ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I'm not gay!! แต่คนที่ชอบบังเอิญเป็นผู้ชาย (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #50 : Rule 43 : สองปีที่ผ่านไป

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 13.5K
      39
      18 เม.ย. 56

    Rule 43 : สองปีที่ผ่านไป




                    หลังจากที่ไอ้คีตะหนีหายไปจากผมได้ไม่นานการแข่งบาสระดับเขตก็มาถึง  ทีมของเราพอไม่มีไอ้คีตะแล้วลำบากจริงๆ  กว่าจะผ่านเข้ามารอบสิบหกทีมสุดท้ายก็หืดขึ้นคอ  พี่บอลที่ต้องรับหน้าที่แทนไอ้คีตะทำงานหนักมากครับ  ไอ้คีตะนั้นเป็นเซ็นเตอร์ที่ความสามารถมากๆ อีกทั้งร่างกายยังสูงใหญ่พอไม่มีมันโอกาสที่จะเสียเปรียบก็มีมาก  แต่ไม่ใช่ว่าพี่บอลเล่นได้ไม่ดีหรอกนะเพียงแต่ว่าพอพี่บอลปัดลูกได้แล้วมันไม่มีใครที่จะเล่นเข้าขาแบบว่ามองตาแล้วรู้ใจได้อย่างไอ้คีตะน่ะสิ
     

                    เฮ้อ จะว่าไปผมก็คิดถึงมันแฮะ  ไม่รู้ว่าป่านนี้มันไปมีสาวที่ไหนหรือยัง  ไม่รู้ว่ามันจะยังรักผมอยู่หรือเปล่า  ไม่ใช่ว่าไปเจอสาวๆ สวยๆ อึ๋มๆ ที่นั่นแล้วจะลืมผมหรอกนะ  ถ้ามันลืมจริงๆ ล่ะก็ผมจะจัดการให้มันเป็นหมันเลยคอยดูสิ
     

                    “ช่วงนี้แข่งเยอะว่ะ  เหนื่อย” ไอ้มินทร์ที่มานอนเล่นห้องของพวกผมพูดพลางถอนหายใจ  ที่จริงที่มันมาที่นี่ก็เพราะมาให้ไอ้วาติวหนังสือให้เนื่องจากพวกเรามีสอบย่อยและผมกับไอ้มินทร์ก็แทบไม่ได้เรียนกันเลย  เหตุผลที่มันไม่ให้ไอ้พีทติวให้ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันก็เพราะไอ้พีทมันเป็นคนสอนใครไม่เป็น  พอได้สอนแล้วมันจะพูดไม่รู้เรื่องเลยล่ะครับ
     

                    “แต่หุ่นมึงดีขึ้นนะมินทร์” ไอ้วาแกล้งเอานิ้วไปจิ้มๆ ที่พุงของไอ้มินทร์อย่างหยอกล้อ  เห็นผู้ชายตัวควายสองตัวทำแบบนี้แล้วขนลุกว่ะ
     

                    “เชี่ยวา  กูขนลุกว่ะ” ไอ้มินทร์ปัดมือไอ้วาออกจากหน้าท้องของตัวเองก่อนจะทำหน้าแหยงๆ  คงจะมีแค่พี่จิ้นสินะที่ทำกับมึงแบบนี้ได้น่ะไอ้มินทร์ ฮึๆ
     

                    “วา...มึงติดต่อกับพี่มึงบ้างหรือเปล่า?” ผมที่เงียบไปสักพักถามไอ้วาขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
     

                    “โทษทีนะ  แต่ฉันไม่รู้จะติดต่อเฮียยังไงจริงๆ” ไอ้วามองผมนิดหน่อยก่อนจะส่ายหน้าไปมา
     

                    “นั่นสินะ  หมอนั่นมันทิ้งกูไปแล้วนี่” ผมชันเข่าขึ้นก่อนจะกอดเข่าของตัวเองเอาไว้
     

                    “มึงจะคิดเรื่องนี้ให้มันเศร้าไปทำไมวะ  ถ้าเศร้านักก็หาสาวมาดามใจซะเลยสิวะ” ไอ้มินทร์พูด
     

                    “ไม่เอา  กูจะรอมัน  ต่อให้นานแค่ไหนกูก็จะรอ” ผมพูดเสียงเบาๆ พลางขยำผ้าห่มแน่น  ผมคิดถึงมันจริงๆ นะ  พออยู่ใกล้ๆ ก็คิดแต่จะประชดให้เขาสนใจแต่พอเขาไปห่างไกลกลับมานั่งรู้สึกผิด  ถ้าผมยอมลดทิฐิเรื่องที่ตัวเองเกลียดเกย์ลงแล้วล่ะก็ไอ้คีตะคงไม่ต้องแบกรับความรู้สึกอึดอัดเอาไว้คนเดียวหรอก  ถ้าผมยอมรับที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์มันก็คงจะไม่เก็บความรู้สึกแย่ๆ เอาไว้คนเดียว
     

                    “น้ำเน่าว่ะ” ไอ้วากับไอ้มินทร์พูดออกมาแทบจะพร้อมกัน
     

                    “เอ้อ  คิทตี้รู้อะไรไหม? วันแรกที่คุณนักดนตรีลึกลับมาเปิดรายการวิทยุของโรงเรียนน่ะ  คนที่เป็นดีเจอย่างเฮียเคย์เส้นเสียงอักเสบ  คนที่พูดแทนเฮียเคย์ในวันนั้นก็คือเฮียคิทนะรู้หรือเปล่า? ที่จริงฉันเพิ่งได้ยินพวกพี่ดินพูดกันเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง” ไอ้วาพูดออกมาอย่างนึกขึ้นได้  ผมอึ้งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ  แสดงว่าคนที่ผมหลงรักครั้งแรกก็คือไอ้คีตะสินะ  ดีจังเลยที่ผมรู้สึกดีกับเสียงแรกที่ได้ยิน  ความประทับใจครั้งแรกมันสำคัญมากจริงๆ
     

