ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -FanFic บารามอส- เวลากับสายลม

    ลำดับตอนที่ #21 : [#21] Time

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.22K
      6
      7 ต.ค. 50


               
    "
    รู้สึกไหมว่ามันแปลกๆ" เสียงสนทนาดังขึ้นในโรงอาหารภายในวิหารแห่งศาสนจักรที่เริ่มคึกคักหลังจากที่ดวงตะวันขึ้นสูงตรงเหนือศีรษะ นักบวชที่ไม่มีหน้าที่ติดพันใดๆ เริ่มหลั่งไหลเข้ามาทานอาหารกลางวันเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานในตอนบ่าย ผิดกับร่างหนึ่งที่ลุกขึ้นไปเก็บถาดอาหารและเดินสวนผู้คนออกมาจากสภาพอันจอแจนั้น คิ้วสีทองเข้มขมวดมุ่นเขาหากันอย่างหงุดหงิด แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวและอากาศก็หนาวขึ้นทุกทีแต่เพราะอาคารเล็ก ผู้คนที่เริ่มแออัดทำให้ฤดูหนาวกลายเป็นฤดูร้อนได้ทันตา


               
    "
    เขาว่าตอนนี้เริ่มมีการลดทหารลง"


               
    "
    หมายความว่าคิงคาโลถอดใจแล้วรึไง"


               
    "
    ตอนนี้ใครเขาจะสนใจว่าจะหาราชินีเจอ"


               
    "
    ใช่ ในเมื่อพระสนมมีเดียทรงตั้งครรภ์แล้วน่ะ"


               
    "
    เฮ้ๆ ที่พูดกันอยู่เนี่ยไม่กลัวหัวหลุดกันรึไง"


               
    ถ้ามันกลัวหัวหลุด ก็คงไม่คิดจะเริ่มพูด


               
    หรือต่อให้กลัว...ถ้าคิงคาโลมาได้ยินยังไงก็คงรักษาหัวด้วยการภาวนาต่อพระเจ้าไม่ได้อยู่ดี


               
    ลอเรนซ์ก้าวยาวๆ ไปตามทางเดินที่เริ่มจะเงียบเหงามากขึ้นเรื่อยๆ แต่สำหรับคนอย่างเขากลับชอบความรู้สึกแบบนี้มากกว่า ร่างโปร่งเลี้ยวตรงหัวมุมมุ่งไปยังห้องสวดมนต์ที่เขาได้รับหน้าที่ให้ต้องไปดูแลความเรียบร้อยทุกวัน งานส่วนใหญ่ก็แค่ปัดกวาดเช็ดถูเหมือนแม่บ้าน...


               
    กับไอ้แค่รูปปั้น แก้วจานเครื่องทองมีอะไรให้ดูแลมากมายกันนะ


               
    หนีจากที่แอเรียส แต่ต้องมาเจออีกที่คาโนวาลนี่อีก!


               
    "
    ว่างนักเหรอไง" เสียงทุ้มเอ่ยทักแทบจะทันทีที่เห็นแผ่นหลังหลังพนักเก้าอี้ตัวที่อยู่หน้าสุด เสียงดนตรีเพลงเดิมจากกล่องดนตรีใบเล็กลอยแผ่วเบาอยู่ภายในห้องก่อนจะเงียบไปเช่นเดียวกับทุกๆ วัน


               
    ตาสีฟ้าตวัดมามองอดีตรุ่นพี่ร่วมป้อมที่กล้าแดกดันคิงแห่งคาโนวาล ขณะที่คนถูกมองก็เริ่มงานของตนตามปกติท่ามกลางความเงียบของห้องสวดมนต์อันเป็นปกติ รวมถึงการที่เห็นคิงหนุ่มนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ยาว สายตามองตรงไปยังรูปปั้นพระแม่สีขาวกลางห้องนับตั้งแต่เขามาถึงที่นี่ และนักบวชของคาโนวาลก็เหมือนจะชินชากับการมาเยือนแบบไม่มีกำหนดการของคิงหนุ่มคนนี้เสียแล้ว ตาสีอเมธิสต์เหลือบมองกล่องไม้ใบเล็กในมืออีกฝ่าย มันเป็นแค่กล่องไม้ธรรมดา ตัวกล่องแกะสลักเป็นรูปนูนต่ำที่ยากจะเดาว่าเป็นรูปอะไรได้ อันที่จริง...มันเหมือนใครเผลอเอามีดไปสับให้เกิดรอยเสียมากกว่า


