ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตรัก...อัญมณี

    ลำดับตอนที่ #11 : ศึกชิงรักกลางไพร

    • อัปเดตล่าสุด 26 พ.ค. 59


     

      


                   “สุดยอด!! สวรรค์มาขอรับอัญมณีกลับคืน นิทานเรื่องนี้สนุกดีนะ”

    ปิญชาน์ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ปิญชาน์หันขวับมาจ้องหน้า พูดเสียงเครียด

    “ไม่ใช่นิทานนะ นี่คือเรื่องจริง ภัยพิบัติเมื่อ 93 ปีก่อน เป็นเรื่องจริง อีก 7 ปี ที่จะเกิดขึ้น ก็เป็นของจริงเหมือนกัน ถึงตอนนั้นถ้ายังหาอัญมณีไม่เจอ เธอกับฉัน และเราทุกคน อาจจะต้องตายก็ได้”

    ปิญชาน์เงียบไปในบันดล ไม่ใช่เพราะกลัวหล่อน แต่นึกหมั่นไส้ขึ้นมาจึงขี้เกียจโต้ เพชรกล้ามีท่าทางสงบเยือกเย็นที่สุด เมื่อฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เขายังคงถามเรื่องคาใจอย่างละเอียด ตามประสานักคิดที่ลึกซึ้ง

    “คุณพ่อของคุณ รู้เรื่องนี้ได้ยังไงหรือ”

    “คุณพ่อมีตำรา...ท่านบอกว่าเจอโดยบังเอิญน่ะ”

    “อืม...ดูเหมือนตำราอัญมณีที่จารึกเรื่องนี้ จะมาปรากฏตัวให้กับคนที่มีชะตากรรมเกี่ยวข้องกันได้รู้จนครบทุกคนแล้วนะ”

    หลวงปู่นิลบอกเอื่อยๆ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง คล้ายจะนั่งสมาธิ ปิณฑิรารีบถามอย่างร้อนใจ

    “หลวงปู่คะ ตกลงว่า หลวงปู่ทราบร่องรอยของอัญมณี 5 ธาตุบ้างไหมคะ”

    “สวรรค์ลิขิตไว้แล้ว คนควรรู้ก็ย่อมรู้ คนไม่ควรรู้ก็ย่อมไม่รู้ต่อไป!

    หลวงปู่นิลเอ่ยเพียงแค่นั้น ก็นำจิตเข้าสู่สมาธิทันที ปิณฑิราอึ้ง ปิญชาน์สะกิดเพชรกล้า กระซิบถาม

    “หลวงปู่พูดอะไรน่ะ งงจัง”

    ปิณฑิราหันมาจ้องเพชรกล้าด้วย เหมือนไม่เข้าใจความหมายเช่นกัน เขาบอกตามความคิดตน

    “ท่านหมายถึงว่า ปล่อยไปตามชะตากำหนด เมื่อถึงเวลาที่สมควรรู้ ก็จะรู้ได้เอง”


     

    มุกตาภานั่งลง สีหน้าครุ่นคิด ก่อนเอ่ยออกมาตามความรู้สึก

    “ฉันไม่สนเรื่องช่วยโลกอะไรนั่นหรอกนะ ภัยพิบัติจะเกิดจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ ถึงจริงเราจะห้ามได้เมื่อไหร่ เมื่อมันเป็นภัยธรรมชาติ โยนอัญมณีเข้าไปก็จบเรื่อง ออกจะตลกเกินไปหน่อยแล้ว อาจารย์ เห็นว่ายังไง”

    “มันก็...เป็นเรื่องเหลือเชื่อ จริงหรือไม่จริง ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

    ไตรทศตอบแบบระวังตัว ศิษย์เอกผู้ปราดเปรื่องยิ้มนิดหนึ่งอย่างรู้ทัน

    “แต่ที่รู้และเชื่อ คือ...พลังของอัญมณี 5 ธาตุใช่ไหม!

    “คุณหนูก็สนใจเรื่องนี้?

    “แน่นอนอยู่แล้ว พลังจิต มองเห็นอนาคต อำมตะ เวทมนตร์ สลายพลัง คุณสมบัติทั้งหมดนี้ ใครได้ยินแล้วไม่หูผึ่งกันบ้าง ในเมื่อมีสิ่งที่เหนือกว่า แล้วทำไมถึงจะไม่กระตือรือร้นหามาไว้ครอบครอง อาจารย์เองก็สนใจเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่งั้นไม่นั่งจ้องมันแล้วยิ้ม ตอนอยู่บนเครื่องบินหรอก ถูกไหมคะ อาจารย์”

    “ครับ”

    ไตรทศตอบรับง่ายๆ สีหน้าขรึม คอยจับจ้องปฏิกิริยาของลูกศิษย์สาวอย่างระวังตัวอยู่ทุกขณะ

    “แล้ว...ตำราได้จารึกไหมว่า ถิ่นฐานของอัญมณีทั้งห้าอยู่ที่ไหน?