                    “จริงเหรอ?” ผมก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง
     

                    “นี่...ถ้าคิดถึงจริงๆ ฉันไปถามพ่อเฮียให้ก็ได้นะว่าจะติดต่อเฮียได้ยังไง” ไอ้วาพูดออกมาอย่างเห็นใจที่ผมเอาแต่เศร้าเพราะคิดถึงไอ้คีตะ
     

                    “ไม่ต้องหรอก  กูเองก็อยากรู้ว่าถ้าห่างกันแบบนี้มันจะลืมกูและกูเองจะลืมมันหรือเปล่า  ถ้ากูไม่ลืมล่ะก็กูจะไปหามันเอง  มันทำอะไรให้กูมาเยอะมากแล้ว” ผมบอก
     

                    “สู้ๆ นะ” ไอ้วากับไอ้มินทร์ตบไหล่ให้กำลังใจผมก่อนที่ไอ้วาจะเริ่มติวหนังสือให้ผมกับไอ้มินทร์อย่างจริงจัง



     

     

                    การแข่งบาสระดับภาคมีต่อไปเรื่อยๆ  เอ้าหมายของพวกเราก็คือการผ่านเข้ามาอยู่ในสี่ทีมสุดท้ายเพื่อที่จะเข้าไปแข่งในระดับประเทศแต่สุดท้ายพวกเราก็พ่ายแพ้ให้แก่ทีมของพี่กวินที่ฟอร์มทีมมาอย่างดีส่วนทีมของไอ้มอสนั้นไม่ได้เข้ามาอยู่ในสิบหกทีมซะด้วยซ้ำ  พวกเราเสียดายที่ไม่ชนะแต่ก็ไม่ได้เสียใจเพราะมาได้ถึงขนาดนี้มันก็ดีที่สุดสำหรับพวกเราในตอนนี้แล้ว
     

                    “คิท ให้โอกาสพี่อีกครั้งได้ไหมครับ?” พี่กวินเดินมาลากผมไปคุยหลังแข่งเสร็จ  เป็นแมทช์ที่น่าประทับใจมากสำหรับคู่แข่งอย่างพวกเรา  ทั้งสนุกทั้งเหนื่อยทั้งเสียใจและภูมิใจ  ดีจริงๆ ที่ได้แข่งกับพี่กวินอีกครั้ง
     

                    “พี่วิน  ผมน่ะไม่เคยคิดกับพี่เกินกว่าความเป็นพี่น้อง  และหัวใจของผมตอนนี้มันไม่ได้อยู่ที่ผมแล้วครับ” ผมวางมือไว้บนหลังมือที่กำลังกุมมืออีกข้างของผมก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ  พี่กวินทำหน้าเศร้าหมองไปนิดก่อนจะยิ้มให้ผม
     

                    “ฮ้า! พี่โล่งใจที่ได้สารภาพรักกับเราตรงๆ และพี่ก็ดีใจนะที่เรามีความรักจริงๆ ซะที  ถึงพี่จะไม่มีโอกาสได้เลื่อนขึ้นไปเป็นคนรู้ใจแต่พี่ขอเป็นพี่ชายของเราเหมือนเดิมได้ไหม?” พี่กวินยิ้มกว้างให้ผม
     

                    “ได้สิครับพี่ชาย” ผมยิ้มให้พี่กวินอย่างจริงใจและละทิ้งความเกลียดชังที่เคยมีออกจากหัวใจก่อนจะโผเข้ากอดพี่กวิน
     

                    “ขอบใจนะที่ให้อภัยพี่” พี่กวินพูดก่อนจะโอบกอดผมเอาไว้เบาๆ  หลังจากปรับความเข้าใจและความบาดหมางใจกันได้แล้วผมกับพี่กวินก็สัญญาว่าจะติดต่อกันตลอดจากนั้นก็บอกลากัน  หวังว่าพี่กวินเองก็จะแข่งบาสต่อไปในส่วนของพวกเราที่ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้อย่างเต็มที่นะ
     

                    จนถึงตอนนี้ผมรักไอ้คีตะด้วยหัวใจและไม่ว่าจะผ่านไปกี่วัน กี่เดือน กี่ปีผมก็จะรอ  รอฟังคำว่ารักจากปากมันอีกครั้ง  เมื่อก่อนผมอาจจะไม่แน่ใจกับคำว่ารักของมันแต่ต่อไปนี้ถ้ามันพูดผมก็จะเชื่อ  เชื่อว่ามันรักผมจริงๆ ไม่ใช่แค่การหลอกลวง




     

    Special Keeta’s part
     

    2 ปีแล้วสินะที่ผมจมปลักอยู่กับชีวิตเดิมๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  หัวใจของผมด้านชาไม่มีความรู้สึกหวือหวาเหมือนแต่ก่อน  ผมปิดผนึกความรู้สึกไว้ในส่วนลึกของจิตใจ  ตอนนี้...เวลานี้...ผมไม่สามารถรักใครได้อีกแล้ว
     

    ที่อเมริกาพวกเราจะมีเซ็กส์อย่างไรก็ได้เพราะเขาเปิดกว้าง  ถ้าเป็นผมเมื่อก่อนผมก็คงเที่ยวผู้หญิงให้สนุกสุดเหวี่ยงแต่ผมในตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแบบนั้นเลย  แค่เพื่อนชวนไปดื่มที่บาร์ผมก็แทบไม่อยากไป  แม้จะผ่านมานานถึงสองปีแต่ผมก็ยังไม่เคยลืมคนที่ทำให้ผมรักได้อย่างหมดใจ
     

    ตอนนี้เพื่อนในกลุ่มของผมก็คงจะเรียนจบมัธยมปลายแล้วล่ะครับ  ส่วนคนที่ผมรักก็คงกำลังเครียดกับการหาที่เรียนในระดับอุดมศึกษา  การเรียนของผมที่นี่ก็ราบรื่นดีแม้จะสะดุดบ้างเพราะมันยากพอสมควรกับการต้องเรียนหมอแต่ทำยังไงได้ล่ะครับเมื่อผมเลือกที่จะมาทางนี้ด้วยตัวของผมเอง
     

