ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    KOOKV | The Air Force #theairforceKV (Omegaverse)

    ลำดับตอนที่ #2 : 01 | The Air Force

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.27K
      324
      18 มี.ค. 63

    The Air Force | kookv

     

    1


     

    อุณหภูมิที่ลดต่ำลงแปรเปลี่ยนละอองน้ำในอากาศให้จับตัวแข็งกันมากขึ้น ก่อนที่จะร่วงหล่นโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้ากลายเป็นหิมะที่กองทับถมกันจนเปลี่ยนพื้นหญ้าที่เคยเขียวขจีให้กลายเป็นสีขาวโพรน นัยน์ตาสีน้ำทะเลนั่งมองหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นเมื่อสายตาสบเข้ากับเด็กๆที่กำลังปาหิมะใส่กันอย่างสนุกสนาน คนตัวเล็กเอ่ยขอบคุณพนักงานหนุ่มที่เอาลาเต้ร้อนมาเสิร์ฟ ก่อนที่จะละความสนใจจากภาพตรงนอกหน้าต่างมาสนใจแล็บท็อปที่วางอยู่ตรงหน้าแทน



    อีกไม่กี่วันช่วงเวลาอันแสนสุขของการปิดเทอมก็เวียนมาถึงแล้ว จึงทำให้ในช่วงสองสามสัปดาห์มานี้ เวดดี้ ล็อควูด อาจารย์หนุ่มไฟแรงที่เพิ่งจะจบมาหมาดๆ ค่อนข้างจะหัวหมุนกับการทำเกรดนักศึกษาเป็นพิเศษ อันที่จริงเวดดี้ยังเป็นแค่ผู้ช่วยอาจารย์เท่านั้น เพราะเขาเพิ่งจะจบปริญญาตรีมาได้เพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้นเอง แต่ด้วยความสามารถที่ตอนเรียนฉายแววเข้าตาศาสตราจารย์ที่เป็นที่ปรึกษาให้เขา จึงทำให้เวดดี้ถูกทาบทามให้มาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ หลังจากนั้นเขาก็ต้องทำงานเก็บประสบการณ์ประมาณสองปี และเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาโทและเอก เพื่อที่เวดดี้จะได้เป็นอาจารย์ได้อย่างสมบูรณ์



    นอกจากจะเป็นเด็กจบใหม่ไฟแรงที่เป็นลูกรักของศาสตราจารย์แล้ว เวดดี้ยังเป็นหนึ่งในคนที่เหล่านักศึกษาจัดให้อยู่ในทำเนียบของอาจารย์สุดฮอตอีกด้วย ด้วยหน้าตาที่จิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อยประหนึ่งตุ๊กตา ไหนจะนัยน์ตาสีน้ำทะเลที่ไม่ว่าใครที่ได้สบตาด้วยก็จำต้องเขินอายกันหมด ประกอบกันอย่างลงตัวราวกับเทพเจ้าบรรจงปั้นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบตัวนี้ขึ้นมา รวมถึงรูปร่างที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอมแต่กลับไม่ได้แลดูอ่อนแอก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้คนตัวเล็กมักจะได้รับขนมจีบจากบรรดานักศึกษา หรือแม้แต่เหล่าอาจารย์ด้วยกันเองอยู่เสมอ



    แต่ที่เด่นชัดที่สุดในตัวเวดดี้ คงเป็นกลิ่นวนิลาอ่อนๆที่ทำให้ใครหลายคนหลงรักเพียงแค่ได้สูดดม จึงทำให้บ่อยครั้งเหมือนกันที่คนตัวเล็กถูกถามว่าใช้ครีมอะไรถึงได้ตัวหอมขนาดนี้ – หากแต่มันเป็นความลับที่เขาไม่อาจบอกใครได้ ได้แต่เพียงส่งรอยยิ้มหวานไปให้เป็นคำตอบแทน ... เพราะอันที่จริงแล้วเวดดี้ไม่ได้ใช่ผลิตภัณฑ์อะไรที่ทำให้ร่างกายมีกลิ่นหอมด้วยซ้ำ แต่กลิ่นนี้มันติดตัวเขามาตั้งแต่เกิดแล้วต่างหาก



