ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเผ่าจูมิ

    ลำดับตอนที่ #11 : ภาคที่ 2 - ฟลอริน่า / บทที่ 3 - ดาบแห่งแสง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 137
      0
      9 ส.ค. 49

    PART II: FLORINA
    Chapter III: Sword of Light

    ภาคที่ 2: ฟลอริน่า
    บทที่ 3: ดาบแห่งแสง


    องค์หญิงฟลอริน่าทรงรู้สึกพระองค์ว่ากำลังตื่นอยู่...แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนกับกำลังทรงพระสุบินไป

    นอกบานพระแกลนั้น...ท้องฟ้าสีซีดจางยามเช้าตรู่กับแสงตะวันอ่อนไร้ความสดใสในฤดูหนาวอื้ออึงไปด้วยเสียงของผู้คน ขณะที่ชีวิตในเมืองภายนอกยังคงดำเนินต่อไปเช่นทุกวัน หากพระองค์มิได้สดับฟัง หรือทอดพระเนตรเห็นเลย องค์หญิงฟลอริน่าบรรทมอยู่บนพระแท่นกว้าง พระวรกายบอบบางซุกอยู่ใต้ผ้าห่มไหมสีฟ้าอ่อนนุ่มที่ยับเป็นระริ้วลอกราวกับคลื่นบนพื้นสมุทรที่กำลังกลืนกินพระองค์ให้จมลงไปช้าๆ

    นัยเนตรสีเทายังลืมอยู่ ทอดพระเนตรตรงไปยังเพดานสีขาวซึ่งดูละม้ายกับภาพของท้องฟ้าครึ้มเมฆอย่างประหลาด พระองค์มิอาจขยับพระวรกายส่วนใดได้เลย ทุกส่วนชาด้านราวกับไร้ตัวตน...ไร้กำลัง

    พระหฤทัยราวกับจะล่องลอยกลับไปสู่วันวานในวัยเยาว์อีกครั้ง ยามเมื่อพระมารดายังมีพระชนม์ชีพอยู่ ก่อนที่พระองค์จะทรงหลั่งอัสสุชลหยดแรก...

    เช้าฤดูใบไม้ผลิอันเงียบสงัด ขณะที่หมอกหนาลอยอ้อยอิ่งไปทั่วบรรยากาศโดยรอบ พระบิดาดำเนินนำองค์หญิงน้อยไปตามทางเดินแคบๆ สุดเขตนคร ทุ่งหญ้ากว้างสุดสายตาดูราวกับทะเลสีเขียวที่ค่อยๆ ซัดซาดหายไปในสายหมอก และองค์หญิงฟลอริน่าที่ร่าเริงเหลือเกินกับอากาศกลางแจ้งก็เดินไปพลางเก็บรวบรวมดอกไม้สีขาวดอกเล็กนิดที่ขึ้นแทรกระหว่างใบหญ้าฤดูใบไม้ผลิสั้นๆ เป็นช่อใหญ่

    ดวงอาทิตย์ฉายแสงส่องโลกอย่างอ่อนโยน มีอยู่ครู่หนึ่งที่สายหมอกบดบังกระทั่งภาพของหอคอยสูงในนครที่อยู่ห่างออกไป และเมื่อนั้นเองที่องค์หญิงจินตนาการไปว่าทุ่งหญ้านี้ไม่มีที่สิ้นสุด...หากพระองค์ก้าวข้ามม่านหมอกสีขาวเลือนนั้นไปแล้วล่ะก็จะไปถึงอีกดินแดนหนึ่งที่รออยู่

    ชั่วครู่นั้นเองที่พระองค์รู้สึกมีความสุข รู้สึกได้ถึงความเป็นอิสระที่พร่ำเพรียกอยู่ที่สุดขอบฟ้านั้น...

    ความทรงจำถึงทุ่งหญ้าในสายหมอก และความสุขสงบอย่างยิ่งที่สัมผัสได้นั้นบางคราจะย้อนกลับมาในพระสุบินนิมิตอีกครั้ง...ที่ซึ่งทุ่งหญ้าแปรเปลี่ยนเป็นอีกโลกหนึ่งที่สดใสสวยงามไม่มีที่สิ้นสุด แม้กระทั่งตอนนี้...องค์หญิงยังทรงรู้สึกได้ว่าพระองค์กำลังลอยเลื่อนไปหาภาพดวงตะวัน กระแสลม และแสงสว่างนั้นช้าๆ...ออกห่างจากแท่นบรรทมในห้องมืด...ไกลจากนครอัญมณีอันเย็นชา...ไกลจากกลิ่นไอและเสียงแห่งมรณะที่รุมล้อมพระองค์อยู่นานหลายปี

    เป็นไปไม่ได้...องค์หญิงฟลอริน่าคำนึงอย่างมึนงง เราไม่ได้หลับ...นี่มันตอนเช้านี่นา เราจะฝันไปได้อย่างไร

    หรือว่า...นี่จะเป็นความฝันครั้งสุดท้าย...

    และแล้วพระองค์ก็สดับได้ถึงเสียงหนึ่ง...เสียงหนึ่งที่เรียกพระองค์กลับมาสู่ความเป็นจริง มืออุ่นๆ ที่ทาบลงเหนือพระขนงเย็นชืดดึงพระองค์กลับมาสู่ที่คุมขังซึ่งเรียกว่าร่างอีกครั้งแม้พระองค์จะพยายามขัดขืน

    ห้วงสำนึกยังดึงดันจะลอยเลื่อนไปอีกครา พระองค์ปรารถนาจะได้ไปให้พ้นเสียจากร่างที่อ่อนแอ...เปราะบาง...และบอบช้ำนี้...และไปสู่ความฝันของแสงตะวันนั้นเสียเลยเกิน

    แต่แล้วเสียงที่ร้องเรียกก็กลับดังและเฉียบขาดขึ้นราวกับเป็นคำสั่ง...อย่างที่องค์หญิงฟลอริน่ามิอาจจะขัดขินได้

    พระองค์ได้แต่กระทำตามเท่านั้น

    เราไม่เคยทำอะไรได้เลย...สุรเสียงตรัสขึ้นในพระหฤทัย...นอกจากทำตามความต้องการของคนอื่น...เท่านั้น...

    แสงตะวันในความฝัน...คงต้องรอไปอีกสักพักหนึ่งแล้วกระมัง...


    เช้าฤดูหนาววันนั้นรูเบ็นส์เดินไปตามทางเดินหลังพระราชวังจูมิ ผ่านบานประตูที่ตั้งเรียงเป็นแถวอยู่ข้างผนัง ทางเดินนี้เป็นที่ที่ค่อนข้างเงียบสงัด มีห้องเล็กๆ หลายห้องที่ถูกประดับตกแต่งด้วยเครื่องเรือนแบบโบราณอย่างสวยงามตามคำสั่งของไดอาน่าเพื่อให้เหมาะสำหรับเป็นสถานที่ที่ใช้พักผ่อนเป็นการส่วนตัว ทางเดินนี้จึงได้รับฉายาว่า 'ตรอกคู่รัก' ไปโดยปริยาย

    ทว่ารูเบ็นส์มิได้ไปที่ทางเดินในวันนั้นเพื่อพักผ่อน

    ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลเพิ่งกลับสู่นครอัญมณีเมื่อวานหลังจากเลยกำหนดไปนาน และหลังจากประชุมด่วนกับไดอาน่าและรูเบ็นส์แล้ว เธอก็บัญชาให้รูเบ็นส์มาพบเธออีกครั้งในห้องว่างแถบทางเดินด้านหลังเพื่อหารือกันสั้นๆ ในเช้าวันถัดมา

    ชายหนุ่มสงสัยเหลือเกินว่าเธอจะพูดเรื่องอะไร และเดาว่าเธอคงต้องการรายงานพิเศษเรื่องพระอาการขององค์คลาริอุสกระมัง

    เขาผลักประตูเข้าไปในห้องห้องหนึ่งที่ตกแต่งด้วยโทนสีครีมเย็นตากับเทาไข่มุกที่ดูเหมือนจะเปล่งประกายน้อยๆ ในแสงแดดฤดูหนาว

    แบล็คเพิร์ลยืนหันหลังให้กับประตูมองออกไปยังเมืองเบื้องล่าง เธอหันหน้ามาช้าๆ ขณะที่วุฒิสมาชิกหนุ่มเข้ามาในห้อง และผายมือเป็นเชิงบอกให้เขานั่งลง อาภรณ์สีทองและเงินที่หญิงสาวสวมอยู่เข้ากับบรรยากาศในห้องเป็นอย่างดี เพียงสิ่งเดียวที่ไม่เข้ากันก็มีเพียงแถบผ้าสีแดงสดที่รัดรอบสะเอวซึ่งดูราวกับสีเลือดท่ามกลางสีอ่อนๆ ของทุกสิ่งรอบด้านเท่านั้น

    ตัวรูเบ็นส์เองสวมชุดสีแดงทับทิมตามปกติ และเมื่อนั่งลงบนโซฟาสีขาว เขาก็รู้สึกว่าตนเองช่างไม่เข้ากับบรรยากาศเย็นตาของห้องนี้เสียเลย

    ชายหนุ่มกวาดสายตามองแบล็คเพิร์ลที่ยืนหันหลังให้กับม่านสีงาช้าง เรือนร่างงามสมส่วนวางท่าอยู่ในอิริยาบถมีสง่าเช่นปกติ ดูภายนอกแล้วท่านหญิงมิได้เปลี่ยนแปลงไปจากวันที่ออกเดินทางไปเมื่อสี่เดือนที่แล้วสักนิด แต่รูเบ็นส์ยังสังเกตเห็นบางสิ่งในดวงตาสีมืดที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและกระสับกระส่ายร้อนใจอย่างประหลาด

    เขาสงสัยเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมากัน เรื่องที่เธอพูดกับไดอาน่าเมื่อคืนวานนั้นค่อนข้างจะสั้นอยู่ และท่านหญิงดูเหมือนจะสนใจถามเรื่องสภาวะบ้านเมือง และเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงที่เธอเดินทางไปมากกว่า ส่วนเรื่องภารกิจของเธอนั้นท่านหญิงบอกเพียงว่าเสร็จสิ้นโดยเรียบร้อยดี และเธอก็พอใจกับข้อมูลที่ได้มาจากหอคอยมากพอควร

    ดูเหมือนว่าท่านหญิงจะใช้คาถาจากคำแปลอักขระรูนขององค์หญิงฟลอริน่าเปิดทางเข้าไปในหอคอยได้ไม่ยากนัก และมิได้บอกเลยว่าเหตุใดจึงได้จากนครอัญมณีไปเสียนานเช่นนี้ ไดอาน่าซึ่งเหน็ดเหนื่อยกับหน้าที่ในวันนั้นมาก่อนแล้วก็ไม่ได้ซักถามให้ละเอียด จะอย่างไรก็ตาม...หากแบล็คเพิร์ลไม่ต้องการจะบอกเล่าถึงรายละเอียดของภารกิจครั้งนี้ ก็ไม่มีใครจะบังคับเธอได้

    รูเบ็นส์อดนึกสงสัยขึ้นมาในทันใดนั้นไม่ได้ว่า...หากท่านหญิงมีอำนาจปกครองอาณาจักรมากเกินไปแล้ว จะมีใครกันที่หยุดยั้งเธอได้หากเธอตัดสินใจจะใช้อำนาจในมือด้วยประสงค์ร้าย...

