คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #48 : Rule 41 : เบื้องหลังความเจ็บปวด
Special Keeta’s part
ผู้หญิงที่ผมเคยรักมาก ผู้หญิงคนแรกที่ผมมีอะไรด้วย เธอเป็นน้องสาวของเพื่อนพ่อที่อายุห่างจากผมสิบปี ผมตกหลุมรักเธอทันทีที่เห็นหน้า เราสนิทกันมากเพราะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจบอกรักเธอ และวันนั้นที่ผมบอกรักผมกับเธอก็มีอะไรกัน หลังจากที่คบกันได้เพียงหนึ่งปีเธอก็หักอกผมจนสภาพจิตใจผมยับเยิน ผมสูบบุหรี่กินเหล้าย้อมใจจนเสียคนนอกจากนั้นผมยังเที่ยวผู้หญิงเป็นว่าเล่นกว่าผมจะฟื้นสภาพกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ก็กินเวลาไปถึงหนึ่งปี ครั้งแรก...มันผูกพันนี่ครับ
ผมรู้จักกับกิ๊งตอนอยู่ม.1 ผมบอกรักเธอตอนผมอยู่ม.2 และเธอก็ทิ้งผมไปตอนผมอยู่ม.3 หลังจากที่อกหักผมก็เป็นคนเย็นชาไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้า เวลายิ้มหรือหัวเราะก็ทำส่งๆ ไม่จริงใจเลยสักครั้ง
หลังจากที่ผมทำใจได้จนลืมเธอไปแล้วเธอก็มาปรากฏตัวต่อหน้าผม เธอขอโทษและขอคืนดี ผมยังไม่ได้ตอบตกลงเพราะผมยังไม่แน่ใจ ใจหนึ่งผมก็ยังอยากจะกลับไปรักกิ๊งแต่อีกใจมันก็แปลกไปเมื่อมีใครเข้ามา ผมเจ็บกับกิ๊งมากเยอะใจลึกๆ ของผมจึงต่อต้านที่จะกลับไป
ผมตัดสินใจไม่กลับไปคบกับกิ๊งโดยให้เหตุผลที่ว่าผมมีคนที่ชอบแล้ว ตอนนั้นผมแค่อยากจะหาข้ออ้างพราะไม่อยากกลับไปเจ็บซ้ำๆ แต่จะว่าไปตอนนั้นผมก็สนใจเด็กคนหนึ่งอยู่เหมือนกัน เขามีอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้ผมละสายตาไปจากเขาไม่ได้
“เอางี้ไหมคีตะ เรามาพนันกันดีกว่า ถ้าเธอทำให้เด็กคนนั้นรักเธอได้ฉันจ่ายสองหมื่นแต่ถ้าเธอแพ้เธอจะต้องมาเป็นของฉันแค่คนเดียว”
“ก็เอาสิ น่าสนุกดี”
ในตอนนั้นผมคิดว่าอยากจะแกล้งไอ้เด็กจองหองที่กล้าต่อยปากผมตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน เด็กนั่นประกาศอยู่ตลอดว่าเกลียดเกย์ผมจึงอยากจะลองให้หมอนั่นกลับคำดู อยากจะแกล้ง...แค่แกล้งเท่านั้น...แต่สุดท้ายคนที่ถูกสวรรค์ลงโทษก็คือตัวผมเอง ผม...หลงรักเด็กคนนั้นเข้าไปเต็มๆ
“กิ๊ง ฉันว่าเราเลิกพนันกันดีกว่า” ผมตัดสินใจบอกยกเลิกเรื่องพนันเพราะผมไม่อยากทำร้ายชนินทร์ รู้ตัวอีกทีผมก็หลงรักชนินทร์จนถอนตัวไม่ขึ้น แค่เห็นหมอนั่นไปเจ๊าะแจ๊ะกับใครผมก็หึงจนเลือดขึ้นหน้า ตอนที่หมอนั่นบอกว่ากำลังจะมีแฟนผมเสียใจมาก ความรู้สึกมันรุนแรงกว่าตอนที่ถูกกิ๊งทิ้งซะอีกแต่ตอนนั้นผมไม่โทษใครเลยที่ชนินทร์ทิ้งผมไป ผมโทษตัวผมเองที่มักมาก
ชนินทร์เห็นตอนที่ผมกำลังจะมีอะไรกับกิ๊งในห้องชมรม ตอนนั้นกิ๊งบอกผมว่าถ้าลองมีอะไรกันอีกสักครั้งอาจจะรู้ใจตัวเองจริงๆ ก็ได้ผมก็เลยตกลงแต่ตอนนั้นเราไม่ได้มีอะไรกันหรอกครับเพราะไอ้วาโทรมาขัดเสียก่อน ผมโล่งใจมากที่ไอ้วาโทรมาเพราะตอนนั้นผมไม่ได้อยากจะมีอะไรกับใครเลยนอกจากชนินทร์
