ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    KOOKV | The Air Force #theairforceKV (Omegaverse)

    ลำดับตอนที่ #3 : 02 | The Air Force

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.71K
      295
      6 เม.ย. 63

    The Air Force | kookv

     

    2

     




    เครื่องบินรบโจมตีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในยุทโธปกรที่ร้ายแรงที่สุดอย่าง Lockheed Martin หรือ Boeing F-22 Raptor พุ่งทะยานขึ้นสู่น่านฟ้าเพื่อฝึกซ้อมภารกิจที่จะต้องเป็นแนวหน้าของหน่วยรบพิเศษ USAF 26 ในการบุกโจมตีกลุ่มก่อการร้ายและช่วยเหลือตัวประกันตามคำร้องขอของประเทศพันธมิตร โดยการขับเคลื่อนของลูกศิษย์รักของท่านนายพลสตีเฟนอย่าง นาวาอากาศเอกโรเจอร์ แมคฮิวตัน อัลฟ่าหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปี กัปตันหนุ่มรูปหล่อไฟแรงที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมอินทรีย์แห่งน่านฟ้าอเมริกา



    นอกเสียจากฝีมือรายมือในการรบและความสามารถในการขับเครื่องบินรบที่สามารถสอยเครื่องบินรบฝ่ายตรงข้ามจนร่วงได้ถึงสามลำในวันเดียว ซึ่งเป็นที่ประจักษ์จนทำให้อัลฟ่าหนุ่มเดินตามรอยเท้าอาจารย์อย่างสตีเฟน เลื่อนยศขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้ว กัปตันหนุ่มรูปหล่อคนนี้ยังเป็นผู้ครองตำแหน่งหนุ่มหน้าตาดีที่สุดในกองทัพอีกด้วย



    ฝ่ามือหนาบังคับพวงมาลัยและเกียร์เครื่องบิน เพื่อให้เด็กน้อยแร็ปเตอร์ของตวัดลำเบี่ยงตัวไปบนท้องฟ้า ริมฝีปากกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นเมื่อเห็นว่าเครื่องบินของเพื่อนร่วมงานของเขาบินมาขนาบข้างทั้งสองข้าง ก่อนจะบังคับเครื่องบินให้พุ่งทะยานด้วยการเปิดโหมดสปีดเร่งความเร็วไปในน่านฟ้า






    “อรุณสวัสดิ์เจ้าลูกอินทรีย์ นี่คือเสียงของกัปตันของพวกคุณ – โรเจอร์ แมคฮิวตัน”



    (อรุณสวัสดิ์ครับ ว่าแต่กัปตันคึกอะไรมาเนี่ยวันนี้)



    เสียงของเพื่อนร่วมงานที่กำลังขับเคลื่อนเครื่องบินลำที่บินตามหลังอยู่ดังขึ้นตามระบบสื่อสารที่ถูกติดตั้งอยู่ในเครื่องบิน



    “ไม่ได้ลงสนามจริงนานแล้ว ขอวอร์มมือหน่อย” อัลฟ่าหนุ่มตอบพลางส่งเสียงหัวเราะ



    (วอร์มโหดไปนะครับกัปตัน)



    “ฮ่าๆ – เอาล่ะ วันนี้เราจะฝึกรบกันแบบระยะประชิด ขอให้ทุกคนเตรียมพร้อม”



    (รับทราบ เริ่มเลยดีไหม)



    ทันทีที่เสียงจากระบบสื่อสารของเครื่องบินจบลง เครื่องบินรบโจมตีอย่างแร็ปเตอร์ดูจะเป็นเด็กน้อยไปทันทีที่ถูกยักษ์ใหญ่อย่าง F/A-18E/F Super Hornet บินเข้ามาขนาบข้างทั้งสองข้างเพื่อโจมตีในระยะปะชิดโดยไม่เว้นจังหวะให้ทันตั้งตัว แต่ทว่าด้วยชั่วโมงบินที่สูงริบ ประกอบกับประสบการณ์เจนสนามและรู้ใจแร็ปเตอร์ลูกรักของเขาเป็นอย่างดี ก็ทำให้โรเจอร์สามารถบังคับลูกรักของเขาให้หลบการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด



    What the hall! เล่นกันแบบนี้เลยเหรอ”



    (นานๆจะได้เอาคืน ขอสักหน่อยเถอะครับกัปตัน)



    “ถ้าคิดว่าแน่งั้นก็ตามมา”



    ก่อนที่ชายหนุ่มจะทำให้บรรดาผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งเพื่อนนักบินที่กำลังบินอยู่ด้วยกัน และผู้คนที่อยู่ตรงภาคพื้นดินตรงอ้าปากค้าง เมื่อกัปตันหนุ่มอาศัยความปราดเปรียวคล่องตัวของแร็ปเตอร์ตวัดลำเครื่องบินในท่วงท่าที่จัดได้ว่าอันตรายที่สุดด้วยการบังคับให้ตัวเครื่องตีลังกาในอากาศ จนสามารถเบียดเครื่องบินลำอื่นๆให้ออกห่างได้ทำให้ภาพที่ปรากฏกลายเป็นภาพที่ดูหวาดเสียวและเสี่ยงอันตราย แต่ทว่ากลับดูงดงามสมกับฉายาจอมอินทรีย์ที่สยายปีกโบยบินไปบนท้องฟ้า



    (โธ่กัปตัน นี่คุณเอาจริงเลยเหรอเนี่ย)



    “อย่ามัวโอดครวญเจ้าลูกอินทรีย์ เพราะในสนามรบไม่มีใครปราณีชีวิตนายหรอกนะ”



    โรเจอร์ไม่ได้พูดเกินเลยหรือต้องการข่มขู่ให้เพื่อนร่วมงานหวาดกลัวการออกรบในสนามรบจริงๆ เพราะการที่พวกเขาเลือกมายืนอยู่ในจุดนี้ ทุกคนก็ต่างรู้กันดีตั้งแต่วันที่พวกเขาตัดสินใจยืนใบสมัครเข้ารับราชการทหารอากาศแล้วว่าชีวิตของพวกเขานับจากนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับความเสี่ยง และคนที่ทำหน้าที่เป็นโค๊ชในการฝึกนักบินเพื่อร่วมรบในครั้งนี้อย่างโรเจอร์ จำเป็นจะต้องสอนให้เจ้าพวกลูกอินทรีย์ทั้งหลายเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างความเป็นความตายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในเสียววินาที



    เพราะถ้าหากไม่อยากถูกพญามจุราชหมายหัวเอาชีวิต ก็จงอย่าใช้ชีวิตด้วยความประมาท ยิ่งเป็นการใช้ชีวิตอยู่บนเครื่องบินแล้วด้วย ถ้าเหตุอะไรผิดพลาดขึ้นมา – นั่นจึงทำให้พวกเขาไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตไปทิ้งในสนามรบดีๆเองนี้ แล้วอีกอย่าง ... พวกเขาก็ไม่ได้เกิดมาเป็นฮีโร่เหมือนกับกัปตันอเมริกาเสียหน่อยที่เครื่องบินตกแล้วจะไม่ตาย



    โดยไม่รู้เลยว่าที่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของคุณหนูล็อควูดที่ตอนนี้กำลังลุ้นระทึกไปการฝึกซ้อมอันแสนผาดโผนของเหล่าอัลฟ่า นัยน์ตาสีน้ำทะเลจ้องมองเครื่องบินรบสี่ห้าลำที่กำลังแล่นทะยานกันอยู่บนท้องฟ้าตาไม่กระพริบ ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตกตะลึงในความบ้าดีเดือดที่ปรากฏขึ้น



    อันที่จริงเวดดี้ก็พอจะได้ยินมาบ้างว่าเหล่าลูกอินทรีย์ของพ่อเขาเป็นพวกบ้าดีเดือดกล้าได้กล้าเสียขนาดไหน โดยเฉพาะลูกศิษย์คนโปรดที่นายท่านพลสตีฟยกตำแหน่งจอมอินทรีย์ให้ แต่เขาก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าพวกเขาเหล่านั้นจะถึงขั้นบ้าระห่ำกันได้ถึงขนาดนี้