               
    "
    ฝีมือเฟริน" เหมือนจะพอเดาความคิดหลังใบหน้าหงุดหงิดนั่นได้ นักบวชหนุ่มละสายตาจากกล่องไม้ขึ้นมาสบตาสีฟ้าคมเรียบเฉยอย่างที่เคยเห็นในอดีต


               
    นอกจากจะเป็นตัวหาเรื่องแล้ว...ยังเป็นพวกชอบทำลายข้าวของด้วยสินะ


               
    "
    ตั้งใจว่าจะให้ช่างหลวงแกะสลักเป็นของขวัญ..." เหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้คิงน้ำแข็งยอมเปิดปากพูดอะไรยาวๆ "แต่มันขอแกะเอง ก็เลยกลายเป็นแบบนี้"


               
    "
    ไม่ได้ถาม" ลอเรนซ์ตอบห้วนสั้นหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมห้องเพียงชั่วครู่ แล้วหันไปยุ่งวุ่นวายกับงานของตนต่อ คาโลถอนหายใจแผ่วเบา


               
    ก็ไม่ได้อยากเล่าให้ฟังมากนัก...แค่อยากพูดก็แค่นั้น


               
    ตาสีฟ้ามองการทำงานของรุ่นพี่หนุ่มเงียบๆ คาโลตัดสินใจไม่เปิดกล่องดนตรีฟังอีกครั้ง เพราะไม่ต้องการให้ไปรบกวนการทำงานอีกฝ่ายที่น่าจะชอบทำงานในความเงียบมากกว่ามีเสียงเพลงให้ฟัง


               
    และเมื่องานของลอเรนซ์ดำเนินไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง เสียงฝีเท้าก็จะดังถี่ตรงมาที่ห้องนี้พร้อมกับที่ประตูบานใหญ่เปิดออก


               
    "
    ฝ่าบาท" เสียงทักของราชองครักษ์ดังขึ้นพร้อมอากัปกิริยาพยักหน้าเล็กน้อยของคิงคาโล ก่อนที่ร่างนั้นจะลุกยืน ปรายตามองมาทางเขา ก้มศีรษะให้เพียงนิดตามศักดิ์รุ่นพี่รุ่นน้องและเดินจากไป


               
    เป็นภาพปกติที่เขาขี้เกียจจะหาสาเหตุว่าทำไมกษัตริย์ที่น่าจะยุ่งแสนยุ่งกลับมานั่งสบายใจอยู่ในโบสถ์ แทนที่จะนั่งอยู่หลังโต๊ะใหญ่กับงานกองโต รึไม่ก็บนบัลลังก์กับงานเลี้ยงหรูหรา ข้างกายคือพระสนมผู้งดงาม


               
    เมื่อคิดถึงตรงนี้รอยยิ้มหายามจากนักบวชแห่งแอเรียสก็ปรากฏขึ้น


               
    พระสนมคนงาม...กับราชินีตกอับที่เปลี่ยนจากการถูกลักพาตัวเป็นการหนีตาม 'ใครบางคน' ไป


               
    สุดท้ายน่าสงสารที่สุดก็คงเป็นคิงที่ทำตัวเป็นน้ำแข็ง แม้ว่ารอบตัวจะเต็มไปด้วยพระเพลิงโชติช่วง พร้อมถือพัดใหญ่ที่ทำหน้าที่โบกตัวเองให้ไฟนั้นยิ่งลุกลาม


               
    มือที่เช็ดถ้วยทองหยุดมือลง นัยน์ตาเรียวยาวยังคงจับจ้องอยู่กับภาชนะตรงหน้า หากความคิดกับลอยออกไปเรื่อยๆ พร้อมกับความคิดหลายๆ อย่าง


