ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I'm not gay!! แต่คนที่ชอบบังเอิญเป็นผู้ชาย (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #48 : Rule 41 : เบื้องหลังความเจ็บปวด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.92K
      22
      12 เม.ย. 56

    Rule 41 : เบื้องหลังความเจ็บปวด





    Special Keeta’s part

     

                    ผู้หญิงที่ผมเคยรักมาก  ผู้หญิงคนแรกที่ผมมีอะไรด้วย  เธอเป็นน้องสาวของเพื่อนพ่อที่อายุห่างจากผมสิบปี  ผมตกหลุมรักเธอทันทีที่เห็นหน้า  เราสนิทกันมากเพราะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจบอกรักเธอ  และวันนั้นที่ผมบอกรักผมกับเธอก็มีอะไรกัน  หลังจากที่คบกันได้เพียงหนึ่งปีเธอก็หักอกผมจนสภาพจิตใจผมยับเยิน  ผมสูบบุหรี่กินเหล้าย้อมใจจนเสียคนนอกจากนั้นผมยังเที่ยวผู้หญิงเป็นว่าเล่นกว่าผมจะฟื้นสภาพกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ก็กินเวลาไปถึงหนึ่งปี  ครั้งแรก...มันผูกพันนี่ครับ
     

                    ผมรู้จักกับกิ๊งตอนอยู่ม.1 ผมบอกรักเธอตอนผมอยู่ม.2 และเธอก็ทิ้งผมไปตอนผมอยู่ม.3  หลังจากที่อกหักผมก็เป็นคนเย็นชาไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้า  เวลายิ้มหรือหัวเราะก็ทำส่งๆ ไม่จริงใจเลยสักครั้ง 
     

                    หลังจากที่ผมทำใจได้จนลืมเธอไปแล้วเธอก็มาปรากฏตัวต่อหน้าผม  เธอขอโทษและขอคืนดี  ผมยังไม่ได้ตอบตกลงเพราะผมยังไม่แน่ใจ  ใจหนึ่งผมก็ยังอยากจะกลับไปรักกิ๊งแต่อีกใจมันก็แปลกไปเมื่อมีใครเข้ามา  ผมเจ็บกับกิ๊งมากเยอะใจลึกๆ ของผมจึงต่อต้านที่จะกลับไป
     

                    ผมตัดสินใจไม่กลับไปคบกับกิ๊งโดยให้เหตุผลที่ว่าผมมีคนที่ชอบแล้ว  ตอนนั้นผมแค่อยากจะหาข้ออ้างพราะไม่อยากกลับไปเจ็บซ้ำๆ แต่จะว่าไปตอนนั้นผมก็สนใจเด็กคนหนึ่งอยู่เหมือนกัน  เขามีอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้ผมละสายตาไปจากเขาไม่ได้




     

                    “เอางี้ไหมคีตะ  เรามาพนันกันดีกว่า  ถ้าเธอทำให้เด็กคนนั้นรักเธอได้ฉันจ่ายสองหมื่นแต่ถ้าเธอแพ้เธอจะต้องมาเป็นของฉันแค่คนเดียว”

                    “ก็เอาสิ น่าสนุกดี”
     

    ในตอนนั้นผมคิดว่าอยากจะแกล้งไอ้เด็กจองหองที่กล้าต่อยปากผมตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน  เด็กนั่นประกาศอยู่ตลอดว่าเกลียดเกย์ผมจึงอยากจะลองให้หมอนั่นกลับคำดู  อยากจะแกล้ง...แค่แกล้งเท่านั้น...แต่สุดท้ายคนที่ถูกสวรรค์ลงโทษก็คือตัวผมเอง  ผม...หลงรักเด็กคนนั้นเข้าไปเต็มๆ



     

     

    “กิ๊ง ฉันว่าเราเลิกพนันกันดีกว่า” ผมตัดสินใจบอกยกเลิกเรื่องพนันเพราะผมไม่อยากทำร้ายชนินทร์  รู้ตัวอีกทีผมก็หลงรักชนินทร์จนถอนตัวไม่ขึ้น  แค่เห็นหมอนั่นไปเจ๊าะแจ๊ะกับใครผมก็หึงจนเลือดขึ้นหน้า  ตอนที่หมอนั่นบอกว่ากำลังจะมีแฟนผมเสียใจมาก  ความรู้สึกมันรุนแรงกว่าตอนที่ถูกกิ๊งทิ้งซะอีกแต่ตอนนั้นผมไม่โทษใครเลยที่ชนินทร์ทิ้งผมไป  ผมโทษตัวผมเองที่มักมาก
     

    ชนินทร์เห็นตอนที่ผมกำลังจะมีอะไรกับกิ๊งในห้องชมรม  ตอนนั้นกิ๊งบอกผมว่าถ้าลองมีอะไรกันอีกสักครั้งอาจจะรู้ใจตัวเองจริงๆ ก็ได้ผมก็เลยตกลงแต่ตอนนั้นเราไม่ได้มีอะไรกันหรอกครับเพราะไอ้วาโทรมาขัดเสียก่อน  ผมโล่งใจมากที่ไอ้วาโทรมาเพราะตอนนั้นผมไม่ได้อยากจะมีอะไรกับใครเลยนอกจากชนินทร์
     