    “คีตะ! ไปเล่นบาสที่สตรีทบาสกันเถอะ!” เสียงตะโกนเรียกของเพื่อนชายต่างคณะที่พักอยู่ในละแวกเดียวกันดังขึ้นขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในบ้าน  ที่ที่ผมอยู่เป็นบ้านของแม่ผมที่เสียไปแล้วและตากับยายของผมก็เสียไปแล้วเช่นกันบ้านหลังนี้จึงถูกปล่อยถึงร้างมานานหลายปีจนกระทั่งผมกับพี่เข้ามาอยู่
     

    “โอเค” ผมตะโกนตอบก่อนจะคว้ากุญแจบ้านมาไว้ในมือและหยิบลูกบาสติดมือออกไปด้วย  เวลาเย็นๆ แบบนี้พี่ผมเขาไปทำงานแหละครับ  หมอนั่นมาเรียนต่อปริญญาโทที่นี่และทำงานเป็นนายแบบไปด้วย  ผมพูดตรงๆ เลยนะครับว่าพี่ชายผมมันดูดีมากแต่นิสัยมันเสียสุดๆ แถมยังชอบโดดงาน  พอทีมงานตามตัวไม่เจอคนพวกนั้นก็มักจะโทรหาผมและสุดท้ายคนที่ถ่ายแบบก็เป็นผมซะเอง  ผมเข้าใจเลยครับว่าทำไมพี่ชายผมถึงชอบโดดงานเพราะงานนี้มันน่าเบื่อมากและที่สำคัญผมเมาเครื่องสำอางสุดๆ ตอนแต่งหน้าเพื่อถ่ายแบบครั้งแรกเล่นเอาผมแทบล้มเพราะมึนกลิ่นเครื่องสำอาง
     

    RRRRR
     

    เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้นขณะที่กำลังเดินไปสตรีทบาสพร้อมกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่มายืนรอผมอยู่หน้าบ้าน  สตรีทบาสคือชื่อที่พวกเราเรียกคอร์ทบาสที่พวกเราไปเล่นประจำ  เป็นสนามบาสกลางแจ้งสองสนามติดกัน  พวกผู้ชายวัยรุ่นที่ชอบบาสส่วนใหญ่ในละแวกนี้มักไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น
     

    “สวัสดีครับพ่อ” ผมรับสายเป็นภาษาไทยจนพวกเพื่อนๆ หันมามองว่าผมพูดอะไรผมจึงต้องหันไปอธิบายให้พวกมันฟังว่าพ่อผมโทรมาพวกมันจึงเข้าใจ
     

    “คิท เดี๋ยวพ่อจะไปหานะลูก” พ่อบอก  ผมคลี่ยิ้มบางๆ
     

    “มาทำไมครับพ่อ?” ผมถามแม้จะดีใจที่พ่อจะมาหา
     

    “พอดีเอ่อ...ไอ้วิคจะไปดูงานที่นั่นพอดีพ่อก็เลยถือโอกาสไปเยี่ยมลูกด้วย” พ่อผมพูดเสียงอ่อนๆ  พ่อคงยังคิดว่าผมไม่เห็นด้วยที่พ่อกับพ่อของชนินทร์เป็นแฟนกัน  ที่จริงผมก็ไม่ค่อยชอบใจหรอกที่พ่อคบผู้ชายแต่ผมว่าพ่อไม่ได้เพราะผมก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน
     

    “แล้วหมอนั่น...เอ่อ...คุณวิคเขาไปดูงานที่รัฐไหนครับ?” ผมถาม
     

    “ไป Newmaxico น่ะ” พ่อตอบ  อืม...ผมอยู่ LA และ นิวแม็กเองก็ไม่ได้ไกลจากแอลเอสักเท่าไหร่นั่งเครื่องครู่เดียวก็ถึงแล้ว
     

    “มาวันไหนครับพ่อ?”
     

    “พ่อจะเดินทางพรุ่งนี้เช้าน่ะพอดีว่างานของวิคมันกะทันหัน” พ่อบอก
     

    “ครับ  ถ้าพ่อมาถึงแล้วโทรหาผมนะเดี๋ยวผมมารับที่สนามบิน  พ่อมาลงที่ LA ใช่ไหมครับ?” ผมถามอีกรอบเพื่อเมคชัวร์ว่าผมจะไปรอถูกที่
     

    “ใช่ลูก  แต่ไม่ต้องมารับหรอกเพราะวิคมันจะขึ้นเครื่องต่อไปที่โน่นเลย  เอาเป็นว่าถ้าเสร็จงานแล้วพ่อจะไปหาลูกเอง”
     

    “โอเคครับ  เดี๋ยวผมบอกพี่ให้ว่าพ่อจะมาหา” ผมพูดก่อนจะวางสาย  พอคุยจบผมก็หันไปพยักหน้าให้เพื่อนก่อนพวกมันจะเริ่มคุยกันเสียงดังอึกทึกราวกับว่าถนนสายนี้พวกเราครอง

     



     

    ตอนที่ผมมาอยู่ที่นี่ครั้งแรกเพื่อนเก่าสมัยเด็กของผมเขาก็แยกย้ายกันไปเรียนที่อื่นจนหมด  มาอยู่ที่นี่ผมกับพี่เหมือนเป็นเด็กใหม่ที่ไม่รู้จักใครและไม่มีใครรู้จัก  พวกเพื่อนบ้านในละแวกนี้จำพวกเราได้เพราะเป็นชาวต่างชาติ  ตอนมาอยู่แรกๆ ผมเหงามากเลยล่ะครับ
     

    ผมในตอนนั้นเดินเล่นไปเรื่อยๆ เพื่อซึมซับบรรยากาศเก่าๆ และไปเจอกับสตรีทบาสที่สร้างใหม่  ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายๆ มีพวกเด็กมิดไฮสคูลมาเล่นบาส  ลูกบาสของเด็กพวกนั้นกลิ้งมาอยู่แทบเท้าของผม  เพียงแค่เห็นลูกบาสเท่านั้นผมก็คิดถึงโรงเรียนของพ่อทันที  ผมคิดถึงชนินทร์
     

