ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เวียงวัง

    ลำดับตอนที่ #150 : บทละครนอก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 692
      1
      12 เม.ย. 53

      -เรื่องยอพระกลิ่นที่เป็นละครโทรทัศน์ เห็นมีพระเจ้ากรุงปักกิ่งกับราชธิดาแต่งงิ้วรุงรัง ไม่เพ้อเจ้อไปหน่อยหรือ-

                เรื่องพระเจ้ากรุงปักกิ่ง ละครโทรทัศน์ มิได้เพ้อเจ้อเอาเอง บทละคร (นอก) ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ (พระองค์เจ้าทินกร) พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๒ ทรงพระนิพนธ์ขึ้นสำหรับเล่นละครนอก มีพระเจ้ากรุงปักกิ่งและราชธิดาในเรื่องนี้จริงๆ

    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องแบบจักรพรรดิจีน เพื่อแสดงว่าพระเจ้ากรุงสยามเป็น ‘ฮ่องเต้’ เท่าเทียมกันกับ ‘ฮ่องเต้’ จีน มิใช่เพียง ‘อ๋อง’ ที่จีนเรียกมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา

                เป็นจินตนาการของกวี เช่นเดียวกันกับสุนทรภู่ จินตนาการเมืองฝรั่งของฝรั่งสองพี่น้องอุศเรนกับนางละเวง บนพื้นฐานความจริงในสมัยนั้น สำหรับเมืองจีนนั้นมีความสัมพันธ์ติดต่อกันมานานแล้วตั้งแต่กรุงสุโขทัย หากทว่านอกจากทูตและบรรดาพ่อค้าสำเภาแล้ว นอกนั้นแทบจะไม่มีใครเคยไปถึงเมืองปักกิ่ง แม้พวกพ่อค้าสำเภาก็ไปมาค้าขายอยู่เพียงแถบเมืองท่าชายทะเล

                บทละครนอก ซึ่งมักจะเอาเค้าเรื่องมาจากนิทานชาวบ้าน ส่วนมากแต่งขึ้นสำหรับเล่นละครนอก คือละครที่เล่นกันนอกวังหลวง ด้วยมีข้อห้ามว่าละครใน (วังหลวง) ที่เป็นละครผู้หญิงล้วนเล่นอยู่แต่เรื่องสามเรื่อง คือรามเกียรติ์ อิเหนา และอุณรุทนั้น ห้ามผู้อื่นเล่น แม้แต่ในวังเจ้านายก็ห้าม ละครนอกจึงต้องใช้ผู้ชายเล่น และแต่งบทละครขึ้นมาใหม่ บทละครนอกที่เล่นกันมากในสมัยรัชกาลที่ ๒ และต่อๆ มา ก็อย่างเช่น สุวรรณหงส์ แก้วหน้าม้า หลวิชัย-คาวี ยอพระกลิ่น สังข์ศิลป์ชัย ไชยเชษฐ์ เป็นต้น

                ที่จริงเรื่องยกพระกลิ่น ชื่อเสียงเดิม คือ เรื่องมณีพิไชย ใช้ชื่อพระเอก หาใช่ชื่อนางเอกไม่ ทว่าเล่นไปๆ นางเอกดังและมีบทบาทมากกว่าพระเอก ผู้คนก็เลยเรียกชื่อนางเอกเป็นชื่อเรื่อง โดยเฉพาะคนสมัยปู่ย่า ตายาย (ของผู้เล่า) มักแถมสร้อยชื่อว่า ยอพระกลิ่นกินแมว เอาพฤติกรรมที่ถูกกล่าวหาเติมเข้าไปด้วย

                เรื่องพระเจ้ากรุงปักกิ่งกับราชธิดานี้ องค์ผู้ทรงนิพนธ์เห็นจะเลียนจากเรื่องสังข์ทอง ซึ่งเป็นนิทานชาวบ้านเช่นกัน คือกำหนดให้มีธิดา ๗ องค์ พี่สาวแต่งงานไปแล้วทุกองค์ เหลือแต่องค์สุดท้อง

                ธิดาองค์สุดท้องท่านกำหนดให้ชื่อ นางจินตะหรา ไฉนจึงไปเหมือนกับชื่อจินตะหรานางรองในเรื่องอิเหนาก็ไม่ทราบ

