ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -FanFic บารามอส- เวลากับสายลม

    ลำดับตอนที่ #20 : [#20] Meeting

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.22K
      6
      7 ต.ค. 50


               
    หลายวันผ่านไปพร้อมกับความหวาดกลัวของอำมาตย์เรเชอร์ที่มีต่อพระสนมมีเดียเริ่มลดน้อยลง อันที่จริงเขาก็ยังหวั่นๆ ว่าผู้หญิงคนนี้คิดจะลงมือทำอะไรในช่วงที่ราชินีผู้เป็นบุคคลที่อยู่บนจุดสูงสุดเคียงข้างกษัตริย์ได้หายตัวไปเช่น แต่เปล่าเลย...ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


               
    ไม่มี...แม้แต่นิดเดียว


               
    นัยน์ตาสีน้ำเงินก้มลงมองกระดาษเบื้องหน้าของตนนิ่งคิด การที่ไม่มีนั่นก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ? แต่บางอย่างกำลังกวนใจ อะไรที่ทำให้สัญชาติญาณร้องเตือนอยู่ตลอดเวลา


               
    "
    ท่านเรเชอร์" เสียงเรียกชื่อทำให้อำมาตย์เฒ่าต้องเงยหน้าขึ้นมององค์ประชุมที่ต่างมีสีหน้าประหลาดใจเพราะไม่เคยเห็นเขาเหม่อในการประชุมเช่นนี้มาก่อน


               
    "
    ตกลงเรื่องการค้นหาราชินีทางใต้ดูจะไม่มีอะไรคืบหน้าสินะ" เขาทวนหัวข้อประชุมที่กำลังพูดถึงอยู่ในขณะนี้ ก่อนจะไล่สายตามองรายงานบนโต๊ะ "ถ้ารวมทั้งหมดก็พอจะประมาณได้ว่าราชินีได้ถูกลักพาตัวออกนอกประเทศไปแล้ว"


               
    คำสันนิษฐานทำให้เสียงฮือฮาดังขึ้น


               
    ใคร...ที่สามารถหลุดพ้นสายตาของทหารนับร้อยนับพันที่ออกค้นหาทั่วคาโนวาล


               
    ดูท่าทางจะไม่ใช่โจรลักพาตัวธรรมดา


               
    "
    ถ้าอย่างนั้นเห็นทีต้องให้ฝ่ายต่างประเทศทำเรื่องติดต่อไปยังประเทศใกล้เคียงให้ช่วยตรวจสอบ"


               
    "
    ท่านจะยอมทิ้งศักดิ์ศรีไปยืมมือคนอื่นอย่างนั้นหรือ" ไพซิสเอ่ยดักให้ทั่วทั้งห้องเงียบกริบเป็นสัญญาณว่าการปะทะฝีปากได้เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้


               
    "
    หรือท่านคิดว่าเราควรส่งทหารเข้าไปประเทศเพื่อนบ้านให้เขาครหาว่าเราไปรุกรานเขาดี" เรเชอร์ย้อนกลับเสียงเรียบ คิ้วเข้มกระตุกเล็กน้อยหากไพซิสก็ยังคงยิ้มเย็น "ฉันไม่คิดว่าราชินีจะออกนอกประเทศ"


               
    "
    อะไรที่ทำให้ท่านคิดอย่างนั้น" คนถูกถามขยับยิ้มมากขึ้นก่อนตอบ "เพราะที่นี่เป็นที่เพียงที่เดียวในเอเดนที่ธิดาแห่งความมืดจะซุกหัวนอนได้โดยไม่ต้องโดนส่งกลับเดมอสน่ะสิ" ความเงียบยิ่งกลืนทั้งห้องให้เงียบจนหากแม้เข็มตกก็คงจะได้ยิน


               
    "
    บารามอสคงไม่ทำอย่างนั้น" เรเชอร์ตอบเหมือนว่าที่ได้ยินนั่นจะเป็นเรื่องจริง "ท่านเดาใจคิงชามัลได้ด้วยหรือท่านเรเชอร์" ไพซิสยังคงถามอย่างเป็นต่อ เพราะนับจากไฮคิงเสด็จสวรรคต บารามอสก็แทบจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งกับธิดาแห่งความมืดอีกเลย จะมีเพียงการดูแลเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็เท่านั้น


