คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : [#32] Wake up
“คิล”
เฟรินเปรยเสียงแผ่วให้กับเพื่อนรักที่เดินเข้าห้องมาก่อนจะส่งยิ้มให้
“เป็นไงบ้างล่ะ” คำถามนั้นเป็นของนักฆ่าแห่งซาเรส คนถูกถามจึงส่งยิ้มเครียดให้เป็นคำตอบก่อนโยนกระดาษในมือลงไปกองรวมกับกระดาษอื่น ๆ ที่กระจายเต็มโต๊ะ
“อยากจะบ้าตาย ฉันล่ะไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้คาโลต้องขลุกอยู่กับงานน่าเบื่อพวกนี้ทุกวันตลอดสามปี นี่ขนาดเรียกประชุมให้วิเคราะห์เรื่องทั้งหมดให้ฟังแล้วนะ บางเรื่องฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”
คิลหัวเราะพลางนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่
“ก็เลิกซะสิ ฉันเองเห็นแกทำงานงก ๆ แบบนี้ก็รู้สึกขัดหูขัดตายังไงชอบกลเหมือนกัน” เป็นข้อเสนอที่ทำให้เฟรินต้องแยกเขี้ยวใส่
“ถ้าฉันไม่ทำแล้วใครจะทำ ขืนคาโลฟื้นขึ้นมาเห็นงานกองใหญ่ขึ้นมีหวังได้สลบไปอีกหนน่ะสิ แกดูนะ...” หญิงสาวว่าพลางคว้ากระดาษที่เพิ่งวางลงไปขึ้นมาใหม่แล้วเริ่ม...บ่น
ตาสีม่วงมองคนบ่นไปทำหน้าหงิกไปแล้วหัวเราะหึเบา ๆ ในลำคอ
บ่นโน่นนี่ สุดท้ายก็ทำอยู่ดี
“ว่าแต่ว่า ทางเดมอสตอบกลับมารึยัง” คิลถามขัดให้เฟรินเงียบลง แววตากลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
หญิงสาวส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ยังไม่มีอะไรตอบกลับมาทั้งนั้น แต่ฉันคิดว่าพ่อคงไม่ใจจืดใจดำอะไร บางที...คงไม่ตอบจดหมายแต่อาจส่งคนหรือยาแก้มาให้เลยมากกว่า”
โครม!!
จบประโยคไม่ทันดีนัก อะไรบางอย่างก็ลอยเข้ามาทางหน้าต่าง กระแทกเข้ากับขอบโต๊ะดังโครมใหญ่ให้ทั้งสองคนหันขวับไปดู
บนพื้นพรมอย่างดีคือร่างคนแคระ กวาง คนแคระเขากวาง หรือถ้าให้เรียกอีกชื่อก็คือ โกโดมแห่งเผ่าโคมุส กำลังนอนแผ่นับดาวที่วิ่งวิบวับอยู่บนหัวตัวเอง
“โกโดม!!” เฟรินร้องลั่น ลุกพรวดวิ่งเข้าไปประคองร่างเล็ก ๆ นั่นขึ้นมาตบซ้ายตบขวาด้วยแรงที่คิลคิดว่าคงไม่เบาสักเท่าไหร่ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าที่ตบอยู่นั่นต้องการจะเรียกสติหรือจะทำให้สมองมันกระทบกระเทือนจนความจำเสื่อมกันแน่
“เจ้าหญิง...เจ้าหญิงเฟลิโอน่า!!” ร่างเล็กนั้นสะดุ้งพรวดลงไปยืนกับพื้นทันที่เรียกสติกลับมา (หรืออาจจะเพราะไม่อยากถูกตบเรียกสติอีก) โกโดมโค้งตัวต่ำจนเขากวางของมันเรี่ยกับพื่น เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด
