คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : [#33] Ending to Begin - 1
เธอเป็นใคร?
คำถามสะท้อนก้องอยู่ในหัว ไม่เพียงแต่ตัวคนถูกถามแต่ยังรวมไปถึงคนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงนั้นด้วย ทว่าก่อนที่ความไม่พอใจและโกรธเคืองจะเกิดขึ้น ร่างของคาโลก็ทรุดฮวบลงพร้อมพายุที่จางหายไป
“คาโล!” เฟรินทิ้งร่างโกโดมเข้าไปประคองอีกฝ่ายอย่างลืมตัว แต่ถูกอีกฝ่ายปัดมือทิ้งอย่างไม่ไยดี ตาสีฟ้าคมจ้องเขม็งมาทางเธอเต็มไปด้วยความไม่เชื่อใจ
“อย่ามายุ่ง”
เฟรินอึ้ง... แววตาแบบนี้ ท่าทางแบบนี้หวนให้เธอนึกถึงวันที่ได้เจอคาโลเป็นครั้งแรก
เย่อหยิ่ง ถือตัว ทระนง อวดดี
ใช่...เจ้าชายคาโล วาเนบลี แห่งคาโนวาล
แต่ถึงเป็นเช่นนั้น...
หมัดเล็ก ๆ กำแน่นก่อนสวนเข้าหน้าคนป่วยที่เพิ่งฟื้นลืมตาได้ไม่นาน
“อย่ามาบ้าอะไรตอนนี้ได้ไหม!!”
เฟรินตวาดเสียงดังลั่น มือกำหมัดแน่นสั่นระริกทั้งหงุดหงิด ทั้งโกรธ เสียใจ ปวดใจ และ...เจ็บใจ
“กะอีแค่ยืนยังทำไม่ได้ แล้วจะมาทำอวดดีใส่คนอื่นเขาอีก!”
คนถูกต่อยเบิกตากว้าง งงเกินกว่าจะทันรู้ว่าตัวเองสมควรจะโกรธที่จู่ ๆ ก็ถูกผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ต่อยหน้า เฟรินลุกพรวดขึ้นยืน สะบัดหน้าเชิดขึ้นเพื่อซ่อนน้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอ แล้วจึงหันไปหาคิลที่ยังยืนสงบ
“ฉันจะไปตามหมอหลวง แกกับพี่ลอเรนซ์ช่วยดูอาการมันไปก่อน แต่ถ้ามันงี่เง่ามากนักก็ทุบหัวให้มันสลบอีกหนไปเลยก็ได้”
สิ้นคำ ร่างบางนั้นก็ก้าวยาว ๆ ออกจากวิหารอย่างรวดเร็ว
-----------------------------------------------------------------
ลอเรนซ์สบถเบา ๆ กับตัวเองขณะเดินไปยังวิหารเพื่อทำงานของตัวเองเหมือนทุกวัน
หลังจากเฟรินออกจากวิหาร เจ้ารุ่นน้องนักฆ่านั่นก็จัดการทำให้คิงแห่งคาโนวาลสลบไปอีกครั้ง
‘ขี้เกียจตอบคำถามมันน่ะ’
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่อีกฝ่ายพูดก่อนอุ้มร่างโกโดมแล้วหายตัวไป ถึงจะบอกว่าหายตัวแต่เขาก็รู้ดีว่าหมอนั่นยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ที่ไหนสักแห่งในวังแน่นอน
ทันทีที่หมอหลวงมาถึงและตรวจร่างกายอย่างคร่าว ๆ คิงคาโลก็ถูกย้ายกลับไปพักผ่อนยังห้องบรรทม หลังจากนั้นคือการเก็บกวาดหิมะที่กองอยู่เต็มวิหาร หากจะบอกว่านั่นคือความวุ่นวายแล้ว เหตุการณ์ต่อมาคงไม่ต่างจากหายนะ (ของคาโนวาล)
เมื่อความทรงจำของคิงคาโลตลอดระยะเวลาสิบปีขาดหายไป ใช่...ความทรงจำช่วงก่อนเข้าเรียนที่เอดินเบิร์กจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
แน่นอนว่าข่าวนี้ถูกปิดกั้นไม่ใช้ประชาชนรู้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความแตกตื่น แต่สาเหตุสำคัญคือมันเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ หากให้ประเทศเพื่อนบ้านรู้ก็อาจจะเกิดสงครามแย่งชิงดินแดนอีกหน
ดังนั้นไม่ว่าฝั่งปกครองหรือฝั่งศาสนจักรต่างก็มีเรื่องวุ่นวายให้ทำกันไม่เว้นแต่ละวัน
