ตอนที่ 42 : "คนแปลกหน้า"
"ตายเสียเถอะมึง" ฝ่ายโจรเงื้อดาบในมือหมายจะฟันหญิงสาวด้วยความโมโห วาดดาวรีบยกมือขึ้นบังทันทีโดยสัญชาตญาณพร้อมกับหลับตาปี๋ด้วยความกลัว แต่ทันใดนั้นเอง ฝ่ายโจรก็ต้องกระเด็นไปอีกทางด้วยแรงถีบของใครบางคนเข้าอย่างจัง
“เป็นกระไรรึไม่” ชายที่เข้ามาช่วยร้องถามเธอทันที วาดดาวส่ายหน้าตอบกลับอย่างงงๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ระวัง!!!!” เธอร้องเตือนเมื่อเห็นฝ่ายโจรพุ่งเข้าใส่หมายเอาชีวิตบุคคลที่เข้ามาช่วยเธอไว้ ชายหนุ่มไหวตัวทันจึงยกดาบขึ้นกันและส่งเท้าถีบเข้าให้จนอีกฝ่ายกระเด็นออกไปอีกทาง แต่ฝ่ายนั้นยังคงไม่ลดละความพยายาม พุ่งดาบเข้าใส่อีกระลอกพร้อมกันถึงสองคน ชายหนุ่มโยกตัวหลบวิถีดาบของอีกคนได้ทัน แต่พลาดท่าให้อีกคนจนคมดาบเฉือนเข้าที่ต้นแขนจนได้ เรียกเลือดสีแดงให้ไหลซึมออกมา ชายหนุ่มจึงส่งดาบฟันเข้าที่แขนของอีกคนจนล้มพับลงไป แต่ชายอีกคนกลับเงื้อดาบหมายจะเอาชีวิตเขาจากด้านหลัง วาดดาวคว้าท่อนไม้ที่อยู่แถวนั้นแล้วฟาดลงไปที่หัวเต็มแรงจนล้มลงไปนอนกับพื้นเสียก่อน ชายหนุ่มหันมองหญิงสาวที่เพิ่งจะช่วยชีวิตเขาไปหยกๆด้วยสีหน้าตกตลึงกับความใจกล้าของอีกฝ่าย ส่วนโจรที่เหลือเมื่อเห็นว่าสู้ไม่ได้จึงรีบถอยหนีไปในที่สุด พร้อมกับลากเอาเพื่อนที่สลบด้วยไม้ของวาดดาวหนีไปด้วย
“เป็นกระไรหรือไม่เจ้าคะ” แม่หวนถามขึ้นทันทีที่วิ่งมาถึงตัววาดดาว
“ไม่จ้ะ” วาดดาวตอบก่อนจะหันมาพูดกับอีกคนที่ยืนอยู่
“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วย”
“มิเป็นกระไรดอก ปลอดภัยก็ดีแล้ว” อีกฝ่ายพูดขณะเก็บดาบเข้าฝักตามเดิม “หน้าสงครามเช่นนี้ ทำให้ข้าวยากหมากแพง ทำมาหากินก็ลำบาก จึงทำให้โจรขโมยขุกชุมเยี่ยงนี้ จักไปไหนมาไหนก็ต้องระวังให้มาก” เขาบอกขณะส่งกระเป๋าคืนให้เธอ แต่แม่หวนยื่นมือมารับไว้แทน
“ขอบใจจ้ะ” แม่หวนเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มในชุดทหารตรงหน้า ที่ดูจากการแต่งกายแล้วคิดว่ายศน่าจะไม่ต่ำกว่าชั้นหมื่น
“คุณบาดเจ็บนี่” วาดดาวทักขึ้นเมื่อเห็นเลือดที่ไหลซึมจากไหล่ข้างขวาของชายหนุ่ม
“มิเป็นกระไรมากดอก แค่ถากๆเท่านั้น” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่ใส่ใจกับแผลที่ตนเองได้รับ แต่มีหรือคนเป็นหมออย่างเธอจะยอมปล่อยผ่าน เธอถือวิสาสะดึงแขนเขาเข้ามาดูโดยไม่ได้ขออนุญาต จนอีกฝ่ายตกใจกับการกระทำถึงเนื้อถึงตัวของหญิงสาวที่เพิ่งจะพบกัน
