ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -FanFic บารามอส- เวลากับสายลม

    ลำดับตอนที่ #29 : [#29] Satan

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.33K
      4
      14 พ.ค. 52



               
    ลอเรนซ์เคยชินเสียแล้วกับการเดินเข้าห้องสวดมนต์แล้วพบว่า มีใครบางคนนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวหน้าสุด


                วันนี้ก็เช่นกัน


                ร่างของคิงแห่งคาโนวาลยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ในมือมีกล่องไม้ที่บรรเลงเสียงเพลงใสตามกลไกที่ถูกกำหนดไว้ นอกนั้นคือความเงียบที่ยึดครองห้องนี้ไว้อย่างอ่อนโยน นานครั้งจึงจะมีเสียงกระทบยามที่เครื่องทองเหลืองถูกวางลงบนแท่นสวดมนต์


                ลอเรนซ์รู้เรื่องคำสั่งการออกตามหาเฟรินอีกครั้ง แน่นอนเขารู้...และต่อให้ไม่อยากรู้ก็ต้องรู้อยู่ดี ในเมื่อหัวข้อนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันให้สนุกปากของประชาชนทุกคนในคาโนวาลไม่เว้นแม้แต่นักบวช หรือทหารยาม


                แต่ก็นั่นล่ะ...มันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะใส่ใจ ถ้าไม่เพราะไอ้คนที่เป็นคนออกคำสั่งมันมัวมานั่งเหม่ออยู่ที่นี่ได้ทุกวี่ทุกวัน


                "รุ่นพี่..เชื่อเรื่องพระเจ้าไหม?"


                มือที่กำลังขัดเชิงเทียนถึงกับชะงักกึกเมื่อได้ยินคำถามที่ไม่คาดคิดมาก่อน


                ถามนักบวชว่าเชื่อเรื่องพระเจ้าไหมเนี่ยนะ?!!


                เฮอะ!!


                "ไม่เชื่อ"


                คาโลยิ้มกับคำตอบที่ไม่ผิดไปจากที่คิดไว้เท่าไหร่นัก อันที่จริงเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบประมาณว่า 'ไอ้ของแบบนั้นมันมีได้ไง!' หรือไม่ก็เป็นการสบถยาวๆ ซักหนึ่งจบแล้วก็เงียบไปมากกว่า


                "สิ้นหวังแล้วหรือไง"


                คราวนี้ถึงทีของคาโลที่เป็นฝ่ายชะงัก แต่คนถามกลับก้มหน้าเริ่มทำงานของตนต่อ "มนุษย์น่ะ จะนึกถึงไอ้สิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าก็ต่อเมื่อรู้สึกสิ้นหวัง ก็เมื่อตอนที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้"


                คาโลไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ


                "บางที..." คิงแห่งคาโนวาเอ่ยเบา "บางทีหมอนั่นคงเกลียดผมแล้วล่ะ"


                ถ้อยคำไม่แน่ใจผ่านริมฝีปากของคนที่ได้ชื่อว่าเย็นชา และเด็ดเดี่ยวมากที่สุดในสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่เอดินเบิร์ก


                เพียงแต่เวลาเปลี่ยนทุกสิ่ง


                ลอเรนซ์ละงานในมือ ตาทั้งสองจับจ้องอยู่ที่บุรุษผมเงิน รู้สึกขัดใจกับท่าทีเหม่อลอยนั่น ไหนจะคำพูดที่ไร้ความมั่นใจนั่นอีก


                ...น่ารำคาญ...


                "แล้วการที่นายมานั่งบ้าอยู่ที่นี่ มันจะช่วยให้เฟรินรักนายหรือไง?"


                ตาสีฟ้าใสราวกระจกเงยขึ้นมองผู้ตั้งคำถาม


                "ถึงปากกับการกระทำของนายจะบอกว่าต้องการให้เฟรินกลับมา แต่ใจตัวเองล่ะ? อยากให้เขากลับมาจริงๆ หรือเปล่า?"


                คำถามบาดลึกลงในใจ ความเจ็บปวดส่งให้ตาสีฟ้าไหววูบ ริมฝีปากขยับจะเอ่ยหากก็ต้องกลืนคำพูดต่างๆ ลงคอด้วยประโยคต่อมา


                "สำหรับนาย ทุกสิ่งอาจยืนยันได้ด้วยการกระทำ แต่สำหรับใครบางคน สิ่งที่สำคัญกว่านั้น...ก็คือ คำพูด"


                คาโลนิ่งอึ้ง


                ...คำพูด...คำๆ นี้ เลือนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ


     ระหว่างเขากับเฟริน มีบทสนทนา มีคำถาม มีการทะเลาะ แต่กลับไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคำพูด...คำที่จะสื่อถึงสิ่งที่อยู่ในใจ คำที่จะอธิบายการกระทำของพวกเขา...