อันที่จริงนักบวชต่างถิ่นอย่างเขาที่เผลอไปอยู่ในเหตุการณ์ต้องถูกลบความทรงจำ และถูกกักบริเวณจนกว่าเรื่องทั้งหมดจะดีขึ้น แต่คงเป็นเพราะฐานะรุ่นพี่ของคิงและควีน หรืออาจจะเป็นอะไรก็ตามแต่ทำให้เขาไม่ต้องผ่านเวทลบความทรงจำ
ประตูห้องสวดมนต์ถูกเปิดออกให้เห็นรูปปั้นพระแม่สีขาวบริสุทธิ์ เก้าอี้ยาวเรียงแถวเป็นระเบียบ และแสงแดดที่ส่องผ่านกระจกสีเกิดเป็นลวดลายบนพื้นหินอ่อน
ทั้งหมด...ไม่ต่างจากวันแรกที่เขาเปิดประตูบานนี้
เพียงแต่วันนี้ไม่มีเสียงดนตรีแว่วหวาน ไม่มีเงาร่างใครสักคนตรงแถวหน้าสุด และไม่มีดาบยาวฟาดลงมา
ลอเรนซ์ก้าวชิดแท่นหินอ่อนที่ว่างเปล่า ยกมือเอื้อมแตะแผ่นหินที่เย็นเฉียบ
จะว่าไป...เกือบหนึ่งปีแล้วสินะที่เขามาอยู่ที่นี่
ตาสีอเมธิสต์เหลือบมองเก้าอี้ยาวด้านหลังที่ว่างเปล่า
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่... ที่เคยชินกับภาพที่มีใครบางคนนั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น ถือกล่องดนตรีที่บรรเลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับไม่มีวันจบสิ้น เขาไม่ได้คิดอยากให้เรื่องราวทั้งหมดดำเนินอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ เพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ยังไงเสียคาโลต้องออกเดิน ไม่ว่าจะได้ตัวยัยจอมยุ่งคนนั้นกลับมาหรือไม่ และเขาเองก็ต้องกลับแอเรียสในต้นฤดูหนาวที่กำลังใกล้เข้ามา เพียงแต่...
“สนุกไหม?...ผลจากยาของนาย”
“ใจร้ายจริงลอรี่”
มีดบินพุ่งไปปักผนังใกล้ร่างที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด นัยน์ตาสีดำใต้กรอบแว่นพรายระยับด้วยรอยยิ้มขณะก้าวออกมา
“ฉันก็เสียใจนะที่คาลี่จะจำฉันกับลอรี่ไม่ได้อีก”
คำพูดกับรอยยิ้มบนใบหน้านั้นทำให้ลอเรนซ์สรุปได้ในทันทีว่าคนพูดกำลังตอแหลหน้าตาย และส่งมีดอีกสองเล่มไปให้แทนคำต่อว่า ซึ่งลูคัสก็โยกหลบได้สบาย ๆ เช่นเดิม
“แต่ก็เป็นอย่างที่เคยพูดใช่ไหมล่ะ? ว่าพระเจ้าสร้างให้เราสองคนมาคู่กัน”
มีดอีกสองเล่มปักลงบนพนักเก้าอี้ที่คนพูดเพิ่งขยับหลบได้ด้านข้าง
ลอเรนซ์ส่งสายตาดุไปเป็นคำถาม แต่ไม่คิดจะเอ่ยปากเพราะไม่อยากเสวนากับคนตรงหน้าเท่าไหร่นัก
“ก็ถ้าไม่มีลอรี่” ลูคัสว่าพลางหลบมีดบินอีกหน “ถึงจะถอนพิษจากยาได้ แต่อาการของคาลี่อาจจะแย่กว่านี้ก็ได้”
เวทแก้คำสาปที่มาช้าไปราวสามวันทำให้ความทรงจำหายไปสิบปี หากไม่มีมัน...คาโลคงไม่ต่างจากเด็กทารกแรกเกิดที่ลืมกระทั่งวิธีพูด
ลอเรนซ์ขมวดคิ้ว จากที่ฟังเหมือนอีกฝ่ายกำลังพูดชมแต่ไม่รู้สึกน่าดีใจสักนิด
“ว่าแต่...จะกลับแอเรียสเมื่อไหร่ล่ะ”
จู่ ๆ บทสนทนาก็ถูกเปลี่ยนกระทันหัน ตาสีม่วงเหลือบมองคนถามเพียงเล็กน้อยแล้วเดินไปยกงานของตนออกมาขัด
“อีกสี่เดือน”
ลูคัสทุบมือเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ดีเลย ช่วงนี้ยังไม่มีงานใหม่เข้ามา งั้นเดี๋ยวฉันคอยอยู่เป็นเพื่อนลอรี่จนกว่า...”
