คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : [#30] Poison
ทั้งที่อีกแค่ปีสองปีก็จะได้ปลดเกษียณแล้วแท้ๆ
หัวหน้าสภาอำมาตย์บ่นกับตัวเองแล้วก็ถอนหายใจเฮือกขณะก้าวไปตามทางเดินกว้าง จุดหมายคือห้องทรงงานของคิงแห่งคาโนวาล
การค้นหาราชินีเริ่มมาเกือบครบหนึ่งอาทิตย์แล้ว แม้จะใส่ใจในรายละเอียดมากขึ้น กระจายกำลังออกไปกว้างกว่าเดิม แต่ผลที่ได้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนคือ ไร่ร่องรอย...
ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ราวกับอันตรธานหายไปในอากาศ...ใช่ บางครั้งอำมาตย์เรเชอร์ก็คิดแบบนั้น จำพวกว่าราชินีใช้เวทล่องหนหลบหนีออกนอกคาโนวาลไปแล้ว แต่เป็นเพราะลางสังหรณ์ของคนแก่หรือเพราะการได้จับตาดูแลอย่างใกล้มาหลายปี ทำให้เขายังคงเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายยังคงอยู่ในประเทศนี้ และไม่มีความคิดที่จะออกนอกประเทศ แต่ที่น่าปวดหัวก็คือ ตัวคิงคาโลที่ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าใครเป็น 'ผู้สมรู้ร่วมคิด' กับการหลบหนีในครั้งนี้ แต่กลับไม่ยอมเอ่ยปากบอก เขาเองก็เคยลองหลอกถาม หากสิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบและสายตาที่เย็นชา แถมช่วงนี้...คอยพยายามจับผิดเขาอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย แต่ที่พูดมาทั้งหมดนั้นกลับไม่แย่เท่าเรื่องของพระสนมคนนั้น(ที่มีอยู่แค่คนเดียว)
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรืออย่างไร ถึงได้รู้สึกว่าหล่อนเริ่มเข้ามายุ่มย่ามในราชกิจมากเกินความจำเป็น และเรื่องที่คอยเกาะแน่นอยู่ในใจไม่ต่างจากปลิงดูดเลือด เห็นจะเป็นเรื่องของการขึ้นค่าภาษีที่เพิ่งประกาศออกไป
ทั้งที่ก่อนหน้านี้คาโนวาลก็เคยประสบปัญทางด้านการเงิน แต่คิงคาโลก็ไม่เคยใช้วิธีขึ้นค่าภาษี แล้วทำไมครั้งนี้...ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุจำเป็นแต่กลับทำแบบนั้น อีกทั้งยังเป็นการตัดสินใจของคิงคาโลเพียงคนเดียว โดยไม่สนว่าสภาอำมาตย์จะคัดค้านอย่างไรเสียด้วย
เฮ้อ...มีแต่เรื่องน่าปวดหัวทั้งนั้น
เสียงเรียกชื่อของตนดังขึ้นดึงเอาความคิดที่กระจัดกระจายให้กลับมารวมกัน ก่อนที่ประตูบานใหญ่เบื้องหน้าจะเปิดออกเผยให้เห็นห้องทรงงานคุ้นตาที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่ปี โต๊ะตัวใหญ่ยังคงเต็มไปด้วยเอกสารมากมาย หากร่างที่มักนั่งอยู่หลังโต๊ะนั้น วันนี้กลับยืนอยู่ที่หน้าต่างบานใหญ่เสียแทน
"ว่ามา" เสียงทุ้มดังแผ่วเบาเชิงสั่งทันทีที่ประตูปิดลง นัยน์ตาสีฟ้าคมยังคงเหม่อมองออกไปด้านนอก บานหน้าต่างถูกเปิดกว้างรับลมต้นฤดูใบไม้ผลิ ทว่าสีหน้าของคาโลนั้นกลับนิ่งเฉยไร้ซึ่งความรู้สึกใด
"ยังไม่มีความคืบหน้ากระหม่อม" อำมาตย์เรเชอร์ตอบเสียงแผ่ว
"งั้นก็คงถึงเวลาปลดฝ่ายมหาดไทยทั้งกรมแล้วสินะ" น้ำคำนั้นนิ่งเรียบ ไม่บ่งบอกอารมณ์แต่คนฟังย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายนั้น...คิดจริง และอาจทำจริงๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ ใจจริงก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์กับตำแหน่งตัวเองเท่าไหร่หรอก เพียงแต่ถ้าปล่อยให้โดนปลด มันจะลามไปกลาโหมและฝ่ายอื่นๆ สุดท้ายสรุปคือปลดยกแผง ถึงตอนนั้นคงได้วุ่นวายกันอีกหน
"คาโนวาลกว้างใหญ่ ประชากรก็มากมาย จะตามหาใครสักคนจำต้องใช้เวลา ยิ่งคนคนนั้นเป็นถึงราชินีด้วยแล้วจึงต้องยิ่งค้นหาให้ละเอียด ขอฝ่าบาทอดทนรอ..."
