ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บทความวิชาเกรียน - ข้อมูลเทวดาฉบับฮาเฮ

    ลำดับตอนที่ #18 : พระกุเวร : เศรษฐีผู้พากเพียร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 824
      9
      2 ส.ค. 59

    พระกุเวร : เศรษฐีผู้พากเพียร

     

    จากตอนก่อน หลายท่านคงรู้จักเหล่าเทวดาผู้ดำรงตำแหน่งโลกบาลทั้งหลายกันมาบ้างแล้ว และองค์ที่มีเรื่องราวโดดเด่นที่สุดในชั้นนี้ เห็นจะหนีไม่พ้น “พระไพรศรพณ์ หรือที่รู้จักกันในชื่ออื่นๆ ว่า “ท้าวเวสสุวรรณ” หรือ “พระกุเวร” บางครั้งอาจแถมด้วยชื่อ “รัตนครรภ์” (ท้องแก้ว) “ธเนศวร” (เจ้าแห่งทรัพย์) หรืออื่นๆ

    มนุษย์รู้จักกันดีว่า พระกุเวรเป็นยักขเทวดา ราชาแห่งหมู่ยักษ์กับภูตผี เป็นที่เคารพยำเกรงของเหล่าอมนุษย์ เนื่องด้วยอาวุธของเขาเป็นอาวุธวิเศษอันมีอานุภาพรุนแรง เมื่อขว้างออกไปก็อาจฆ่ายักษ์ได้เป็นพัน แล้วลอยกลับมาในมือเจ้าของดังเดิมได้ หรืออาจทำลายโลกได้ในพริบตาถ้าอยากทำ มนุษย์เลยเชื่อกันว่าที่แค่มีภาพเขียนหรือรูปปั้นของเขาในโหมดยักษ์หน้าดุตัวเขียว ยืนถ่างขาถือกระบองอยู่ติดบ้าน ก็ป้องกันอันตรายจากเหล่าอมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง

    พระกุเวรยืนถือถือกระบอง

    นอกจากนี้ยังเป็นเทวดาผู้ร่ำรวย มีทรัพย์สมบัติมหาศาล เรียกได้ว่าเป็นระดับมหาเศรษฐีของเหล่าทวยเทพ ชนิดที่ในไตรภูมิพระร่วงได้บรรยายว่า เครื่องประดับตัว แลบริวารทั้งหลายเทียรย่อมทองเนื้อสุก ฝูงยักษ์ทั้งหลายนั้นบ้างถือค้อน ถือสากแลจามจุรีเทียรย่อมทองคำบ่มิรู้ขิร้อยล้าน” คือร่ำรวยระดับทำอาวุธทอง เครื่องประดับทองแจกบริวารหลายร้อยล้านได้โดยที่ตัวเองยังมีอีกเหลือเฟือ มนุษย์เลยเชื่อว่าถ้าบูชารูปของเขาในโหมดนั่งพุงพลุ้ยแล้วจะมีโชคลาภ

    พระกุเวรพุงพลุ้ย

    รูปกายของพระกุเวรยังอาจปรากฏในโหมดอื่นๆ ได้อีก เช่นเทพบุตรนั่งบนแท่น ถือกระบองยกมือเหมือนจะห้ามปราม อันเป็นสัญลักษณ์ของอัยการในไทย ซึ่งอย่างที่เคยบอกไว้ในตอนก่อนๆ เทวดามีอิทธิฤทธิ์มากมาย อยากเนรมิตรูปลักษณ์แบบไหนก็ตามใจ ดังนั้นจึงปรากฏได้หลายลักษณะ ไม่ต้องแปลกใจไป

