คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : Gilbert Bougainvillea and Claudia Hodgins
/
Gilbert Bougainvillea and Claudia Hodgins
“โรงเรียนทหารบกแห่งกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชไม่ได้ต้องการคนที่มีฐานะทางสังคม กองทัพยินดีต้อนรับเหล่าเยาวชนและใครก็ตามที่มีอายุอย่างน้อยสิบสี่ปีที่ต้องการอุทิศตนให้แก่กองทัพโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นเพศใด การปกป้องประเทศ ก็เหมือนกับการปกป้องสิ่งที่คุณรัก”
เขาเคยเห็นกระดานข่าวที่ติดป้ายประกาศนี้ที่ไหนนะ? ถ้าเขาคิดถูก เขาน่าจะเห็นมันติดอยู่ตรงหน้าร้านขายของคู่ค้าทางธุรกิจของเราในตอนที่เขาไปทำธุระให้ครอบครัว มีกระดาษแผ่นหนึ่งที่ติดอยู่บนกระดานเด่นกว่าประกาศใบอื่น ๆ ที่ผู้คนในเมืองติดอะไรก็ตามที่พวกเขาอย่างติด มีตั้งแต่ประกาศหางานยันประกาศหาคน ในขณะที่เขากำลังกัดแอปเปิลที่ได้มาจากเจ้าของร้านเพื่อเป็นการตอบแทนที่มาทำธุระให้ ตัวเขาในวันสิบสามปีกำลังจ้องไปที่มันอย่างจริงจัง มันเป็นกระดาษคุณภาพดีเรียบกริบ และถูกตอกตะปูแน่นทั้งสี่มุม ตรงท้ายของข้อความถูกตอกด้วยตะปูทองคำเลยทีเดียว พร้อมด้วยขี้ผึ้งปิดผนึกสีแดงซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของกองทัพไลเดนชาฟต์ลิช
ในตอนที่ยังเป็นเด็ก เขาเคยคิดว่ามันเป็นทางเลือกของชีวิตที่เท่ไม่หยอก ช่างโง่เสียจริง แม้แต่เขาก็ยังอยากหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของตนเอง ในตอนนั้นเขายังไม่รู้จักความหมายของการให้และการพรากชีวิตของใครมาด้วยซ้ำ ครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามที่จะเป็นทหาร แต่สุดท้ายความเป็นจริงก็ทำลายความเพ้อฝันของเขาเสียย่อยยับ แต่นั่นเป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นในภายหลัง
กลับไปที่เรื่องปัจจุบันของเขาก่อน
มีอยู่หลายเหตุผลด้วยกันที่เขาตัดสินใจว่า “โอเค ฉันจะเป็นทหาร” เหตุผลแรกคือเขาเป็นบุตรคนที่สองของตระกูลพ่อค้า และเนื่องจากว่าพี่ชายของเขาได้รับมรดกตกทอดในการควบคุมกิจการแล้ว เขาจึงไมเป็นที่จำเป็นอีกต่อไป อีกเหตุผลหนึ่งคือ เพราะเขาถูกเลี้ยงในครอบครัวที่ใหญ่ เขาเลยอยากรีบออกไปอยู่ตัวคนเดียวเพื่อที่เขาจะได้มีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองเสียที และอีกเหตุผลหนึ่งคือชื่อที่พ่อแม่ของเขาตั้งให้คือ “คลอเดีย” ซึ่งมันทำให้เขาอยากจะมีชื่อที่ดูสมชายชาตรีมากกว่านี้ และเหตุผลสุดท้ายคือ… คู่หมั้นของพี่ชายเขาเป็นผู้หญิงที่สวยมากและเป็นสเป็คเขา เพราะแบบนั้นเขาจึงอยากอยู่ห่างจากเธอ แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคงเป็นเพราะว่าเขาอยากที่จะปกป้องครอบครัวที่เขารักแต่ก็อยากอยู่ห่างมาจากพวกเขากระมัง