    แม้ว่าวิวัฒนาการทางการแพทย์จะช่วยให้เวดดี้สามารถเก็บซ่อนตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ได้ แต่ทว่าคนที่มีกลิ่นฟีโรโมนหอมฟุ้งมากกว่าคนที่มีสายเลือดเป็นโอเมก้าเหมือนกัน ก็ทำให้กลิ่นกายของเวดดี้ไม่ได้หายไปเหมือนกับคนอื่นๆ แต่กลับเป็นกลิ่นอ่อนๆบางเบาเหมือนกับกลิ่นกายของพวกอัลฟ่าไปเสียได้ จึงทำให้เวดดี้ถือโอกาศที่มีคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นอัลฟ่ามาใช้เพื่อปกป้องตัวเอง



    ถึงยุคสมัยจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ในสังคมของคนที่มีสายเลือดอยู่ในพีระมิดแห่งชนชั้นย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสถานะของโอเมก้าไม่ได้รับการยอมรับให้เชิดหน้าชูตาทัดเทียมกับอัลฟ่าอย่างที่หลายฝ่ายพยายามกำลังทำให้เป็นจริงเสียหรอก เพราะการกดขี่ข่มเหงโอเมก้าก็ยังมีให้เห็นอยู่ร่ำไป



    หากจะพูดถึงตระกูลล็อควูด ไม่ว่าจะเดินไปถามใครในราชอาณาจักรอังกฤษก็คงไม่มีใครไม่รู้จักตระกูลเก่าแก่ที่สืบถอดเชื้อสายมาจากราชวงศ์อังกฤษหรอก และเวดดี้ก็ถือครองสายเลือดครึ่งหนึ่งของตระกูลนี้อยู่ด้วยเช่นกัน อันที่จริงแล้วพ่อของเขาเป็นลูกคนเล็กของตระกูลล็อควูคน่ะ แต่ไปเกิดและโตที่อเมริกาจึงกลายเป็นว่าพ่อของเขาถือครองสัญชาติอเมริกันอยู่แทนที่จะเป็นบริติชตามสายเลือดไปเสียได้ ส่วนแม่ของเขานั้น ... อันที่จริงเวดดี้ไม่ค่อยมีความทรงจำเกี่ยวกับแม่เท่าไหร่ รู้เพียงแต่ว่าแม่ของเขาเป็นหนึ่งในทายาทตระกูลผู้ดีตระกูลหนึ่งของเกาะอังกฤษ นั่นจึงทำให้เวดดี้ได้ถือครองสายเลือดบริติช – อเมริกันไปด้วย



    ด้วยการแต่งงานที่เกิดจากความเหมาะสมของสถานะทางสังคมหาใช่การครองคู่กันตามโชคชะตา จึงทำให้ทั้งสองตัดสินใจแยกทางกันไปในตอนที่เขาอายุได้เพียงสองปีเท่านั้น ซึ่งเวดดี้ก็เข้าใจเหตุผลข้อนี้เป็นอย่างดี และไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดความรักอะไร เพราะสำหรับเวดดี้แล้ว พ่อของเขาเป็นซิงเกิลแด๊ดที่ดีที่สุดในโลก อีกทั้งเขายังได้รับความรักจากตระกูลล็อควูดอย่างเต็มเปี่ยม จึงทำให้เวดดี้ไม่ได้รู้สึกขาดไปในส่วนนี้แม้แต่น้อย



    แรงยวบลงของโซฟาตัวที่เวดดี้นั่งอยู่เรียกความสนใจจากคนตัวเล็กให้หันไปมอง ก่อนที่แรงที่โถมลงมาบนตัวจะทำให้เวดดี้เสียการทรงตัว จนกลายเป็นว่าตอนนี้เขานอนอยู่บนโซฟาโดยที่ลูกพี่ลูกน้องคนสนิทคร่อมอยู่บนตัวไปเสียแล้ว



    “โอ้ย เล่นอะไรเนี่ยวีไมล่า



    “เหนื่อย ขออ้อนหน่อย”