    เขารู้ดีว่าตนเองทำไม่ได้แน่...ในเมื่อท่านหญิงมีพลังเวทดำอันแข็งแกร่งแรงกล้าแผ่กระจายจากผลึกชีวิตเช่นนี้

    ชายหนุ่มพยายามสลัดความคิดนั้นไปจากสมอง ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลไม่เคยแสดงความไม่น่าเชื่อถือในทางใดเลย เธอใช้พลังอำนาจและความสามารถที่มีเพื่อผลประโยชน์ของนครอัญมณีมาโดยตลอดมิใช่หรือ

    เขารออย่างเงียบๆ ให้เธอพูดขึ้นมาก่อน และท่านหญิงก็เริ่มเรื่องในไม่ช้าต่อมาทั้งที่ยังยืนอยู่หน้าบานหน้าต่าง หันหลังให้กับเกล็ดหิมะสีขาวที่โรยรินในเช้าวันนั้น

    "ขอบคุณที่มานะ ท่านวุฒิสมาชิก ข้ามีเรื่องที่สงสัยมากอยากจะถามท่านอยู่เรื่องหนึ่ง"

    "เรื่องอะไรหรือครับท่านหญิง" รูเบ็นส์ถามพลางเอนหลังลงพิงหมอนอิงสีเงินบนโซฟา สายตายังคงจับใบหน้าของแบล็คเพิร์ลไว้ตามปกติ พยายามไม่ให้ความกังวลที่ก่อตัวขึ้นในใจแสดงออกมาทางใบหน้า

    สีหน้าของแบล็คเพิร์ลในยามนี้เครียดขึ้ง ดวงตาดำขลับราวกับจะลุกจ้าด้วยไฟกาฬ หากแม้กระนั้นเธอยังคงเป็นอิสตรีที่งดงามที่สุดที่รูเบ็นส์เคยเห็น...ร่างสูงเพรียวของเธอเหยียดตระหง่านอย่างมีสง่า ใบหน้างามยวนใจล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีน้ำตาลทองสลวยหยักศกที่ทิ้งตัวลงมาถึงหลังเข่าเหมือนดั่งรัศมีส่งให้ดูงามหยาดฟ้าราวกับจะเปล่งประกายแพรวพราวได้

    แต่เธอดูเปลี่ยนไปจริงๆ...รูเบ็นส์คิด แม้จะเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่ทันสังเกต ดูแล้วท่วงท่าของเธอยังคงทรงอำนาจเช่นเดิม ทว่ามีบางสิ่งที่ดูจะเปลี่ยนไป แม้ชายหนุ่มจะบอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร...หรือเปลี่ยนอย่างไรก็ตาม

    เกิดอะไรขึ้นกับเธอที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้กันนะ และทำไมเธอถึงไม่ปริปากว่าอะไรเลยหากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ

    "เรื่องที่ว่า..." แบล็คเพิร์ลเอ่ย น้ำเสียงอันไพเราะพอกับความงามของหญิงตรงหน้าดึงรูเบ็นส์กลับมาจากห้วงคำนึง "ข้าจำได้ว่าข้ามิเคยอนุญาตให้อัศวินประจำองค์คลาริอุสกระทำการใดๆ เกินหน้าที่มิใช่รึ"

    เรื่องนี้นี่เอง...รูเบ็นส์คิดโดยไม่แปลกใจนัก เขาสั่นกายน้อยๆ เมื่อนึกถึงอเล็กซ์ และความปั่นป่วนวุ่นวายที่เด็กหนุ่มก่อขึ้นในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา...เมื่อเขายืนกรานว่าการรักษาพระพลานามัยขององค์หญิงฟลอริน่าสำคัญกว่าอาการของชาวจูมิที่เจ็บป่วย แต่ชายหนุ่มก็ไม่พูดว่าอะไร

    เมื่อไม่ได้รับคำตอบ แบล็คเพิร์ลจึงเอ่ยสืบต่อ

    "ข้าได้ฟังมาว่า ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ องค์คลาริอุสได้ถูกห้ามไม่ให้ออกปฏิบัติหน้าที่หลายครั้งโดยอัศวินพระจำพระองค์ บอกข้ามาซิว่าเจ้าหรือวุฒิสมาชิกอื่นใดมอบอำนาจให้เขาทำเช่นนั้นได้หรือไม่"

    รูเบ็นส์จำต้องตอบ

    "ไม่ครับ"

    "ถ้าเช่นนั้นทำไมเขาจึงกล้าทำแบบนั้น" แบล็คเพิร์ลถามด้วยเสียงที่เริ่มเข้มขึ้น

    รูเบ็นส์เพียงได้ปะอเล็กซ์หลายครั้งโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกันมาก หากเขาก็เริ่มถูกอัธยาศัยกับอัศวินหนุ่มประจำองค์คลาริอุสแล้ว และไม่อยากจะทำอะไรที่เหมือนเป็นการทรยศเด็กหนุ่ม ชายหนุ่มจึงพยายามเรียบเรียงคำตอบอย่างระมัดระวัง

    "พระอาการขององค์คลาริอุสฟลอริน่าในพักหลังๆ นี้ไม่ค่อยดีนักครับ ถึงการกระทำของอัศวินประจำองค์คลาริอุสจะไม่ได้รับอนุญาตจากทางสภาอย่างเป็นทางการ แต่ก็อนุโลมให้เนื่องจากภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นครับ"

    "ภาวะผิดปกติอันใด" แบล็คเพิร์ลถามพร้อมกับหักริมฝีปากลง

    "โรคผลึกจางที่ระบาดหนักผิดปกติครับ" รูเบ็นส์ตอบ

    "เมื่อก่อนก็เกิดโรคผลึกจางระบาดขึ้นหลายครั้งแล้วมิใช่หรือ" แบล็คเพิร์ลย้อน

    "คงเป็นเพราะการประชุมเมื่อวานมีเวลาจำกัด ท่านหญิงไดอาน่าจึงไม่ได้แจ้งให้ท่านทราบว่าโรคผลึกจางที่ระบาดครั้งล่าสุดร้ายแรงกว่าครั้งที่ผ่านๆ มาแค่ไหนครับ" รูเบ็นส์ตอบ "จำนวนผู้ป่วยมีมากกว่าเมื่อคราวโรคผลึกจางระบาดเมื่อห้าปีก่อนถึงสองเท่า นับเป็นการระบาดที่รุนแรงที่สุดที่ผมจำได้ในห้าทศวรรษเชียวนะครับ"

    เมื่อได้ยินเช่นนี้แบล็คเพิร์ลก็อึ้งไป เธอยืนนิ่ง สีหน้าเลื่อนลอยราวกับครุ่นคิดถึงบางสิ่งอยู่ในใจ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็หันหลังให้กับรูเบ็นส์ สายตาเลื่อนไปทางบานหน้าต่างอีกครั้ง

    "แต่ถ้าไม่ให้องค์หญิงฟลอริน่าออกปฏิบัติหน้าที่อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่า" หญิงสาวแย้ง

    "องค์หญิงฟลอริน่ามีพระอาการทรุดลงจนแทบจะสิ้นพระชนม์เมื่อไหร่ก็ได้แล้วนะครับท่านหญิง" รูเบ็นส์พยายามตอบ

    "นั่นแหละที่น่าเสียดาย...เพราะข้าเห็นว่าความรู้ด้านอักขระของพระองค์ยังจำเป็นอยู่" แบล็คเพิร์ลลงความเห็นพร้อมกับที่เงามืดมนปรากฏขึ้นในดวงตาแวบหนึ่ง "ต้องหาคนมาปฏิบัติหน้าที่เสริม...เช่นแซฟไฟร์...แม้น้ำตาของเธอจะอ่อนพลังก็ตามที แต่ค่อยมาประชุมเรื่องนี้อย่างเป็นทางการทีหลัง ข้าขอพูดเรื่องอัศวินประจำองค์คลาริอุสคนปัจจุบันก่อนดีกว่า"

    รูเบ็นส์ถามอย่างกริ่งเกรงและระแวดระวัง

    "เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาหรือครับท่านหญิง"

    "ข้าไปสืบเรื่องของจูมิแห่งอเล็กซานไดรท์มา" แบล็คเพิร์ลตอบ สีหน้าของเธอทำให้รูเบ็นส์นึกสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันใด แต่เขาก็ได้แต่รอให้ท่านหญิงพูดต่อทั้งที่ใจหล่นวูบ ยิ่งมองลึกลงไปในห้วงมืดสนิทภายในดวงตาดำขลับ ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกใจคอไม่ดีอย่างประหลาด

    ความตาย...พอเข้าใจแล้วให้รู้สึกเย็นเยือกจับจิตขึ้นมาในตอนนั้น

    ความตายของใครบางคน...ที่เขาภาวนาอย่าให้เป็นความตายของอเล็กซ์เลย...

