คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #210 : ตำนานชื่อบ้านเมือง
ชื่อบ้านชื่อเมืองมักมีตำนาน คือมีเรื่องราวอันเป็นเหตุให้เรียกกันว่าบ้านนั้นเมืองนี้ อาจเป็นเรื่องจริงบ้าง เรื่องเล่าต่อๆกันมาทำนองนิทานบ้าง เหล่านี้แล้วแต่จะน่าเชื่อหรือไม่น่าเชื่อเพียงใด
สำหรับชื่อเมืองแปดริ้ว เหตุผลที่เรียกว่าแปดริ้ว ดูออกจะน่าเชื่ออยู่ เพราะเดิมเป็นเมืองในแผ่นดินเขมรหรือขอมแต่โบราณ อยู่ในส่วนที่เรียกกันมาแต่โบราณว่า ‘ขอมแปรพักตร์’ หรือ ‘เขมรไทย’ มีอาณาเขตตั้งแต่ฟากแม่น้ำบางปะกง (เขมรเรียกว่าแม่น้ำปะดง) เลยไปถึงฟากตะวันตกทะเลสาบเขมร)
สมเด็จพระมณีวงศ์ รัชกาลที่ ๖ ขึ้นสืบราชสันตติวงศ์ ต่อจากพระราชบิดา เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๐ ในภาพเสด็จตามพระศพสมเด็จพระศรีสวัสดิ์ รัชกาลที่ ๕ (ทรงฉลองพระองค์ครุย กั้นพระกลด) |
ชื่อ ฉะเชิงเทรา เป็นชื่อเขมรตั้ง ส่วนชื่อแปดริ้ว เป็นชื่อไทยตั้ง ด้วยราษฎรซึ่งมีทั้งเขมรและไทยอยู่ปะปนกัน มีอาชีพหาปลา ได้มามากก็ริ้วตากเอาไว้ (แปดริ้ว)
แผ่นดินเขมรหรือขอมโบราณส่วนนี้ แต่เดิมมาเป็นที่ตั้งของนครหลวงซึ่งอยู่ใกล้ๆกับเมืองเสียมราฐ (ชื่อไทย เขมรโบราณเรียกว่าเรียมเรียบ) ดินแดนส่วนนี้เมื่อเขมรยังครอบครองอยู่นั้น รบพุ่งกับไทยอยู่เสมอ เมื่อใดไทยมีอำนาจก็ครอบงำเข้าไว้ เมื่อใดเขมรมีอำนาจก็ครอบงำ ส่วนนี้จึงมีราษฎรทั้งเขมรไทยปะปนกันอยู่ บางทีจึงเรียกกันว่า ‘เขมรไทย’
และจึงมีชื่อทั้งที่เขมรตั้งและไทยตั้ง ดังเช่นเมืองฉะเชิงเทรา-เขมรตั้ง แปดริ้ว-ไทยตั้ง เมืองนครนายก-เขมรตั้ง บ้านนา-ไทยตั้งเมืองปราจีนบุรี (ประจิม) เขมรตั้ง บางคาง (บางคล้า?) -ไทยตั้ง
ส่วนเรื่องที่เรียกกันว่า ‘ขอมแปรพักตร์’ หรือ ‘เขมรแปรพักตร์’ นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า
“ก็เมื่อพวกไทยมีกำลังเจริญขึ้น ยกทัพไปรบกวนเนืองๆ ทำให้บ้านแตกเมืองเสียเป็นหลายครั้ง จนเจ้านายฝ่ายเขมรเห็นว่าเมืองนั้นอยู่ไกลไทยนัก (อยุธยา) อีกอย่างหนึ่งรังเกียจว่าเป็นเมืองเก่า (เป็นที่) อาลัยของเจ้านายฝ่ายเขมรที่ตายแล้วซ้ำซากมา เป็นผีสิงอิจฉาหึงหวงเจ้านายที่เป็นขึ้นใหม่ๆให้ตายเร็วๆง่ายๆบ่อยๆนัก จึงล่าเลิกถอยไปเสียข้างใต้” ที่เรียกว่าขอมแปรพักตร์ หมายถึงจากที่เดิมตั้งหน้าไปหาที่ใหม่ ‘ข้างใต้’ ก็คือส่วนที่เป็นเขมรใหญ่ตอนกลางเรียกกันว่าเขมรกลาง