               
    หัวหน้าอำมาตย์พยักหน้าน้อยๆ


               
    "
    ข้าไม่คิดว่าเวนอล กับทริสทอร์จะไม่ต้อนรับหรอกนะ ท่านก็รู้" คราวนี้ไพซิสถึงกับสะอึก ใครๆ ก็รู้ดีถึงกิตติศัพท์ความเอาแต่ใจของจักรพรรดินีแห่งเวนอล แถมจักรพรรดินีองค์นี้ยังมีความสัมพันธ์สนิทถึงกับนับพี่นับน้องกับธิดาแห่งความมืด


               
    แค่เอ่ยปากประตูเมืองเวนอลก็เปิดรับแล้ว


               
    นั่นยังไม่เท่าทริสทอร์


               
    คนทรยศแห่งเอเดน!!


               
    มีหรือที่พวกมันจะไม่เข้าข้างสายเลือดของนายแห่งตน ยิ่งก่อนหน้านี้ก็ขยันส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีเหลือเกิน


               
    น่ากลัวว่าคนลักพาตัวจะเป็นชาวทริสทอร์!


               
    เรเชอร์เหลือบมองนัยน์ตาสีอำพันที่วาวโรจน์กับความคิดของตัวเองแล้วจึงต่อประโยคเข้าไปอีกเล็กน้อย "สำคัญยังมีเดมอส แต่ฉันก็เชื่อว่าราชินีคงไม่ได้กลับเดมอสหรอก"


               
    ใช่...ราชินีย่อมรู้ว่าถ้าพระองค์กลับเดมอสรอะไรจะเกิดขึ้น


               
    สงคราม!


               
    สงครามที่จะเกิดขึ้นเพียงเพราะความใจร้อนและรักบุตรีเหนือสิ่งอื่นใดของคิงหนุ่มแห่งเดมอส


               
    สงครามที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นเลย


               
    เรเชอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาทำงานอยู่ในวังหลวงนี่ตั้งแต่ยังหนุ่ม เพราะปลดเกษียณก็มาดำรงตำแหน่งในสภาอำมาตย์ก็คิดว่างานจะเบาขึ้น แต่ไม่เลย...


               
    อายุที่มากขึ้น...หน้าที่ก็ไม่ได้ลดลง มีแต่เพิ่มขึ้น


               
    คงต้องตายเสียก่อน...ถึงจะได้หยุดพักผ่อนเสียที


    -----------------------------------
     

                เขา...กำลังหลง


               
    ร่างสูงโปร่งเริ่มสบถพึมพำกับตัวเองขณะที่กวาดสายตามองไปรอบๆ กับทัศนียภาพที่ไม่คุ้นตา...หรืออาจจะคุ้น แต่เขาจำไม่ได้


               
    ก็ในเมื่อทุกส่วนของวิหารนี่มันเหมือนกันหมด!!


               
    นัยน์ตาเรียวกวาดไปรอบตัวอย่างพยายามจะหาคนช่วย แต่ให้(คนอื่น)ตายเถอะ! มันหายหัวไปไหนกันหมดวะ!! โดยเฉพาะไอ้นักบวชที่ไปตามเขาที่ห้องว่าอาร์คบิชอฟเรียกตัวนั่นที่พอพูดเสร็จก็หายแวบยังกับผี คิดแล้วขาสองข้างก็หยุดกึกก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปมองรอบตัว


               
    ช่างมัน! ฉันจะกลับห้อง!!


               
    ถ้าจะโดนตำหนิก็ค่อยไปโทษไอ้คนแจ้งข่าวฐานไม่ให้ความช่วยเหลือนักบวชต่างถิ่น


               
    เมื่อคิดได้แล้วสิ่งที่ควรจะทำต่อไปก็คือหันหลังกลับแล้วเดินย้อนกลับไปยังห้องของตัวเอง


               
    เพียงแต่ว่า...


               
    นักบวชหนุ่มหันกลับไปมองช่องประตูทั้งห้าเบื้องหน้าที่แกะสลักได้สวยงามและ 'เหมือน' กันไม่มีผิดเพี้ยนพร้อมกับเส้นเลือดที่ขมับเริ่มปูดออก


               
    ไอ้ทางกลับมันช่องไหนวะ!