"การรอคอยมีจุดสิ้นสุดเสมอ ท่านอำมาตย์" คิงคาโลตัดบทไม่อยากฟังคำแก้ตัวมากไปกว่านั้น หากอำมาตย์เฒ่ากลับฟังเหมือนคำสั่งรอเวลาตัดคอตนมากกว่า
เอาเถอะ...ถ้าหัวมันจะหลุดก่อนตำแหน่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ แก่ปูนนี้แล้วด้วยยังไงก็คงเหลือเวลาอีกไม่นาน
พลันประตูบานใหญ่ก็เปิดออกพร้อมร่างเล็กเดินเข้ามา ตาสีเขียวกระพริบสองสามครั้งอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าในห้องมีบุคคลอื่นอยู่ด้วย
เรเชอร์ค้อมตัวต่ำทำความเคารพผู้มาใหม่ ทว่าเจ้าหล่อนกลับไม่สนใจ เดินตรงไปหาเจ้าของห้อง ในมือคือถาดที่มีฝาคลุมเพื่อรักษาความร้อน
"ซุปร้อนๆ เพคะ เสวยตั้งแต่ตอนร้อนๆ คงพอจะทำให้ฝ่าบาทอุ่นขึ้นมาบ้าง"
ตาสีฟ้ามองซุปสีขาวข้นที่ส่งควันฉุยเงียบๆ ในขณะที่เรเชอร์กำลังแปลกใจว่าอะไรที่ทำให้สนมคนนี้บ้าบิ่นพอจะเดินดุ่มๆ เข้ามาในห้องทรงงานโดยไม่ขออนุญาตแบบนี้ คิงน้ำแข็งแห่งคาโนวาลก็วางปากกาลงมือทานซุปอย่างว่าง่ายให้อำมาตย์เฒ่าแปลกใจ... ไม่สิ ช็อคไปเลยมากกว่า
“ดึกดื่นค่อนคืนขนาดนี้ ท่านอำมาตย์ยังมาขอเข้าเฝ้า เห็นทีจะเป็นเรื่องสำคัญสินะ” คำเปรยมาพร้อมสายตาคมกริบที่มองมา ทว่าเมื่อเทียบกับสายตาเยียบเย็นของคิงคาโลเมื่อครู่นี้แล้ว การมองแบบนี้ก็เหมือนแมวออดอ้อนดีๆ นี่เอง
“หามิได้กระหม่อม เป็นแค่รายงานประจำวันเท่านั้น”
“เอ๋? แต่ถ้าเราจำไม่ผิด รายงานประจำวันเขากราบทูลกันตอนเช้าไม่ใช่หรือ แล้วทำไมของท่านถึงได้มารายงานเอาป่านนี้”
ไม่รู้สักเรื่องจะเป็นอะไรไหมนะ
เรเชอร์คิดในใจเงียบๆ อันที่จริงเรื่องการเข้าเฝ้า การรายงานทั้งหลายแหล่ไม่ใช่เรื่องที่ ‘สนม’ อย่างเจ้าหล่อนจะต้องยื่นจมูกเข้ามายุ่งสักนิด แต่ในเมื่อคิงที่นั่งหัวโด่ไม่เอ่ยตักเตือนอะไร ข้าราชการอย่างเขาก็จะพูดอะไรได้
“เพราะเป็นเรื่องที่จะสรุปหลังพระอาทิตย์ตกดินกระหม่อม ฝ่าบาทเองก็มีพระประสงค์ให้เข้ารายงานทุกวัน” เพราะฉะนั้นแทนที่จะรีบพักผ่อนก็ต้องมาทนไอหิมะทุกหัวค่ำแบบนี้
“เรื่องการตามหาราชินีเฟลิโอน่าสินะ” มีเดียสรุปด้วยรอยยิ้มมุมปาก ความเงียบคือคำตอบรับของคำถามนั้น เธอหมุนตัวเล็กน้อยมองคาโลที่ค่อยๆ ละเลียดซุปในชามจนเกือบหมดก่อนยกยิ้มกว้างขึ้น มือขาวบางที่ได้รับการดูแลอย่างดีแตะเข้าที่ลำแขนแกร่ง