                บทกลอนของท่านว่าดังนี้

                 “มาจะกล่าวบทไป ถึงเจ้าปักกิ่งกรุงไกรใจหาญ มีธิดาเจ็ดองค์นงคราญ นามกรเยาวมาลย์ต่างต่างกัน แต่ทั้งหกนารีมีคู่ครอง ร่วมห้องปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ เหลือแต่น้องนุชสุดครรภ์ อายุนางนั่นสิบห้าปี ชื่อว่ายุพินจินตะหรา พักตราแฉล้มแจ่มศรี พระบิดาจะใคร่ให้บุตรี ครองคู่เหมือนพี่ทั้งหกองค์...ฯลฯ...”

                เจ้ากรุงปักกิ่งจึงให้ทูตนำราชสาสน์มาสู่ขอพระมณีพิไชยไปอภิเษกกับธิดา

                ในบทละคร พระธิดากรุงจีนไม่ได้ออกมามีบทบาทอะไร ส่วนไป่เปียวในบทละครไม่มีเลย

                มีแต่ทูต ชื่อ กุนตัง

                การเดินทางจากกรุงปักกิ่งของทูตนั้น ขี่ม้าไปกับทหารห้าพันแล้ว

                 “รีบลงทางฮ่อต่อเชียงรุ้ง ตัดหน้าเชียงตุงมาเชียงใหม่ รีบข้ามสะพานถึงด่านไทย ให้หยุดพลไว้ทันที”

                สะพานในบทละคร เห็นจะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำปิง ซึ่งสมัยนั้นคงจะเป็นสะพานแบบสะพานเรือก

                ตอนนี้บทละครท่านปนภาษาจีน

                 “บัดนั้น นายด่านชายแดนกรุงศรี เห็นพวกเจ๊กขี่ม้าพาชี โยธีเหลือหลายเฉียดสามพัน จึงร้องเรียกพวกบ่าวชาวไพร่ ถือปืนผาหน้าไม้กระบองสั้น ต่างเดินดุ่มด่วนชวนกัน มากั้นหน้าทัพแล้วถามไป พวกไทยที่รู้จักภาษา จึงร้องว่าลื้อขื่อติกอไหล จะมาดีมาร้ายประการใด จงบอกให้แจ้งจิตตามกิจจา”

                บทพระนิพนธ์ของ ฯกรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธ์ ทรงค้างไว้เพียงนางยอพระกลิ่นถูกนางจันทรเอาตัวใส่หีบ ให้ไปโยนทิ้งในป่า แล้วพระอินทร์ลงมาช่วยแปลงร่างให้เป็นพราหมณ์

                พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงภูวเนตรฯ ประสูติ พ.ศ.๒๓๔๔ เมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ เสด็จผ่านพิภพ พ.ศ.๒๓๕๒ พระชันษาของ ฯกรมหลวงภูวเนตรฯ เพิ่งจะ ๑๒ ปี พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงครองราชย์อยู่ ๑๕ ปี พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ นั้นโปรดการกวี บรรดาพระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ จึงพลอยมีฝีพระโอษฐ์และทรงพระปรีชาทางกวี ฯกรมหลวงภูวเนตรฯ เห็นจะเป็นพระราชโอรสที่ทรงพระกรุณาโปรดปรานพระองค์หนึ่ง ด้วยนอกจากจะทรงพระปรีชาเป็นกวีแล้ว เจ้าจอมมารดาของ ฯกรมหลวงภูวเนตรฯ คือเจ้าจอมมารดาศิลา ยังเป็นราชินิกุลบางช้าง พระญาติทางฝ่ายสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงอีกด้วย

                เมื่อ ฯกรมหลวงภูวเนตรฯ ทรงพระนิพนธ์บทละครนอกเรื่องมณีพิไชยนี้ พระชันษาเห็นจะไม่เกินประมาณ ๒๑-๒๒ สังเกตสำนวนกลอนของท่านออกจะหวือหวา และผาดโผนไม่เบาทีเดียว เช่นเมื่อนางจันทรด่ายอพระกลิ่น นางว่า

