ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเผ่าจูมิ

    ลำดับตอนที่ #10 : ภาคที่ 2 - ฟลอริน่า / บทที่ 2 - สโนว์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 130
      0
      19 พ.ค. 49

    PART II: FLORINA
    Chapter II: Snow

    ภาคที่ 2: ฟลอริน่า
    บทที่ 2: สโนว์


    ฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านเลยกับการมาเยือนของฤดูหนาวมักจะทำให้พระอารมณ์ขององค์หญิงฟลอริน่าปรวนแปรขึ้นมาเสมอ พระองค์โปรดฤดูใบไม้ร่วงที่ลานตาด้วยสีส้มเหลือง ยามสายัณห์ที่เจิดจ้าด้วยแสงสีทอง และความงามอันน่าอาดูรของโลกที่กำลังจะเข้าสู่นิทราอย่างเงียบงัน

    ทว่าฤดูหนาวอันมืดมน เหน็บหนาวและนิ่งสงัดทำให้พระองค์ทรงรู้สึกหดหู่เหลือเกิน อากาศที่หนาวเย็นยิ่งยากจะรับได้เมื่อเวลาผ่านไป และพระวรกายของพระองค์ก็อ่อนแอลงทุกขณะกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปรอย่างรวดเร็ว ทำให้องค์หญิงฟลอริน่าสำเหนียกได้ถึงมรณะที่คืบใกล้เข้ามาได้ชัดขึ้น

    พระองค์แน่พระทัยว่า...หากความตายจะมาเยือนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแล้วล่ะก็ พระองค์คงจะสิ้นพระชนม์ชีพในคืนฤดูหนาวเป็นแน่แท้...จากไปอย่างสงบเหลือเพียงพระวรกายเย็นเฉียบบนพระที่สีขาว...เมื่อพระกำลังที่เคยมีทั้งหมดปลาสนาการไปจนสิ้น

    องค์หญิงสั่นพระเศียรราวกับจะไล่ความคิดนั้นออกไป ฤดูหนาวใช่จะมีเพียงความตายและความอ้างว้างเสียเมื่อไร พระองค์พยายามจะเรียกกำลังใจคืนมาจากภาพฟ้าสีครามสดใสนอกพระแกลห้องบรรทม

    ซาริสทินเกิดในฤดูหนาว และเขาก็เหมือนกับจะรวมเอาสิ่งที่ดีที่สุดในฤดูนี้ไว้กับตน ชายหนุ่มมีผิวขาวเผือดเหมือนหิมะแต่ยังดูงามสง่า สงบนิ่ง มีใจที่หนักแน่นเยือกเย็นราวกับอากาศ

    และบรรยากาศของฤดูหนาวก็สวยงามเช่นกัน...ไม่มีสิ่งใดที่จะงามพิสุทธิ์ไปกว่าสีขาวสะอาดของหิมะที่โปรยปรายลงมาอีกแล้ว

    เมื่อนึกถึงหิมะ...ทำให้องค์หญิงฟลอริน่าอดไม่ได้ที่จะเหลือบสายพระเนตรไปมองเด็กหนุ่มผู้ที่มีนามเหมือนดั่งหิมะ ในตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะไม้มะฮอกกานี เขียนอักขระรูนลงบนม้วนคัมภีร์ใหม่อย่างระมัดระวัง อย่างที่นั่งทำมาเงียบๆ ตลอดชั่วโมงที่ผ่านมา เรือนร่างผอมบางจดจ่ออยู่กับงานของตน แต่เมื่อองค์หญิงฟลอริน่าหันมาทอดพระเนตรเขา พระองค์ก็สังเกตได้ว่าเขาคงจะหยุดมือมาได้พักหนึ่งแล้วโดยที่พระองค์ไม่รู้ ดวงตาสีเทาจับจ้องวรองค์บอบบางราวกับจะเฝ้ามองอย่างละเอียด

    "มีอะไรหรือจ๊ะ สโนว์" พระองค์ตรัสถามพร้อมกับแย้มสรวลให้เด็กหนุ่ม

    เขาเบือนหน้าหลบทันที มือที่ชะงักค้างกับงานเลื่อนไปเขียนอักขระรูนใหม่อย่างรวดเร็ว

    "ม...ไม่มีอะไรพระเจ้าค่ะ" เด็กหนุ่มรีบตอบ แม้ใบหน้าซีดเผือดของเขาจะแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย "หม่อมฉันเพียงแต่คิดว่า..."

    เขาเงียบไปครู่หนึ่ง และองค์หญิงก็มิได้เร่งเร้า แม้จะทรงสงสัยอยู่ว่าเขากำลังจะพูดอะไรกันนะ

    สโนว์ได้มาช่วยพระองค์เขียนอักขระรูนมาราวสองสามสัปดาห์แล้ว และความเอาใจใส่กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้เขาเป็นผู้ช่วยที่ดีทีเดียว เขาปฏิบัติต่อพระองค์ด้วยความเคารพอย่างยิ่งเสมอ และแทบไม่พูดอะไรเลยกับพระองค์เลยนอกจากเรื่องการค้นคว้า องค์หญิงทรงทราบดีว่าเขาพูดกับเอสเมอรัลด้าและแซฟไฟร์มากกว่านี้ จึงได้พยายามชวนให้เขาพูดมากขึ้นนอกจากเอาแต่ตอบว่า "พะย่ะค่ะ" ซึ่งผิดวิสัยของเขา

    "มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ" พระองค์ตรัสถามซ้ำ

    เด็กหนุ่มไม่ตอบไปครู่หนึ่ง เอาแต่ก้มหน้ามองม้วนกระดาษก่อนจะเอ่ยช้าๆ

    "ก็แค่...หม่อมฉันคิดว่า...เห็นพระองค์สั่นน้อยๆ...เมื่อครู่น่ะพะยะค่ะ"

    "เราก็แค่...คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ" องค์หญิงตรัสตอบ "ไม่มีอะไรหรอก..."

    สโนว์นิ่งเงียบไปอีกครั้ง องค์หญิงฟลอริน่าจึงหันมาทรงงานที่ค้างอยู่อีกครั้งเมื่อคิดว่าบทสนทนาจบลงแล้ว แต่ต่อมาเด็กหนุ่มก็พูดขึ้นหลังจากผ่านไปหลายนาที

    "พระองค์ดูเข้มแข็งอยู่เสมอเลยนะพะยะค่ะ...ถึงจะทรงพระประชวรบ่อยๆ ก็เถอะ"

    องค์หญิงเลื่อนสายพระเนตรขึ้นกับคำพูดที่กะทันหันนั้น และอดกลั้นรอยแย้มสรวลไว้ไม่ได้ ในที่สุดพระองค์ก็ได้เห็นสโนว์แบบที่คนอื่นๆ รู้จัก และดีพระทัยที่เขาเริ่มบทสนทนาขึ้นมาเสียที

    "ก็แค่พยายามน่ะ" พระองค์ตอบ "เราไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นห่วงเรามากมายนัก...โดยเฉพาะคนที่เราต้องพบอยู่ทุกวัน"

    "นั่นสินะพะยะค่ะ" สโนว์พูดด้วยเสียงที่เบาลง "พระองค์ทรงมีงานหนักอยู่เสมอ แล้วยัง..."

    องค์หญิงฟลอริน่าทอดพระเนตรเขาอย่างสงสัยว่าจะพูดอะไรต่อไป เด็กหนุ่มยังก้มหน้าจดจ่ออยู่กับงาน ก่อนที่เขาจะหยุดในทันใด มุมปากหักลงเป็นเชิงครุ่นคิดกับตนเอง และจู่ๆ เขาก็พูดขึ้น

    "เอสเมอรัลด้าพูดถูกนะ"

    องค์หญิงเลิกพระขนงขึ้นข้างหนึ่ง

    "เรื่องอะไรหรือจ๊ะ" พระองค์ตรัสถาม

    สโนว์หันมาทางพระองค์ แววตาของเขาฉายแววมืดมนเหมือนกับกำลังคิดถึงบางสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด

    "ตอนที่เราพบกันครั้งแรก เอสเมอรัลด้าเคยบอกว่าหม่อมฉันเห็นแก่ตัว แล้วก็เรียกร้องความสงสารจากคนอื่นมากไป ตอนแรกหม่อมฉันโกรธเธอมาก แต่พอได้พบพระองค์ หม่อมฉันถึงสำนึกได้ว่าเธอพูดถูกพะยะค่ะ"

    เด็กหนุ่มสบตากับดวงเนตรขององค์หญิงฟลอริน่าตรงๆ

    "ตั้งแต่หม่อมฉันได้มาช่วยงานพระองค์...ได้เห็นพระองค์ที่ทรงปฏิบัติภารกิจอย่างเข้มแข็งไม่ยอมให้อาการประชวรสร้างปัญหาให้คนอื่นๆ หม่อมฉันถึงสำนึกได้ว่าตัวเองอ่อนแอแค่ไหน หม่อมฉันชื่นชมพระองค์มากที่แตกต่างจากหม่อมฉัน แล้วก็..."