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเห็นว่าควรจะเลิกตามหาราชินีเฟลิโอน่าได้แล้วนะเพคะ”
ช้อนเงินสะดุดกึกให้คนพูดรู้สึกใจเสียขึ้นมา ทว่าเมื่อตาสีฟ้าคู่นั้นเงยขึ้นและมองไม่เห็นอะไรนอกจากสีฟ้าที่ไร้แวว มีเดียก็เรียกรอยยิ้มกลับคืนมา
ก็แค่เร่งให้เร็วกว่ากำหนดไปแค่สองอาทิตย์เท่านั้นเอง
“นะเพคะ หม่อมฉันเป็นห่วงร่างกายฝ่าบาท ปกติก็โหมทรงงานหนักอยู่แล้ว จะต้องแบ่งเวลาไปตามราชินีอีก...” มีเดียเงียบไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะแย้งจึงพูดต่อ “บางที ป่านนี้ราชินีคงเสด็จกลับเดมอสไปแล้วล่ะเพคะ”
“กลับ...” คาโลพึมพำ อีกคนที่ยืนเงียบอยู่ในห้องเริ่มขมวดคิ้วให้กับความผิดปกติแบบฉับพลันตรงหน้า ทั้งอาการมองหน้าพระสนมนิ่งๆ บทสนทนาที่ฟังยังไงก็เหมือนบังคับมากกว่าเสนอ สุดท้ายคือคำพูดที่เหมือนคนไม่เหลือสติอยู่กับตัว
“เพคะ คงกลับเดมอสไปแล้ว ฝ่าบาทควรตัดใจจะดีกว่านะเพคะ” มีเดียตอบเสียงหวานดุจน้ำตาลเช่นเดียวกับรอยยิ้มบนใบหน้า เมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว ดูท่า...แผนการของเธอคงบรรลุผลในคืนนี้
“เพราะฉะนั้น...สั่งยกเลิกการค้นหาเถอะเพคะ”
“นั่นสินะ” คิงน้ำแข็งแห่งคาโนวาลพึมพำอีกครั้ง ก่อนเบือนหน้ามามองอำมาตย์เฒ่าที่เริ่มเบิกตาค้าง
“ถ่ายทอดคำสั่งไป”
มีเดียฉีกยิ้มกว้าง ณ เวลานี้ทุกอย่างได้อยู่ในกำมือของเธอเรียบร้อยแล้ว
“ให้ยกเลิกการตามหาเฟลิ...เฟ........”
ถ้อยคำขาดหาย ริมฝีปากอ้าหุบอยู่สองสามครั้งคล้ายเจ้าตัวหาเสียงไม่เจอ วินาทีต่อมา มือใหญ่ก็ยกขึ้นกุมขมับ เหงื่อกาฬไหลท่วมร่างจนเห็นได้ชัด เอกสารบนโต๊ะถูกปัดทิ้งด้วยความเจ็บปวดจนไม่อาจอยู่เฉย
“ฝ่าบาท!!” อำมาตย์เรเชอร์ร้องเรียกเสียงดัง พร้อมก้าวรุดไปยังร่างของคาโลทันที มือที่เอื้อมหมายจะแตะถูกปัดทิ้งพร้อมถ้วยซุปที่หล่นลงพื้น ส่งเสียงดังเรียกสติมีเดียที่ได้แต่ยืนตกใจ
ตาสีเขียวปราดมองซ้ายขวาเพียงชั่วครู่ ก่อนจะขยับกายเตรียมวิ่งหนีสถานการณ์ที่กลับตาลปัตร ทว่าอำมาตย์เฒ่าเร็วกว่า
“ทหาร! จับพระสนมมีเดียเอาไว้ แล้วรีบตามหมอหลวงโดยเร็วที่สุด ฝ่าบาทคาโลถูกลอบวางยา!!”
