ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I'm not gay!! แต่คนที่ชอบบังเอิญเป็นผู้ชาย (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #49 : Rule 42 : การจากลาเงียบๆ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.87K
      21
      12 เม.ย. 56

    Rule 42 : การจากลาเงียบๆ
     



    พักนี้ไอ้มินทร์ไปสนิทสนมกับไอ้คีตะเป็นพิเศษทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก  สองคนนั้นมักหายไปด้วยกันทั้งตอนเช้าและตอนเย็นอีกทั้งไอ้มินทร์ยังมีทีท่าว่าจะปลื้มอกปลื้มใจไอ้คีตะนักหนา  มาสาธยายความเก่งของมันให้ผมฟังโดยไม่สนใจความรู้สึกของผมเลย  นี่อย่าบอกนะว่าไอ้มินทร์มันกลายเป็นพวกไอ้คีตะไปแล้ว!?!
     

    “คิทตี้ ไหนๆ วันนี้ก็หยุด  เราไปเก็บข้อมูลของโรงเรียนที่เรากำลังจะแข่งด้วยไหม?” พี่จิ้นเอ่ยชวนขณะที่ผมกำลังซ้อมอยู่กับพี่บอล
     

    “ไปสิครับ!” ผมรีบตอบอย่างสนอกสนใจ
     

    “บอล ไปยืมรถไอ้คิทให้หน่อยสิ” พี่จิ้นหันไปบอกพี่บอล  รถที่ว่าคงเป็นรถยนต์ของพ่อหมอนั่นล่ะมั้งเพราะที่โรงเรียนนี้ไม่มีใครเอารถยนต์มาสักคนจะมีก็แต่รถมอเตอร์ไซค์หรือถ้ามีรถยนต์ก็ได้แต่จอดเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้ขับ
     

    “ได้ๆ” พี่บอลพยักหน้าก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์เพื่อติดต่อหาไอ้คีตะที่ไม่รู้หายหัวไปอยู่ไหน  ชิ พอรู้ว่าจะต้องใช้รถของมันผมก็ชักไม่อยากจะไปขึ้นมาซะแล้วสิ
     

    “พี่จิ้นขับรถเป็นหรือครับ?” ผมถาม
     

    “อือฮึ  รับรอง ไปกับพี่ปลอดภัยหายห่วง” พี่จิ้นขยิบตาพลางยกนิ้วโป้งขึ้น
     

    “จิ้น คิทตี้ ไปรอหน้าโรงยิมได้เลยรถพร้อมแล้ว” พี่บอลตะโกนบอก
     

    “ใครเอารถมาให้วะ?” พี่จิ้นตะโกนถามพี่บอล
     

    “ไม่รู้สิ  เลขาพ่อมันมั้ง” พี่บอลตอบเราทั้งสองจึงพยักหน้าและเดินออกไปรอหน้าโรงยิม



     

     

    เหี้ย! รถเบนซ์เลยเหรอวะ!?! ทำไมบ้านนี้มันรวยจังวะ  ขายยาบ้าหรือเปล่าทำไมถึงรวยแบบนี้  คนลูกขับรถแอลฟาโรมิโอ  คนพ่อขับเบนซ์  เชื่อเลยว่าคนพี่คงต้องขับรถราคาแพงไม่แพ้กันแน่  อย่าให้กูรวยบ้างนะเว้ย กูจะขับเฟอรารี่เลยคอยดูเส่ะ ฮึ่ม!
     

    ประตูด้านคนขับเปิดออกพร้อมกับประตูที่นั่งด้านข้างคนขับ  ทั้งสองคนที่เปิดประตูออกจากรถมาทำให้ผมอึ้งก้าวถอยหลังกลับเข้าโรงยิมโดยไม่รู้ตัว  นึกว่าจะเป็นเลขาของพ่อไอ้คีตะที่ไหนได้เป็นมันกับไอ้มินทร์ซะงั้น  กูไม่ไปแล้วครับ
     

    “มาเองเลยเหรอมึง?” พี่จิ้นถาม
     

    “จะพาเด็กใหม่ไปเก็บข้อมูลด้วยน่ะ  แล้วมึงไม่ได้ไปคนเดียวหรอกเหรอ?” ไอ้คีตะพูดขึ้น  พูดแบบนี้แสดงว่าไม่อยากให้กูไปด้วยใช่ไหม? เออ ก็ไม่ได้อยากไปหรอกเว้ย  ไม่ไปหรอก แบร่ๆ
     