เมืองในแผ่นดินเขมรไทย หรือขอมแปรพักตร์เหล่านี้ ได้ตกเป็นของไทยโดยสิทธิขาด ตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๒๕ ในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งไทยได้ไปตั้งบ้านเมืองลงใหม่หลายเมือง คือ เมืองมงคลบุรี เมืองศรีโสภณเมืองวัฒนานคร เมืองอรัญญประเทศ ถึงเมืองปัตบอง (หรือพระตะบอง) เมืองเสียมเรียบ (เสียมราฐ)
ไหนๆได้เล่าถึงเขมรส่วนที่ ๑ คือ เขมรไทยแล้ว ขอเล่าเสียให้ครบตามพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๔ ที่ว่า แต่โบราณมาแผ่นดินเขมรนั้นเป็น ๔ ภาคด้วยกัน
อีก ๓ ภาค คือ
ส่วนที่ ๒ เรียกว่า ‘เขมรป่าดง’ คำนี้จะพบในพระราชพงศาวดารบ่อยๆ บางทีเรียกว่า ‘เขมรลาว’
ส่วนที่ ๓ เรียกว่า ‘เขมรใหญ่’ หรือ ‘เขมรละแวก’ ตามพระนามพระเจ้าแผ่นดินเขมรที่เขมรนับถือ
ส่วนที่ ๔ เรียกว่า ‘เขมรญวน’
เพราะแผ่นดินเขมรอยู่ตรงกลาง มีชายแดนติดกับไทย ลาว ญวน ล้อมรอบอยู่ ราษฎรในเมืองชายแดนจึงปะปนกันกับชนชาติที่อยู่ใกล้ ใกล้ไทยก็เป็นเขมรไทยใกล้ลาวก็เป็นเขมรลาว ใกล้ญวนก็เป็นเขมรญวน ชื่อเมืองตามชายแดนส่วนมากจึงมักมีสองชื่อ
ส่วนที่ ๒ ‘เขมรป่าดง’ นั้น มีเมืองพุทไธรสง เมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ และเมืองพิมาย เมืองเหล่านี้เป็นของไทยสิทธิขาดมาแต่ต้นจนไม่รู้ว่าเมื่อใด ต่อมาแทบจะไม่มีเขมรอยู่ มีแต่ไทยกับลาวอยู่
ส่วนที่ ๔ ‘เขมรญวน’ หรือเขมรใต้กล่าวถึงส่วนนี้ก่อน ส่วนนี้ติดกับญวน ซึ่งเป็นประเทศใหญ่ เขมรจึงต้องพึ่งทั้งญวนและไทย ในรัชกาลที่ ๓ เขมรเกิดจลาจลวุ่นวายแย่งชิงราชสมบัติฝ่ายหนึ่งพึ่งไทย อีกฝ่ายหนึ่งพึ่งญวน ไทยต้องยกกองทัพไปช่วยปราบปรามความสงบ (โปรดฯให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา เป็นแม่ทัพใหญ่ ไปรบกวนอยู่นานถึง ๑๖ ปี) จนได้เขมรคืนมาเป็นของไทยตามเดิม
บ้านเมืองแถบนี้จึงมักมี ๒ ชื่อ เขมรและญวนเช่นเมืองบันทายมาศ (ไผทมาศ) เป็นชื่อเขมร ญวนเรียก ฮาเตี้ยน เมืองมัจรก เป็นชื่อเขมร ญวนเรียก เมืองโจดกหรือโชดก เมืองพนมเปญ เป็นชื่อเขมร ญวนเรียก เมืองนามวัน เป็นต้น
ทีนี้ เขมรส่วนที่ ๔ หรือ เขมรใหญ่ หรือ เขมรกลาง เป็นที่ที่เจ้านายฝ่ายเขมรทิ้งนครหลวงในแดนเขมรไทย (ส่วนที่ ๑) ดังกล่าวมาสร้างนครหลวงขึ้นใหม่เป็นประเทศเขมรจนมาถึงปัจจุบันนี้
เขมรใหญ่ เขมรญวนนี้ แต่เดิมมาก็ขึ้นกับญวนบ้างไทยบ้าง แล้วแต่ความจำเป็น หรือ ‘นโยบาย’ ของกษัตริย์ และแล้วแต่ความเข้มแข็งของไทยหรือญวน
จนกระทั่งถึงสมัยธนบุรี-รัตนโกสินทร์ทั้งญวนทั้งเขมร เกิดจลาจลแย่งชิงอำนาจราชบัลลังก์กันขึ้น