    -----------------------------------------
     

                แสงแดดสลัวลอดผ่านรูบางส่วนบนหลังคาที่เจ้าของบ้านปฏิเสธที่จะซ่อมมันยามที่เพื่อนรักเสนอตัว ทำให้มีกองน้ำแข็งเล็กๆ อันเกิดจากหิมะที่ร่วงหล่นผ่านรูพวกนั้นทิ้งตัวลงกับพื้นกระจายเป็นจุดๆ


               
    ร่างบางใต้ผ้าห่มผืนใหม่ที่เพิ่งจะได้รับบริจาคจากเพื่อนรัก(คนเดิม)ส่งเสียงครางอืออาขมวดคิ้วหงุดหงิด มือก็คว้าผ้าห่มคลุมโปงไม่ยอมตื่นง่ายๆ และเธอก็คงจะหลับไปอีกรอบถ้าไม่เพราะ...


               
    โครม!!!


               
    "
    อะไรวะ! ตะวันสายโด่งแล้วยังไม่ตื่นอีกเรอะไง ตื่น!!!" แขกประจำสามวัน จ้ำก้าวไปประชิดเตียงเล็ก มือก็กระชากเอาผ้าห่มที่ตนเป็นคนหามาให้ทิ้งไปอย่างไม่ใยดี อีกมือก็คว้าแขนกระตุกร่างนั้นให้ขึ้นมานั่งเอนตัวไปมาเหมือนคนเมา


               
    "
    คนน่ะต้องตื่นเช้า มีแต่พวกหมูเท่านั้นล่ะที่ตื่นสายขนาดนี้ เฮ้ย!! นี่แกฟังอยู่รึเปล่า" เจ้าบ้านที่นั่งเมาขี้ตาเหมือนจะไม่ได้ยินความหวังดีนั้นจึงล้มตัวลงนอนกับเตียงและหลับตาพริ้มมีความสุขเป็นสัญญาณว่า....มึงจะพูดอะไรก็พูด แต่กูจะนอน!


               
    คิ้วเข้มกระตุกถี่ ห่อผ้าเล็กถูกโยนโครมลงบนโต๊ะกลางบ้าน ร่างสูงหายวับไปนอกบ้านเพียงครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับถังน้ำ และ....


               
    ซ่า!!!


               
    "!!!!!
    เย็นโว้ย!!!" เฟรินถึงกับสะดุ้งพรวดขึ้นมาสบถดังคับบ้านเมื่อน้ำบ่อในฤดูหนาวถูกสาดโครมเข้าที่หน้า ตาสีน้ำตาลตวัดมองแขกที่อุตส่าห์เสิร์ฟน้ำเย็นล้างหน้าให้แต่เช้าเขียวปัด


               
    "
    ก็เออสิ น้ำจากบ่อเพิ่งตักมาให้เลยเนี่ย สดชื่นไหม?" ประโยคสุดท้ายขึ้นเสียงสูงเป็นเชิงเยาะ คนที่เมื่อครู่ยังเมาขี้ตาตอนนี้ตื่นเต็มตาจากความอนุเคราะห์ยามเช้าของเพื่อนนักฆ่า


               
    "
    เออ! โคตรจะสดชื่น!!!" เฟรินกระแทกเสียงตอบ รวบผมที่ยาวระแผ่นหลังมาบิดน้ำออกเหมือนบิดผ้าขี้ริ้ว คนมองก็มองอย่างหนักใจ ถ้าวันไหนมันทำท่าเป็นคุณหนูขึ้นมาวันนั้นเขาจะวิ่งรอบซาเรสให้ดู


               
    "
    แล้วแกมาทำที่บ้านฉันอะไรตั้งแต่เช้า" เจ้าของบ้านถามพลางดึงเอาผ้าห่มที่เปียกโชกขึ้นมาสะบัด คิ้วบางขมวดมุ่น ถึงจะรีบเอาไปตากแต่หน้าหนาวแบบนี้มันจะแห้งทันรึไงเนี่ย คิดแล้วก็ปรายตามองนักฆ่าหนุ่มที่กำลังค้นเอาถ้วยกระเบื้องกับกาน้ำสำหรับชงชาในเช้าวันนี้


               
    ถ้าแห้งไม่ทันก็ค่อยถลกหนังมันมาห่มแทน!