    “ก็กะจะพาน้องคิทไปเปิดหูเปิดตาซักหน่อย  ไหนๆ ก็ได้เล่นตำแหน่งพอยน์การ์ดตัวจริงแล้วนี่” พี่จิ้นพูด  ฮึๆ พอดีตำแหน่งพอยน์การ์ดคนเก่าจะต้องไปเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยผมจึงได้ตำแหน่งนั้นแทน
     

    “เอ่อ  พี่จิ้นครับ  ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าผมยังซ้อมชู้ตไม่ครบเลย  ผมไปซ้อมต่อดีกว่า ฮะๆ” ผมบอกพี่จิ้นก่อนจะเกาหัวและค่อยๆ ก้าวถอยหลังเข้าโรงยิม
     

    “ครบแล้วนี่  พี่นับอยู่นะ” พี่จิ้นบอก  ฮ่วย! คนกะจะชิ่ง
     

    “ไปเถอะน่าคิท  กูก็ไปนะ” ไอ้มินทร์พูดอีกคน
     

    “มึงนั่นแหละตัวดีไอ้เพื่อนทรยศ” ผมถลึงตาใส่ไอ้มินทร์
     

    “ช่างเขาเถอะ  เรารีบไปกันดีกว่าเดี๋ยวไม่ทันดูโรงเรียนนั้นซ้อม” ไอ้คีตะพูดก่อนจะเดินขึ้นรถและตามด้วยคนอื่นๆ เฮ้ย!! เอางี้เลยเหรอวะ  ไม่คิดจะง้อกับบ้างเลยเหรอวะเชี่ยมินทร์  ตื๊อกูหน่อยเด้!!
     

    บรืน! ไอ้คีตะเร่งเครื่องก่อนจะขับออกไปด้วยความเร็วสูง  เออ!! จำไว้เลย! อย่ามาง้อกูทีหลังละกันนะเว้ย!!
     

    “ขอให้รถคว่ำ  รอดแค่พี่จิ้นคนเดียว! เชอะ!” ผมสะบัดหน้าก้าวเข้าโรงยิมด้วยความรู้สึกคุกรุ่นในใจ



     

     

    เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดด โครม!!!!!!
     

    ผมเพิ่งก้าวเข้าไปยังไม่พ้นประตู  เสียงรถชนก็ดังขึ้นจากหน้าประตูโรงเรียน  ขนาดห่างกันขนาดนี้ผมยังได้ยินเสียงดังแสดงว่ามันต้องรุนแรงมากแน่ๆ  ไม่นะ!! อย่าบอกนะว่าคำสาปแช่งของผมเมื่อกี้มันได้ผล!
     

    ผมหันรีหันขวางอย่างรีบร้อนก่อนจะคว้าจักรยานของใครก็ไม่รู้ขี่ไปดูอุบัติเหตุที่ก่อให้เกิดเสียงอันดังสนั่น  ในใจผมเต้นตุบๆ อย่างกระวนกระวาย  ภาวนาขออย่าให้เป็นรถของพวกนั้นเลย
     

    “แฮ่กๆ” ผมหอบหายใจถี่รัวก่อนจะทิ้งจักรยานไว้และเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปดูเหตุการณ์  ใจผมหล่นวูบเมื่อซากรถยนต์ที่ชนกันคันหนึ่งเป็นเบนซ์สีดำที่เพิ่งขับออกมาเมื่อกี้
     

    “เข้าไม่ได้นะครับคุณ” ผมที่กำลังจะเข้าไปค้นหาร่างของคนทั้งสามถูกตำรวจนายหนึ่งขวางไว้
     

    “ผมจะไปหาเพื่อนของผม!” ผมบอกอย่างรีบร้อน  ด้านหน้ารถทั้งสองคันยุบและเละไม่เป็นท่า  คนที่อยู่ด้านในคงไม่เละไปด้วยหรอกนะ  โธ่เว้ย!! ปากหนอปาก  พูดเรื่องดีๆ ไม่เคยเห็นผลพอพูดเรื่องเลวๆ กลับได้ผลทันตา  โคตรพ่อโคตรแม่!!
     