                 “นี่แน่นางเนื้อหอมหม่อมกระสือ อย่าทำดื้อกะแด้แร่เลยแม่เอ๋ย มาลงหีบแม่มาอย่าช้าเลย หล่อนเสวยแมวลายลูกอายแทน เชิญเสด็จแม่ไปอยู่ในไพรกว้าง ชมม้าช้างต่างผัวให้หัวแหงน จะได้เที่ยวไพรระหงดงแดน ให้มันแสนสบายกินควายวัว”

                เมื่อ ฯกรมหลวงภูวเนตรฯ ทรงพระนิพนธ์เรื่องมณีพิไชยค้างไว้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ เห็นจะทรงเสียดายเรื่อง จึงทรงพระราชนิพนธ์ต่อจากที่พระเจ้าลูกยาเธอทรงค้างไว้ จับแต่พระอินทร์ดลใจนางจันทรให้ไปเล่นน้ำแล้วถูกงูกัด จนพราหมณ์ยอพระกลิ่นขอพระมณีพิไชยไปเป็นทาส พระราชนิพนธ์ต่อนี้จบลงเพียงนางยอพระกลิ่นกับพระมณีพิไชยไปอยู่ด้วยกันที่ศาลาในป่า

                ส่วนเรื่องราวต่อไปในนิทาน เป็นแต่เรื่องเล่ามิได้มีผู้ใดแต่งเป็นบทละคร เรื่องราวโลดโผนพิสดารแล้ว แต่เจ้าของละครจะชอบใจ อย่างไรก็ตามเรื่องของพระนางก็จบลงด้วยความสุขหลังจากผจญความทุกข์ยากลำบากนานาประการตามแบบนิทานประโลมโลกทั่วๆ ไป

                อย่างไรก็ตามเรื่องยอพระกลิ่น พระนิพนธ์ของ ฯกรมหลวงภูวเนตรฯ แม้จะสั้น ทว่ามีบทแทรกขำๆ และบางตอนก็เอ่ยถึงเรื่องของชาววังชั้นผู้น้อย ซึ่งไม่สู้จะมีผู้ใดรู้เรื่อง

                บทแทรกขำๆ เช่นเมื่อนางเกษณีครรภ์แก่พระอินทร์เหาะพาลงมาประสูติในป่า

                พระอินทร์ก็ช่วยนางเลี้ยงลูกเหมือนอย่างผัวเมียทั่วไป กลอนตอนนี้ว่า

                 “เมื่อนั้น ท้าวโกสีย์มีศักดิ์สูงใหญ่ รับขวัญลูกน้อยกลอยใจ ประจงจัยลูบไล้ไปมา ครั้นลูกร้องไห้พิไรอ้อน ท้าวเธอหลอนลูกน้อยเสน่หา อ้ายตุ๊ดตู่งูเขียวแมวเหมียวมา จะกินตับแม่หนาอย่าร้องไป นางแก้วเกษณีก็ภิรมย์ เชยชมบุตรีศรีใส รับเอามาแอบแนบทรวงไว้ ปลอบให้ดื่มถันกัลยา แล้วยกใส่ในพระอู่สุวรรณ จอมขวัญสุดแสนเสน่หา สหัสนัยน์ไกวเปลช่วยเห่ช้า กล่อมให้นิทราไม่ราคินฯ

                ว่าโอละเห่ หัวล่อนนอนในเปล ลักแตงเมของเมียกิน เมียจับตัวได้เอาหัวไถลไถดิน อ้ายจิกแขนหวิ้น ตกตะพานลอยไป”

                สมัยกระโน้นบทกล่อมเด็ก คงเป็นดังในพระนิพนธ์ ซึ่งบทกล่อมเด็กนั้นบางทีก็ไม่ได้มีความหมายเป็นแต่กลอนพาไป ต่อมาอาจจะพากันลากเข้าหาคำที่มีความหมาย เมื่อเด็กๆ จึงเคยได้ยินพวกบรรดาแม่และพี่เลี้ยง ส่วนมากกล่อมบทนี้ว่า...โอละเห่ เอยหัวล้านนอนเปล ลักข้าวเม่าเขากิน เขาจับตัวได้เอาหัวไถลลงดิน เอย...ตามด้วย อ้า...อึ้อื้อ ตามแบบของการกล่อม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×