    “ลูกอยากไปดูพวกนั้นใกล้ๆไหมล่ะเวดดี้”



    “เวดดี้ไปได้เหรอครับ” คนตัวเล็กเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เพราะเขาเองก็รู้กฎของเพนตากอนดีกว่าคนนอก ไม่มีสิทธิ์เข้าไปในเขตพื้นที่ของกองทัพที่เหล่าทหารอากาศใช้ฝึกซ้อมการรบกัน



    “ได้สิ ก็ตอนนี้ลูกเป็นหนึ่งในเพนตากอนแล้วนี่หน่า”



    สตีฟยกยิ้มพลางวางมือบนศีรษะของโอเมก้าตัวน้อยก่อนจะโยกไปโยกมา จริงๆตอนนี้เวดดี้ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเพนตากอนไปเรียบร้อยแล้ว ทำไมถึงจะไม่มีสิทธิ์เข้าไปกันล่ะ ก็เพราะว่าเขาเป็นคนชักชวนเวดดี้ให้มาช่วยงานเอกสารในช่วงที่เจ้าตัวเว้นว่างจากงานประจำเป็นการชั่วคราวเอง – ไม่อยากจะบอกหรอกนะว่าจริงๆแล้ว สตีฟก็หวังอยากให้เวดดี้ย้ายกลับมาทำงานที่นี่ถาวรไปเลย แม้ว่าจะวางใจว่าที่อังกฤษจะมีญาติฝั่งเขาค่อยดูและให้อยู่ แต่คนติดลูกอย่างเขามันก็อดที่ห่วงไม่ได้ ถึงได้บินไปหาทุกครั้งที่มีเวลา



    “แฮะ เวดดี้ลืมไปเลย”



    “อยากไปดูก็ไป แต่ระวังตัวด้วยนะรู้ไหม”



    “ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณสตีฟ มีคุณพ่อโหดขนาดนี้ไม่มีใครกล้ามายุ่งย่ามกับเวดดี้หรอกครับ” เวดดี้คล่องแขนคนเป็นพ่อพลางเอนศีรษะสบไหล่หนาอย่างออดอ้อน ก่อนที่จะปลีกตัวไปดูการฝึกซ้อมเครื่องบินใกล้ๆ



    โรงเก็บเครื่องบิน USAF Alpha A – 26 คือสถานที่ที่มิเชลเลขาสาวของนายพลสตีฟพาคุณหนูล็อควูดมารอชมการฝึกซ้อม ว่ากันว่านอกจากที่นี่จะเป็นจุดที่มองเห็นการฝึกซ้อมที่ใกล้ที่สุดแล้ว โรงเก็บเครื่องบินแห่งนี้ยังเป็นบ้านของเหล่านกอินทรีย์ที่กำลังโบยบินอยู่บนท้องฟ้าอีกด้วย เห็นได้ชัดจากเหล่าทหารอากาศทั้งหลายที่มาออกันอยู่ตรงนี้



    ภาพของจอมอินทรีย์สายพันธ์แร็ปเตอร์ที่กำลังแลนดิ้งลงมาเพื่อเตรียมเข้ามาจอดในภาคพื้นดิน เป็นภาพที่โอเมก้าตัวน้อยประทับใจจนร้องว้าวอยู่หลายครั้ง ลุ่มผมสีเฮเซลนัทพลิ้วไหวไปตามแรงลมจากใบพัดเครื่องบินที่แล่นผ่านหน้าไป หัวใจดวงน้อยสูบฉีดเต้นแรงมากขึ้นเมื่อได้สบตากับนัยน์ตาสีซิลเวอร์คนที่กระโดดลงจากเครื่องบินลงมาอีกครั้ง