    พระกุเวรนั่งแท่น ยกมือห้ามปรามที่รู้จักกันในนามพระไพศรพณ์

    แต่ถ้าถามว่าเขามาถึงจุดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ได้ยังไง ผมก็คงต้องอธิบายให้ฟังกันสักหน่อย แล้วท่านจะรู้ว่ากว่าจะมาเป็นผู้ที่รวยและมีอิทธิพลอันดับต้นๆ ของเหล่าเทวดาบนเขาพระสุเมรุและเขาสัตตบริภัณฑ์นั้น มันไม่ได้เป็นกันง่ายๆ

    อธิบายตามแบบคติพุทธที่อิงกับเรื่องการบำเพ็ญบารมีในชาติก่อนเสียหน่อย ในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ว่ากันว่ากาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งยังไม่มีพุทธศาสนา พระกุเวรเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีไร่อ้อยเป็นทรัพย์สมบัติ กุเวรพราหมณ์มีความคิดริเริ่มอะไรใหม่อันเป็นวิสัยทัศน์ของคนจะร่ำรวย พอตัดอ้อยมา ก็คิดจะแปรรูปต่อยอดผลิตภัณฑ์ จึงสร้างหีบยนต์สำหรับคั้นน้ำอ้อยขึ้น เปลี่ยนจากต้นอ้อยธรรมดาให้เป็นน้ำอ้อยแสนหวานอร่อยก่อนเอามาขาย และน้ำอ้อยของกุเวรนี่ก็ขายดิบขายดีมาก

    ด้วยความคิดสร้างสรรค์ ความขยัน และการเก็บออม พอเวลาผ่านไป จากชาวไร่อ้อยธรรมดา กุเวรก็พัฒนาขึ้นมาเป็นเศรษฐีเจ้าของกิจการ มีเงินไปขยายกิจการ จากหีบยนต์บดอ้อยหีบเดียว ก็กลายเป็นสอง สาม สี่ จนสุดท้ายก็กลายเป็นเจ้าของเครื่องบดอ้อยถึงเจ็ดหีบ ถ้าให้พูดด้วยภาษายุคนี้ คงเหมือนเสี่ยเจ้าของบริษัทผลิตน้ำอ้อยยี่ห้อกุเวรละมั้ง

    พอรวยแล้ว เสี่ยกุเวรก็เลยคิดว่าจะเอาเงินของตัวเองมาแบ่งปันแก่สังคมบ้าง เลยเอาเงินที่เหลือกินเหลือใช้ไปสร้างที่พักให้คนเดินทาง และใครที่มาพักหรือเดินทางผ่านไปมา เสี่ยกุเวรก็แจกน้ำอ้อยให้กินกันแบบฟรีๆ ไม่คิดค่าใช้จ่าย เสี่ยก็ทำแบบนี้มาตลอดจนกระทั่งตายลง ด้วยบุญกุศลจากการสร้างที่พักสาธารณะ และแจกน้ำอ้อยให้คนอื่นกินฟรี ก็ทำให้เสี่ยกุเวรมาเกิดเป็นยักขเทวดา คือพระกุเวร ซึ่งภายหลังได้ชื่อเวสสุวรรณ จากการได้เป็นเจ้าเมืองเทวดา ชื่อเมืองวิสาณะ และได้บรรลุอริยบุคคลชั้นโสดาบัน

    แต่ในความเชื่อของพราหมณ์ – ฮินดู ชีวิตหลังเป็นยักษ์ของพระกุเวรไม่ได้เรียบง่ายปานโรยด้วยกลีบกุหลาบ เกิดมาแล้วโตเลยมีบ้านเมืองมีวิมานครองเลย เนื่องจากเขาไม่ได้เกิดมาแบบโอปปาติกะ ในรามายณะได้เล่าว่าเขาเป็นบุตรของวิศระวัสมุนี ในมหาภารตะว่าเป็นบุตรของปุลัสตยะมุนี (ที่รามเกียรติ์ไทยมาเลือนเสียงเป็นลัสเตียน และเรียกกุเวรว่ากุเปรัน)