บุตรชายเจ้าเมืองญวนที่เกิดกบฏ ชื่อ องเชียงสือหนีมาพึ่งไทย (มีปรากฏอยู่ในเรื่อง ‘บุญบรรพ์’ บรรพ ๑)
ขณะเดียวกันทางเมืองเขมร ก็เกิดเรื่องวุ่นวายจนขุนนางเขมร ต้องพาพระเจ้าแผ่นดินอายุเพียง ๑๑ ขวบ หนีเข้ามาพึ่งพระบารมีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ คือนักองเอง หรือ นักพระองค์เอง (ปรากฎอยู่ในเรื่อง ‘บุญบรรพ์’ บรรพ ๑ เช่นกัน)
นี่เป็นเรื่องเท้าความแต่ในรัชกาลที่ ๑ เพราะทั้งเขมรและญวน ต่อไปยังมีเรื่องเกี่ยวกับ ‘เวียงวัง’ ไทยอีกมาก โดยเฉพาะในรัชกาลที่ ๓ ซึ่งประเทศราชต่างๆ ส่วนมากเข้าใจว่า อ่อนแอ เพราะนักรบเก่งๆในสมัยรัชกาลที่ ๑ ต่างสิ้นชีวิตไปแล้วบ้าง ชราภาพบ้าง เมื่อญวนกำเริบจะยึดเอาเขมรซึ่งกำลังวุ่นวาย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จึงโปรดฯให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนา) ขุนพลแก้วคู่บัลลังก์ เป็นแม่ทัพใหญ่ยกออกไปทำศึกกับญวน ปราบปรามการจลาจลในเขมรอยู่นานถึง ๑๕ ปี มิให้เขมรถูกญวนกลืนเสีย จนกระทั่งตั้งเมืองหลวง และพระราชวังใหม่ขึ้นที่เมืองอุดงภาชัยเมืองหลวงเก่า ให้ราชวงศ์ของนักองเองครอบครองเป็นพระเจ้าแผ่นดินเขมรสืบกันต่อมา
ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงอภิเษกให้นักองเอง เป็นพระเจ้าแผ่นดินเขมรใหญ่ มีพระเจ้าแผ่นดินสืบราชสมบัติกันต่อๆมา ๘ รัชกาล เป็นสาขาดังนี้
รัชกาลที่ ๑ นักองเอง (สมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราช) | |
ร. ๒ นักองจันทร์ (สมเด็จพระอุไทยราชาธิราช) | ร. ๓ นักองด้วง (สมเด็จพระหริรักษ์ราชาธิบดี) |
ร. ๔ นักองราชาวดี (โอรสใหญ่ ร.๓) (สมเด็จพระนโรดม) | ร.๕ นักองศรีสุวัตถ (สมเด็จพระศรีสวัสดิ์) |
พระองค์สุธารส | ร.๖ สมเด็จพระมณีวงศ์ (ถึง ร.๖ นี้ เขมรเป็นของฝรั่งเศส แล้วการสืบราชสันตติวงศ์หันกลับ ไปทางสายเหลนของนักองราชาวดี คือเจ้าชายสีหนุ อายุ ๑๘ ปี เพราะ ฝรั่งเศสเห็นว่าคงบังคับบัญชาง่าย) |
ร. ๘ พระองค์สุรามฤต | |
ร. ๗ พระเจ้านโรดมสีหนุ (ถึง ร.๗ ต่อมาเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เจ้าชายสีหนุสละราชบัลลังก์ถวายพระราชบิดา การสืบราชสันตติวงศ์จึงย้อนขึ้นจากลูกขึ้นไปหาพ่อ ซึ่งดูเหมือนจะไม่เคยปรากฏ ในประวัติศาสตร์การสืบราชสมบัติ) |
พระเจ้าแผ่นดินเขมรนั้นตั้งแต่ ร.๑ - ร.๕ ล้วนอยู่วังในกรุงเทพฯ และตั้งแต่ ร.๑ - ร.๔ ได้รับอภิเษกจากพระเจ้าแผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์ให้ขึ้นครองราชย์ทุกพระองค์จนกระทั่งตกอยู่ในอำนาจของฝรั่งเศส
ความคิดเห็น