               
    "
    หายหน้าหายตาไปนานเลยนี่" เฟรินเปรยขึ้นหลังจากที่ลากเอาหมอน ผ้าห่ม ผ้าปูเตียงไปตากตรงราวนอกบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว นับจากที่อีกฝ่ายพาเธอหนีออกมาจากวังก็ไปๆ มาๆ จนถึงวันที่แวะเข้ามาเอาผ้าห่มกับมีดคมๆ อันใหม่มาให้หลังจากนั้นก็หายเงียบไป


               
    "
    ก็นะ ทหารเดินกันให้วุ่น ถึงฉันจะเก่งแค่ไหนแต่เจอแบบนั้นเข้าก็แย่เหมือนกันนา" คิลตอบพลางหยิบเอาใบชาในกระป๋องใบเล็กขึ้นมาชงโดยไม่ต้องถามเจ้าของบ้าน


               
    รู้ดีเหมือนบ้านของตัวเอง


               
    เฟรินพยักหน้าหงึกหงักยอมรับ เพราะช่วงตลอดเดือนกว่าที่เธอออกไปซื้อเครื่องปรุงจำพวกเกลือกับของใช้จำเป็นบางอย่างที่หมู่บ้านก็พบว่าพวกทหารเดินไปเดินมา และเมื่อเห็นคนแปลกหน้าก็จะพุ่งเข้าไปถามคาดคั้น


               
    แน่นอน...เธอเองก็โดน


               
    ไม่ใช่ฐานะราชินี...แต่ฐานะขโมยคนหนึ่ง


               
    งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้แหวนของพ่อเอวิเดส ที่ทำให้เธอเดินไปซื้อของในหมู่บ้านได้ ไม่ต้องทนกินน้ำต้มผักจืดๆ เป็นอาหาร


               
    พูดถึงน้ำต้มผักแล้วเฟรินก็เบ้หน้าลง ก่อนฉีกยิ้มกว้างกับความคิดใหม่ ร่างบางเดินไปประชิดพร้อมขว้าแขนเพื่อนรักหมับเข้าให้


               
    "
    เฮ้ย!! ทำอะไรของแก ขนลุกว่ะ" คิลสะดุ้งเฮือกพยายามดันร่างยัยตัวดีออกแต่ไม่เป็นผล มีแต่อีกฝ่ายจะยิ่ง 'จงใจ' เบียดตัวเองให้ชิดมายิ่งขึ้น ใบหน้าเข้มของนักฆ่าหนุ่มเริ่มเป็นสีเรื่อพร้อมความเหนื่อยใจกับเพื่อนสาวที่เขาเคยคิดว่ามันคงยอมรับถึงเพศที่แท้จริงของตัวเองได้แล้ว


               
    "
    คิล..ไปกินอาหารในหมู่บ้านกันนะ นานๆ นายจะโผล่มาซักที" ตาสีน้ำตาลเป็นประกายวิบวับใช้ลูกอ้อนเต็มที่ ขณะที่ตาสีม่วงกลับพยายามเสมองไปทางอื่น หากไม่เพราะร่างบางนั้นขยับตัวพยายามสบตาเขาให้ได้ สัมผัสนุ่มที่แขนจึงยิ่งชัดเจนในความรู้สึกยิ่งทำให้เขาหน้าแดงหนักขึ้น


               
    ให้ตายสิ...ชีวิตนี้มันจะสำนึกบ้างได้ไหมว่ามันเป็นผู้หญิงแล้วเขาเป็นผู้ชาย!