ในตอนนั้นสงครามเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เกิดความขัดแย้งทางทรัพยากรระหว่างทวีปทางตอนเหนือและทางตอนใต้ ซึ่งเป็นจุดชนวนให้เกิดความยุ่งเหยิงในสงครามทวีปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ซึ่งความขัดแย้งเรื่องศาสนาระหว่างทวีปตะวันตกและตะวันออกก็ได้เข้ามามีส่วนด้วย
ไลเดนชาฟต์ลิชเป็นประเทศที่อยู่ทางตอนใต้สุดของทวีป ถ้าหากเราถูกโจมตี การป้องกันของเราคงจะพ่ายแพ้ และครอบครัวของเขาคงจะตายแน่นอน เพราะเขารักเมืองและผู้คนมาก และเขาก็รักไลเดนชาฟต์ลิช การสมัครเข้าไปในกองทัพก็คงเป็นไปตามความต้องการของตัวเขาเอง แต่สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเป็นส่วนช่วยกระตุ้นให้เขาเข้าอยากสมัครมากขึ้น… และเพราะแบบนั้นเขาจึงตัดสินใจเป็นทหาร เขาสมัครเข้าไปโดยไม่ได้บอกพ่อแม่ของเขา และในตอนที่ไปสอบเข้านั้นเขาก็โกหกว่าเขาจะไปเที่ยวกับเพื่อน
เมื่อบุรุษไปรษณีย์มาส่งจดหมายตอบรับที่บ้านของเขา พ่อเขาก็ตีเขาแทบตาย ถึงเขาเองจะตีกลับด้วยเหมือนกันก็เถอะ พ่อเขาประหลาดใจอย่างมาก เขาเองก็เช่นกัน และคิดว่า “พ่ออ่อนแอโคตร ๆ” ในตอนเป็นเด็กใคร ๆ ก็คิดทั้งนั้นแหละว่าผู้ปกครองของตนเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งสุดๆ…
แน่นอนว่าครอบครัวของเขาต้องเป็นกังวล การเลือกทหารเป็นอาชีพมีอัตราเสี่ยงที่จะเสียชีวิตสูงกว่าการใช้ชีวิตแบบคนปกติ
ในโรงเรียนทหารบก ทหารทุกนายจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในหอพัก ทุกคนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมจากพ่อแม่ของตนเองมา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดื้อ เขาจึงนำรูปภาพของครอบครัวตัวเองติดมือมาด้วย
สองปีหลังจากนั้น เขาคิดว่าในตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เขาได้พบกับกิลเบิร์ต
เธอรู้จักความหมายที่แท้จริงของชื่อดอกไม้ต้นนั้นหรือเปล่า?