    “คนเจ็บถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลแล้วครับไม่ต้องเป็นห่วง” คุณตำรวจแตะไหล่ผมเบาๆ
     

    “แล้วมีใครเป็นอะไรไหมครับ?” ผมถามเสียงดัง
     

    “เอ่อ  เท่าที่ผมเห็นนะครับ  คนขับรถเบนซ์อาการหนักมากครับ  ตอนที่ผมมาถึงเขาหมดสติไปแล้ว  ส่วนคนอื่นๆ มีแค่รอยขีดข่วนไม่เป็นไรมากครับ” จากคำบอกเล่าของตำรวจทำให้ขาแข้งผมอ่อนปวกเปียกจนร่างเซจะล้ม  ไม่จริงใช่ไหม!?! ไอ้คีตะ...
     

    ฮวบ!
     

    ร่างผมทรุดลงเมื่อได้ยินอย่างนั้นแต่ดูเหมือนว่าจะมีคนรับผมไว้ได้ทำให้ผมไม่ได้ล้มก้นจ้ำเบ้า  ตอนนี้ผมมองอะไรไม่เห็นทั้งนั้นเพราะสายตาของผมเอาแต่จับจ้องอยู่ที่ซากรถเบนซ์นั่น  หมอนั่นจะเป็นอะไรไหม?  คำถามนี้วนอยู่ในหัวผมไปมาจนผมแทบจะร้องไห้
     

    “ชนินทร์! ชนินทร์!” ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู  ผมรีบหันไปมองคนที่กำลังประคองร่างผมอย่างรวดเร็ว  คนที่เรียกผมอย่างนี้นอกจากพวกอาจารย์แล้วก็มีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น
     

    “คีตะ!” ผมจับแขนมันเอาไว้อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา  ทำไมมันถึงมาอยู่ตรงนี้ก็เมื่อกี้ผมเห็นหมอนี่ขับรถออกไปกับตา  แถมหมอนี่ยังไม่มีรอยขีดข่วนตรงไหนเลยด้วย
     

    “อืม ฉันเอง” หมอนั่นยิ้มบางๆ
     

    “นายอยู่นี่  ละ...แล้วใครขับรถ  ไอ้มินทร์หรือพี่จิ้น? มะ...ไม่นะ  นะ...นายปล่อยให้เขาขับได้ไง  ไม่จริงใช่ไหม?” ผมขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองซากรถคันนั้นอีกครั้ง
     

    “ใจเย็นๆ ก่อน  ฉันนี่แหละที่ขับรถ” ไอ้คีตะจับไหล่ทั้งสองข้างของผมเอาไว้
     

    “ก็...ก็ตำรวจเขาบอกว่าคนขับรถเบนซ์เจ็บหนักมาก  ถ้าไม่ใช่นายแล้วใครล่ะ?” ผมยังตกใจและตัวสั่นไม่หยุด  กลัว...ผมกลัวจริงๆ
     

    “นี่ฟังนะชนินทร์  ฟังฉันก่อน  รถฉันจอดอยู่ตรงนั้น  ไอ้จิ้นกับไอ้มินทร์ก็ยืนอยู่ตรงนั้นไง  หันไปดูสิ” ไอ้คีตะประคองแก้มผมไว้เบาๆ ก่อนจะชี้นิ้วผ่านไทยมุงเข้าไปในเขตโรงเรียนที่มีรถเบนซ์คันสีดำคล้ายๆ กับคันที่เกิดอุบัติเหตุจอดอยู่  พี่จิ้นกับไอ้มินทร์ก็กำลังมองมาที่ผม  ผมโล่งอกก่อนจะเอนหน้าซบลงที่อกของไอ้คีตะอย่างลืมตัว  พอตกใจแล้วมันเหนื่อยนี่ครับ “เป็นห่วงขนาดนั้นเลยเหรอ?” ไอ้คีตะกระซิบเสียงระริกระรี้
     

    “เฮ้ย! ไม่ใช่สักหน่อย  เสียใจต่างหากที่คนขับคนนั้นไม่ใช่นาย” ผมสะดุ้งก่อนจะสำเหนียกได้ว่าตัวเองเผลอตัวโผเข้าหาอ้อมแขนไอ้คีตะ  ผมสะบัดตัวออกมาก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
     

    “นั่นสินะ  ถ้าคนเจ็บคนนั้นเป็นฉันก็คงจะดี  เผื่อนายจะได้เป็นห่วงบ้าง” ไอ้คีตะก้าวถอยห่างออกจากผมก่อนจะเดินกลับไปที่รถที่จอดอยู่ในโรงเรียน
     