“เลือดไหลขนาดนี้ยังว่าไม่เป็นอะไรได้ยังไง เกิดแผลติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง ขอฉันดูหน่อย” โดยไม่ต้องรอคำอนุญาตจากอีกฝ่าย เธอเข้าเปิดดูแผลทันที จนเห็นรอยดาบเฉือนไปเรียกเลือดให้ไหลซิบๆ วาดดาวพาชายหนุ่มไปนั่งลงเพื่อทำแผล เธอหยิบอุปกรณ์ต่างๆออกจากกระเป๋า และจัดการทำแผลให้กับอีกฝ่าย
“ยังดีที่แค่เฉียดๆ ไม่ลึกเท่าไร ใส่ยาหน่อยเดี๋ยวก็คงหาย เธอบอกขณะที่ปิดแผลให้เขา “ฉันไม่มียาให้คุณหรอกนะ ยาฉันหมดแล้ว แค่ยาสมุนไพรสมานแผลธรรมดาคงหาได้ไม่ยากหรอก” เธอพูดอยู่คนเดียว ขณะที่อีกฝ่ายยังจ้องหน้าเธอไม่วางตา “เสร็จแล้ว” เธอบอกเมื่อจัดการพันแผลให้กับเขาจนเสร็จ
“ขอบใจนะ ว่าแต่แม่ชื่อกระไรรึ เป็นคุณหนูเรือนใดกัน” ชายหนุ่มเอ่ยถาม แต่คนฟังยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบ คนข้างๆจึงส่งคำตอบให้แทน
“แม่วาดเจ้าค่ะ คุณหนูฉันชื่อ แม่วาด”
“ชื่อแม่วาดดอกรึ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้
“แล้วพ่อเล่า ชื่อกระไร เป็นทหารรึ” แม่หวนเอ่ยถามแทนเมื่อเห็นว่าวาดดาวเอาแต่เงียบ
“ฉันหมื่นพิชัย ทหารในสังกัดพระยาพระคลัง” แม่หวนมองหน้าชายหนุ่มที่เพิ่งแนะนำตัวไปอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรออก
“อิฉันจำได้แล้ว ท่านคือหมื่นพิชัย หลานชายท่านเจ้าคุณพิพัฒน์โกษาใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“รู้จักฉันด้วยรึ”วาดดาวมองหน้าแม่หวนอย่างสงสัย ตกลงแม่หวนจะรู้จักคนทั้งพระนครเลยใช่ไหม
“รู้สิเจ้าคะ อิฉันเคยเห็นหมื่นท่านที่เรือนอยู่สองสามครา”
“เรือน?” อีกฝ่ายทำหน้าไม่เข้าใจ
“อิฉันเป็นบ่าวเรือนคุณหญิงจันทร์เจ้าค่ะ” คราวนี้คนฟังถึงบางอ้อในทันที
“ที่แท้ก็บ่าวเรือนคุณหญิงจันทร์นี่เอง เช่นนั้นหญิงผู้นี้ก็.....” ชายหนุ่มหันไปทางหญิงสาวอีกคนที่เงียบฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่อยู่นาน
“หลานสาวคุณหญิงจันทร์เจ้าค่ะ”
“หลานสาวคุณหญิงจันทร์เองดอกรึ” คนฟังพยักหน้ารับรู้ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไปกันเถิด ฉันจักเดินไปส่งที่เรือน มืดค่ำป่านนี้แล้วประเดี๋ยวจักเกิดอันตรายขึ้นอีก” วาดดาวมองหน้าคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันครั้งแรกอย่างลังเลย แต่ชายหนุ่มนั้นกลับเดินนำทั้งคู่ไปก่อนเรียบร้อยแล้ว เธอและแม่หวนจึงจำต้องเดินตามไปแต่โดยดี
“ขอบคุณนะคะที่อุตสาห์เดินมาส่ง” วาดดาวเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มที่เดินมาส่งเธอและแม่หวนจนถึงเรือน “แล้วก็ขอบคุณมากค่ะ ที่ช่วยพวกเราไว้จากโจร”