ผมบังคับชนินทร์ให้มีอะไรด้วยและสุดท้ายเราก็เข้าใจกัน ผมรู้ใจตัวเองแล้วจริงๆ ว่าผมไม่สามารถมีใครได้อีก เขี้ยวเล็บของผมถูกชนินทร์ค่อยๆ ถอนออกไปช้าๆ จนมันหมด ความมักมากของผมเริ่มลดทอนลงเมื่อเจอกับชนินทร์ ไม่ต้องมีเรื่องเซ็กส์ก็ได้ขอแค่ชนินทร์อยู่ข้างผม...ผมคิดเช่นนั้นผมจึงไปบอกยกเลิกข้อตกลงระหว่างผมกับกิ๊ง
“ยกเลิก? เธอทำให้เด็กคนนั้นรักเธอไม่ได้สินะ” กิ๊งหัวเราะเยาะ
“ผิดแล้วกิ๊ง ที่ฉันมายกเลิกก็เพราะฉันรักชนินทร์ ฉันไม่อยากทำร้ายเขาไปมากกว่านี้” ผมบอกกิ๊งแต่ดูเหมือนกิ๊งจะไม่เชื่อ
“ไม่จริงหรอกคีตะ เธอไม่มีทางรักใครนอกจากฉันเพราะฉันเป็นผู้หญิงคนแรกของเธอ” กิ๊งไล้คางผมก่อนจะหัวเราะสะใจ
“ก็จริงที่ฉันเคยรักเธอมากแต่มันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันถูกเธอหักอกจนยับเยินขนาดนี้ฉันคงจะกลับไปรักเธอได้อีกหรอกนะ” ผมแสยะยิ้มบ้าง นึกถึงตอนนั้นผมก็รู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกินที่ทุ่มเทให้กับผู้หญิงคนนี้จนยอมเข้าไปยุ่งกับอบายมุขต่างๆ
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่เธอมีหลักฐานไหมว่าเด็กคนนั้นรักเธอ ถ้าเธอมีหลักฐานว่าเธอทำให้เด็กคนนั้นรักเธอได้ฉันก็จะปล่อยเธอไปพร้อมกับเงินสองหมื่น แต่ถ้าไม่มีแสดงว่าเธอแพ้พนันและเธอต้องเป็นของฉัน” กิ๊งหัวเสียเมื่อถูกผมบอกว่าไม่ได้รักเธออีกแล้ว
“มีสิ” ผมหยิบรูปถ่ายขึ้นมาสามสี่ใบเพื่อยืนยันว่าผมกับชนินทร์รักกันจริงๆ ผมแอบถ่ายรูปตอนที่ชนินทร์นอนทับผมไว้เพราะอยากเอาไว้ดูเล่นๆ และเอาไว้แกล้งให้ชนินทร์อาย ผมไม่รู้เลยว่ารูปเหล่านั้นจะทำลายความสัมพันธ์ของชนินทร์กับผมอย่างสิ้นเชิง ผมก็แค่...ไม่อยากกลับไปตกอยู่ในวังวนเดิมๆ และถูกผู้หญิงตรงหน้าใช้เป็นที่ระบายอารมณ์อย่างว่า กับเด็กอย่างผมเธอไม่คิดจะจริงจังด้วยตั้งแต่แรก
กิ๊งเก็บรูปถ่ายพวกนั้นไว้และขู่ว่าถ้าผมไม่คบกับเธอเธอจะเอารูปพวกนั้นไปเผยแพร่ สำหรับผมผมไม่สนหรอกครับว่าใครจะเอาเรื่องของผมไปประจารณ์ ดีเสียอีกเพราะทุกคนจะได้รู้ว่าผมคบกับชนินทร์คนที่เล็งชนินทร์อยู่จะได้เลิกยุ่งกับชนินทร์เสียที แต่ถ้ารูปนี้เผยแพร่ออกไปคนที่เดือดร้อนจะเป็นชนินทร์เสียเอง เขาจะอับอายมากแค่ไหนถ้าคนอื่นๆ รู้ว่าเขามีอะไรกับผู้ชายทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนบอกเองว่าเกลียดเกย์ เพราะเรื่องนั้นผมจึงต้องยอมรับเงื่อนไขของกิ๊งอย่างช่วยไม่ได้
กิ๊งให้ผมเลิกยุ่งกับชนินทร์และอยู่กับเธอคนเดียว เวลาผมเห็นชนินทร์เดินผ่านผมอยากจะเข้าไปกอดเอาไว้แต่ทำไม่ได้ กิ๊งจับตามองผมอยู่เสมอจนผมอึดอัด
กีฬาสีวันสุดท้ายที่ผมแข่งวิ่งหาของ ของที่ให้หาคือเจ้าสาวในอนาคต ตอนนั้นผมคิดอย่างเดียวว่าถ้าได้ชุดเจ้าสาวมาแล้วผมจะเอาไปให้ชนินทร์ใส่ ผมอยากจะอุ้มชนินทร์ด้วยแขนทั้งสองข้างของผมและเอาไปอวดคนอื่นๆ อยากจะประกาศว่าชนินทร์เป็นของผมคนเดียวแต่แล้วผมกลับทำไม่ได้ ถ้าผมทำอย่างนั้น...ชนินทร์ก็คงจะเดือดร้อน