“ไม่เจอกันนานกระหม่อม ขอให้เจริญพระชันษาพันปีหมื่นปี”
สิ้นคำนั้นเฟรินก็สนองความคิดถึงด้วยฝ่ามือให้โกโดมลงไปจูบพื้นด้วยความตื้นตันใจ
“อยู่มาแค่ยี่สิบกว่าปีก็วุ่นวายจะบ้าอยู่แล้ว นี่แช่งให้อยู่ถึงพันปีหมื่นปี” กระนั้นใบหน้าขาวก็ยังประดับรอยยิ้มกว้าง ดูท่าทางจดหมายที่เขียนคงส่งไปถึงเดมอสโดยสวัสดิภาพ จ้าวปีศาจเอวิเดสถึงส่งโคมุสตัวนี้มา
พลันคิ้วบางก็เลิกขึ้น และขมวดเข้าหากัน สุดท้ายคืออาการหรี่ตามองโกโดมที่ยืนคลำหัวตัวเองป้อย
“นี่อย่าบอกว่า... เป็นพ่อปลอมตัวมาหรอกนะ”
ได้ยินเช่นนั้นโกโดมก็ฉีกยิ้มกว้าง
“ไม่ใช่หรอกกระหม่อม แม้ว่าแท้จริงแล้วฝ่าบาทโปรดจะเสด็จมาด้วยตัวเอง แต่ติดราชกิจจึงส่งกระหม่อมมาแทน” ว่าแล้วก็ยืดอกเล็ก ๆ นั่นอย่างภาคภูมิใจ แต่ในสายตาของมนุษย์สองคนที่เหลือกลับเห็นว่ามันน่าตลกมากกว่า
เฟรินยิ้มกว้าง พยักหน้าเข้าใจ
ติดราชกิจ...หรือถูกพวกอำมาตย์ดักคอแล้วประเคนงานให้กันแน่น่ะ
คิดแล้วก็หลุดหัวเราะกิ๊กกั๊กออกมา
“พ่อสบายดีไหม” ทั้งที่เพิ่งจะเจอกันไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่ก็อดอยากรู้ไม่ได้
“ทรงพระเกษมสำราญดีกระหม่อม... ฝ่าบาทยังทรงฝากความคิดถึงมาให้เจ้าหญิงด้วย ตรัสว่า... href="file:///C:\DOCUME~1\Windows\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_filelist.xml" />‘ถ้าเหนื่อยเมื่อไหร่ให้กลับไปพักที่เดมอสได้ทุกเมื่อ’ กระหม่อม”
เฟรินพยักหน้ายิ้มน้อย ๆ รับรู้ความห่วงใยของผู้เป็นพ่อ ก่อนลุกขึ้นยืนปรับแววตากลับมาเป็นจริงจังอีกครั้ง
“เอาล่ะ เราไปกันเลยดีกว่า”
----------------------------------------
เสียงครืดคราดดังนานนับชั่วโมงในความเงียบ นานครั้งจึงจะมีเสียงเรียกให้ส่งตัวยาบางอย่างให้เผ่าโคมุสรับไปบดด้วยท่าทีโสลเสลเต็มที
อาการของคาโลแย่กว่าที่ทุกคนคาดคิด ทันทีที่โกโดมเห็นร่างที่นอนอยู่ก็ถึงกับวิ่งเข้าไปตรวจอาการอย่างเร่งด่วน ระหว่างนั้นคือการพึมพำและส่ายหน้าเป็นระยะ ๆ ซึ่งทำให้คนที่เฝ้ามองยิ่งวิตกกังวล
ผลการตรวจคือหากไม่รีบแก้ไข สมองของคาโลจะถูกทำลายโดยสมบูรณ์ สุดท้ายจะตายเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว และถึงจะให้ยาแก้ในตอนนี้ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะหายขาดกลับมาเป็นปกติ เพราะอีกฝ่ายถูกวางยาเป็นเวลายาวนานเกินไป จนหากมีเดียยอมอดทนให้ยาตามกำหนดอีกสักสองเดือน คาโลก็จะกลายเป็นตุ๊กตาให้เธอชักใยอย่างสมบูรณ์