    ทั้งที่สมองของเขามีความคิดสับสนปนเป ชายหนุ่มยังได้ยินเสียงของแบล็คเพิร์ลที่บรรยายว่าเธอรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอเล็กซ์

    "อเล็กซ์คนนี้..." เธอเอ่ย "มาที่นครอัญมณีเพราะมีจุดประสงค์ร้ายบางอย่าง ถึงข้าจะรู้ว่าแผนการของมันไม่มีทางจะสำเร็จ แต่ข้าก็ต้องล่อให้มันแสดงตัวจริงออกมาให้แน่ใจก่อนที่ข้าจะตัดสินชะตากรรมของมัน"

    "นี่เขา..." รูเบ็นส์ถามเบาๆ "วางแผนจะทำอะไรหรือครับท่านหญิง"

    แทนคำตอบ...มือของแบล็คเพิร์ลกลับเลื่อนไปที่ฝักดาบข้างกาย ก่อนจะชักดาบออกมาวางไว้บนโต๊ะไม้มะฮอกกานีเบื้องหน้า

    กระบังดาบสีเงินเล่มนั้นถูกแกะสลักเป็นลวดลายประณีต จารึกไว้ด้วยอักขระรูนที่รูเบ็นส์ไม่เคยเห็นมาก่อน มีหินสีขาวก้อนใหญ่ที่ดูเรียบผิดกับส่วนอื่นๆ ของดาบอย่างน่าประหลาดฝังอยู่ที่กึ่งกลางด้าม

    ทว่าสิ่งอันน่าอัศจรรย์ที่สุดเกี่ยวกับดาบเล่มนั้นซึ่งดึงดูดสายตาทันทีด้วยความงดงามเกินจะบรรยาย คือคมดาบที่ใสกระจ่างราวกับน้ำแข็ง และส่องแสงสว่างราวกับเปลวเพลิงสีขาวเจิดจ้า

    แบล็คเพิร์ลเลื่อนนิ้วเรียวงามไปตามรอยอักขระบนด้ามดาบ และคมดาบก็ยิ่งเปล่งประกายจางๆ เป็นการตอบรับ ทำให้รูเบ็นส์อดนึกไม่ได้ว่าดาบเล่มนี้มีชีวิต

    "นี่..." ท่านหญิงเอ่ย "...คือสาเหตุที่อเล็กซ์มาที่นี่ นี่คือสิ่งที่มันตามหาอยู่"


    อเล็กซ์นั่งอยู่ข้างแท่นบรรทมขององค์หญิงฟลอริน่าในยามเที่ยงวัน องค์หญิงบรรทมหลับไปแล้วด้วยฤทธิ์ยาที่เขาให้ไป ส่วนร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มก็กำลังเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย แต่เมื่อผ่านไปพักหนึ่งเขาจะลืมตาขึ้นปรายมองวงพักตร์ขององค์หญิงฟลอริน่าอย่างเงียบๆ เป็นระยะ พระฉวีของพระองค์ยังคงซีดเผือด แต่ก็ดูดีขึ้นจากที่ซีดจนแทบเขียวไร้สีเลือดอย่างน่ากลัวเหมือนเมื่อตอนเช้า

    อเล็กซ์ดูจะนิ่งเงียบ...รอคอย...และรวบรวมพละกำลังสำหรับการเผชิญหน้ากับบางสิ่งหลังจากที่เหนื่อยอ่อนมานาน

    ในที่สุดองค์หญิงฟลอริน่าก็ไหวพระวรกายน้อยๆ แล้วลืมเนตรขึ้น อเล็กซ์รีบโน้มกายมาตรวจอาการทันที ดูท่าเขาจะพอใจกับภาพที่ได้เห็น และถามว่า

    "ฟลอริน่ารู้สึกเป็นยังไงบ้าง"

    ผ่านไปนานทีเดียวกว่าพระองค์จะตรัสตอบ

    "...ไม่รู้สิ..."

    "นั่น..." อเล็กซ์ว่าด้วยเสียงเรียบๆ ที่ไม่หลงเหลือความหวาดกลัวอย่างที่เขารู้สึกเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเมื่อเข้ามาในห้องบรรทมเลย "...สำหรับฟลอริน่าแล้วหมายความว่า 'เรารู้สึกว่าตัวเองใกล้จะตายเต็มทีแล้ว' สินะ ผมมองออกหรอก...ไม่อย่างนั้นผมคงจะหลอกตัวเองให้เชื่อคำพูดของฟลอริน่าไปแล้ว"

    ทว่าองค์หญิงฟลอริน่ามิได้แย้มสรวลกับคำพูดของเขาเลย หลังจากเงียบไปพักหนึ่งพระองค์จึงตรัสขึ้นเบาๆ

    "สงสัยเราคงจะรู้สึกไม่ดีที่ต้องเห็นคนเจ็บมากมายในช่วงสองสามเดือนนี้กระมัง"

    "เห็นจะใช่" อเล็กซ์ตอบรับ "แต่ไม่เป็นไรหรอก อีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว"

    องค์หญิงมิตรัสตอบอันใด และอเล็กซ์ที่รู้ดีว่าไม่พูดต่อจะดีกว่าก็กำลังจะรีบเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทนพอดีเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนจะมีเสียงคนกราบทูลขอให้องค์หญิงฟลอริน่าเตรียมพระองค์สำหรับการเสด็จไปรักษาผู้ป่วย

    อเล็กซ์รีบลุกขึ้นออกไปจากห้องทันทีก่อนจะรีบปิดประตูด้านหลังลง องค์หญิงฟลอริน่าได้ยินเสียงพูดอยู่ด้านนอก...เสียงเบาอย่างกริ่งเกรงของคนนำสารกับเสียงดังแข็งกร้าวของอเล็กซ์ที่ทะเลาะกัน อเล็กซ์ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าองค์คลาริอุสทรงพระประชวรหนักเกินกว่าจะออกไปรักษาคนไข้ได้ในวันนี้ อย่างน้อยต้องรอให้พระอาการของพระองค์ฟื้นตัวขึ้นเสียก่อน จนกระทั่งคนนำสารยอมกลับไปในที่สุด

    แต่ในตอนนี้... องค์หญิงฟลอริน่าตรึกนึก...เมื่อแบล็คเพิร์ลกลับมาแล้ว อเล็กซ์ก็ไม่มีอำนาจจะตัดสินใจ...ไม่มีอำนาจใดๆ เหลืออยู่อีก...

    แต่เมื่อพระองค์พยายามเตือนอเล็กซ์ถึงข้อนี้ อัศวินประจำองค์คลาริอุสก็ขัดขึ้นในทันที

    "ผมรับมือแบล็คเพิร์ลได้น่าองค์หญิง"

    องค์หญิงฟลอริน่านิ่งอึ้งไปด้วยไม่รู้จะแย้งได้อย่างไร

    และไม่นานต่อมา...แบล็คเพิร์ลก็มาถึง

    หญิงสาวก้าวยาวๆ เข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ใบหน้าถมึงทึงเคร่งเครียด ริมฝีปากบางเม้มสนิท ดูยิ่งใหญ่เกรงขามน่าสะพรึงกลัว แต่อเล็กซ์ก็ลุกจากเก้าอี้ข้างแท่นบรรทมหันขวับมาเผชิญหน้ากับเธอในทันที โดยไม่มีทีท่าจะเกรงกลัวท่าทางคุกคามของอีกฝ่ายเลยเพียงนิด

    เขาเตรียมตัวที่จะเผชิญหน้ากับแบล็คเพิร์ลมาแล้ว...ไม่สิ...จริงๆ แล้วเขากระหายอยากที่จะปะทะกับเธอซึ่งๆ หน้าในตอนนี้ให้รู้ผลกันไปเลยเสียด้วยซ้ำ องค์หญิงฟลอริน่าทราบดี และเมื่อทอดพระเนตรมองใบหน้าที่ฉายแววมุ่งมั่นของเด็กหนุ่ม พระองค์ก็พบกับรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากเป็นการทักทายอันไร้คำพูด...ราวกับจะแสดงการท้าทายอย่างบ้าบิ่นที่สุด

    อเล็กซ์...อย่านะ เธอจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ...องค์หญิงได้แต่คำนึงในพระทัยอย่างร้อนรน เธอมาที่นี่ในฐานะคนต่างถิ่น เธอยังไม่เข้าใจหรอกว่าแบล็คเพิร์ลเป็นใคร...มีอำนาจแค่ไหนในอาณาจักรนี้

    แต่พระองค์ก็ทรงทราบดีว่าไม่ว่าจะตรัสอะไรก็ตาม อเล็กซ์ก็จะยังคงทำตามที่เขาตั้งใจมาตั้งแต่ต้นต่อไป...

    แบล็คเพิร์ลหยุดยืนอยู่กลางห้องก่อนจะหันมาทางองค์หญิงฟลอริน่าโดยไม่สนกับรอยยิ้มทักทายของอเล็กซ์ แล้วจับตามององค์หญิงอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่พักใหญ่

    องค์หญิงฟลอริน่าตรัสทักทายให้เต็มเสียงที่สุดที่จะทำได้ และพยายามจะยืดพระวรกายขึ้นตรงต่อหน้าสายตาที่เหมือนจะมองทุกสิ่งให้ทะลุปรุโปร่งไปถึงแก่นของท่านหญิงทั้งที่รู้สึกไม่สบายพระทัยเอาเสียเลย

    คนขี้ขลาด...คนขี้ขลาด...ทรงคำนึงกับองค์เอง เราเป็นแค่คนขี้ขลาดมาตลอด...ได้แต่ทำตามความต้องการของคนอื่นโดยไม่พยายามแม้แต่จะขัดขืนเสียด้วยซ้ำ...

    แบล็คเพิร์ลเอ่ยขึ้นในที่สุด

    "ดูเหมือนองค์หญิงจะทรงพระประชวรนะเพคะ"

    "องค์หญิงก็ทรงพระประชวรมานานแล้วไม่ใช่เหรอท่านหญิงแบล็คเพิร์ล" น้ำเสียงอันดังและห้วนบาดหูของอเล็กซ์ขัดขึ้นในทันใดนั้น

    แบล็คเพิร์ลผินหน้ามาทางเด็กหนุ่ม

    "เพราะอย่างนี้เจ้าถึงได้ห้ามไม่ให้องค์หญิงเสด็จไปรักษาผู้ป่วยโรคผลึกจางในช่วงนี้สินะ" น้ำเสียงของเธอราบเรียบทีเดียว

    หากเป็นคนอื่น คำพูดนี้อาจจะแสดงถึงความเข้าใจและยอมรับเหตุผลได้โดยดุษณี แต่อเล็กซ์ก็สำเหนียกได้ถึงอันตรายที่แฝงอยู่...และกำลังคืบใกล้เข้ามาอย่างเงียบๆ ได้ในทันที

    "ใช่ครับท่านหญิง" เขาตอบพร้อมกับลอบยิ้มน้อยๆ เป็นเชิงท้าทาย

    "แล้วใครกัน..." แบล็คเพิร์ลถามหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง "...ที่มีสิทธิ์ตัดสินว่าความเป็นอยู่ขององค์คลาริอุสสำคัญยิ่งกว่าความเป็นอยู่ของประชาชนที่เจ็บป่วย"

    ดวงตาสีมืดของเธอจับจ้องอเล็กซ์เขม็ง

    "อัศวินแห่งคลาริอุส...บอกมาซิว่าใครมีสิทธิ์ตัดสินความเป็นความตายในอาณาจักรนี้"

    "จะถามไปทำไมกัน" อเล็กซ์ตอบทันควัน "ก็ท่านน่ะสิ...ท่านหญิงแบล็คเพิร์ล"

    แบล็คเพิร์ลยังคงจ้องอเล็กซ์ไม่วางตา องค์หญิงฟลอริน่าที่ทอดพระเนตรมองทั้งสองได้แต่หวาดหวั่นว่าท่านหญิงจะเห็นแววท้าทายในดวงตาของอีกฝ่ายไหม และจะตอบรับคำท้านั้นไหม แต่เมื่อแบล็คเพิร์ลพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของเธอยังคงราบเรียบเยือกเย็นตามเดิม