ความโกลาหลเกิดขึ้นในทันใด มีเดียกรีดร้องเสียงสูงสะบัดแขนที่ถูกทหารล็อกไว้อย่างแรงแต่ก็ไม่สามารถหลุดจากการควบคุม
“ไม่! พวกแกกล้าดียังไงมาแตะต้องเรา!! ปล่อยเดี๋ยวนี้! เราต้องเข้าไปดูอาการฝ่าบาท!!”
พระสนมร้องลั่น ตาสีเขียวจับจ้องร่างสูงที่ล้มลงจากเก้าอี้ให้พวกทหารพุ่งพรวดเข้าไปรับแทบไม่ทัน
“พาฝ่าบาทไปที่ห้องบรรทมเดี๋ยวนี้ หมอหลวงมารึยัง!!” อำมาตย์เรเชอร์ตะโกนลั่นให้ทุกฝ่ายสะดุ้งเฮือก ไม่คิดว่าคนแก่อย่างคนตรงหน้าจะมีเสียงที่ดังและทรงพลังขนาดนี้
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว หมอหลวงที่ถูกปลุกขึ้นจากนิทราวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตรวจชีพจร ขณะเดียวกันวิญญาณหมอเทวดาในคทาก็ปรากฏตัว ขอยืมร่างหมอหลวงตรวจซ้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าหนักใจ และส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับเสียงหัวใจที่หยุดเต้นของทุกคนในห้อง
------------------------------------------------
href="file:///C:\DOCUME~1\Windows\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_filelist.xml" />
ขณะที่ในวังกำลังโกลาหล ถัดมาหลังจากกำแพงวังกลับเงียบสงบ ชาวบ้านเข้าสู่นิทราตั้งแต่หัวค่ำ เหลือเพียงโรงแรมและบาร์กลางคืนบางแห่งที่ยังคงเปิดให้บริการ ถัดออกมาทางนอกเมืองความเงียบก็ลอยอยู่รอบตัวพร้อมกับความมืดของราตรีกาล
ในความมืดนั้นเอง ปรากฏเงาที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเงียบกริบ มีเพียงนัยน์ตาสีม่วงที่ทอประกายให้เห็นว่าร่างนั้นมุ่งหน้าไปทางใด
ร่างนั้นหยุดลงหน้ากระท่อมซอมซ่อหลังหนึ่งที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางป่า แม้ฤดูหนาวจะจบไปแล้ว แต่ความหนาวเย็นตอนกลางคืนก็ทำให้ลมหายใจที่พ่นออกมากลายเป็นควันสีขาวตามจังหวะ
เสียงประตูที่เพิ่งถูกซ่อมแซมไปไม่กี่เดือนดังเอี๊ยดลั่น ให้แขกยามวิกาลหวั่นว่าจะเผลอปลุกเจ้าของบ้าน แต่นับว่าเป็นโชคดีเมื่อเจ้าของบ้านคนนี้ขี้เซาเกินกว่าจะลุกขึ้นด้วยเสียงเพียงแค่นี้
ตาสีม่วงมองฝ่าความมืดไปยังร่างที่กำลังหลับ เปลือกตาหลับพริ้มแม้จะบอกไม่ได้ว่าเจ้าตัวกำลังฝันดีหรือฝันร้าย แต่มันก็คงดีกว่าหากจะปล่อยให้อยู่กับความฝัน แทนที่จะปลุกขึ้นมาเผชิญหน้าความจริงที่โหดร้ายกว่านับสิบเท่า
นั่นสิ...ก็แค่เงียบไปเท่านั้น
ไม่ต้องพูด ไม่ต้องบอก รอเวลาให้ข่าวมันลอยมาเข้าหูเอง ถึงจะไม่นานแต่ก็ถือว่าซื้อเวลาเล็กๆ น้อยๆ ให้มันมีชีวิตแบบนี้ต่อไปสักพัก
ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น กระทั่งเดินทางกลับมาถึงกระท่อมหลังนี้ความคิดนั้นก็ยังไม่จางหาย เช่นเดียวกับความรู้สึกผิดที่ตกตะกอนอยู่ใกล้ๆ
ถ้าคาโลตาย...