มันบานทุก ๆ ปี และถูกปลูกอยู่ตรงริมถนนทั่วทั้งประเทศ เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ใบอ่อนสีขาวแสนน่ารักของมันก็จะแตกใบและบานสะพรั่ง เมื่อกลีบร่วงลงมา มันก็จะกลายเป็นพรมสีขาวบริสุทธ์ที่ไม่มีวันเลือนหาย ในช่วงเวลานั้น สีสันของประเทศก็มลายหายไปเหมือนกับประเทศที่มีหิมะตกจนทำให้คนที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศหลังไปเป็นเดือนถึงกับต้องอ้าปากค้าง เธอไม่มีทางได้เห็นทิวทัศน์แบบนั้นที่ไหนในโลกนี้แล้ว ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน ฉันก็จะจำทัศนียภาพนั้นได้เสมอเมื่อไหร่ก็ตามที่ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ก็เหมือนกับการใช้เวลาร่วมกับผู้หญิงหน้าตาสะสวยสักคืนนั่นล่ะ ถ้าเธอฟังเพลงในขณะที่กำลังนอนด้วยกัน เธอก็จะจำหล่อนได้ ฉันจำได้อย่างนั้นล่ะ เมื่อไหร่ก็ตามที่ฤดูใบไม้ผลิมาถึง ความทรงจำของฉันก็จะคิดถึงอดีตที่มาพร้อมกับดอกไม้สีขาวนั่น
ดวงตาสีเขียวมรกตที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกทหาร ปลายนิ้วขาวซีดที่ดูไร้ซึ่งชีวิตชีวาจะไม่ยอมขยับไปเอื้อมหาคนที่เดินหนีไปจากเขา พร้อมกับเสียงกระซิบที่ส่งไปไม่ถึง
เขาหวนนึกถึงกิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียในตอนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
กิลเบิร์ต… กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลีย ใช่ ฉันเริ่มพูดถึงเรื่องนี้เพราะฉันอยากพูดถึงหมอนั่นนี่นา ฉันชักจะพูดเรื่องตัวเองเยอะเกินไปแล้ว เพราะฉะนั้นมาพูดถึงเขากันเถอะ
โบเกนวิลเลีย โบเกนวิลเลีย มันเป็นชื่อตระกูลที่ตั้งตามชื่อดอกไม้ ถ้าเธออยู่ในประเทศนี้และถามถึงตระกูลโบเกนวิลเลีย เธอก็จะรู้ว่ามันเป็นชื่อของตระกูลทหารที่มีชื่อเสียงมาก
เธอไม่รู้หรือ? รูปปั้น และพวกประติมากรรมต่าง ๆ ของบรรพบุรุษเขามีอยู่ทั่วเมืองเลยนะ เพราะว่าไลเดนชาฟต์ลิชมีประวัติศาสตร์ที่เคยต่อสู้กับประเทศอื่น ๆ ที่เข้ามาโจมตีและรุกรานเมื่อนานนมมาแล้ว ทหารที่เก่งจะได้รับการปฏิบัติอย่างสะดวกสบายเหมือนกับในตำนานเลยล่ะ ถึงขนาดที่ว่าทหารคนไหนที่มาจากตระกูลโบเกนวิลเลียจะถูกรับเข้าตำแหน่งแน่นอน แม้แต่ในตอนนี้สิ่งนั้นก็ยังไม่เคยเปลี่ยน
เขาเป็นคุณชายจากตระกูลที่มีฐานะมั่งคั่ง อันที่จริงสายเลือดของเขาก็สูงส่งมากทีเดียวล่ะ ในตระกูลของเขาเคยมีคนที่ได้แต่งงานกับเชื้อสายราชวงศ์ของราชวงศ์สมัยก่อนก่อนที่จะเปลี่ยนมาให้ทหารเป็นคนบริหารประเทศด้วย ถึงแม้ทุกวันนี้ราชวงศ์นั้นจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศก็เถอะ
ถ้าเราอยู่ในช่วงเวลานั้น เขาคงจะเป็นคนที่เราไม่สามารถพูดถึงได้อย่างสบาย ๆ แบบนี้ อ่าฮะ ใช่แล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่เธอยังอยู่ที่นี่ไง พวกเขามีอำนาจมากขนาดนั้นเลยล่ะ ถามว่าทำไมฉันถึงได้เป็นเพื่อนกับกิลเบิร์ตน่ะเหรอ?