    "จูมิแห่งอเล็กซานไดรท์ ข้ารู้ดีว่าเจ้าแทรกแซงภารกิจขององค์คลาริอุสเช่นไรในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ท่านหญิงไดอาน่ายังไม่ขัดขวางเจ้าเพราะคิดว่าไม่มีผลเสียอะไรเมื่อยังไม่มีผู้เสียชีวิต แต่จงเข้าใจไว้ว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไปหน้าที่ของเจ้าจะสิ้นสุดลงแล้ว แม้กระทั่งตอนนี้เจ้าก็ยังไม่มีสิทธิ์บังคับการกระทำขององค์คลาริอุสโดยพลการเช่นนี้"

    "ท่านหญิง..." อเล็กซ์ตอบกลับพร้อมกับที่ดวงตาสีเข้มเป็นประกายวาวโรจน์ "ผมรู้วิชาการแพทย์และเคยใช้วิชารักษาผู้ป่วยมาก่อน ผมไม่ได้บังคับการกระทำขององค์คลาริอุสตามพลการในฐานะอัศวินประจำพระองค์ แต่ผมตัดสินจากประสบการณ์ที่เคยเห็นผู้ป่วยหนักใกล้ตายมามากแล้ว...ว่าพระอาการขององค์หญิงฟลอริน่าอยู่ในขั้นวิกฤตแค่ไหน เพราะอย่างนั้นผมในฐานะของหมอถึงได้ห้ามไม่ให้เสด็จออกไปปฏิบัติหน้าที่ ท่านก็ทราบดีไม่ใช่เหรอท่านหญิง...ว่าเวลาขององค์หญิงเหลือน้อยลงทุกที หากผมไม่ห้ามให้พระองค์เสด็จไปรักษาผู้ป่วยแล้ว...ท่านคงได้กลับมาร่วมงานศพแทนเป็นแน่!"

    "ถึงคำพูดของเจ้าจะเป็นจริง..." แบล็คเพิร์ลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบราวน้ำแข็ง "เจ้าก็ยังไม่มีสิทธิ์ใดๆ ที่จะปฏิเสธฎีกาของประชาชนที่ทูลขอให้องค์คลาริอุสเสด็จไปรักษา"

    อเล็กซ์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

    "ถ้าอย่างนั้นผมก็เป็นแค่หมากตัวนึงที่ท่านจับมาวางไว้แทนที่ตัวเองในช่วงที่ไม่อยู่เท่านั้นสินะ" เด็กหนุ่มย้อนถามด้วยเสียงประชดเต็มที่ "ถ้าหากผมทำหน้าที่ปกป้ององค์คลาริอุสไม่ได้ ตำแหน่งที่ท่านมอบให้จะมีไว้เพื่ออะไรกัน ท่านหญิงแบล็คเพิร์ล"

    องค์หญิงฟลอริน่าถึงกับสะดุ้งเฮือก แต่คำตอบของแบล็คเพิร์ลยังคงเยือกเย็นดังเดิม

    "ถูกต้องแล้ว ข้ามอบตำแหน่งให้เจ้า...จูมิแห่งอเล็กซานไดรท์ แต่ไม่ได้มอบอำนาจให้เจ้า อย่าคิดว่าเจ้าจะหลอกข้าได้เลยว่าเจ้าไม่รู้ความจริงข้อนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าฉลาดกว่าที่คิด"

    "งั้นเหรอ" อเล็กซ์ตอบเสียงเย็น "แล้วตำแหน่งที่ท่านมอบให้ใครต่อใครที่นี่ล่ะเป็นแบบนี้หมดหรือเปล่า" เด็กหนุ่มว่าพลางยิ้มหยัน "ทุกๆ คนมีอำนาจตามหน้าที่...แต่ก็ตราบใดที่การกระทำตามอำนาจหน้าที่ของเขาไม่ไปขัดกับความต้องการของท่าน!!"

    แบล็คเพิร์ลถึงกับหน้าถอดสีเมื่อได้ยินคำเหล่านั้น...หากแต่สีหน้าซีดขาวของเธอนั้นหมายถึงความโกรธเคือง เธอไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายที่เป็นเพียงอัศวินต่ำต้อยคนหนึ่งจะกล้าโต้กลับได้อย่างเจ็บแสบเช่นนี้ ครู่หนึ่งที่แววความโกรธฉายวาบในดวงตาสีมืดที่มองอเล็กซ์ด้วยสายตาที่บอกถึงอันตราย แต่แล้วแววนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป

    เมื่อท่านหญิงเอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายนาทีซึ่งอเล็กซ์รออย่างใจเย็นพร้อมกับแค่นยิ้มที่มุมปากอย่างได้ชัยชนะ...น้ำเสียงของเธอก็กลับเย็นชาจนน่าประหลาดใจ

    "ข้าต้องยอมรับว่าเจ้ากล้ามาก อเล็กซานไดรท์ แต่ข้ายังมีอำนาจเหนือกว่าอยู่ดี องค์หญิงฟลอริน่า..." จู่ๆ ท่านหญิงก็หันไปทางองค์คลาริอุสแทน "โปรดเตรียมพระองค์เพื่อเสด็จไปรักษาผู้ป่วยเดี๋ยวนี้เพคะ"

    องค์หญิงฟลอริน่าไหวพระกายราวกับจะขยับไปตามคำสั่ง แต่อารมณ์ที่อเล็กซ์ควบคุมไว้ขาดผึงกับคำประกาศนั้น

    "ไม่นะ!!" เขาขึ้นเสียงในทันที "ท่านทำอย่างนี้ไม่ได้นะแบล็คเพิร์ล!!"

    สีหน้าของแบล็คเพิร์ลยังเรียบเฉย

    "ให้เหตุผลมาซิว่าทำไมข้าถึงทำไม่ได้" เธอย้อนด้วยเสียงแผ่วเบา

    "เพราะว่า..." อเล็กซ์ต้องบังคับตัวเองให้อธิบายอย่างใจเย็นอีกครั้ง "เพราะว่าเมื่อเช้านี้ผมพบว่าพระอาการองค์หญิงทรุดหนักมาก ถ้าเสด็จออกไปใช้อำนาจรักษาในวันนี้ล่ะก็...พระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์ในคืนนี้ คืนนี้นะท่านหญิง!!"

    แบล็คเพิร์ลยืนนิ่งราวกับรูปปั้น จ้องมองอเล็กซ์ด้วยสีหน้าที่ไม่มีใครอาจมองออก แต่องค์หญิงฟลอริน่าเริ่มเข้าใจทุกสิ่งอย่างกระจ่างในทันใด

    เธอคิดจะใช้เราเป็นจุดอ่อนของอเล็กซ์...พระองค์คิด เธอจะให้อเล็กซ์ยอมก้มหัวให้ได้...เธอยอมรับคำท้าของอเล็กซ์เสียแล้ว!

    หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง...ซึ่งสีหน้าของอเล็กซ์ที่มองแบล็คเพิร์ลอยู่ด้วยสายตาวิงวอนเริ่มซีดลง ท่านหญิงจึงได้เอ่ยขึ้น

    "เจ้า...จูมิแห่งอเล็กซานไดรท์ที่กล้าดีถึงขนาดวิพากษ์วิจารณ์อำนาจหน้าที่ของข้า...น่าจะรู้ดีว่าไม่มีทางหยุดข้าได้นี่ ข้าได้รับฟังความเห็นของเจ้าในเรื่องนี้แล้ว...และข้าเลือกที่จะเพิกเฉย" คำพูดที่กัดใจลึกๆ ของเธอราวกับตอกย้ำชัยชนะเหนืออีกฝ่าย และดูดกลืนพละกำลังของฝ่ายตรงข้ามไปเสียสิ้น "เจ้าไม่มีอำนาจจะขัดขืนการตัดสินใจของข้า...จูมิแห่งอเล็กซานไดรท์"

    สีหน้าของอเล็กซ์ยิ่งซีดเผือดด้วยความโกรธ

    "ถึงอย่างนั้น..." เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบได้อย่างน่าประหลาด "ผมก็ยังเห็นว่าท่านเป็นคนที่มีเหตุผล...ว่าพระพลานามัยขององค์หญิงฟลอริน่าสำคัญต่ออาณาจักรมาก...เพราะอย่างนั้นเราถึงจะเสียพระองค์ไปไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกเหรอท่านหญิง"

    องค์หญิงฟลอริน่าได้แต่คิดอย่างจนพระทัย

    เขากำลังปั่นหัวเธออยู่นะอเล็กซ์...ไม่เข้าใจเลยหรือ เขาคิดจะทรมานจิตใจเธอ...สั่งสอนให้เธอรู้ว่าอย่าล้ำเส้น เขารู้ว่าเธอเชื่อว่าเขาจะทำอย่างนั้นจริงๆ แน่...เพราะคลาริอุสองค์อื่นๆ เคยสิ้นพระชนม์มาแล้ว...องค์หญิงคำนึงอย่างเศร้าสร้อย เพราะเรา...เพราะอเล็กซ์เป็นห่วงเราถึงได้เป็นแบบนี้...เพราะความกลัวว่าเราจะเป็นอันตราย อเล็กซ์ถึงได้ขุดหลุมฝังตัวเองอย่างนี้...

    พระองค์พยายามที่จะสบตากับอเล็กซ์...เพื่อบอกความนัยนั้นให้รู้ แต่เด็กหนุ่มกลับจดจ่ออยู่กับแบล็คเพิร์ลเพียงคนเดียวเท่านั้น

    คำตอบของแบล็คเพิร์ลต่อคำโต้ของอเล็กซ์คราวนี้เย็นราวกับน้ำแข็ง

    "ที่มีอำนาจในอาณาจักรแห่งนี้ไม่ใช่เหตุผลของเจ้า แต่เป็นเหตุผลของข้า จงเรียนรู้ที่จะรับความจริงข้อนี้เสีย จูมิแห่งอเล็กซานไดรต์ ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น"

    "สามวัน..." อเล็กซ์พูดพร้อมกับกัดฟันกรอด "ขอเวลาให้องค์หญิงอีกสามวันเถอะท่านหญิงแบล็คเพิร์ล ขอแค่สามวันเท่านั้น!!"