    ยอมรับเลยว่าเวดดี้ไม่เคยเห็นใครเท่ขนาดนี้มาก่อน นอกจากสายเลือดที่เกิดมาอยู่เป็นยอดพีระมิดอย่างอัลฟ่าที่ทำให้โอเมก้าตัวน้อยนึกอิจฉาแล้ว รูปร่างหน้าตาของกัปตันหนุ่มรูปหล่อคนนี้ก็จัดได้ว่าไม่มีที่ติเลยทีเดียว ลุ่มผมสีน้ำตาลแลดูคล้ายกับสีของกาแฟคาปูชิโน่ถูกเซ็ตเปิดหน้าผากไว้อย่างเรียบร้อย รับกันได้ดีกับรูปหน้าหล่อคมที่ผสมผสานความเป็นละตินอเมริกาได้อย่างลงตัว ดวงตาสีซิลเวอร์ของอัลฟ่าหนุ่มที่ฉายแววตาเจ้าเล่ห์คือสิ่งที่สะกดหัวใจผู้ได้สบตากับดวงตาคู่นั้นเอาไว้ราวกับว่าสามารถร่ายมนต์เสน่ห์ได้ ไหนจะบอดี้สุดฮอตที่มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าสมบูรณ์แบบขนาดไหน ผิดกับตัวเขาที่แม้รูปร่างจะไม่ได้อ้อนแอ้นเหมือนโอเมก้าทั่วไปเนื่องจากผลของการให้เซรุ่ม แต่ทว่ามันก็ไม่ได้ดูแข็งแกร่งแบบอัลฟ่าเลยสักนิด



    คิดแล้วโอเมก้าตัวน้อยก็ได้แต่อมลมจนแก้มพอง นึกอิจฉาในรูปร่างหน้าตาของอัลฟ่าหนุ่ม – เขาก็แค่อยากจะมีซิกแพ็คล่ำๆแบบคนอื่นบ้าง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรรูปร่างของเขาก็ยังแลดูบอบบางอยู่ดี



    หากแต่โอเมก้าตัวน้อยไม่ทันสังเกตเลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยืนอยู่ในจุดที่ไม่พ้นรัศมีการเคลื่อนตัวของเครื่องบินอีกลำที่กำลังแล่นเข้าจอด ใบหน้าตุ๊กตาหันมองเสียงใบพัดที่ดังเข้ามาใกล้จากทางด้านหลังก่อนที่นัยน์ตาสีน้ำทะเลจะเบิกกว้างด้วยความตกใจจนสติหลุด เมื่อไม่อาจสั่งการร่างกายให้ขยับตัวให้พ้นจากเขตอันตรายได้



    ด้วยระยะความสูงของเครื่องบินทำให้วิสัยทัศน์การมองเห็นของนักบินไม่อาจมองเห็นได้ว่ามีคนยืนอยู่ในรัศมีการขับเคลื่อนแบบประชิดอย่างนี้ได้ แต่ทว่าก่อนที่จะมีอุบัติเหตุอันเกิดจากความไม่ตั้งใจเกิดขึ้น โรเจอร์ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็อาศัยความว่องไวในความเป็นอัลฟ่าของตัวพุ่งเข้าไปคว้าตัวคนตัวเล็กเอาไว้ทันที



    เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของผู้คนดังขึ้น พร้อมๆกับเสียงร่างของทั้งสองที่ล้มลงกระแทกพื้น โดยที่อัลฟ่าหนุ่มเป็นฝ่ายใช้ลำตัวรองรับคนตัวเล็กเอาไว้ในอ้อมกอด แต่ด้วยจังหวะพลิกผลันที่สถานการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้จังหวะที่พวกเขาล้มลง ริมฝีปากของคุณหนูล็อควูดก็ประทับลงบนริมฝีปากของคนใต้ร่างโดยไม่ได้ตั้งใจ



    ความตกอกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทำเอาดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง ริมฝีปากที่แนบชิดกันทำให้รู้สึกราวกับว่ามีไฟฟ้าสถิตไหลผ่านไปทั่วร่างของคนทั้งสอง เสียงสัญญาณแห่งความเป็นคู่ชีวิตที่ดังอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าส่งผลให้แก้มนวลเปล่งสีแดงราวกับมะเขือเทศสุก คนตัวเล็กรีบผละออกทันทีที่ได้สติ แต่ทว่ากลับทำไมได้อย่างที่ใจหวังเมื่อมือหนายังคงเกาะเกี่ยวเอวบางของเขาเอาไว้



    “นี่นาย! ปล่อยนะ”



