คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : [#29] Satan
ลอเรนซ์เคยชินเสียแล้วกับการเดินเข้าห้องสวดมนต์แล้วพบว่า มีใครบางคนนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวหน้าสุด
วันนี้ก็เช่นกัน
ร่างของคิงแห่งคาโนวาลยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ในมือมีกล่องไม้ที่บรรเลงเสียงเพลงใสตามกลไกที่ถูกกำหนดไว้ นอกนั้นคือความเงียบที่ยึดครองห้องนี้ไว้อย่างอ่อนโยน นานครั้งจึงจะมีเสียงกระทบยามที่เครื่องทองเหลืองถูกวางลงบนแท่นสวดมนต์
ลอเรนซ์รู้เรื่องคำสั่งการออกตามหาเฟรินอีกครั้ง แน่นอนเขารู้...และต่อให้ไม่อยากรู้ก็ต้องรู้อยู่ดี ในเมื่อหัวข้อนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันให้สนุกปากของประชาชนทุกคนในคาโนวาลไม่เว้นแม้แต่นักบวช หรือทหารยาม
แต่ก็นั่นล่ะ...มันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะใส่ใจ ถ้าไม่เพราะไอ้คนที่เป็นคนออกคำสั่งมันมัวมานั่งเหม่ออยู่ที่นี่ได้ทุกวี่ทุกวัน
"รุ่นพี่..เชื่อเรื่องพระเจ้าไหม?"
มือที่กำลังขัดเชิงเทียนถึงกับชะงักกึกเมื่อได้ยินคำถามที่ไม่คาดคิดมาก่อน
ถามนักบวชว่าเชื่อเรื่องพระเจ้าไหมเนี่ยนะ?!!
เฮอะ!!
"ไม่เชื่อ"
คาโลยิ้มกับคำตอบที่ไม่ผิดไปจากที่คิดไว้เท่าไหร่นัก อันที่จริงเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบประมาณว่า 'ไอ้ของแบบนั้นมันมีได้ไง!' หรือไม่ก็เป็นการสบถยาวๆ ซักหนึ่งจบแล้วก็เงียบไปมากกว่า
"สิ้นหวังแล้วหรือไง"
คราวนี้ถึงทีของคาโลที่เป็นฝ่ายชะงัก แต่คนถามกลับก้มหน้าเริ่มทำงานของตนต่อ "มนุษย์น่ะ จะนึกถึงไอ้สิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าก็ต่อเมื่อรู้สึกสิ้นหวัง ก็เมื่อตอนที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้"
คาโลไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
"บางที..." คิงแห่งคาโนวาเอ่ยเบา "บางทีหมอนั่นคงเกลียดผมแล้วล่ะ"
ถ้อยคำไม่แน่ใจผ่านริมฝีปากของคนที่ได้ชื่อว่าเย็นชา และเด็ดเดี่ยวมากที่สุดในสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่เอดินเบิร์ก
เพียงแต่เวลาเปลี่ยนทุกสิ่ง
ลอเรนซ์ละงานในมือ ตาทั้งสองจับจ้องอยู่ที่บุรุษผมเงิน รู้สึกขัดใจกับท่าทีเหม่อลอยนั่น ไหนจะคำพูดที่ไร้ความมั่นใจนั่นอีก
...น่ารำคาญ...
"แล้วการที่นายมานั่งบ้าอยู่ที่นี่ มันจะช่วยให้เฟรินรักนายหรือไง?"
ตาสีฟ้าใสราวกระจกเงยขึ้นมองผู้ตั้งคำถาม
"ถึงปากกับการกระทำของนายจะบอกว่าต้องการให้เฟรินกลับมา แต่ใจตัวเองล่ะ? อยากให้เขากลับมาจริงๆ หรือเปล่า?"
คำถามบาดลึกลงในใจ ความเจ็บปวดส่งให้ตาสีฟ้าไหววูบ ริมฝีปากขยับจะเอ่ยหากก็ต้องกลืนคำพูดต่างๆ ลงคอด้วยประโยคต่อมา
"สำหรับนาย ทุกสิ่งอาจยืนยันได้ด้วยการกระทำ แต่สำหรับใครบางคน สิ่งที่สำคัญกว่านั้น...ก็คือ คำพูด"
คาโลนิ่งอึ้ง
...คำพูด...คำๆ นี้ เลือนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ระหว่างเขากับเฟริน มีบทสนทนา มีคำถาม มีการทะเลาะ แต่กลับไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคำพูด...คำที่จะสื่อถึงสิ่งที่อยู่ในใจ คำที่จะอธิบายการกระทำของพวกเขา...