ลอเรนซ์รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างในหัวขาดผึง มีดสี่เล่มถูกซัดออกไปก่อนจะได้คิด ตามด้วยเสียงตวาดหงุดหงิดของตัวเอง
“ไสหัวของแกออกไปให้พ้นสายตาฉันเดี๋ยวนี้เลย!!”
-----------------------------------------------------------------
เหนื่อย...
คำเพียงคำเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวและร่างกาย ขณะที่คนในช่วงอายุเดียวกันคนอื่นกำลังพักผ่อนกับเวลาเกษียณของตน แต่เขาต้องมาวิ่งไปวิ่งมาในวัง แทบไม่มีเวลาให้พักหายใจ อย่างเช่นวันนี้...ตื่นเช้ามาก็เจอประชุม จบประชุมก็ต้องไปตรวจดูพวกครูที่กว้านหามาสอน ‘คิง’ เสร็จจากนั้นก็ต้องกลับไปนั่งอ่านเอกสารรายงานประชุม แต่อ่านไม่ทันจบก็ถูกคิงคาโลเรียกตัวไปพบ
งานนี้จะเจออะไรอีกนะ
เรเชอร์ถอนหายใจอีกครั้ง เมื่อการเข้าเฝ้าครั้งสุดท้ายมันมีแต่เหตุการณ์ร้าย ๆ เกิดขึ้น จึงช่วยไม่ได้ที่ครั้งนี้จะรู้สึกกังวล แต่ก็นั่นล่ะ...เขาเลือกได้ที่ไหนกัน
มหาดเล็กหน้าประตูขานชื่ออำมาตย์เฒ่า วินาทีต่อมาคือประโยคอนุญาตดังมาจากภายในห้อง
“กระหม่อม” เรเชอร์พึมพำแผ่วเบาขณะก้มหน้าทำความเคารพร่างสูงโปร่งที่ยืนทำหน้าเครียดอยู่กลางห้อง ไอเย็นคละคลุ้งจนขนลุกซู่แต่ชายชราก็ยังมีท่าทีสงบอยู่
“ท่านพอจะมีสิ่งใดที่สามารถอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้บ้าง” คิงคาโลเริ่มเรื่องพลางแตะลงบนกล่องกำมะหยี่สีดำสนิทบนโต๊ะ อำมาตย์เรเชอร์ก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนเดินเข้าไปหา ‘เรื่อง’
เมื่อเห็นว่า ‘เรื่อง’ นั้นคืออะไรก็ถอยออกมาก่อนเอ่ย
“ทูลฝ่าบาท เมื่อประมาณครึ่งปีก่อน ฝ่าบาทมีรับสั่งให้นำทับทิมของฝ่าบาทคาเลียร์มาทำเป็นสร้อยเพื่อมอบให้ราชินีกระหม่อม เพียงแต่ระหว่างรอแบบสร้อยนั้นทับทิมเกิดเป็นรอยบิ่น ฝ่าบาทจึงรับสั่งให้เจียระไนส่วนที่บิ่นทิ้งแล้วย่อขนาดสร้อยลงกระหม่อม”
สิ้นคำอธิบาย ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง
“ทำไม...มันถึงบิ่น”
“ไม่ทราบกระหม่อม เวลานั้นฝ่าบาทก็ไม่ได้ตรัสอะไรนอกจากสั่งให้กระหม่อมนำทับทิมไปเจียระไน” อำมาตย์เฒ่าก้มตัวต่ำลงแสดงความนอบน้อมอย่างที่สุด หวังเพียงอย่าให้คิงพิโรธกับคำตอบของตน
เมื่อนายไม่ปรารถนาจะพูด แล้วข้ารับใช้อย่างตนจะมีสิทธิอะไรไปตั้งคำถาม?