    แบล็คเพิร์ลเพียงแต่โบกมือเรียบๆ เป็นทั้งเชิงปฏิเสธและตัดบท

    ในทันใดนั้นอเล็กซ์ก็ก้าวยาวๆ ตรงเข้ามาหาแบล็คเพิร์ลเหมือนกับคิดจะลงมือทำร้าย แบล็คเพิร์ลขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ยังยืนนิ่งตระหง่านดังเดิมปล่อยให้เด็กหนุ่มเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้า

    ตาต่อตาประสานกันนานนับ...ก่อนที่อเล็กซ์จะทรุดลงคุกเข่าข้างหนึ่ง

    "ได้โปรดเถอะครับท่านหญิง" เขาเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา "ให้เวลาองค์หญิงอีกสักนิดเถอะ ผมขอโทษสำหรับคำพูดทั้งหมดที่ผมหลุดปากไปโดยไม่ทันคิด ผมใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลไปจริงๆ ท่านคงจะทราบว่าความกลัวทำให้คนเราโง่เขลาขึ้นมาได้"

    ความเงียบงันยังคงดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลจ้องมองศีรษะของอเล็กซ์ที่ก้มลงอย่างไม่วางตา เธอไม่อาจเห็นหน้าของเด็กหนุ่มได้ แต่คำพูดกับน้ำเสียงของเขานั้นขอการให้อภัยอย่างกระจ่างชัดและกล้าหาญ มิใช่พูดอย่างขอไปที

    องค์หญิงฟลอริน่าทราบดีว่ากริยาเช่นนี้เป็นที่ชื่นชอบของแบล็คเพิร์ลนัก

    แม้กระนั้น แบล็คเพิร์ลก็ยังไม่พูดอะไร อเล็กซ์จึงยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

    "ผมได้ปฏิญาณว่าจะทำทุกอย่างที่มีเพื่ออาณาจักรแห่งนี้นะครับท่านหญิง เพราะอย่างนี้ผมถึงได้ตั้งใจที่จะรักษาพระชนม์ชีพขององค์หญิงฟลอริน่าให้ถึงที่สุด หากสิ้นพระองค์แล้วจะเป็นผลดีต่ออาณาจักรได้อย่างไร กระทั่งท่านหญิงคงจะยอมรับความจริงข้อนี้"

    "ข้ายอมรับ" ในที่สุดแบล็คเพิร์ลก็ตอบด้วยเสียงเรียบๆ

    อเล็กซ์ผงกศีรษะรับทั้งที่ยังคงก้มหน้าไว้อย่างระแวดระวัง ถึงแม้รอยยิ้มน้อยๆ จะปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก หากเป็นคนส่วนมากคงเห็นว่านั่นเป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความโล่งอก แต่องค์หญิงฟลอริน่าทรงมองออกว่า...นั่นเป็นรอยยิ้มแห่งชัยชนะของอเล็กซ์ และพระองค์ก็ได้แต่ลอบถอนพระทัยอยู่ภายใน

    อเล็กซ์ไม่เคยเปลี่ยนเลย แม้จะแพ้การท้าทายแต่ก็ยังคาดหมายที่จะชนะ

    หรือว่า...องค์หญิงคำนึง ยังมีอะไรที่เราไม่รู้อีก...

    ไม่มีใครที่จะหยั่งได้ว่าอเล็กซ์คิดจะทำอะไรต่อไป

    "ผมสาบานว่าจะยอมทุ่มเททุกสิ่งที่มีเพื่อองค์หญิงฟลอริน่า...เพื่ออาณาจักรนี้" อเล็กซ์เอ่ยเบาๆ

    แล้วก็เหมือนเดิม...องค์หญิงฟลอริน่าคำนึงต่อ บอกความจริงไปเพียงครึ่งๆ กลางๆ เพื่อปิดบังเรื่องเท็จทั้งหมดไว้

    ความนิ่งเงียบยังคงอยู่ไปอีกนาน แบล็คเพิร์ลจับตามองอเล็กซ์อย่างใกล้ชิดด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยราวกับหน้ากาก ขณะที่เด็กหนุ่มยังคุกเข่านิ่งอยู่เช่นนั้น ศีรษะก้มลงต่ำอย่างนอบน้อมราวกับกำลังรอรับคำพิพากษา

    ในที่สุดแบล็คเพิร์ลจึงได้ก้าวเข้ามาชิดอเล็กซ์ ก่อนจะโน้มกายลง...ใช้นิ้วดันคางให้เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับเธอ

    "น่ารักจริงนะอเล็กซ์..." หญิงสาวเอ่ยเบาๆ พร้อมกับที่รอยยิ้มอ่อนๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก "ไม่สิ...คำว่าน่ารักยังน้อยเกินไปสำหรับใบหน้าสวยๆ นี้ด้วยเสียล่ะมั้ง แต่อย่าเสียเวลาปั้นคำพูดสวยหรูมาหลอกข้าเลย เพราะข้ามองเจ้าออกมานานแล้ว แต่ข้าต้องขอชมเชยเจ้า...ที่เคยทำให้ข้าประมาณความสำคัญของเจ้าผิดไปได้"

    อเล็กซ์นิ่งเงียบ ดวงตาที่เป็นประกายวาวสบตอบกับดวงตาที่มืดสนิทราวกับหลุมดำของแบล็คเพิร์ลอย่างเรียบๆ กล้ามเนื้อทุกเส้นบนใบหน้าเครียดเขม็งไม่มีการขยับ...เพราะหากแสดงท่าทีร้อนรนออกมาเมื่อใดก็เท่ากับยอมรับว่าตนมีความผิดจริงตามที่ถูกกล่าวหาเท่านั้น

    ท่านหญิงพูดต่อไปด้วยเสียงแผ่วเบา

    "ยังไม่ต้องห่วงไป ข้าไม่คิดจะเผยตัวจริงของเจ้าหรอก หากทำเช่นนั้นก็จะเท่ากับประจานความสะเพร่าของสภาในการตรวจสอบผู้เข้าเป็นอัศวินน่ะสิ ส่วนอัศวินลาปิสลาซูลี่..." เงาดำฉายวาบผ่านดวงตาของหญิงสาว "ข้ายอมรับว่าข้าเคยมองข้ามมันไปเช่นกัน...ในฐานะกบฏต่อแผ่นดินที่ต้องถูกกำจัดก่อนจะก่อเรื่องร้ายแรงขึ้นมา"

    แบล็คเพิร์ลปล่อยมือจากคางของอเล็กซ์ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาทรงอำนาจราวกับประกาศิตนางพญา ทีท่าการยอมรับอเล็กซ์ในฐานะผู้ท้าทายที่เท่าเทียมกันอันตรธานหายไปสิ้น

    "เจ้า...อเล็กซานไดรท์...จงไปที่หอประชุมพรุ่งนี้ตอนเที่ยงตรงเพื่อเข้าร่วมพิธีการส่งมอบตำแหน่ง หากไม่ยอมไปปรากฏตัวตามเวลานั้นเจ้าจะถูกปลดจากการเป็นอัศวินฐานขัดคำสั่ง เข้าใจหรือไม่"

    "เข้าใจขอรับท่านหญิง" อเล็กซ์ตอบรับในที่สุดด้วยเสียงแผ่วเบาจนเป็นพึมพำ

    "องค์หญิงฟลอริน่าเพคะ" แบล็คเพิร์ลกล่าวสืบต่อพร้อมกับหันมา "พระราชภารกิจของพระองค์จะเริ่มขึ้นตามปกตินับแต่พรุ่งนี้...ในทันทีที่หม่อมฉันคืนสู่ตำแหน่งอีกครั้ง จากนั้นอเล็กซ์จะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพระองค์อีก"

    "ค่ะท่านหญิง" องค์หญิงฟลอริน่าตรัสตอบด้วยเสียงแผ่วเบาเช่นกัน

    เมื่อนั้นเองแบล็คเพิร์ลจึงได้หันกลับไปก่อนจะตรงไปที่ประตูโดยไม่แม้แต่จะชายตามองอเล็กซ์อีก

    ทันทีที่เธอจากไป อเล็กซ์ก็ผุดลุกขึ้นปราดไปปิดประตู ก่อนจะเริ่มเดินวนรอบห้องพร้อมกับขมวดคิ้วเคร่งเครียด องค์หญิงฟลอริน่าได้แต่ทอดพระเนตรเด็กหนุ่มที่เดินไปพลาง กัดปลายนิ้วไปพลาง อยู่ในห้วงความคิดอย่างกังวล

    ในที่สุดเขาก็หยุดเดินแล้วหันมาทางองค์หญิงฟลอริน่า

    "ต้องเลื่อนมาเป็นคืนนี้แล้ว" เขาพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม "พรุ่งนี้เที่ยงจะสายเกินไป"

    "เร็วขนาดนั้นเชียวเหรอ" องค์หญิงตรัสถามเสียงแผ่ว "อเล็กซ์..."

    แต่อเล็กซ์ยกมือขึ้นห้ามคำพูดของพระองค์ไว้

    "โชคดีที่ผมเตรียมการทุกอย่างล่วงหน้าไว้ คนของผมกำลังรออยู่นะฟลอริน่า ผมบอกให้พวกเค้าพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉินไว้แล้ว เดี๋ยวพวกเค้าจะทำร่องรอยปลอมล่อให้พวกที่ตามล่าเราไปผิดทางเอง ดีที่ผมได้เป็นอัศวินประจำองค์คลาริอุสนะ..." เขาเสริมพร้อมกับยิ้ม "ไม่อย่างนั้นผมคงจะผ่านพวกทหารยามที่ประตูไปได้ไม่ง่ายนัก ผมจะบอกพวกนั้นว่าจะออกไปเก็บสมุนไพรมาทำยาให้ฟลอริน่าอีก แล้วผมก็เอาหีบใบใหญ่นี่ติดตัวไปด้วยหลายครั้งจนพวกทหารจำได้แล้ว คงไม่ทันสงสัยว่าคราวนี้ฟลอริน่าจะซ่อนอยู่ข้างใน"

    เด็กหนุ่มหัวเราะสั้นๆ

    สายพระเนตรขององค์หญิงฟลอริน่าทอดลงต่ำ

    "เธอไม่ควรจะทำอย่างนี้...ไม่ควรจะพูดกับแบล็คเพิร์ลแบบนี้เลยนะอเล็กซ์ ยอมทำตามคำสั่งของเขาเสียเถอะ อย่างน้อยเขาจะได้หายสงสัยในตัวเธอ..."