    เขาพูดต่อไปอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกแรงกล้า

    "หม่อมฉันก็คิดว่าหม่อมฉันต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง...ให้เข้มแข็งได้เหมือนพระองค์ให้ได้พะยะค่ะ"

    เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่บอกความกล้าหาญ จนองค์หญิงฟลอริน่าอดมิได้ที่จะรู้สึกชื่นชม

    "แต่อย่าฝืนตัวเองมากเกินไปล่ะ" พระองค์ตรัสตอบ "คนที่รู้จักเธอดีอย่างเอสเมอรัลด้าก็ชอบเธอที่เป็นอยู่ในตอนนี้นะสโนว์" องค์หญิงอดไม่ได้ที่จะตรัสเสริมด้วยดวงเนตรเป็นประกาย "ให้เวลาตัวเองกับการเปลี่ยนแปลงบ้างนะ"

    สีหน้าของเด็กหนุ่มเริ่มเข้มขึ้นเล็กน้อย แต่เขาก็ยังรักษากิริยาไว้ตามเดิม

    "พะยะค่ะ" เขาตอบก่อนจะยิ้มอย่างลังเล และเอ่ยต่อด้วยเสียงจริงจัง "หม่อมฉันสัญญากับพระองค์ว่าจะพยายามอย่างเต็มที่พะยะค่ะ"

    ในขณะนั้นประตูก็เปิดขึ้นก่อนที่อเล็กซ์จะถือวิสาสะเข้ามาในห้อง องค์หญิงฟลอริน่าอดมิได้ที่จะคิดว่าอเล็กซ์กับสโนว์แตกต่างกันเสียเหลือเกิน นอกจากความตรงไปตรงมาเหมือนขวานผ่าซากแล้ว ทั้งสองไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิด

    อเล็กซ์ไม่หมือนกับฤดูหนาวเลย...องค์หญิงทรงคำนึงกับองค์เอง อเล็กซ์ผู้เกิดในฤดูใบไม้ผลิดูเต็มเปี่ยมด้วยพลังชีวิตที่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าราวกับจะไม่มีวันหมดสิ้น ซึ่งทำให้ผู้คนที่ได้รู้จักใกล้ชิดทั้งชอบและเกลียดได้พอกัน และผู้ที่เกลียดนั้นก็จะยิ่งเกลียดเขามากไปอีกกับลักษณะนิสัยที่ไม่ยอมหยุดนิ่งนี้ เพราะมันยิ่งทำให้พวกเขาทำเป็นไม่สนใจอเล็กซ์ยากขึ้น

    หากองค์หญิงฟลอริน่าผู้รู้จักอเล็กซ์ดียิ่งกว่าใครในนครอัญมณีก็ให้อภัยข้อเสียของอเล็กซ์ได้ เหมือนกับที่พระองค์ให้อภัยทุกคนที่ใช้พระองค์เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาจนหมดสิ้น องค์หญิงทรงทราบว่าอเล็กซ์เป็นห่วงพระองค์ยิ่งกว่าใคร และพระองค์ก็ตื้นตันพระหฤทัยมากแม้จะกังวลอยู่ว่า...ความห่วงใยนั้นจะทำให้อเล็กซ์ทำร้ายใครก็ตามได้เพื่อพระองค์

    ...แม้กระทั่งเอลาซัล...

    สโนว์ที่รู้สึกไม่สบายใจเมื่อถูกอเล็กซ์กระแนะกระแหนะเอาด้วยคำพูดเฉียบคมรีบขอตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้องค์หญิงฟลอริน่าคิดว่าการที่เขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้คงใช้เวลานานและความพยายามอย่างสูงทีเดียว และเมื่อประตูปิดลงแล้ว พระองค์จึงหันไปตำหนิอเล็กซ์ที่ทำกับสโนว์เช่นนั้น

    อเล็กซ์ทิ้งกายลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกับที่สโนว์เคยนั่ง

    "ไม่ใช่ความผิดของผมซักหน่อย ก็เจ้าเด็กขี้โรคนั่นอยากมาวอแวกับฟลอริน่าเอง" เขาตอบกลับ ดวงตาสีเขียวเป็นประกายซุกซน "แต่ผมไม่นึกเลยว่าฟลอริน่าก็คิดจะแย่งเขามาจากเอสเมอรัลด้าได้...หลังจากเจ้าหนูนั่นตามแม่หนอนหนังสือต้อยๆ มาเกือบเดือน"

    "ดูพูดเข้าสิ" องค์หญิงตรัสตอบ "เธอควรจะปฏิบัติกับสโนว์ให้ดีกว่านี้นะ เราคนหนึ่งล่ะที่ต้องขอบคุณที่เขามาช่วยเราเขียนอักขระ เราเห็นใจเขาที่เก็บตัวมานาน แล้วเราก็ดีใจด้วยที่เขากับเอสเมอรัลด้าเป็นเพื่อนกันได้ เขาปรับปรุงตัวเองขึ้นมาก แล้วก็..."

    พระองค์เหลือบมองอเล็กซ์ด้วยดวงเนตรเป็นประกายเหมือนจะหยอกเย้า

    "เขาก็หน้าตาดีเหมือนกันนะ ตาสวยเสียด้วย"

    "ผมว่าคงไม่ใช่แค่เพื่อนหรอกมั้ง" อเล็กซ์ตอบด้วยเสียงไม่ยี่หระ "คิดแล้วก็เจ็บใจที่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเอสเมอรัลด้ามีแฟนก่อนผมได้ แต่ว่านะ..."

    เขาคิดอะไรขึ้นมาได้แวบหนึ่ง

    "ผมจะลองแย่งเค้ามาจากฟลอริน่ากับเอสเมอรัลด้าดีมั้ยนะ ชักหมั่นไส้เอสเมอรัลด้าเหมือนกันที่มีหนุ่มตามจีบตั้งนานแล้วยังไม่รู้ตัวซะอีก"

    เด็กหนุ่มประสานมือรองไว้หลังศีรษะ ขยิบตาให้กับองค์หญิงฟลอริน่าก่อนจะเสริม

    "ไหนๆ จะได้ไม่เสียทีที่ขึ้นชื่อว่าเจ้าชู้ประตูดินแล้วนี่"

    องค์หญิงเลื่อนสายพระเนตรกลับมาที่ม้วนคัมภีร์ก่อนจะทรงงานแปลอักขระรูนต่อไป

    "อย่างนั้นเหรอ" พระองค์ตรัสตอบเรียบๆ แสร้งทำเป็นไม่สนใจกับคำพูดล้อเล่นแรงๆ แบบอเล็กซ์

    "ฟลอริน่าจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าผมไปทำอะไรกับใครถึงได้ชื่อว่าเจ้าชู้น่ะ" อเล็กซ์แกล้งถาม

    "กำลังจะบอกอยู่พอดีเชียวว่าเราไม่สน"

    อเล็กซ์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

    "ไม่อยากรู้จริงๆ น่ะ"

    "ไม่เลยสักนิด" องค์หญิงฟลอริน่าตรัสตอบอย่างพระทัยเย็น

    "อะไรกัน เรื่องน่าสนออก"

    "แต่เราไม่สน"

    อเล็กซ์ถอนหายใจเฮือก

    "ยั่วฟลอริน่านี่ยากจริงแฮะ"

    "ก็จะมายั่วกันทำไมเล่า" องค์หญิงฟลอริน่าตรัสด้วยสุรเสียงเรียบๆ ขณะทรงจุ่มปากกาขนนกลงในขวดหมึก "นี่เห็นเราเป็นคนขี้หึงนักหรืออเล็กซ์"

    อเล็กซ์เบิกตากว้าง

    "โธ่เอ๊ย! ฟลอริน่าใจกว้างอย่างกับแม่น้ำจะตายไป"

    องค์หญิงเงยพระพักตร์ขึ้นเผยดวงเนตรที่เป็นประกายระยิบระยับ

    "ขอพูดสักนิดนะอเล็กซ์ ถ้าอยากจะหาคนขี้หึงล่ะก็...มีคนขี้หึงคนหนึ่งที่เห็นจะเหมาะสมกับเธอที่สุดล่ะ เราจะยกเธอให้กับเขาเลยก็ยังได้"

    ดวงตาของอเล็กซ์หรี่ลงอย่างเคลือบแคลง

    "ที่ผมพูดตะกี้เห็นจะจริงแฮะ" เด็กหนุ่มพูดเศร้าๆ

    องค์หญิงฟลอริน่าทรงพระสรวลสั้นๆ

    "เขาเป็นคนที่พิเศษไปเลยนะอเล็กซ์" แววความรู้สึกบนพระพักตร์เปลี่ยนเป็นเลื่อนลอยเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรไปยังผืนฟ้าครามนอกหน้าต่าง "หน้าตาดี...แถมยังตัวสูงด้วย"

    อเล็กซ์เหยียดหลังน้อยๆ คลายมือจากที่กอดอกมาวางลงบนโต๊ะ

    "ฟลอริน่า..." เด็กหนุ่มพูดเรียบๆ

    "ตาของเขาก็สวยเสียด้วยนะ" องค์หญิงฟลอริน่าตรัสต่อด้วยเสียงเคลิ้มฝัน "เทียบกับตาสีเทาของเราแล้วเรายังอิจฉาเลย..."

    "ฟลอริน่า..." อเล็กซ์พูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเอนกายมาข้างหน้า ประกายสีเขียวที่สว่างแวบในดวงตาเหมือนจะบอกคำเตือน

    "แถมเขายังรูปร่างดีด้วยล่ะ" องค์หญิงฟลอริน่าทอดเสียงจบก่อนจะถอนพระทัย

    "ฟลอริน่า!!"

    องค์หญิงหันไปมองอเล็กซ์ในทันใดด้วยสีพักตร์เคลิ้มฝัน เอนพระวรกายลงเหนือโต๊ะพร้อมกับประสานพระหัตถ์เข้าด้วยกันเหมือนเป็นเชิงอ้อนวอน

    "แต่ลืมเขาเสียเถอะอเล็กซ์! รักเราเพียงคนเดียวเถอะนะ!!"

    ในทันใดนั้นอเล็กซ์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

    "ไหนว่าไม่ขี้หึงไงเล่าฟลอริน่า" เด็กหนุ่มพูดขึ้นหลังจากปัดเส้นผมที่เข้าตาออกไป

    รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่ริมโอษฐ์ขององค์หญิงฟลอริน่า

    "ก็เธออยากให้เราหึงมิใช่หรือ" พระองค์ตรัสตอบเรียบๆ


    เอสเมอรัลด้า สโนว์ กับแซฟไฟร์ นัดพบกันในสวนวงกตเช้าวันหนึ่งกลางเดินธันวาคมที่อากาศเย็นเยือก สโนว์ซึ่งมาถึงก่อนนั่งลงบนม้านั่งรอให้สองสาวมาถึง

    อารมณ์ของสโนว์ไม่ดีนักเพราะเขารู้สึกไม่ค่อยสบายมาตั้งแต่สามวันที่แล้ว มีไข้อ่อนๆ ทำให้กระสับกระส่ายนอนไม่หลับตามประสาโรคที่มีอาการตัวร้อนทั้งหลาย และเด็กหนุ่มก็ต้องพยายามเก็บอาการให้แนบเนียนที่สุดเพื่อที่พ่อแม่ของเขาจะได้อนุญาตให้เขาออกมานอกบ้านเพียงไม่กี่ชั่วโมงแบบนี้

    เด็กหนุ่มห่อกายอยู่ในเสื้อโค้ทหนาเพื่อปกป้องร่างผอมบางจากความหนาวเหน็บ ดวงตาสีเทาที่ทอดมองสีขาวในยามเช้าตรู่ออกจะแดงด้วยพิษไข้ พอนั่งอยู่ได้พักหนึ่งทั้งที่รู้สึกหนาว และเริ่มครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาแม้ตนเองจะพยายามไม่ใส่ใจนัก ก็มีร่างหนึ่งก้าวมาอยู่ตรงหน้าม้านั่งแล้วส่งเสียงทักทายเขา