    คนตัวเล็กย่นคอหนีอย่างจั๊กจี๊หลังจากที่ถูกอีกคนซุกใบหน้าเข้าที่ลำคอไม่ต่างอะไรกับตอนเด็กๆ ด้วยความที่อยู่ด้วยกันมานานจนแทบจะเรียกได้ว่าถูกเลี้ยงมาด้วยกัน จึงทำให้เวดดี้สนิทสนมกับ วีไมล่า ล็อควูค ลูกพี่ลูกน้องคนนี้มาก เพราะตั้งแต่เด็กจนโตพวกเขาตัวติดกันแบบนี้ตลอด เพิ่งจากมาห่างๆกันช่วงที่เข้ามหาลัยที่พวกเขาเข้าเรียนกันต่างคณะ ประกอบกับญาติของเขาคนนี้แอบหนีไปมีแฟนด้วย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็มักจะนัดเจอกันอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็ถึงขั้นหอบผ้าหอบผ่อนไปนอนด้วยกัน ยิ่งช่วงไหนที่แฟนหนุ่มนักธุรกจิของวีไมล่าไม่มีเวลาให้เจ้าตัวล่ะก็ คุณหนูล็อควูคคนพี่ก็แถบจะย้ายสัมโนครัวมาอยู่ที่คอนโดของเขาเลยทีเดียว – ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นการบีบบังคับกลายๆให้จอน เควิน รีบทำงานให้เสร็จเพื่อที่จะได้มารับแฟนของตัวเองกลับไปไวๆยังไงล่ะ



    “ไปอ้อนพี่เควินของนายนู้น”



    “พี่เควินไม่มีกลิ่นวนิลาแบบนายนี่ แล้วอีกอย่างช่วงนี้พี่เควินก็งานยุ่งด้วย” อีกคนพูดพลางทำหน้ามุ้ย



    “เห้อ นายนี่นะ ก็ชอบใช้ฉันเป็นเครื่องมือทำให้พี่เขาหึงอยู่เรื่อย”



    คราวนี้เวนดี้เป็นฝ่ายทำหน้างอบ้าง เพราะเขายังนึกขยาดอยู่ไม่หายที่เมื่อคราวก่อนวีไมล่าบอกกับแฟนหนุ่มของเจ้าตัวที่กำลังหัวหมุนกับธุรกิจอยู่ว่าจะมานอนกับเขา แต่คุณหมอตัวแสบดันไม่ยอมบอกว่าเราสองคนเป็นญาติกัน คืนนั้นจอน เควินก็เลยมาบุกคอนโดเขากลางดึกด้วยสีหน้ามึนตึง แต่พอได้เห็นหน้าเขาก็ยกยิ้มกว้างอย่างสบายใจ – ก็หน้าเขากับไมล่าคล้ายกันจนแถบจะเรียกได้ว่าเป็นแฝดกันได้ขนาดนี้ ลองไม่เชื่อว่าเป็นญาติกันสิ เขาจะพาไมล่าหนีให้ดู



    “ชู่ว – ” คุณหมอตัวน้อยส่งปลายนิ้วมาแตะที่ริมฝีปากของเวดดี้ ก่อนจะพูดขึ้น “พี่เควินเขาไม่หึง คนที่มีสถานะบนเตียงเป็นพวกเดียวกับฉันหรอกน่า”



    คำพูดของวีไมล่าทำเอาใบหน้าตุ๊กตาเห่อร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ ก่อนที่จะถูกมือบางฟาดเอาให้ที่ต้นแขนอย่างไม่จริงจัง เรียกเสียงหัวเราะจากคุณหมอตัวน้อยจนหงายหลัง



    “นายนี่มัน – ... นายอยู่กับพวกแฝดนรก จนติดนิสัยพวกนั้นมาหรือยังไงกันเนี่ย” เวดดี้ถึงกับพูดไม่ออกในความทะเล้นของลูกพี่ลูกน้องคนสนิทที่เขาสันนิฐานว่าน่าจะติดนิสัยของจอมเจ้าเล่ห์เพทุบายของฝาแฝดตระกูลจอน – จอน เจเดน กับจอน เดม่อน น้องชายของจอน เควินมา



    “ของแบบนี้ก็รู้ๆกันอยู่น่า”



    “ฉันไม่เคยมีแฟนสักหน่อย นายจะรู้ได้ยังไง” เวนดี้ทำปากขมุบขมิบ ก่อนที่แก้มนวลจะโดนอีกส่งมือมาบีบเล่น “โอ้ย แก้มฉันยืดหมดแล้วนะ”



    “ฮ่าๆ ช่วยไม่ได้ก็นายอยากแก้มป่องเองนี่ – เอาล่ะ ขอกอดหน่อย อีกเดี๋ยวมหาลัยก็จะปิดเทอม นายก็จะกลับไปหาคุณอาที่อเมริกาแล้วนี่ จะไม่ได้เจอกันตั้งนาน”



    ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น คุณหมอตัวน้อยยังดึงตัวเวนดี้ที่ขนาดตัวเท่าๆกันเข้าสู่อ้อมกอด พลางถูไถปลายจมูกกับแก้มนวลที่กำลังเปล่งสีแดงก่ำ ช่างดูเป็นภาพที่น่ารักมากในสายตาคนอื่น เชื่อได้เลยว่าถ้านักธุรกิจหนุ่มจอน เควิน คนนั้นมาเห็นต้องมีควันออกหูกันบางที่แฟนของตัวเองกับลูกพี่ลูกน้องของแฟนสนิทชิดเชื้อกันจนถึงขั้นนัวเนียกันแบบนี้



    “เดี๋ยวฉันก็กลับมาน่า บ้านฉันอยู่อเมริกาก็จริง แต่นายอย่าลืมสิว่าฉันทำงานที่อังกฤษนะ”



    “ฉันต้องคิดถึงนายมากแน่เลยอ่ะเวดดี้ ปิดเทอมนี่ฉันไปอยู่กับนายที่อเมริกาดีม่ะ”



    “ไม่ต้องเลย เดี๋ยวพี่เควินก็มาลากนายกลับไปอยู่ดีนั้นแหละ – รายนั้นน่ะห่างนายได้ครบแปดชั่วโมงก็ถือว่ามากเกินไปแล้ว”



    “พูดเวอร์ไปแล้ว”



    “ไม่เวอร์หรอก เรื่องจริงทั้งนั้นเลย”



    “หึ้ย คอยดูนะ – ถ้านายเจอโซเมทเมื่อไหร่ นายจะล้อนายบ้าง พนันได้เลยว่านายต้องติดหมอนั่นมากแน่ๆ” วีไมล่าที่รู้เรื่องพีระมิดแห่งชนชั้นของเวดดี้ดีเอ่ยหยอกเย้า ด้วยปณิธารแน่วแน่ที่ว่าเขาจะไม่ยอมเป็นฝ่ายที่ถูกเวดดี้แซวอยู่ฝ่ายเดียว ถึงแม้ว่าจะรู้ดีว่าตอนนี้คนตัวเล็กจะใช้เซรุ่มกดความเป็นโอเมก้าของตัวเองไว้ก็ตาม



    แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครฝืนโชคชะตาได้หรอก



    “คงยังไม่ใช่เร็วๆนี้หรอก”



    “ไม่แน่น้า ทหารหนุ่มที่เพนตากอนอาจมีใครสักคนที่เป็นโซเมทนายก็ได้”



    “เพ้อเจ้อน่า ถ้ามีคงเจอไปตั้งนานแล้ว ฉันก็ไปที่นั่นออกจากบ่อย”



    “นายไม่ได้กลับอเมริกาตั้งแต่จบปีสาม นายจะไปบ่อยได้ยังไง อย่ามาขี้จุ๊กันเลยน่า – แล้วอีกอย่างตอนนี้อะไรๆก็คงเปลี่ยนไปแล้ว ฉันได้ข่าวมาด้วยนะว่าลูกน้องพ่อนายน่ะโซฮอตระดับนายแบบเลยนะ”



    เวดดี้พยักหน้าเออออไปกับวีไมล่าที่พยายามจะหาแฟนให้เขามาตั้งแต่อายุบรรลุนิติภาวะ ก่อนที่พวกเขาจะนั่งคุยกับอีกพักสัก ซึ่งเป็นใหญ่ก็เป็นเสียงบ่นถึงการเรียนหนักของวีไมล่าเสียมากกว่าแล้วจึงแยกย้ายกันกลับที่พักของตัวเอง เวดดี้กดส่งเกรดของนักศึกษาคนสุดท้ายที่เขาทำเสร็จเข้าระบบของมหาวิทยาลัย ก่อนบิดขี้เกียจเล็กน้อย พลางยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่เขาจะได้กลับไปพักผ่อนที่บ้านของตัวเองในช่วงปิดเทอมนี้ กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกเปิดก่อนที่สัมภาระที่จำเป็นทุกอย่างจะถูกจัดเรียงในกระเป๋าอย่างปาณีต



    เครื่องบินที่บินตรงจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษแลนดิ้งลงพื้นดินที่สนามนอร์ฟอร์กในรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา การเดินทางยาวนานกว่าแปดชั่วโมงส่งผลให้เวดดี้รู้สึกเมื่อยตัวไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดีใจที่ได้กลับบ้าน และการกลับบ้านในครั้งนี้ก็ทำให้เขาตื่นเต้นไปกว่าครั้งก่อนๆอยู่มาก เพราะเวดดี้ตั้งใจที่จะไม่บอกพ่อของเขาว่าจะกลับมา เพื่อต้องการจะเซอร์ไพรส์วันเกิดให้กับท่านนายพลสุดหล่อของเขา