               
    ร่างสูงกุมขมับอย่างใช้ความคิด เป็นนักบวชสูงศักดิ์แต่เสือกดันมาหลงทางในวิหาร รู้ถึงไหนได้อายถึงนั่น ยิ่งถ้า 'ไอ้บ้า' นั่นรู้มันคงได้ข้ออ้างในการ 'เกาะ' เขาไปอีกนานเป็นเดือน


               
    ท่ามกลางความเงียบนั้น ประสาทการได้ยินดูเหมือนจะมืดบอดไป


               
    ไม่สิ...ความเงียบที่ปกคลุมโดยรอบต่างหากที่ทำให้รู้สึกอย่างนี้


               
    แต่แล้วในความเงียบนั้น ประสาทหูก็เหมือนกับจะจับเสียงเพลงได้ อะไรบางอย่างในเสียงนั้นแม้แผ่วเบาแต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนในเสียงเพลงนั้น ขายาวเริ่มก้าวไปตามที่บทเพลงลอยมา จนกระทั่งหยุดยืนที่หน้าประตูบานใหญ่ ซึ่งถ้าเขาจำไม่ผิดห้องนี้น่าจะเป็นห้องสวดมนต์ที่มักจะเปิดใช้เฉพาะงานสำคัญๆ เท่านั้น ชายหนุ่มช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง เพราะฐานะในตอนนี้เป็นเพียงนักบวชแลกเปลี่ยน(ที่กำลังหลงทาง)เท่านั้น การจะถือวิสาสะเปิดประตูห้องอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศอื่นก็ดูจะอันตรายต่อหัวของตนอยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้น การที่มีเสียงเพลงอย่างนี้ก็พอจะเดาได้ว่าภายในห้องคงมีคนอยู่ซึ่งน่าจะเป็นนักบวชประจำวิหาร และอาจจะช่วยเขาที่กำลัง...หาทางไปยังห้องพักของเขาได้ แต่เหตุผลทั้งหมดที่พยายามยกมาอ้างนั้นเทียบไม่ได้เลยกับเสียงเพลงที่ได้ยิน มันดึงดูดให้เขาเผลอยกมือผลักบานประตูนั้นออกกว้าง


               
    รูปปั้นสีขาวของหญิงสาวผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นพระแม่องค์ใหญ่สะดุดตาของเขาเป็นสิ่งแรก พร้อมกับเก้าอี้ไม้สีเข้มเรียงแถวเป็นระเบียบ แต่ร่างที่นั่งอยู่ในโถงนี่เพียงคนเดียวดูจะสะดุดตาเขามากกว่า นัยน์ตาเรียวฉายแววประหลาดใจซ้ำเมื่อคนตรงหน้าไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้เผลอก้าวเข้ามาในโถงวิหาร ถ้าไม่เพราะ...


               
    โครม!!!


               
    สายลมหวีดหวิวเฉียดลำตัวไปอย่างหวุดหวิด ดาบยาวคมกริบที่จ้วงลงมากระแทกกับพื้นห้องจนพื้นแตกกระจาย พร้อมกับมีดสั้นบินไปยังผู้ที่ประทุษร้ายทันทีด้วยปฏิกิริยาตอบกลับ หากมันกลับทะลุร่างนั้นออกไปเสียแทน ดาบยาวถูกเงื้อขึ้นอีกครั้ง


               
    "
    หยุด!" คำสั่งเรียบหากดุในน้ำเสียงชะงักมือของนักรบในตำนานได้แทบจะทันที ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยๆ กลายเป็นหมอกจางหายไป ลอเรนซ์ยืนเต็มความสูงพลางเก็บมีดในมือพร้อมสบนัยน์ตาสีฟ้าที่มีแววแปลกใจปนสงสัยเป็นคำถาม ต่างฝ่ายต่างเงียบไปจนกระทั่งคาโลเป็นฝ่ายขยับตัวก่อน และเพราะอย่างนั้นเองลอเรนซ์จึงได้เห็นว่าต้นกำเนิดเสียงเพลงที่น่าดึงดูดนั้นมาจากกล่องดนตรีใบเล็กในมืออีกฝ่าย