    "สวัสดีจ้ะ สโนว์"

    สโนว์เงยหน้าขึ้นมองเห็นลูกพี่ลูกน้องของแซฟไฟร์...จูมิแห่งอความารีนยืนอยู่ตรงหน้า เธอสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีฟ้าน้ำทะเลติดกระดุมสีทองแวววับ ซึ่งทับเสื้อสเว็ตเตอร์สีครีมกับกระโปรงสีปะการังที่สวมอยู่ภายในไว้บางส่วน เส้นผมสีฟ้าอ่อนรวบถักเป็นเปียยาวสอดสลับกับริบบิ้นสีแดงสด ดวงตาสดใสของเธอเป็นประกายซุกซน

    แต่สโนว์ไม่ได้ชอบจูมิสาวแห่งอความารีน และไม่ได้ชื่นชมกับภาพลักษณ์อันแสนจะน่ารักของเธอเลย

    "มีอะไรเหรอมาริน่า" เด็กหนุ่มถามพลางเลื่อนสายตาไปมองสีขาวลางๆ ที่อยู่ไกลออกไปเพื่อแสดงความเฉยชา

    "รอใครอยู่เหรอ" มาริน่าซัก

    "เปล่านี่" สโนว์แกล้งตอบทั้งที่ยังทอดสายตาไปเบื้องหน้า "ฉันก็แค่ออกมารับลมเย็นๆ ซะบ้าง"

    มาริน่าส่งยิ้มอ่อนหวานให้กับเขาโดยไม่สนกับคำพูดไม่เป็นมิตรนั้น พอสังเกตเห็นท่าทางอิดโรยของสโนว์แล้วเธอก็รีบพูดต่อในทันที

    "นี่สโนว์ ไปที่พระราชวังกันเถอะ อากาศข้างนอกนี่หนาวไปสำหรับเธอนะ"

    สโนว์เงยหน้าขึ้นจ้องเธอเขม็ง เขาเริ่มจะเดาออกแล้วว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเขา แต่รู้แล้วเขาก็ไม่ได้ดีใจเสียเลย

    "ไม่ล่ะ ขอบคุณ" เขาตอบสั้นๆ

    "ทำไมล่ะ" เด็กสาวถาม

    สโนว์ยังคงรักษาสายตาเรียบๆ ไว้ดังเดิมแม้ความรู้สึกไม่พอใจจะแวบขึ้นมาเมื่อครู่ ความหนาวเหน็บของอากาศที่เริ่มทวีขึ้นทุกทีพอๆ กับอาการไข้ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี และเขาก็ไม่ได้ชอบจูมิแห่งอความารีนมาแต่แรกเสียด้วย

    "นี่เธอไม่มีอะไรอย่างอื่นจะทำรึไงมาริน่า" เด็กหนุ่มถามห้วนๆ

    เด็กสาวประสานมือไว้ข้างหลังด้วยทีท่าที่คิดว่าดูน่ารักน่าเอ็นดู พร้อมกับส่งยิ้มใสๆ ราวกับนางฟ้าให้อีกฝ่าย

    "ก็ไม่มีน่ะสิ" เธอแกล้งเอ่ยด้วยท่าทางไร้เดียงสาพลางเอียงศีรษะไปด้านข้างนิดๆ "เธอคงไม่ได้กลัวว่าเอสเมอรัลด้าจะพูดว่าอะไรถ้ามาเห็นเข้าใช่มั้ยจ๊ะ...สโนว์"

    ถึงสโนว์จะไม่กลัว เขาก็รู้สึกใกล้ๆ จะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่เข้าแล้ว

    "เธอนี่น่ารำคาญจริง มาริน่า" เขาพูดเสียงแข็ง "ไปซะ"

    เด็กหนุ่มหวังว่านั่นจะทำให้เธอรู้สึกโกรธพอจะปลีกตัวไปจากเขาได้ แต่มาริน่ากลับยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเอามือลง ส่งรอยยิ้มสดใสให้สโนว์อีก

    "ไม่นึกแฮะว่าเธอก็สั่งใครเป็นเหมือนกัน!"

    สโนว์รู้สึกเหมือนเธอกำลังยั่วเขา และใบหน้าซีดขาวก็แดงเรื่อขึ้นด้วยความผิดหวัง เขาเริ่มจะนึกได้ว่ามาริน่าเองก็รั้นพอๆ กับตน แล้วก็ไม่ได้โง่อย่างที่คิด ถึงจะแกล้งทำเป็นหยาบคายต่อก็คงจะไล่เธอไม่ไปแน่ เด็กหนุ่มจึงนิ่งเงียบไป และมาริน่าก็คิดจะฉวยโอกาสนั้นทำความสนิทสนมกับเขาเสียด้วย

    เธอกะจะก้าวเข้าไปนั่งข้างๆ สโนว์ แต่แซฟไฟร์ก็มาถึงเสียก่อน

    เด็กสาวผู้มาใหม่หันมองสโนว์ที มาริน่าทีอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่พูดอะไร แต่สโนว์ก็รีบทักทายเธอด้วยท่าทางโล่งอกอย่างเห็นได้ชัดแล้วบอกให้เธอมานั่งข้างๆ เขา

    แซฟไฟร์ดูจะประหลาดใจ แต่ก็ทำตามในทันที เสียงเล็กๆ ของมาริน่ากระเซ้าขึ้นข้างๆ ทั้งสอง

    "แล้วอย่างนี้จะบอกเอสเมอรัลด้าว่าไงดีน้า"

    สโนว์หันขวับไปหามาริน่า

    "จะบอกอะไรก็บอกไปสิ" เขาโต้กลับ "เดี๋ยวเอสเมอรัลด้าก็จะมาที่นี่เหมือนกัน"

    มาริน่าหัวเราะคิก

    "งั้นเหรอ ถ้างั้นนายคงไม่ว่าอะไรถ้าจะนับฉันรวมเป็นสามสาวด้วยใช่มั้ยสโนว์"

    สีหน้าสโนว์ยิ่งแดงก่ำ หาคำตอบอะไรไม่ได้ไปพักใหญ่ ส่วนแซฟไฟร์ยังคงนิ่งเงียบ เธอเคยชินกับการถูกมาริน่าก่อกวนเป็นประจำแล้ว และไม่อยากจะเสี่ยงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย

    เมื่อเห็นว่าเด็กสาวอีกคนคงจะช่วยอะไรเขาไม่ได้ สโนว์จึงลุกขึ้นยืน

    "แซฟไฟร์" เด็กหนุ่มเรียกพร้อมกับพยายามซ่อนความหงุดหงิดในน้ำเสียงไว้เพื่อมาริน่าจะได้ไม่คิดว่าเธอชนะ "เดี๋ยวฉันจะไปที่พระราชวังหน่อยนะ ฝากบอกเอสเมอรัลด้าด้วยว่า..."

    แต่ก่อนที่จะทันพูดจบ เด็กหนุ่มก็หยุดชะงักก่อนจะยกมือขึ้นกุมศีรษะ เค้นเสียงร้องออกมาน้อยๆ แล้วล้มลงในทันทีจนหัวแทบฟาดกับม้านั่งเข้า

    แซฟไฟร์ที่รู้สึกแปลกใจนิดๆ จ้องมองสโนว์นิ่งด้วยสีหน้ากังวล มาริน่าเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ อย่างสงสัย

    เด็กหนุ่มเอนกายไปข้างหน้า สองมือวางเป็นหลักบนม้านั่ง สายตาเหมือนจะจ้องตรงไปยังบางสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในที่นั่น

    "ฉัน...รู้สึก...ไม่ดีเท่าไหร่..." เขาพูดเบาๆ "คงจะ..."

    แต่ในทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมลำคอก่อนจะเริ่มสำลัก

    "หาย...ใจ...ไม่...ออก!!"

    แซฟไฟร์สะดุ้งเฮือกอย่างตื่นตระหนก สีหน้าของเธอยิ่งซีดเผือดลง แต่มาริน่ารีบควบคุมสถานการณ์ทันที

    "นั่งบื้ออยู่ทำไมยะแซฟไฟร์!!" เธอสั่ง "ใช้น้ำตาเยียวยากับเขาสิ! เดี๋ยวฉันจะไปตามคนมาช่วย!!"

    พอพูดจบแล้วเธอก็รีบวิ่งไปทางพระราชวังทันที

    สโนว์ก้มศีรษะลงต่ำ หายใจหอบอย่างรุนแรง แซฟไฟร์โน้มตัวลงใกล้เขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

    "สโนว์..." เด็กสาวพูดตะกุกตะกัก "...ฉัน...ฉันจะ..."

    "ช่วยเข้า...มาใกล้...หน่อย!" สโนว์เค้นคำพูดออกมา "ขอ...แขนเธอ...ก่อนฉันจะ..."

    เด็กสาวเคลื่อนกายเข้าไปข้างๆ เขาตามคำสั่ง นิ้วของเด็กหนุ่มจับแขนของเธอเป็นหลักก่อนจะพยุงกายลุกขึ้นมาอย่างไม่มั่นคงนัก เขาใช้มือข้างหนึ่งลูบหน้าที่เย็นเฉียบจากเม็ดเหงื่อ ก่อนจะเหลือบมองแซฟไฟร์ที่นั่งตัวสั่นอยู่ข้างๆ

    "ไม่...ต้องกลัว...หรอก..." เด็กหนุ่มพยายามกลั้นเสียงพูดให้ฟังดูเป็นปกติ "ฉัน...ดีขึ้นบ้างแล้ว...ฉันเคยเป็นแบบนี้บ่อยๆ....ทำตาม...ที่มาริน่า...บอก...เถอะ..."