                "คิดได้แล้วก็รีบๆ ไสหัวไปซะ ฉันจะได้ทำงานต่อเสียที" แล้วนักบวชก็เอ่ยปากไล่คิง ให้คนเป็นคิงยิ้มน้อยๆ อย่างที่ไม่ได้ทำมานาน เขาพอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมคนๆ นี้ถึงถูกเรียกว่านักบวชแห่งป้อมอัศวิน


                "ฝ่าบาท..ฝ่าบาทคาโลเพคะ"


                จู่ๆ เสียงใสร้องเรียกก็ดังมาตามทางเดิน ยุติบทสนทนาของทั้งสองลง ตามมาด้วยร่างเล็กบอบบางของสนมเอกที่เตรียมตัวเลื่อนเป็นราชินีหากการตามหาไม่ประสบผล นักบวชหนุ่มจากแอเรียสลุกขึ้นยืนทำความเคารพทันที แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่หันมามองก็ตาม


                "มาอยู่ที่นี่เองหรือเพคะ" ว่าแล้วแขนเรียวเล็กสมตัวก็เกาะเข้ากับแขนของคาโล ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือรำคาญอะไร สังเกตได้จากอาการผุดลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่ายเมื่อมีเดียออกแรงกระตุกเพียงเล็กน้อย "วันนี้ฝ่าบาทสัญญากับหม่อมฉันว่าจะอยู่กับหม่อมฉันทั้งวันไม่ใช่เหรอเพคะ"


                คนถูกถามตอบสั้นในลำคอ ก่อนจะถูกดึงลากออกจากห้องสวดมนต์ไปโดยมีลอเรนซ์มองตามไปอย่างแปลกใจ


                อย่างแรกคืออาการเหม่อของคาโล อย่างที่สองคือการตามใจที่ดูจะมากเกินกว่าปกติ และสุดท้าย...


                ตาสีอเมธิสต์เลื่อนต่ำหันไปมองเก้าอี้ที่ที่คิงแห่งคาโนวาลนั่งอยู่เมื่อครู่ อย่างที่บอกว่าเขาเคยชินกับการเดินเข้ามาในห้องนี้แล้วพบว่ามีใครบางคนนั่งอยู่ และเขาก็เคยชินอีกเช่นกันเมื่อ เมื่อถึงเวลาหนึ่งร่างนั้นจะเดินออกจากห้องเหลือเพียงเขากับพวกเครื่องทองเก่าคร่ำคร่า


                แต่วันนี้ไม่ใช่


                ทำนองเพลงหวานใสยังคงดังแผ่วในความเงียบ ทั้งๆ ที่ควรจะรู้สึกสดใสเหมือนทุกวัน แต่ในยามนี้เสียงเพลงนั้นกลับฟังดูเศร้าสร้อยจนน่าใจหาย


                ลอเรนซ์วางเชิงเทียนอายุร่วมร้อยปีลงอย่างเบามือ ลุกขึ้นเดินไปหยิบกล่องไม้ที่วางอยู่บนเก้าอี้ สัมผัสหยาบกร้านของผิวแกะสลักพิสูจน์คำบอกเล่าก่อนหน้านี้ที่ว่า แม่ตัวดี อดีตตัวปัญหาของป้อมอัศวินไร้ความสามารถในการแกะสลักแค่ไหน


                "แหม...โรแมนติกจังเลยนะลอรี่"


                ฉึก!!


                มีดสั้นบินไปปักอยู่ตรงปลายเท้าของแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างแม่นยำ โดยที่เจ้าของมีดไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมอง


                "แกว่างมากนักรึไง" ลอเรนซ์ถามเสียงลอดไรฟันพลางปิดฝากล่องไม้ให้เสียงดนตรีขาดหายไป


                "ก็นิดหน่อย" ลูคัสตอบยิ้มๆ "แต่ที่จริงฉันกลัวลอรี่จะเหงา ก็เลยตั้งใจจะมานั่งคุยเป็นเพื่อนน่ะ"


                ฉึกๆๆ


                คราวนี้เป็นมีดอีกสามเล่มพุ่งเฉียดแก้มคนพูดไปปักอยู่บนกำแพง


                "ถ้าขืนพูดมากอีกคำเดียว เล่มต่อไปจะบินไปปักหน้าแก"


                "นายเชื่อเรื่องพระเจ้าไหมลอรี่?"