    นี่เป็นคำถามที่ไตรทศไม่อยากเจอมากที่สุด เขากรอกตา ใช้สมองขบคิดหนักหน่วงว่าจะหลบเลี่ยงยังไงดี โชคดีที่ความเฉลียวฉลาดเกินควรของหล่อน มาเป็นตัวช่วยให้เขารอดพ้นจากสถานการณ์บีบคั้น โดยไม่รู้ตัว

    “แหม! ฉันนี่ก็โง่จัง ไม่น่าถามเลย ก็ต้องเป็นที่ที่เกิดภัยธรรมชาติทั้งห้าแห่งทั่วโลกน่ะสิ เอ...มีที่ไหนบ้างนะ ตั้ง 93 ปีมาแล้ว จำไม่ได้แล้ว ต้องไปศึกษาดูใหม่”

    หญิงสาวท่าทางตื่นเต้นยินดี หารู้ไม่ว่า ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังลอบถอนใจโล่งอก ในความเข้าใจผิดนั้น



     

    ในป่าเพชร... เพชรกล้าลุกขึ้นยืน เดินมือไพล่หลัง กล่าวอย่างสุขุมเยือกเย็น แบบใช้ความคิด

    “ภัยพิบัติทั้งห้า... แผ่นดินไหว เกิดที่บราซิล คลื่นยักษ์ เกิดที่แอฟริกาใต้ ลมพายุ เกิดที่อเมริกา ภูเขาไฟระเบิด เกิดที่ญี่ปุ่น อุกกาบาตพุ่งชนโลก เกิดที่รัสเซีย รวมแล้วเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก ในห้าทวีป ถ้าจะหาอัญมณี 5 ธาตุให้เจอ คงยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร”

    “ยิ่งกว่างมเข็มอีกมั้ง พลิกทั้งทวีปหา อย่าว่าแต่เจ็ดปีเลย อีกเจ็ดชาติก็ไม่รู้จะเจอรึเปล่า”

    ปิญชาน์พูดตรงๆ ปิณฑิราลุกขึ้นยืน เดินมาหาชายหนุ่ม หันมาเผชิญหน้ากับเขา บอกเสียงหนักแน่น

    “ต่อให้ต้องพลิกทั้งทวีป ฉันก็จะหาให้เจอ พ่อของฉันบอกว่า ฉันมีชะตากรรมเป็นผู้กอบกู้โลก ตั้งแต่เกิดแล้ว อัญมณีศักดิ์สิทธิ์สูงค่ามากมาย เดินทางมาหาฉัน ฉันเชื่อว่าฉันจะต้องหามันเจอ แล้วหยุดยั้งภัยพิบัติได้”

    ปิญชาน์ค้อนอย่างหมั่นไส้ เพชรกล้าระบายลมหายใจยาว ยิ้มอ่อนโยน ดวงตาทอแววนับถือ ถามล้อๆ

    “ดูคุณมีภาระมากมายเหลือเกิน คุณต้องทำอะไรบ้างเนี่ย”

    “หน้าที่ของฉันมีอยู่สองอย่าง หนึ่งปราบปีศาจ โดยเฉพาะปีศาจพันปีสองตัวที่ฆ่าพ่อฉัน สอง ตามหาอัญมณีห้าธาตุให้เจอภายในเจ็ดปี”

    “คุณคนเดียวจะตามหาอัญมณีทั้งห้า ที่อยู่ห่างกันไกลถึงห้าทวีป ภายในเวลาเจ็ดปี ทำได้หรือ?

    “ประโยคเดียว... พยายามสุดฝีมือ และรอให้สวรรค์เมตตาบ้าง”

    เพชรกล้ายิ้มให้หล่อนอย่างยกย่อง ก่อนจะเดินไปรำพึงเบาๆ

    “ผมนับถือคุณจริงๆ นะ คนที่ทำเพื่อส่วนรวมอย่างคุณ สวรรค์คงจะเข้าข้างอยู่แล้วล่ะ แต่ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่ง อัญมณีนั้นเป็นพลังงาน คล้ายมีชีวิต และคิดได้เอง มันเหมือนกับถือชะตากรรมของโลกไว้ด้วยตัวมันเองอยู่ ดังนั้น มันคงจะไม่หยุดนิ่ง รอให้เราไปค้นเจอง่ายๆ อย่างที่หลวงปู่บอก อัญมณีนั้น เป็นผู้ตามหาเจ้าของ”

    ปิณฑิราอึ้งในความคิดของเขา คิดตามแล้วรู้สึกหนักใจขึ้นอีก ปิญชาน์กระซิบเรียกหลวงปู่นิล ที่นั่งหลับตา คล้ายว่าจะเข้าฌานไปเสียแล้ว อย่างพิศวงสงสัย

    “หลวงปู่...หลวงปู่ หลับหรือคะ”

    “ปิญชาน์ หลวงปู่เข้าฌานแล้ว ท่านต้องการพักผ่อน อย่ารบกวนเลย พวกเรากลับกันเถอะ”

    “แต่ว่า...”

    ปิณฑิรายังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ จึงลังเล เพชรกล้าหันมาเอ่ยนุ่มๆ

    “คุณปิณฑิรา หลวงปู่ท่านบอกแล้วว่า เมื่อถึงเวลาจะรู้เอง!

    ทั้งสามจึงเข้าไปกราบลาหลวงปู่นิล ปิญชาน์อำลาทองกล้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพากันเดินทางกลับ


     

    ที่โรงแรม... มุกตาภานั่งคิดตรึกตรองเรื่องราวอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่คนเดียวภายในห้อง

    ...อัญมณี 5 ธาตุ... สุดยอดอัญมณีของโลก อาจารย์รู้มาสามปีแล้ว แต่ไม่เคยปริปากบอกเรา แถมทำเหมือนไม่อยากให้เรารู้ แสดงว่ามีเจตนา...อยากครอบครองไว้คนเดียวชัดๆ! แต่ว่า...ตลอดสามปีที่ผ่านมา เขาช่วยงานแด๊ดที่อเมริกา ไม่เห็นค่อยกระตือรือร้นออกไปไหนเป็นพิเศษเลย ยิ่งแหล่งกำเนิดของอัญมณีทั้งห้า บราซิล แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น รัสเซีย ก็ไม่เห็นเคยไปสักครั้ง หรือที่อเมริกาเอง ก็ไม่เห็นว่าจะมีความเคลื่อนไหวแปลกๆ หรือหายไปอยู่ที่ไหนนานๆ แปลกจัง! ถ้าจะหาอัญมณี ก็ต้องไปที่แหล่งกำเนิดสิ แต่ทำไมเขาถึง...บ้าจัง! เพราะอาจารย์เข้ามา เราเลยอ่านไปได้แค่นิดเดียว ไม่งั้น...อาจรู้ความลับอะไรตรงย่อหน้าสุดท้ายก็ได้...

    หญิงสาวรำพึงอย่างเจ็บใจ แต่เพียงครู่เดียวก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส เรื่องนี้...ก็ไม่ยากจะจัดการนินา!


     

    ส่วนในห้องของไตรทศ ก็เดินพล่านอย่างกำลังใช้ความคิดหนัก วิตกกังวลอยู่เหมือนกัน

    ...ดีที่แม่นั่นเห็นแค่นิดเดียว ถ้าอ่านถึงบรรทัดสุดท้าย...จบเห่แน่ ยัยตัวแสบ! รู้หมดว่าเราจะทำอะไร เราอุตส่าห์ระวังตัว ไม่มาเมืองไทยบ่อยให้มีพิรุธ แถมคิดเรื่องการฮุบบริษัททั้งสองแห่ง เพื่อจะได้มาทำงานที่เมืองไทย เป็นฉากบังหน้า จะได้ไม่ผิดสังเกต รู้อยู่แล้วว่ายัยนั่นต้องขอมาทำ เพราะต้องอาศัยเราปลุกพลังอัญมณี เราจะได้อยู่นานหน่อย เพื่อมีเวลาตามหา... แต่ยังไม่ทันไร ดันมารู้เรื่องอัญมณี 5 ธาตุ ทำให้สนใจเข้าอีก คิดจะมาแย่งชิงกับเรา เฮอะ! ยัยเด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ดีที่มันไม่รู้ว่า อัญมณี 5 ธาตุ อยู่ที่เมืองไทย หมดทุกชิ้นแล้ว แต่นับจากนี้ มันต้องจับตาดูเราแน่ เรายังเป็นศัตรูกับมันตอนนี้ไม่ได้ ควรทำยังไงดี...



     

    ในป่าเพชร...ระหว่างเดินทางกลับ ปิณฑิราขึ้นมาเดินเคียงข้างเพชรกล้า พูดคุยกับเขาอย่างสนิทสนม

    “รู้สึกรึเปล่า หลวงปู่เหมือนมีเรื่องปิดบังพวกเรา”

    “ท่านเป็นพระภิกษุผู้ถือธรรม เคร่งครัดในเรื่องมติสวรรค์ ท่านคงหยั่งรู้บางเรื่อง แต่ไม่อาจบอกเราได้”

    หญิงสาวมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน และสนใจมากขึ้นกว่าตอนขามาหลายเท่านัก ถามเบาๆ

    “ทำไมนายถึงรู้ใจท่านนัก?

    “แม้ผมจะเคยพบท่านแค่ห้าครั้ง แต่ผมรู้สึกว่า ท่านเป็นนักบวชผู้เคร่งในศีลธรรม และมีตบะแก่กล้าจริงๆ ศีลของพระก็บอกแล้วว่าห้ามโกหก ท่านไม่อยากโกหกพวกเรา ก็เลยนิ่ง ไม่พูดเสียเลย”

    บางครั้ง เขาก็พูดจาน่าฟังมีเหตุผลเปี่ยมด้วยคติเหมือนเป็นนักปราชญ์ แต่บางครั้ง เขาก็พูดจาซื่อๆ เหมือนเด็กหนุ่มธรรมดา ก่อกวนจนปิณฑิรารู้สึกขันๆ และสับสน แต่ก็เกิดความรู้สึกพอใจไม่น้อย!