ก้อนบางอย่างแล่นจุกตรงลำคอทันทีที่นึกถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น น้ำย่อยขมปร่าไหลย้อนขึ้นมาให้ชายหนุ่มกลืนมันกลับลงไปอย่างยากลำบาก ตาสีม่วงปิดแน่นเพื่อสลัดความคิดอันน่ารังเกียจนั่นทิ้งไป และเมื่อลืมตาอีกครั้งก็พบว่า ร่างบนเตียงกำลังมองตรงมาทางตน
“แกจะลักหลับฉันหรือไง” เฟรินถามสั้นๆ น้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งอาการงัวเงีย บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงตื่นได้สักพัก หรือไม่ก็ยังไม่ได้หลับอย่างที่เห็นเมื่อครู่
“กำลังคิดอยู่” คิลย้อนกลับด้วยรอยยิ้มฝืดเฝือน คนฟังก็จับน้ำเสียงที่ไม่ได้ไปตามคำพูดออกจึงไม่โวยวายอะไรกลับไป
“แล้วนี่มีธุระด่วนอะไรรึเปล่า? ถึงมาหาฉันเวลาแบบนี้” เฟรินถามต่อพลางขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
ไม่มี
คำตอบจุกอยู่ในลำคอ คิลอ้าปากและหุบปากลงในวินาทีต่อมา ทั้งที่หากโกหกไปอีกฝ่ายก็คงจับไม่ได้เพราะความมืดที่ช่วยปิดบังสีหน้าท่าทาง ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถพูดว่า ‘ไม่มีอะไร’ ออกไปได้
ถ้าคาโลไม่อยู่...เฟรินก็จะเป็นของเขา
ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาอีกครั้งอย่างยากจะห้าม ดังนั้นหากเฉยไว้แล้วเล่นละคร ไหลไปกับเหตุการณ์เมื่อถึงเวลา สิ่งที่เขาปรารถนาย่อมลอยมาอยู่ในมือ
ทว่า...
“ฟังให้ดีนะเฟริน”
เขาทำไม่ได้
“คาโลถูกวางยา”
-----------------------------------
“คาโลอยู่ไหน?!!”
เหล่านางกำนัลที่วิ่งวุ่นอยู่นอกห้องตกใจกรีดร้องลั่น เมื่อจู่ๆ ประตูห้องบรรทมก็เปิดผัวะออกพร้อมกับร่างในชุดขมุกขมอม แสงเทียนน้อยนิดทำให้ร่างนั้นดูน่ากลัว ไหนจะตาสีน้ำตาลคู่โตที่ฉายชัดทั้งความเดือดดาล และตระหนก
“ราชินี!” ทหารคนหนึ่งพึมพำขึ้นมา ให้ทุกคนได้สติ
“ราชินี! ราชินีเฟลิโอน่ากลับมาแล้ว!!”
ใบหน้าเคร่งเครียดของใครหลายคนเริ่มปรากฏรอยยิ้ม อย่างน้อยคาโนวาลก็ยังไม่ถึงกับสิ้นหวัง ทว่าคนที่เพิ่งกลับมาไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากฉลองสักนิด ตาคู่โตกราดมองโดยรอบ ก่อนจะคว้าคอเสื้อทหารที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเข้ามาถาม
“ฉันถามว่าคาโลอยู่ที่ไหน!” ความห่วงหา ความอาฆาตที่ส่งผ่านสายตาทำให้ทหารคนนั้นถึงกับลิ้นแข็ง ได้แต่จ้องใบหน้าขมุกขมัวของอีกฝ่ายอย่างหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
“ราชินีเฟลิโอน่า!”