                ลอเรนซ์ขมวดคิ้วหนัก นี่มันวันบ้าอะไร ถึงมีแต่คนถามคำถามแบบนี้ แถมครั้งนี้ดันออกมาจากปากของไอ้ปีศาจตรงหน้านี่อีก


                "นายเคยคิดหรือเปล่าว่า ทำไมพระเจ้าถึงสร้างพวกเราเกิดมาคู่กัน"


                ฉึกๆๆๆ


                "ถ้าแกยังพูดแบบนั้นอีก ฉันจะฆ่าแก"


                "พูดแบบนั้นฉันเสียใจนะลอรี่" ลูคัสว่าพลางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นแตะตรงมุมขอบตา ทั้งท่าทาง น้ำเสียง ชวนให้จับมาทำเป็นเป้าซ้อมมีดยิ่งนัก และคนอย่างลอเรนซ์ ดอว์น เมื่อคิดอะไรก็ต้องทำให้ได้ มีดนับสิบในมือจึงพุ่งออกไปโดยไม่ต้องเสียเวลาเล็ง แต่แน่นอน...ถ้าคนอย่างลูคัส ซาโดเรียถูกฆ่าได้ง่ายดายขนาดนั้น ก็คงกลายเป็นศพไปตั้งแต่สมัยที่เจอกันครั้งแรกในเอดินเบิร์กแล้ว


                ครู่ใหญ่กว่าที่ลอเรนซ์จะยอมหยุดแผนการเจาะสมองนักเวทแห่งทริสทอร์ด้วยมีดเล่มโปรด เปล่า...ไม่ใช่ว่าเขาเหนื่อยหรือมีดหมด แต่เพราะเบื่อที่จะเป็นของเล่นให้ไอ้บ้านั่นหัวเราะเยาะใส่แล้วต่างหาก


                "น้ำชาหน่อยไหมลอรี่?" ลูคัสเอ่ยปากชวนพลางยื่นถ้วยน้ำชาสีขาวที่โผล่มาจากความว่างเปล่าให้ลอเรนซ์ นักบวชแห่งแอเรียสหันมาแยกเขี้ยวทำตาขวางใส่กับสรรพนามที่ไม่กี่ปีๆ ไอ้บ้านี่ก็ยังไม่ยอมเลิกเรียก


                "ไปตายซะ!" ชายหนุ่มผมดำยิ้มเล็กน้อยให้กับคำปฏิเสธที่แสนสุภาพของอีกฝ่าย (ปกติแก้วชาจะแตกประกอบคำพูดด้วย) แล้วความเงียบก็โรยตัวเข้าปกคลุมร่วมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำชา


                "หมอนั่น..." นานกว่าที่ลอเรนซ์จะเอ่ยขึ้น แต่ลูคัสก็มีความอดทนมากพอที่จะรอ ตาสีอเมธิสต์ยังคงจับจ้องอยู่ที่กล่องไม้ในมือ "เป้าหมายของนายงั้นหรือ?"


                ลูคัสตบมือเบาๆ ให้คนถูกชมประเคนมีดบินไปให้อีกเล่มหนึ่ง แน่นอน...กลางแสกหน้า เพียงแต่อีกฝ่ายกลับเอี้ยวตัวหลบไปเสียก่อน


                ลอเรนซ์กัดฟันกรอด มีซักกี่ครั้งที่ไอ้บ้านี่มันทำตัวจริงจังกับเรื่องรอบตัว


                "ทั้งที่คาโลกับเฟรินเป็นรุ่นน้องของนาย?"