มันเริ่มในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิในโรงเรียนรับราชการทหารแห่งไลเดนชาฟต์ลิช
โรงเรียนทหารบกอยู่ใกล้กับชายแดนของประเทศ มันจึงกลายเป็นโล่กองหน้าได้ทุกเมื่อถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้น ตั้งแต่ตรงหอคอยที่สามารถมองเห็นทุกอย่างซึ่งถูกล้อมรอบด้วยป้อมที่แข็งแรงราวกับเป็นเมืองแห่งป้อมปราการ ถ้าเธอเข้าไปด้านใน เธอก็จะถูกประกบด้วยกำแพงหินคับแคบทบนทางเดินที่ทอดยาว และเมื่อผ่านมันไปแล้ว เธอก็จะถึงจัตุรัส เมืองไลเดนก็ทำแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ? ถ้าเกิดถูกโจมตีเข้า เราก็จะป้องกันมันตั้งแต่ตรงทางเข้า และออกไปสู้รบในลานกว้างแทน
เธอรู้หรือเปล่าว่าตึกของไลเดนมีการจำกัดความสูงด้วยนะ? ตึกส่วนใหญ่มักจะถูกสร้างให้มีความสูงเท่า ๆ กัน แต่ตึกของพวกหน่วยงานของรัฐค่อนข้างใหญ่โตเลยล่ะ ใช่แล้ว อาคารสูง ๆ พวกนั้นถูกสร้างขึ้นอย่างมีวัตถุประสงค์โดยมีการกำหนดระยะหว่างเพื่อใช้ในการซุ่มยิงระยะไกลของสไนเปอร์ นั่นล่ะคือประเทศที่พวกเราอาศัยอยู่ พอได้ยินแบบนั้นเธออาจจะคิดว่าตึกพวกนั้นมีไว้ใช้เพื่ออวดเบ่ง แต่เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง มันจะสวยงามมากเลยล่ะ ต้นไม้ที่อยู่ริมถนนในประเทศเราจะออกดอกไม้สีขาวทุกปีใช่ไหมล่ะ? ใช่ มันอาจจะฟังดูแล้วประหลาดน่าดู แต่ชื่อของมันก็คือ “โบเกนวิลเลีย”
ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไมตระกูลของคน ๆ นั้นถึงใช้นามสกุลนั่น แต่มั่นใจได้เลยว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับไม้เลื้อยพวกนั้นที่ถูกปลูกทั่วทั้งประเทศแน่
พรมสีขาวที่ถูกปูด้วยดอกไม้ดอกเล็ก ๆ พวกนั้นที่ร่วงหล่นลงมาทีละเล็กทีละน้อยมีความงดงามที่นุ่มนวลเลยทีเดียว และความงดงามนั่นบางครั้งก็อาจถูกชมได้ว่าเป็น “ถิ่นของขนนกนางฟ้า” เลยก็ว่าได้ ไม้เลื้อยเหล่านั้นห้อมล้อมโรงเรียนทหารบกและทอดยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่กี่ปีหลังจากที่เข้าไปในโรงเรียนได้นั้น งานอดิเรกของฉันก็กลายเป็นแค่การเดินเล่นเฉย ๆ และในตอนที่ฉันกำลังเดินอยู่นั้น ฉันก็ได้รับการทักทายจากพวกน้องใหม่ “ที่ที่พวกนายเข้ามาคือนรกดี ๆ นี่เอง~” ฉันคิดในใจแบบนั้นและก็ยิ้มตอบแทนการทักทาย
มันช่างอบอุ่นและน่ารื่นรมย์ภายใต้แสงอาทิตย์ที่มีชีวิตชีวา และในตอนที่ความรู้สึกเหล่านั้นกำลังมลายอยู่ในหัวของฉัน ฉันก็เจอคน ๆ หนึ่งที่น่าตกใจ เขาเป็นคนแบบไหนกันนะ? เขางดงาม ใช่ เขาเป็นคนที่…งดงามแบบที่เธอไม่ได้เห็นบ่อย ๆ ที่ไหนแน่
ผมของเขายาวพอ ๆ กับเธอเลย ผมสีดำยาวของเขาเป็นเส้นโค้งที่ดูนุ่มนวล และดวงตาของเขาเป็นสีเขียวเข้ม เขามีใบหน้าหล่อเหลาที่ให้ความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่าเป็นหญิงหรือชายกันแน่ แต่แขนขายาว ๆ ของเขาที่เขามีและรูปร่างที่ได้ออกกำลังกายมาอย่างดีนั้นดูเท่ไม่หยอกภายใต้เครื่องแบบทหารเรือสีขาวที่เขาสวมใส่ พูดได้เลยว่าเขาเป็นผู้ชายแบบที่แค่สบตาก็สามารถตกหลุมรักได้เลยล่ะ เขาเป็นคนแบบนั้นแหละ