    ดวงตากลมโตของแซฟไฟร์จ้องมองเด็กหนุ่มอย่างสับสน แต่เธอก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นแนบแก้มก่อนจะหลับตาลงโดยไม่ว่าอะไร

    หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หยดน้ำตาที่ส่องประกายก็ตกจากปลายขนตายาวงอนลงสู่นิ้ว และยังคงอยู่บนปลายนิ้วของเด็กสาวเหมือนกับพลอยใสเม็ดเล็กส่องแสงระยิบระยับซึ่งเธอวางลงในอุ้งมือของสโนว์

    เด็กหนุ่มรีบหยดมันลงบนผลึกชีวิตของตนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรู้สึกได้ว่าลมหายใจของเขาค่อยๆ ผ่อนช้าลงตามปกติ หลังจากผ่านไปพักหนึ่งซึ่งเด็กหนุ่มพยายามจะรวบรวมพละกำลังคืนมา เขาค่อยรู้สึกดีขึ้นจนยืดกายขึ้นนั่งหลังตรงได้ แล้วรีบหันไปทางแซฟไฟร์พร้อมกับพยายามยิ้มให้

    "เห็นมั้ย" เขาเอ่ย "ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะแซฟไฟร์"

    "ก็ดี..." เธอตอบทั้งที่พยายามหลบสายตาเขา

    สโนว์ยังคงมองเธออย่างสงสัย คิ้วเริ่มขมวดน้อยๆ เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่ค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวโดยนิสัย ไม่ค่อยเป็นห่วงเรื่องคนอื่นมากนัก แต่พอรู้สึกได้ว่ากริยาของเด็กสาวดูแปลกไป เขาก็เป็นห่วง และอยากจะรู้ว่าเป็นเพราะอะไร

    "มีอะไรหรือเปล่า" เด็กหนุ่มถาม "หวังว่าการหลั่งน้ำตาคงไม่ได้ทำให้เธอไม่สบายขึ้นมาแทนนะแซฟไฟร์"

    เด็กสาวสั่นศีรษะ

    "ฉันไม่เป็นไรหรอก...ดีใจที่ช่วยเธอได้"

    น้ำเสียงของเด็กสาวเมื่อเอ่ยคำพูดนั้นราบเรียบจนน่าประหลาดใจ เมื่อรู้สึกอย่างนั้นสโนว์จึงพูดขึ้น

    "ฟังเหมือนกับว่าเธอไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะได้ผลอย่างนั้นแหละ"

    "ฉัน..." ใบหน้าซีดขาวของแซฟไฟร์แดงเรื่อขึ้น และเธอก็ดูเหมือนจะกังวลกับอะไรบางอย่าง แต่แล้วเด็กสาวก็ก้มศีรษะลงเอ่ยเบาๆ "สโนว์...น้ำตาของฉันน่ะ...ไม่ได้...ไม่ได้..มีอำนาจขนาดนั้นนะ..."

    คิ้วของอีกฝ่ายยิ่งขมวดในขณะที่เด็กหนุ่มมองเธอเหมือนจะสำรวจหาความผิดปกติ

    "แต่ก็ช่วยฉันได้มากนะ" เขาตอบสั้นๆ "ทำไมถึงได้พูดอย่างนั้นล่ะ"

    "เพราะว่า..." แซฟไฟร์ก้มลงมองนิ้วมือของตน ก่อนจะขยับตัวน้อยๆ ด้วยกริยาตื่นๆ "เก็บไว้เป็น...ความลับ...นะ สโนว์ แต่ฉันคิดว่าเธอคงจะเข้าใจ...เพราะว่า..."

    เด็กหนุ่มไม่ตอบว่าอะไร เธอจึงพูดต่อไป

    "เพราะผลึกชีวิตของเธอน่ะ ผลึกชีวิตของฉัน...มีตำหนิ...มาตั้งแต่เกิด..."

    สโนว์สะดุ้งขึ้นมาในทันใด แต่เขาก็ไม่ตอบว่าอะไร หลังจากเงียบไปอีกสักพัก ความเห็นเดียวที่เขาพูดออกก็มีเพียง

    "งั้นเหรอ"

    "ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลบอกว่า..." แซฟไฟร์ผู้น่าสงสารยังคงพูดตะกุกตะกัก สีหน้าของเธอยิ่งแดงก่ำด้วยความละอาย "...น่าเสียดายมาก...ผลึกชีวิตของคุณแม่น่ะสมบูรณ์แบบ...แต่ผลึกของฉัน..."

    สโนว์รีบขัดขึ้นก่อนที่เธอจะได้พูดต่อ

    "ไม่ต้องขอโทษหรอกแซฟไฟร์ ฉันรู้ดีว่าเธอผ่านอะไรมาบ้าง แล้วก็..." เขาเสริมด้วยเสียงที่ฟังขื่นนิดๆ ตามปกติของตน "ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาอะไรเลย น้ำตาของเธอทำให้ฉันรู้สึกสบายขึ้นได้ขนาดนี้ เห็นมั้ย"

    "ไปหาองค์หญิงฟลอริน่าอีกทีจะดีกว่านะ" แซฟไฟร์เอ่ย หากน้ำเสียงของเธอกลับเบาลงเป็นพึมพำแผ่วๆ ราวกับเธอกลัวจะถูกสโนว์ต่อว่าถ้าเขาได้ยินคำแนะนำนี้ แต่เด็กหนุ่มก็ดูเหมือนจะจดจ่ออยู่ในห้วงความคิดของตนจนไม่ทันได้ยินคำพูดของเธอ ในทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้น

    "แปลกนะแซฟไฟร์ ไม่เพียงแต่จะเกิดโรคพวกนี้ระบาดไปทั่วเมือง พวกเราต่างก็เกิดมาพร้อมกับผลึกชีวิตที่มีตำหนิในช่วงเวลาไล่ๆ กัน...แถมคนรุ่นเรายังไม่ค่อยจะมีใครที่เกิดมาพร้อมกับอำนาจเยียวยาเลย ฉันอยากจะออกไปจากที่นี่จริงๆ ยังไงฉันก็ไม่ค่อยจะมีความทรงจำดีๆ กับที่นี่มากเท่าไหร่อยู่แล้ว"

    "ฉันก็เหมือนกัน.." แซฟไฟร์ตอบด้วยเสียงแทบกระซิบ "ฉันอยากจะไปจากที่นี่เหมือนกัน...ก่อนที่สภาจะ..."

    สโนว์ที่สังเกตได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลในคำพูดนั้นเงยหน้าขึ้นมองเธอ

    "ว่าอะไรนะ" เขาถาม "สภาจะทำอะไรเหรอ"

    แม้แซฟไฟร์เป็นคนที่ค่อนข้างจะเก็บเรื่องต่างๆ ไว้กับตัว แต่เธอก็คิดว่าการให้เพื่อนอย่างสโนว์ฟังนั้นคงไม่มีอะไรเสียหาย

    "สภาจะจับคู่ฉันกับเอลาซัล...มีมติออกมาแล้ว...แต่ฉัน..." เมื่อเห็นสายตาที่มองเธอเหมือนจะสำรวจอย่างละเอียด เด็กสาวก็ยิ่งหน้าแดงแล้วพูดติดๆ ขัดๆ ต่อไป "...ฉันไม่อยากจะยอม..."

    สโนว์ซึ่งไม่ถูกอัธยาศัยกับเอลาซัลมาแต่แรกพูดอย่างหนักแน่น

    "แต่พวกเขาจะบังคับเธอได้เหรอแซฟไฟร์...ถ้าเธอไม่ยอม"

    "ไม่รู้สิ..." เด็กสาวตอบอย่างแผ่วเบา "ฉันกลัวว่า...พวกเค้าจะพยายาม..."

    สโนว์ที่รู้สึกเกลียดการถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำเป็นทุนเดิมอยู่แล้วถึงกับขึ้นเสียง

    "บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิ!! แล้วเอลาซัลล่ะว่ายังไง"

    "เอลาซัลเข้าใจดีมากนะ" แซฟไฟร์ตอบ รอยยิ้มน้อยๆ อย่างที่หาได้ยากยิ่งจากเธอปรากฏขึ้นบนใบหน้า "เค้าบอกว่าเค้าจะไม่ยอมให้พวกนั้นบังคับฉันได้แน่...แต่ฉันก็ยังกลัวๆ อยู่ดี"

    "ฉันไม่คิดว่าเอลาซัลจะขัดคำสั่งสภาได้หรอก" สโนว์ว่า ในเมื่อเขาไม่ได้รับรู้ด้วยว่าเอลาซัลเองก็ลำบากใจกับการจับคู่ครั้งนี้เช่นกัน เด็กหนุ่มเลยยิ่งไม่ชอบเอลาซัลที่ถูกดึงเข้ามาพัวพันเรื่องนี้มากไปกว่าเดิม

    "เอสเมอรัลด้าอยากจะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยซักวันหนึ่ง..." แซฟไฟร์กระซิบ "...ฉันรู้ว่าเธอจะไปกับเค้าด้วย...แล้วฉัน...ฉันก็...อยากจะไปกับพวกเธอสองคนเหมือนกัน...พาฉันไปด้วยนะ..."

    "แน่นอนอยู่แล้ว" สโนว์ตอบอย่างหนักแน่น "ไม่มีปัญหาหรอก หวังว่านี่คงจะทำให้เธอสบายใจขึ้นนะแซฟไฟร์"

    เด็กสาวพยักหน้ารับแม้จะไม่เงยหน้าขึ้น

    "ฉันคงจะดีใจมากเลยถ้าได้หนีออกไปจริงๆ..." เธอเอ่ยเบาๆ "...แต่ฉันไม่กล้าไปคนเดียว...แต่ถ้ามีเธอกับเอสเมอรัลด้าไปด้วยล่ะก็...ฉันอาจจะไปได้ก็ได้..."