    เสียงของคนตัวเล็กที่เอ่ยดังขึ้นปลุกโรเจอร์ให้ได้สติ รีบปล่อยให้คนตัวเล็กเป็นอิสระจากการเกาะกุมทันที นึกเอ็นดูคนที่รีบผละออกไปที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาเพื่อเก็บซ่อนพวงแก้มแดงๆที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจเก็บซ่อนได้มิดแม้แต่น้อย สัมผัสที่ใกล้ชิดกันมากเมื่อครู่ทำให้โรเจอร์ได้มีโอกาสสูดดมกลิ่นกายดั่งดอกกล้วยไม้สายพันธุ์วนิลาที่มักถูกนำมาใช้ทำขนมเข้าเต็มปอด เป็นกลิ่นที่บางเบาแบบกลิ่นของอัลฟ่าแต่กลับน่าหลงใหลเหมือนกับกลิ่นของโอเมก้าอย่างไม่ผิดเพี้ยนจนน่าแปลกใจ



    กลิ่นกายที่คล้ายอัลฟ่าแต่ก็คล้ายโอเมก้าไปด้วยในเวลาเดียวกันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคนตัวเล็กที่ทำเอาชายหนุ่มสับสน นัยน์ตาสีซิลเวอร์แอบรอบสำรวจใบหน้างดงามดั่งตุ๊กตาของลูกชายท่านนายพลสตีฟอย่างไม่ปิดบัง – อันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้ใกล้ชิดคนตัวเล็กแบบนี้ ก่อนหน้านี้เคยได้แต่ยินชื่อเวลาที่ท่านนายพลพร่ำเพ้อถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ส่งไปอยู่กับญาติที่อังกฤษอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็เพียงจะมีโอกาสได้เห็นหน้าเจ้าตัวเป็นครั้งแรกเมื่อวันเกิดสตีฟวันนั้น และวันนี้ก็เพิ่งจะมีโอกาสได้สำรวจใบหน้าตุ๊กตาอย่างชัดๆ



    โรเจอร์ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสตีฟถึงได้หวงลูกชายคนนี้นักหนา เพราะถ้าเป็นเขาก็คงจะหวงไม่แพ้กัน แพขนตาที่เรียงตัวสวย และนัยน์ตาฉ่ำวาวสีน้ำทะเลประกอบรวมกับจมูกโด่งรั้น และริมฝีปากบางกระจับ แลดูงดงามเสียยิ่งกว่าเทพีในนวนิยายกรีกโรมันที่ทำให้ใครหลายคนใจเต้นแรงราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความรักได้ง่ายๆ – แล้วเขาก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน



    เฮ้อ ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องที่ทำให้หัวใจทำงานหนักหนานอกเสียจากความตื่นเต้นเวลาออกรบเสียแล้ว



    “นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม”



    “ฉัน ... ฉันไม่เป็นอะไร – โอ้ย!



    ยังไม่ทันที่เวดดี้จะปฏิเสธได้ขาดคำ ความพยายามในการลุกขึ้นยืนของเขาก็ประท้วงขึ้นมาจนทำให้รู้ว่าตนเองได้รับบาดเจ็บจากการล้มหกเมื่อครู่เสียแล้ว ชายหนุ่มรีบเข้าไปพยุงคนที่กำลังจะลุกยืนขึ้นอีกครั้งด้วยใบหน้าเหยเกพลางทรุดตัวนั่งลงสำรวจต้องข้อเท้าของคนตัวเล็กที่ตอนนี้บวมแดงขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งถ้าหากปล่อยไว้มันจะต้องอักเสบและบวมแดงมากกว่านี้เป็นแน่



    “ดูเหมือนว่าข้อเท้านายจะแพลงแล้วล่ะคุณหนูล็อควูด”



    “นี่นายรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นใคร” คนตัวเล็กที่เอียงคอถามตาใส ทำเอาคนที่กำลังดูข้อเท้าให้อยู่ถึงกลับหลุดยิ้ม ชายหนุ่มยืดตัวยืนขึ้นพลางพยุงคนตัวเล็กเอาไว้ก่อนจะพูดขึ้น