    ผมยืนมองไอ้คีตะเดินจากไปช้าๆ ก่อนตัวเองจะค่อยๆ เดินเลี่ยงออกไป  ทำไมหมอนี่ถึงชอบทำหน้าเจ็บปวดอยู่เรื่อย  ตัวเองเป็นคนทำร้ายจิตใจคนอื่นเขาแท้ๆ แล้วทำไมถึงชอบทำหน้าเหมือนตัวเองเจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียว  คิดจะทำหน้าแบบนั้นเพื่อเรียกคะแนนความสงสารเหรอ?  ไม่มีทางซะล่ะ



     

     

    ผมมารู้อีกทีว่าทำไมรถของไอ้คีตะถึงไม่ได้ชนก็ตอนที่ถามจากไอ้มินทร์  มันบอกว่าไอ้คีตะตีรถกลับไปรับผมอุบัติเหตุนั่นจึงไม่เกิดขึ้นกับพวกมัน  ไอ้มินทร์บอกว่ามันสวนทางกันกับผมแต่ผมไม่เห็นทั้งๆ ที่รถออกจะเด่นขนาดนั้น  ก็ตอนนั้นใจผมมันไปถึงที่เกิดเหตุจนไม่ได้มองอะไรรอบตัวเลยน่ะสิ
     

    “โอ้ ดูมีกล้ามเนื้อขึ้นนี่หว่ามินทร์” พี่บอลทักขึ้นหลังจากที่ไอ้มินทร์เพิ่งจะกลับเข้าชมรมพร้อมกับไอ้คีตะ  ส่วนผมก็เหลือบตามองไอ้หมอนั่นเล็กน้อยก่อนจะเดินไปซ้อมชู้ตบาสต่อ  เข้าชมรมมานี่ก็คงมาหาครูกิ๊งล่ะมั้ง  ชิ หมั่นไส้จริงโว้ย  อะไรจะรักกันปานจะกลืนกินขนาดนั้น
     

    “ผลจากความพยายามครับผม” ไอ้มินทร์ยืดอกขึ้นเมื่อถูกพี่บอลชม
     

    “พี่บอลผมสูง169แล้วนะ  ชมผมบ้างสิ” ผมอ้อนพี่บอล  พี่บอลหันมามองผมยิ้มๆ ก่อนจะลูบหัวและชมว่าผมเก่งมาก
     

    “จริงเด่ะคิท  มึงสูงขึ้นเร็วมาก!” ไอ้มินทร์หันมามองผมอย่างตกใจ “มิน่าล่ะทำไมระดับสายตากูมันแปลกไป” ไอ้มินทร์พูดพลางทำมือวัดระดับความสูง
     

    “ฮุๆ เดี๋ยวก็ทันมึงแล้ว” ผมยิ้มอย่างพอใจ
     

    “อีกนาน  เพราะกูเองก็สูงขึ้นเหมือนกัน” ไอ้มินทร์ยักคิ้วหลิ่วตาผมจึงฟาดกบาลมันเข้าให้  หมั่นไส้! นอกจากไอ้มินทร์จะตัวสูงขึ้นฝีมือการเล่นก็สูงขึ้นด้วย  จากที่ดังก์ไม่ได้ตอนนี้มันก็ทำได้แล้วทั้งๆ ที่สูงไม่เท่าพี่บอลด้วยซ้ำ  ปัดโธ่! เมื่อก่อนผมเล่นเก่งกว่าไอ้มินทร์อีก  แต่ตอนนี้มันนำหน้าผมไปไกลลิ่วแล้วอ่ะ  มันไปฝึกอะไรกับไอ้คีตะมากันแน่นะ

     



     

    เมื่อใกล้เข้าสู่การแข่งขันระดับภาคพวกเราก็เริ่มจับทีมซ้อมโดยให้ทีมตัวจริงแข่งกับตัวรอง  น่าแปลกที่ไอ้คีตะไม่ได้ลงแข่งกับเราด้วยแต่กลับเอาแต่นั่งดูและตวาดใส่คนที่เล่นได้ไม่ดี  คนที่เป็นเซ็นเตอร์แทนไอ้คีตะคือพี่บอลส่วนไอ้มินทร์ไปเล่นตำแหน่งของพี่บอลแทน  ทำไมไอ้หมอนั่นถึงไม่ลงมาซ้อม? หรือว่าหยิ่ง?
     