ผมเป็นผู้ชายที่แย่จริงๆ ทั้งๆ ที่เห็นคนรักอยู่ตรงหน้าแต่กลับคว้ามาไม่ได้ ทางเดียวที่จะไม่ทำให้ชนินทร์เจ็บก็คือผมต้องบอกลาและจากชนินทร์มาซะ แม้ใบหน้าผมจะฉาบด้วยความเย็นชาแต่ในใจผมไม่ได้เย็นชาเหมือนหน้าเลย ผมเลิกรักชนินทร์ไม่ได้หรอกครับ ผมรู้ว่าชนินทร์เองก็รักผมเหมือนกันผมรู้ว่าชนินทร์เจ็บไม่น้อยไปกว่าผมเพราะฉะนั้นผมจึงต้องทำให้ชนินทร์เกลียด เขาจะได้ลืมผมไปซะ เขาจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดที่เห็นผมอยู่กับผู้หญิงคนอื่น
รู้ทั้งรู้ว่าเรารักกันแต่ผมกลับรักษาความรักนั้นไว้ไม่ได้ ผมยอมให้ชนินทร์รู้เพียงแค่ว่าผมทิ้งเขามาหากิ๊งก็พอ ให้เขาเจ็บเพียงแค่นั้นก็พอ ส่วนความเจ็บที่เหลือผมขอรับไว้เอง เพราะถ้าชนินทร์เจ็บมากไปกว่านี้เขาจะต้องร้องไห้แน่ๆ ผมไม่อยากเห็นน้ำตาของชนินทร์...
กิ๊งเริ่มปล่อยข่าวลือเรื่องเธอกับผมทำให้มีเสียงซุบซิบนินทากันหนาหูขึ้นทุกวันๆ เวลาเราเดินไปไหนมาไหนด้วยกันก็มักจะมีสายตาแปลกๆ จ้องมองมา สำหรับผมแล้วสายตาพวกนั้นมันไม่สะเทือนหรอกเพราะผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ใครจะมองผมยังไง พูดถึงผมยังไงผมไม่สนหรอกเพราะผมมันเย็นชาแถมยังหน้าด้านอีกด้วย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?! ทำไมถึงมีข่าวเรื่องพวกเธอปล่อยออกมา” อาจารย์ฝ่ายปกครองซึ่งเป็นอาจารย์ที่ผมสนิทด้วยเนื่องจากผมเป็นกรรมการฝ่ายปกครองถามขึ้นหลังจากเรียกผมกับกิ๊งเข้าไปหา
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ” ผมตอบด้วยใบหน้านิ่งงัน อยู่กับกิ๊งผมไม่เคยยิ้มเลยจนไอ้คีตะคนเก่าที่ไม่ยิ้มไม่หัวเราะกลับมา ตั้งแต่ผมเจอกับชนินทร์ผมก็เริ่มยิ้มได้อย่างจริงใจ
“ไม่มีอะไรได้อย่างไร!?! บอกทีได้ไหมว่าเรื่องที่พวกนักเรียนพูดกันมันไม่ใช่เรื่องจริง มันผิดไม่ใช่เหรอที่ครูกับนักเรียนจะคบกัน” อาจารย์ฝ่ายปกครองตบโต๊ะพลางตวาดเสียงดัง
“ที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงค่ะ เรื่องความรักมันไม่เข้าใครออกใครนะคะ” กิ๊งเถียงขึ้น ฮึๆๆ ใช่...เรื่องความรักไม่เข้าใครออกใครจริงๆ
“คุณไม่ต้องพูด!! เรื่องคราวนี้คุณสมควรถูกไล่ออก ผมจะเอาเรื่องนี้ไปยื่นผอ.” อาจารย์ฝ่ายปกครองชี้หน้ากิ๊งจนเธอโผเข้ามากอดแขนผมเอาไว้
“ครูครับ อย่าไล่กิ๊งออก” ผมพูดเสียงเด็ดขาด
“คีตกวี?” อาจารย์ฝ่ายปกครองมองหน้าผมอย่างไม่เข้า
“ตามนั้นแหละครับ” ผมพูดก่อนจะสะบัดแขนของตัวเองออกจากการเกาะกุมและรีบเดินออกจากห้องปกครองซะ ที่ผมพูดออกไปอย่างนั้นก็เพราะกิ๊งขู่ผมเอาไว้ ก่อนเธอจะไปเธอจะต้องสร้างเรื่องแย่ๆ เอาไว้ให้ผมกับชนินทร์ปวดหัวแน่ สู้ให้อยู่ที่นี่และรักษาความลับไว้จะดีกว่า
พอผมเปิดประตูออกไปผมก็เจอเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าห้อง พอไอ้เด็กนั่นเห็นผมมันก็รีบวิ่งแจ้นออกไปทันที ถ้าจำไม่ผิด...หมอนั่นอยู่ห้องเดียวกับชนินทร์ เฮ้อ คราวนี้ถูกเกลียดมากกว่าเดิมแน่ไอ้คีตะเอ๊ย