    หลังจากนั้นผมก็ไปเล่นบาสกับเด็กพวกนั้นจนถึงเย็น  พอเย็นแล้วพวกเด็กไฮสคูลกับเด็กมหาวิทยาลัยก็เข้ามารวมกลุ่ม  ผมรู้จักกับพวกเพื่อนๆ ก็เพราะสตรีทบาสแห่งนี้ซึ่งเจ้าพวกนี้แม้จะดูเกเรและกวนตีนแต่พวกมันก็นิสัยดีมาก  ต่างจากเพื่อนที่เรียนหมอด้วยกันอย่างสิ้นเชิง  เจ้าพวกนั้นดีแต่ภายนอกเท่านั้น
     

    “คีตะ เมื่อกี้เด็กในสังกัดมาบอกว่าพวกกุ๊ยข้างถนนมาขอท้าแข่งกับพวกเรา  พวกมันซ่ามาก  เล่นงานเด็กเราซะยับ” แม็คเดินมาสะกิดไหล่ผมเพื่อบอกข่าวด้วยสีหน้าเครียดๆ  เด็กในสังกัดที่ว่าก็คือพวกเด็กไฮสคูลที่เป็นลูกน้องของพวกเรา  เด็กพวกนี้เป็นเด็กที่พวกผมสอนบาสให้
     

    “เล่นซะยับนี่แสดงว่าพวกนั้นเล่นบาสเก่งล่ะสิ” ผมถามกลับ  ผมไม่อยากจะโม้หรอกนะว่าผมเป็นตัวทำคะแนนของทีม  ผมเล่นบาสที่นี่ผมไม่ใช่เซ็นเตอร์อีกต่อไปเพราะมีคนที่มีกำลังมากกว่าผมและตัวใหญ่กว่าผมเป็นเซ็นเตอร์อยู่แล้วผมจึงได้เล่นตำแหน่งชูตติ้งการ์ดที่แม่นในการยิงลูก
     

    “เก่งไม่เก่งไม่รู้รู้แต่ว่าพวกนั้นมันตีคนเก่งมากว่ะ  เด็กเราหน้ายับหน้าแหกกันถ้วนหน้า” ไอ้แม็คพูดอีก  ผมยืดตัวเต็มความสูงก่อนจะชะเง้อคอมองไปที่กลุ่มเด็กผู้ชายหัวสีทองอร่ามที่นั่งเกาะกลุ่มกันทำแผล
     

    “แบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้” ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน  พวกเพื่อนแสยะยิ้มเมื่อเห็นผมเริ่มเอาจริง  เจ้าพวกนี้มันออกแนวเด็กเกเรเล็กน้อยเพราะชอบต่อยตีคนที่มาหาเรื่อง  พวกเราไม่ไปหาเรื่องใครก่อนแต่ถ้าใครไม่พอใจกับความกวนตีนของพวกเราล่ะก็เข้ามาได้เลยเพราะพวกเราไม่กลัว
     

    “พวกเด็กๆ บอกว่าพวกนั้นจะมาที่นี่อีกทีตอนสองทุ่ม” คริสโตเฟอร์หรือคริสบอก  ที่สตรีทบาสเขามีสปอร์ตไลท์ส่องให้เล่นบาสกันได้ทั้งคืนเลยล่ะครับแต่ว่าส่วนมากก็จะอยู่ถึงแค่สี่ทุ่มเท่านั้นเพราะอากาศมันจะหนาวมาก
     

    “ก็ดี  คันไม้คันมือมานานแล้ว” โจนาธานหรือจอห์นหักนิ้วมือกรอบๆ อย่างนึกสนุก
     

    ผมคบกับเพื่อนกลุ่มนี้ได้ก็เพราะพวกมันเหมือนเพื่อนกลุ่มเดิมของผม  ไอ้คริสเปรียบเสมือนไอ้บอลที่ดูนิ่งๆ ใจดีอ่อนโยนและคอยเคลียร์ปัญหาให้ทุกอย่าง  ไอ้จอห์นเปรียบเหมือนไอ้ขิมที่ชอบหาเรื่องวอนตีนและเจ้าชู้ไปวันๆ แต่พอให้ทำอะไรก็ทำอย่างจริงจังไม่ขาดตกบกพร่อง  ส่วนไอ้แม็คก็เหมือนไอ้ดินที่มีความเป็นผู้นำแค่ภายนอกที่จริงภายในก็เป็นกังวลอยู่ตลอดว่าตัวจะเป็นผู้นำได้ดีหรือไม่  ไอ้แม็คนี่แหละที่เป็นหัวหน้าทีมบาสของพวกเรา
     

    “คีตะ  ผมเจ็บมากเลยครับ ฮึก! คีตะต้องแก้แค้นให้ผมด้วยนะ” ไอ้เด็กคนหนึ่งที่ถูกเล่นงานวิ่งเข้ามาสวมกอดผมอย่างเต็มรักซึ่งผมก็ลูบผมของมันเบาๆ  ไอ้เด็กนี่ชอบมาอ้อนผมเสมอเลยเพราะผมเหมือนพี่ชายของมันที่ออกจากบ้านไปอยู่ที่นิวยอร์กมาก  ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าผมจะเหมือนพี่มันไปได้อย่างไรเมื่อตัวผมเนี่ยไม่ใช่ฝรั่งแท้ๆ ซักหน่อย  แต่ช่างเถอะ  มีเด็กมาอ้อนมันก็รู้สึกดีแบบแปลกๆ
     

    “ได้  ฉันจะแก้แค้นให้นายเองนะนิก” ผมตบบ่าเจ้าเด็กเตี้ยเบาๆ หลังจากมันผละออกจากอกของผม  ที่นี่ใช่ว่าจะมีแต่คนตัวใหญ่ๆ นะครับ  เด็กที่เมืองนี้มีแต่คนตัวเล็กๆ ยิ่งเด็กผู้หญิงยิ่งตัวเล็ก  เด็กไฮสคูลบางคนสูงไม่ถึงอกผมด้วยซ้ำ  แต่ถ้ามีคนตัวใหญ่มันก็ตัวใหญ่มากเหมือนกันครับ

     



     

    เวลาสองทุ่มตรงเจ้าพวกกุ๊ยที่เล่นงานเด็กๆ ของพวกผมก็มากันกลุ่มใหญ่ในมีท่อนเหล็กติดมาด้วย  พวกผมถอยเล็กน้อยไม่คิดว่าพวกมันจะมีอาวุธกันครบมือ  ซวยแล้วกู  จะหลบทันไหมเนี่ย?
     