    “นายนี่...เวลาจะพูดตรงๆ ก็พูดได้ซื่อจริงนะ”

    เพชรกล้าหันมาสบตา ยิ้มบางๆ อย่างซื่อๆ แต่ก็ดูน่ารักในสายตาหล่อน สาวน้อยด้านหลังที่เดินตามมา ชะงักเมื่อเห็นแววตานุ่มนวลของหญิงสาว เกิดความหึงหวง จนแววตาขุ่นเขียว

    ...หนอยแน่ะ! ขามาทำบึ้งตึงเย็นชา ขากลับ กะหนุงกะหนิงเชียวนะ

    “อ๊ะ เดี๋ยวก่อน...”

    ชายหนุ่มรั้งหล่อนไว้ หญิงสาวหันมา เลิกคิ้วถาม เพชรกล้าชี้ไปบนหัว บอกว่า

    “มีผึ้งเกาะอยู่บนผมคุณ สงสัยแถวนี้จะมีรังผึ้ง อยู่เฉยๆ นะ"

    ปิณฑิรายืนตัวแข็ง เมื่อมีบางสิ่งกระดุกกระดิกอยู่บนหัว ชายหนุ่มหยิบกิ่งไม้บนพื้นขึ้นมาเขี่ยไล่เจ้าผึ้งตัวน้อยให้ออกไป ในระยะประชิด หญิงสาวได้มองเขาเต็มตา ทั้งใบหน้า และกลิ่นอายความเป็นบุรุษเพศ ที่หล่อนไม่เคยได้สัมผัสใกล้ชิดกับใครมาก่อน หัวใจเต้นแรงขึ้นเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าทำไม แต่หล่อนรู้สึกเขิน และประหม่าขึ้นมา จนไม่กล้าสบตาเขา จึงมองต่ำบริเวณลำคอ ซึ่งเห็นสร้อยล็อกเกตรูปหัวใจ สลักเป็นลวดลายประหลาด แต่สวยงามนัก “ออกไปแล้ว” เขาบอก แล้วขยับถอยห่างออกมา หญิงสาวค่อยหายใจสะดวกขึ้น แต่แล้ว ทันใดนั้น! ฝูงผึ้งยักษ์ก็บินเข้ามารุมโจมตีหล่อนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ปิณฑิราผงะ เพราะไม่ทันตั้งตัว หันมาก็เจอ จึงวิ่งถอยหลัง เพชรกล้าตะลึงวูบ หันมาทางปิญชาน์ สาวน้อยนักอาคมยืนยิ้มเยาะอยู่ ก็เข้าใจในบันดล

    “ปิญชาน์ หยุดเดี๋ยวนี้นะ!

    เขาร้องห้าม แต่ไม่เป็นผล ความหึงห่วงแล่นพล่านไปทั่วร่างแล้ว เมื่อเห็นสาวงามมีอากัปกริยาท่าทางพึงพอใจชายที่หล่อนหมายปอง ผู้หญิงย่อมมองผู้หญิงด้วยกันออก แค่ความบาดหมางในตอนแรก หล่อนก็ชังน้ำหน้าจะแย่แล้ว นี่เพิ่มปรปักษ์ด้านความรักมาอีก มีหรือ สาวน้อยผู้ไม่เคยยอมแพ้ใครอย่างหล่อน จะให้ใครมาคว้าของรักของหล่อนไปง่ายๆ เพชรกล้าห้ามเท่าไร หล่อนก็ไม่ฟัง ปิณฑิราตั้งสติได้ ใช้พลังจิตฆ่าฝูงผึ้งพวกนั้นตายหมด ก่อนจะก้าวเข้ามา ตวาดใส่หล่อนอย่างโกรธจัด

    “ทำบ้าอะไร!

    “หึ ตอบแทนที่เธอปล่อยให้ฉันทรมานเพราะฤทธิ์อาคมไงล่ะ ถูกต่อยไปตัวหนึ่งด้วยนี่ ขอบใจนะ”

    ปิณฑิรากำมือ หน้าเครียดคล้ายจะบันดาลโทสะ เพชรกล้าก้าวมาขวางหน้าหล่อน ด้วยสีหน้าหนักใจ

    “คุณปิณฑิรา ถือว่าเห็นแก่ผมเถอะนะ ผมขอโทษแทนปิญชาน์ด้วย เธอเป็นสาวบ้านป่าไม่รู้ความ”

    ปิณฑิรากำลังจะลงมืออยู่แล้ว พอเห็นสีหน้าอ้อนวอนของเขาก็ใจอ่อน ลดมือลง บอกเสียงกร้าว

    “ถ้าไม่ใช่เพราะเพชรกล้า เธอจะโดนฉันสั่งสอนหนักแน่ อาคมในตัวเธอ ที่จริงฉันควรจับสลายซะ แต่ฉันรู้ว่า คนใฝ่ต่ำอย่างเธอ ต่อให้สลายไป ก็คงฝึกใหม่ได้อยู่ดี สู้ปล่อยให้เจอบทเรียนเอาเองดีกว่า จุดจบของคนฝึกสายดำน่ะ ไม่มีดีสักราย”

    หญิงสาวไม่ได้ตั้งใจจะสาปแช่ง แต่ปิญชาน์ก็ย้อนกลับมาด้วยถ้อยคำที่รุนแรงพอกัน

    “เฮอะ แน่ล่ะ เธอต้องเห็นแก่เพชรเก๊อยู่แล้ว ก็เธอชอบเขาใช่ไหมล่ะ!