    ผมบังคับชนินทร์ให้มีอะไรด้วยและสุดท้ายเราก็เข้าใจกัน  ผมรู้ใจตัวเองแล้วจริงๆ ว่าผมไม่สามารถมีใครได้อีก  เขี้ยวเล็บของผมถูกชนินทร์ค่อยๆ ถอนออกไปช้าๆ จนมันหมด  ความมักมากของผมเริ่มลดทอนลงเมื่อเจอกับชนินทร์  ไม่ต้องมีเรื่องเซ็กส์ก็ได้ขอแค่ชนินทร์อยู่ข้างผม...ผมคิดเช่นนั้นผมจึงไปบอกยกเลิกข้อตกลงระหว่างผมกับกิ๊ง



     

     

    “ยกเลิก?  เธอทำให้เด็กคนนั้นรักเธอไม่ได้สินะ” กิ๊งหัวเราะเยาะ

    “ผิดแล้วกิ๊ง  ที่ฉันมายกเลิกก็เพราะฉันรักชนินทร์  ฉันไม่อยากทำร้ายเขาไปมากกว่านี้” ผมบอกกิ๊งแต่ดูเหมือนกิ๊งจะไม่เชื่อ

    “ไม่จริงหรอกคีตะ  เธอไม่มีทางรักใครนอกจากฉันเพราะฉันเป็นผู้หญิงคนแรกของเธอ” กิ๊งไล้คางผมก่อนจะหัวเราะสะใจ

    “ก็จริงที่ฉันเคยรักเธอมากแต่มันเปลี่ยนไปแล้ว  ฉันถูกเธอหักอกจนยับเยินขนาดนี้ฉันคงจะกลับไปรักเธอได้อีกหรอกนะ” ผมแสยะยิ้มบ้าง  นึกถึงตอนนั้นผมก็รู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกินที่ทุ่มเทให้กับผู้หญิงคนนี้จนยอมเข้าไปยุ่งกับอบายมุขต่างๆ

    “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ  แต่เธอมีหลักฐานไหมว่าเด็กคนนั้นรักเธอ  ถ้าเธอมีหลักฐานว่าเธอทำให้เด็กคนนั้นรักเธอได้ฉันก็จะปล่อยเธอไปพร้อมกับเงินสองหมื่น  แต่ถ้าไม่มีแสดงว่าเธอแพ้พนันและเธอต้องเป็นของฉัน” กิ๊งหัวเสียเมื่อถูกผมบอกว่าไม่ได้รักเธออีกแล้ว

    “มีสิ” ผมหยิบรูปถ่ายขึ้นมาสามสี่ใบเพื่อยืนยันว่าผมกับชนินทร์รักกันจริงๆ  ผมแอบถ่ายรูปตอนที่ชนินทร์นอนทับผมไว้เพราะอยากเอาไว้ดูเล่นๆ และเอาไว้แกล้งให้ชนินทร์อาย  ผมไม่รู้เลยว่ารูปเหล่านั้นจะทำลายความสัมพันธ์ของชนินทร์กับผมอย่างสิ้นเชิง  ผมก็แค่...ไม่อยากกลับไปตกอยู่ในวังวนเดิมๆ และถูกผู้หญิงตรงหน้าใช้เป็นที่ระบายอารมณ์อย่างว่า  กับเด็กอย่างผมเธอไม่คิดจะจริงจังด้วยตั้งแต่แรก

     



     

    กิ๊งเก็บรูปถ่ายพวกนั้นไว้และขู่ว่าถ้าผมไม่คบกับเธอเธอจะเอารูปพวกนั้นไปเผยแพร่  สำหรับผมผมไม่สนหรอกครับว่าใครจะเอาเรื่องของผมไปประจารณ์  ดีเสียอีกเพราะทุกคนจะได้รู้ว่าผมคบกับชนินทร์คนที่เล็งชนินทร์อยู่จะได้เลิกยุ่งกับชนินทร์เสียที  แต่ถ้ารูปนี้เผยแพร่ออกไปคนที่เดือดร้อนจะเป็นชนินทร์เสียเอง  เขาจะอับอายมากแค่ไหนถ้าคนอื่นๆ รู้ว่าเขามีอะไรกับผู้ชายทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนบอกเองว่าเกลียดเกย์  เพราะเรื่องนั้นผมจึงต้องยอมรับเงื่อนไขของกิ๊งอย่างช่วยไม่ได้
     

    กิ๊งให้ผมเลิกยุ่งกับชนินทร์และอยู่กับเธอคนเดียว  เวลาผมเห็นชนินทร์เดินผ่านผมอยากจะเข้าไปกอดเอาไว้แต่ทำไม่ได้  กิ๊งจับตามองผมอยู่เสมอจนผมอึดอัด
     

                    กีฬาสีวันสุดท้ายที่ผมแข่งวิ่งหาของ  ของที่ให้หาคือเจ้าสาวในอนาคต  ตอนนั้นผมคิดอย่างเดียวว่าถ้าได้ชุดเจ้าสาวมาแล้วผมจะเอาไปให้ชนินทร์ใส่  ผมอยากจะอุ้มชนินทร์ด้วยแขนทั้งสองข้างของผมและเอาไปอวดคนอื่นๆ  อยากจะประกาศว่าชนินทร์เป็นของผมคนเดียวแต่แล้วผมกลับทำไม่ได้  ถ้าผมทำอย่างนั้น...ชนินทร์ก็คงจะเดือดร้อน
     