    ในรามายณะบอกว่าพ่อของพระกุเวรตั้งใจให้เขาครองกรุงลงกาตั้งแต่แรก แต่พระกุเวรไม่ได้ต้องการเพียงแค่นั้น ด้วยความที่เป็นคนดี เขาคิดอยากจะดูแลปกป้องทั้งจักรวาล จึงออกไปบำเพ็ญตบะฝึกฝนวิชานับพันปี จนกระทั่งพระพรหม (ปุราณะบางแห่งว่าพระศิวะ) ได้ปรากฏกายขึ้น และประทานพรให้เขาได้เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์จักรวาลสมใจปรารถนา พร้อมทั้งมอบสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติมหาศาล บุษบกวิเศษ และอำนาจปกครองเหนือเหล่ายักษ์ วิทยาธร กินนร ปีศาจ อีกทั้งคุยหกะทั้งปวง

    ภายหลังบิดาของกุเวรมีลูกกับชายาอีกหลายตน หนึ่งในนั้นคือทศกัณฐ์ ซึ่งเราก็รู้ว่าวีรเวรวีรกรรมพี่แกมีอะไรบ้าง แน่นอนว่าทำตัวแบบนั้น พระกุเวรก็ตักเตือน แต่มีรึที่ทศกัณฐ์จะฟังฟัง ด้วยความที่ริษยาพระกุเวรเป็นทุนเดิม จึงเกิดสงครามขึ้นระหว่างพี่น้อง พระกุเวรพ่ายแพ้และถูกตีหัวสลบ บริวารพาหนีไปเฝ้าพระพรหม ทิ้งบุษบกวิเศษเอาไว้ พระพรหมจึงสร้างเมืองใหม่ให้ คือเมืองอลกาหรืออีกชื่อว่าวสุธาลี (ในรามเกียรติ์ของไทยว่าท้าวลัสเตียนยกเมืองอลกาในพระกุเวรครองแต่แรก พร้อมกับมอบบุษบกวิเศษที่ตนเองมีให้ด้วย แล้วทศกัณฐ์จึงไปชิงเอาทีหลัง) ส่วนในคติพุทธว่าเมืองยักษ์ของพระกุเวรมีราชธานีคืออาฬกะ หรือเรียกอีกชื่อว่าวิสาณะ และมีเมืองย่อยอยู่กลางอากาศอีกมากมายจากการเนรมิต

    นอกจากเมืองแล้ว ในคติฮินดู ยังเชื่อว่าพระกุเวรมีสวนสวรรค์ไว้พักผ่อนหย่อนใจ อยู่บนเขามันทระ ชื่อสวนจิตรรถ อันมีสระนาลีนี และต้นไม้ที่มีดอกใบเป็นเพชรพลอย ออกผลเป็นเทพธิดา ส่วนคติพุทธบอกว่าสระโบกขรณีของพระกุเวรนั้นกว้างยาวห้าสิบโยชน์ และมีรีสอร์ท เอ๊ย มณฑปสำหรับพักผ่อน กว้างยาวสิบสองโยชน์อยู่ริมสระด้วย

    ว่ากันว่าชีวิตของพระกุเวรหลังจากนั้นก็ไม่ค่อยสงบเท่าไร อันที่จริงก็เทวดาทั้งหมดนี่แหละ เพราะทศกัณฐ์เล่นป่วนไปทั่วจนเดือดร้อนกันหมด คนดีอยู่กันไม่ได้ ต้องยอมรับใช้ทศกัณฐ์ทั้งนั้น จนกระทั่งพระวิษณุจะอวตารเป็นพระรามมาปราบ พระกุเวรจึงได้ใช้ชีวิตสงบสุข ดูแลโลกและเหล่าอมนุษย์ในสังกัดด้วยดีเสมอมา

    เรียกว่าพอผ่านช่วงลำบากไปแล้วก็สบายกันขึ้นมาหน่อย แต่พระกุเวรก็ไม่ได้เสวยสุขไปวันๆ แม้จะเป็นเทวดาที่ร่ำรวยแล้ว ก็ยังมีใจคิดถึงความเป็นอยู่ของผู้อื่น โดยไม่ต้องรอให้อาสน์กระด้างก่อนแบบพระอินทร์