    “ทำไมไอ้เชี่ยนั่นไม่ลงมาซ้อม” ผมหันไปถามไอ้มินทร์ขณะที่กำลังรอป้องกันการบุกจากทีมตัวสำรอง  บ้าชะมัด  ตัวสำรองบ้าอะไรวะโคตรเก่งเลย
     

    “สนใจด้วยเหรอ?” ไอ้มินทร์หรี่ตามองผมด้วยสายกรุ้มกริ่ม
     

    “ชิ! ไม่ถามก็ได้” ผมประชดมันพลางสะบัดหน้าใส่
     

    “พี่แกถอนตัวออกจากการเป็นนักกีฬา  ไม่รู้เหรอ?” ไอ้มินทร์พูด  ผมช็อคเล็กน้อยถึงปานกลางหรืออาจจะมาก
     

    “อ้อ  สงสัยไม่อยากเล่นบาสกับกูล่ะมั้ง ฮึ ออกไปก็ดีจะได้ไม่มีคนขวางหูขวางตา” ผมแสยะยิ้ม
     

    “ไม่ใช่เหตุผลนั้นสักหน่อย  พี่แกรักบาสจะตาย  ต่อให้เล่นกับคนที่ชอบหรือเกลียดแกก็จะเล่นต่อไปแต่เพราะแกไม่สามารถอยู่ถึงการแข่งระดับภาคได้แกก็เลยไม่ลง” ไอ้มินทร์พูด  คำพูดของมันทำให้ผมหันไปมองหน้ามันด้วยความสงสัย  ที่ว่าลงแข่งระดับภาคไม่ได้คืออะไรกัน? “ถ้าอยากรู้รายละเอียดก็ไปถามเจ้าตัวเอง  กูไม่มีหน้าที่ต้องเคลียร์เรื่องบาดหมางใจของใคร” ไอ้มินทร์ยักไหล่ก่อนจะตัดบทไปเสียเฉยๆ  ไอ้เพื่อนเลว  เดี๋ยวนี้หัดมีลับลมคมใน  ไปอยู่ฝั่งไอ้คีตะอย่างเต็มตัวแล้วล่ะสิมึง  ฮึ่ม
     

                    “ไม่เห็นจะอยากรู้เลย เฮอะ!” ผมยักไหล่ก่อนจะไม่สนใจไอ้มินทร์  อยากจะทำอะไรก็เรื่องของหมอนั่นผมไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง  จะไปตายไหนก็ไป  ต่อให้มันหายไปจากชีวิตผมผมก็ไม่สนใจหรอก เชอะ!



     

     

                    การแข่งระดับภาคใกล้เข้ามาทุกทีแต่ผมกลับไม่มีความตื่นเต้นในเรื่องนั้นเลยสักนิด  ผมรู้สึกว่าหัวใจผมกำลังไกลห่างไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่างเปล่าไปหมด  ผมเดินเข้าโรงยิมที่เป็นที่สิงสถิตของชมรมบาสอย่างเอื่อยเฉื่อยแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อคนในชมรมเหลือน้อยเหลือเกิน  พวกพี่บอลพี่จิ้นหายไปไหนก็ไม่รู้  ส่วนไอ้มินทร์เห็นไอ้พีทบอกว่าขอลาออกจากโรงเรียนไปครึ่งวัน  ไม่รู้ไปทำอะไร
     

                    “หายไปไหนกันหมดวะ” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ
     

                    “นี่! ไอ้เตี้ยที่อยู่ตรงนั้นน่ะ  รู้หรือยังว่าครูกิ๊งลาออกไปแล้ว” เสียงกวนส้นตีนดังขึ้นผมจึงหันไปหาเจ้าของเสียงด้วยสีหน้าที่กวนตีนไม่แพ้กัน  ไอ้บิลนั่งอยู่บนชั้นสองของโรงยิมตะโกนลงมาพูดกับผม   รอบตัวมันก็ยังห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนชั่วกลุ่มเดิม  แต่ช่วงนี้มันไม่ได้มายุ่งวุ่นวายอะไรกับผมแล้วแหละ
     

                    “ฮะ!?! เจ๊คนนั้นน่ะนะ?  ออกทำไมวะ?” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ  จะลาออกไปทำไมในเมื่อไอ้คีตะก็อยู่ที่นี่  หรือถ้าถูกไล่ออกไอ้คีตะก็น่าจะช่วยไม่ใช่เหรอ?  หรือว่าทะเลาะกันก็เลยประชดด้วยการลาออกซะเลย
     

                    “ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือถูกไล่ออกซะมากกว่า” ไอ้บิลเดินลงจากชั้นสองพลางพูดไปด้วย
     

                    “ฮึ!เป็นไปได้เหรอ  สามีเป็นถึงลูกชายผู้อำนวยการแท้ๆ แล้วทำไมถึงถูกไล่ออกง่ายๆ วะ” ผมกอดอกแสยะยิ้ม
     