    “ไม่มีใครในเพนตากอนไม่รู้จักลูกชายสตีฟหรอก – มาเถอะ ฉันจะพานายไปห้องพยาบาล”



    แต่ทว่าแววตาตื่นตะหนกของเด็กน้อยตรงหน้าก็ทำเอาคนตัวสูงต้องชะงัก กัปตันหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยถาม “มีอะไรหรือเปล่า ... อย่าบอกนะว่านายกลัวหมอ”



    “เปล่านะ!ฉันแค่ไม่อยากให้คุณพ่อรู้เรื่องนี้” เวดดี้อธิบายพลางก้มหน้าหลบสายตาดุจนกอินทรีย์ที่จ้องมองมาจนคางชิดอก



    โดยท่าท่างของคนตัวเล็กทำให้ชายหนุ่มอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ เพราะดูท่าทางแล้วคุณหนูล็อควูดคนนี้คงจะไม่ชอบการไปหาหมอเท่าไหร่แน่ๆ รอยยิ้มกว้างที่ปรากฏขึ้นทำเอาคนตัวเล็กต้องหลบสายตาไปอีกครั้งแต่ทว่าฝ่ามือหนาที่วางลงบนศีรษะพร้อมกับโยกไปโยกก็ทำให้เวดดี้ต้องเงยหน้าสบตากับคนตัวสูง และมันก็ทำให้เขารู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะใบหน้าของเขากับชายหนุ่มตอนนี้อยู่ห่างกันเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น



    “งั้นถ้าไม่ไปห้องพยาบาลก็ตามฉันมานี่”



    กัปตันหนุ่มแทบจะซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อมีโอกาสได้สำรวจพวงแก้มใสที่เปล่งสีแดงก่ำชัดๆ ก่อนจะคว้ามือคนตัวเล็กให้เดินตามมาทว่าดูเหมือนว่าข้อเท้าที่เกิดการอักเสบจะเล่นงานคุณหนูล็อควูดเข้าเสียแล้ว



    “โอ๊ย!” อาการปวดที่แสดงขึ้นมาเมื่อข้อเท้าเล็กเคลื่อนไหว ถึงกับทำโอเมก้าตัวน้อยต้องน้ำซึมพร้อมกับทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างเจ็บปวด



    “ฉันขอโทษ – เจ็บมากหรือเปล่า”



    คนตัวเล็กที่พยักหน้าหงึงัด ทำเอาชายหนุ่มต้องเม้มปากอย่างรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้คนตัวเล็กต้องเจ็บตัวเพิ่ม ก่อนจะพยายามปลอบโยนคนอายุน้อยกว่าเท่าที่คนแข็งกระด้างอย่างเขาจะทำได้ “โอมเพี้ยง จงหายเจ็บนะครับ”



    “ไม่เห็นจะหายเลย” เวดดี้ทำริมฝีปากคว่ำ พลางช้อนตามองคนตัวเล็กที่เอ่ยปลอบเขาเป็นเด็กๆ



    “งั้นคงต้องไปหาหมอกันจริงๆแล้วล่ะ” เพียงเท่านั้นก็ทำให้คนที่โอดครวญอยู่ตอนแรกรีบข่มความเจ็บปวดของตัวเองเอาไว้ทันที พลางส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัน



    “ไม่เอานะ”



    “แต่นายเดินไม่ไหวแล้วนะ”



    “ฉันเดินไหวน่า!



    ทันทีที่เสียงหวานพูดจบลง คนตัวเล็กก็พยายามที่จะลุกขึ้นทันทีแต่ทว่าวันนี้ดูเหมือนพระเจ้าจะกลั่นแกล้งเวดดี้เป็นพิเศษ เพราะทันทีที่ลุกยืนขึ้นเขาก็แข้งขาอ่อนจนจะล้มลงอีกรอบ – แต่ก็นับว่าโชคดีที่อัลฟ่าหนุ่มหูตาไวคว้าเอวบางของคนตัวเล็กไว้ได้ทัน



    “นายนี่ดื้อเหมือนกันนะ”