ดูเหมือนอีกฝ่ายก็คงคิดได้เช่นนั้น ท่าทีจึงมีเพียงแค่อาการหงุดหงิดเงียบ ๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากท่านมอบมันให้เธอก็แล้วกัน” คาโลเอ่ยตัดบทแล้วหมุนตัวเดินไปนั่งหลังอดีตโต๊ะทำงานเพราะบัดนี้มันเปลี่ยนสภาพกลายเป็น ‘โต๊ะเรียน’ แทน
เรื่องของเรื่องก็คือเฟรินตัดสินใจสั่งเหล่าข้าหลวงทุกคนในวังให้ ‘หุบปาก’ เรื่องของเธอ และบอกคาโลเพียงว่าเขากำลังจะมีพระโอรส(หรือพระธิดา) แต่เพราะร่างกายของ ‘ราชินี’ ที่อ่อนแออีกทั้งยังทรงครรภ์แก่ ดังนั้นหมอหลวงจึงแนะนำให้พาราชินีไปพักผ่อนยังที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์เพื่อหลีกเลี่ยงความตึงเครียดภายในวัง ที่อาจจะส่งผลต่อเด็กในท้อง
และแม้ว่าคาโลจะอยากพบหน้า ‘ราชินี’ มากแค่ไหน แต่ความยุ่งยากจากการสูญเสียความทรงจำทำให้เขาไม่มีเวลาไปเยี่ยมได้ดั่งใจ
แน่นอน...ทั้งหมดอยู่ในแผนของ ‘ราชินี’
เพราะเหตุที่คาโลสูญเสียความทรงจำตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนเอดินเบิร์ก และไม่มีวันที่คาโนวาลจะส่งคิงกลับเข้าไปเรียนใหม่ให้เสียศักดิ์ศรี ดังนั้นเหล่าข้าหลวงในวังจึงต้องวิ่งเต้น ‘สอน’ คิงคาโลใหม่ทั้งหมดโดยเร็วที่สุด แต่การสอนทุกอย่างและบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดในสิบปีภายในเวลาไม่กี่เดือนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นนอกเหนือจากเวลาอาหารสามมื้อหลัก ที่เหลือก็จะเป็นเวลาเรียน เรียน และเรียน ไม่ก็เปลี่ยนเป็นพิจารณาเอกสารง่าย ๆ เพื่อเรียนรู้งาน สุดท้ายนักเรียนกิตติมศักดิ์จึงไม่มีเวลากระดิกตัวไปทำอย่างอื่น
หัวหน้าสภาอำมาตย์เหลือบมองเสี้ยวหน้าที่ก้มลงอ่านงานประจำวันด้วยความรู้สึกหลากหลาย ใจอยากอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่ก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง
คาโนวาลจำเป็นต้องมีกษัตริย์
และจะต้องเป็นนักรบปีศาจนาม คาโล วาเนบลี เท่านั้น!
อำมาตย์เฒ่าสรุปกับตัวเองอีกครั้งก่อนก้มศีรษะรับคำสั่ง
“รับด้วยเกล้า”
“งานนี้ท่านต้องเหนื่อยอีกแล้วสินะ คงไม่ได้เกษียณง่าย ๆ แน่ ๆ”
เฟรินพูดแล้วก็ยิ้มกว้างมองร่างชราที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“เรื่องนั้นกระหม่อมทำใจแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มจึงยิ่งฉีกกว้างมากขึ้น ใจหนึ่งก็นึกสงสาร แต่อีกใจหนึ่งก็อดสมน้ำหน้าไม่ได้ เธอไม่ใช่แม่พระถึงจะไม่รู้สึกโกรธคนที่ทำให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้อาฆาตแค้นด้วยรู้ดีว่าสาเหตุของการกระทำนั้นคือความหวังดีอย่างสูงสุดของคนคนหนึ่งที่จะมีให้กับประเทศชาติของตน
ดังนั้น เพื่อทั้งคิงทั้งข้ารับใช้ก็คงต้องเหนื่อยกันหน่อย
แม้เฟรินอยากจะหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออก
ถึงคิงจะลืมราชกิจทุกอย่าง แต่ก็ใช่ว่าราชกิจมันจะสงสาร รอเวลาให้คิงขี้ลืมกลับมาสะสางนี่ ดังนั้นงานทั้งหมดในช่วงนี้ ‘ราชินี’ จึงต้องรับไปทำ ‘ทั้งหมด’