    “คีตะ มันมีอาวุธว่ะ” ไอ้แม็คกระซิบกับผมเบาๆ  เวลานี้คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่พวกผมต่างก็แตกฮือเมื่อเห็นนักเลงกลุ่มใหญ่มารวมตัวกัน  ไอ้พวกเด็กในสังกัดของพวกผมก็วิ่งไปหลบข้างหลังเพราะกลัว
     

    “มันมากันแบบนี้เราจะถอยก็ไม่ได้” ผมพูด  เอาวะ  ผมคนนี้ผ่านอะไรมาก็เยอะ  มีประสบการณ์ตีกันก็ไม่ใช่น้อยเพราะฉะนั้นกับอีแค่พวกกุ๊ยไม่มีการศึกษาทำไมผมจะทำอะไรไม่ได้
     

    “นี่พวกนาย  ทำไมพวกนายต้องมาทำร้ายเด็กพวกนี้ด้วย” ไอ้คริสเดินออกมายืนข้างหน้าพวกเราก่อนจะทำใจกล้าถามออกไป
     

    “ไม่รู้  เห็นแล้วหมั่นไส้ มีอะไรไหม?” ไอ้คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุดสูบบุหรี่เข้าเต็มปอดก่อนจะพ่นควันออกมาพลางพูดอย่างกวนตีน
     

    “กวนตีนแบบนี้มันต้องมีเรื่องกันซักตั้ง!” ไอ้จอห์นโพล่งออกไปอย่างเดือดดาล  ไอ้เวรนี่! มึงท้าเขาแบบนั้นมึงไม่กลัวตายหรือไงวะ  พวกมันมีอาวุธครบมือนะเว้ย  ถ้าโกรธจัดจนไล่ฟาดพวกเราขึ้นมามึงต้องรับผิดชอบนะไอ้เลว
     

    “เอาสิ  กูมาก็เพราะจุดประสงค์นั้น” ไอ้คนเดิมมันทิ้งบุหรี่ลงบนพื้นก่อนจะใช้เท้าบี้ให้แบน
     

    เหมือนเป็นสัญญาณหลังจากที่ไอ้หมอนั่นมันบี้บุหรี่เสร็จพวกที่อยู่ข้างหลังมันก็กรูกันเข้ามาหาพวกผม  ไอ้พวกที่เล่นๆ บาสกันอยู่รีบวิ่งหนีกลับบ้าน  ส่วนเด็กของพวกผมไม่ได้หนีแต่กำลังกลัวจนตัวสั่น
     

    “พวกแกกลับบ้านไป! แล้วไปแจ้งตำรวจซะ” ระหว่างที่พวกเพื่อนของผมกำลังรับมือกับนักเลงกลุ่มนั้นผมก็รีบวิ่งไปบอกไอ้พวกเด็กๆ
     

    “คีตะ ระวัง!!” ไอ้นิกมันตะโกนทั้งน้ำตาพลางชี้ไปที่ด้านหลังผม  ผมเอียงตัวหลบกระบองเหล็กก่อนจะจับมันเอาไว้โดยที่ไม่ต้องหันไปมองคนฟาด  แค่ได้ยินเสียงผมก็พอจะเดาทิศทางของกระบองออก
     

    “รีบไปสิ!” ผมไล่  ไอ้เด็กพวกนั้นจึงรีบวิ่งหนีไป  เมื่อพวกเด็กๆ ไม่อยู่ผมก็กระชากกระบองออกจากมือคนฟาดและสะบัดขาฟาดปากเจ้าหมอนั่นได้อย่างแม่นยำด้วยท่าจระเข้ฟาดหาง  ฮึๆ ถึงกูจะไม่ได้เรียนศิลปะการต่อสู้มาแต่กูก็พอมีฝีมือเว้ย  อย่าหวังว่าจะได้แอ้ม!
     

    ผมเดินไปกระทืบคนที่ผมเพิ่งเตะจนล้มซ้ำจนมันจุกลุกไม่ไหว   จากนั้นผมก็ลากกระบองเหล็กเข้าไปในสมรภูมิที่พวกเพื่อนๆ ผมกำลังเสียเปรียบ  ไอ้พวกนั้นนอกจากบาสแล้วมันทำอะไรไม่ค่อยเป็นหรอกครับ  ถึงจะเคยมีเรื่องมาบ้างแต่ก็ใช่ว่าพวกนั้นจะตีคนเก่ง  พวกมันถนัดใช้แต่กำลังไม่ได้มีทักษะในการต่อสู้สักนิดเพราฉะนั้นพอถูกรุมเจ้าพวกนั้นจึงเจ็บตัวก็พอสมควรเลยล่ะครับ
     

    ผมหลบกระบองที่ถูกฟาดมาก่อนจะสวนหมัดหนักๆ เข้าตรงหลังใบหูจนไอ้เมื่อกี้ล้มลงสลบไป  จุดตายของคนผมรู้ดีครับ  ผมเรียนหมอมานี่นาแต่แรงที่ผมใส่ไปเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้ตายหรอกครับก็แค่สลบ  ผมบุกเข้าไปก่อนจะฟาดกระบองที่อยู่ในมือใส่คนที่จะเข้ามาทำร้ายและแม้ผมจะถูกตีมือจนกระบองหลุดผมก็ใช้ร่างกายของผมนี่แหละเป็นอาวุธ  แหม...สนุกจริงๆ แฮะ
     

    “เฮ้ย!! นั่นมันอะไรกันวะ!?!” เสียงตะโกนออกมาจากข้างนอกทำให้ผมอยากจะหันไปมองคนพูดแต่ทำไม่ได้เพราะหากผมเผลอผมถูกฟาดจนสลบแน่  ที่ผมอยากจะหันไปมองก็เพราะคำพูดเมื่อกี้เป็นภาษาไทยล้วนๆ
     