ผู้ชายคนนั้นกำลังถกเถียงกับใครสักคนอยู่ ในตอนที่พวกเขาอยู่ข้าง ๆ กันนั้น ฉันก็รู้ในทันทีว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน ความแตกต่างอย่างมหันต์ระหว่างสองคนนั้นคือคนที่ดูเหมือนจะเป็นน้องชายนั้นมีบุคลิกที่น่าเกรงขามกว่า พวกเขาสองคนไม่สังเกตเห็นฉันที่กำลังจะเดินผ่านไปทางพวกเขาเลยสักนิด
มันเป็นเรื่องแปลกที่มีผู้ชายที่สวมชุดทหารเรือมายืนอยู่หน้าโรงเรียนทหารบก พวกเขาดึงดูดความสนใจจากฉัน ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อแอบฟัง ฉันได้ยินพวกเขาพูดกันนิดหน่อย
“พี่เห็นแก่ตัวชะมัด”
“มันก็เพื่อประโยชน์ของนายนะ เข้าใจหน่อยสิกิล”
“ทำไมพี่ไม่เคยบอกอะไรผมเลยล่ะ?”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตัดสายสัมพันธ์พี่น้องของเราซะสิ”
“สิ่งที่ผมทำได้ก็มีแต่ตอบตกลงเท่านั้นแหละ”
เมื่อได้ยินน้องชายพูดอย่างนั้น ฉันก็รู้สึกเศร้าและอยากเข้าข้างเขาขึ้นมา ฉันไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงดีจึงได้แต่ยืนสังเกตการณ์อยู่อย่างนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองคนก็เลิกตะโกนใส่กัน จากนั้นคนเป็นพี่ก็ถอดหมวกทหารที่คนน้องใส่อยู่ออกอย่างตั้งใจและเอื้อมมือไปตบเบา ๆ ที่ศีรษะ คนน้องทำสีหน้าหงุดหงิดอย่างจริงจัง ราวกับต้องการจะซ่อนใบหน้านั้นไว้ คนเป็นพี่กดหมวกลงบนศีรษะของอีกฝ่ายอย่างแรง จากนั้นจึงหันหลังกลับและจากไป เขาไม่แม้แต่จะหันมาดูน้องชายที่ดูเหมือนกำลังจะร้องไห้เลยสักนิด
ฉันรู้สึกแย่กับเด็กผู้ชายคนนั้นและพยายามที่จะเข้าไปคุยกับเขา แต่เมื่อฉันเห็นเขาพงกศีรษะขึ้นนั้น ฉันก็หยุด เด็กชายไม่ได้ร้องไห้ ราวกับไม่มีอารมณ์ใด ๆ อยู่บนใบหน้านั่นมาตั้งแต่แรก สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา และจากนั้นเขาจึงเดินผ่านประตูเข้าไปในโรงเรียนทหาร
นั่นคือครั้งแรกที่ฉันเห็นกิลเบิร์ต ฉันไม่เคยเห็นเด็กผู้ชายทำสีหน้าแบบนั้นมาก่อน เพราะแบบนั้นฉันจึงจับจ้องไปที่แผ่นหลังของเขาซะนานอย่างกับเป็นตาแก่คนหนึ่งที่มองดูลูกหลาน
มันกลายเป็นเรื่องเด่นประจำโรงเรียนเลยล่ะว่ามีบุตรชายของตระกูลที่สืบทอดเชื้อสายมาจากวีรบุรุษแห่งชาติเข้ามาในปีนี้และเป็นนักเรียนระดับท็อป ฉันไม่ได้เข้าพิธีรับน้องและไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเลยทั้งนั้นฉันจึงไม่รู้อะไรเลย แต่เมื่อกลับมาคิดดูอีกที เด็กคนนั้นคงจะเป็นเจ้าตัวแน่
ถึงแม้พวกเราทุกคนจะเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกัน แต่ถ้าเราอยู่คนละชั้นปีเราก็คงไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันเท่าไหร่นัก ถึงเราจะฝึกซ้อมด้วยกันแต่ก็ยากที่แยกได้ว่าใครอยู่ชั้นปีไหนเพราะมีแต่ชายล้วน โอกาสที่เราจะได้เจอหน้ากันตรง ๆ นั้นมีเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