               
    "
    ไม่ ฉันแค่มาดูว่าแกเป็นศพรึยังแค่นั้นเอง" คิลพยายามแกะมือบางที่ยังคงเกาะแขนเขาไว้แน่นออก ขณะที่เฟรินยังคงยิ้มกว้างไม่ยอมง่ายๆ "ก็ยัง แต่ถ้าให้ฉันกินแค่ขนมปังกับซุปผักฝีมือตัวเองไปอีกซักสองสามวันแกคงได้มางานศพฉันจริงๆ"


               
    คิลปรายตามองใบหน้าขาวที่แม้จะยิ้มสดใสแต่ก็ไม่สามารถปกปิดอาการซีดได้ เช่นเดียวกับมือขาวที่เขากำลังพยายามแกะอยู่นี่ด้วย


               
    มือมันเล็กลงกว่าตอนที่เจอกันครั้งสุดท้าย


               
    สุดท้ายเมื่อเขาสบตากับนัยน์ตากลมโตที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในลูกอ้อนของเจ้าตัวนั้นแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยอมพยักหน้าให้เฟรินชูมือส่งเสียงไชโยดังคับบ้าน ท่ามกลางความยินดีของเฟริน แต่คิลกับต้องร้องเสียงหลง เมื่อนแม่เพื่อนตัวดีกำลังเลิกเสื้อของตนขึ้นเผยให้เห็นผิวขาวๆ ใต้ร่มผ้า โดยไม่สนใจว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ในบ้าน


               
    "
    แกจะทำอะไรของแกน่ะเฟริน!!" คนที่แม้เวลาผ่านไปแต่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นกุลสตรีขึ้นหันมามองงงๆ


               
    "
    ก็เปลี่ยนเสื้อไง แกคงไม่ให้ฉันเดินเข้าหมู่บ้านทั้งๆ ที่เปียกไปทั้งตัวแบบนี้หรอกนะ หนาวจะตายชัก" คิลตบหน้าผากตัวเองแรงๆ ใบหน้าเข้มตอนนี้แดงเถือกลามไปถึงใบหูให้เฟรินยิ่งฉีกยิ้มกว้าง


               
    มันเขินน่ารัก!


               
    "
    เอาน่า ฉันไม่ถือ" ตาสีม่วงวาววับไม่รู้สึกขำไปกับเสียงหัวเราะที่เริ่มดังขึ้นนั่น คิลกระชากแขนเล็กให้ร่างบางเซปะทะกับแผ่นอกของตัวเอง


               
    "
    เจ็บนะโว้ย!!" เฟรินแหวใส่พร้อมกับบิดข้อมือตัวเองเพื่อหนีจากมือใหญ่นั่น เธอเงยหน้าสบกับนัยน์ตาที่มักจะเต็มไปด้วยประกายหยอกล้อ


               
    ...
    แต่ไม่ใช่ในขณะนี้...


               
    "
    ทั้งนายทั้งฉันไม่ใช่เด็กแล้ว...เฟริน" เสียงทุ้มต่ำกระซิบแผ่วเบา สาบเสื้อที่เปียกชื้นเสียดสีกับความร้อนของร่างที่สูงกว่า ให้คนหน้าหนาต้องหน้าแดงวาบด้วยความอาย


               
    "...
    ขอโทษ"


               
    เสียงหวานพึมพำแผ่วเบา คิลจึงปล่อยแขนอีกฝ่ายแล้วเดินออกไปยืนรอนอกบ้านเสียแทน


               
    โครม!!


               
    สิ้นเสียงปิดประตูนั้น คนที่ยืนอยู่กลางบ้านถึงกับทรุดตัวลงนั่งกับพื้น


               
    เวลา...เปลี่ยนคน


               
    เวลา...เปลี่ยนความสัมพันธ์


               
    ทั้งๆ ที่รู้ดี...แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะยอมรับมันได้อยู่ดี

     


               
    ขณะเดียวกันคนถูกยั่วจำใจต้องนับหนึ่งถึงล้านภายใต้หิมะที่เริ่มโปรยปรายลงมาเพื่อระงับอารมณ์หลายๆ อย่าง


               
    คิลขยี้หัวตัวเองแรงๆ ทรุดนั่งพิงกำแพงบ้านหมดแรง ก่อนผ่อนลมหายใจหนัก


               
    เพราะเป็นคนสำคัญถึงได้หนักใจ


               
    และเพราะอีกหนึ่งก็เป็นเพื่อนรักถึงต้องลำบากใจ


               
    เวลา...เปลี่ยนความรู้สึก


               
    อาจจะเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน หรือตั้งแต่สมัยเรียน...ไม่มีใครรู้


               
    แม้แต่ตัวเขาเองก็ตาม


    ************************************TBC...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×