    โรเจอร์เอื้อมมือไปบีบจมูกเล็กเบาๆ ก่อนจะช้อนตัวคนตัวเล็กขึ้นในท่าเจ้าสาวก่อนจะมุ่งไปยังห้องทำงานของตัวเองโดยไม่พูดร่ำทำเพลง ทำเอาเหล่าลูกอินทรีย์ทั้งหลายที่เห็นเหตุการณ์ถึงกลับอ้าปากค้าง ก่อนจะรีบแยกย้ายกันไปโดยที่ไม่มีใครคิดจะแพรงพรายเรื่องนี้ออกไปให้ไปถึงหูนายท่านพล เพราะพวกเขารู้ดีว่าสตีเฟน ล็อควูคคนนั้นหวงลูกขนาดไหน


    .

    .

    .


    “นาย ... เดี๋ยวฉันทำเองดีกว่า”



    เวดดี้พยายามคว้าคูลแพ็คที่อัลฟ่าหนุ่มเอามาประคบเย็นให้เขา แต่กลับต้องพบกับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อกัปตันคนหล่อทำตัวเป็นคนหน้ามึนไม่ยอมส่งให้ แถมยังยกเท้าของเขาขึ้นมาพาดบนตักตัวเองเพื่อปฐมพยาบาลให้อย่างไม่นึกรังเกียจ



    “อย่าดื้อน่า”



    “แต่ว่า – ”


    โรเจอร์” ชายหนุ่มพูดขึ้นแต่คนตัวเล็กที่เอียงคอมองเขาอย่างสงสัยก็ทำเอาให้มุมปากของกัปตันหนุ่มยกยิ้มขึ้น “ชื่อของฉันน่ะ โรเจอร์ แมคฮิวตัน”



    “อ๋อ นายนี่เองที่คุณพ่อพูดถึงบ่อยๆ ได้ยินแต่ชื่อมาตลอดเพิ่งจะได้เจอตัวจริงก็วันนี้ – ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันเวดดี้ ... เวดดี้ ล็อควูด”



    โอเมก้าตัวน้อยยกยิ้มพลางยื่นมือออกไปเชคแฮนด์กับคนตัวสูง โดยไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มหวานของตัวเองกำลังสะกดใจคนตรงหน้าให้เดินลงไปในหลุมลึกที่เวดดี้เองก็ไม่ได้ตั้งใจขุดไว้



    “ฉันก็รู้จักนายแต่ชื่อมาตลอดจนได้เจอตัวจริงวันนี้เหมือนกัน”



    “ดูแล้วคุณพ่อคงจะเม้าฉันให้พวกนายฟังบ่อยแน่ๆ”



    “ไม่หรอก สตีฟไม่เคยพูดถึงนายให้คนอื่นฟังนอกจากฉันน่ะ”



    “งั้นแสดงว่าคุณพ่อต้องไว้ใจนายมากแน่ๆ”



    อัลฟ่าหนุ่มยักไหล่ให้กับคำพูดของเวดดี้ “แน่นอน ก็ฉันเป็นลูกรักของสตีฟนี่”



    “เฮ้ อย่ามาโมเมนะ ฉันไม่มีพี่” เวดดี้โวยวายขึ้นมาเมื่อมีคนโมเมตัวเองว่าเป็นลูกรักของพ่อเขา ก่อนจะทำหน้ามุ้ยเมื่อมือหนาเอือมมาบีบจมูกเขาเป็นครั้งที่สองของวัน



    “ฉันยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะเป็นพี่นาย – ว่าแต่นายไปทำอะไรที่นั่น”



    “ฉันก็แค่อยากไปดูการฝึกใกล้ๆน่ะ”



    “งั้นเหรอ ... อยากดูใกล้ๆกว่านี้ไหมล่ะ เอาไว้เท้านายหายเจ็บแล้วให้ฉันพาไปดีไหม”



    “จริงนะ ห้ามขี้จุ๊นะคุณกัปตัน”



    “ไม่อยู่แล้ว”