    ตุบ!! อั่ก!! ผมถูกกระบองฟาดเข้าที่กลางลำตัวก่อนร่างผมจะค่อยๆ ทรุดลง  มันจุกนี่ครับแถมกระบองนั่นก็หนักมากด้วย  ฟาดมาทีหนึ่งเล่นเอาซี่โครงเกือบแตก  แม่งเอ๊ย!! พอผมทรุดลงไอ้คนที่จัดการผมได้เมื่อกี้ก็เงื้อกระบองขึ้นสูงหวังจะฟาดผม  นี่มึงกะจะตีให้กูตายเลยใช่ไหมเนี่ย  แม่ง! หลบไม่ทันแน่
     

    ผมที่หลับตาลงรอรับชะตากรรมต้องแปลกใจเมื่อไอ้หมอนั่นไม่ยอมจัดการผมสักที  เมื่อเห็นว่ามันนานเกินไปผมจึงลืมตาขึ้นดู  ข้างหน้าของผมไม่ใช่ภาพของไอ้ถูกที่กำลังเงื้อแขนสูงแต่เป็นภาพแผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งที่เข้ามาช่วยผมได้ทันเวลา
     

    ผู้ชายคนนี้เป็นคนตัวเล็กๆ แต่ดูเหมือนจะแรงเยอะมากนอกจากนั้นทักษะการต่อสู้ยังสูงอีกด้วย  ดูจากที่เขาเข้าไปช่วยเพื่อนผมที่ถูกรุมทำร้ายจนนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น  ไอ้พวกกุ๊ยตอนนี้ก็เหลือแค่ไม่กี่คนเพราะพวกมันเองก็ล้มกันไปเยอะเหมือนกัน
     

    ผู้ชายตัวเล็กที่ยืนหันหลังอยู่ข้างหน้าผมกำลังจะกระโดดเข้าไปสู้กับพวกกุ๊ยที่เหลือแต่ผมกลับคว้าข้อมือของเขาเอาไว้  ทำไมแผ่นหลังเขาเหมือนคนที่ผมคิดถึงจังล่ะ  แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรเมื่อคนคนนั้นคงไม่อยู่ที่นี่  เขาจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงในเมื่อเขาเกลียดผมอย่างกับกิ้งกือไส้เดือน  แต่ทำยังไงดีล่ะ  คนตรงหน้าผม...เหมือนเหลือเกิน
     

    ผมนั่งก้มหน้าจับมือคนด้านหน้าเหมือนตกอยู่ในห้วงคำนึง  ตอนนี้พวกกุ๊ยพวกนั้นจะกำลังต่อสู้หรือกำลังวิ่งหนีกลับไปผมไม่รู้  รู้แต่เพียงว่าผมอยากกอดคนข้างหน้า  อยากกอด...อยากจะเห็นหน้า...อยากให้คนคนนี้เป็นชนินทร์
     

    “คีตะ...” เสียงแผ่วๆ ดังขึ้นเรียกให้ผมที่กำลังก้มหน้าต่ำมองพื้นเงยขึ้นไปมองเขา  น้ำตาผมแทบร่วงเมื่อคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าหน้าตาเหมือนชนินทร์มาก  ผมฝันอยู่หรือเปล่า? หรือว่าผมถูกตีจนสมองกระทบกระเทือน?
     

    “ชนินทร์...” ผมเรียกชื่อของคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา  อยากร้องไห้จัง  ถ้าเรื่องนี้เป็นคนความฝันผมว่าผมต้องตื่นขึ้นมาทั้งน้ำตาแน่ๆ
     

    “คีตะ...” ความอุ่นของน้ำที่หยดลงมาจากดวงตากลมโตทำให้ผมรีบดึงคนข้างหน้าเข้ามากอดเอาไว้  ขอให้เรื่องนี้ไม่ใช่ความฝัน  ขอให้น้ำตาอุ่นๆ ที่ผมสัมผัสได้เป็นความจริง  ผมคิดถึงชนินทร์เหลือเกิน
     

    “นี่นายจริงๆ ใช่ไหม?  ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหมชนินทร์?” ผมถามเสียงเบาพลางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น  คนในอ้อมกอดก็กอดตอบผมเบาๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมมีความสุขมาก 
     

    “ฉันไม่รู้ว่าใช่ความฝันของนายหรือเปล่า  แต่ถ้านี่เป็นความฝัน...เราคงจะฝันเหมือนกันสินะ” ชนินทร์พูดเสียงเบาข้างหูของผม  อ่า...ทำไงดีครับ  ผมดีใจจนไม่รู้จะต้องทำยังไงแล้ว  สองปีที่ผ่านมาของผมเหมือนถูกเติมเต็มจนความเหงาหายไปเหมือนปลิดทิ้ง  แค่ได้กอดผมก็รู้สึกอุ่นไปถึงข้างในเลยล่ะครับ
     

    “ฉันคิดถึงนายมาตลอดเลยนะ  คิดถึงมากจนแทบขาดใจ” ผมดึงร่างบางๆ นั่นออกก่อนจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่พร่าไปด้วยน้ำตา  คนคนนี้คือชนินทร์จริงๆ เขาเป็นคนที่ผมรักจริงๆ
     

    “แล้วทำไมถึงไม่กลับไปหา  ปล่อยให้รอได้ไงตั้งสองปี!” ชนินทร์ฟาดมือหนักๆ ลงมาที่แผ่นอกของผม  เจ็บว่ะ  มือหนักขึ้นหรือเปล่าเนี่ย
     

    “อยากกลับไปจะตายแต่กลัวว่าถ้ากลับไปแล้วจะเห็นสายตาเย็นชาของนายฉันก็เลยไม่กล้ากลับไป” ผมรั้งเอวบางให้ชิดเข้ามานิดหน่อย
     

    “ไม่แล้ว  ไม่มองแบบนั้นแล้ว  ทีหลังอย่าจากมาแบบนี้อีกนะ” ชนินทร์ส่ายหน้าไปมาก่อนจะพูด  นี่หมอนี่กะจะยั่วผมหรือเปล่า  แค่เห็นหน้าแดงๆ ที่เต็มไปด้วยหยดน้ำตาผมก็ขึ้นได้ง่ายๆ เลยนะ  อีกอย่าง...ผมอดกลั้นไว้มาตั้งสองปีถูกยั่วอย่างไม่ตั้งใจแบบนี้ผมก็ชักอยากจะลากชนินทร์กลับบ้านขึ้นมาเสียดื้อๆ
     