                    “ก็เพราะไปกุ๊กกิ๊กกับนักเรียนไงก็เลยถูกไล่ออก  นอกจากนี้เจ๊คนนั้นยังมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับความเป็นครู ชอบตามไประรานคนที่มายุ่งเกี่ยวกับพี่คิทจนผู้ปกครองมาร้องเรียนผู้อำนวยการก็เลยไล่ออกซะเลย  สมน้ำหน้า!” ไอ้บิลเล่าไปหัวเราะไปอย่างสะใจ
     

                    “เพิ่งจะรู้หรือไงว่าคนคนนั้นไม่มีคุณสมบัติของความเป็นครู” ผมเบ้หน้าอย่างไม่พอใจ  ก็ผมโดนเจ๊นั่นกลั่นแกล้งตั้งหลายครั้งนี่นา  ถ้าผมเป็นผอ.ผมไม่รับเข้าทำงานหรอก
     

                    “ถึงกูจะเกลียดมึงแต่กูเข้าข้างมึงมากกว่ายัยครูนั่นนะ  และถึงจะเจ็บใจที่พี่คิทชอบมึงแต่กูก็ยินดีด้วยที่อุปสรรคชิ้นโตหายไป” คำพูดของไอ้บิลทำให้ผมถึงกับสะอึกรีบเบือนหน้าหนีทันที
     

                    “พูดเรื่องอะไรของมึง  เรื่องที่ครูกิ๊งออกไปไม่ได้เกี่ยวกับกูเลยสักนิดเดียว” ผมกัดฟันพูด  ถึงจะไม่มีครูกิ๊งแต่ความจริงที่ว่าไอ้คีตะไม่ได้รักผมมันก็ยังคงอยู่  หมอนั่นก็แค่เล่นตลกกับความรู้สึกของคนอื่นเพียงเท่านั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลยสักนิดเดียว
     

                    “เรื่องที่มึงทะเลาะกับพี่คิทไม่ได้มีแค่เรื่องของครูกิ๊งนั่นหรอกเหรอ?” ไอ้บิลทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก
     

                    “อืม จบกันแล้วล่ะกูกับหมอนั่น  ไม่มีอะไรต่อกันแล้วถ้ามึงอยากจะเสียบก็เชิญ” ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
     

                    “นั่นสินะ  ถึงจะมาบอกให้เสียบตอนนี้ก็คงสายไปแล้วมั้ง  พี่คิทไม่อยู่แล้วน่ะสิ” ไอ้บิลยิ้มที่มุมปากก่อนจะหรี่ตามองผม
     

                    “หมายความว่าไง?” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ  ไอ้มินทร์ก็พูดคล้ายๆ แบบนี้เหมือนกัน  คลุมเครือเป็นบ้าเลย  ไอ้หมอนั่นจะไปไหนก็บอกมาสิอย่ามาพูดทิ้งไว้เป็นปริศนาให้กูอยากรู้อยากเห็นแบบนี้
     

                    “ไม่สงสัยบ้างเหรอว่าทำไมคนที่สนิทกับพี่คิทถึงไม่เข้าชมรมวันนี้” ไอ้บิลถาม
     

                    “ก็สงสัยอยู่หรอก”
     

                    “ก็เพราะพวกนั้นไปส่งพี่คิทที่สนามบินน่ะสิ  พี่คิทสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยที่อเมริกาได้ก็เลยต้องไปอยู่ที่นั่น เก่งเนอะ  อยู่ม.5แท้ๆ แต่เข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว” ไอ้บิลพูดพลางหรี่ตามองผมด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
     

                    “อือ สงสัยจะไปพร้อมกับครูกิ๊งล่ะมั้ง  ที่บอกว่าถูกไล่ออกคงจะเป็นข้ออ้างแต่ที่จริงแล้วลาออกไปอยู่ด้วยกันที่โน่น” ผมพูดอย่างตัดพ้อ  ไปไม่ลากันแบบนี้แสดงว่าไม่เหลือเยื่อใยให้กันแล้วจริงๆ
     