"คิดได้แล้วก็รีบๆ ไสหัวไปซะ ฉันจะได้ทำงานต่อเสียที" แล้วนักบวชก็เอ่ยปากไล่คิง ให้คนเป็นคิงยิ้มน้อยๆ อย่างที่ไม่ได้ทำมานาน เขาพอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมคนๆ นี้ถึงถูกเรียกว่านักบวชแห่งป้อมอัศวิน
"ฝ่าบาท..ฝ่าบาทคาโลเพคะ"
จู่ๆ เสียงใสร้องเรียกก็ดังมาตามทางเดิน ยุติบทสนทนาของทั้งสองลง ตามมาด้วยร่างเล็กบอบบางของสนมเอกที่เตรียมตัวเลื่อนเป็นราชินีหากการตามหาไม่ประสบผล นักบวชหนุ่มจากแอเรียสลุกขึ้นยืนทำความเคารพทันที แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่หันมามองก็ตาม
"มาอยู่ที่นี่เองหรือเพคะ" ว่าแล้วแขนเรียวเล็กสมตัวก็เกาะเข้ากับแขนของคาโล ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือรำคาญอะไร สังเกตได้จากอาการผุดลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่ายเมื่อมีเดียออกแรงกระตุกเพียงเล็กน้อย "วันนี้ฝ่าบาทสัญญากับหม่อมฉันว่าจะอยู่กับหม่อมฉันทั้งวันไม่ใช่เหรอเพคะ"
คนถูกถามตอบสั้นในลำคอ ก่อนจะถูกดึงลากออกจากห้องสวดมนต์ไปโดยมีลอเรนซ์มองตามไปอย่างแปลกใจ
อย่างแรกคืออาการเหม่อของคาโล อย่างที่สองคือการตามใจที่ดูจะมากเกินกว่าปกติ และสุดท้าย...
ตาสีอเมธิสต์เลื่อนต่ำหันไปมองเก้าอี้ที่ที่คิงแห่งคาโนวาลนั่งอยู่เมื่อครู่ อย่างที่บอกว่าเขาเคยชินกับการเดินเข้ามาในห้องนี้แล้วพบว่ามีใครบางคนนั่งอยู่ และเขาก็เคยชินอีกเช่นกันเมื่อ เมื่อถึงเวลาหนึ่งร่างนั้นจะเดินออกจากห้องเหลือเพียงเขากับพวกเครื่องทองเก่าคร่ำคร่า
แต่วันนี้ไม่ใช่
ทำนองเพลงหวานใสยังคงดังแผ่วในความเงียบ ทั้งๆ ที่ควรจะรู้สึกสดใสเหมือนทุกวัน แต่ในยามนี้เสียงเพลงนั้นกลับฟังดูเศร้าสร้อยจนน่าใจหาย
ลอเรนซ์วางเชิงเทียนอายุร่วมร้อยปีลงอย่างเบามือ ลุกขึ้นเดินไปหยิบกล่องไม้ที่วางอยู่บนเก้าอี้ สัมผัสหยาบกร้านของผิวแกะสลักพิสูจน์คำบอกเล่าก่อนหน้านี้ที่ว่า แม่ตัวดี อดีตตัวปัญหาของป้อมอัศวินไร้ความสามารถในการแกะสลักแค่ไหน
"แหม...โรแมนติกจังเลยนะลอรี่"
ฉึก!!
มีดสั้นบินไปปักอยู่ตรงปลายเท้าของแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างแม่นยำ โดยที่เจ้าของมีดไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมอง
"แกว่างมากนักรึไง" ลอเรนซ์ถามเสียงลอดไรฟันพลางปิดฝากล่องไม้ให้เสียงดนตรีขาดหายไป
"ก็นิดหน่อย" ลูคัสตอบยิ้มๆ "แต่ที่จริงฉันกลัวลอรี่จะเหงา ก็เลยตั้งใจจะมานั่งคุยเป็นเพื่อนน่ะ"
ฉึกๆๆ
คราวนี้เป็นมีดอีกสามเล่มพุ่งเฉียดแก้มคนพูดไปปักอยู่บนกำแพง
"ถ้าขืนพูดมากอีกคำเดียว เล่มต่อไปจะบินไปปักหน้าแก"
"นายเชื่อเรื่องพระเจ้าไหมลอรี่?"