    ในคติพุทธ เล่าไว้ในอาฏานาฏิยสูตร ว่าเมื่อมีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น และพระกุเวรกับเหล่าโลกบาลพบว่ามีอมนุษย์ในสังกัดจำนวนหนึ่งที่ไม่อยู่ในศีลในธรรม รบกวนเหล่าสมณะและคนดีทั้งหลาย พระกุเวรก็ได้ประชุมกับเหล่าโลกบาลเพื่อหาข้อสรุปที่เมืองเทวดานาม “อาฏานาฏิยนคร” และได้ข้อสรุปออกมาเป็นมนต์อาฏานาฏิยปริตรหรือที่ไทยเรียกภาณยักษ์ โดยตั้งกฎไว้ว่าหากอมนุษย์ใดได้ยินมนต์นี้แล้วยังไม่เชื่อฟัง ยังแสดงพฤติกรรมไม่ดี จะถูกโลกบาลลงโทษ ก่อนที่จะนำมนต์นี้มาถวายแก่พระพุทธเจ้า เพื่อให้พระภิกษุได้ใช้สวดคุ้มกันภัยจากอมนุษย์กันต่อไป นี่ล่ะมั้งที่ทำให้ในคติพุทธแบบมหายาน พระกุเวรยังเป็นหนึ่งในธรรมบาล ช่วยปกป้องพุทธศาสนา

    นอกจากนี้พระกุเวรยังเป็นคน เอ๊ย เป็นยักษ์ที่ดี มีครั้งหนึ่งที่ปรากฏในธรรมิกสูตร ว่าพระกุเวรจะไปพบพระพุทธเจ้าเพื่อสนทนาธรรม แต่ระหว่างทางพบกับหญิงสาวคนหนึ่งชื่อนันทมารดา เป็นผู้บรรลุอนาคามีผล กำลังมีปัญหาเรื่องการเก็บเกี่ยวข้าวเข้ายุ้งฉาง พระกุเวรจึงสั่งให้บริวารทั้งหลายช่วยกันลำเลียงข้าวเข้ายุ้งจนเต็มทุกยุ้งฉาง หลังจากนั้นยุ้งฉางก็นางก็ไม่เคยขาดแคลนข้าวอีกเลย จากนั้นพระกุเวรจึงพาบริวารไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และเมื่อพระพุทธเจ้าทักว่ามาผิดเวลา ก็ได้อธิบายให้ฟังโดยละเอียด

    จะเห็นว่าพระกุเวร เทวดาที่ร่ำรวยที่สุดนั้น ไม่ได้นั่งๆ นอนๆ กราบไหว้ฟ้าดินแล้วก็ได้เป็น แต่เพราะเมื่อเป็นมนุษย์ มีความคิดสร้างสรรค์ ต่อยอดธุรกิจของตัวเอง เมื่อประสบความสำเร็จแล้วก็แบ่งปันเผื่อแผ่ผู้อื่นตามคติพุทธ หรือฝึกฝนบำเพ็ญตบะตามคติฮินดู จนผลบุญส่งให้เป็นเทวดาแห่งความร่ำรวย และแม้จะได้เป็นเทพแล้ว ก็ยังเห็นใจคนอื่น ช่วยเหลือพวกเขาอยู่เสมอ

    ใครที่อยากร่ำรวยแล้วให้ความเคารพบูชาพระกุเวร ก็อย่าบูชาเปล่าๆ ครับ ยึดไว้เป็นไอดอล แล้วใช้ชีวิตตามที่เขาใช้เลยครับ รู้จักต่อยอดธุรกิจ ขยายกิจการ และคืนกำไรสู่สาธารณชน สังคมเราจะได้ดีขึ้นครับ

    แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้า สวัสดีครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×