ก่อนจะได้ลงมือเค้นคอถามต่อ อีกเสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้น
“ขอบพระทัยที่เสด็จกลับมา”
“ถ้าจะเหน็บแนมฉันล่ะก็เอาไว้ก่อน ตอนนี้คาโลอยู่ที่ไหน” เฟรินปล่อยทหารหันไปหาอำมาตย์เรเชอร์ที่วิ่งเข้ามา
“ฝ่าบาทอยู่ที่วิหารพระเจ้าค่ะ”
สิ้นคำร่างบางนั้นก็ออกวิ่งทันที ทิ้งแต่ผู้ร่วมทางให้ยืนทำใจว่าตัวเองถูกทิ้ง กับเหล่าข้าราชบริพารที่ตกใจกับท่าทีที่ไม่เคยเห็นของราชินีแห่งคาโนวาล
“ฉันว่าคาโนวาลควรเปลี่ยนเวรยามยกแผง” ผู้บุกรุกอีกคนเปรยขึ้นให้คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย ก็ขนาดปล่อยให้ผู้บุกรุกยืนคุยกับอำมาตย์แบบนี้ ถ้าไม่ปลดก็ต้องประหาร เหล่าทหารที่เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ก็ทำท่าจะเข้ามาทำการ ‘จับกุม’ แต่อำมาตย์เฒ่ายกมือห้ามไว้
“ว่าแต่...สหายสนิทอย่างท่านมีความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง”
คิลปรายตามองคนถามยิ้มๆ
“งานนี้นักฆ่าอย่างฉันคงต้องขอเงียบ แต่ถ้าต้องถามใครสักคน...” นักฆ่าจากซาเรสฉีกยิ้มกว้างมากขึ้น “คนคนนั้นควรจะเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์อีกคนมากกว่า”
----------------------------------------
ลอเรนซ์หันขวับอ้าปากเตรียมด่าคนที่พังประตูวิหารเข้ามาในยามวิกาล ทว่าเมื่อเห็นชัด ๆ ว่าเป็นใคร ก็ต้องเปลี่ยนความคิด
ร่างในชุดคลุมก้าวประชิดแท่นบูชาทันทีโดยไม่ทันเห็นว่าในวิหารนั้นมีใครอยู่ด้วย
เหนือแท่นหินอ่อนยกสูงที่มักไว้ใช้วางคัมภีร์หรือเชิงเทียน คืนนี้คือร่างสูงโปร่งของคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของคาโนวาล ใบหน้าขาวซีดขาว ริมฝีปากเป็นสีม่วง เส้นเลือดตรงขมับปูดโปนคล้ายคนอยู่ในความคิดเครียดขึง กระทั่งคิ้วขมวดเป็นปม ดูเป็นการพักผ่อนที่ไม่น่าอภิรมณ์เท่าไหร่นัก
แม้จะเห็นคาโลนอนหลับหลายต่อหลายครั้ง แต่ภาพตรงหน้าเป็นอะไรที่เฟรินไม่เคยคาดคิด และไม่ปรารถนาจะได้เห็น
“คาโล...” เฟรินเอ่ยเรียก ยกมือแตะใบหน้าคมแล้วต้องใจหายวาบ เมื่อมันเย็นเฉียบจนน่ากลัว ตาสีน้ำตาลไล่มองหน้าอกที่กระเพิ่มขึ้นลงช้าๆ ให้คลายความกังวลไปได้เพียงเล็กน้อย
“คาโล...นายฝันร้ายเรื่องอะไรอยู่น่ะ” เธอพูดต่อ มือเลื่อนลงกุมมือที่เย็นดุจหินอ่อนเบื้องล่าง อีกมือยกขึ้นเกลี่ยเส้นผมสีเงินนั้นอย่างแผ่วเบา ก้อนบางอย่างจุกลำคอ กระแสอุ่นร้อนแล่นขึ้นคลอหน่วยที่นัยน์ตา
“ถ้ามันน่าหงุดหงิดขนาดนั้นก็ตื่นขึ้นมาสิ”
“แกจะบ้ารึไง”
ประโยคสวนกลับนั้นมาจากนักบวชที่นั่งหน้าหงิกมาตั้งแต่ต้น เฟรินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนรีบปาดน้ำตาออกแล้วหันไปมองคนพูดด้วยความแปลกใจ
“รุ่นพี่ลอเรนซ์? พี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ลอเรนซ์ตอบเป็นเสียงหึในลำคออย่างหงุดหงิด
“กว่าจะสงบได้แบบนี้ต้องให้ทหารช่วยกันจับแล้วกรอกยานอนหลับ แกจะให้มันตื่นขึ้นมาทรมานอีกรึไง”
เฟรินเบิกตากว้าง ตาสีน้ำตาลก้มลงมองใบหน้าซีดขาวด้วยหัวใจที่ปวดร้าวยิ่งกว่าเดิม
ทั้งหมด...เป็นเพราะเธอ
นักบวชแห่งแอเรียสจ้องมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนลุกขึ้นเดินเอาผ้าขาวผืนเล็กวางประคบตรงหน้าผาก
“โดนเวทสะกดใจติดต่อกันนานเกินไป บวกกับยาประหลาดที่เพิ่มประสิทธิภาพของตัวเวท ถ้าการให้ยาสมบูรณ์...ผลสำเร็จคือตุ๊กตาหนึ่งตัวที่ทำทุกอย่างที่เราต้องการ”
คำอธิบายอาการเอ่ยผ่านริมฝีปากเชื่องช้า คล้ายกำลังสอนเด็กน้อยให้รู้จักกับคำศัพท์เบื้องต้น
“ยา? เวทสะกดใจ?...” เฟรินพึมพำทวน คนที่สามารถอยู่ใกล้ชิดคาโลได้โดยไม่มีใครเอะใจ คนแบบนั้นนอกจากเธอแล้วก็มีเพียงแค่...