               
    ทันทีที่ฝากล่องปิดผนึกลงกับตัวกล่อง ความเงียบก็เข้ามาแทนที่


               
    "
    รุ่นพี่ลอเรนซ์?" เสียงทุ้มเรียกสูงขึ้นเล็กน้อยด้วยไม่แน่ใจว่าใช่คนที่ยืนตรงหน้ารึไม่ ลอเรนซ์ส่งเสียงในลำคออย่างรำคาญเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าต้องมาเจอรุ่นน้องร่วมป้อมที่นี่


               
    ตาสีฟ้ากวาดมองไปทั่วเล็กน้อยก่อนเอ่ย


               
    "
    แล้วรุ่นพี่ลูคัสล่ะ.."


               
    ฉึก!!!


               
    ถามไม่ทันจบประโยคดี มีดบินเล่มเล็กก็เฉี่ยวใบหน้าขาวไปปักฝังอยู่กับแท่นบูชาด้านหลัง


               
    ...
    มือยังไวไม่เปลี่ยน...


               
    "
    ต่อให้เป็นคิง แต่ถ้าพูดชื่อไอ้บ้านั่นฉันจะฆ่าแก!" คาโลนิ่งไป อันที่จริงเขาอยากจะถอนหายใจกับนิสัยขี้หงุดหงิดของรุ่นพี่คนนี้ แต่ก็เถอะ...ถ้ารุ่นพี่ลอเรนซ์เกิดยิ้มหวานทำตัวเป็นนักบุญไปจริงๆ เขาเองก็คงขนลุกด้วยความน่ากลัวเหมือนกัน


               
    "
    รุ่นพี่มาทำอะไรที่คาโนวาล"


               
    "
    มาเที่ยวมั้ง"


               
    ".............................."


               
    คาโลแอบอึ้งเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะย้อนเข้าแบบนี้ ตาสีฟ้าปราดมองเครื่องแบบสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของนักบวชอีกทั้งยังมีตราประจำแอเรียสบนอก ก่อนจะไล่สายตาขึ้นสบกับนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดนั่น


               
    คงจะเป็นนักบวชที่มาแลกเปลี่ยนเป็นประจำทุกปีตามสัญญาแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ


               
    จะว่าไปเมื่อสองวันก่อนคณะแลกเปลี่ยนก็เพิ่งเดินทางมาถึง แต่เขาไม่ได้ออกมารับเพราะ...


               
    .................................


               
    เพราะอะไร?


               
    คาโลยืนนิ่งงันพยายามทบทวนความทรงจำเมื่อสองวันก่อน แต่เมื่อยิ่งคิดสมองก็ยิ่งขาวโพลน


               
    "
    แล้วนายมาทำอะไรที่วิหารนี่" คำถามเรียกสติคิงหนุ่มให้กลับมา ลอเรนซ์มองจับจ้องไปที่กล่องดนตรีใบเล็กให้อีกฝ่ายก้มลงมองตาม นัยน์ตาสีฟ้าหม่นแสงลงก่อนที่มันจะเบนไปมองรูปปั้นด้านหลัง


               
    "
    นั่นสินะ ผมมาทำอะไรที่นี่" เสียงพึมพำแผ่วเบากับตัวเอง แต่เพราะอยู่ในความเงียบมันจึงดังพอที่จะทำให้นักบวชหนุ่มได้ยินด้วย คิ้วเข้มเลิกสูง


               
    หมอนี่...เปลี่ยนไป


               
    ลอเรนซ์บอกกับตัวเองแบบนั้น แต่บอกชี้แจงเจาะจงลงไปไม่ได้ว่าอะไรทำให้รู้สึกอย่างนั้น เพราะพูดมากขึ้น? ไม่ใช่...


               
    บรรยากาศ...เปลี่ยนไป


               
    เยียบเย็นมากขึ้น...


               
    เงียบเหงามากขึ้น...