                    ผมเป็นผู้ชายที่แย่จริงๆ  ทั้งๆ ที่เห็นคนรักอยู่ตรงหน้าแต่กลับคว้ามาไม่ได้  ทางเดียวที่จะไม่ทำให้ชนินทร์เจ็บก็คือผมต้องบอกลาและจากชนินทร์มาซะ  แม้ใบหน้าผมจะฉาบด้วยความเย็นชาแต่ในใจผมไม่ได้เย็นชาเหมือนหน้าเลย  ผมเลิกรักชนินทร์ไม่ได้หรอกครับ  ผมรู้ว่าชนินทร์เองก็รักผมเหมือนกันผมรู้ว่าชนินทร์เจ็บไม่น้อยไปกว่าผมเพราะฉะนั้นผมจึงต้องทำให้ชนินทร์เกลียด เขาจะได้ลืมผมไปซะ  เขาจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดที่เห็นผมอยู่กับผู้หญิงคนอื่น
     

                    รู้ทั้งรู้ว่าเรารักกันแต่ผมกลับรักษาความรักนั้นไว้ไม่ได้  ผมยอมให้ชนินทร์รู้เพียงแค่ว่าผมทิ้งเขามาหากิ๊งก็พอ ให้เขาเจ็บเพียงแค่นั้นก็พอ  ส่วนความเจ็บที่เหลือผมขอรับไว้เอง  เพราะถ้าชนินทร์เจ็บมากไปกว่านี้เขาจะต้องร้องไห้แน่ๆ ผมไม่อยากเห็นน้ำตาของชนินทร์...

     



     

                    กิ๊งเริ่มปล่อยข่าวลือเรื่องเธอกับผมทำให้มีเสียงซุบซิบนินทากันหนาหูขึ้นทุกวันๆ  เวลาเราเดินไปไหนมาไหนด้วยกันก็มักจะมีสายตาแปลกๆ จ้องมองมา  สำหรับผมแล้วสายตาพวกนั้นมันไม่สะเทือนหรอกเพราะผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น  ใครจะมองผมยังไง พูดถึงผมยังไงผมไม่สนหรอกเพราะผมมันเย็นชาแถมยังหน้าด้านอีกด้วย
     

                    “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?! ทำไมถึงมีข่าวเรื่องพวกเธอปล่อยออกมา” อาจารย์ฝ่ายปกครองซึ่งเป็นอาจารย์ที่ผมสนิทด้วยเนื่องจากผมเป็นกรรมการฝ่ายปกครองถามขึ้นหลังจากเรียกผมกับกิ๊งเข้าไปหา
     

                    “ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ” ผมตอบด้วยใบหน้านิ่งงัน  อยู่กับกิ๊งผมไม่เคยยิ้มเลยจนไอ้คีตะคนเก่าที่ไม่ยิ้มไม่หัวเราะกลับมา  ตั้งแต่ผมเจอกับชนินทร์ผมก็เริ่มยิ้มได้อย่างจริงใจ
     

                    “ไม่มีอะไรได้อย่างไร!?! บอกทีได้ไหมว่าเรื่องที่พวกนักเรียนพูดกันมันไม่ใช่เรื่องจริง  มันผิดไม่ใช่เหรอที่ครูกับนักเรียนจะคบกัน” อาจารย์ฝ่ายปกครองตบโต๊ะพลางตวาดเสียงดัง
     

                    “ที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงค่ะ  เรื่องความรักมันไม่เข้าใครออกใครนะคะ” กิ๊งเถียงขึ้น  ฮึๆๆ ใช่...เรื่องความรักไม่เข้าใครออกใครจริงๆ
     

                    “คุณไม่ต้องพูด!! เรื่องคราวนี้คุณสมควรถูกไล่ออก  ผมจะเอาเรื่องนี้ไปยื่นผอ.” อาจารย์ฝ่ายปกครองชี้หน้ากิ๊งจนเธอโผเข้ามากอดแขนผมเอาไว้
     

                    “ครูครับ  อย่าไล่กิ๊งออก” ผมพูดเสียงเด็ดขาด
     

                    “คีตกวี?” อาจารย์ฝ่ายปกครองมองหน้าผมอย่างไม่เข้า
     

                    “ตามนั้นแหละครับ” ผมพูดก่อนจะสะบัดแขนของตัวเองออกจากการเกาะกุมและรีบเดินออกจากห้องปกครองซะ  ที่ผมพูดออกไปอย่างนั้นก็เพราะกิ๊งขู่ผมเอาไว้  ก่อนเธอจะไปเธอจะต้องสร้างเรื่องแย่ๆ เอาไว้ให้ผมกับชนินทร์ปวดหัวแน่  สู้ให้อยู่ที่นี่และรักษาความลับไว้จะดีกว่า
     

                    พอผมเปิดประตูออกไปผมก็เจอเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าห้อง  พอไอ้เด็กนั่นเห็นผมมันก็รีบวิ่งแจ้นออกไปทันที  ถ้าจำไม่ผิด...หมอนั่นอยู่ห้องเดียวกับชนินทร์  เฮ้อ  คราวนี้ถูกเกลียดมากกว่าเดิมแน่ไอ้คีตะเอ๊ย