ตกเย็นผมก็ไปซ้อมบาสที่สนามกลางแจ้งเก่าๆ หลังสวนตามปกติ ที่จริงผมเป็นคนร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงหรอกครับแต่เพราะได้ออกกำลังกายอยู่เสมอโรคภัยไข้เจ็บผมจึงหายไป ตอนเด็กๆ ผมเข้าโรงพยาบาลบ่อยเชียวล่ะ ใครจะรู้ล่ะครับว่าไอ้คนตัวใหญ่เกินอายุอย่างผมจะร่างกายอ่อนแอ แต่ก็นะ...เรื่องนั้นมันเป็นอดีต ตอนนี้ร่างกายของผมแข็งแรงมากเลยล่ะ
“คิท หน้าเศร้าๆ นะ” ผมที่กำลังซ้อมบาสอยู่ชะงักเมื่อได้ยินเสียงทัก คนที่ทักไม่ใช่ใครที่ไหน พวกมันเป็นเพื่อนที่รู้ใจผมที่สุด เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่จำความได้ ตอนประถมต้นก็เรียนอยู่อมเริกาด้วยจนเราทั้งสามเป็นเพื่อนที่แทบจะเรียกได้ว่าพี่น้องเลยทีเดียว
“เหรอ? ก็ปกติดีไม่ใช่เหรอ” ผมวางลูกบาสลงบนม้านั่งข้างสนามก่อนจะหยิบน้ำขึ้นมาดื่มดับกระหาย
“ฮึๆ นั่นสินะ แล้วที่บอกว่าจะกลับไปบ้านเกิดนี่ยังไงวะ?” ไอ้ขิมถามขึ้นก่อนจะเดินมานั่งบนม้านั่งพร้อมไอ้บอล
“หืม? แค่วางแผนไว้เฉยๆ ยังไม่ได้ตัดสินใจเลย” ผมบอกก่อนจะรับผ้าขนหนูจากไอ้บอลมาซับเหงื่อ
“อย่าบอกนะว่ามึงจะไปเพราะเรื่องที่ทะเลาะกับคิทตี้?” ไอ้บอลถาม
“อาจจะมีส่วน แต่เรื่องนั้นกูคิดมาตั้งนานแล้วแหละ พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรด้วยเพราะไหนๆ ไอ้เคย์ก็จะไปเรียนต่อที่นั่นเหมือนกัน” ผมพูด เคย์คือพี่ชายของผมเองครับ ไอ้หมอนี่เป็นคนกินไม่เลือก หญิงชายไม่เกี่ยง น่ารังเกียจจริงๆ แต่เพราะมันเป็นคนหน้าตาดีก็เลยมีคนเข้ามาติดพันเรื่อยๆ
ผมกับพี่รวมทั้งเพื่อนสองตัวนี่เกิดที่อเมริกาและเรียนที่นั่นจนกระทั่งจบประถมต้นจึงกลับมาเรียนต่อที่ประเทศไทยแต่ไอ้เคย์เรียนที่นั่นจนจบม.ต้นจึงกลับมา ตอนนี้หมอนั่นกำลังจะจบมหาวิทยาลัยแล้วจึงจะกลับไปเรียนต่อที่นั่นอีกอย่างเพราะมันถูกแมวมองของที่นั่นมาทาบทามไปเป็นนายแบบด้วยมันก็เลยตัดสินใจไป ผมเองก็ว่าจะตามมันไปครับ
“งั้นเหรอ? แต่จะทิ้งคิทตี้ไว้แบบนี้จะดีเหรอคิท?” ไอ้ขิมถาม
“ก็ไม่อยากปล่อยไว้หรอก แต่ทางที่ดีที่สุดคือกูต้องไปจากชนินทร์ซะเพื่ออนาคตของเขาด้วย การที่เขาเบี่ยงเบนมาแบบนี้พ่อเขาคงไม่พอใจหรอก” ผมพูด พูดถึงพ่อของชนินทร์แล้วเจ็บใจเป็นบ้า!! ก็ไอ้ลุงหน้าละอ่อนนั่นมาล่อลวงพ่อของผมน่ะสิ ชิ!! ถึงแม่ผมจะตายไปแล้วก็ใช่ว่าผมจะยอมให้ใครมาทำหน้าที่นั้นแทนหรอกนะ
“นั่นสิ สรุปว่ามึงตัดสินใจจะไปแล้วใช่ไหม?” ไอ้ขิมถามต่อ
“ก็ตามนั้น ตอนนี้รอมหาลัยทางนั้นเปิดรับนักศึกษาก่อน กูจะสอบเทียบเอาน่ะ” ผมพูด ผมน่ะโชคดีที่เกิดที่อเมริกาภาษาอังกฤษผมจึงดี พอกลับมาเรียนที่ไทยทักษะเรื่องคำนวณของผมก็ดีขึ้นมาก ทั้งสองอย่างนี้ไปด้วยกันทำให้ผมเป็นคนเรียนเก่ง(แอบชมตัวเอง เหอๆ)และผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมจะสอบเทียบได้
“ถ้ามึงสอบเทียบติดมึงก็จบก่อนพวกกูน่ะสิวะ โธ่ ไม่เอานะเว้ย ไม่อยากแพ้มึงเลยว่ะ!!” ไอ้ขิมโอดครวญ
