าไปมอง มันเป็นหน้าเพจของข่าว ปี 1986

     

    บ้านเลขที่11 ถนนxxx เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งในเวลาตีสองครึ่งจากเพื่อนบ้านเนื่องจากมีเสียงโครมครามมากจากในบ้าน เมื่อเข้าไปตรวจสอบ พบนักศึกษาชายอายุ 23ปี นอนอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน ในสภาพหมดสติ ในบริเวณใกล้เคียงพบยานอนหลับตกอยู่ คาดว่านักศึกษาคนดังกล่าวจะตั้งใจกินยาเข้าไปเพื่อหวังจะฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จเพราะมีเพื่อนบ้านโทรแจ้งเจ้าหน้าที่เสียก่อน น่าแปลกใจเมื่อเจ้าหน้าที่พยายามค้นหาต้นเหตุของเสียงดังลั่นที่ทำให้เพื่อนบ้านตกใจไม่พบ

    นักศึกษาคนดังกล่าวทราบชื่อภายหลังว่าชื่อนายโดคยองซู ปัจจุบันเรียนคณะแพทย์ม.โซล  ได้เข้ามาเช่าบ้านหลังนี้หลังจากที่เจ้าของบ้านได้บูรณะบ้านขึ้นมาใหม่หลังจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อสองปีก่อน

    สาเหตุเพราะเพื่อนชายคนสนิทที่เป็นหลานชายเจ้าของบ้าน ที่เสียชีวิตไปเมื่อสองปีที่แล้ว นายคยองซูได้เล่าให้เจ้าหน้าที่ฟังว่า ตนเองคิดสั้นเนื่องจากคิดถึงเพื่อนชายมากและบอกว่าหลังจากเข้ามาเช่าบ้านอยู่ก็ได้พบอีกฝ่ายในบางคืน แต่แพทย์ผู้ดูแลสัณนิษฐานว่า อาการของนายโดคยองซูเป็นผลข้างเคียงมาจากความเครียดหลังจากสูญเสียคนรัก

     

    ....................................

     

    “สรุปคือคนที่ชื่อคยองซูเขาหลอนไปเอง เขามาเช่าบ้านหลังนี้แล้วเจอผีแฟนไง ไอ้แผ่นหินนั่นเขาก็ทำขึ้นมาเอง” จงอินสรุปข่าวที่อ่านเมื่อคืนให้เพื่อนฟังเพราะหลังจากที่เขาอ่านจบก็พบว่าเซฮุนที่นั่งสั่นกลัวใจจะขาดนั้นหลับไปแล้ว

    “คือคนชื่อชานยอลนี่ตายไปก่อนแล้วมาเรียกแฟนให้ตายตามงี้หรอวะ?”

    “ไม่ใช่เว้ย คนชื่อคยองซูอ่ะยังไม่ตาย เขาพยายามจะตายแหละก็มาเช่าบ้านอยู่ได้สองเดือนแล้วก็กินยาตายแต่มันยังไม่ถึงที่ตาย ก้เลยรอด ตอนนี้เห็นว่าอยู่โรงพยาบาลบ้ามั้ง”

    จงอินเล่าจบก็ถอนใจให้กับสติปัญญาของเพื่อนสนิท เขาเองหลังจากอ่านข่าวแล้วก็หดหู่ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่สอนเอ็นติด ไม่งั้นคงเครียดไม่ต่างจากผู้ชายคนนั้น.....

     

    ...............................

     

     

    ผมยังนั่งอยู่ที่เดิม อ่านหนังสือเล่มเดิมที่ไม่มีวันอ่านจบ ผมยังรู้สึกเช่นเดิม ว่ามันช่างเหงาเหลือเกิน ผมรอเวลากลับไปเรียน แต่ก็รู้สึกว่าเวลาของช่วงปิดเทอมนี้ ช่างยาวนาน เหลือเกิน.......

     

    พัค ชานยอล

     

     

    THE END

     

     

     

    ไม่งงเนาะ? หรืองง? เม้นแท็ก #chansooตลกร้าย เลยนะคะ อยู่ในซีรี่ส์ตลกร้ายค่ะ 5555555555555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×