    สโนว์ที่รู้สึกพอใจกับบทสรุปของการสนทนาลุกขึ้นยืนในที่สุด

    "ไว้ค่อยเจอกันนะ" เขาบอก "ที่นี่อากาศหนาวไปหน่อย ฝากบอกเอสเมอรัลด้าด้วยว่าฉันจะไปรอในพระราชวัง ส่วนเรื่องที่ว่าผลึกชีวิตของเธอมีตำหนิน่ะ...ไม่ต้องห่วงไปหรอก มันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เธอคิดก็ได้นะ"

    เด็กสาวไม่ตอบว่าอะไร สโนว์จึงเริ่มเดินไปตามทางเดิน แต่เพียงสองสามก้าวเท่านั้นเขาก็หยุดกึก สีหน้าซีดเผือดขึ้นมาในทันใด

    "อะไร...กัน..." เด็กหนุ่มพูดได้เพียงเท่านี้ก่อนจะทรุดลงกองกับพื้น สติทั้งมวลดับวูบ


    เมื่อเอสเมอรัลด้ามาถึงพระราชวัง เธอก็ได้ข่าวจากมาริน่าเข้า

    แถมมาริน่ายังพูดถึงแซฟไฟร์ที่อยู่ในที่นั้นด้วย

    "แต่พอฉันกลับมาดูสโนว์น่ะนะ ยัยนั่นก็เอาแต่นั่งเป็นเบื้ออยู่ที่เดิมนั่นแหละ ทำอะไรไม่เป็นเลยซักกะอย่าง!!" มาริน่าเอ่ยอย่างถากถางด้วยน้ำเสียงบอกความรังเกียจ "ไม่เข้าใจเลยว่านั่งสั่นเป็นลูกนกแบบนั้นจะช่วยอะไรใครได้"

    "เลิกวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เข้าใจอะไรซักทีเลยมาริน่า" เอสเมอรัลด้าโต้กลับอย่างโกรธกรุ่น "เธอก็รู้นี่ว่าเค้าเคยเห็นแม่ตัวเองตายต่อหน้าต่อตาเพราะโรคผลึก หัดเข้าใจคนอื่นซะบ้างสิ"

    มาริน่าพ่นลมหายใจพรืดแต่ไม่ตอบว่าอะไร และเอสเมอรัลด้าก็ออกไปจากสวน เธอไม่ค่อยจะกังวลอะไรนักแม้จะรู้ว่าสโนว์เป็นลมไป สโนว์มีอาการป่วยอยู่เป็นครั้งคราวอย่างน้อยก็ครั้งหรือสองครั้งต่อสัปดาห์เมื่อร่างกายอ่อนเพลีย เขาควรที่จะพักอยู่บ้าน และเธอก็เห็นว่าเพราะความรั้นที่จะขอตามมาด้วยทำให้เขาฝืนขีดจำกัดของร่างกายตนเองเกินไปแล้วในตอนนี้

    เวลาที่สโนว์ไม่สบายแบบนี้เอสเมอรัลด้าจะไปเยี่ยมดูอาการเขาที่บ้าน และนัดเจอกันครั้งต่อไปแทน หากอาการของสโนว์ไม่หนักหนานัก บางทีเธอก็จะอยู่พูดคุยด้วยสักพัก ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นและมีกำลังใจสู้กับอาการเจ็บป่วยมากขึ้น ดังนี้เอสเมอรัลด้าจึงเป็นที่ต้อนรับและชอบพอของคนอื่นๆ ในบ้านอย่างรวดเร็ว

    เด็กสาวไปถึงบ้านของสโนว์ก่อนจะเคาะประตูแล้วรอคนเปิดอย่างสุภาพ

    เด็กรับใช้ชาวจูมิระดับล่างที่เอสเมอรัลด้ารู้จักดีเป็นผู้ขานรับ เธอเป็นเด็กสาวร่างเล็กบางหน้าตาน่ารักที่มีผมสีน้ำตาลเข้มอายุมากกว่าเอสเมอรัลด้าเล็กน้อย สวมชุดกระโปรงสีน้ำตาลกับผ้ากันเปื้อนสีขาว และหมวกคลุมผมติดระบายลูกไม้บอกสถานะ เอสเมอรัลด้าฝากเด็กรับใช้สาวไปบอกสโนว์ว่าเธอมาเยี่ยม หากเด็กรับใช้มีท่าทางตื่นตระหนกและพูดตะกุกตะกัก

    "อ่า...คุณหนูคะ...ดิฉันไม่ทราบว่าจะให้คุณเข้ามาได้หรือเปล่า..."

    "ฉันได้ยินว่าสโนว์เป็นลมน่ะคะ" เอสเมอรัลด้าตอบ "หวังว่าเขาคงจะดีขึ้นใช่มั้ยคะตอนนี้"

    เด็กสาวอีกคนสั่นศีรษะ

    "คุณชายไม่สบายหนักมากค่ะคุณ" เธอพูดเบาๆ พลางชำเลืองมองข้ามไหล่กลับไปเป็นระยะๆ ราวกับกลัวว่าการแอบพูดกับคนอื่นที่หน้าประตูจะทำให้นายจ้างไม่พอใจขึ้นมา "มีไข้สูง เพ้อด้วย คุณผู้หญิงบอกว่าไม่เหมือนอาการตามปกติเลยค่ะ..."

    เอสเมอรัลด้าไม่พูดว่าอะไร เธอรู้สึกสงสัยนิดๆ และเริ่มกังวลขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เด็กสาวโน้มกายเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบอย่างร้อนรน

    "...น่ากลัวจะเป็นโรคผลึกจางน่ะค่ะ"

    เอสเมอรัลด้าที่ฟังคำพูดของเด็กสาวที่มีท่าทางหวาดผวาอย่างสงบมาจนถึงตอนนี้กลับตกใจในทันที

    "โรคผลึกจางเหรอ"

    เด็กสาวพยักหน้า ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง

    "พวกคุณท่านส่งคนไปตามองค์คลาริอุสมาแล้วค่ะ" เธอกระซิบต่อ "แต่ถูกไล่กลับมาน่ะค่ะ! อัศวินประจำคลาริอุสไม่ยอมให้องค์หญิงฟลอริน่าออกรักษาภายในสองวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เพราะองค์หญิงรักษาคนมามากถึงสามวันติดกันจนไม่สบายเองน่ะค่ะ"

    ดวงตาของเอสเมอรัลด้าเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง

    "อย่างนี้นี่เอง" เธอเอ่ยกับตนเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ต้องเป็นความผิดของอเล็กซ์แน่ มีแต่อเล็กซ์เท่านั้นแหละที่จะทำใจจืดใจดำห้ามไม่ให้องค์หญิงออกรักษาอาการผู้ป่วยหนักแบบนี้ได้...เด็กสาวคิดอย่างขุ่นเคือง

    เธอหันไปพูดกับเด็กรับใช้อีกครั้ง

    "ยังไงฉันขอเข้าไปพบสโนว์ตอนนี้หน่อยเถอะ...นะคะ"

    เด็กสาวที่รู้สึกทึ่งๆ กับกริยาตอบรับของเอสเมอรัลด้าอยู่ยอมตกลงในที่สุด แม่ของสโนว์ต้อนรับเอสเมอรัลด้าด้วยอัธยาศัยอันดี และอนุญาตให้เธอเข้าไปเยี่ยมลูกชายได้ เอสเมอรัลด้าเข้าไปในบ้านสีขาวอันโอ่โถง ซึ่งประดับตกแต่งอย่างหรูหราแสดงระดับฐานะของเจ้าบ้านในสังคม ทว่าบรรยากาศในบ้านกลับเงียบเหงาหดหู่ผิดปกติ เธอตรงไปที่ห้องของสโนว์อย่างรวดเร็ว

    เด็กหนุ่มหันมาทางเด็กสาว และรอยยิ้มเนือยๆ เมื่อเห็นเธอก็ทำให้สีหน้าของเขาดูสดใสขึ้น

    "ดีจังที่เธอมา" เขาพูดแผ่วๆ "คราวนี้ฉันทำเสียเรื่องไปหมดเลยสินะ"

    เอสเมอรัลด้าตกใจมากที่เห็นว่าใบหน้าของเขาซีดเผือดไร้สีเลือด ดวงตาแห้งผากด้วยพิษไข้ ร่างผอมบางที่นอนอยู่บนเตียงกว้างใต้ผ้าห่มนวมผืนหนาดูราวกับจะไร้น้ำหนัก

    "ไม่เป็นไรหรอก" เธอตอบด้วยเสียงที่พยายามจะทำให้เป็นปกติ "เดี๋ยวพรุ่งนี้นายต้องดีขี้นแน่ๆ"

    "ไม่ต้องมาแกล้งให้กำลังใจกันหรอก เอสเมอรัลด้า" สโนว์พูดด้วยเสียงราบเรียบ "ฉันรู้แล้วล่ะว่าตัวเองเป็นโรคผลึกจาง"

    เด็กสาวไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี และสโนว์ก็เบือนหน้าไป

    "ตลกสิ้นดี..." เขาเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ไม่มีความขมขื่นเจืออยู่เลยแม้แต่น้อย "ทั้งๆ ที่ตลอดเวลามานี่ฉันคิดว่าตัวเองจะตายด้วยโรคอื่นแท้ๆ..."

    "อย่าพูดอย่างนั้นสิ!" เอสเมอรัลด้าเริ่มขึ้นเสียงด้วยอารมณ์ เธอยังไม่เคยเห็นใครตายเลย แม้กระทั่งในนครที่ประชากรถูกโรคร้ายคุกคามเช่นนี้ เธอยังเด็กเกินไป แถมยังเป็นลูกตระกูลขุนนางสำคัญที่ได้รับการจัดสรรพลังรักษาให้อย่างเพียงพอหากมีผู้ใดเจ็บป่วย ความคิดที่ว่าใครบางคนที่เธอรู้จักจะต้องตายในไม่ช้านี่ทำให้เธอหวาดกลัว...กลัวเสียจนรักษาความเยือกเย็นเหมือนเดิมเอาไว้ไม่ได้

    และยิ่งเป็นคนที่ยังอายุน้อย...ยิ่งเป็นสโนว์เพื่อนสนิทของเธอ ก็ยิ่งทำให้เด็กสาวรู้สึกไม่สบายใจและเคว้งคว้างยิ่งไปกว่าเดิม

    "นายต้องไม่ตายนะ สโนว์" เด็กสาวพูดอย่างหนักแน่น "องค์คลาริอุสต้องรักษานายได้สิ"

    "แต่องค์คลาริอุสเสด็จมาไม่ได้" สโนว์ตอบ

    เอสเมอรัลด้าผุดลุกขึ้นยืน

    "เดี๋ยวก็รู้กัน" เธอเอ่ยอย่างแน่วแน่ "ฉันสัญญานะ สโนว์ พรุ่งนี้องค์หญิงฟลอริน่าจะเสด็จมารักษานายแน่"

    ว่าแล้วเด็กสาวก็ออกจากบ้านเขาตรงไปยังพระราชวังทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอจะต้องเกลี้ยกล่อมให้องค์หญิงฟลอริน่ามาให้ได้


    เอสเมอรัลด้ารู้จักทางในพระราชวังดี และเธอก็มีสิทธิ์ที่จะสามารถเข้าไปในห้องใดก็ตามได้ทั้งนั้นนอกเสียจากจะมีการประชุมสำคัญ เด็กสาวตรงไปที่ห้องบรรทมขององค์หญิงฟลอริน่าก่อนจะเคาะประตูเบาๆ