“หุบปาก! ทั้งเรียนทั้งกีฬามึงแพ้กูตลอดแหละ” ผมตบหัวไอ้ขิม ถึงมันแพ้ผมทุกครั้งแต่มันก็แพ้ด้วยคะแนนที่ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้นส่วนเรื่องกีฬาผมเก่งกว่าหมอนี่แต่เรื่องความเร็วต้องยกให้มันจริงๆ ฝีเท้าในการชิ่งของมันไม่มีใครเทียบได้จริงๆ ครับ
“โด่ อย่าเอาความจริงมาพูดเล่นสิ” ไอ้ขิมทำหน้าย่น
“เอ้อนี่ ถ้ากูไปแล้วฝากพวกมึงดูแลชนินทร์ด้วยนะ ถ้ากิ๊งทำอะไรชนินทร์ฝากพวกมึงช่วยจัดการด้วยล่ะ” ผมบอก
“กูจะรับคำขอร้องของมึงไว้แต่มึงก็ต้องรับคำขอของกูเหมือนกัน” ไอ้บอลพูดด้วยสีหน้าเครียดๆ ผมพอจะเดาออกว่ามันจะขอเรื่องอะไร
“ว่ามาสิ” ผมพยักหน้า
“แข่งบาสระดับภาคมึงจะต้องอยู่จนกว่าการแข่งขันจะจบ” ไอ้บอลพูด ว่าแล้วเชียว หลังจากจบการแข่งขันระดับจังหวัดก็ถึงการแข่งขันระดับภาคและมุ่งสู่การแข่งทั่วประเทศ ถึงตอนนั้นผมก็คงจะไปแล้ว ผมคงอยู่ไม่ถึงการแข่งระดับประเทศแน่นอน แต่ทีมของโรงเรียนเราไม่เคยไปถึงการแข่งทั่วประเทศเสียที เดิมทีก็ไม่ติดระดับภาคด้วยซ้ำแต่ปีนี้มีแต่นักกีฬาฝีมือดีทั้งนั้นพวกเราจึงมาได้ถึงขนาดนี้
ผมอยู่ในตำแหน่งเซ็นเตอร์เพราะตัวสูงใหญ่ส่วนไอ้บอลอยู่ตำแหน่งพาวเวอร์ฟอร์เวิร์ดที่เป็นมือหนึ่งของทีมเพราะไอ้หมอนี่มีแรงกระโดดเยอะทำให้ดังค์และรีบาวน์ได้เป็นอย่างดี ในทีมของพวกเรามีเพียงสองคนเท่านั้นที่ดังค์ได้แบบเต็มๆ คือผมและไอ้บอล ไอ้เด็กที่ชื่อมินทร์ที่เข้ามาใหม่ก็มีแววจะดังค์ได้แต่หมอนั่นมีแรงกระโดดไม่พอถ้าฝึกให้เยอะกว่านี้ผมว่าไอ้หมอนี่ไปได้สวยแน่ ไอ้มินทร์คนนี้อยู่ในตำแหน่งสมอลฟอร์เวิร์ด ส่วนชนินทร์อยู่ในตำแหน่งพอยน์การ์ดเพราะคล่องแคล่ววิ่งเร็ว เป็นพอยน์การ์ดที่ตัวเตี้ยที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยครับแต่ฝีมือดีใช่ย่อย ถ้าสูงขึ้นอีกสักสิบเซ็นต์คงกำลังพอดี(จะเป็นไปได้ไหมเนี่ย?) ตำแหน่งชู้ตติ้งการ์ดไม่ต้องไปสนใจมันหรอกครับ มันไม่ใช่คนสำคัญ เหอๆ
“กูจะอยู่” ผมพยักหน้ารับ ในทีมของเรานั้นคนที่จะมาเป็นเซ็นเตอร์แทนผมก็มีเพียงไอ้บอลเท่านั้นเพราะคนอื่นๆ ไม่มีใครสูงเท่ามันและไม่มีใครที่จะสามารถกระโดดสูงและมีแรงเยอะเท่าพวกผมอีกแล้ว ตำแหน่งเซ็นเตอร์จะต้องเป็นคนที่มีทักษะทุกอย่างไม่ว่าจะรุกหรือตั้งรับแต่ทีมของเราหายากเหลือเกินเพราะฉะนั้นเวลาเล่นผมจะแทบไม่ได้ออกจากเกมไปพักเลย
“ถ้ามึงไม่อยู่ล่ะก็คงไม่ติดหนึ่งในสี่ทีมแน่” ไอ้บอลพูด ฮุๆ ผมเป็นตัวสำคัญในทีมครับ
“อย่าชมมันเกินไปดิ ไอ้บ้านี่ยิ่งบ้ายออยู่ด้วย” ไอ้ขิมพูดอย่างหมั่นไส้
“กูไม่ใช่มึง” ผมตบหัวมันเบาๆ ถ้าใครชมไอ้บ้าขิมนะไอ้หมอนี่มันจะยืดแบบสุดๆ ไปเลยทีเดียว
การแข่งบาสระดับภาคจะเริ่มอีกสามอาทิตย์ช่วงนี้พวกเราชมรมบาสจึงฝึกหนักเป็นพิเศษ ผมไม่ได้ไปฝึกกับพวกที่อยู่ในชมรมแต่ผมออกมาฝึกคนเดียว การฝึกของผมพวกนั้นคงรับไม่ไหว ผมต้องตื่นตั้งแต่ตีห้ามาวิ่งสิบกิโลทุกวันและซ้อมต่อจนถึงเจ็ดโมงค่อยไปอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน ตกเย็นหลังเลิกเรียนผมก็ไปซ้อมที่คอร์ทเก่าๆ กลางแจ้งคนเดียวจนถึงสองทุ่ม บางวันก็สามทุ่ม