    เพียงเท่านั้นก็ทำให้รอยยิ้มหวานบนใบหน้าตุ๊กตาปรากฏขึ้น ก่อนที่เวดดี้จะอมลมจนแก้มพองเมื่อคนตัวสูงยังไม่ยอมส่งคูลแพ็คมาให้เขาประคบที่ข้อเท้าเอง ท่าทางที่เป็นกันเองมากขึ้นหลังจากที่เขาบอกให้โรเจอร์พูดคุยแบบเป็นกัน เพราะเขาอยากมีเพื่อนที่นี่สักคน ทำให้ช่องว่างในความสัมพันธ์แคบลงเรื่อยๆ



    เวดดี้ไม่อยากจะเชื่อเลยสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นจริงตามที่วีไมล่าพูดเอาไว้ว่าการกลับมาบ้านเกิดในครั้งนี้จะทำให้เขาได้บนโซเมทของตัวเอง – แต่มันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อโรเจอร์ไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่ฟ้ากำหนดมาให้ซึ่งกันและกัน ตราบใดที่เขายังสามารถใช้เซรุ่มกดความเป็นโอเมก้าได้อยู่



    นัยน์ตาสีน้ำทะเลจ้องมองแผ่นหลังของอัลฟ่าหนุ่มที่กำลังเดินจากไปหลังจากที่มาส่งเขาที่โต๊ะทำงานชั่วคราวที่พ่อของเขาจัดไว้ให้ กลิ่นไม้สนอ่อนๆอันเป็นกลิ่นกายของโรเจอร์คือสิ่งที่ช่วยทำให้โอเมก้าตัวน้อยรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรต่อโอเมก้าตัวน้อยก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อสบตาเข้ากับนัยน์ตาจอมอินทรีย์ของผู้เป็นพ่อ



    “คุณพ่อไปยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นครับ เวดดี้ตกใจหมด”



    “ลูกเจ็บตัวทำไมไม่บอกพ่อ” สตีฟถามขึ้นพลางเดินเข้ามาสำรวจร่องราวการบาดเจ็บของลูกหัวแก้วหัวแหวน



    “เวดดี้แค่ไม่อยากให้คุณพ่อเป็นห่วง ...”



    “ยิ่งไม่บอกแบบนี้ พ่อยิ่งเป็นห่วงมากกว่าเดิมอีก – แล้วเมื่อกี้ใครมาส่งกัน”



    “... เอ่อ กัปตันโรเจอร์ครับ เขาช่วยเวดดี้ไว้”



    “งั้นเหรอ ค่อยยังชั่วหน่อย – สงสัยต่อจากนี้พ่อจะมีงานให้โรเจอร์ทำเพิ่มแล้ว”



    “หื้อ งานอะไรเหรอครับ” เวดดี้ถามด้วยความสงสัย



    “งานพิเศษน่ะ เดี๋ยวลูกก็รู้”



    มุมปากของคนเป็นพ่อยกยิ้มขึ้นมาหลังจากตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าเขาจะให้จะฝากชีวิตของเวดดี้ไว้กับคนที่เขาไว้ใจที่สุดอย่างโรเจอร์ โดยไม่รู้ตัวเลยว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการเปิดโอกาสให้คนที่โชคชะตากำหนดให้เป็นคู่กัน ได้มีโอกาสใกล้ชิดและสานต่อความสัมพันธ์ในแบบที่สตีฟพยายามที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นกับลูกรักของเขามาตลอดเลยสักนิด



    To Be Continue


    Talk

    กัปตันบอกแล้วนะคะว่าไม่ได้อยากเป็นพี่น้องเวดดี้ งั้นกัปตันอยากเป็นอะไรน้า ยังคงยืนยันคำเดิมว่าฉากแอคชั่นเป็นฉากที่ยากที่สุดสำหรับเราจริงๆค่ะ แต่อยากแต่ง ท้าทายดี ฉากเครื่องบินนี้เราไปนั่งดูหนังเกี่ยวกับทหารอากาศของอเมริกาอยู่หลายรอบมาก หากยังทำได้ไม่ดีต้องขออภัยด้วยนะคะ สัญญาว่าจะพยายามพัฒนาสกิลการเขียนฉากแอคชั่นใหดีกว่า ท้ายนี้ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่มอบให้กันนะคะ

    SNAP
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×