     

     

                    ตกเย็นผมก็ไปซ้อมบาสที่สนามกลางแจ้งเก่าๆ หลังสวนตามปกติ  ที่จริงผมเป็นคนร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงหรอกครับแต่เพราะได้ออกกำลังกายอยู่เสมอโรคภัยไข้เจ็บผมจึงหายไป  ตอนเด็กๆ ผมเข้าโรงพยาบาลบ่อยเชียวล่ะ  ใครจะรู้ล่ะครับว่าไอ้คนตัวใหญ่เกินอายุอย่างผมจะร่างกายอ่อนแอ  แต่ก็นะ...เรื่องนั้นมันเป็นอดีต  ตอนนี้ร่างกายของผมแข็งแรงมากเลยล่ะ
     

                    “คิท หน้าเศร้าๆ นะ” ผมที่กำลังซ้อมบาสอยู่ชะงักเมื่อได้ยินเสียงทัก  คนที่ทักไม่ใช่ใครที่ไหน  พวกมันเป็นเพื่อนที่รู้ใจผมที่สุด  เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่จำความได้  ตอนประถมต้นก็เรียนอยู่อมเริกาด้วยจนเราทั้งสามเป็นเพื่อนที่แทบจะเรียกได้ว่าพี่น้องเลยทีเดียว
     

                    “เหรอ? ก็ปกติดีไม่ใช่เหรอ” ผมวางลูกบาสลงบนม้านั่งข้างสนามก่อนจะหยิบน้ำขึ้นมาดื่มดับกระหาย
     

                    “ฮึๆ นั่นสินะ  แล้วที่บอกว่าจะกลับไปบ้านเกิดนี่ยังไงวะ?” ไอ้ขิมถามขึ้นก่อนจะเดินมานั่งบนม้านั่งพร้อมไอ้บอล
     

                    “หืม? แค่วางแผนไว้เฉยๆ ยังไม่ได้ตัดสินใจเลย” ผมบอกก่อนจะรับผ้าขนหนูจากไอ้บอลมาซับเหงื่อ
     

                    “อย่าบอกนะว่ามึงจะไปเพราะเรื่องที่ทะเลาะกับคิทตี้?” ไอ้บอลถาม
     

                    “อาจจะมีส่วน  แต่เรื่องนั้นกูคิดมาตั้งนานแล้วแหละ  พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรด้วยเพราะไหนๆ ไอ้เคย์ก็จะไปเรียนต่อที่นั่นเหมือนกัน” ผมพูด  เคย์คือพี่ชายของผมเองครับ  ไอ้หมอนี่เป็นคนกินไม่เลือก  หญิงชายไม่เกี่ยง น่ารังเกียจจริงๆ  แต่เพราะมันเป็นคนหน้าตาดีก็เลยมีคนเข้ามาติดพันเรื่อยๆ 
     

                    ผมกับพี่รวมทั้งเพื่อนสองตัวนี่เกิดที่อเมริกาและเรียนที่นั่นจนกระทั่งจบประถมต้นจึงกลับมาเรียนต่อที่ประเทศไทยแต่ไอ้เคย์เรียนที่นั่นจนจบม.ต้นจึงกลับมา  ตอนนี้หมอนั่นกำลังจะจบมหาวิทยาลัยแล้วจึงจะกลับไปเรียนต่อที่นั่นอีกอย่างเพราะมันถูกแมวมองของที่นั่นมาทาบทามไปเป็นนายแบบด้วยมันก็เลยตัดสินใจไป  ผมเองก็ว่าจะตามมันไปครับ
     

                    “งั้นเหรอ? แต่จะทิ้งคิทตี้ไว้แบบนี้จะดีเหรอคิท?” ไอ้ขิมถาม 
     

                    “ก็ไม่อยากปล่อยไว้หรอก  แต่ทางที่ดีที่สุดคือกูต้องไปจากชนินทร์ซะเพื่ออนาคตของเขาด้วย  การที่เขาเบี่ยงเบนมาแบบนี้พ่อเขาคงไม่พอใจหรอก” ผมพูด  พูดถึงพ่อของชนินทร์แล้วเจ็บใจเป็นบ้า!! ก็ไอ้ลุงหน้าละอ่อนนั่นมาล่อลวงพ่อของผมน่ะสิ  ชิ!! ถึงแม่ผมจะตายไปแล้วก็ใช่ว่าผมจะยอมให้ใครมาทำหน้าที่นั้นแทนหรอกนะ
     

                    “นั่นสิ  สรุปว่ามึงตัดสินใจจะไปแล้วใช่ไหม?” ไอ้ขิมถามต่อ
     

                    “ก็ตามนั้น  ตอนนี้รอมหาลัยทางนั้นเปิดรับนักศึกษาก่อน  กูจะสอบเทียบเอาน่ะ” ผมพูด  ผมน่ะโชคดีที่เกิดที่อเมริกาภาษาอังกฤษผมจึงดี  พอกลับมาเรียนที่ไทยทักษะเรื่องคำนวณของผมก็ดีขึ้นมาก  ทั้งสองอย่างนี้ไปด้วยกันทำให้ผมเป็นคนเรียนเก่ง(แอบชมตัวเอง เหอๆ)และผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมจะสอบเทียบได้
     