หลังจากนั้นก็ไปอ่านหนังสือต่อจนถึงห้าทุ่ม ผมต้องอ่านหนังสือชดเชยส่วนที่ผมไม่ได้เข้าเรียนเพราะไปแข่งบาสและอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัย ตารางเวลาของผมเป็นแบบนี้แทบทุกวัน ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าเวลากินข้าวกับเวลาอาบน้ำของผมไปไหน มันก็รวมๆ อยู่ในนั้นแหละครับ ผมใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวเพียงสิบนาทีส่วนเวลากินข้าวยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่เพราะผมกินเร็วมาก
“พี่คิท!” ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าชมรมหลังจากที่ไม่ได้เข้ามาเกือบเดือนไอ้เด็กที่ชื่อมินทร์ก็เดินมาขวางหน้าผมไว้ด้วยสีหน้าจริงจัง มันมีอะไรวะครับ?
“มีอะไร?” ผมถามหน้านิ่งๆ ไอ้หน้าตายๆ แบบนี้ก็หน้าปกติของผมนั่นแหละครับ
“ผม...อยากเล่นบาสเก่งขึ้น! ช่วยซ้อมให้ผมได้ไหมครับ!?!” ไอ้มินทร์พูดเสียงดังฟังชัดด้วยสีหน้าจริงจังสุดๆ อืม...กล้ามากที่เข้ามาคุยกับผมแบบนี้
“กล้ามากที่มาขอให้ฉันสอน” ผมพยักหน้าเบาๆ และใช้เสียงต่ำในการพูด
“เอ่อ...ก็พี่เก่งนี่ครับ” ไอ้เด็กมินทร์เริ่มหน้าซีดลงเมื่อผมทำท่าจะไม่สอน
“ทำไมไม่ไปให้ไอ้บอลสอน มาให้ฉันสอนทำไม?” ผมถาม ไอ้บอลท่าทางน่าคบกว่าผมตั้งเยอะแล้วทำไมไอ้เด็กนี่ถึงทำใจกล้ามาขอร้องผมกันนะ
“ที่จริง...ผมอยากจะเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ อย่างน้อยให้ผมเป็นตัวสำรองของพี่ก็ได้” ไอ้เด็กมินทร์พูด
“ถ้าไม่มีฉันคนที่จะเป็นเซ็นเตอร์คงจะเป็นไอ้บอล” ผมพยายามพูดลองเชิง ถ้ามันยอมแพ้ผมจะไม่สอน
“โธ่!! พี่สอนผมเถอะ ให้พี่บอลเล่นตำแหน่งนั้นก็ดีอยู่แล้ว ผมมั่นใจว่าผมจะเป็นเซ็นเตอร์ที่ดีได้” ไอ้เด็กมินทร์เริ่มหัวเสียเพราะคำพูดยั่วโมโหของผม
“นายตัวเตี้ยเกินไป ไม่เหมาะจะเป็นเซ็นเตอร์” ผมยิ้มเยาะ หมอนี่คงสูงยังไม่ถึง180 แน่ๆ
“ตอนนี้ผมกำลังโต อาจจะสูงไม่เท่าพี่คิทแต่อาจจะสูงเท่าพี่บอลก็ได้หรือถ้าผมสูงไม่พอผมก็จะซ้อมกระโดด ถ้ากระโดดสูงๆ ก็เป็นเซ็นเตอร์ได้ใช่ไหมครับ?” ไอ้มินทร์พูด เพราะเซ็นเตอร์จะต้องกระโดดปัดบอลถ้ากระโดดไม่สูงก็เสียเปรียบ
“นอกจากต้องกระโดดสูงแล้วแขนและขาจะต้องแข็งแรงด้วย” ผมพูดพลางสำรวจร่างกายของเด็กนี่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมเตะขาหมอนั่นพลางบีบแขนเพื่อทดสอบดูว่าแข็งแรงพอใช้ได้ไหม มันก็พอใช้แต่ยังไม่ถึงขั้นดี ดูท่าทางไอ้เด็กนี่จะเคยเล่นบาสมาก่อนแต่คงไม่จริงจังเท่าไหร่ร่างกายถึงยังแข็งแรงไม่พอ
“ผมจะฝึกร่างกายให้กล้ามเนื้อแข็งแรงครับ!” ไอ้เด็กนั่นพูดอย่างแข็งขัน
“นอกจากแข็งแรงความเร็วก็ต้องเป็นเลิศด้วย”
“ผมวิ่งเร็วนะครับพี่” ไอ้เด็กมินทร์พูดอย่างมั่นใจ
“ไม่ใช่แค่วิ่งอย่างเดียว การขยับทุกส่วนของร่างกายได้อย่างรวดเร็วถึงจะเป็นประโยชน์ต่อการเล่นบาส” ผมเริ่มเทศน์
“ผมจะฝึกครับ!!” ไอ้เด็กมินทร์ยืนตะเบ๊ะท่าเหมือนทหาร
“นายว่าตารางฝึกของนักกีฬาโหดไหม?” ผมถาม
“โหดครับ!”