“มิเป็นกระไรดอก คราวหน้าก็ระวังตัวให้มากด้วย ขึ้นเรือนเถิด”
“ดึกดื่นป่านนี้ เหตุใดเพิ่งจะกลับกันมา” คุณหญิงจันทร์โผล่หน้าออกมาถามเมื่อได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่หน้าบันไดเรือน “แล้วนั่นผู้ใดกัน” คนถามเอ่ยถามต่อเมื่อเห็นชายแปลกหน้ายืนอยู่หน้าบันไดเรือน เมื่อมองไม่ชัดเธอจึงเดินลงบันไดมาเพื่อดูหน้า
“กระผมเองขอรับ หมื่นพิชัย” คนถูกทักเอ่ยให้คำตอบ
“อ้าว!!!!! หัวหมื่นเองดอกรึ เหตุใดจึงมาอยู่นี่เล่า แล้วนั่นแขนไปโดนกระไรมา “ เมื่อเห็นแผลที่แขนของชายหนุ่มเข้า จึงเอ่ยถาม แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบจากคำถามแรก คุณหญิงก็เอ่ยคำถามถัดมาทันทีเมื่อหันไปเห็นสภาพของวาดดาวกับแม่หวนเข้า “แล้วนี่สองคนนี้ไปทำกระไรมา ไยมีสภาพเป็นเช่นนี้กัน” คุณหญิงจันทร์จับวาดดาวหันไปหันมาเพื่อดูร่องรอยตามเนื้อตัว
“คือว่าบ่าวกับท่านหมอ เจอโจรดักปล้นระหว่างทางกลับเรือนเข้าเจ้าค่ะ” แม่หวนตอบแทนให้วาดดาว
“โจรรึ!!!!! ตายจริง แล้วเป็นกระไรหรือไม่ บาดเจ็บที่ใดหรือไม่” คุณหญิงจันทร์หน้าตาตื่น รีบสำรวจตามเนื้อตัวของหลานสาวทันที
“ยังไม่เป็นอะไรค่ะ พอดีว่าคุณคนนั้นเขามาช่วยไว้ได้ทัน” วาดดาวบอกพร้อมกับบุ้ยใบ้ไปที่หมื่นพิชัย
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ โชคดีที่หมื่นท่านผ่านมาพบเสียก่อน มิเช่นนั้นอิฉันก็มิทราบว่าจักเกิดกระไรขึ้น” แม่หวนอธิบายเสริม
“โล่งใจไปที” คุณหญิงจันทร์ยกมือขึ้นทาบอกด้วยความโล่งใจ “มิได้แล้ว ต่อไปนี้ห้ามออกไปที่ใด มืดๆค่ำเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่” คุณหญิงจันทร์ออกคำสั่งเสียงแข็ง
“ค่ะ/เจ้าค่ะ”
“ขอบใจหัวหมื่นมากจริงๆ ที่ช่วยไว้ พ่อเลยต้องมาเจ็บตัวไปด้วยเช่นนี้”
“เล็กน้อยขอรับ เสียดายที่จับพวกมันส่งทางการมิได้ แต่คงเข็ดหลาบมิกล้าทำไปอีกสักพัก”
“ขึ้นเรือนมากินน้ำกินท่าก่อนมา”
“ขอบพระคุณคุณหญิงขอรับ แต่กระผมมีธุระด่วนต้องเร่งไปจัดการ ไว้คราหน้าแล้วกันขอรับ กระผมจักมากราบคุณหญิงที่เรือนเอง” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับชำเลืองมองหญิงสาวคนข้างๆ
“เช่นนั้นรึ เช่นนั้นก็ขอบใจพ่อมากนะ”
“ขอรับ เช่นนั้นกระผมขอลาเลยนะขอรับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่า ก่อนจะหันมายิ้มให้หญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกัน จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป
“รีบขึ้นเรือนไปอาบน้ำอาบท่าเร็วเข้า ดูสิเลอะเทอะไปทั้งตัว” คุณหญิงจันทร์บอกขณะที่เร่งให้วาดดาวขึ้นเรือนไป ชายหนุ่มที่เพิ่งขอตัวกลับไปจึงโผล่หน้าออกมาดูหลังจากที่ทั้งหมดขึ้นเรือนไปแล้ว
“แม่วาดรึ” ชายหนุ่มพูดกับตัวเองขณะมองด้านหลังของหญิงสาวเจ้าของชื่อที่เพิ่งจะได้พบกันด้วยความบังเอิญ แต่กลับรู้สึกต้องตาต้องใจเขาเข้าอย่างจัง
หลวงฤทธิรงค์เดินทางกลับมาถึงค่ายที่ทุ่งลาดหญ้าในตอนเช้าของวันถัดมา หลังจากเดินทางกลับจากพระมหานครมาทำหน้าที่ที่ค่ายรบตามเดิม ชายหนุ่มรีบเข้ารายงานตัวกับสมเด็จพระราชวังบวรฯ ทันที
“พระมหานครเป็นเช่นไรบ้าง” ทรงตรัสถามหลังจากหลวงหนุ่มเข้ารายงานตัวเรียบร้อย
“ขอเดชะ ลำบากเอาการพระพุทธเจ้าข้า ผู้คนแออัดยัดเยียด แย่งกันอยู่ แย่งกันกิน ข้าวยากหมากแพง ชาวบ้านลำบากกันเหลือเกินพระพุทธเจ้าข้า” หลวงหนุ่มยกมือขึ้นเหนือหัวกราบบังคมทูลรายงานเรื่องราวที่เพิ่งได้สัมผัสมา ทรงทอดถอนพระหทัยออกมาอย่างรู้สึกหนักในพระหทัย
“ช่วงการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ ก็ลำบากพอแรงอยู่แล้ว ยังมาเจอกับศึกสงครามเข้าไปอีก บ้านเมืองเราจักรอดพ้นจากความทุกข์ยากลำบากนี้ไปได้เมื่อใดก็มิอาจรู้” เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎาตรัสอย่างรู้สึกหดหู่พระหทัย
“เกล้ากระหม่อมหวังให้ศึกครานี้จบลงโดยเร็ววัน”
“มิใช่เพียงจบโดยเร็ววัน แต่เราต้องได้ชัยชำนะในศึกครานี้ด้วย ประชาชนจึงจักอยู่อย่างสงบได้เสียที” ทุกคนในที่นั้นต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของคนเอง จนฝ่ายสมเด็จพระราชวังบวรฯ ทรงตรัสถามต่อ “แล้วทางด้านอื่น เป็นเช่นไรกันบ้าง”
“เห็นว่ากำลังเตรียมตั้งรับกันอยู่ ศัตรูยกมาครานี้หนักหนาเอาการ ทางเราดูจักหนักสุดแล้วพระพุทธเจ้าข้า เพราะยกกันมาถึงห้าทัพในทางนี้ แลทัพหลวงของพระเจ้าปดุงเองก็ยกเข้าทางเราด้วย”
“เรื่องนั้นมิต้องกังวลไป ทัพหน้าของพวกมันยังหยุดได้เพียงเชิงเขา ทัพต่อไปที่ตามก็มิอาจเดินหน้าต่อไปได้ เลยจำต้องหยุดลงตามกัน เห็นว่าทัพหลวงของพระเจ้าปดุงนั้น ล่วงผ่านด่านเจดีย์สามองค์มาได้มิเท่าใดเอง” เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎาตรับสั่งเล่าให้ฟัง
“เพลานี้รอข่าวจากเจ้าคุณพระยาทั้งสาม ที่นำกำลังไปตั้งกองโจรเพื่อดักปล้นเสบียงของพวกมันอยู่ ข้าว่าจักให้เอ็งแลหลวงภักดีตามไปดูเสียหน่อย เราต้องรีบจบศึกทางนี้ลงโดยเร็ว เพื่อจักได้ยกไปช่วยทางอื่นกัน”
“รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