    “ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับคุณหนู”



    คนตัวเล็กยกยิ้มให้กับพ่อบ้านประจำตระกูลล็อควูดที่เป็นคนมารับเขาที่สนามบินในวันนี้ “ขอบคุณบิลลี่ – ว่าแต่คุณพ่อไม่รู้ใช่ไหมว่าฉันกลับมา”



    “ผมปิดข่าวเรียบร้อยแล้วครับ คุณท่านไม่รู้แน่นอน พอดีว่าช่วงนี้คุณท่านไม่ค่อยกลับบ้านเท่าไหร่ เห็นว่างานยุ่งน่ะครับ”



    “งั้นเหรอ คุณท่านของนายเนี่ยดื้อจริงๆเลยนะ – เห็นทีว่าฉันจะต้องไปเพนตากอนสักหน่อยแล้ว” เวดดี้ส่ายหน้าให้กับความบ้างานของผู้เป็นพ่อ พลางรับกุญแจรถจากพ่อบ้านวัยกลางคนก่อนที่ Mercedes-Benz จะมุ่งหน้าสู่เดอะ เพนตากอน สถานที่อันเป็นที่ตั้งของที่ทำการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา

     


    ➶➶


     

    แม้ว่าเข็มสั้นบนหน้าปัดนาฬิกาจะเลยเลขสิบสองไปร่วมสิบนาทีแล้ว แต่ทว่าดูเหมือนว่าการประชุมภายในองค์กรของเหล่าผู้บังคับบัญชาสี่เหล่าทัพจะยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงง่ายๆ ด้วยเหตุเพราะการร้องของความช่วยจากประเทศพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาที่เกิดเหตุกลุ่มก่อการร้ายสร้างความไม่สงบสุขในประเทศเข้า จนต้องขอกองกำลังทางทหารจากหน่วยรบเพชรฆาตที่เรียกได้ว่าฝีมือดีไม่เป็นรองใครในโลก ภายใต้การบังคับบัญชาของ พลอากาศเอกสตีเฟน ล็อควูด พญาอินทรีย์ยักษ์แห่งกองทัพอากาศอเมริกาไปช่วยเหลือ



    แต่หากการช่วยเหลือคงจะไม่มีอะไรน่าวิตกกังวล ถ้ากลุ่มผู้ก่อการ้ายนั้นไม่ได้เป็นกองกำลังติดอาวุธ อีกทั้งหน่วยข่าวกองทางทหารของเขายังรายงานมาอีกว่าคลังอาวุธของพวกมันเต็มไปด้วยอาวุธสงครามร้ายแรง และยังมีการจับตัวประกันเอาไว้อีกหลากหลายเชื้อชาติ รวมกว่า 50 คนอีกด้วย ซึ่งเป้าหมายสำคัญของการให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้คือการช่วยชีวิตตัวประกันทุกคน และรักษาความปลอดภัยของอินทรีย์เพชรฆาตที่เขาส่งไปปฏิบัติงาน



    และถ้าหากงานนี่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา แน่นอนว่าสตีเฟนจะไม่ปล่อยให้ลูกน้องของตัวเองต้องมีใครได้รับบาดเจ็บจากภารกิจครั้งนี้แน่



    “งั้นเป็นอันว่าภารกิจครั้งนี้เราจะส่งหน่วยรบพิเศษแนวหน้า USAF Alpha A – 26 ไปร่วมภารกิจ ขอบคุณทุกคนมากสำหรับการประชุมในครั้งนี้” สตีเฟนกล่าวสรุปการประชุมเพื่อไม่ให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ หลังจากที่การประชุมถูกทำให้ยืดเยื้อมานานกว่าสี่ชั่วโมงเนื่องจากความเห็นที่ไม่ตรงกันของบรรดานายพลหัวโบราณที่ยังยึดติดกับวิธีการรบในแบบเดิมๆ