เฟรินถอนหายใจหนัก ๆ โยนกระดาษในมือใส่กองที่ ‘ต้องพิจารณาอีกหน’ แล้วหยิบงานชิ้นใหม่ขึ้นมา(จดหมายเชิญงานอะไรสักอย่าง ซึ่งเฟรินโยนใส่กอง ‘ไม่อนุมัติ’ ทันที)
“นอกจากเรื่องเรียนของคาโล” หญิงสาวหยุดหัวเราะกิ๊กในลำคอ “ยังมีอะไรอีกรึเปล่าท่านเรเชอร์”
หัวหน้าสภาอำมาตย์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนขยับตัวหยิบบางอย่างออกมาจากเสื้อคลุมตัวหลวมโคร่ง
“ฝ่าบาท...ฝากสิ่งนี้ให้กระหม่อมถวายแก่ราชินี”
ในมือเหี่ยวย่นนั้นคือกล่องกำมะหยี่สีดำสนิท ภายในกล่องนั้นคือทับทิมสีแดงสด ทว่ามันไม่ได้เป็นเพียงหินสีแดงที่มีรอยบิ่นแต่มันถูกเจียระไนเสียใหม่และถูกประกอบเป็นสร้อยลวดลายงดงาม...คุ้นตา
ถ้าจำไม่ผิด...มันเป็นลวดลายที่มีเดียเคยเอามาให้เธอดู
สร้อย...ของราชินีแห่งคาโนวาล
ตาสีน้ำตาลมองอำมาตย์เฒ่าที่ก้มหน้าก้มตา เธอจึงเอ่ยให้อีกฝ่ายพูดต่อ
“วันนี้ฝ่าบาทรับสั่งให้กระหม่อมเข้าเฝ้า” เรเชอร์เริ่มโดยมองไม่เห็นว่าทำไมต้องย้อนกลับไปถึงขนาดนั้น แต่เฟรินก็ยังคงเงียบปล่อยให้พูดต่อไป
“รับสั่งว่าให้ถวายสร้อยเส้นนี้แก่ราชินีกระหม่อม”
เฟรินขยับยิ้มเหยียด
“ราชินีคนไหนล่ะ ‘คนเก่า’ หรือ ‘คนใหม่’”
เสียดสีทั้งคนฟังทั้งตัวเอง ทว่ามันทำอะไรไม่ได้กับหัวใจที่เริ่มด้านชา
เพราะการสูญเสียความทรงจำ ทำให้คาโล ‘เข้าใจ’ ว่าคนที่กำลังจะคลอดลูกคือราชินีแห่งคาโนวาล หรือพูดง่าย ๆ ว่าเขาเข้าใจว่ามีเดียกับเธอเป็นคนคนเดียวกัน
“รับสั่งว่าให้ถวายแก่ราชินี กระหม่อมจึงคิดว่าเป็นพระองค์”
เฟรินเบิกตากว้าง อึ้งอยู่นานแต่ในที่สุดก็หัวเราะออกมา
งั้นเหรอ...ความพยายามของเธอสัมฤทธิ์ผลแล้วสินะ เธอได้รับการยอมรับแล้วสินะ อย่างน้อย...ก็จากหัวหน้าสภาอำมาตย์หัวแข็งคนนี้
ทว่า...
หญิงสาวหยุดหัวเราะ เปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มบางบนตรงมุมปาก
“ขอบคุณแต่ฉันไม่ต้องการ ท่านเก็บไว้ให้คนอื่นเถอะ เพราะถ้าอยู่ในมือฉันก็มีแต่จะเผลอขายทิ้งทำทุน”
ทำทุน?
ตาสีน้ำเงินกระตุกขึ้นมองใบหน้าหวานที่ยังคงส่งยิ้มมาให้ตน
เฟรินไม่แปลกใจที่จะเห็นสีหน้างงงวยของอีกฝ่าย ในเมื่อเรื่องนี้เธอยังไม่ได้บอกให้ใครรู้ และถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะบอกใคร แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็ไม่ต่างจากการหนีแบบที่เธอเคยทำ
“วันที่มีเดียคลอดลูก วันนั้นจะเป็นวันที่ราชินีแห่งคาโนวาลสิ้นพระชนม์”
“ฝ่าบาท!!”
หญิงสาวเบิกตากว้างอีกครั้งแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“เป็นครั้งแรกนะที่ท่านเรียกฉันแบบนั้น” เธอว่าพลางยกมือขัดอีกฝ่ายที่อ้าปากจะพูด “อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ฉันเป็นแค่คนธรรมดาและกลัวตายมากกว่าที่ท่านคิด”
แม้จะได้ยินว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดสั้นแต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นก็ยังสร้างความกังวลให้กับเรเชอร์ไม่จางหาย
“ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะออกจากคาโนวาล”
“ฝ่าบาท!!”