                "ทั้งที่เขาเป็นรุ่นน้องของฉัน" ลูคัสพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


                ใช่...ถ้าลอเรนซ์จะถูกเรียกว่าเป็นนักบวช


                นี่ก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงถูกเรียกว่าซาตาน

    ------------------------------------------

                ตาสีม่วงวาววับในความมืด แม้จะไร้แสงไฟแต่แสงดาวก็พยายามส่องประกายให้มากที่สุด เงาดำเคลื่อนไหวรวดเร็ว ลัดเลาะไปตามพื้นที่สีดำที่คบเพลิงไม่สามารถส่องแสงไปถึง มีหลายครั้งที่จำต้องหยุดรอให้เวรยามที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเดินผ่านไป ผู้บุกรุกคลี่ยิ้มในความมืดเมื่อนึกถึงภาพทหารระดับแม่ทัพถูกคิง 'ดุ'


                คงสนุก น่าตื่นเต้นเหมือนได้ไปเที่ยวสโนว์แลนด์ฟรีไม่มีตั๋วกลับเลยล่ะ


     แม้ใจหนึ่งจะนึกสงสาร แต่อีกใจก็นึกสมเพชไม่ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะวางยามหนาแน่นขนาดไหนก็ย่อมมีช่องว่าง เพราะมนุษย์ไม่สามารถทำสิ่งใดให้สมบูรณ์แบบได้


                ...แม้แต่ชีวิตของตนเอง...


                ขาทั้งสองก้าวยาว เร็ว ทว่าเงียบสนิทไปตามเส้นทางคุ้นเคย ก่อนจะหยุดกึกฉากตัวหลบเข้าสู่ความมืด


                ม่านหนาหนักถูกมัดรวบเพื่อให้ผู้ที่อยู่ในปราสาทสามารถมองเห็นความงดงามของราตรีที่กำลังย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ หน้าต่างบานใหญ่เปิดกว้างต้อนรับสายลมฤดูใบไม้ผลิที่ย่างก้าวเข้ามา และหนึ่งในนั้นก็ส่องผ่านภาพหญิงสาวที่อยู่บนจุดเกือบสูงสุดในคาโนวาล ตาสีม่วงหรี่เล็ก สิ่งที่สังเกตเห็นเป็นอย่างแรกคือท้องที่เริ่มโตของเจ้าหล่อน ผิวพรรณเปล่งปลั่งเป็นประกาย แต่ที่ทำให้เขาต้องจ้องเขม็งนั้นไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกอันเฉิดฉายนั่น แต่เป็นสิ่งที่หล่อนกำลังทำต่างหาก


                หล่อนสั่งให้นางกำนัลที่ถือถาดที่น่าจะเป็นถาดอาหารหยุดเดิน เปิดฝาที่ครอบปิดเพื่อรักษาความร้อนออก ก่อนจะหยิบห่อสีอ่อนขึ้นมาเทผงบางอย่างลงไปในถ้วย ปิดฝาและเดินต่อ


                ไอ้นั่นมันอะไร?


                กลิ่นไอเวทบางเบาลอยผ่านหน้าต่างออกมาให้ยิ่งต้องขมวดคิ้ว แม้จะจำไม่ได้ แต่ก็มั่นใจว่าเค้าไอเวทนี้เขาเคยเจอมาก่อน...เมื่อนานมาแล้ว


                "มาด้อมๆ มองๆ คนอื่นตอนดึกแบบนี้ ไม่ดีนะคิลลี่"


                คิลสะดุ้งเฮือกสุดตัว สัญชาตญาณสั่งให้เขาเกร็งมือ กระแสไฟฟ้าแล่นปลาบ พุ่งตัวไปยังที่มาของเสียงทันที ทว่าอีกฝ่ายกลับโยกหลบได้อย่างง่ายดาย คิลชะงักมือ ตาสีม่วงมองรอยยิ้มกว้างที่แสนคุ้นเคยบนใบหน้าคู่ต่อสู้ก่อนเบิกตากว้าง


                "พี่ลูคัส?"


                "ไม่เจอกันเสียนานนะ" คู่สนทนาทักทายตอบอย่างอารมณ์ดี อย่างน้อย...ก็เท่าที่เห็นบนใบหน้านั้น


                "ทำไม...รุ่นพี่ถึงมาอยู่ที่นี่" คิลหรี่ตามองอดีตรุ่นพี่ร่วมป้อมอย่างระวังปนระแวง


                "ก็...ทำงานน่ะ" ลูคัสตอบสั้น ก่อนถามต่อ "ว่าแต่คิลลี่ทำไมมาทำตัวน่าสงสัยอยู่แถวนี้ล่ะ? ถ้ามาหาคาลี่ล่ะก็ตอนนี้อยู่ที่ห้องทำงานน่ะ"


                คิลไม่ได้ตอบ ด้วยในหัวตอนนี้มีแต่คำถาม ทันทีที่เห็นหน้าลูคัส ความคุ้นเคยเมื่อครู่ก็แจ่มชัดขึ้นมาในใจ