มีเดีย!!
ทำไม?!
ทั้งที่หล่อนกำลังจะได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ความรักไปจนถึงตำแหน่งราชินี แล้วหล่อนยังต้องการอะไรอีก?!!
เฟรินกำหมัดแน่น พยายามข่มโทสะเอาไว้ก่อนถามต่อ
“หมอ...ว่ายังไงบ้างฮะ ทำไมไม่ให้มันนอนพักที่ห้อง”
“ได้ยินว่าเป็นยาที่ทำให้คนใช้ไม่สามารถคิดอะไรได้เต็มที่ ปกติมักใช้ระงับสติของคนที่ป่วยทางจิต แต่ยาที่คาโลได้รับมีคำสาปผสมอยู่ด้วย ดังนั้นจึงต้องพาตัวมาที่นี่และเตรียมรับน้ำมนต์ เหอะ...ไร้สาระชะมัด”
ประโยคสุดท้ายเป็นคำสบถต่อความคิดที่เจ้าตัวคิดว่าไม่เข้าท่ามากที่สุด
นอกจากยากับเวท ยังมีคำสาปอีก
ช่วงเวลาที่เธอไม่อยู่ คาโลต้องเจอกับอะไรบ้างนะ ตาสีน้ำตาลสลดลงอีกครั้ง ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาดุจระลอกคลื่น
“แล้ววิธีรักษา...”
“ก็ไอ้ที่พล่ามไปเมื่อกี้นั่นล่ะ”
เฟรินขมวดคิ้วเข้าหากัน ไอ้ที่ฟังไปเมื่อครู่เธอมั่นใจว่าไม่มีคำพูดส่วนไหนบอกถึงการรักษา
“มีใครถามลุงหมอ...หมอเทวดาที่อยู่ในคทารึยังฮะ” ถามต่อให้ลอเรนซ์เบนสายตากลับมาอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
ทำไมเขาต้องมาคอยตอบคำถามพวกนี้ด้วย? ทั้งที่เรื่องที่บอกไปก็เป็นเรื่องที่ได้ยินมาทั้งนั้น
ตาสีอเมธิสต์เหลือบมองใบหน้าซีดขาวบนแท่นหินอ่อนอยู่ครู่หนึ่ง
“จะถามรึยังฉันไม่รู้ แต่ตอนนี้ถึงจะอยากถามแค่ไหนก็คงออกมาจากคทาไม่ได้แล้ว”
เมื่อเจ้านายแห่งคทาอยู่ในสภาพแบบนี้ การจะปรากฏตัวขึ้นคงยากเสียยิ่งกว่ายาก
เฟรินปาดคราบน้ำตาที่แห้งไปแล้วออกอีกครั้ง แม้หัวใจจะบีบจนน้ำตาแทบมากแค่ไหนแต่เวลาแบบนี้มีค่าเกินกว่าจะมานั่งร้องไห้เล่นบทโศก
ในเมื่อยังมีเรื่องอีกมากมายคอยให้เธอสะสาง
TBC.....
*******************************
Talk > ขอโทษที่แวบนานไปหน่อยค่ะ ตอนนี้มีปัญหาเล็กน้อยกับการปรากฏตัวของมีเดีย (มีสองแบบ เราเลยสองจิตสองใจจะใช้แบบไหนดี =w= )
ตอนหน้า...แนะนำให้เตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้ค่ะ น้ำตาอาจจะมีปริ่มเล็กน้อย ^^
ความคิดเห็น