    “ปิญชาน์!” เพชรกล้าหันขวับมาจ้องเพื่อนสาวอย่างตกใจ ปิณฑิราก็ตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง

    “ว่าไง ตอบมาสิ เธอชอบเขาใช่ไหม ถึงได้ยอมให้เขาทุกเรื่องน่ะ ฮ้า!

    ปิญชาน์รุกไล่จริงจัง หล่อนหึงหวงเขา และต้องการให้เขารู้ตัวไว้ ว่าผู้หญิงคนนี้คิดอย่างไร ก่อนที่ใจเขาจะถลำไปมากกว่านี้ หล่อนกลัว เพราะปิณฑิราเป็นสาวงาม ที่ความสวยเหนือกว่าหล่อน มีสง่าราศีที่หล่อนไม่อาจเทียบได้ หล่อนไม่ยอมให้เพชรกล้าติดกับเสน่ห์หาของปิณฑิราเด็ดขาด เพราะหล่อนไม่มีอะไรสู้ได้เลยสักนิด

    ปิณฑิรายืนอึ้ง คำว่า “ชอบ” ดังก้องไปก้องมาอยู่ในหัว หล่อนยังไม่ทันรู้ตัว ว่าความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นมันคืออะไร เพราะไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรักมาก่อน พอได้ยินที่ปิญชาน์พูด เหมือนได้คำตอบที่หัวใจตัวเองยอมรับ! พริบตานั้น ทั้งรู้สึกเขินต่อเขาจนหน้าร้อนผ่าว ทั้งประหม่าต่อสายตาเขาที่จ้องมา ทั้งโกรธเคืองคนจี้แทงใจดำ และไหวหวั่นไม่รู้จะทำอย่างไรให้พ้นจากสถานการณ์อึดอัดปั่นป่วนใจนี้ พอเพชรกล้าก้าวเข้ามาห้ามปิญชาน์อีกครั้ง ไม่ให้พูดจาล่วงเกินหล่อน หญิงสาวจึงฉวยโอกาสนั้น จากมาอย่างเงียบๆ
     


     

    กลางดึก ในภัตตาคารระดับห้าดาวที่กรุงเทพฯ มุกตาภา ริชาร์ด พี่ชาย และไตรทศ ผู้เป็นอาจารย์ นั่งรับประทานอาหารกันอยู่ ริชาร์ด ก็เอ่ยขึ้นในตอนหนึ่ง

    “นี่ พี่ไปสืบมาแล้วนะ น้องมุก พรุ่งนี้สองตระกูลใหญ่จิวเวลรี่นั่น จะเดินแบบประชันกันในงานแฟชั่นโชว์พิเศษที่จัดขึ้นที่บ้านของรัฐมนตรีคนหนึ่ง เปิดให้คนเข้าชมด้วย เป็นโอกาสดีที่เราจะไปสอดแนมกันล่ะ”

    “ดี เราจะไปด้วย ต้องรู้จักคนก่อน ถึงจะค่อยวางแผน อาจารย์ ก็จะไปด้วยใช่ไหม”

    หล่อนหันมากล่าวถามเป็นประโยคแรกในมื้อค่ำนี้ หลังจากเงียบ ไม่คุยกันอยู่นาน ไตรทศรับคำง่ายๆ

    “นี่ น้องมุก คืนนี้พี่ว่า...จะออกไปเที่ยวสักหน่อยนะ”

    พี่ชายพูดอย่างคึกคัก อารมณ์ดี มีรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม น้องสาวรู้ทันทีว่าจะไปไหน

    “เพิ่งมาวันแรก ก็จะเที่ยวแล้วเหรอ”

    “สถานบันเทิงย่านอาร์ซีเอ. ของกรุงเทพน่ะ เขาว่าไม่แพ้ที่ไหนในโลกนะ พี่อยากจะไปแดนซ์ให้มันทะลุโลกสักหน่อย ไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมานานแล้ว ไปด้วยกันไหมล่ะ”

    “อยากจะไปแดนซ์ หรือไปจีบสาวกันแน่?

    มุกตาภาพูดยานคางดักคอ ริชาร์ดหัวเราะกว้างอย่างถูกใจ

    “โธ่! น้อง มันเรื่องธรรมชาติน่า...”