                    “ถ้ามึงสอบเทียบติดมึงก็จบก่อนพวกกูน่ะสิวะ  โธ่ ไม่เอานะเว้ย ไม่อยากแพ้มึงเลยว่ะ!!” ไอ้ขิมโอดครวญ
     

                    “หุบปาก! ทั้งเรียนทั้งกีฬามึงแพ้กูตลอดแหละ” ผมตบหัวไอ้ขิม ถึงมันแพ้ผมทุกครั้งแต่มันก็แพ้ด้วยคะแนนที่ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้นส่วนเรื่องกีฬาผมเก่งกว่าหมอนี่แต่เรื่องความเร็วต้องยกให้มันจริงๆ  ฝีเท้าในการชิ่งของมันไม่มีใครเทียบได้จริงๆ ครับ

                    “โด่ อย่าเอาความจริงมาพูดเล่นสิ” ไอ้ขิมทำหน้าย่น

                    “เอ้อนี่  ถ้ากูไปแล้วฝากพวกมึงดูแลชนินทร์ด้วยนะ  ถ้ากิ๊งทำอะไรชนินทร์ฝากพวกมึงช่วยจัดการด้วยล่ะ” ผมบอก
     

                    “กูจะรับคำขอร้องของมึงไว้แต่มึงก็ต้องรับคำขอของกูเหมือนกัน” ไอ้บอลพูดด้วยสีหน้าเครียดๆ  ผมพอจะเดาออกว่ามันจะขอเรื่องอะไร
     

                    “ว่ามาสิ” ผมพยักหน้า
     

                    “แข่งบาสระดับภาคมึงจะต้องอยู่จนกว่าการแข่งขันจะจบ” ไอ้บอลพูด  ว่าแล้วเชียว  หลังจากจบการแข่งขันระดับจังหวัดก็ถึงการแข่งขันระดับภาคและมุ่งสู่การแข่งทั่วประเทศ  ถึงตอนนั้นผมก็คงจะไปแล้ว  ผมคงอยู่ไม่ถึงการแข่งระดับประเทศแน่นอน  แต่ทีมของโรงเรียนเราไม่เคยไปถึงการแข่งทั่วประเทศเสียที  เดิมทีก็ไม่ติดระดับภาคด้วยซ้ำแต่ปีนี้มีแต่นักกีฬาฝีมือดีทั้งนั้นพวกเราจึงมาได้ถึงขนาดนี้ 
     

    ผมอยู่ในตำแหน่งเซ็นเตอร์เพราะตัวสูงใหญ่ส่วนไอ้บอลอยู่ตำแหน่งพาวเวอร์ฟอร์เวิร์ดที่เป็นมือหนึ่งของทีมเพราะไอ้หมอนี่มีแรงกระโดดเยอะทำให้ดังค์และรีบาวน์ได้เป็นอย่างดี  ในทีมของพวกเรามีเพียงสองคนเท่านั้นที่ดังค์ได้แบบเต็มๆ คือผมและไอ้บอล  ไอ้เด็กที่ชื่อมินทร์ที่เข้ามาใหม่ก็มีแววจะดังค์ได้แต่หมอนั่นมีแรงกระโดดไม่พอถ้าฝึกให้เยอะกว่านี้ผมว่าไอ้หมอนี่ไปได้สวยแน่  ไอ้มินทร์คนนี้อยู่ในตำแหน่งสมอลฟอร์เวิร์ด  ส่วนชนินทร์อยู่ในตำแหน่งพอยน์การ์ดเพราะคล่องแคล่ววิ่งเร็ว  เป็นพอยน์การ์ดที่ตัวเตี้ยที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยครับแต่ฝีมือดีใช่ย่อย  ถ้าสูงขึ้นอีกสักสิบเซ็นต์คงกำลังพอดี(จะเป็นไปได้ไหมเนี่ย?)  ตำแหน่งชู้ตติ้งการ์ดไม่ต้องไปสนใจมันหรอกครับ  มันไม่ใช่คนสำคัญ เหอๆ
     

    “กูจะอยู่” ผมพยักหน้ารับ  ในทีมของเรานั้นคนที่จะมาเป็นเซ็นเตอร์แทนผมก็มีเพียงไอ้บอลเท่านั้นเพราะคนอื่นๆ ไม่มีใครสูงเท่ามันและไม่มีใครที่จะสามารถกระโดดสูงและมีแรงเยอะเท่าพวกผมอีกแล้ว  ตำแหน่งเซ็นเตอร์จะต้องเป็นคนที่มีทักษะทุกอย่างไม่ว่าจะรุกหรือตั้งรับแต่ทีมของเราหายากเหลือเกินเพราะฉะนั้นเวลาเล่นผมจะแทบไม่ได้ออกจากเกมไปพักเลย
     

    “ถ้ามึงไม่อยู่ล่ะก็คงไม่ติดหนึ่งในสี่ทีมแน่” ไอ้บอลพูด  ฮุๆ ผมเป็นตัวสำคัญในทีมครับ
     

    “อย่าชมมันเกินไปดิ  ไอ้บ้านี่ยิ่งบ้ายออยู่ด้วย” ไอ้ขิมพูดอย่างหมั่นไส้
     

    “กูไม่ใช่มึง” ผมตบหัวมันเบาๆ  ถ้าใครชมไอ้บ้าขิมนะไอ้หมอนี่มันจะยืดแบบสุดๆ ไปเลยทีเดียว