    "เอสเมอรัลด้าเองเพคะ" เด็กสาวเอ่ยก่อนจะรออย่างใจเย็น

    อเล็กซ์เปิดประตูออกมาในที่สุด แต่แทนที่จะเปิดประตูไว้ให้เอสเมอรัลด้าเข้าไป เขากลับออกมาจากห้องแล้วปิดประตูลงด้านหลัง

    "มีอะไรเหรอเอสเมอรัลด้า" เด็กหนุ่มถาม "องค์หญิงทรงพระประชวรหนักมาก ห้ามไม่ให้ใครรบกวนทั้งนั้น"

    หากว่าความโกรธของเอสเมอรัลด้าจะคลายลงบ้างในระหว่างที่เดินมาถึงที่นี่ มันก็กลับปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อพบหน้าอเล็กซ์ แม้สีหน้าของเด็กหนุ่มจะซีดอิดโรย ขอบตาคล้ำเป็นรอยดำ หากเอสเมอรัลด้าที่มัวแต่คิดถึงเรื่องที่เด็กรับใช้บอกเธอถึงการกระทำของเขากลับมองข้ามไปเสีย

    "จริงรึเปล่าที่นายห้ามไม่ให้องค์หญิงเสด็จไปรักษาสโนว์" เด็กสาวถามด้วยเสียงที่พยายามข่มอารมณ์ไว้

    อเล็กซ์มองเด็กสาวด้วยสายตาเยือกเย็นก่อนจะเอนหลังพิงผนัง

    "จริง" เขาตอบเบาๆ

    "แต่สโนว์อาจจะตายได้นะ!" เอสเมอรัลด้าตะโกนออกมาในทันใดทั้งที่ริมฝีปากสั่นระริก "เขาไม่ได้แข็งแรงเหมือนคนอื่นๆ นะอเล็กซ์ แถมยังเป็นโรคผลึกจางด้วย..."

    อเล็กซ์ที่สังเกตได้ว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายกำลังปั่นป่วนมากจึงได้คลายทีท่าเย็นชาลง แววมืดมนในดวงตาจางหายไป

    "ฟังนะเอสเมอรัลด้า" เด็กหนุ่มพูดพลางเปลี่ยนอิริยาบถเล็กน้อย เพื่อพยุงร่างที่เหนื่อยอ่อนของตนไว้ น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนโยนแสดงความเห็นใจขึ้นในตอนนี้ "ไม่มีใครที่เป็นโรคผลึกจางแล้วตายภายในสองวันหรอก สโนว์ยังมีโอกาสรอดจนถึงมะรืนนี้"

    "นายรู้ได้ยังไง!" เอสเมอรัลด้าถามกลับอย่างโกรธกรุ่น กำมือจนเป็นหมัดแน่น

    อเล็กซ์เลิกคิ้วขึ้นในทันที เขาไม่เคยเห็นเอสเมอรัลด้าโกรธจริงๆ มาก่อนเลย แต่เด็กหนุ่มยังคงอธิบายต่อไปได้อย่างใจเย็น

    "ฉันรู้ก็เพราะฉันอยู่กับองค์หญิงแล้วศึกษาอาการของโรคนี้มาได้พักนึงแล้ว"

    "ฉันจะเข้าเฝ้าองค์หญิง!" เอสเมอรัลด้าสั่ง "องค์หญิงต้องไม่รู้สึกเหมือนนายแน่!!"

    "ก็ใช่" อเล็กซ์ตอบด้วยน้ำเสียงใจเย็น "แต่ความรู้สึกขององค์หญิงจะเป็นยังไงไม่เกี่ยวในตอนนี้"

    สีแก้มของเอสเมอรัลด้ายิ่งแดงก่ำด้วยความโกรธเคืองเมื่อเห็นความเย็นชาของอเล็กซ์

    "นายมันเลือดเย็นแล้วก็เห็นแก่ตัวที่สุด!!" เธอตวาดอีกฝ่ายทั้งดวงตาเป็นประกายวาบ "นายไม่เคยห่วงใครเลยนอกจากองค์หญิง แล้ว..." เด็กสาวเสริม "ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นายมีสิทธิ์ตัดสินใจแทนองค์คลาริอุส! กระทั่งท่านหญิงแบล็คเพิร์ลยังไม่เคยห้ามองค์หญิงให้เสด็จไปรักษาใครเลย!!"

    อเล็กซ์ฟังคำพูดของเธออย่างเงียบๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ หากดวงตาของเขากลับดูมืดมนด้วยความโกรธกรุ่น หลังจากที่เอสเมอรัลด้าพูดจบ เขาก็จ้องมองเธอเขม็งด้วยดวงตาคู่นั้น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

    "ฟังนะ อีหนู ตอนนี้องค์หญิงมีโอกาสตายมากกว่าสโนว์เสียอีก องค์หญิงออกไปรักษาคนติดต่อกันนานไม่รู้จักหยุดจนตอนนี้ต้องพักผ่อนได้แล้ว เธออาจจะไม่สนว่าองค์หญิงอาจต้องตายแลกชีวิตกับเพื่อนเธอ...แต่ฉันสน วันนี้องค์หญิงจะไม่ไปไหนทั้งนั้น เลิกกันที เข้าใจมั้ย"

    คำพูดของเขาดูจะทำให้ความโกรธของเอสเมอรัลด้าเลือนหายไป ร่างของเด็กสาวค่อยคลายความเกร็งลง เธอก้มหน้าลงซ่อนสองแก้มที่เป็นสีแดงจัดด้วยความละอาย

    "ข...ขอโทษ!" เธอพูดตะกุกตะกัก มือที่กำแน่นจ่ออยู่กับปากของตนด้วยท่าทางเหมือนจะสำนึกผิด "ฉันไม่รู้เลยว่าพระอาการองค์หญิงจะหนักขนาดนั้น...ฉันแค่เป็นห่วงมาก!!"

    อเล็กซ์ต้องแปลกใจเมื่อเธอถลาเข้าหาเขา สองแขนโอบไหล่ของเด็กหนุ่มไว้แน่น

    "ก็ฉันไม่อยากให้สโนว์ตายนี่นา!!"

    "เดี๋ยวๆ อีหนู อย่าร้อนใจไป" อเล็กซ์พูด ความโกรธเคืองของเขาเองก็ปลาสนาการไปเช่นกัน เด็กหนุ่มตบหัวเอสเมอรัลด้าเบาๆ อย่างปลอบโยน "ฉันอาจจะช่วยอะไรบางอย่างได้นะ"

    เอสเมอรัลด้าเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาที่ฉายแววความหวัง และรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของอเล็กซ์ในตอนนี้

    "จำยาที่ฉันให้องค์หญิงเป็นประจำได้มั้ย มันน่าจะช่วยบรรเทาอาการสโนว์ได้นะ"

    เอสเมอรัลด้ายกมือขึ้นปาดหน้า

    "ขอบคุณนะ" เธอเอ่ยขลุกขลักในลำคอ

    "อย่าเศร้าไปซี่" อเล็กซ์เอ่ยอย่างอ่อนโยน เขาถอยออกห่างเด็กสาวไปหน่อยก่อนจะส่งยิ้มให้เธอแล้ววางมือลงบนไหล่อีกฝ่าย "ฉันไม่เคยเห็นเธอแสดงอารมณ์แบบนี้มาก่อนเลยนะ อีหนู ไม่สมกับเป็นนักวิทยาศาสตร์เลย แล้วถ้าขืนทำแบบนั้นอีกล่ะก็..." เด็กหนุ่มขยิบตาให้เธออย่างเหน็บแนม "ฉันจะปล่อยข่าวลือเรื่องเธอกับหนุ่มไม้เสียบผีนั่นไปให้ทั่วเลยเอ้า"

    สีแก้มของเอสเมอรัลด้าชักแดงเรื่อขึ้นอีกครั้ง แต่เธอก็ควบคุมอารมณ์และตอบกลับไปได้ด้วยน้ำเสียงที่เรียบพอดู

    "ถ้านายทำอย่างนั้นจริงๆ...ฉันก็จะแฉเรื่องนายให้เอลาซัลฟังจนหมดเปลือกเลยอเล็กซ์"

    อเล็กซ์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งให้เธอ

    "หมายความว่ายังไงกัน"

    "นายก็รู้อยู่แก่ใจนี่" เอสเมอรัลด้าตอบเป็นนัยๆ พร้อมกับจ้องตรงไปที่ตาของอเล็กซ์ หากอเล็กซ์เพียงแต่หัวเราะตอบก่อนจะลุกขึ้นยืน เสยผมแล้วลูบเสื้อแจ็คเก็ตสีมืดที่สวมอยู่

    "แย่หน่อยนะ หนูเอ๋ย วิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลกับฉันหรอก" เด็กหนุ่มตอบกลับง่ายๆ "เอลาซัลรู้เรื่องเลวๆ ของฉันมากกว่าที่เธอคิดเสียอีก"


    องค์หญิงฟลอริน่ารวบรวมพระกำลังพอเสด็จไปรักษาสโนว์ได้ในสองวันถัดมา ยาของอเล็กซ์ช่วยพยุงอาการของสโนว์ให้ทรงไว้ถึงตอนนั้น และเขาก็รอดพ้นจากอาการป่วยมาได้พร้อมกับฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ ทุกขณะ

    แต่เพียงหลังจากนั้นไม่นานพระอาการขององค์หญิงฟลอริน่ากลับทรุดลงอีกครั้ง เนื่องจากการรักษาสโนว์ทำให้พระองค์เสียพระกำลังที่ฟื้นฟูจากการพักผ่อนครั้งที่แล้วไปมาก มิหน้ำซ้ำพระอาการประชวรครั้งนี้ยิ่งเรื้อรัง พระองค์ถึงกับซมไปหกวัน และในระหว่างนี้อเล็กซ์ก็ห้ามไม่ให้ใครทูลขอให้พระองค์ไปรักษาอีกเด็ดขาด

    วันที่เจ็ด เอลาซัลมาเยี่ยมดูพระการ และพบองค์หญิงฟลอริน่าประทับนั่งอยู่บนแท่นบรรทม สีพักตร์เรียวซูบซีดหากเห็นได้ชัดว่ายังมีกำลังใจดี วรองค์บอบบางในฉลองพระองค์ผ้าลูกไม้สีขาวดูราวกับเด็กตัวเล็กๆ