                    “คนอะไร โง้โง่ว่ะ” ไอ้บิลถอนหายใจก่อนจะส่ายหน้าอย่างสมเพชผมและเดินจากไป
     

                    “เฮ้ย! พูดอย่างนี้มาต่อยกันเลยดีกว่าฟร่ะ! ถึงกูจะโง่แต่กูก็เก่งกว่ามึงละกันน่า!” ผมตะโกนไล่หลังไอ้บิลไป  ถึงจะไม่เข้าใจว่ามันด่าผมโง่ด้วยเรื่องอะไรแต่พอถูกด่าแบบนั้นมันก็โมโหขึ้นมาทันที



     

     

                    ตัดขาดกันแล้วสินะ  ทั้งๆ ที่ในใจลึกๆ ของผมอยากจะให้มันมาง้อผมอีกซักหน่อย  อยากจะได้ยินมันบอกรักผมอีกสักครั้งแท้ๆ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้  ทำไมต้องทิ้งให้ผมอยู่ข้างหลังแบบนี้ด้วย  ผมโกรธผมเกลียดตัวเองจริงๆ ที่ไม่ว่าไอ้คีตะจะร้ายกับผมมากแค่ไหนแต่ผมก็เกลียดมันไม่ลง  ในใจลึกๆ ของผมก็ยังคงรักมันอยู่  ผมรอ...รอให้มันอธิบายมาโดยตลอด  แต่ที่ผมเล่นตัวก็เพราะอยากจะรู้ว่าไอ้คีตะจะมีความพยายามมากแค่ไหน  ถ้ารักผมจริงหมอนั่นก็น่าจะพยายามเข้าหาผมสิ  ผมหนีความจริงที่ว่าหมอนั่นไม่ได้รักผมไม่ได้จริงๆ  ช่วงเวลาที่มีความสุขที่มีหมอนั่นอยู่ข้างๆ สำหรับผมแล้วมันเป็นของจริง  ผมทิ้งมันไม่ลงแม้จะเจ็บใจที่ถูกหักหลังแต่ผมก็ไม่สามารถลืมช่วงเวลาดีๆ เหล่านั้นไปได้เลย
     

                    ผมเดินออกจากโรงยิมและตรงไปที่คอร์ทกลางแจ้งอันเป็นที่สิงสถิตของไอ้คีตะ  ภาพที่หมอนั่นเล่นบาสท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงฉายอยู่ตรงหน้า  ไอ้คีตะชู้ตบาสลงห่วงก่อนจะหันหน้ามามองผมและยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่แสนจะอ่อนโยน  ทันทีที่น้ำตาผมร่วงจากขอบตาภาพเหล่านั้นก็แตกสลายลง  ผมอยากให้ภาพที่ผมจินตนาการขึ้นมาเป็นความจริงเหลือเกิน
     

                    “มานั่งร้องไห้ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก” เสียงคุ้นหูดังขึ้นผมจึงรีบปาดน้ำตาและหันมามองต้นตอของเสียง  ไอ้มินทร์ยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ ผมที่นั่งอยู่บนม้านั่งข้างสนาม “คงรู้แล้วสินะว่าพี่คิทไปอเมริกาแล้ว” ไอ้มินทร์ถอนหายใจก่อนจะถาม
     

                    “อืม” ผมพยักหน้า
     

                    “พี่คิทรักมึง  เขาต้องการปกป้องมึงก็เลยต้องจากไปแบบนั้น  ที่จริงกูถูกห้ามไม่ให้พูดเรื่องนี้แต่มาถึงขั้นนี้แล้วกูคงต้องพูด” ไอ้มินทร์พูดออกมาก่อนจะลูบหัวผมเบาๆ “เขาพนันกับครูกิ๊งเรื่องมึงก็จริงแต่สุดท้ายก็แพ้ภัยตัวเองเมื่อชอบมึงเข้าจริงๆ เขาไปยกเลิกเรื่องการพนันแล้วนะแต่ถูกขู่ว่าถ้าไม่เลิกยุ่งกับมึงความสัมพันธ์ของมึงกับพี่คิทจะถูกเปิดเผย  พี่คิทน่ะไม่สนหรอกว่าใครจะคิดยังไงแต่พอนึกถึงมึงเขาเลยต้องยอมรับข้อเสนอของครู” ไอ้มินทร์พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งฟังนิ่งๆ เพราะตอนนี้ผมไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้  กำลังกลั้นเสียงสะอื้นอยู่ครับ
     