เรียกว่าในโชคร้ายก็มีความโชคดีที่เคลือบความโชคร้ายไว้อีกชั้น
ถึงจะไม่สามารถรับรองผลว่าคาโลจะหายเป็นปลิดทิ้ง แต่เฟรินก็คิดว่าดีกว่าปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปโดยไม่ยอมทำอะไรเลย
ตาสีน้ำตาลมองโกโดมที่ตั้งหน้าตั้งตาบดยาอยู่บนเก้าอี้ตัวหน้าสุดด้วยนัยน์ตาโหลลึก ขอบตาปรากฏรอยดำคล้ำจากการอดนอนถึงสองคืนเต็ม
เธอไม่คิดอยากจะนอนพักตามคำแนะนำของพวกอำมาตย์ และแม้จะรู้ว่าการเฝ้ามองอย่างนี้ไม่ได้ช่วยให้อีกฝ่ายบดยา หรือทำให้ยาเสร็จได้เร็วขึ้น แต่เธอก็ไม่อยากจะละสายตาหรือลุกเดินไปไหนทั้งสิ้น จะมีที่ขยับตัวบ้างก็ตอนที่คิลเอาอาหารมาให้ ซึ่งเธอกินได้ไม่กี่คำก็วางช้อนลง ถ้าถูกคะยั้นคะยอก็จะฝืนกินเข้าไปได้อีกนิดหน่อย อาหารที่ยกมาจึงเหลือทิ้งกว่าครึ่งทุกมื้อ
บนแท่นบูชานั้นคือร่างที่นอนหลับใหลด้วยเวทนิทราที่ร่ายติดต่อกัน แต่เพราะโกโดมบอกว่ายาน่าจะเสร็จภายในวันนี้ ทั้งหมดจึงลงความเห็นว่าควรหยุดเวทนิทราและรอให้คาโลฟื้นขึ้น แม้ว่าเขาอาจตื่นขึ้นก่อนยาจะเสร็จก็ตาม
เหนือร่างนั้นคือวงเวทสีทองสองชั้นที่วิ่งวนสวนกันช้า ๆ ที่ร่ายโดยนักบวชแลกเปลี่ยนจากแอเรียส ใช่...ลอเรนซ์ ดอว์น
ในครั้งแรกที่โกโดมบอกว่าต้องใช้เวทตัวนี้ นักบวชหนุ่มก็ทำหน้าหงิกใส่ทันที ส่วนเหตุผลนั้นก็เพราะมันเป็นเวทลับของศาสนจักรในกิลดิเรกที่สืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน เป็นเวทที่สามารถดูดซับคำสาปได้เกือบทุกชนิดเพียงแต่การร่ายเวทบทนี้นั้นสิ้นเปลืองพลังเวทเพราะมันสามารถดูดซับคำสาปได้ช้า จึงต้องใช้เวลานานกว่าการปรุงยาหรือเวทรักษาบทอื่น ๆ
แน่นอนว่าพวกสภาคงไม่มีวันวิ่งโร่ไปขอร้องกิลดิเรก เฟรินจึงส่งจดหมายด่วนไปหาเพื่อนเก่าผู้ซึ่งบัดนี้ดำรงตำแหน่งเป็นอาร์คบิชอฟ...โคลว์ อาร์มสตรอง
และเมื่อเย็นวันถัดมา คำตอบก็มาถึง พร้อมจดหมายบ่นจากโคลว์ ว่าคราวหน้าอย่าส่งอดีตขอทานตัวดีมาเจรจาอีก นั่นทำให้เฟรินแปลกใจและฉีกยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ เมื่ออดีตขอทานยังคงทำตัวเป็นห้องสมุดเคลื่อนที่ได้สมบูรณ์ไม่เปลี่ยนแปลง รู้กระทั่งว่าการรักษาคาโลจำเป็นต้องใช้มนต์จากกิลดิเรก บางทีหมอนั่นอาจไม่ได้กลับทริสทอร์แต่ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ นี้มาตลอดก็เป็นได้
ทว่าปัญหายังไม่จบเมื่อท้ายจดหมายมีข้อความกำชับว่า ห้ามให้ใครรู้เรื่องเวทบทนี้ นอกจากคนที่เธอและ...ไว้ใจ