ลอเรนซ์ขมวดคิ้วหนัก นี่มันวันบ้าอะไร ถึงมีแต่คนถามคำถามแบบนี้ แถมครั้งนี้ดันออกมาจากปากของไอ้ปีศาจตรงหน้านี่อีก
"นายเคยคิดหรือเปล่าว่า ทำไมพระเจ้าถึงสร้างพวกเราเกิดมาคู่กัน"
ฉึกๆๆๆ
"ถ้าแกยังพูดแบบนั้นอีก ฉันจะฆ่าแก"
"พูดแบบนั้นฉันเสียใจนะลอรี่" ลูคัสว่าพลางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นแตะตรงมุมขอบตา ทั้งท่าทาง น้ำเสียง ชวนให้จับมาทำเป็นเป้าซ้อมมีดยิ่งนัก และคนอย่างลอเรนซ์ ดอว์น เมื่อคิดอะไรก็ต้องทำให้ได้ มีดนับสิบในมือจึงพุ่งออกไปโดยไม่ต้องเสียเวลาเล็ง แต่แน่นอน...ถ้าคนอย่างลูคัส ซาโดเรียถูกฆ่าได้ง่ายดายขนาดนั้น ก็คงกลายเป็นศพไปตั้งแต่สมัยที่เจอกันครั้งแรกในเอดินเบิร์กแล้ว
ครู่ใหญ่กว่าที่ลอเรนซ์จะยอมหยุดแผนการเจาะสมองนักเวทแห่งทริสทอร์ด้วยมีดเล่มโปรด เปล่า...ไม่ใช่ว่าเขาเหนื่อยหรือมีดหมด แต่เพราะเบื่อที่จะเป็นของเล่นให้ไอ้บ้านั่นหัวเราะเยาะใส่แล้วต่างหาก
"น้ำชาหน่อยไหมลอรี่?" ลูคัสเอ่ยปากชวนพลางยื่นถ้วยน้ำชาสีขาวที่โผล่มาจากความว่างเปล่าให้ลอเรนซ์ นักบวชแห่งแอเรียสหันมาแยกเขี้ยวทำตาขวางใส่กับสรรพนามที่ไม่กี่ปีๆ ไอ้บ้านี่ก็ยังไม่ยอมเลิกเรียก
"ไปตายซะ!" ชายหนุ่มผมดำยิ้มเล็กน้อยให้กับคำปฏิเสธที่แสนสุภาพของอีกฝ่าย (ปกติแก้วชาจะแตกประกอบคำพูดด้วย) แล้วความเงียบก็โรยตัวเข้าปกคลุมร่วมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำชา
"หมอนั่น..." นานกว่าที่ลอเรนซ์จะเอ่ยขึ้น แต่ลูคัสก็มีความอดทนมากพอที่จะรอ ตาสีอเมธิสต์ยังคงจับจ้องอยู่ที่กล่องไม้ในมือ "เป้าหมายของนายงั้นหรือ?"
ลูคัสตบมือเบาๆ ให้คนถูกชมประเคนมีดบินไปให้อีกเล่มหนึ่ง แน่นอน...กลางแสกหน้า เพียงแต่อีกฝ่ายกลับเอี้ยวตัวหลบไปเสียก่อน
ลอเรนซ์กัดฟันกรอด มีซักกี่ครั้งที่ไอ้บ้านี่มันทำตัวจริงจังกับเรื่องรอบตัว
"ทั้งที่คาโลกับเฟรินเป็นรุ่นน้องของนาย?"