    “ก็ดี ไปแดนซ์กันแก้เบื่อ อาจารย์ คงจะไม่ไปใช่ไหม งั้นเราก็ไปกันสองคนพี่น้องละกันนะ”

    หล่อนสรุปเองหมดทุกอย่าง ไตรทศเหลือบมองอย่างสงสัยครุ่นคิด แต่ก็รับคำ อย่างไม่พูดอะไร

    “ออกมานี่...” ในห้อง มุกตาภาสั่งสมุนวิญญาณร้ายตนหนึ่ง ผ่านฤทธิ์ของอัญมณี ผีหนุ่มปรากฏตัว

    “ระหว่างที่ฉันออกไปข้างนอก จับตาดูไตรทศไว้ให้ดี ถ้าเขากระดิกตัวไปไหน หรือว่าทำอะไรแปลกๆ ให้มารายงานฉันทันที เข้าใจไหม”

    ผีร้ายรับคำ ก่อนหายตัวแวบไป หญิงสาววัยสะคราญ แต่เก่งกาจนัก จึงลุกไปเปลี่ยนชุดอย่างสบายใจ

    ยามราตรี ไนต์คลับหรูชื่อดังกลางเมืองกรุง บนโต๊ะมุมซ้ายสุดห้องนั่งไว้ด้วยหนึ่งหนุ่มหล่อชาวอเมริกันหน้าตาคมเข้ม และสาวสวยวัยใสผู้งามสะคราญดุจนางฟ้า หล่อนอยู่ในชุดเดรสสั้นคล้องคอผ้าสแปนเด็กซ์สีแดง บวกกับริมฝีปากสีชมพูแชมเปญ ขอบตาสีแดงกลีบกุหลาบ ยิ่งขับเน้นถึงความงามอันเจิดจ้า เปรี้ยวและร้อนแรงออร่าของหล่อนสว่างเจิดจรัส แม้เพียงนั่งเฉยๆ อยู่บนโซฟาตัวใหญ่สีครีม ไม่ได้ออกไปเต้นเฉิดฉาย ประกายแห่งความงาม ก็ยังส่องสว่าง จนใครหลายคนในที่นั้นต่างตะลึงแลมองกันไม่ว่างเว้น แทบจะทุกคน โดยเฉพาะผู้ชาย

    “ฮะ ฮะ น่าสนุกจริงๆ มันต้องอย่างนี้สิ ถึงจะตื่นเต้นเร้าใจหน่อย น้องมุก ออกไปเต้นกับเขาสิ”

    ริชาร์ดนั่งโยกอยู่บนโซฟาข้างๆ ในมือถือแก้วไวน์บรรจุน้ำสีฟ้า บอกมาอย่างคึกคักเต็มที่

    “ไม่เอาล่ะ มุกเต้นเป็นที่ไหน พี่นั่นแหละออกไปสิ”

    หล่อนโยนมาทางพี่ชาย แม้จังหวะดนตรีภายในนั้นจะน่าสนุก แต่หญิงสาวก็มิใช่นักเต้นที่ชำนาญ กอปรกับไม่มีอารมณ์อยากจะปล่อยลวดลายสักเท่าไร ขอนั่งจิบบรั่นดีเงียบๆ มองผู้คนเต้นกันก็ครึ้มใจแล้ว

    “นั่งคนเดียวระวังเหงานะ พี่ไปล่ะ จะวาดลีลาโชว์สาวสักหน่อย”

    หนุ่มเจ้าสำราญไม่ยอมปล่อยโอกาสสนุกหลุดมือ เดินอย่างเท่เข้าไปกลางฟลอร์ ที่กำลังเต้นกันอย่างเมามัน สาวๆ หลายคนกรี๊ดในความหล่อเหลา ท่าเต้นที่เร้าใจ เพียงมินาน เขาก็มีสาวหลายคนรุมล้อม มุกตาภายิ้มทึ่ง พี่ชายต่างมารดาหล่อนเสน่ห์แรงเสมอ เพราะความเจ้าชู้ รักอิสระ จึงไม่ยอมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที...

    อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มหน้าตาหล่อแบบจืดๆ กำลังนั่งหน้าเศร้า อมทุกข์อยู่บนโต๊ะเคาน์เตอร์เบียร์ กระดกบรั่นดีลงคอไม่ยั้งราวกับน้ำเปล่า จนใบหน้าแดงก่ำ เพื่อนชายคนหนึ่งเดินเข้ามาตบไหล่

    “เฮ้ย เมน นั่งเหงาคนเดียวอยู่ได้ ไม่ออกไปหาผู้หญิงแซบๆ สักคน คุยเล่นล่ะวะ”

    “เบื่อ นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบ”

    “แหม ถูกผู้หญิงหลอกมาหลายที เลยเข็ดรึไง”

    “หุบปากนะ ฉันไม่อยากได้ยินเรื่องอดีต”

    โกเมนหันมาตะคอกเพื่อน เพราะฤทธิ์ดีกรี บวกกับความชอกช้ำใจจากพิษสาวหลายคนที่เคยสร้างความเจ็บปวดให้ มันทำให้เขาทั้งแค้นใจ และดูถูกตัวเอง เพื่อนยักไหล่ เดินจากไป ชายหนุ่มมองอย่างขุ่นเคือง

    อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สำรวล และเร้าใจกว่า ยืนกอดจูบกับหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ที่หน้าห้องน้ำอย่างเมามัน ไม่อายผู้คนที่เดินผ่านไปมา สาวที่ตนเองเพิ่งจะรู้จักไม่กี่นาที พูดเสียงออดอ้อนเขา

    “คุณรัตน์ขา คืนนี้...อยู่เป็นเพื่อนจินนี่ได้ไหมคะ”

    “ได้สิจ๊ะ ที่รัก อยู่เป็นเพื่อนทั้งคืนเลยก็ได้ คุณสวยที่สุดเลย รู้ไหม จินนี่ เป็นวาสนาของผมจริงๆ”

    เหมรัตน์ยังคงปากหวานกับผู้หญิงที่เขาต้องการได้อย่างคล่องแคล่ว สม่ำเสมอ จนเคยชินไปแล้ว หล่อนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เขาผิวปาก เดินออกมารอด้านนอก สายตาก็ยังเที่ยวอ่อยสาวสวยไปทั่วตามประสานิสัยมักมาก โกเมนกระดกเหล้าแก้วสุดท้ายแล้ว เดินเซๆ ออกมาหวังจะกลับบ้าน เพราะรู้สึกเซ็งเต็มที่ เหมรัตน์ก็เดินเหล่สาวมาเรื่อยๆ สองหนุ่มเดินมาจากซ้ายขวา มาบรรจบพบกันที่หน้าโต๊ะของหญิงสาว มุกตาภานั่งเท้าคางมองพี่ชายที่ปล่อยลวดลายสุดเหวี่ยงกลางฟลอร์ แล้วยิ้มขันๆ ไม่ได้สังเกตเห็นดวงตาของชายหนุ่มทั้งสองคู่ ที่จับจ้องมองหล่อนอย่างตกตะลึง! ยืนนิ่งเป็นหินคล้ายถูกสาป หัวใจสองดวงเหมือนถูกฉุดกระชากออกไป เวลาหยุดหมุน ไม่เห็นสิ่งรอบตัวใดๆ อีกเลย มุกตาภารู้สึกตัว ค่อยๆ เหลือบมองสองหนุ่มจากซ้ายไปขวา ก่อนจะนั่งตัวตรงทันที


     

    ที่โรงแรม... ในห้องพัก ไตรทศนั่งขัดสมาธิ หลับตา อยู่กลางเตียง เพื่อจับสัญญานของอัญมณี 5 ธาตุ

    ...อยู่ที่ไหนกันแน่นะ พลังไม่แรงพอ ปรากฏสั้นเกินไปด้วย เลยไม่รู้ตำแหน่งชัดเจน เห็นแต่ภาพป่า...

    รำพึงในใจอย่างเคร่งเครียด เขาสามารถจับคลื่นพลังงานของอัญมณี 5 ธาตุได้ ด้วยอัญมณีชนิดหนึ่งที่เป็นสื่อกลาง ปรากฏมาพร้อมกับตำราลึกลับเล่มนั้น เมื่อหกเดือนก่อน หนึ่งในอัญมณี 5 ธาตุ เปล่งแสง หรือถูกใช้ ทำให้เขารู้ว่ามันอยู่ที่เมืองไทย (แม้ในตำราย่อหน้าสุดท้ายจะมีบันทึกไว้เช่นกัน แต่อัญมณีเป็นอะไรที่แน่นอนกว่า) แต่พลังงานอัญมณีในตำนานนั้นอ่อน และสั้นเกินไป ทำให้เขาไม่อาจเห็นภาพจุดที่อยู่ของมันชัดเจน แม้มันจะปรากฏขึ้นอีกสองสามครั้งในช่วงหกเดือนนี้ แต่เขาก็ยังหาตำแหน่งที่แน่นอนของมันไม่ได้อยู่ดี

    “ฝึกสมาธิแล้ว ค่อยสบายหายเครียดหน่อย นอนดีกว่า...”

    จู่ๆ เขาก็ลืมตา แล้วโพล่งออกมา ก่อนจะปิดไฟ และล้มตัวนอนง่ายๆ มันเป็นฉากตบตาเจ้าผีร้ายที่เฝ้าดูเขาอยู่ตามคำสั่งของมุกตาภา เขาเดาได้แต่แรกว่าหล่อนต้องมาไม้นี้ แต่หล่อนไม่เคยรู้ว่าเขามีอัญมณีที่สื่อสารกับพลังของอัญมณี 5 ธาตุได้ ดังนั้นเพียงแค่คลื่นพลังปรากฏ ไม่ว่าจากการถูกคนใช้ หรือเพราะตัวอัญมณีเอง เขาก็จะรู้ได้ทันทีจากภาพนิมิต ซึ่งแน่นอน...มันเป็นความลับสุดยอด ซึ่งเขาจะต้องปกปิดคุณหนูตัวแสบไว้ให้ได้