               
    ว่างเปล่า....มากขึ้น


               
    บางทีอาจจะเป็นเพราะข่าวที่ว่าอดีตรุ่นน้องตัวแสบประจำป้อมอัศวินถูกลักพาตัวไปและจนบัดนี้ซึ่งเวลาร่วงเลยไปเกือบเดือนก็ยังไม่สามารถหาได้พบ


               
    เสียงฝีเท้าดังถี่ตรงมายังห้องสวดมนต์เรียกสติของคนสองคนที่กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองให้หันไปมอง


               
    "
    ท่านลอเรนซ์อยู่ที่นี่เอง...ฝ่าบาท!!" นักบวชประจำวิหารตกใจก้มลงมองต่ำแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่าใครที่ยืนอยู่ด้วย "พระอาญามิพ้นเกล้า"


               
    "
    ช่างเถอะ" คาโลบอกปัดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันมาพูดกับอดีตรุ่นพี่ "ดูท่าทางรุ่นพี่จะยุ่ง ผมคงต้องขอตัว" คาโลก้มศีรษะให้อีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วเดินออกไปทันที มันเป็นการทำความเคารพตามอาวุโสแต่นักบวชที่ยืนมองอยู่หัวใจกลับอยากหยุดเต้นเสียแทน


               
    "
    มีอะไร" ลอเรนซ์ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าแผ่นหลังนั้นลับสายตาไปแล้ว คนถูกถามรีบหันกลับมาตอบ


               
    "
    ท่านอาร์คบิชอฟเรียกหาครับ ท่านว่า...ด่วน!" คำสำทับสุดท้ายเป็นอันที่รู้กันว่าคนสั่งนั้นเริ่มอยู่ในอาการใด ทั้งสองหมุนตัวเตรียมเดินออกไป แต่ร่างของผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ทำให้ต้องชะงัก ลอเรนซ์ออกจะแปลกใจเมื่อคนที่มาใหม่นั้นเป็นหญิงที่กำลังตั้งครรภ์โดยดูจากเสื้อคลุมท้อง ตาสีเขียวประกายของอีกฝ่ายที่มองสบมาดูฉลาดเฉลียว ทั้งเส้นผมสีทองยาวหยักเป็นประกาย


               
    ไม่บอกก็รู้ว่าพวกชนชั้นสูง


               
    "
    พระสนมมีเดีย" นักบวชเจ้าถิ่นเปรยแผ่นเบาพลางทำความเคารพแล้วกระตุกเสื้อให้ลอเรนซ์ต้องทำความเคารพตาม รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวนั้นยิ่งขับให้คนๆ นี้ดูสวยมากยิ่งขึ้น


               
    "
    ขอโทษที่ทำให้ตกใจ ฉันแค่มาขอพรเท่านั้นน่ะ"


               
    "
    มิได้กระหม่อม" คำตอบตามแบบแผนนั้นตอบขึ้นแทบจะทันที ขณะที่นัยน์ตากลมโตเบนมาสบกับนัยน์ตาสีอเมทิสต์ของคนแปลกหน้าที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน


               
    "
    ท่านนี้คือ..." ปลายเสียงลากยาวเป็นคำถามให้คนถูกถามก้มตอบช้าชัด


               
    "
    ลอเรนซ์ ดอร์น นักบวชแลกเปลี่ยนจากแอเรียส..พระเจ้าค่ะ" ลอเรนซ์หยุดไปเล็กน้อยก่อนที่จะลงท้ายประโยคด้วยราชาศัพท์ที่ไม่คุ้นปากซักเท่าไหร่นัก


               
    ก็ขนาดกับคิงยังไม่ต้องพูดถึงขนาดนี้เลย!!


               
    มีเดียทำหน้ารับรู้พร้อมยิ้มกว้าง


               
    "
    ยินดีที่ได้รู้จักท่านลอเรนซ์ มาถึงคาโนวาลนานรึยัง?"


               
    "
    เมื่อสองวันก่อนพระเจ้าค่ะ" ชายหนุ่มพยายามเก็บความรู้สึกรำคาญใจไว้ภายใน บทสนทนาสองสามประโยคถามเกี่ยวกับหน้าที่ของเขาที่จะต้องทำในคาโนวาล ลอเรนซ์ก็ตอบตามความจริง..แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ตำแหน่งพระสนมจำเป็นด้วยเหรอที่ต้องรู้ว่าเขามาถึงเมื่อไหร่? จำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง?


               
    ตาสีม่วงวาววับขึ้นมาเล็กน้อย


               
    ดูท่าทางคาโนวาลจะได้ดอกไม้พิษมากกว่าดอกไม้งามเสียแล้ว


    ***************************************TBC...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×