     

     

    การแข่งบาสระดับภาคจะเริ่มอีกสามอาทิตย์ช่วงนี้พวกเราชมรมบาสจึงฝึกหนักเป็นพิเศษ  ผมไม่ได้ไปฝึกกับพวกที่อยู่ในชมรมแต่ผมออกมาฝึกคนเดียว  การฝึกของผมพวกนั้นคงรับไม่ไหว  ผมต้องตื่นตั้งแต่ตีห้ามาวิ่งสิบกิโลทุกวันและซ้อมต่อจนถึงเจ็ดโมงค่อยไปอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน  ตกเย็นหลังเลิกเรียนผมก็ไปซ้อมที่คอร์ทเก่าๆ กลางแจ้งคนเดียวจนถึงสองทุ่ม  บางวันก็สามทุ่ม  หลังจากนั้นก็ไปอ่านหนังสือต่อจนถึงห้าทุ่ม  ผมต้องอ่านหนังสือชดเชยส่วนที่ผมไม่ได้เข้าเรียนเพราะไปแข่งบาสและอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัย  ตารางเวลาของผมเป็นแบบนี้แทบทุกวัน  ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าเวลากินข้าวกับเวลาอาบน้ำของผมไปไหน  มันก็รวมๆ อยู่ในนั้นแหละครับ  ผมใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวเพียงสิบนาทีส่วนเวลากินข้าวยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่เพราะผมกินเร็วมาก
     

    “พี่คิท!” ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าชมรมหลังจากที่ไม่ได้เข้ามาเกือบเดือนไอ้เด็กที่ชื่อมินทร์ก็เดินมาขวางหน้าผมไว้ด้วยสีหน้าจริงจัง  มันมีอะไรวะครับ?
     

    “มีอะไร?” ผมถามหน้านิ่งๆ ไอ้หน้าตายๆ แบบนี้ก็หน้าปกติของผมนั่นแหละครับ
     

    “ผม...อยากเล่นบาสเก่งขึ้น! ช่วยซ้อมให้ผมได้ไหมครับ!?!” ไอ้มินทร์พูดเสียงดังฟังชัดด้วยสีหน้าจริงจังสุดๆ อืม...กล้ามากที่เข้ามาคุยกับผมแบบนี้
     

    “กล้ามากที่มาขอให้ฉันสอน” ผมพยักหน้าเบาๆ และใช้เสียงต่ำในการพูด
     

    “เอ่อ...ก็พี่เก่งนี่ครับ” ไอ้เด็กมินทร์เริ่มหน้าซีดลงเมื่อผมทำท่าจะไม่สอน
     

    “ทำไมไม่ไปให้ไอ้บอลสอน  มาให้ฉันสอนทำไม?” ผมถาม  ไอ้บอลท่าทางน่าคบกว่าผมตั้งเยอะแล้วทำไมไอ้เด็กนี่ถึงทำใจกล้ามาขอร้องผมกันนะ
     

    “ที่จริง...ผมอยากจะเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์  อย่างน้อยให้ผมเป็นตัวสำรองของพี่ก็ได้” ไอ้เด็กมินทร์พูด
     

    “ถ้าไม่มีฉันคนที่จะเป็นเซ็นเตอร์คงจะเป็นไอ้บอล” ผมพยายามพูดลองเชิง  ถ้ามันยอมแพ้ผมจะไม่สอน
     

    “โธ่!! พี่สอนผมเถอะ  ให้พี่บอลเล่นตำแหน่งนั้นก็ดีอยู่แล้ว  ผมมั่นใจว่าผมจะเป็นเซ็นเตอร์ที่ดีได้” ไอ้เด็กมินทร์เริ่มหัวเสียเพราะคำพูดยั่วโมโหของผม
     

    “นายตัวเตี้ยเกินไป  ไม่เหมาะจะเป็นเซ็นเตอร์” ผมยิ้มเยาะ  หมอนี่คงสูงยังไม่ถึง180 แน่ๆ
     

    “ตอนนี้ผมกำลังโต  อาจจะสูงไม่เท่าพี่คิทแต่อาจจะสูงเท่าพี่บอลก็ได้หรือถ้าผมสูงไม่พอผมก็จะซ้อมกระโดด  ถ้ากระโดดสูงๆ ก็เป็นเซ็นเตอร์ได้ใช่ไหมครับ?” ไอ้มินทร์พูด  เพราะเซ็นเตอร์จะต้องกระโดดปัดบอลถ้ากระโดดไม่สูงก็เสียเปรียบ
     

    “นอกจากต้องกระโดดสูงแล้วแขนและขาจะต้องแข็งแรงด้วย” ผมพูดพลางสำรวจร่างกายของเด็กนี่ตั้งแต่หัวจรดเท้า  ผมเตะขาหมอนั่นพลางบีบแขนเพื่อทดสอบดูว่าแข็งแรงพอใช้ได้ไหม  มันก็พอใช้แต่ยังไม่ถึงขั้นดี  ดูท่าทางไอ้เด็กนี่จะเคยเล่นบาสมาก่อนแต่คงไม่จริงจังเท่าไหร่ร่างกายถึงยังแข็งแรงไม่พอ
     