    ในไนต์คลับ... เมื่อสาวงามตรงกลางระหว่างสองหนุ่ม สะดุดใจกับท่าทางของทั้งสอง แล้วขยับมานั่งตัวตรง วางท่าราวกับนางพญาหงส์ สีหน้าเรียบเฉย สังเกตความรู้สึกไม่ออก แต่หล่อนช่างวางตัวได้ดูดี มีสง่าราศีเหลือเกินในสายตาของสองชาย ก่อนที่ดวงตาพิศวาสสองคู่จะมาประสานกันเอง และเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายชัด คลื่นปรปักษ์ก็รุนแรงยิ่งขึ้น กระแสความเกลียดชังทุ่มโถมใส่กันอย่างดุเดือดทางแววตา จนมุกตาภายังตงิดๆ

    เหมรัตน์ชิงลงมือก่อน คุกเข่าลงตรงหน้าสาวงามอย่างไม่หวงแหนศักดิ์ศรี เสียงหวานนุ่มคล่องแคล่วยิ่ง

    “คุณคนสวย... ผู้งดงามที่สุดในค่ำคืนนี้ กรุณาให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงสิครับ”

    “ฮ้า! เต้นรำ”

    หญิงสาวหลุดปากอย่างคาดไม่ถึง หนุ่มกะล่อน เจ้าชู้ขั้นเทพ โปรยดวงตาหยาดเยิ้ม

    “ใช่แล้ว ออกไปแดนซ์กัน คนงามอย่างคุณใยมานั่งจับเจ่าเงียบเหงาอยู่คนเดียว ผมขอรับอาสาสร้างความสนุก และความสุขให้แก่คุณ รับรองว่าคุณจะต้องไม่ผิดหวังเลย”

    มุกตาภาเลิกคิ้วเรียวสวย ยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง แค่รอยยิ้มนิดเดียว ก็ทำให้เหมรัตน์เคลิ้มแทบเป็นบ้า

    “แล้วทำไมฉันต้องใช้บริการ...คนอย่างนายด้วยล่ะ”

    คำพูดเย่อหยิ่งมิน้อย แถมท่าทางถือตัวมิใช่เล่น กลับทำให้เหมรัตน์ยิ่งคลั่ง ตลอดมาเจอแต่หญิงใจง่าย ที่แค่กระดิกนิ้ว โปรยสายตาก็มาสยบอยู่แทบเท้า แต่หญิงงามตรงหน้าทั้งงามเฉียบขาด ทั้งมีสง่าราศีสูงส่ง

    “ก็เพราะว่าผมคู่ควรจะเป็นเพื่อนของคุณที่สุดในราตรีนี้ และผมรู้สึก...หลงรักคุณเข้าเสียแล้ว!

    “ฮ้า! รัก... จ้องตาแค่นี้ ก็รักแล้วหรือ?

    หญิงสาวร้องอย่างสุดทึ่ง ผู้ชายตรงหน้านี้ช่าง “แรง” ดีจริงๆ กระตุ้นอารมณ์สนุกของหล่อนขึ้นมาเลย

    “ขออภัยที่ปากกับใจของผมตรงกัน พูดจริงๆ นะครับ คุณงามเหมือนนางฟ้า ถ้าคุณได้รู้จักผมจะไม่ผิดหวังเลย เปิดโอกาสให้ผมได้แสดงความจริงใจกับคุณเถอะ”

    ดวงตาหวานเยิ้ม ทำหล่อนแทบเลี่ยน มุกตาภาร้อง “อ้อ” หันมองหนุ่มที่ยืนทื่อ

    “นายยืนทำอะไร?

    “เอ่อ ผ...ผม ผมก็อยาก...ขอคุณเต้นรำ”

    โกเมนตื่นเต้นจนใจสั่น พูดตะกุกตะกัก เหมรัตน์หันมามองหยันๆ มุกตาภาพยักหน้ายิ้มๆ

    “ดีจัง มีคนชวนแดนซ์ตั้งสองคน แต่ว่า...ฉันเป็นผู้หญิงคนเดียว จะเต้นกับผู้ชายพร้อมกันทีเดียวสองคนก็ดูน่าเกลียด เอาอย่างนี้... เพื่อความยุติธรรม มาแข่งขันกันดีกว่า ใครอยากเป็นคู่เต้นของฉัน ก็ควรมอบช่อดอกไม้แสดงความจริงใจสักหน่อย ข้างๆ ผับ มีร้านดอกไม้อยู่ ถ้าใครซื้อดอกไม้ เอามาให้ฉันก่อนเป็นคนแรก ฉันจะเต้นรำกับคนนั้น ตกลงไหม”

    O.K เลยครับ สุดยอดมาก ว่าไง ไอ้หน้าจืด จะแข่งไหม?

    เหมรัตน์หันมาท้าโกเมน หนุ่มหน้าจืดสบตาหญิงสาว แล้วยืดอกบอกเสียงเข้มทันที

    “แข่งอยู่แล้ว”

    “รีบๆ หน่อยนะ ร้านกำลังจะปิดแล้ว”

    เสียงกระตุ้น ทำให้สองชายที่ยืนจ้องกันอย่างดุเดือด กระวีกระวาดวิ่งออกไปในทันที สาวงามเบ้ปาก

    © themybutter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×