เมื่อถูกกำชับมาเช่นนี้ สายตาของเธอและคิลจึงพร้อมใจกันหันไปมองรุ่นพี่ประจำป้อมอัศวินโดยไม่ได้นัดหมาย
เป็นทั้งรุ่นพี่และนักบวช แถมยังปากหนัก ทำหน้าหงุดหงิดตลอดเวลาจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ อีกทั้งฝีมือก็ยังยอดเยี่ยมหมดห่วงเรื่องถูกบังคับให้พูด
ลอเรนซ์แสดงความหงุดหงิดและไม่ต้องการให้ตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยอมรับคำขอร้องจากรุ่นน้องในที่สุด
ผลจากเวทลับจากกิลดิเรก ใบหน้าซีดเซียวของคาโลจึงดูซับสีเลือดขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งคิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหากันก็คลายออกจนเหมือนคนนอนหลับธรรมดา จะดีกว่านี้ถ้าริมฝีปากที่ม่วงจัดด้วยฤทธิ์ของยาจะกลับมาเป็นปกติ แต่ก็ถือว่าดีขึ้นเรื่อย ๆ
“เอาล่ะ” จู่ ๆ โกโดมก็เปรยขึ้น ร่างเล็กโงนเงนลุกขึ้นหยิบถ้วยยาที่วางพักอยู่ไม่ไกลมาใส่ตัวยาชุดสุดท้ายลงไป พลันน้ำยาสีดำข้นก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวสดใส จากกลิ่นคลื่นเหียนสะอิดสะเอียนเปลี่ยนเป็นกลิ่นดอกไม้หอมกรุ่นได้อย่างน่าประหลาดใจ
“เสร็จแล้วกระหม่อม”
ทว่าเฟรินปราดเข้ามาตั้งแต่คำแรกหลุดออกมาจากปากโกโดม พ่อมดแห่งเดมอสยิ้มอิดโรย
“ให้คิงคาโลดื่มให้หมดนะกระหม่อม เป็นไปได้อย่าให้หกแม้แต่หยดเดียว”
หญิงสาวพยักหน้ารัวเร็ว ก่อนยื่นมือหนึ่งไปลูบศีรษะเล็กของคนพูด ก่อนส่งยิ้มกว้างให้อย่างตื้นตัน
“ขอบใจนะโกโดม ขอบใจ”
โคมุสตัวจ้อยก้มตัวต่ำ แค่คำพูดสั้น ๆ หัวใจของมันก็พองโต ความง่วงงันมลายหายเป็นปลิดทิ้ง
เฟรินคว้าช้อนแล้วผละไปหาร่างที่นอนอยู่บนแท่น เมื่อก้มลงจะประคอง คิลที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลก็ยื่นมือเข้ามาช่วยให้เธอยิ้มบางเป็นคำขอบคุณ ก่อนบรรจงค่อย ๆ ป้อนยาให้คาโลทีละคำอย่างอดทน นาน...กว่ายาทั้งถ้วยจะแห้งเหือด ไม่เหลือสักหยดตามที่พ่อมดแห่งเดมอสกำชับไว้
ที่เหลือ...คือเวลา การรอคอย และภาวนาให้ยาได้ผล
ตาสีน้ำตาลมองใบหน้าคมด้วยแววตาห่วงใยและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน เอื้อมสัมผัสมือขาวที่เริ่มอุ่นขึ้นมา
ชั่วชีวิตนี้เธอไม่เคยขอพรพระเจ้า แต่หากจะมีสักครั้ง...สักครั้งที่สิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าจะเมตตา เธอก็อยากจะขอให้คนคนนี้ฟื้นกลับมามีสติอีกครั้ง ต่อให้ต้องแลกด้วยอายุขัยของตัวเอง หรือแลกด้วยชีวิตของเธอ
ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม...
เฟรินสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อไหล่ของเธอถูกสัมผัสหนัก ๆ ด้วยฝ่ามือของเพื่อนรักอีกคนที่อดนอนเป็นเพื่อนเธอ ตาสีม่วงที่มองตรงมาฉายความห่วงใยไว้อย่างชัดเจน จนเฟรินรู้สึกผิดขึ้นมาที่ฝืนทำโน่นนี่จนคนอื่นต้องมาเป็นห่วง
“นอนพักสักหน่อยเถอะ ถ้าคาโลตื่นเมื่อไหร่ฉันจะรีบปลุกนายเอง” คิลว่าเสียงเบา ไม่รู้ว่าเพราะไม่อยากปลุกโกโดมที่สลบไปแล้ว หรือเป็นเพราะเสียงแหบแห้งไปตามเวลาที่ไม่ได้ใช้งาน
“แต่ฉัน...”
ชายหนุ่มส่ายหน้าขัดคำแย้งของอีกฝ่าย
“ถ้านายเกิดป่วยขึ้นมาอีกคน มันจะยิ่งแย่นะเฟริน อย่างน้อย...”
ถ้าไม่เห็นแก่ฉัน...
คำพูดนั้นกลืนหายลงลำคอ ก่อนเอ่ยต่อ
“ก็เพื่อคาโลมัน คิดดูนะ ถ้ามันตื่นขึ้นมาเห็นแกอดนอนใกล้ตาย มีหวังฉันได้กลายเป็นไอติมส่งกลับซาเรสสมพรปากแกแน่” พูดไปก็ฉีกยิ้มกว้าง กระตุ้นให้คนฟังยิ้มตามก่อนหันมองหน้าคนที่นอนอยู่อีกครั้ง แล้วจึงหันมาพยักหน้ายินยอมแต่โดยดี
“แกสัญญาแล้วนะคิล” เฟรินย้ำอีกครั้ง เธอบีบมือที่กุมมือของคาโลแน่นขึ้นเล็กน้อยคล้ายบอกว่าเธอจะไปเพียงไม่นาน คิลพยักหน้า ทว่าเมื่อมองตาคู่โตนั่นดี ๆ ชายหนุ่มก็ต้องเลิกคิ้วแล้วส่ายหน้า
“ไม่ได้ แกต้องไปนอนที่ห้องเท่านั้น”
หากเฟรินกลับฉีกยิ้มกว้าง เริ่มเจรจาต่อรอง
“ไม่เอาน่าคิล ฉันอุตส่าห์นอนพักผ่อนตามคำขอแกแล้ว กะอีแค่ที่นอน ให้ฉันเลือกเองไม่ได้เหรอไง”
“ไม่ได้ ขืนแกอยู่ที่นี่คงไม่ได้นอนแน่ ๆ”
“ไม่หรอกน่า ฉันสัญญาว่าจะนอน นอนแน่ ๆ เพราะงั้นเดี๋ยวฉันไปเอาหมอนกับผ้าห่มมาก่อนนะ”
ว่าแล้วเจ้าตัวดีก็เผ่นออกนอกวิหารทันที ทิ้งให้คิลอ้าปากค้างมองประตูบานใหญ่ค่อย ๆ ปิดลงอย่างไม่เชื่อสายตา
หนึ่งในสามวิชาก้นหีบมันก็ยังใช้ได้...ดีเกินไป
ตาสีม่วงหันกลับมามองคนที่ยังหลับสนิท แววตาค่อย ๆ แปรเป็นความเจ็บปวด
แกคิดจะทรมานเฟรินไปถึงเมื่อไหร่กัน...คาโล
คิลอยากกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาตะคอกถามแม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางลืมตาขึ้นมาตอบก็ตาม สามวันมานี้สิ่งที่เขาเห็นคือความเหนื่อยยากของคนสามคน
หนึ่งคือรุ่นพี่ที่ต้องนั่งเฝ้าคอยถ่ายพลังเวทให้วงแหวนด้วยใบหน้าหงิกงอ
สองคือโคมุสที่นั่งบดสมุนไพรเป็นบ้าเป็นหลัง
สามคือหญิงสาวที่นั่งกุมมืออยู่เคียงข้างไม่ขยับกายจากไปไหน
ความพยายามทั้งหมด...เพื่อคนเพียงคนเดียวที่ถูกทำให้หลับเพื่อจะได้ไม่ต้องตื่นขึ้นมาพบกับความเจ็บปวด
คิลหลับตาลง ยอมรับกับปีศาจในใจของตัวเองว่ามีหลายครั้ง ที่ตนเกือบจะปลิดลมหายใจคาโล
ถ้าไม่มีมัน...ทั้งรุ่นพี่ลอเรนซ์ ทั้งโกโดม หรือแม้แต่พวกสภาก็ไม่ต้องมาเดือดร้อน
เหตุผลง่าย ๆ ที่ปีศาจตนนั้นเฝ้ากระซิบบอก ทว่าคิลรู้ดีที่สุดว่าเหตุผลที่แท้จริงของความต้องการนั้นคืออะไร
ถ้าไม่มีคาโล เฟรินก็จะไม่ต้องเสียใจ...