    อันที่จริงสตีฟไม่ได้ต้องการจะทำหัวเป็นพวกขวานผ่าซากที่ไม่เชื่อฟังความคิดเห็นของผู้อาวุธโสกว่า เพียงแต่ประสบการณ์ที่เขาเคยไปปักหลักเป็นหน่วยรบอยู่ในพื้นที่มานานเกือบสามปีมันทำให้เขารู้ว่าแนวทางการรบแบบเดิมๆ คือสิ่งที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายรู้กันหมดแล้ว ดังนั้นหากต้องเอาชีวิตของลูกน้องเขาไปเสี่ยง เขาจำเป็นจะต้องเลือกวิธีที่ทำให้มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ซึ่งถ้าหากดื้อรั้นใช้วิธีการเดิมๆต่อไป ต่อให้เป็นจอมอินทรีย์ที่เอาเครื่องบินรบที่ดีที่สุดอย่างแร็ปเตอร์ เอฟ 22 ไปร่วมรบ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ายังไงก็ต้องมีความสูญเสียเกิดขึ้นแน่ๆ และเขาก็ไม่อยากจัดงานศพให้ลูกน้องตัวเองเสียด้วย



    ดังนั้นหากพวกคนแก่ในหอคอยงาช้างจะมองว่าเขาเป็นพวกขวางโลกมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร



    “ผมอยากจะเตือนอะไรคุณไว้สักอย่างนะท่านนายพลสตีเฟน – หากงานนี้คุณพลาด คุณได้พลาดตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแน่”



    “ขอบคุณในความเป็นห่วงครับท่านนายพล เพียงแต่งานนี้ผมได้รับคำอนุมัติจากท่านรักษาการรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ผมคิดว่าผมคงไม่มีปัญหาอะไร”



    สตีฟยกยิ้มพลางผายมือเป็นเชิงบ่งบอกให้ลูกน้องของเขาส่งแขกกิตติมศักดิ์ที่สุดแสนจะหัวโบราณกลับหอคอยงาช้าง เป็นอันรู้กันดีว่าหลังจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนก่อนเกษียณอายุไป ตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของสี่เหล่าทัพก็ว่างลง ดังนั้นทุกเหล่าทัพจึงต้องส่งคนในการลงสมัครตำแหน่งนี้ และด้วยความสามารถของสตีเฟน ล็อควูค ก็ทำให้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารอากาศตัดสินใจส่งลูกศิษย์คนโปรดลงสมัครในตำแหน่งนี้



    ซึ่งหมอนั่นก็เป็นตัวแทนจากกองทัพบกที่ลงสมัครในตำแหน่งนี้เช่นกัน และคงจะหวังความดีความชอบจากภารกิจนี้เพื่อเพิ่มคะแนนเสียงให้ตัวเอง มิเช่นนั้นคงไม่พยายามเขี่ยเขาให้พ้นทางทุกครั้งที่มีโอกาศเช่นนี้



    “แล้วแบบนี้คุณไม่กลัวว่าจะมีปัญหากับเขาหลังจบการเลือกตั้งเหรอครับท่านนายพล”



    ก่อนที่พญาอินทรีย์จะหัวเราะให้กับคำถามของลูกศิษย์คนสนิทที่เขาหมายหมั้นปั้นมาเองกับมือ พลางวางมือลงบนบ่าของอัลฟ่าหนุ่ม



    “ปัญหาน่ะมีแน่ – แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่นายต้องกังวล เพราะฉันจะไม่มีทางปล่อยนายไปตาย เข้าใจไหมพ่อแร็ปเตอร์ เอฟ 22”



    แต่ทว่ายังไม่ทันที่จอมอินทรีย์แห่งน่านฟ้าอเมริกาผู้ควบคุมเครื่องบินรบโจมตีอย่าง Lockheed Martin หรือ Boeing F-22 Raptor มือขวาคนสนิทของนายพลสตีฟจะได้เอ่ยอะไรต่อ เลขาเบต้าสาวก็เอามาเสียก่อน



    “ท่านคะ คุณหนูล็อควูดมาขอพบคะ”



    “คุณว่าอะไรนะ”



    คำพูดของหญิงสาว ทำเอาอัลฟ่าหนุ่มผู้เป็นพญาอินทรีย์แห่งกองทัพอากาศอเมริกาชะงัก คิ้วคมเลิกขึ้นด้วยความฉงนที่เลขาของเขามาบอกว่าคุณหนูล็อควูคมาขอพบ ... ยังเป็นไปได้ยังไงก็ในเมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขายังไม่มีแพลนที่จะกลับอเมริกา



    “คุณหนูล็อควูดค่ะ เวดดี้ ล็อควูด – ลูกชายของท่าน”