“แต่ที่ฉันจะฝึกให้มันโหดกว่านั้น ถ้ารับไม่ไหวก็ช่วยไม่ได้” คำพูดของผมทำให้ไอ้เด็กนั่นอ้าปากค้าง
“หา!?! เอ่อ...ไหวครับ น่าจะอ่ะนะ” เสียงท้ายประโยคแผ่วลงผมจึงถามย้ำว่าไหวไหมไอ้เด็กนั่นจึงรีบตอบอย่างรวดเร็วว่าไหว
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเด็กวัยละอ่อน(?)ผมจึงโทรติดต่อไปหาไอ้จิ้นเรื่องจะให้ไอ้เด็กมินทร์อยู่ในความดูแลของผม ตอนแรกไอ้จิ้นก็ตกใจเพราะผมไม่สอนใครง่ายๆ แต่มันก็ยอมให้ไอ้เด็กมินทร์เป็นเด็กในสังกัด(?)ผมและย้ำนักย้ำหนาว่าจะต้องฝึกให้ไอ้เด็กนี่เป็นเหมือนผมให้ได้ ดูท่าทางไอ้จิ้นจะถูกใจเด็กคนนี้ไม่น้อย
“ต่อไปนี้ฉันจะเคี่ยวนายให้เป็นนักบาสที่เก่งให้ได้ อย่าตายซะก่อนล่ะ” ผมกอดอกพูด ไอ้เด็กมินทร์ยิ้มกว้างก่อนจะพยักหน้า
“ครับผม!!” ไอ้เด็กมินทร์ยืนตัวตรง
“เอามือถือมาดิ๊” ผมหยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะแบมือออกไปข้างหน้า
“เอ่อ ครับ” ไอ้เด็กมินทร์รับคำก่อนจะหยิบมือถือมาวางไว้บนมือผม ผมกดเบอร์ของผมให้มันก่อนจะเดินจากไป
“แม่ง ตอนให้เบอร์พี่คิทหล่อสัตว์” มินทร์ตาเยิ้มเมื่อรู้ว่าคีตกวีทิ้งเบอร์โทรไว้ให้ คนที่อยากได้เบอร์ของเขานั้นมีมากมายแต่กลับไม่มีใครได้มาสักคนเพราะไม่ว่าจะขออย่างไรชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ยอมให้ แต่เขาเป็นคนที่ได้เบอร์โทรศัพท์จากผู้ชายทรงเสน่ห์อย่างนั้นทั้งๆ ที่ไม่ได้ขอ ถึงจะไม่ได้คลั่งไคล้แต่เจอแบบนี้มินทร์ถึงกับเขินไปเลยทีเดียว
ผมนัดไอ้เด็กมินทร์ออกมาวิ่งกับผมและเคี่ยวเข็ญให้มันซ้อมจนถึงเจ็ดโมงเช้า แค่วิ่งสิบกิโลไอ้เด็กนั่นก็แทบทรุดยิ่งต้องมาซ้อมต่อมันก็แทบเป็นลมลำบากผมต้องแบกมันกลับไปที่หอหลังจากซ้อมเสร็จ ก็น่าเห็นใจอยู่หรอกนะแต่เพื่อจะให้มันชินกับการฝึกของผมเร็วๆ ผมจึงต้องโหดเข้าไว้
พอตกเย็นผมก็พาไอ้มินทร์มาซ้อมกับผมที่คอร์ทกลางแจ้งอันเป็นสถานที่ลับของผม ริจะเป็นศิษย์ของผมก็ต้องสนิทกับผมไว้ก่อนสิครับ ฮึๆ
“เฮ้ย! ขาน่ะเหยียดตรง!” ขณะที่ผมกำลังให้ไอ้มินทร์โหนบาร์ผมก็ใช้กิ่งไม้ยาวๆ ตีขาที่ขดงอของมัน โหนได้แค่สิบครั้งไอ้หมอนี่ก็แทบไม่ไหวแล้ว ไม่ได้ๆ อย่างน้อยต้องได้สิบห้าครั้งขึ้นไปสิ!