"ทั้งที่เขาเป็นรุ่นน้องของฉัน" ลูคัสพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ใช่...ถ้าลอเรนซ์จะถูกเรียกว่าเป็นนักบวช
นี่ก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงถูกเรียกว่าซาตาน
------------------------------------------
ตาสีม่วงวาววับในความมืด แม้จะไร้แสงไฟแต่แสงดาวก็พยายามส่องประกายให้มากที่สุด เงาดำเคลื่อนไหวรวดเร็ว ลัดเลาะไปตามพื้นที่สีดำที่คบเพลิงไม่สามารถส่องแสงไปถึง มีหลายครั้งที่จำต้องหยุดรอให้เวรยามที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเดินผ่านไป ผู้บุกรุกคลี่ยิ้มในความมืดเมื่อนึกถึงภาพทหารระดับแม่ทัพถูกคิง 'ดุ'
คงสนุก น่าตื่นเต้นเหมือนได้ไปเที่ยวสโนว์แลนด์ฟรีไม่มีตั๋วกลับเลยล่ะ
แม้ใจหนึ่งจะนึกสงสาร แต่อีกใจก็นึกสมเพชไม่ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะวางยามหนาแน่นขนาดไหนก็ย่อมมีช่องว่าง เพราะมนุษย์ไม่สามารถทำสิ่งใดให้สมบูรณ์แบบได้
...แม้แต่ชีวิตของตนเอง...
ขาทั้งสองก้าวยาว เร็ว ทว่าเงียบสนิทไปตามเส้นทางคุ้นเคย ก่อนจะหยุดกึกฉากตัวหลบเข้าสู่ความมืด
ม่านหนาหนักถูกมัดรวบเพื่อให้ผู้ที่อยู่ในปราสาทสามารถมองเห็นความงดงามของราตรีที่กำลังย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ หน้าต่างบานใหญ่เปิดกว้างต้อนรับสายลมฤดูใบไม้ผลิที่ย่างก้าวเข้ามา และหนึ่งในนั้นก็ส่องผ่านภาพหญิงสาวที่อยู่บนจุดเกือบสูงสุดในคาโนวาล ตาสีม่วงหรี่เล็ก สิ่งที่สังเกตเห็นเป็นอย่างแรกคือท้องที่เริ่มโตของเจ้าหล่อน ผิวพรรณเปล่งปลั่งเป็นประกาย แต่ที่ทำให้เขาต้องจ้องเขม็งนั้นไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกอันเฉิดฉายนั่น แต่เป็นสิ่งที่หล่อนกำลังทำต่างหาก
หล่อนสั่งให้นางกำนัลที่ถือถาดที่น่าจะเป็นถาดอาหารหยุดเดิน เปิดฝาที่ครอบปิดเพื่อรักษาความร้อนออก ก่อนจะหยิบห่อสีอ่อนขึ้นมาเทผงบางอย่างลงไปในถ้วย ปิดฝาและเดินต่อ
ไอ้นั่นมันอะไร?
กลิ่นไอเวทบางเบาลอยผ่านหน้าต่างออกมาให้ยิ่งต้องขมวดคิ้ว แม้จะจำไม่ได้ แต่ก็มั่นใจว่าเค้าไอเวทนี้เขาเคยเจอมาก่อน...เมื่อนานมาแล้ว
"มาด้อมๆ มองๆ คนอื่นตอนดึกแบบนี้ ไม่ดีนะคิลลี่"
คิลสะดุ้งเฮือกสุดตัว สัญชาตญาณสั่งให้เขาเกร็งมือ กระแสไฟฟ้าแล่นปลาบ พุ่งตัวไปยังที่มาของเสียงทันที ทว่าอีกฝ่ายกลับโยกหลบได้อย่างง่ายดาย คิลชะงักมือ ตาสีม่วงมองรอยยิ้มกว้างที่แสนคุ้นเคยบนใบหน้าคู่ต่อสู้ก่อนเบิกตากว้าง
"พี่ลูคัส?"