    “โอเค ผมรู้แล้ว” ยังไม่ทันทีสตีเฟนจะพูดขาดคำ ประตูของประชุมก็ถูกเปิดออกเสียก่อน เผยให้เห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาที่กำลังยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่หน้าประตูพร้อมกับข้าวของเต็มไม้เต็มมือ ทำให้อัลฟ่าหนุ่มต้องรีบทรุดเข้าไปช่วยเด็กน้อยของเขาถือของทันที โดยไม่ทันได้สังเกตความวูบไหวที่นัยน์ตาสีน้ำทะเลและอาการชะงักค้างของคนเป็นลูกเลยสักนิด



    “เซอร์ไพร์สครับคุณสตีฟ” แต่ทว่าเวดดี้ก็สามารถกลับซ่อนสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจของเขาได้เพียงเสียววินาที



    “เวดดี้ ลูกจะกลับมาทำไมไม่บอกพ่อกัน”



    “ไม่งั้นเวดดี้จะรู้เหรอครับว่าคุณพ่อมัวแต่ทำงานจนไม่ยอมกินข้าวกินปลาแบบนี้”



    “โธ่ ลูกรัก – เอาล่ะ แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองได้แล้ว” หลังจากสังเกตเห็นสายตาหวานเยิ้มของบรรดาลูกน้อง สตีฟก็รีบเดินมาคว้าเอวลูกรักเพื่อเดินออกไปจากห้องทันที โดยไม่ลืมที่จะหันมาแอบแยกเขี้ยวพร้องทั้งสั่งการลูกกระจิบอินทรีย์ตัวน้อยทั้งหลายของเขาให้กลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง



    แม้จะเดินออกมาไกลแล้วแต่ทว่ากลิ่นหอมราวกับกลิ่นไม้สนอันแสนสดชื่นยังคงติดจมูกเวดดี้อยู่ พร้อมกับหัวใจดวงน้อยที่ยังเต้นโครมครามไม่ยอมหยุด หลังจากที่ได้สบตากับนัยน์ตาสีซิลเวอร์ดุจจอมอินทรีย์คู่นั้น เสียงสัญญาณแห่งความเป็นคู่ชีวิตที่ดังขึ้นทำเอาโอเมก้าตัวน้อยถึงกับอยู่ไม่สุข นึกกังวลไปถึงเรื่องการต้องปกปิดสถานะที่แท้จริงของตัวเองแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าการฉีดเซรุ่มนี้จะไม่ทำให้อัลฟ่ารับรู้ความเป็นโอเมก้าของคนๆนั้น รวมถึงการปรากฏสัญญาณแห่งคู่ชีวิตในอัลฟ่าคนนั้นด้วย แต่ทว่าเขาก็ยังอดกังวลไม่ได้



    ใครจะคาดคิดกันว่าคำพูดของวีไมล่าจะเป็นจริง ... ใครจะคาดคิดกันเล่าว่าการกลับบ้านครั้งนี้จะทำให้เขาเจอคู่ชีวิตของตัวเอง



    โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าความกังวลของตัวเองนั้นแสดงผ่านสีหน้าออกมาอย่างไม่ได้ปิดบัง ทำเอาท่านนายพลสตีเฟนที่กำลังจัดแจงอาหารกลางวันที่ลูกชายของเขาแพ็คใส่กล่องมาให้ต้องเอ่ยถามขึ้น


    ลูกกังวลอะไรอยู่เหรอเปล่าเวดดี้”



    “เอ่อ เปล่าครับ ...” คนตัวเล็กตอบพลางเม้มปากแน่น ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น “คุณพ่อครับ ... ถ้าหากวันหนึ่งทุกคนรู้ความจริงว่าเวดดี้ไม่ใช่อัลฟ่า คุณพ่อจะโกรธหรือเปล่า”



    เวดดี้พูดพลางก้มหน้าก้มตาหลบสายตาผู้เป็นพ่อ เพราะก่อนที่เขาจะบินกลับมาอเมริกา เวดดี้ได้ไปตรวจร่างกายเพื่อปรับโดรสยาในการับเซรุ่มครั้งต่อไป หากแต่เขากลับพบข่าวร้ายที่ว่าร่างกายของเขาเริ่มที่จะเข้าสู่ภาวะดื้อยาเสียแล้ว และก็ไม่อาจให้คำตอบได้ว่าร่างกายของเขาจะรับฤทธิ์การรักษาของเซรุ่มที่มีขนาดยาสูงสุดแบบนี้ไปได้อีกครั้ง เพราะถ้าหากเขาดื้อยาตัวนี้นั่นจะเท่ากับว่าเขาจะไม่สามารถใช้เซรุ่มได้อีกต่อไป