และถ้าไม่มีมัน... เฟรินก็จะเป็นของเขา
พลันสัญชาตญาณก็กรีดร้องให้ขาที่ก้าวเข้าใกล้ร่างบนแท่นกระโดดหลบ มีดสั้นสีเงินจึงบินไปปักกำแพงด้านหลังแทน ตาสีม่วงตวัดมองอีกคนที่ยังคงอยู่ในวิหาร
“ทำอะไรน่ะ รุ่นพี่” ชายหนุ่มเปรยถาม กระชับมีดในมือเผื่อจะต้องเปิดศึกกับรุ่นพี่ร่วมโรงเรียน ทว่าอาการนั่งเฉยของลอเรนซ์ ทั้งไม่รู้สึกถึงจิตสังหาร เขาจึงลดมีดลง
“นายต่างหาก...คิดจะทำอะไร” นักบวชแห่งแอเรียสถามกลับ ตาสีอเมทิสต์จ้องเขม็งมาทางรุ่นน้องอย่างคาดคั้น “เอื้อมมือจะไปจับมันทั้ง ๆ ที่ชาร์ตไฟไปด้วย คิดจะฆ่ากันรึไง”
นักฆ่าจากซาเรสเบิกตาขึ้น เหลือบมองมือซ้ายที่ปรากฏกระแสไฟฟ้าแล่นวูบวาบด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบสลายมันไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหันกลับมาก็เผลอหยุดหายใจกับสายตากดดันของลอเรนซ์
คิลสูดหายใจลึก เก็บมีดแล้วจึงฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“ล้อเล่นแบบนี้ไม่แรงไปหน่อยหรือไงรุ่นพี่ลอเรนซ์ ผมก็แค่เผลอคิดว่าถ้าช็อตมันซะบางทีมันอาจจะอ้วกเอาไอ้ยาบ้า ๆ ของพี่ลูคัสออกมาก็ได้”
ทว่าคนฟังกลับยิ้มตามไม่ออก เมื่อคำแก้ตัวนั้นฟังไม่ขึ้นสักนิด
นักฆ่าที่เกือบจะเผลอตัวฆ่าคิงตามเสียงปีศาจยังคงยิ้มก่อนถอนหายใจ
“ผมไปดูเฟรินดีกว่า กลัวว่ามันจะเผลอฟุบหลับเอากลางทาง”
ทว่าไม่ทันจะได้ก้าวขา ประตูบานใหญ่ของวิหารก็เปิดผัวะออก พร้อมร่างของเฟรินที่หอบหมอนและผ้าห่มกองโตเข้ามาโยนลงบนเก้าอี้ยาวด้านหน้า ก่อนจะหยิบผืนหนึ่งโยนให้ลอเรนซ์ ผืนหนึ่งห่มให้โคมุสตัวน้อยอย่างแผ่วเบา และสุดท้ายก็โยนให้เพื่อนรักที่ยืนทำหน้างง
“ไหน ๆ ก็ลุกไปหยิบแล้ว ฉันก็เลยเอามาเผื่อไง”
เฟรินยิ้มกว้าง แล้วคว้าหมอนกับผ้าห่มผืนสุดท้ายไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหน้าสุด ซึ่งเป็นคนละฝั่งกับโกโดม เธอจัดหมอนพิงเข้าที่เท้าแขนริมสุด เหยียดขาออกไปตามความยาวของเก้าอี้ เมื่อจัดผ้าห่มและท่านอนของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ตาสีน้ำตาลก็มองเสี้ยวหน้าของร่างบนแท่นหินอ่อน
เธอจ้องอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งผ้าห่มผืนหนึ่งลอยมาคลุมศีรษะ บดบังทุกอย่างออกจากสายตา
“ทำบ้าอะไรของแกเนี่ยคิล!!” เฟรินโวยวายโดยไม่ต้องหันไปดูว่าใครเป็นคนโยนมา
“ทำให้แกนอน” คนถูกโวยตอกกลับด้วยเสียงเข้ม ๆ ให้คนโวยหดคอไม่กล้าโวยต่อ ถึงจะถูกเขม่นแต่เธอก็อดหันไปมองหน้าคาโลอีกครั้งไม่ได้