"ไม่เจอกันเสียนานนะ" คู่สนทนาทักทายตอบอย่างอารมณ์ดี อย่างน้อย...ก็เท่าที่เห็นบนใบหน้านั้น
"ทำไม...รุ่นพี่ถึงมาอยู่ที่นี่" คิลหรี่ตามองอดีตรุ่นพี่ร่วมป้อมอย่างระวังปนระแวง
"ก็...ทำงานน่ะ" ลูคัสตอบสั้น ก่อนถามต่อ "ว่าแต่คิลลี่ทำไมมาทำตัวน่าสงสัยอยู่แถวนี้ล่ะ? ถ้ามาหาคาลี่ล่ะก็ตอนนี้อยู่ที่ห้องทำงานน่ะ"
คิลไม่ได้ตอบ ด้วยในหัวตอนนี้มีแต่คำถาม ทันทีที่เห็นหน้าลูคัส ความคุ้นเคยเมื่อครู่ก็แจ่มชัดขึ้นมาในใจ
"รู้ดีจังเลยนะครับ ท่าทางพี่ลูคัสจะมาอยู่ที่นี่นานแล้วสินะ"
"แม้แต่เดมอสยังรู้เลยว่าช่วงนี้คิงคาโลทำงานหนักแค่ไหน" อดีตรุ่นพี่ตอบกลั้วหัวเราะ แต่คนฟังไม่ได้ขำตามไปด้วยสักนิด ตาสีม่วงมีแต่คำถามและความระแวง
ไอเวทนั่น...เป็นของคนตรงหน้าไม่ผิดแน่
"งานที่ว่านั่น...คงเกี่ยวข้องกับคิงคาโลสินะ"
"แหม...ซอร์เซอเรออย่างฉันจะมีธุระกับคิงคาโลได้ยังไง ถ้าเป็นนักฆ่าอย่างคิลลี่ก็ว่าไปอย่าง"
"กับคิงไม่มี แต่กับพระสนมว่าที่ราชินีนั่นคงมีสินะ"
"ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ หรือเธอคิดว่ายังไง?"
บทสนทนาดำเนินไปด้วยอารมณ์ที่สวนทางกัน แม้จะไม่ใช่คำตอบแต่คิลก็คิดว่านั่นคือการตอบรับ
ถ้าไม่ถามตรงๆ...ก็คงไม่มีวันได้คำตอบสินะ
"ยาซองนั้น...เป็นของรุ่นพี่ใช่ไหม"
"เมื่อก่อนใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่"
"เพราะยานั่นรึเปล่าที่ทำให้คาโลมันทำตัวแปลกๆ"
"ถูกครึ่งหนึ่ง"
"แล้วรุ่นพี่คิดรึเปล่าว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้"
"ฉันแค่ไม่นึกว่ามันจะแย่ขนาดนี้นี่นา"
ไม่ทันสิ้นคำดี ลูคัสก็ต้องโยกตัวหลบคมมีดของนักฆ่าแห่งซาเรส ตาสีม่วงในความมืดนั้นมีเพียงสิ่งเดียวที่ทอออกมาคือความโกรธเกรี้ยว ไอสังหารคุกรุ่นพร้อมระเบิดขึ้นทุกเมื่อหากยื่นมือยื่นปากไปปะทะอีกหน
"ทั้งๆ ที่พวกมันเป็นรุ่นน้องของรุ่นพี่ก็ตามเนี่ยนะ!"
'ทั้งที่คาโลกับเฟรินเป็นรุ่นน้องของนาย?'
คำถามเดิมเป็นรอบที่สองของวัน หากเพียงเปลี่ยนผู้ถาม
ลูคัสยิ้มน้อยๆ ให้กับความจริงที่ว่าตนรู้สึกอิจฉาแค่ไหน กับความรักของคนรอบกายที่มีให้รุ่นน้องที่น่ารักสองคนนั้น
แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง...คำตอบของเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
"ใช่... ทั้งๆ ที่เขาเป็นรุ่นน้องของฉัน" ลูคัสยังคงยิ้ม "พ่อค้าดาบคงไม่ถามไม่ใช่หรือ ว่าเธอจะซื้อดาบไปฆ่าใคร"
"แต่ถ้าดาบนั่นมันจะฆ่าคนสำคัญของพ่อค้า เจ้าตัวก็ควรจะขัดขวางไม่ใช่หรือไง" แม้เหตุผลจะไม่อาจเถียงได้แต่คิลก็ไม่คิดอยากยอมรับ ทว่าลูคัสกลับทำหน้าคล้ายเหนื่อยใจที่จะพูดกับเด็กไม่รู้จักโต
"คิลลี่... คำว่าธุรกิจน่ะไม่มีคำว่าคนสำคัญหรอกนะ"
เพราะซาตานไม่จำเป็นต้องมีหัวใจ
คิลจ้องรอยยิ้มบนใบหน้านั่นเขม็ง นอกจากความโกรธที่คุกรุ่นในใจ บัดนี้ความเกลียดชังก็เริ่มสุมทับเข้ามาจนยากจะห้ามไม่ให้ตัวเองเข้าโจมตีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นซาตาน