    หากดวงตาสีเขียวของอเล็กซ์กลับเป็นประกายสดใส

    "แต่ผมสนุกกับทุกวินาทีของการปะทะคารมเลยนะ ที่รัก! ผมอาจจะไม่มีโอกาสอื่นที่จะได้พูดความคิดของตัวเองออกมาอย่างนี้อีกแล้วก็ได้ อย่างน้อยก็แสดงให้หล่อนได้เห็นว่ามีคนที่กล้าที่จะพูดความเห็นของตัวเองออกมาในเมืองนี้เหมือนกัน ถึงหล่อนจะไม่แสดงออกแต่เชื่อเถอะว่าได้ผล แค่หินก้อนเดียวที่ขว้างออกไปบางครั้งก็ทำให้เกิดหิมะถล่มขึ้นมาได้ ถ้าคำพูดของผมแทงใจดำหล่อนได้ล่ะก็...แสดงว่าผมเป็นฝ่ายชนะ"

    "เขาพยายามที่จะปั่นหัวเธอนะ อเล็กซ์" องค์หญิงตรัสเบาๆ "ที่ขู่ว่าจะให้เราไปรักษาในวันนี้ เขาไม่ทำจริงๆ หรอก"

    "ผมยอมรับล่ะ" อเล็กซ์ว่าพร้อมกับยิ้มเหมือนจะหยันตนเอง "ว่าตอนนั้นหล่อนทำเอาผมหัวเสียจริงๆ ไปเหมือนกัน ผมไม่คิดเลยว่าหล่อนจะทำถึงขนาดบังคับให้ฟลอริน่าไปทั้งๆ ที่เห็นได้ว่านอนซมอยู่แบบนี้ แล้วคลาริอุสองค์ที่ผ่านๆ มาก็ตายเพราะหล่อนทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ" ดวงตาของเขากลับเป็นมืดมนอีกครั้ง "นังนั่นแย่งเอลาซัลไปจากผมแล้ว...ยังคิดจะพรากฟลอริน่าไปอีก ผมไม่ปล่อยให้หล่อนทำอย่างนั้นได้หรอก!"

    องค์หญิงฟลอริน่าที่ทรงนึกถึงคำพูดของแบล็คเพิร์ลขึ้นมาได้ตรัสอย่างกริ่งเกรง

    "เอลาซัล...เราต้องเตือนเขานะอเล็กซ์"

    อเล็กซ์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น

    "เอลาซัลดูแลตัวเองได้น่าที่รัก ไม่ต้องห่วงหรอก" เขายักไหล่น้อยๆ "หล่อนไม่สั่งประหารเขาหรอก...แต่ถ้าประหารผมล่ะไม่แน่"

    เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงฝืดเฝือ

    "ผมหมดธุระกับที่นี่แล้ว แต่เอลาซัลยังหลงนังผู้หญิงนั่นซะจน..."

    แต่เขาก็ทิ้งค้างไว้แค่นั้น ก่อนจะหันหน้าไปทางองค์หญิงฟลอริน่าด้วยสีหน้าสดใสบอกความรื่นรมย์ตามปกติวิสัย

    "ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเอลาซัลอยากมา...เดี๋ยวเขาก็ตามมาเองล่ะ"

    องค์หญิงทรงพระสรวลน้อยๆ

    "แล้วเอลาซัลจะมาตามใครกันล่ะ"

    "ถามทำไมเล่าฟลอริน่า" อเล็กซ์ตอบอย่างร่าเริง "ก็ตามเราทั้งสองคนน่ะสิ"

    องค์หญิงฟลอริน่าทรงพระสรวลสั่นๆ อีกครั้ง

    "แต่เรากลัวนะอเล็กซ์ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอล่ะก็..."

    อเล็กซ์ใช้ปลายนิ้วแตะลงบนปรางค์นวลอย่างหยอกเย้า

    "ไม่เอาน่าฟลอริน่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผมหรอก ไม่รู้สึกตื่นเต้นบ้างเลยเหรอที่จะได้ออกจากเมืองนี้ไปสู่โลกภายนอกเสียที"

    "โลกภายนอกเหรอ..." องค์หญิงพึมพำแผ่วๆ "วันหนึ่ง...ตอนที่เรายังเล็กอยู่...เราเคยออกไปที่กำแพงเมือง แล้วได้เห็นส่วนหนึ่งของโลกภายนอกเมื่อนานมาแล้ว..."

    อเล็กซ์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับจับตามองอีกฝ่าย

    "งั้นเหรอ แล้วเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นล่ะ"

    รอยแย้มสรวลขององค์หญิงฟลอริน่ากลับดูเศร้ายิ่งนัก

    "ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก แต่เราจำวันนั้นได้ดี เพราะหลังจากนั้นไม่กี่วัน...เสด็จแม่ก็สิ้นพระชนม์"


    ยามบ่ายวันเดียวกันนั้น เอลาซัลก็ถูกแบล็คเพิร์ลเรียกตัวไปพบ

    ถึงจะรู้มานานว่าท่านหญิงกลับมาแล้ว เขาก็ยังไม่ได้พบเธอเลย และชายหนุ่มก็ยิ่งโกรธตนเองเมื่อพบว่าหัวใจของเขาเริ่มเต้นระรัว ทั้งกายเย็นวาบเมื่อนึกว่าจะได้พบกับเธออีกครั้ง แม้เขาจะพยายามคิดด้วยเหตุผลว่าการที่แบล็คเพิร์ลเรียกพบเขาเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ไม่เป็นการดีแน่ เพราะเขารู้แล้วว่าสาเหตุคือเรื่องอะไร

    ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่แปลกใจเลยกับสิ่งที่แบล็คเพิร์ลเอ่ยเป็นคำแรก

    "อัศวินลาปิสลาซูลี่ ข้ารู้มาว่าเจ้าปฏิเสธผู้พิทักษ์ที่สภาเสนอให้โดยไม่มีเหตุผลสมควรใช่หรือไม่"

    "ผมปฏิเสธจริงครับท่านหญิง แต่ผมมีเหตุผลของผม" เอลาซัลตอบพร้อมกับก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนสีเรื่อบนแก้ม ขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องเล็กห้องเดียวกับที่แบล็คเพิร์ลเรียกพบรูเบ็นส์เมื่อเช้า

    เมื่อได้พบเธอเขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับก้มศีรษะแสดงความเคารพตามแบบของอัศวินในทันทีแม้จะยังรู้สึกเหมือนกับพูดอะไรไม่ออกขึ้นมาในทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ...ทั้งไม่สบายใจและทำอะไรไม่ถูกเหมือนกับครั้งแรกพบเมื่อหลายเดือนที่แล้ว

    แม้กระนั้นชายหนุ่มก็ยังต้องการจะเข้าใกล้...และได้ครอบครองความงามอันไร้ที่ติซึ่งราวกับจะเปล่งประกายได้ของหญิงสาวเจ้าของวิญญาณอันเย็นชาไร้ความรู้สึกใดๆ เช่นนี้

    ทั้งๆ ที่รู้อย่างนั้นแล้วเขาก็ยังต้องการเธออย่างนั้นหรือ...เอลาซัลถามตนเอง ถ้าในตอนนี้เธอโผเข้ามาหาเขาแล้วบอกว่ารู้สึกแบบเดียวกับเขาล่ะก็...เขาคงจะตอบสนองโดยไม่ยั้งคิดเลยด้วยซ้ำ ชายหนุ่มยังรู้สึกได้ถึงประกายแสงอันริบหรี่ที่ส่องสลัวอยู่ภายใต้ความเย็นชานั้น แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่ามันมีอยู่จริง...หากไม่มีโอกาสใกล้ชิดเธอพอที่จะรู้ได้เช่นนี้

    เสียงของแบล็คเพิร์ลดังขึ้นขัดความคิดเรื่อยเปื่อยของเขาราวกับสาดน้ำเย็นใส่หน้าเต็มๆ

    "อธิบายให้ข้าเข้าใจซิ" เธอถาม "ว่าทำไมเจ้าถึงได้ปฏิเสธผู้พิทักษ์ที่สภาเสนอมาให้"

    เอลาซัลนิ่งเงียบไปเพราะไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไรดี นอกจากคำตอบที่ว่า...เขาไม่ต้องการผูกสัมพันธ์กับผู้พิทักษ์คนไหนทั้งนั้น แต่เขาก็เข้าใจดีกว่าท่านหญิงไม่รับฟังคำตอบนี้แน่

    "ข้อเสนอนี้ดีมากมิใช่รึ" แบล็คเพิร์ลว่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบดังชัดเจน "เด็กสาวคนนี้นับว่ามีความสำคัญมาก เพราะเธออาจจะได้ดำรงตำแหน่งองค์คลาริอุสในอนาคตก็เป็นได้ จงให้เหตุผลมาซิว่าทำไมเจ้าจึงได้ปฏิเสธข้อเสนอของไดอาน่า...อัศวินลาปิสลาซูลี่"

    เอลาซัลที่ยังก้มหน้าลงต่ำไม่ตอบว่าอะไร

    หรือว่านี่จะเป็นความคิดของท่าน...เขานึกสงสัยขึ้นมาในทันใด...ไม่ใช่ความคิดของท่านหญิงไดอาน่า นี่ท่านอยากจะกำจัดผม...เพราะเห็นว่าผมหลงรักท่านจนหน้ามืดตามัวอย่างนั้นเหรอ

    ชายหนุ่มรู้สึกโกรธวาบขึ้นมาในทันที แต่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสู้ดวงตาสีมืด

    แบล็คเพิร์ลจับตามองท่าทีของเขาก่อนจะพูดต่อ

    "ข้าขอบอกให้เข้าใจไว้ก่อนนะ อัศวินลาปิสลาซูลี่ ไดอาน่าฝากให้ข้ามาบอกว่า...เธอยื่นคำขาดไว้แล้วว่าจะไม่ยอมให้เจ้าอยู่ในนครนี้อีกต่อไปหากยังทำตามใจตนเองอยู่เช่นนี้ หากเจ้าปฏิเสธข้อเสนอนี้อีกล่ะก็...เจ้าอาจจะถูกเนรเทศจากอาณาจักรก็เป็นได้"

    ดวงตาสีฟ้าของเอลาซัลเลื่อนขึ้นจับภาพของแบล็คเพิร์ลอย่างไม่อยากจะเชื่อ แววขมขื่นที่ซ่อนไว้ไม่อยู่ปรากฏชัด แต่เขาไม่สนใจจะปิดบังอีกแล้ว

    "ทำไม..." ชายหนุ่มเค้นเสียงถามออกมาอย่างยากลำบาก "ทำไมถึงได้ตัดสินโทษผมแบบนี้...ท่านหญิงแบล็คเพิร์ล" น้ำเสียงของเขาในตอนนี้สั่นพร่าด้วยความโกรธเคือง "ผมยังไม่ได้ทำผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ!!"