“สัญญาแล้วนะคิล” เฟรินพูดแค่นั้นก็หลับตาลง ไม่กี่วินาทีต่อมา ด้วยความเหนื่อยล้าก็ฉุดเธอลงสู่ห้วงนิทราได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานวิหารใหญ่แห่งคาโนวาลก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงลมหายใจดังแผ่วเบา
---------------------------------------------------
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เฟรินไม่แน่ใจนัก เธอรู้แต่ว่าเมื่อลืมตาตื่น แสงแดดที่ส่องผ่านกระจกสีเบื้องหน้าได้หายไป เหลือเพียงแสงเทียนจากเชิงเทียนทรงสูง รอบตัวมีแต่ความเงียบและอากาศก็เย็นลงมากจนนึกขอบคุณผ้าห่มที่อยู่บนตัว
หญิงสาวยันตัวขึ้นนั่งอย่างเงียบกริบ พยายามไม่ทำเสียงใด ๆ จนเป็นการปลุกคนอื่นที่ยังหลับอยู่ ทว่าเมื่อหันหลังก็เห็นตาสีอเมธิสต์มองตรงมา
เฟรินขมวดคิ้วงงงัน ก่อนนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายจำเป็นต้องถ่ายเทพลังให้วงเวททำงานตลอดเวลา เพื่อสลายคำสาปให้มากที่สุด ดังนั้นเรื่องการหลับพักผ่อนจึงไม่สามารถทำได้ ความรู้สึกผิดจึงผุดขึ้นมา
บางทีเธอควรหาอะไรให้อีกฝ่ายทานสักหน่อย
คิดแล้วร่างบางจึงเลิกผ้าห่มออก ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่แขนของร่างที่นอนอยู่บนแท่นหินอ่อนยกขึ้นช้า ๆ คล้ายคนละเมอ
ตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง ทุกอย่างที่คิดถูกหยุดเพื่อให้สมองรับรู้แต่เพียงภาพตรงหน้า
“คาโล!” เฟรินร้องเสียงดัง ไม่สนใจสักนิดว่าเสียงของตนจะปลุกคนอื่น เธอพรวดไปจับมือที่ยกลอยแล้วบีบมือแน่นเพื่อบอกอีกฝ่ายว่าเธอยังอยู่ที่นี่
วินาทีต่อมา เปลือกตาที่ปิดมาตลอดก็สั่นน้อย ๆ ก่อนจะลืมขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าคมที่เฟรินไม่ได้เห็นมาหลายเดือน
สีฟ้า...ดุจน้ำแข็งยามสะท้อนกับสีของท้องฟ้า
ลำคอจุกตัน ก้อนร้อนก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในอก หัวตาร้อนผ่าวด้วยน้ำตาที่กลั่นออกมาโดยไม่รู้ตัว
เฟรินอ้าปากเรียกชื่อคาโลซ้ำ ๆ มือที่กุมมืออีกฝ่ายสั่นน้อย ๆ ด้วยความดีใจ ตาสีน้ำตาลมองเปลือกตาที่กระพริบช้า ๆ คล้ายคนกำลังรวบรวมสติ ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีซีดซึ่งนั่นดูดีกว่าสีม่วงช้ำก่อนหน้านี้ และยังเป็นสัญญาณว่ายาของโกโดมและวงเวทของลอเรนซ์นั้นได้ผล
ขอบคุณโกโดม
ขอบคุณพี่ลอเรนซ์
ขอบคุณ...พระเจ้า
“คาโล! เป็นไงบ้าง ยังปวดหัวรึเปล่า” เฟรินระล่ำระลักออกมาขณะพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่ง “โกโดม! โกโดม! ไอ้คนแคระเขากวาง!