    “นายหายโกรธฉันแล้วหรือ?” ผมถาม  นั่นสิ ก่อนหน้านี้ยังโกรธผมเป็นฟืนเป็นไฟอยู่เลยนี่นา
     

    “อื้ม  ได้ยินจากไอ้มินทร์แล้วล่ะว่านายต้องเจ็บปวดแค่ไหน  ขอโทษนะที่ทำให้นายต้องอดทนแบกเรื่องเลวร้ายมาตั้งนาน ขอโทษจริงๆ ” ชนินทร์วางมืออุ่นๆ ลงที่แก้มทั้งสองข้างของผมก่อนจะทำหน้าอ้อนวอนขอโทษ  อ่า...น่ารักแบบนี้ห่อกลับบ้านได้ไหมครับ
     

    “ไม่เป็นไร  แค่นั้นฉันทนได้” ผมคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะรั้งร่างของชนินทร์ให้ชิดเข้ามาอีก 
     

    เราจ้องตากันท่ามกลางความเงียบงันก่อนผมจะค่อยๆ เลื่อนหน้าเข้าไปหาชนินทร์และชนินทร์เองก็เลื่อนเข้ามาเช่นกัน  ริมฝีปากอุ่นๆ ที่แสนคิดถึงประทับจูบลงมาอย่างอ่อนโยน  ชนินทร์ยอมจูบผมด้วยล่ะครับทั้งๆ ที่ทุกครั้งผมจะบังคับเอาเองแท้ๆ  ผมดีใจจังที่ชนินทร์เป็นฝ่ายเริ่มจูบก่อน  น่ารักจังเลยนะ
     

    “ต่อไปนี้อย่าหนีมาแบบนี้อีกนะ  ถ้ามีปัญหาอะไรให้ปรึกษาฉันสิอย่าตัดสินใจเอาเอง  ก็จริงอยู่ที่ฉันอายที่จะต้องเปิดเผยว่าทำอะไรกับใครแต่ถ้าต้องเจ็บปวดขนาดนี้ฉันยอมอายดีกว่า  เพราะอะไรนายรู้ไหม?” ชนินทร์ผละออกก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบาเพราะตอนนี้ริมฝีปากของพวกเราแทบจะชิดกัน  เซ็กซี่ว่ะแม่ง
     

    “เพราะนายรักฉัน” ผมยิ้มก่อนจะตอบ
     

    “ใช่ที่ไหน? เพราะนายรักฉันต่างหาก”
     

    “อ้าว? แล้วไม่รักฉันเหรอ?” ผมถามอย่างงงๆ  เล่นเอาตูแทบหมดอารมณ์เลยว่ะ
     

    “ตามมาขนาดนี้เพราะฉันเกลียดนายต่างหากเล่า” ชนินทร์เอียงหน้าหลบสายตาก่อนจะยิ้มเขินๆ  หน้าแดงหมดแล้วนะชนินทร์
     

    “จริงเหรอครับ?” ผมถามพลางทำหน้าเจ้าเล่ห์
     

    “จริงสิ” ชนินทร์ตอบ
     

    “ครับ  เกลียดก็เกลียด” แต่เกลียดของนายมันคือรักของฉันนะชนินทร์  โอย! คนคนนี้น่ารักจริงๆ  อยากกดๆๆ
     

    “แค่กๆๆ อ่ะแฮ่ม! เอ่อ...ขอโทษนะ  พอดีว่าพวกกุ๊ยพวกนั้นหนีไปหมดแล้ว  ไม่ทราบว่าพวกเธอจะหยุดสวีทกับสักครู่ได้ไหม  คือแบบ...พวกเราต้องไปโรงพยาบาลกันน่ะ” ไอ้แม็คเดินมาสะกิดไหล่ผมยิกๆ ผมกับชนินทร์จึงผละออกจากกันและลุกขึ้นยืนดีๆ
     

    “อ่า...โอเค  เอ่อนี่...เขาเป็น...เพื่อนที่มาจากเมืองไทยน่ะชื่อคิท” ผมแนะนำแก้เก้อ  อายจัง
     

    “อ้อ ยินดีที่ได้รู้จัก  ฉันชื่อแม็คนะส่วนเจ้าผมสั้นสีทองนั่นชื่อจอห์นและเจ้าแว่นนั่นชื่อคริส” แม็คเอ่ยพลางชี้ไปที่ไอ้สองตัวที่นอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น  ท่าทางเจ้าพวกนั้นจะถูกกระทืบหนักพอควรเพราะพวกมันจุกจนลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว
     

    “ยินดีที่ได้รู้จัก” ชนินทร์พูดภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ แต่ก็พูดคล่อง
     

    “เฮ้ย! ผู้ชายเหรอวะ” ไอ้แม็ครีบหันมากระซิบถามผมทันทีที่ได้ยินเสียงชนินทร์
     

    “ฮะๆ ใช่” ผมยิ้มนิด
     

    “แล้วไม่ใช่แฟนนายเหรอ  เห็นจูบกัน” ไอ้แม็คเบ้หน้าถาม
     

    “ก็...ยังไม่ใช่  แต่ถ้าเป็นนายจะรับได้ไหมล่ะ?” ผมถามกลับ
     

    “ชิลล์ๆ น่า  ขนาดไอ้จอห์นยังเคยควงผู้ชายเลย” ไอ้แม็คยักไหล่อย่างไม่สนใจ  พวกนี้มันใจกว้างจริงๆ
     

    “เอาเถอะ  รีบไปโรงพยาบาลกันดีกว่า  ดูเหมือนไอ้คริสจะกระดูกหักด้วยนะ” ผมพูดพลางเดินไปดูไอ้คริสที่มีท่าทางทรมาน  ผมจับแขนข้างซ้ายของมันขึ้นดูก็พบว่ากระดูกแขนมันหักและยิ่งผมจับแขนมันยกขึ้นสูงเท่าไหร่มันก็ยิ่งร้องดังมากเท่านั้น  น่าสงสารวุ้ย

     



     