    "อย่ามาทำเป็นไขสือกับข้าเลย อัศวินลาปิสลาซูลี่" แบล็คเพิร์ลตอบด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นราวน้ำแข็ง "ข้าเกลียดการหลอกลวงยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น"

    เอลาซัลสะดุ้งเฮือกกับคำพูดของเธอก่อนจะก้มหน้าลงอีกครั้งพร้อมกับเม้มปากสนิทไม่พูดตอบ เขาเข้าใจในทันทีว่าเธอรู้เรื่องที่เขาเคยทำลงไปแล้ว...และความคิดของเขาก็พลันเลื่อนไปถึงอเล็กซ์

    "ถ้านับความผิดที่เจ้าทำลงไปแล้ว...ข้าคิดว่าไดอาน่ายังใจดีเกินไปด้วยซ้ำที่มอบข้อเสนอดีๆ ให้เจ้าแบบนี้"

    "ไม่!" เอลาซัลตอบเบาๆ "ท่านบังคับให้ผมรับข้อเสนอบ้าๆ นี่ไม่ได้หรอก เพราะผมคิดจะไปจากเมืองด้วยตัวเองอยู่แล้ว!"

    แบล็คเพิร์ลนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งขณะที่จับตามองเอลาซัล ก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้ๆ เขาแล้วเอ่ยขึ้น

    "เงยหน้าขึ้นมองข้าซิ...อัศวินลาปิสลาซูลี่ แล้วจงฟังเรื่องที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ให้ดี"

    ชายหนุ่มทำตามคำสั่งทั้งที่รู้สึกว่าตนเองอ่อนปวกเปียกขึ้นมาในทันที ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงก่ำภายใต้สายตาอันเครียดเขม็งของอีกฝ่าย

    "อาณาจักรแห่งนี้ขึ้นอยู่กับดุลแห่งอำนาจนะเอลาซัล" แบล็คเพิร์ลเอ่ยเบาๆ "กฎเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติทั้งมวลอยู่ในความควบคุมของรัฐสภา และถ้าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก...อำนาจในการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับคนสามคน คือไดอาน่า รูเบ็นส์ และข้าเท่านั้น รูเบ็นส์พยายามจะใช้พระคุณเสมอ ไดอาน่าบางครั้งก็ใช้พระคุณ...บางครั้งก็ใช้พระเดชตามแต่สถานการณ์ ส่วนข้า...ใช้เพียงพระเดชอย่างเดียวเท่านั้น"

    รอยยิ้มที่ท่านหญิงมอบให้เขาช่างดูเหิ้ยมเกรียม ทำให้สีหน้าของเอลาซัลยิ่งจัดขึ้น เขาไม่เคยเห็นแบล็คเพิร์ลยิ้มมาก่อนเลย...และพบว่ามันชวนให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างประหลาด

    "เจ้าทำให้อัศวินต้องเสื่อมเกียรติ..." เธอกล่าวสืบต่อ "และการกระทำของเจ้านั้นเทียบได้กับการเป็นกบฎต่อแผ่นดิน บทลงโทษของความผิดของเจ้าคือการถูกเนรเทศชั่วคราว แต่รูเบ็นส์ก็ขอให้ไดอาน่าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เธอตอบตกลง...โดยมีเงื่อนไขบางอย่าง แต่หากเจ้าปฏิเสธเงื่อนไขของเธอ...การตัดสินชะตาของเจ้าจะตกอยู่ในมือของข้าเพียงผู้เดียว"

    เธอหันไปที่หน้าต่าง ปลดปล่อยเอลาซัลจากสายตาคมกริบ และรอยยิ้มที่สลายหายไป ทว่าคำพูดของเธอยังคงเชือดเฉือนให้แสบปลาบราวกับคมแส้

    "เงื่อนไขของไดอาน่าเจ้าก็คงรู้อยู่แล้ว...คือเจ้าต้องรับข้อเสนอเป็นอัศวินของเด็กสาวคนนั้น หากเจ้าปฏิเสธ...แต่ยังอยากจะอยู่ในเมืองนี้โดยไม่ถูกเนรเทศออกไปให้อัปยศ ข้าจะเป็นคนควบคุมความประพฤติของเจ้าทั้งหมด เจ้าจะออกจากเมืองไม่ได้โดยไม่มีคำอนุญาต ต้องทำตามคำสั่งของข้า และรายงานความประพฤติทุกอย่างของเจ้าให้ข้าฟัง อย่างนี้ตลอดไปจนกว่าข้าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง"

    เอลาซัลกำมือเป็นหมัดแน่น แทบควบคุมอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมาไม่อยู่

    "ทุกอย่างที่ท่านพูดมา...มีแต่จะหยามผมทั้งนั้น!"

    "แล้วเจ้ายังจะปฏิเสธอีกหรือ" หญิงสาวถามเสียงเย็นกว่าเดิมเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ในน้ำเสียงของเขา

    "ครับ" เอลาซัลเงยหน้าขึ้นมองเธอทั้งที่ดวงตาเป็นประกายวาบด้วยความโกรธเคือง "ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอท่านหญิง ว่าผมจะออกจากเมืองไปเสียเฉยๆ แบบนี้แหละ จะสั่งเนรเทศหรืออะไรผมก็ได้!" เขารีบพูดอย่างรวดเร็วทั้งที่ทรวงอกสั่นสะท้าน "ผมจะรับโทษนั้นเองไม่ว่าจะผิดอะไรก็ตาม!!"

    "อย่าได้คิดว่าพวกเราโง่เง่านัก" แบล็คเพิร์ลตอบกลับ พร้อมกับที่รอยยิ้มดังเดิมปรากฏที่มุมปากอีกครั้ง "การเนรเทศชั่วคราว...สำหรับเจ้าที่พเนจรไปในโลกภายนอกถึงสิบปีคงไม่มีความหมายอะไรเสียด้วยซ้ำ อัศวินลาปิสลาซูลี่เอ๋ย...หากเจ้าปฏิเสธเงื่อนไขของเราแล้วออกจากเมืองไปโดยพลการ เจ้าก็จะไม่มีสิทธิ์กลับมาอาณาจักรนี้อีกไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม!"

    เอลาซัลได้แต่ต้องมองหญิงสาวเขม็ง นิ่งอึ้งไปกับคำประกาศนั้น

    ในห้วงคำนึงของเขาปรากฏภาพถนนหนทางอันกว้างใหญ่ของนครแห่งอัญมณี หอคอยสูงเสียดฟ้าที่ส่องประกายสีรุ้งด้วยเพชรพลอยที่ถูกฝังประดับอย่างมากมาย สถานที่ที่เขาเติบโตและคุ้นเคยมาแทบทั้งชีวิต...ที่ที่เขาทั้งชังและรักพอกัน

    แล้วยังชาวเมือง...คนกลุ่มเดียวกับเขา คนที่เขารู้จัก...ทั้งรูเบ็นส์...แซฟไฟร์...เอสเมอรัลด้า...

    และคนที่เขารักและเป็นห่วงยิ่ง...อย่างอเล็กซ์กับองค์หญิงฟลอริน่า

    ชายหนุ่มเหลือบมองแบล็คเพิร์ลเพียงครู่พร้อมกับความคิดที่ว่า...หญิงตรงหน้านี้กำลังบอกว่าเขาจะไม่มีสิทธิ์จะได้กลับบ้าน และได้พบกับคนที่เขารักอีกอย่างนั้นหรือ

    เขาก้มหน้าลงอีกครั้ง ดวงตาฉายแววเศร้าหมองเมื่อนึกถึงเวลานานหลายปีที่ต้องเร่ร่อนไปในหมู่มนุษย์อย่างเดียวดาย...ไม่มีวันได้หวนคืนมาอีก เพราะเขาไม่สงสัยเลยว่าประกาศิตของแบล็คเพิร์ลนั้นจะยังถูกสืบทอดต่อไปยังผู้ปกครองคนต่อไปด้วย

    ถึงไม่เป็นเช่นนั้น...เวลานับหลายสิบปี...อาจถึงร้อยปีที่เขาต้องเผชิญในระหว่างถูกเนรเทศก็ยังยาวนานเหลือคณานับจนแทบทนไม่ไหว

    แบล็คเพิร์ลเอ่ยขึ้นเบาๆ เหนือร่างของเขา

    "คำตอบของเจ้าคืออะไร อัศวินลาปิสลาซูลี่"

    เอลาซัลได้แต่บังคับตนเองให้ตอบด้วยเสียงที่แผ่วเบาที่สุด เพื่อปิดบังความโศกเศร้าและความเจ็บปวดในน้ำเสียงไว้

    "ผม...ขอกลับไปคิดดูก่อนครับท่านหญิง...ขอเวลาอีกสามวัน"

    "เช่นนั้นเจ้าจะได้สามวันตามที่ขอ" แบล็คเพิร์ลตอบ

    เอลาซัลลุกขึ้นยืน ค้อมศีรษะเป็นเชิงคำนับ ก่อนจะออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวกลับมามองหญิงสาวอีกแม้เพียงครั้ง


    เมื่อกลับถึงที่พักในคืนนั้น อเล็กซ์ก็ต้องแปลกใจที่ได้พบเอลาซัลนั่งรอเขาอยู่

    เด็กหนุ่มตั้งใจจะกลับมาเพียงเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะไปเตรียมการขั้นสุดท้ายสำหรับแผนการเท่านั้น แต่เมื่อเห็นอย่างนี้เขาคงต้องอยู่นานกว่าที่คิดเสียแล้ว...

    เพราะนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขามีโอกาสพบกับเอลาซัลก็เป็นได้ ถึงเขาจะอดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรกันทำให้เอลาซัลมาหาเขาถึงนี่

    เด็กหนุ่มมองออกในทันทีว่าเอลาซัลมีเรื่องที่ต้องการจะปรึกษากับเขา และเขาก็ไม่แปลกใจเลยเมื่อรู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับแบล็คเพิร์ล...