                    “TAT
     

                    “มึงน่ะประกาศอยู่ตลอดว่าเกลียดเกย์  ถ้าเรื่องที่มึงกับพี่คิทมีอะไรกันเปิดเผยออกไปคนที่จะถูกประณามก็คือมึง  พอคิดได้แบบนี้พี่คิทก็เลยไม่ไปยุ่งกับมึงอีก  พี่คิทเคยคบกับครูก็จริงแต่ครูก็หักอกพี่คิทซะยับเยินจนพี่คิทไม่สามารถรักครูได้อีก  ความเจ็บปวดของมึงพี่คิทเข้าใจดีทุกอย่างแต่ทำอะไรไม่ได้  เพราะกลัวว่ามึงจะเจ็บปวดต่อไปเรื่อยๆ เขาก็เลยทำให้มึงเกลียด  ถ้ามีความรู้สึกเกลียดแทรกเข้ามาความเจ็บปวดในใจก็จะน้อยลงใช่ไหมล่ะ  การที่เห็นคนที่ตัวเองรักเจ็บปวดแต่ทำอะไรไม่ได้น่ะมันทรมานมากนะ” ไอ้มินทร์พูดจบก็ผลักหัวผมเข้ามาซบไหล่มัน
     

                    “ฮึก ฮึกกก ทำไมมึงไม่บอกกูให้เร็วกว่านี้” ผมพูดกลั้วเสียงสะอื้น ตอนนี้น้ำมูกน้ำตาของผมไหลลงมากองรวมกันที่น่าตัก  มองแล้วน่าสมเพชบวกน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ

                    “ถ้าอยู่ด้วยกันต่อไปแบบนี้มันไม่ดีเพราะมึงจะเบี่ยงเบนไปมากกว่านี้พี่คิทก็เลยไปจากมึงซะมึงจะได้มีชีวิตที่ปกติเสียที” ไอ้มินทร์พูด
     

                    “ฟืดดดดด ไม่ทันแล้ว ฮึก ฟืดดดด หมอนั่นไปด้วยสีหน้าที่มีความสุขหรือเปล่า” ผมถาม  ตอนนี้ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาเลยเพราะหน้าตาของผมตอนนี้คงสุดจะทน
     

                    “อืม มีความสุขสิ” ไอ้มินทร์ยิ้ม
     

                    “ดีแล้ว...ดีแล้ว” ดีแล้วล่ะ  ให้หมอนั่นไปอย่างมีความสุข  ผมไม่อยากให้หมอนั่นต้องแบกรับเรื่องไร้สาระของผมอีกแล้ว  หมอนั่นคงจะรับอะไรมามากพอแล้ว  ต่อไปนี้ผมจะเป็นคนเคลียร์ปัญหาระหว่างผมกับมันทั้งหมดเอง  รอก่อนเถอะคีตะ
     

                    “หยุดร้องได้แล้วไอ้เตี้ย  มึงร้องไห้ได้โคตรแมนเลยว่ะ ฮ่าๆๆ” ไอ้มินทร์ก้มลงมาส่องดูหน้าผมตอนร้องไห้ก่อนจะหัวเราะก๊ากอย่างตลกขบขัน  ร้องไห้ได้แมนบ้านพ่อมึงสิ  น้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะหน้าขนาดนี้
     

                    “โฮกกกกกกกกก” เมื่อถูกล้อแบบนั้นก็ก็หลับหูหลับตาเงยหน้ามองฟ้าก่อนจะปล่อยโฮออกมาดังๆ จนไอ้มินทร์ตกใจรีบปลอบทันที


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    อ่า...ตอนหน้าที่เป็นตอนพิเศษของคู่คุณพ่อขอโละทิ้งนะคะเพราะว่าคู่ของคุณพ่อจะทำเรื่องแยกเนื่องจากคู่นี้ยาวแน่นอนค่ะ
    อีกทั้งการรีก็สิ้นสุดอยู่ที่ตอนนี้แล้วน้า  ตอนหน้าๆ จะไม่ใช่การรีแต่เป็นการลงตอนใหม่เพราะฉะนั้นจะมาอัพทุกวันไม่ได้อีกแล้วเพราะต้องแต่งเพิ่ม
    เข้าใจนะ  ตอนหน้าไม่ได้รีอีกแล้ว และไม่ต้องทิ้งเมล์ไว้เพราะยังไงไรเตอร์ก็ส่งเรื่องไปให้ไม่ได้  โอเคนะคะ


    ย้ำอีกครั้ง  การรีไรต์ได้จบลงที่ตอนนี้  ตอนหน้าจะเป็นการลงตอนใหม่ที่ต้องแต่งเพิ่มเพราะฉะนั้นไม่บ่นเรื่องที่ไรเตอร์รีไรต์แล้วนะจ๊ะ

    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×