    “ผมจะฝึกร่างกายให้กล้ามเนื้อแข็งแรงครับ!” ไอ้เด็กนั่นพูดอย่างแข็งขัน
     

    “นอกจากแข็งแรงความเร็วก็ต้องเป็นเลิศด้วย”
     

    “ผมวิ่งเร็วนะครับพี่” ไอ้เด็กมินทร์พูดอย่างมั่นใจ
     

    “ไม่ใช่แค่วิ่งอย่างเดียว  การขยับทุกส่วนของร่างกายได้อย่างรวดเร็วถึงจะเป็นประโยชน์ต่อการเล่นบาส” ผมเริ่มเทศน์
     

    “ผมจะฝึกครับ!!” ไอ้เด็กมินทร์ยืนตะเบ๊ะท่าเหมือนทหาร
     

    “นายว่าตารางฝึกของนักกีฬาโหดไหม?” ผมถาม
     

    “โหดครับ!
     

    “แต่ที่ฉันจะฝึกให้มันโหดกว่านั้น  ถ้ารับไม่ไหวก็ช่วยไม่ได้” คำพูดของผมทำให้ไอ้เด็กนั่นอ้าปากค้าง
     

    “หา!?! เอ่อ...ไหวครับ น่าจะอ่ะนะ” เสียงท้ายประโยคแผ่วลงผมจึงถามย้ำว่าไหวไหมไอ้เด็กนั่นจึงรีบตอบอย่างรวดเร็วว่าไหว
     

    เมื่อเห็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเด็กวัยละอ่อน(?)ผมจึงโทรติดต่อไปหาไอ้จิ้นเรื่องจะให้ไอ้เด็กมินทร์อยู่ในความดูแลของผม  ตอนแรกไอ้จิ้นก็ตกใจเพราะผมไม่สอนใครง่ายๆ แต่มันก็ยอมให้ไอ้เด็กมินทร์เป็นเด็กในสังกัด(?)ผมและย้ำนักย้ำหนาว่าจะต้องฝึกให้ไอ้เด็กนี่เป็นเหมือนผมให้ได้  ดูท่าทางไอ้จิ้นจะถูกใจเด็กคนนี้ไม่น้อย
     

    “ต่อไปนี้ฉันจะเคี่ยวนายให้เป็นนักบาสที่เก่งให้ได้  อย่าตายซะก่อนล่ะ” ผมกอดอกพูด  ไอ้เด็กมินทร์ยิ้มกว้างก่อนจะพยักหน้า
     

    “ครับผม!!” ไอ้เด็กมินทร์ยืนตัวตรง
     

    “เอามือถือมาดิ๊” ผมหยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะแบมือออกไปข้างหน้า
     

    “เอ่อ ครับ” ไอ้เด็กมินทร์รับคำก่อนจะหยิบมือถือมาวางไว้บนมือผม  ผมกดเบอร์ของผมให้มันก่อนจะเดินจากไป



     

     

    “แม่ง  ตอนให้เบอร์พี่คิทหล่อสัตว์” มินทร์ตาเยิ้มเมื่อรู้ว่าคีตกวีทิ้งเบอร์โทรไว้ให้  คนที่อยากได้เบอร์ของเขานั้นมีมากมายแต่กลับไม่มีใครได้มาสักคนเพราะไม่ว่าจะขออย่างไรชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ยอมให้  แต่เขาเป็นคนที่ได้เบอร์โทรศัพท์จากผู้ชายทรงเสน่ห์อย่างนั้นทั้งๆ ที่ไม่ได้ขอ  ถึงจะไม่ได้คลั่งไคล้แต่เจอแบบนี้มินทร์ถึงกับเขินไปเลยทีเดียว

     



     

    ผมนัดไอ้เด็กมินทร์ออกมาวิ่งกับผมและเคี่ยวเข็ญให้มันซ้อมจนถึงเจ็ดโมงเช้า  แค่วิ่งสิบกิโลไอ้เด็กนั่นก็แทบทรุดยิ่งต้องมาซ้อมต่อมันก็แทบเป็นลมลำบากผมต้องแบกมันกลับไปที่หอหลังจากซ้อมเสร็จ  ก็น่าเห็นใจอยู่หรอกนะแต่เพื่อจะให้มันชินกับการฝึกของผมเร็วๆ ผมจึงต้องโหดเข้าไว้
     

    พอตกเย็นผมก็พาไอ้มินทร์มาซ้อมกับผมที่คอร์ทกลางแจ้งอันเป็นสถานที่ลับของผม  ริจะเป็นศิษย์ของผมก็ต้องสนิทกับผมไว้ก่อนสิครับ ฮึๆ
     

    “เฮ้ย! ขาน่ะเหยียดตรง!” ขณะที่ผมกำลังให้ไอ้มินทร์โหนบาร์ผมก็ใช้กิ่งไม้ยาวๆ ตีขาที่ขดงอของมัน  โหนได้แค่สิบครั้งไอ้หมอนี่ก็แทบไม่ไหวแล้ว  ไม่ได้ๆ อย่างน้อยต้องได้สิบห้าครั้งขึ้นไปสิ!
     