"ไม่ว่ายังไงรุ่นพี่ก็ไม่คิดจะหยุดสินะ"
ไร้ซึ่งคำตอบนอกจากรอยยิ้มคุ้นตา แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้นักฆ่าแห่งซาเรสทิ้งเหตุผลทั้งหมดพุ่งเข้าจู่โจมอีกฝ่ายทันที สถานการณ์ที่เป็นอยู่สร้างความเสียเปรียบให้ลูคัสตรงที่ชายหนุ่มไม่อาจใช้เวทได้อย่างใจ ไม่เช่นนั้นคิงน้ำแข็งนั่นคงได้วิ่งโร่มาเสียบคอตนแน่ แม้เป็นเช่นนั้น แต่คนอย่างลูคัส ซาโดเรียก็ตึงมือเกินกว่าที่คาด
"นี่คิลลี่..." ซาตานหนุ่มเปรยเสียงนุ่ม หยุดยืน "เรื่องนี้ต่อให้ไม่มีฉัน บทสรุปมันก็คงไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่ เธอก็รู้ไม่ใช่หรือ"
มีดสั้นที่ปาดเข้ามาหมายปลิดชีวิตหยุดชะงักในทันที คมของมันห่างจากคอของซาตานไปเพียงไม่กี่มิลลิเมตร แต่ซาตานตนนั้นก็ยังคงยิ้ม
"ทั้งเรื่องเฟรี่หนีไป เรื่องที่คาลี่ทำตัวก้ำกึ่งไม่เด็ดขาด หรือเรื่องพระสนมวางยากษัตริย์ ต่อให้ไม่มีคนอย่างฉันเรื่องพวกนี้ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องเกิดขึ้น"
ลูคัสยังคงพูดต่อ
"หากราชินีไม่สามารถมีโอรส ก็ไม่แปลกที่ประเทศต้องหาวิธีอื่น ยิ่งกับคาโนวาลที่สืบกษัตริย์จากสายเลือดด้วยแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครก็ต้องรู้ ฉะนั้นเฟรี่ที่ตัดสินใจเป็นราชินีก็ต้องเตรียมพร้อมกับเหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่หรือ?"
ทุกคำพูดคือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ และความจริงนั้นเองที่หยุดมีดในมือคิล เขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าต่อให้ฆ่าคนคนนี้ได้ เรื่องราวก็ยังคงดำเนินต่อไปสู่จุดจบ รู้ว่าในส่วนลึกของใจเขาเพียงแค่ต้องการคนที่จะมารับผิดชอบเหตุการณ์นี้ ใครสักคน...ที่ไม่ใช่สองคนนั่น
"แต่จะว่าไปก็ดีแล้วที่คิลลี่มาในวันนี้" จู่ๆ ลูคัสก็เหมือนจะเปลี่ยนเรื่อง พลันเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้น เหล่าทหารยามผละจากจุดวิ่งตรงไปยังห้องทรงงานที่อยู่ด้านใน
เกิดอะไรขึ้น?
"เพราะพระสนมคนนี้ไม่ค่อยจะมีความอดทนสักเท่าไหร่"
"กษัตริย์คาโลถูกวางยา!!" เสียงตะโกนก้องดังต่อเนื่องบอกเล่าเหตุการณ์ ความโกลาหลตามมาอย่างรวดเร็ว หัวใจนักฆ่ากระตุกวูบเมื่อเห็นเหล่านางกำนัลวิ่งวุ่นผ่านหน้าต่างบานใหญ่
คาโล!!
"จริงๆ เลยน้า" คนที่คล้ายจะเป็นตัวการใหญ่ของเรื่องนี้ถอนหายใจเฮือกพร้อมรอยยิ้ม เมื่อนักฆ่าที่คิดสังหารตนกลับละทิ้งเหยื่ออย่างเสียสถาบัน เพียงเพื่อไปดูใจเพื่อนรัก ตาสีดำขลับมองความวุ่นวายตรงหน้า
คนที่อยากรู้ความจริงดันชิ่งไปแบบนี้ แล้วเขาจะบอกกับใครดีล่ะ
*************************** TBC...
Talk > อา...กว่าจะเข็นตอนนี้เสร็จก็ปาไปอีกหลายเดือน = =" เราประจักษ์แล้วว่า...คิล+ลูคัส มันเป็นอะไรที่ยากบัดซบ OTZ
อีกประมาณ....ซัก 5 ตอนน่าจะจบค่ะ (น่าจะนะ OTZ )
ความคิดเห็น