    “ฟังนะเวดดี้ พ่อรู้ว่าลูกทำเพื่อพ่อ แต่พ่อไม่เคยอยากให้ลูกใช้เซรุ่มนี่เลยสักครั้ง – ดังนั้นไม่ว่าลูกจะเป็นอะไร ลูกก็ยังเป็นลูกที่พ่อรักและดีใจที่ลูกได้เกิดมา”



    “ ... หมอบอกว่าเวดดี้กำลังจะดื้อยา ตอนนี้เหลือเซรุ่มตัวสุดท้ายแล้วที่เวดดี้ใช้ได้ ... แต่ถ้าดื้อยาตัวนี้อีก เวดดี้จะใช้เซรุ่มไม่ได้อีกแล้ว”



    “งั้นก็เลิกใช้นับตั้งแต่ตอนนี้เลย ลูกก็รู้ว่าพ่อปกป้องลูกได้”



    สตีเฟนพูดขึ้นพลางดึงตัวโอเมก้าตัวน้อยของเขาเข้าสู่อ้อมกอด เขารู้ว่าเวดดี้กังวลเรื่องนี้มากก็เพราะว่าตอนนี้เขากำลังเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เวดดี้คงจะกลัวว่าการเป็นโอเมก้าของตัวเองที่อ่อนแอและไม่เป็นที่ยอมรับอย่างแท้จริงในสังคม จะทำให้ตัวเองกลายเป็นจุดอ่อนของเขาให้ฝ่ายตรงข้ามเล่นงานเอาง่ายๆ



    แต่ทว่าในฐานะคนเป็นพ่อที่ประคบประหงมลูกคนนี้มาตั้งแต่แบเบาะ ก็ใช่ว่าเขาจะชะล่าใจไม่เตรียมแผนสำรองไว้ เพราะอันที่จริงแล้วสตีฟไม่เคยเห็นด้วยตั้งแต่แรกที่เวดดี้ตัดสินใจฉีดเซรุ่มกดความเป็นโอเมก้าของตัวเอง แต่เขาก็รู้ดีว่าที่เวดดี้ทำแบบนี้ก็เพื่อปกป้องตัวเองจากอัลฟ่าที่มองโอเมก้าเป็นเพียงเครื่องสนองราคะ และเพื่อส่งเขาให้รับตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองทัพโดยไม่ต้องห่วงอะไร แต่ตอนนี้เขาได้กลายเป็นพญาอินทรีย์ที่พร้อมจะกางปีกปกป้องลูกน้อยของตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว ดังนั้นเขาจะไม่มีทางปล่อยให้ใครหน้าไหนคิดว่าเวดดี้คือจุดอ่อนในการทำลายเขาอย่างแน่นอน

     


    ➶➶➶➶➶➶➶➶


    To be continue


    Talk

    พาน้องเวดดี้มาฝากเนื้อฝากตัวแล้วค่ะทุกคน ช่วยเอ็นดูน้องกันเยอะๆนะคะ ตอนแรกๆจะเป็นการเล่าที่ไปที่มาของเรื่องเจอกันนะคะว่าพระนายของเราพบกันได้ยังไง สำหรับใครที่รอเลี้ยงหลานแฝดอยู่หลานยังไม่มานะคะ อดใจรอนิดหนึ่งงงง ;-; ตอนนี้พาแอบวีไมล่ามาให้ทุกคนหายคิดถึงกันด้วย สองคนนี้นี่ก็ชอบน้วยกันให้พี่เควินหึงตลอดแบบนี้แหละฮะ ไว้ถ้ามีโอกาสอีกจะพาน้องไมล่ามาร่วมแจมด้วยอีกนะคะ ว่าแต่คุณพ่อสตีฟคิดจะทำอะไรน้า ลองเดากันนะคะ ขอฝากฟิคเรื่องนี้ไว้ใจอ้อมอกอ้อมใจอีกเรื่องด้วยนะคะ ขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้ค้าบ

    ร่วมพูดคุยและส่งกำลังใจให้กันได้ที่ #theairforceKV หรือ @BAMATTY_ นะคะ

    18/03/63


    SNAP
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×