“แฮ่ก! เก้า...สิบ...เฮือก! สะ...สิบเอ็ด” ไอ้เด็กมินทร์นับไปเรื่อยๆก่อนจะปล่อยตัวลงจากบาร์เพราะมันโหนต่อไปไม่ไหวแล้ว
“อ่อนแอจริงๆ” ผมบ่น
“ไหนพี่ลองทำดูสิ มันเหนื่อยนะพี่” ไอ้มินทร์ทรุดลงนั่งบนพื้นซีเมนต์ก่อนจะหอบแห่กและท้าทายผม
“งั้นก็ดูเอาไว้ซะ” ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะโหนบาร์เป็นแบบอย่างให้แก่รุ่นน้อง ผมโหนให้มันดูแค่ยี่สิบครั้งแต่สูงสุดที่ผมทำได้คือยี่สิบเจ็ดครั้ง
“ปิศาจชัดๆ” ไอ้มินทร์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะนอนราบลงบนพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน
“มินทร์...ชนินทร์เป็นไงบ้าง มีความสุขดีไหม?” ผมเดินไปดื่มน้ำก่อนจะถามขึ้น ไอ้เด็กนั่นเงยหน้ามองผมด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะพูด
“ซึมๆ ไปบ้างแต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” พอพูดถึงตรงนี้ไอ้เด็กมินทร์ก็หน้าบึ้งทันที ท่าทางจะโกรธผมอยู่บ้างที่ไปทำให้เพื่อนมันเสียใจ ก็ไม่อยากจะทำหรอกนะ
“อีกหน่อยก็คงทำใจได้เอง” ผมถอนหายใจเบาๆ
“ผมถามจริงเหอะ! ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้ด้วย ถ้าพี่ไม่ได้รักเพื่อนผมพี่ก็อย่าให้ความหวังมันตั้งแต่แรกสิครับ” ไอ้เด็กมินทร์ทำเสียงไม่พอใจใส่ผม แกเป็นที่สองรองจากชนินทร์ที่กล้าขึ้นเสียงกับฉันนะไอ้หนู ฮึ่ม
“ฉันมีเหตุผลของฉันละกันน่า” ผมบอกปัดๆ ตูไม่น่าชวนมันคุยเรื่องชนินทร์เลยฟร่ะ
“เหตุผลอะไร? พี่บอกผมสิ ถ้ามันสมเหตุสมผลผมอาจจะพอรับได้ ที่จริงแล้วผมโคตรโกรธพี่เลยที่มาทำแบบนี้กับไอ้คิท ท่าทางที่นิ่งเฉยของพี่มันทำให้ไอ้คิทเจ็บมากพี่รู้ตัวบ้างไหม!?!” ไอ้เด็กมินทร์ลุกขึ้นยืนก่อนจะตะคอกใส่ผมด้วยน้ำเสียงสั่นๆ มันคงจะเกรงกลัวผมบ้างเสียงก็เลยสั่นแบบนั้น
“คิดว่าฉันไม่เจ็บหรือไง! ก็เพราะฉันไม่อยากให้ชนินทร์เจ็บไงฉันถึงต้องทำแบบนั้น ถ้าฉันยังดันทุรังที่จะยุ่งกับชนินทร์ต่อไปคนที่เจ็บสุดๆ ก็คือตัวชนินทร์เอง!” ผมตะคอกกลับ
“ทำไมล่ะ? ดูท่าทางพี่ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยนี่” ไอ้เด็กมินทร์มองผมอย่างตัดพ้อ
ผมมองหน้ามันก่อนจะค่อยๆ เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังโดยที่กำชับนักกำชับหนาว่าไม่ให้บอกใครเด็ดขาด มันเองก็เห็นด้วยกับวิธีการของผมเพราะหากผมไม่ทำแบบนี้เพื่อนของมันก็จะยิ่งเจ็บอย่างที่ผมบอก ผมไว้ใจไอ้เด็กนี่ เพราะมันดูจริงใจ คนที่กล้าเถียงผมน่ะมันมีไม่มากหรอกแต่ไอ้เด็กนี่มันกล้าผมจึงถูกใจมันเป็นพิเศษ และหลังจากวันนั้นไอ้เด็กมินทร์ก็กลายเป็นรุ่นน้องที่สนิทกับผมมากที่สุด จากที่เคยเกร็งเวลาอยู่กับผมตอนนี้มันก็ผ่อนคลายจนกลายเป็นความสนิทสนม แต่ถึงกระนั้นไอ้เด็กนี่ก็ยังไม่รู้จักตัวตนของผมดีนักเพราะผมไม่แสดงความอ่อนแอของผมให้มันเห็น และหมอนี่ก็กลายเป็นคนที่คอยดูแลชนินทร์แทนผมและคอยรายงานเรื่องชนินทร์ให้ผมฟังไปโดยปริยาย
Special END.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนนี้หวังว่าหลายๆ คนจะเข้าใจคีตะมากขึ้นน้า ฮ่าๆๆ
แต่ว่าตอนนี้แอบมีโมเม้นต์คีตะมินทร์นะเนี่ย ฮ่าๆๆ เมะชนเมะ!
ความคิดเห็น