ร่างบางหันไปโวยวายใส่โกโดมที่ยังสะลึมสะลือไม่เลิก ร่างเล็กเผ่าโคมุสสะบัดหน้าไล่ความมึนแล้ววิ่งมาดูอาการคนป่วยทันที ทว่าทันทีที่คาโลเห็นร่างเล็กนั้น พายุน้ำแข็งก็โหมกระพือขึ้นทันที
โกโดมถูกพายุพัดกระเด็นไปติดกำแพง บวกความอ่อนล้าสะสมทำให้มันสลบไปแทบจะทันที เฟรินเบิกตากว้างวิ่งเข้าไปดูอาการของพ่อมดแห่งเดมอส ก่อนหันมาตะโกนถามเสียงดังลั่น
“แกทำบ้าอะไรของแกน่ะคาโล!”
ทว่าตาสีฟ้าคมนั่นยังคงมองตรงมาราวกับไม่เข้าใจสิ่งที่เธอกำลังพูด
“โกโดมอุตส่าห์ไม่หลับไม่นอน ตั้งหน้าบดยาให้แกตั้งสามวัน แล้วแกยังมีหน้าซัดน้ำแข็งใส่มันอีกเนี่ยนะ?!”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบดุจน้ำเย็นจัดที่จับหัวใจคนฟังให้หยุดเต้น
“เธอเป็นใคร?”
TBC...
************************************
Talk > อ่า...สำหรับตอนนี้คิดว่าคงยาวพอจะชดใช้ความผิดในครั้งที่แล้วนะคะ ^^"
แต่ว่า...ส่วนตัวรู้สึกว่าเขียนออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ หากไม่เป็นที่พอใจต้องขออภัยด้วยค่ะ T[]T
อีกเรื่องคือ ตอนนี้เราด้วยอาการเมา ๆ คือต้องย้อนกลับไปเพิ่มนั่นเติมนี่เป็นระยะ ๆ ดังนั้นหากมีส่วนไหนบกพร่องอย่างไร รบกวนแจ้งด้วยนะคะ ^^"
สุดท้ายขอตอบคำถาม คุณ Uki-ko นะคะ
**แล้วก็อยากรู้ด้วย ที่มีเดียทำไป เพราะอะไร**
- เรื่องนี้ขออนุญาตตอบนอกรอบค่ะ เพราะิคิดว่าคงไม่มีโอกาสยัดลงในเรื่องแล้ว (เขียนโดยไม่วางพล็อตแต่ละตอนมันก็แย่แบบนี้ล่ะ = = )
สาเหตุที่ทำให้มีเดียคิดจะควบคุมคาโล เพราะต้องการอยู่เหนือคาโนวาลค่ะ ส่วนตัวเราคิดว่าลูกเจ้าคนนายคนส่วนใหญ่จะถือว่าตัวเองอยู่สูงที่สุด ดังนั้นการที่เจ้าหญิงอย่างมีเดียต้องรับสถานะเป็นเพียง 'พระสนม' นั้นเธอจึงไม่ชอบใจเอามาก ๆ แต่ก็ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้มากกว่านั้นเพราะกลัวคาโนวาลที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้าย ประกอบกับความหมั่นไส้เฟรินที่เป็นธิดาแห่งความมืด และตัวเองยังต้องคอยก้มหัวให้เฟรินอีก
เรียกว่างานนี้ทำไปเพราะ 'ศักดิ์ศรี' ล้วน ๆ เลยค่ะ
ความคิดเห็น