    ผมกับชนินทร์และไอ้แม็คนั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินเพื่อรอให้สองคนนั้นทำแผลเสร็จ  ดูเหมือนว่าไอ้คริสจะต้องผ่าตัดเนื่องจากกระดูกบริเวณต้นแขนมันแหลกละเอียด  ท่าทางจะลำบากไปอีกเป็นเดือนเลยทีเดียว  ส่วนไอ้จอห์นไม่ได้เป็นอะไรมากแค่ฟกช้ำเล็กๆ น้อยๆ
     

    “เอ้อ ลืมถามไปเลยว่านายมาที่นี่ได้ยังไง?” ผมหันไปถามชนินทร์อย่างนึกขึ้นได้
     

    “พ่อฉันมาดูงานที่นี่ก็เลยขอมาด้วย” ชนินทร์ตอบ
     

    “เห็นพ่อฉันบอกว่าจะมาพรุ่งนี้นี่” ผมงง
     

    “เอ่อ...ฉันใจร้อนอยากเจอนายเร็วๆ ก็เลยขอมาก่อนน่ะ แฮะๆ” ชนินทร์เบือนสายตาหลบก่อนจะเกาแก้มแดงๆ เบาๆ  ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจไอ้คริสล่ะก็ผมจะจับชนินทร์มาหอมซักฟอดสองฟอด  หมั่นเขี้ยวจริงๆ
     

    “แล้วจะกลับวันไหนล่ะ?” ผมถามออกไป
     

    “ไล่เหรอ?” ชนินทร์ทำปากยื่นบ่งบอกว่างอน  น่ารักอีกแล้ว
     

    “เปล่า  แค่อยากจะรู้ว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันอีกนานแค่ไหน” ผมกระแซะคนข้างๆ ด้วยตัวใหญ่ๆ ของผมเล่นเอาชนินทร์แทบตกเก้าอี้
     

    “ตอนนี้ได้ที่เรียนแล้วก็เลยอยู่ได้นาน” ชนินทร์บอก
     

    “จริงเหรอ? ได้ที่เรียนที่ไหนล่ะ?” ผมถามอย่างตื่นเต้น  นี่ชนินทร์จะเป็นเด็กมหาลัยแล้วเหรอเนี่ย? จะว่าไปเขาสูงขึ้นนะเนี่ย
     

    “ฉัน...สอบชิงทุน  มาเรียนที่...เทกซัส” ชนินทร์ตอบช้าๆ ผมอ้าปากค้างก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ  เทกซัสมันก็เมืองข้างๆ นี่เอง  ดีใจจัง! นี่ผมจะได้อยู่กับชนินทร์ใช่ไหมเนี่ย!?! โว้ย! โคตรดีใจเลย!
     

    “ชนินทร์...”
     

    “อยากมาเรียนที่เดียวกันกับนายนะแต่ว่าในโปรแกรมของทุนมันไม่มีมหาลัยของนายนี่สิ  น่าเสียดายจัง” ชนินทร์บ่น 
     

    “แค่นี้ก็ดีมากแล้วชนินทร์  มันอยู่ไม่ไกลกันมาเดินทางด้วยเครื่องบินไม่กี่นาทีก็ถึง  ฉันจะไปหานายทุกวันเลย” ผมพูดออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ
     

    “ไม่ได้ๆ นักเรียนแพทย์อย่างนายไม่ต้องเสียเวลามาหาฉันหรอก  ฉัน...จะหานายเอง” ชนินทร์พูดเบาๆ พลางก้มหน้าแดงๆ ลง
     

    “ชนินทร์...รักนะ” ผมยื่นหน้าไปกระซิบที่ปลายหูของอีกฝ่ายเบาๆ ทำให้ชนินทร์หน้าแดงยิ่งกว่าเดิมซะอีก
     

    “บ้า พูดอะไรตอนนี้  อายเขา” ชนินทร์หยิกต้นแขนผมแรงๆ จนผมร้องโอ๊ย
     

    “ไม่เป็นไร  มันฟังไม่ออกหรอก” ผมพูดพลางก้มลงไปหอมแก้มชนินทร์ขณะที่ไอ้แม็คมันหันหน้าไปทางอื่น
     

    “อื้อ ไอ้บ้า” ชนินทร์พูดเสียงอู้อี้พลางจับแก้มทั้งสองข้างของผมดึงและโยกไปมา  เจ็บแต่คุ้มกับความน่ารักของคนคนนี้
     

    ผมกับชนินทร์นั่งรอไอ้สองคนนั้นอีกสักพักก็ต้องกลับบ้านเมื่อไอ้จอห์นต้องนอนพักต่อที่โรงพยาบาลส่วนไอ้คริสไม่ได้เป็นอะไรมากจึงกลับบ้านได้  อ่า...กลับบ้านเหรอ? ไอ้เคย์ไม่อยู่ซะด้วยสิ  เสร็จโจรล่ะงานนี้  กระต่ายเข้าถ้ำเสือแล้วอย่าหวังว่าจะได้ออกไปง่ายๆ  รอก่อนเถอะชนินทร์...ฮึๆ


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    แฮปปี้กันแล้ววววว  เรื่องนี้เองก็ใกล้ตอนจบเข้ามาทุกที ส่วนคู่รองจะลงให้อ่านกันส่วนหนึ่งนะ  อีกส่วนขอสงวนสิทธิ์ไว้ให้คนซื้อหนังสือก็แล้วกันน้า  อย่างเช่นคู่วาลิซที่เป็นตอนพิเศษไม่ยาวนัก  ส่วนเรื่องของคุณพ่อจะทำเรื่องแยกซึ่งจะทำหลังจากเรื่องนี้และเรื่องลันไอเสร็จสิ้นจ้า

    อ้อ แล้วเดี๋ยวตอนหน้าจะลงตอนพิเศษสงกรานต์ให้น้า  แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นตอนไหน  คงนานหน่อยอ่า  ไม่ว่ากันน้า ><

    อ้อๆๆ  ไรเตอร์ไม่ได้รีไรต์แล้วน้าเพราะงั้นไม่ต้องทิ้งเมล์ขอกันนะ  เพราะขอไปไรเตอร์ก็ส่งให้ไม่ได้จ้าในเมื่อมันไม่มีอะไรต้องรีแล้วอ่ะน้า  (โดนถีบ)

    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×