    น่าขำสิ้นดี...อเล็กซ์คิดอย่างขื่นๆ ตอนนี้เรากลับเป็นหนี้นังผู้หญิงนั่นที่ทำให้เราได้พบเอลาซัลเป็นครั้งสุดท้ายแบบนี้

    เขาถามเอลาซัล

    "เกิดอะไรขึ้นเหรอเอลาซัล"

    เอลาซัลนิ่งเงียบไปพักใหญ่ขณะที่พยายามจะควบคุมความรู้สึกของตนเองไว้ เขาอยากจะระบายทุกสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจให้อเล็กซ์ฟังให้หมด แต่เขาก็ยังกลัวการตอบรับจากอเล็กซ์...กลัวว่าอีกฝ่ายจะยิ่งพูดยอกย้อนให้เขาต้องเจ็บใจหนักไปกว่าเดิม

    ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าอารมณ์ของอเล็กซ์ในตอนนี้เป็นอย่างไร เพราะเด็กหนุ่มดูจะเยือกเย็นอย่างประหลาด สีหน้าเรียบเฉยทว่าดวงตาเป็นประกายสดใสเหมือนกับที่เป็นอยู่เนืองนิจ

    ถ้าเป็นเวลาปกติเอลาซัลคงนึกแปลกใจขึ้นมา...เพราะเขารู้ว่าการที่แบล็คเพิร์ลกลับมามีแต่จะเป็นปัญหากับอเล็กซ์เท่านั้น และท่านหญิงก็บอกเขาแล้วว่ารู้ความจริงเรื่องอเล็กซ์

    แต่ความเจ็บปวดในใจกับความกังวลที่เขาได้รับจากการพบแบล็คเพิร์ลทำให้เขาลืมนึกไปเสียสิ้น เอลาซัลยังไม่เชื่อว่าจะเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นกับอเล็กซ์ เพราะแบล็คเพิร์ลคงไม่ยอมให้มีการเปิดโปงเรื่องนี้ขึ้นแน่ เธอคงจะจำใจปล่อยอเล็กซ์ไว้แบบนี้...อย่างน้อยก็จนกว่าจะหาวิธีจัดการเขาได้โดยไม่ต้องเปิดโปงความจริง เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้น แต่เอลาซัลต้องรีบตัดสินใจก่อนภายในเวลาสามวันที่มีอยู่

    ชายหนุ่มเล่าให้อเล็กซ์ฟังเรื่องการถูกเรียกพบ เรื่องที่แบล็คเพิร์ลพูดกึ่งบังคับให้เขาผูกสัมพันธ์กับผู้พิทักษ์ที่ทางสภาเสนอให้ แต่เมื่อมาถึงเรื่องถูกเนรเทศ...เขาก็บังคับตนเองให้พูดต่อไปไม่ได้...และนิ่งอึ้งไปหลังจากนั้นไม่นานนั้น

    อเล็กซ์ยืนกอดอกพิงผนัง สายตาจับจ้องใบหน้าของเอลาซัลไว้ ดูเหมือนเขาเองก็กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง แต่เด็กหนุ่มก็รีบพูดด้วยเสียงราบเรียบ

    "ต่อสิครับ"

    เอลาซัลก้มลงมองมือของตนที่วางทาบอยู่บนเข่า บีบแน่นจนแข็งเกร็ง หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็เล่าต่อสั้นๆ

    "แบล็คเพิร์ลบอกว่าฉันต้องรับแซฟไฟร์เป็นผู้พิทักษ์...ไม่อย่างนั้นจะถูกเนรเทศ"

    ดวงตาของอเล็กซ์ที่หรี่ลงมองสำรวจสีหน้าของเอลาซัลอย่างพินิจพิเคราะห์

    "แล้วคุณตอบว่าไงล่ะ"

    เอลาซัลตอบเบาๆ

    "ขอกลับไปคิดดูก่อน"

    "แต่คุณจะชิ่งออกจากเมืองไปเมื่อไหร่ก็ได้นี่นา" อเล็กซ์ว่าพลางเงยหน้าขึ้นมองเพดานอย่างเลื่อนลอย "ทำไมถึงยอมให้พวกนั้นบังคับคุณแบบนี้ได้ล่ะเอลาซัล"

    เอลาซัลไม่ตอบว่าอะไร แม้สีหน้าจะเริ่มจัดขึ้น เขาชั่งใจว่าจะบอกอเล็กซ์ดีหรือไม่ว่าเขาจะถูกเนรเทศไปจากที่นี่ชั่วชีวิต แต่มันจะช่วยเปลี่ยนอะไรได้เล่า อเล็กซ์จะบอกอะไรเขาได้...นอกจากขันอาสาจะไปด้วยกับเขา ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้หากอเล็กซ์ตัดสินใจจะอยู่ปกป้องดูแลองค์หญิงฟลอริน่าที่เหลือเวลาน้อยลงทุกที เด็กหนุ่มคงไม่ยอมทิ้งองค์หญิงไปเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวและโง่เง่าของเขาที่เลือกที่จะถูกเนรเทศแทนที่จะยอมรับผู้พิทักษ์ที่ทางสภาเสนอให้แบบนี้

    หากเขาไปจากเมืองนี้...เขาจะไม่ได้พบอเล็กซ์อีกจนกว่าองค์หญิงฟลอริน่าจะสิ้นพระชนม์

    ชายหนุ่มได้แต่ตอบอเล็กซ์อ้อมๆ

    "ฉันไม่อยากไปจากที่นี่"

    "อ้อ" อเล็กซ์ตอบรับสั้นๆ "เข้าใจล่ะ"

    เอลาซัลนึกโกรธวูบกับน้ำเสียงแห้งๆ ของอเล็กซ์ขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับดวงตาสีฟ้าเป็นประกายวาบ

    "มันไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิดนะอเล็กซ์"

    "คุณก็ไม่ได้บอกอะไรให้ผมมากพอจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้นี่" อเล็กซ์ตอบกลับเสียงเย็น

    เอลาซัลไม่ยอมแก้ต่าง หากแต่พูดพร้อมกับจ้องมองเด็กหนุ่มตรงๆ

    "แบล็คเพิร์ลรู้ความจริงเรื่องนาย...เรื่องเรา...เข้าแล้ว"

    อเล็กซ์ทำเป็นยืดเส้นสายแก้เมื่อยแล้วส่งยิ้มให้เอลาซัลในทันใดนั้น

    "ยังกะผมไม่รู้ เราเพิ่งคุยกันถูกคอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี่เอง"

    "แล้วท่านหญิงว่ายังไงกับนาย" เอลาซัลถามพลางสำรวจสีหน้าของอเล็กซ์อย่างละเอียด

    อเล็กซ์ไขว้แขนหนุนหลังคอไว้

    "เค้าชมใหญ่เลยว่าผมทั้งฉลาด น่ารัก แถมยังสวยอีกต่างหาก เราคุยกันสนุกจริงๆ นะ"

    เอลาซัลมองออกว่าเขาคงไม่มีวันได้รับคำตอบตรงๆ จากอีกฝ่ายแน่จึงได้ยอมแพ้ เขาคิดว่าจะไปถามความจริงจากองค์หญิงฟลอริน่าทีหลัง

    "ถ้าอย่างนั้นนายก็ยังโชคดีกว่าฉัน" ชายหนุ่มพูดแห้งๆ "น่าอิจฉานายจริงที่เข้ากับสาวๆ ได้ดีเหลือเกิน"

    อเล็กซ์แค่นยิ้ม

    "คุณก็เหมือนกันแหละน่า" เขาปรายตามองเอลาซัล ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบทีเดียว

    "แล้วคุณจะตอบเค้าว่ายังไงล่ะเอลาซัล จะยอมรับเด็กคนนั้นเป็นผู้พิทักษ์มั้ย"

    เอลาซัลนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แทนที่จะตอบคำถาม...เขากลับพูดความคิดที่ติดคาอยู่ในใจเขามาเป็นเวลานานหลายเดือน...หลายปี เรื่องที่เขาไม่เคยพูดกับใครมาก่อน แต่เขารู้ดีว่าอเล็กซ์คงเข้าใจ

    "เมืองนี้เหมือนกับเป็น 'กรง'...ว่ามั้ยอเล็กซ์" เขาพูด "กรงที่ไม่ใช่แค่ขังฉัน...แต่ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ดูพวกเด็กๆ ที่นี่สิ มีหลายคนที่ต้องเจ็บป่วย...หลายคนที่ต้องเสียคนในครอบครัวไป...หลายคนที่อยากจะหนีออกไปจากที่นี่"

    อเล็กซ์ยังคงรอฟังต่อไปอย่างเงียบๆ

    เอลาซัลยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหน้าของตน

    "ฉันรู้สึกไม่ดีเลย" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน "เหมือนกับว่าจะมีอะไรสักอย่างที่กำลังรอเวลาที่จะปะทุขึ้นมา...แล้วก็ไล่เข่นฆ่าพวกเราเหมือนกับสัตว์ในกรงที่หนีไปไหนไม่ได้ รู้สึกว่าจุดระเบิดกำลังใกล้เข้ามาแล้ว...ความขัดแย้งกับปัญหาต่างๆ ที่ถูกไดอาน่ากดไว้ในวังวนการปกครองจะย้อนกลับมาทำลายปราสาทไพ่นี่จนพังทลายเข้าสักวัน"

    อเล็กซ์ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก

    ทำนายแม่นนี่...เขาคิดในใจ...เพราะผมนี่ล่ะที่จะเป็นคนถอนไพ่ตาย...คือองค์คลาริอุสออกไปเอง ปล่อยให้พวกนั้นจัดการกับหายนะกันเองเถอะ!

    เด็กหนุ่มยังไม่เปิดเผยอะไรกับเอลาซัล เขารู้ว่าการเสนอให้ชายหนุ่มมากับเขาและองค์หญิงฟลอริน่าจะบีบให้เอลาซัลต้องเลือกระหว่างทั้งสอง...กับนครแห่งนี้ และบีบให้อเล็กซ์ต้องยอมรับว่า เอลาซัลเห็นความสำคัญขององค์หญิงฟลอริน่ากับอเล็กซ์...หรือแบล็คเพิร์ลมากกว่ากัน

    อเล็กซ์ยังไม่ต้องการจะรู้คำตอบข้อนี้...เพราะเขาไม่แน่ใจว่าเขาเดาใจเอลาซัลออกหรือไม่

    เด็กหนุ่มปรายตามองเอลาซัลอีกครั้ง และเห็นว่าอัศวินลาปิสลาซูลี่กำลังจ้องมองพื้นอย่างเลื่อนลอยพร้อมกับโคลงศีรษะช้าๆ ราวกับถอนใจกับอะไรบางอย่าง

    "แต่ช่างมันเถอะ" เขากระซิบ "เพราะยังไงฉันก็ทิ้งที่นี่ไปแบบนี้ไม่ได้ อเล็กซ์...ฉันยอมรับว่าฉันรักเมืองนี้มาก ถึงบางครั้งมันจะทำให้ฉันต้องเจ็บปวดก็เถอะ"

    "ถ้าอย่างนั้น..." อเล็กซ์ตอบพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเพดานด้วยสีหน้าเรียบๆ "ก็อยู่เถอะ...อยู่ตามที่ใจคุณต้องการ"

    แต่เอลาซัลไม่ตอบว่าอะไร และทั้งสองก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้อีกต่อไป เวลาเหลือน้อยลงทุกทีแล้วสำหรับอเล็กซ์ คืนนี้แผนการพาฟลอริน่าหนีออกไปจะต้องสำเร็จ

    ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องลากันแล้วจริงๆ สินะ...เด็กหนุ่มสะท้อนใจขณะที่ทั้งสองเฉไฉไปคุยเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ ที่ไม่ได้สำคัญอะไรมากนัก ทั้งๆ ที่เอลาซัลจะไปกับพวกเราก็ได้...แต่เขากลับไม่ยอมไปเอง...

    ทว่าความน้อยใจลึกๆ ในใจของอเล็กซ์ก็ถูกแสดงออกผ่านทางรอยยิ้มเยาะหยันตามแบบฉบับของเขาเท่านั้น...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×