    "องค์หญิงบ่นว่าผมห้ามเค้าลุกจากเตียงนานไปแน่ะ" อเล็กซ์รีบฟ้องเอลาซัล

    เอลาซัลนั่งลงข้างพระแท่นขององค์หญิงก่อนจะมองพระองค์อย่างพินิจพิเคราะห์ แวบแรกคิดได้ว่าดูพระอาการยังไม่สู้ดีเลย แต่ก็ยังดีที่สีพักตร์ดูสงบ และแววรื่นรมย์เป็นปกติวิสัยในดวงเนตรทำให้พระองค์ดูสดใสขึ้น

    "ถ้าสภารู้เข้าละก็เรื่องยุ่งเชียวนะ" ชายหนุ่มพูด "ทางนั้นต้องไม่พอใจแน่ที่นายไม่ยอมให้องค์หญิงออกปฏิบัติหน้าที่นานขนาดนี้"

    อเล็กซ์ที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้มะฮอกกานีตัวสวยชิดผนังข้างแท่นบรรทมขององค์หญิงและดูเหมือนจะยุ่งอยู่กับเอกสารอะไรบางอย่างพูดโดยไม่หันมามองในทันที

    "องค์หญิง ขอบอกไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่คนเอาความคิดแบบนั้นไปใส่สมองเอลาซัลนะ"

    แต่องค์หญิงฟลอริน่ามิทรงว่าอันใด และตรัสเชิญเอลาซัลให้อยู่ด้วยสักพัก

    "เห็นไหม เขาเอาแต่นั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างนี้แหละ" พระองค์ตรัสพลางพยักพเยิดไปทางอเล็กซ์ด้วยท่าทางโทมนัสนิดๆ "อ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว ไม่ยอมทำหน้าที่ตลกส่วนตัวของเราเลย"

    "แล้วทำไมผมต้องทำด้วยล่ะ" อเล็กซ์พูดด้วยเสียงรื่นเริง

    "ไม่ต้องถามเลย เป็นอัศวินของเราก็ต้องทำตามคำสั่งของเราสิ" องค์หญิงตรัสเรียบๆ

    พออย่างนี้อเล็กซ์เลยหยุดอ่านแล้วหันหน้ามาทางเอลาซัลพร้อมกับทำสีหน้าเศร้าๆ เหมือนจะขอความเห็นใจ

    "เห็นมั้ย ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ" เขาถาม

    "น่าเห็นใจนายนะ" เอลาซัลตอบแห้งๆ อเล็กซ์เลยจ้องเขาเขม็งเสียจนสีหน้าชายหนุ่มเริ่มเรื่อๆ ขึ้นมาแล้วพูดว่า

    "นายอ่านหนังสือต่อไปเถอะอเล็กซ์"

    รอยยิ้มหยันๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเด็กหนุ่ม แต่เขาก็หันกลับไปอ่านหนังสือต่อตามเดิม เอลาซัลเองก็เบือนหน้ากลับไปหลังจากนั้นไม่นาน แววความรู้สึกในดวงตาของชายหนุ่มดูเลื่อยลอยราวกับกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างที่อยู่ไกลแสนไกลออกไป ไม่ได้สังเกตเลยว่าองค์หญิงฟลอริน่ากำลังทอดพระเนตรเขาอยู่อย่างพินิจพิเคราะห์

    แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเอลาซัลก็ลุกขึ้นยืน

    "รู้สึกว่านายจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่นะ" เขาเอ่ยขึ้น "ฉันขอตัวก่อนแล้วกัน"

    "ได้สิที่รัก" อเล็กซ์ตอบโดยไม่หันมามอง

    เอลาซัลหน้าแดงวาบขึ้นมาในทันใด สายตาของเขารีบเลื่อนไปทางองค์หญิงฟลอริน่าที่พยายามกลั้นเสียงสรวลไว้อย่างสุดความสามารถ พระองค์เงยพักตร์ขึ้นสบเนตรกับเขา และเพียงครู่เดียวทั้งสองก็เข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดอะไรอีก รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเอลาซัล แม้สีหน้าของเขาจะยังแดงเหมือนเดิม แต่เขาก็พูดเพียง

    "ถ้าอย่างนั้นผมขอทูลลานะครับ"

    อเล็กซ์ดูท่าจะไม่ได้ยินเสียงของเอลาซัล และยังคงนั่งหันหลังให้กับทั้งสองแม้เอลาซัลจะออกไปจากห้องและปิดประตูลงแล้ว

    หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง องค์หญิงฟลอริน่าจึงเอนพระวรกายมาทางเด็กหนุ่ม

    "อเล็กซ์" พระองค์ตรัสเรียก

    "อะไรเหรอ" อีกฝ่ายขานรับอย่างร่าเริง

    "รู้ตัวหรือเปล่าว่าตะกี้เธอเรียกเอลาซัลว่าอะไร"

    "อะไรล่ะ" อเล็กซ์ถามอย่างไม่สนใจนัก

    "เธอเรียกเขาว่า 'ที่รัก' นะ"

    อเล็กซ์ชะงักกึกก่อนจะหมุนเก้าอี้มาทางองค์หญิง

    "จริงน่ะ?" เขาถามด้วยท่าทางงุนงง "ผมไม่ทันคิด"

    "เข้าใจล่ะ แต่อย่าทำอย่างนี้อีกเลยนะ...เราขอร้อง" องค์หญิงตรัสเสริม "นอกเสียจากเธอคิดจะเผยความจริง..."

    แต่อเล็กซ์ดูจะไม่สนใจพูดต่อ แล้วหันกลับไปง่วนกับเอกสารอีกครั้ง

    "ผมจะพยายามแล้วกัน แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก" เด็กหนุ่มเสริมพร้อมกับยักไหล่อย่างไม่สนใจ

    "แต่เราคิด" องค์หญิงตรัสเศร้าๆ ก่อนจะคลุมพระวรกายด้วยผ้าห่มผืนหนาอีกครั้งแล้วหันไปทอดพระเนตรเขา "นึกว่ามีแต่เราเท่านั้นเสียอีกที่เธอเรียกว่า 'ที่รัก' น่ะ"

    "ฟลอริน่า..." อเล็กซ์เอ่ยด้วยเสียงที่เปลี่ยนไป "ผมพยายามจะรวบรวมสมาธิมาเป็นชั่วโมงแล้วนะ ตอนนี้กรุณาอย่ารบกวนเลย"

    "บางทีเธอก็สมเป็นชายชาตรีจริงนะ" องค์หญิงฟลอริน่าถอนพระทัยพลางเอนลงพิงหมอน

    "น่าทึ่งใช่มั้ยล่ะ" อเล็กซ์ตอบเสียงเย็นๆ

    "เราชอบอเล็กซ์มากนะ" องค์หญิงตรัสพร้อมกับที่สายพระเนตรเลื่อนลอยจ้องมองไปที่ผนังห้องสีครีมตรงกันข้าม "เธอจะแยกร่างออกมาเป็นสองคนแล้วให้อเล็กซ์ตัวจริงอยู่กับเราได้ไหมนะ"

    "รู้สึกวันนี้ฟลอริน่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวชอบกลแฮะ" อเล็กซ์ว่าเหมือนจะจับผิด

    องค์หญิงฟลอริน่าถอนพระทัยอีกครั้ง พระองค์เอียงปรางค์ข้างหนึ่งลงแตะกับหมอนสีขาว แล้ววางหัตถ์รองไว้ด้านล่างก่อนจะหันพระพักตร์ไปทางผนังห้อง

    "เราแค่รู้สึกอยากจะรักใครสักคนล่ะมั้ง..." พระองค์ตรัสลอยๆ "เธอจะอนุญาตให้เรารักเอลาซัลไหมนะ"

    "ตามใจฟลอริน่าสิ" อเล็กซ์ตอบเรียบๆ

    เด็กหนุ่มพอมีเวลาว่างสำหรับการสนทนามากขึ้นหลังจากที่เขาเก็บกองเอกสารเพื่อพักชั่วครู่ เขาหมุนเก้าอี้หันมามององค์หญิงฟลอริน่าด้วยสีหน้าขบขัน

    "มีอะไรเหรอที่รัก"

    องค์หญิงผินพักตร์มาทางเขา ก่อนรอยแย้มสรวลอันอ่อนหวานจะปรากฏขึ้น

    "ก็...เราเพิ่งนึกถึงซาริสทินขึ้นมาได้"

    อเล็กซ์ดูจะสนใจ

    "ไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเลย...เป็นคนพิเศษหรือเปล่า" เด็กหนุ่มขยิบตาให้กับองค์หญิง "คงไม่ได้เป็นคนพิเศษเท่าผมใช่มั้ย"

    องค์หญิงทรงพระสรวลสั้นๆ

    "ไม่มีใครพิเศษเหมือนเธอหรอก อเล็กซ์ เธอน่ะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างที่ใครเลียนแบบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ"

    "นี่ไม่ใช่คำตอบที่ผมอยากฟังนะ" อเล็กซ์ตอบกลับ หากองค์หญิงฟลอริน่ากลับทำเป็นไม่สนแล้วตรัสต่อไป ดวงเนตรเลื่อนลอยทอดไปทางผนังอีกครั้ง

    "ซาริสทินเป็นจูมิแห่งศิลานภา...จะเรียกว่าเป็นคนแปลกแยกก็คงได้ ถึงเขาจะเป็นชาวจูมิคนเดียวที่ออกจากนครอัญมณีไปแล้วไม่ถูกตราหน้าแบบนั้น เขาไปจากที่นี่เมื่อนานมาแล้วล่ะ...ตอนที่เราอายุเท่าเอสเมอรัลด้าได้ เขาเคยฝึกเป็นอัศวินกับแบล็คเพิร์ล...แถมยังเป็นลูกศิษย์เอกเสียด้วย เพราะอย่างนี้แบล็คเพิร์ลเลยไม่ห้ามเขา พ่อแม่ของเขาเป็นสหายของเสด็จพ่อ เราก็เลยได้พบเขาหลายครั้ง เขาน่ะ..." รอยแย้มสรวลบนดวงพักตร์บอกให้รู้ว่าพระองค์กำลังรำลึกถึงความหลัง "...ดีกับเรามาก เขาเป็นคนที่ทั้งสูงสง่าหน้าตาดี...แล้วเราก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้แต่ชื่นชมเขาอยู่ห่างๆ เท่านั้น"

    อเล็กซ์จ้องมองพระองค์เหมือนจะสำรวจตรวจตรา แต่สีหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นในทันที