                "รู้ดีจังเลยนะครับ ท่าทางพี่ลูคัสจะมาอยู่ที่นี่นานแล้วสินะ"


                "แม้แต่เดมอสยังรู้เลยว่าช่วงนี้คิงคาโลทำงานหนักแค่ไหน" อดีตรุ่นพี่ตอบกลั้วหัวเราะ แต่คนฟังไม่ได้ขำตามไปด้วยสักนิด ตาสีม่วงมีแต่คำถามและความระแวง


                ไอเวทนั่น...เป็นของคนตรงหน้าไม่ผิดแน่


                "งานที่ว่านั่น...คงเกี่ยวข้องกับคิงคาโลสินะ"


                "แหม...ซอร์เซอเรออย่างฉันจะมีธุระกับคิงคาโลได้ยังไง ถ้าเป็นนักฆ่าอย่างคิลลี่ก็ว่าไปอย่าง"


                "กับคิงไม่มี แต่กับพระสนมว่าที่ราชินีนั่นคงมีสินะ"


                "ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ หรือเธอคิดว่ายังไง?"


                บทสนทนาดำเนินไปด้วยอารมณ์ที่สวนทางกัน แม้จะไม่ใช่คำตอบแต่คิลก็คิดว่านั่นคือการตอบรับ


                ถ้าไม่ถามตรงๆ...ก็คงไม่มีวันได้คำตอบสินะ


                "ยาซองนั้น...เป็นของรุ่นพี่ใช่ไหม"


                "เมื่อก่อนใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่"


                "เพราะยานั่นรึเปล่าที่ทำให้คาโลมันทำตัวแปลกๆ"


                "ถูกครึ่งหนึ่ง"


                "แล้วรุ่นพี่คิดรึเปล่าว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้"


                "ฉันแค่ไม่นึกว่ามันจะแย่ขนาดนี้นี่นา"


                ไม่ทันสิ้นคำดี ลูคัสก็ต้องโยกตัวหลบคมมีดของนักฆ่าแห่งซาเรส ตาสีม่วงในความมืดนั้นมีเพียงสิ่งเดียวที่ทอออกมาคือความโกรธเกรี้ยว ไอสังหารคุกรุ่นพร้อมระเบิดขึ้นทุกเมื่อหากยื่นมือยื่นปากไปปะทะอีกหน


                "ทั้งๆ ที่พวกมันเป็นรุ่นน้องของรุ่นพี่ก็ตามเนี่ยนะ!"


                'ทั้งที่คาโลกับเฟรินเป็นรุ่นน้องของนาย?'


                คำถามเดิมเป็นรอบที่สองของวัน หากเพียงเปลี่ยนผู้ถาม


                ลูคัสยิ้มน้อยๆ ให้กับความจริงที่ว่าตนรู้สึกอิจฉาแค่ไหน กับความรักของคนรอบกายที่มีให้รุ่นน้องที่น่ารักสองคนนั้น


                แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง...คำตอบของเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง


                "ใช่... ทั้งๆ ที่เขาเป็นรุ่นน้องของฉัน" ลูคัสยังคงยิ้ม "พ่อค้าดาบคงไม่ถามไม่ใช่หรือ ว่าเธอจะซื้อดาบไปฆ่าใคร"


                "แต่ถ้าดาบนั่นมันจะฆ่าคนสำคัญของพ่อค้า เจ้าตัวก็ควรจะขัดขวางไม่ใช่หรือไง" แม้เหตุผลจะไม่อาจเถียงได้แต่คิลก็ไม่คิดอยากยอมรับ ทว่าลูคัสกลับทำหน้าคล้ายเหนื่อยใจที่จะพูดกับเด็กไม่รู้จักโต


                "คิลลี่... คำว่าธุรกิจน่ะไม่มีคำว่าคนสำคัญหรอกนะ"


                เพราะซาตานไม่จำเป็นต้องมีหัวใจ


                คิลจ้องรอยยิ้มบนใบหน้านั่นเขม็ง นอกจากความโกรธที่คุกรุ่นในใจ บัดนี้ความเกลียดชังก็เริ่มสุมทับเข้ามาจนยากจะห้ามไม่ให้ตัวเองเข้าโจมตีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นซาตาน


                "ไม่ว่ายังไงรุ่นพี่ก็ไม่คิดจะหยุดสินะ"