รอบนี้ทั้งเสียงทั้งความตกใจเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุด ตาสีน้ำเงินฉายแววตระหนกอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
“ถึงตอนนี้คิงคาโลจะทรงลืม...”
“หายไปต่างหากท่านอำมาตย์” เฟรินแก้คำให้ถูกต้องโดยที่รอยยิ้มยังไม่จาง “ทั้งเรื่องราวในเอดินเบิร์ก สงครามระหว่างเอเดนกับเดมอส เรื่องราวตลอดสิบปีที่ผ่านมา...หายไป ไม่ใช่ถูกลืม”
‘ปกติแล้ว ยาตัวนี้จะทำหน้าที่ขัดขวางสมองส่วนที่เป็นกระบวนการความคิด ซึ่งก็คล้าย ๆ กับเวทสะกดใจนั่นล่ะกระหม่อม แต่คำสาปที่กำกับไว้ทำให้มันเพิ่มประสิทธิภาพ แทนที่จะขัดขวางแต่มันกลับทำลายทิ้งอย่างถาวร...’
คำอธิบายของโกโดมยังก้องอยู่ในหัวของทั้งสองคน ปิดประตูความคิดที่จะหายาแก้เพื่อฟื้นฟูความทรงจำทั้งหมดลง คาโลจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ทุกอย่างตั้งแต่หนึ่งอีกครั้ง
“ถึงจะเป็นเช่นนั้น หากฝ่าบาททรงได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง...”
“ ‘ขโมยก็คือขโมย ย่อมกลายเป็นพระราชาไม่ได้’ ” เฟรินขัดขึ้นอีกครั้ง “นั่นคือประโยคแรกที่คาโลพูดกับฉัน”
หญิงสาวขยับยิ้มเศร้า พยักหน้า...ให้กับตัวเอง
“ถึงจะน่าหมั่นไส้แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันคือความจริง”
เธอยืดตัวขึ้นพิงพนักอย่างเหนื่อยอ่อน ตาสีน้ำตาลเหลือบมองกองกระดาษมากมายตรงหน้า
“ฉันไม่สามารถรับน้ำหนักความรับผิดชอบต่อประชาชนทั้งคาโนวาลได้ ไอ้ที่ทำอยู่นี่ก็เพราะจำเป็น และอย่างที่ท่านเห็นว่าการตัดสินใจของฉันบางครั้งมันก็...ผิดพลาด”
เฟรินยิ้มเครียดเมื่อนึกถึงความผิดพลาดครั้งล่าสุดของเธอเมื่อสองวันก่อนจนทำให้เกือบเกิดจราจล
“ขโมยเป็นพระราชาไม่ได้ เพราะขโมยรับผิดชอบได้แค่ชีวิตของตัวเองเท่านั้น วันนี้...ฉันเข้าใจคำพูดนั้นดีแล้ว”
เอกสารกองพะเนินในส่วนของ ‘ต้องพิจารณาอีกครั้ง’ ก็เป็นหลักฐานรองรับคำพูดของเฟรินได้ดี แม้ว่าเธอจะเคยเรียกประชุมหลายต่อหลายครั้งเพื่อฟังงานทั้งหมด แม้จะออกไปดูด้วยตาตัวเองไม่ได้แต่เธอก็มักจะใช้ให้คิลคอยช่วยไปสำรวจแทน ถึงอย่างนั้น ความผิดพลาดก็ยังเกิด...บ่อยครั้ง
ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะไม่คุ้นชินกับงาน ก็คงต้องบอกว่าเธอไม่มีวันคุ้นเคยกับมันได้
“เช่นนั้น...” ในที่สุดฝ่ายที่เปิดปากก่อนกลายเป็นอำมาตย์เฒ่า
“เช่นนั้น...เหตุใดถึงทรงอภิเษก...”
คำถามสั้น ๆ ที่ทำให้คนฟังถึงกับนิ่งอึ้งด้วยจนต่อคำตอบ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเศร้าสร้อย
...จนแม้แต่คนมองก็รู้สึกเจ็บปวดตามไปด้วย...
TBC...
**********************************
ใครได้กลิ่นไหม้ โปรดอย่าใส่ใจ ="=
ความคิดเห็น