    "แค่ดูก็รู้แล้วว่าแอบชอบเขาอยู่" เด็กหนุ่มว่า

    องค์หญิงฟลอริน่าทรงพระสรวลสั้นๆ

    "ก็อย่างที่บอก...แค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ตามประสาเด็กเท่านั้นแหละ! เวลาผ่านมาตั้งนานแล้วนะ เราได้ยินว่าเขากลายเป็นอัศวินมังกรไปแล้ว คงจะไม่กลับนครอัญมณีอีกแล้วกระมัง"

    "งั้นเหรอ" อเล็กซ์ตอบก่อนจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่สายตามององค์หญิงเหมือนกับชั่งใจว่าจะพูดต่อไปดีหรือไม่ แต่แล้วเขาก็ยืดกายขึ้นเอ่ยด้วยเสียงร่าเริง "เดี๋ยวเราก็จะมีเวลาไปตามหาเขาเองล่ะ...ถ้าฟลอริน่าอยากพบเขาจริงๆ"

    องค์หญิงฟลอริน่าเลื่อนสายพระเนตรมาทางเด็กหนุ่ม ก่อนจะทรงผุดลุกขึ้นนั่งบนพระแท่น

    "อเล็กซ์ นี่เธอคงไม่ได้...คิดจะทำอย่างที่พูดจริงๆ นะ"

    "ผมคิดจริง แล้วก็จะทำจริงด้วย" อเล็กซ์ตอบพลางเลื่อนนิ้วไปลูบปอยผมสีน้ำตาลที่ย้อยลงเหนือคิ้วเล่น "อีกสามวันเราจะไปจากเมืองนี้กัน ผมไม่รู้ว่าฟลอริน่ารู้สึกยังไง แต่ว่า..." เด็กหนุ่มเสริมทั้งรอยยิ้ม "ผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองได้เลยถ้าปล่อยให้ฟลอริน่าต้องตายอย่างนี้"

    องค์หญิงหลบดวงเนตรลงต่ำพร้อมกับกัดริมโอษฐ์เบาๆ

    "อเล็กซ์...เรา..."

    เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น วางมือจากงานที่ทำอยู่

    "ฟลอริน่าจะไม่ไปกับผมเหรอ"

    หัตถ์สั่นๆ ลูบผ้าห่มไหมสีฟ้าอย่างตื่นๆ

    "เราเป็นห่วง...ชาวจูมิที่ป่วย...นะ..."

    อเล็กซ์นิ่งอึ้งมองพระองค์ไปครู่หนึ่ง พระวรกายผ่านผอมจนเกือบเหลือหนังหุ้มกระดูก หัตถ์บอบบางแทบมองเห็นเส้นเลือดภายใน สองปรางค์หรือก็ซีดขาว กระทั่งนัยเนตรสีเทาที่เคยปรากฏประกายสดใสสีฟ้าจางๆ อยู่เป็นนิจก็กลับด้านชาแห้งผาก เกษาตรงสีน้ำตาลที่ถูกปล่อยสยายตกลงปรกอังสะบอบบางยิ่งแห้งกรอบไร้ความเงางาม

    "พวกนั้นก็แค่จะหาใครซักคนมาแทนฟลอริน่า...แต่จะเป็นใครผมก็ไม่สนหรอก" เด็กหนุ่มพูดเสียงขื่นๆ ดูจะอารมณ์เสียขึ้นมาในทันใด "ฟลอริน่าคิดว่าตัวเองจะอยู่ไปได้นานแค่ไหนในสภาพแบบนี้"

    องค์หญิงฟลอริน่ามิตรัสอะไรไปเป็นนาน และอเล็กซ์ก็มองพระวรกายที่คู้ลงต่อไป

    "ผมขอเตือนนะ..." เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างเคร่งขรึม "...ว่าถ้าฟลอริน่าไม่ตกลง ผมจะบังคับใช้กำลังพาไป"

    องค์หญิงฟลอริน่าทรงพระสรวลขณะหัตถ์บอบบางเลื่อนขึ้นปาดดวงเนตร หากเสียงสรวลนั้นก็สั่นๆ และฟังดูไม่ดีพระทัยเอาเสียเลย

    "ม...ไม่จำเป็นหรอก ร...เราจะไปกับอเล็กซ์อยู่แล้ว"

    และในวันถัดมา...หิมะที่ซาลงในเดือนธันวาคมก็ได้ต้อนรับท่านหญิงแบล็คเพิร์ลกลับสู่นครอัญมณี...


    เกือบสี่เดือนมาแล้วตั้งแต่ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลออกเดินทางไปสู่หอคอยแห่งเลย์เรส หอคอยนั้นใช้เวลาเดินทางจากนครอัญมณีจนถึงในสองสัปดาห์ และไม่มีใครรู้เลยว่าทำไมการเดินทางไปกลับคราวนี้จึงได้กินเวลานานกว่าปกติไปมาก เมื่อกลับมาถึงแล้ว ท่านหญิงเรียกประชุมลับกับไดอาน่าและรูเบ็นส์ในทันที ไม่มีใครรู้แน่ว่าภารกิจของท่านหญิงเสร็จสิ้นลงด้วยดีหรือไม่ และบรรดาชาวเมืองก็ได้แต่โจษจันร่ำลือกันไปต่างๆ นานา

    ทว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน คืออเล็กซ์ต้องส่งมอบตำแหน่งอัศวินประจำองค์คลาริอุสคืนให้กับแบล็คเพิร์ลในไม่ช้านี้

    เอลาซัลเห็นจำเป็นที่จะไปหาอเล็กซ์และเตือนเขาเรื่องกำหนดการส่งมอบที่ใกล้เข้ามาทุกที และเขาก็ปะเด็กหนุ่มเข้าที่ถนนในวันหนึ่ง จึงได้ขอเวลาพูดด้วยสักครู่

    "ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงองค์หญิง...แต่อย่าให้ท่านหญิงรู้เชียวนะ" ชายหนุ่มเตือน "จำไว้นะ อเล็กซ์ ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลจะไม่ให้อภัยแน่ถ้านายคิดจะต่อต้าน"

    อเล็กซ์ฟังคำเตือนของเอลาซัลด้วยสีหน้าแน่วแน่ และหลังจากเอลาซัลหยุดพูดแล้ว เขาก็ถามพร้อมด้วยรอยยิ้มเยาะ

    "นี่คุณกลายเป็นโฆษกประจำตัวแบล็คเพิร์ลไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันเอลาซัล"

    เอลาซัลไม่ใช่คนใจเย็นนัก และเขาก็เริ่มจะอารมณ์เสียขึ้นมาแล้ว

    "อย่าเฉไฉออกนอกเรื่องเลยน่าอเล็กซ์ นี่ฉันเป็นห่วงนายหรอกนะ"

    "แต่ไม่ได้ห่วงองค์หญิงฟลอริน่า" อเล็กซ์ย้อนด้วยเสียงถากถาง

    ดวงตาของเอลาซัลลุกวาบด้วยความโกรธเคือง

    "ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้นะอเล็กซ์"

    อเล็กซ์ยังคงยืนกอดอกพิงกำแพง ดวงตาสีเข้มเป็นประกายขณะที่เขาจ้องตรงไปเบื้องหน้าโดยไม่ได้มองอะไรเป็นพิเศษ

    "ขอโทษที่พูดแบบนั้น" เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นในที่สุดก่อนจะยืดกายขึ้น ยังคงไม่ยอมมองหน้าเอลาซัล "แต่ถ้าคุณคิดว่าจะทำให้ผมคุกเข่าลงพินอบพิเทาต่อหน้าแบล็คเพิร์ลได้ล่ะก็ผิดไปแล้ว เอลาซัล แต่ก็นะ ผมไม่ใช่ 'หมาวัด' ที่พยายาม 'เห่า' ให้ 'ดอกฟ้า' หันมาสนใจนี่นา" ดวงตาของเขาปรายมองเอลาซัลเหมือนจะเยาะหยัน

    เอลาซัลจ้องมองเด็กหนุ่มเขม็งอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นห้วนๆ

    "ไปตายซะ อเล็กซ์...ทั้งแกกับความรั้นโง่ๆ ของแกนั่นแหละ!!"

    ชายหนุ่มกลับหลังหันเดินจากไป อเล็กซ์ยังคงมองตามหลังเขาไปจนลับสายตาก่อนจะหัวเราะออกมาในทันใด

    เด็กหนุ่มยังคงหัวเราะต่อไปทั้งที่รู้สึกปวดท้องจนต้องงอตัวลงพิงกำแพงข้างถนน ผู้คนที่สัญจรผ่านหันมามองเขาอย่างสงสัย แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ ยังคงนั่งยองๆ พิงกำแพงอยู่เช่นนั้น รอยยิ้มที่ดูประหลาดปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก

    "ด่าผมเลยสิเอลาซัล...ประณามผม...สาปแช่งผม..." เด็กหนุ่มพูดกับตนเอง "ผมมันเลวจริงๆ นั่นแหละ! แต่ที่นี่มันก็เลวร้ายยิ่งกว่าที่ที่ผมเคยอยู่เสียอีก ตอนอยู่ที่นั่น...ผมยังควบคุมตัวเองได้ แล้วผมก็ไม่สนใจอะไรอย่างอื่นเลยซักนิด แต่ที่นี่ผมกลับควบคุมตัวเองไม่ได้..." นิ้วอันสั่นเทาจิกเข้าไปในอุ้งมือจนเจ็บแปลบ และรอยยิ้มกลับกลายเป็นมุมปากที่หักลง "ผมเกลียดมัน แต่ผมจะต้องควบคุมตัวเองให้ได้อีก...ในไม่ช้านี่แหละ!!"



    Author's Note: ข้อมูลของซาริสทินที่จะออกในไม่ช้านี่ค่ะ
    ซาริสทิน (จูมิแห่งศิลานภา) เทียบกับมนุษย์แล้วอายุ 28 ปี มีผลึกชีวิตเป็นหินอุกกาบาต ไม่เคยถูกนักล่าพลอยตามล่า (เพราะเขามีฝีมือมากกว่า) เป็นอัศวินมังกรของมังกรปัญญาแห่งวายุ

    ส่วนสูงตัวละคร
    ซาริสทิน- 6'4"
    รูเบ็นส์- 6'2"
    เอลาซัล- 6'
    แบล็คเพิร์ล- 5'10"
    อเล็กซ์- 5'8"
    สโนว์- 5'7"
    ฟลอริน่า- 5'5"
    เอสเมอรัลด้า- 5'4"
    แอมเบอร์- 5'4"
    ไดอาน่า- 5'3"
    แซฟไฟร์- 5'3"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×