                ไร้ซึ่งคำตอบนอกจากรอยยิ้มคุ้นตา แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้นักฆ่าแห่งซาเรสทิ้งเหตุผลทั้งหมดพุ่งเข้าจู่โจมอีกฝ่ายทันที สถานการณ์ที่เป็นอยู่สร้างความเสียเปรียบให้ลูคัสตรงที่ชายหนุ่มไม่อาจใช้เวทได้อย่างใจ ไม่เช่นนั้นคิงน้ำแข็งนั่นคงได้วิ่งโร่มาเสียบคอตนแน่ แม้เป็นเช่นนั้น แต่คนอย่างลูคัส ซาโดเรียก็ตึงมือเกินกว่าที่คาด


                "นี่คิลลี่..." ซาตานหนุ่มเปรยเสียงนุ่ม หยุดยืน "เรื่องนี้ต่อให้ไม่มีฉัน บทสรุปมันก็คงไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่ เธอก็รู้ไม่ใช่หรือ"


                มีดสั้นที่ปาดเข้ามาหมายปลิดชีวิตหยุดชะงักในทันที คมของมันห่างจากคอของซาตานไปเพียงไม่กี่มิลลิเมตร แต่ซาตานตนนั้นก็ยังคงยิ้ม


                "ทั้งเรื่องเฟรี่หนีไป เรื่องที่คาลี่ทำตัวก้ำกึ่งไม่เด็ดขาด หรือเรื่องพระสนมวางยากษัตริย์ ต่อให้ไม่มีคนอย่างฉันเรื่องพวกนี้ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องเกิดขึ้น"


                ลูคัสยังคงพูดต่อ


                "หากราชินีไม่สามารถมีโอรส ก็ไม่แปลกที่ประเทศต้องหาวิธีอื่น ยิ่งกับคาโนวาลที่สืบกษัตริย์จากสายเลือดด้วยแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครก็ต้องรู้ ฉะนั้นเฟรี่ที่ตัดสินใจเป็นราชินีก็ต้องเตรียมพร้อมกับเหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่หรือ?"


                ทุกคำพูดคือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ และความจริงนั้นเองที่หยุดมีดในมือคิล เขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าต่อให้ฆ่าคนคนนี้ได้ เรื่องราวก็ยังคงดำเนินต่อไปสู่จุดจบ รู้ว่าในส่วนลึกของใจเขาเพียงแค่ต้องการคนที่จะมารับผิดชอบเหตุการณ์นี้ ใครสักคน...ที่ไม่ใช่สองคนนั่น


                "แต่จะว่าไปก็ดีแล้วที่คิลลี่มาในวันนี้" จู่ๆ ลูคัสก็เหมือนจะเปลี่ยนเรื่อง พลันเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้น เหล่าทหารยามผละจากจุดวิ่งตรงไปยังห้องทรงงานที่อยู่ด้านใน


                เกิดอะไรขึ้น?


                "เพราะพระสนมคนนี้ไม่ค่อยจะมีความอดทนสักเท่าไหร่"


                "กษัตริย์คาโลถูกวางยา!!" เสียงตะโกนก้องดังต่อเนื่องบอกเล่าเหตุการณ์ ความโกลาหลตามมาอย่างรวดเร็ว หัวใจนักฆ่ากระตุกวูบเมื่อเห็นเหล่านางกำนัลวิ่งวุ่นผ่านหน้าต่างบานใหญ่


                คาโล!!


                "จริงๆ เลยน้า" คนที่คล้ายจะเป็นตัวการใหญ่ของเรื่องนี้ถอนหายใจเฮือกพร้อมรอยยิ้ม เมื่อนักฆ่าที่คิดสังหารตนกลับละทิ้งเหยื่ออย่างเสียสถาบัน เพียงเพื่อไปดูใจเพื่อนรัก ตาสีดำขลับมองความวุ่นวายตรงหน้า


                คนที่อยากรู้ความจริงดันชิ่งไปแบบนี้ แล้วเขาจะบอกกับใครดีล่ะ

    *************************** TBC...


    Talk > อา...กว่าจะเข็นตอนนี้เสร็จก็ปาไปอีกหลายเดือน = =" เราประจักษ์แล้วว่า...คิล+ลูคัส มันเป็นอะไรที่ยากบัดซบ OTZ


    อีกประมาณ....ซัก 5 ตอนน่าจะจบค่ะ (น่าจะนะ OTZ )

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×