“จริงริ เอ็งบอกว่าข้าได้ลูกชายแฝดจริงรึ” หลวงภักดีเอ่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจเมื่อได้ฟังข่าวดีจากหลวงผู้น้องเรื่องการคลอดบุตรของภรรยาเอก
“จริงสิพี่ ฉันนี่ลุ้นแทนพี่แทบแย่”
“แล้วแม่ลำดวนตั้งชื่อลูกข้าว่ากระไรบ้าง”
“แม่ลำดวนบอกว่าจักรอให้พี่กลับไปตั้งให้”
“กระผมดีใจด้วยขอรับคุณหลวง ได้เป็นพ่อคนแล้ว แถมได้ลูกชายทีเดียวถึงสองคนเสียด้วย” หมื่นพิทักษ์ที่ฟังอยู่พลอยตื่นเต้นดีใจตามไปด้วย
“ข้าดีใจจริงๆว่ะ ข้าต้องรีบกลับไปหาลูกเมียข้าให้ได้แล้วอ้ายอินทร์” คนพูดยิ้มอย่างดีใจ เขย่าตัวผู้เป็นน้องชายอย่างตื่นเต้น ก่อนจะค่อยๆหุบยิ้มเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
“แต่ข้าจำได้ว่า กำหนดคลอดเมียข้ามันเดือนหน้ามิใช่รึ แล้วเหตุใดจึงได้คลอดเสียแล้ว” หลวงฤทธิรงค์สีหน้าเปลี่ยนทันที เมื่อได้ฟังคำถามจากผู้เป็นพี่ ทีแรกกะจะไม่เล่าว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะกลัวอีกฝ่ายจะกังวลใจ แต่เจ้าตัวดันช่างสังเกตเสียนี่
“คือว่า..................”
“มีกระไร เกิดกระไรขึ้นรึ” คราวนี้ทั้งหลวงภักดีและหมื่นพิทักษ์ต่างส่งสายตาคาดคั้นด้วยความอยากรู้ แม้แต่ขุนเวชโอสถเองยังวางงานในมือลงเพื่อหันมารอฟังคำอธิบาย
“คือฉันจักอธิบายเช่นไรดี คือแม่ลำดวนเกิดอาการผิดปกติขึ้นในวันที่ฉันกลับไปพอดี แต่ดีที่หมอหญิงช่วยไว้ได้ทัน” หลวงหนุ่มเริ่มอธิบาย
“ว่ากระไรนะ!!!”
“นางบอกว่าแม่ลำดวนมีอาการครรภ์เป็นพิษ จึงต้องผ่าคลอดเพื่อเอาเด็กออกมาก่อนกำหนด นางมิได้คลอดตามปกติทั่วไปดอก”
“ผ่าเอาเด็กออกมาเช่นนั้นรึ ทำเช่นนั้นได้ด้วยรึ” ขุนเวชฯที่ฟังอยู่เอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจกับเรื่องที่ได้ฟัง
“ฉันเองก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็ครั้งนี้แล”
“แล้วลูกกับเมียข้า ปลอดภัยดีแน่รึ”
“ปลอดภัยดี มิได้มีกระไรต้องเป็นห่วงดอก” คนฟังจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“หมอเทวดา นางเป็นหมอเทวดาโดยแท้ นางทำได้ทุกอย่าง รักษาได้ทุกโรคจริงๆ” หมื่นพิทักษ์เอ่ยชมอีกคนที่ไม่ได้อยู่ด้วย ด้วยความชื่นชม เพราะเคยเห็นฝีมือมาแล้วกับตาตัวเอง
“ข้าเป็นหนี้บุญคุณหมอหญิงเข้าอีกแล้ว ชาตินี้มิอาจรู้ว่าจักตอบแทนบุญคุณนางได้หมดหรือไม่” หลวงฤทธิรงค์ตบลงบนบ่าเพื่อให้กำลังใจผู้เป็นพี่......
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เหมือนจะได้คนมาถูกใจนางเอกเราเพิ่มอีกคนแล้วสินะ
ส่วนทางเรือนไม่ต้องห่วงดอกเจ้าค่ะ หมอหญิงของอิฉันเอาอยู่เจ้าค่ะ