    “แฮ่ก! เก้า...สิบ...เฮือก! สะ...สิบเอ็ด” ไอ้เด็กมินทร์นับไปเรื่อยๆก่อนจะปล่อยตัวลงจากบาร์เพราะมันโหนต่อไปไม่ไหวแล้ว
     

    “อ่อนแอจริงๆ” ผมบ่น
     

    “ไหนพี่ลองทำดูสิ  มันเหนื่อยนะพี่” ไอ้มินทร์ทรุดลงนั่งบนพื้นซีเมนต์ก่อนจะหอบแห่กและท้าทายผม
     

    “งั้นก็ดูเอาไว้ซะ” ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะโหนบาร์เป็นแบบอย่างให้แก่รุ่นน้อง  ผมโหนให้มันดูแค่ยี่สิบครั้งแต่สูงสุดที่ผมทำได้คือยี่สิบเจ็ดครั้ง
     

    “ปิศาจชัดๆ” ไอ้มินทร์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะนอนราบลงบนพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน
     

    “มินทร์...ชนินทร์เป็นไงบ้าง มีความสุขดีไหม?” ผมเดินไปดื่มน้ำก่อนจะถามขึ้น  ไอ้เด็กนั่นเงยหน้ามองผมด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะพูด
     

    “ซึมๆ ไปบ้างแต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” พอพูดถึงตรงนี้ไอ้เด็กมินทร์ก็หน้าบึ้งทันที  ท่าทางจะโกรธผมอยู่บ้างที่ไปทำให้เพื่อนมันเสียใจ  ก็ไม่อยากจะทำหรอกนะ
     

    “อีกหน่อยก็คงทำใจได้เอง” ผมถอนหายใจเบาๆ
     

    “ผมถามจริงเหอะ! ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้ด้วย  ถ้าพี่ไม่ได้รักเพื่อนผมพี่ก็อย่าให้ความหวังมันตั้งแต่แรกสิครับ” ไอ้เด็กมินทร์ทำเสียงไม่พอใจใส่ผม  แกเป็นที่สองรองจากชนินทร์ที่กล้าขึ้นเสียงกับฉันนะไอ้หนู ฮึ่ม
     

    “ฉันมีเหตุผลของฉันละกันน่า” ผมบอกปัดๆ  ตูไม่น่าชวนมันคุยเรื่องชนินทร์เลยฟร่ะ
     

    “เหตุผลอะไร?  พี่บอกผมสิ  ถ้ามันสมเหตุสมผลผมอาจจะพอรับได้  ที่จริงแล้วผมโคตรโกรธพี่เลยที่มาทำแบบนี้กับไอ้คิท  ท่าทางที่นิ่งเฉยของพี่มันทำให้ไอ้คิทเจ็บมากพี่รู้ตัวบ้างไหม!?!” ไอ้เด็กมินทร์ลุกขึ้นยืนก่อนจะตะคอกใส่ผมด้วยน้ำเสียงสั่นๆ มันคงจะเกรงกลัวผมบ้างเสียงก็เลยสั่นแบบนั้น
     

    “คิดว่าฉันไม่เจ็บหรือไง! ก็เพราะฉันไม่อยากให้ชนินทร์เจ็บไงฉันถึงต้องทำแบบนั้น  ถ้าฉันยังดันทุรังที่จะยุ่งกับชนินทร์ต่อไปคนที่เจ็บสุดๆ ก็คือตัวชนินทร์เอง!” ผมตะคอกกลับ
     

    “ทำไมล่ะ?  ดูท่าทางพี่ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยนี่” ไอ้เด็กมินทร์มองผมอย่างตัดพ้อ
     

    ผมมองหน้ามันก่อนจะค่อยๆ เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังโดยที่กำชับนักกำชับหนาว่าไม่ให้บอกใครเด็ดขาด  มันเองก็เห็นด้วยกับวิธีการของผมเพราะหากผมไม่ทำแบบนี้เพื่อนของมันก็จะยิ่งเจ็บอย่างที่ผมบอก  ผมไว้ใจไอ้เด็กนี่  เพราะมันดูจริงใจ  คนที่กล้าเถียงผมน่ะมันมีไม่มากหรอกแต่ไอ้เด็กนี่มันกล้าผมจึงถูกใจมันเป็นพิเศษ  และหลังจากวันนั้นไอ้เด็กมินทร์ก็กลายเป็นรุ่นน้องที่สนิทกับผมมากที่สุด  จากที่เคยเกร็งเวลาอยู่กับผมตอนนี้มันก็ผ่อนคลายจนกลายเป็นความสนิทสนม  แต่ถึงกระนั้นไอ้เด็กนี่ก็ยังไม่รู้จักตัวตนของผมดีนักเพราะผมไม่แสดงความอ่อนแอของผมให้มันเห็น  และหมอนี่ก็กลายเป็นคนที่คอยดูแลชนินทร์แทนผมและคอยรายงานเรื่องชนินทร์ให้ผมฟังไปโดยปริยาย

     

     

    Special END.


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ตอนนี้หวังว่าหลายๆ คนจะเข้าใจคีตะมากขึ้นน้า ฮ่าๆๆ
    แต่ว่าตอนนี้แอบมีโมเม้นต์คีตะมินทร์นะเนี่ย ฮ่าๆๆ  เมะชนเมะ!

    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×