อัตราส่วนระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงที่เข้ามาเรียนในโรงเรียนทหารบกแห่งไลเดนชาฟต์ลิชคือเจ็ดต่อสาม หน้าที่ของผู้หญิงก็จะเป็นทหารสื่อสารโทรเลขหรือกองกำลังเสริมซะส่วนใหญ่ ดังนั้นหลักสูตรของพวกเราจึงต่างกัน และแน่นอนว่าหอของพวกเราก็แยกกันอยู่เช่นกัน หลักสูตรของพวกเราเหรอ? ก็มีแต่วิ่ง วิ่ง วิ่ง เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ยิงปืน แล้วก็ยิงปืน แล้วก็วิ่งอีก ทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา นอกนั้นก็จะเป็นการบรรยายในห้องเรียน เราเรียนเรื่องการกำหนดกลยุทธ์ สร้างค่าย และการใช้พวกอุปกรณ์สื่อสาร มีวิชาเรียนเหมือนพวกโรงเรียนทั่วไปด้วยนะ พวกผู้หญิงจะเรียนง่ายกว่าเรา แต่มันก็ยากสำหรับทุกคนอยู่ดีนั่นแหละ
การที่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่อุทิศตัวให้แก่กองทัพตลอดทั้งวันมักจะแอบมีความสัมพันธ์กันโดยที่อยู่นอกเหนือสายตาของพวกอาจารย์ปีศาจทั้งหลายถือว่า อืม เป็นเรื่องปกติ แต่ก็เพราะว่าเราไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งช่วยบันเทิงใจเลย ความโรแมนติกจึงเป็นสิ่งเดียวที่บันเทิงใจ
ฉันเองก็คบกับคนนู้นคนนี้ไปทั่วเหมือนกัน แต่ฉันไม่เคยมีความรักที่ถลำลึกเสียจนทำให้รู้สึกว่าร่างกายกำลังมอดไหม้ด้วยไฟแห่งรักเลยสักนิด เพราะแบบนั้นฉันเลยมั่นใจว่าฉันไม่มีทางจะเจอรักแท้แน่นอน ฉันไม่เคยยึดติดกับคน ๆ เดียวเลยสักครั้ง ฉันชอบผู้หญิงทุกคน เพราะงั้นการที่ต้องรักใครสักคนแค่คนเดียวมันเลยทำให้ฉันรู้สึกแปลก ๆ
มันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับฉันหรอก ความโรแมนติกเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดความสนใจก็จริง แต่ความน่าดึงดูดนั่นก็อาจเป็นสิ่งอันตรายที่จะตามเธอไปทุกหนทุกแห่ง มีบางครั้งที่ความโรแมนติกเป็นแค่ความสุขสำหรับฉัน แต่กับอีกคนกลับเป็นสิ่งที่เขากำลังเดิมพันมันด้วยชีวิตเลยล่ะ
อาจเป็นเพราะทัศนคติของฉัน ฉันก็เลยต้องเป็นฝ่ายที่ถูกต่อว่าเสมอ หนึ่งในผู้หญิงที่ฉันเคยคบเล่น ๆ ด้วยก็เคยส่งจดหมายท้ามาให้ฉัน เธอรู้จักจดหมายท้าหรือเปล่า? จดหมายที่มีเนื้อหาแบบว่า “ฉันเกลียดคุณมาก ๆ” “ฉันจะเตะคุณให้กระเด็นเลย” “เจอกันที่นั่นวันที่ X เดือน X” ใช่แล้ว มีจดหมายแบบนั้นอยู่บนโลกนี้ด้วยเหมือนกัน
ดูเหมือนว่าที่เธอคบกับฉันเป็นเพราะว่าเธอตั้งใจจะแต่งงาน แต่ฉันไม่ได้มีความคิดเรื่องแบบนั้นเลย ไม่สิ ฉันไม่แม้แต่จะสัมผัสตัวเธอด้วยซ้ำเลยจริง ๆ นะ เราเคยคบกันถึงขนาดจูบกันแล้วเหรอ? ฉันจริงจังนะเนี่ย ฉันจะบอกให้นะ จูบน่ะถือเป็นการทักทายสำหรับฉันเลยล่ะ
“ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขอโทษด้วยความจริงใจสำหรับเรื่องนี้ด้วยวิธีของฉันเอง” นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด เพราะงั้นฉันก็เลยไปที่นั่นที่เธอเรียกฉันออกมา แต่กลับกลายเป็นเขาแทน รู้ไหมว่าใคร?
กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลีย
เด็กผู้ชายที่ฉันเจอในวันเข้าพิธีที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้สีขาวประเดี๋ยวเดียวและก้มหน้าลงด้วยความอับอายอยู่ที่นั่น เขาจ้องมองมาที่ฉันด้วยดวงตาสีเขียวมรกตที่ดูเหยียดหยามตั้งแต่แรกที่ฉันเดินเข้าไปหาเขา เขาอายุสิบสี่ ส่วนฉันอายุสิบหก
“นายคือคลอเดีย ฮอดกินส์ใช่ไหม?” นั่นคือประโยคแรกที่เขาพูด เสียงของเขาดูอาจหาญ ไร้ซึ่งความกลัวเหมือนกันกับใบหน้าของเขา
ในตอนที่กิลเบิร์ตอายุสิบสี่ปี เขาให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างเหมือนกับผู้ใหญ่ในร่างเด็ก ผมสีดำของเขาที่ปรกลงมานั้นไม่มีสักเส้นที่ชี้โด่ชี้เด่ออกมาเลย เขามีใบหน้าที่ดูมีภูมิฐานถึงแม้ว่าเขาจะยังเด็กอยู่ก็ตาม ตั้งแต่น้ำเสียงของเขาจนถึงท่าทางของเขา ผู้ชายที่มีนามว่ากิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียได้กลายเป็นทหารแล้ว เขามาจากตระกูลทหาร เพราะงั้นในมุมมองเขา โรงเรียนทหารอาจเป็นเหมือนแค่บ้านที่ขยายใหญ่ขึ้นของเขาเท่านั้น
ค่ายฝึกซ้อมที่ห้อมล้อมด้วยต้นไม้ใต้ร่มเงาของอาคารโรงเรียนนั้นไม่ใช่สถานที่ที่นิยมเท่าไหร่นัก แต่นอกเหนือจากกิลเบิร์ต ผู้หญิงที่ส่งจดหมายท้ามาให้ฉันและคนที่มาเฝ้าสังเกตการณ์จำนวนหนึ่งก็อยู่ที่นั่นด้วย
“อย่าเรียกว่า ‘คลอเดีย’ อีกเด็ดขาดเลยนะ ถ้าฉันถูกเรียกด้วยชื่อนั้นอีกมันจะทำให้ฟันของฉันปวดจี๊ดขึ้นมา แล้วนายคือ…?”
“ฉันกิลเบิร์ต โบเกนวิลเลีย เป็นรุ่นน้องของนาย แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ฉันถือว่าตัวเองมีสถานะเทียบเท่านายในฐานะตัวแทนประลองที่เธอขอมา ดังนั้นฉันจะลืมเรื่องการให้เกียรติไปก่อนและปกป้องศักดิ์ศรีของเธอให้สมกับเป็นผู้ชาย ฉันจะเป็นคู่ท้าของนายแทนเธอเอง”
ฉันคิดว่าเขาเป็นเด็กที่มีวิธีการพูดที่ค่อนข้างจริงจังมาก ฉันเองก็เป็นเด็กที่ไม่ได้อายุเยอะกว่าเขามากนัก แต่ถ้ามีเด็กผู้ชายอายุสิบสี่พูดแบบนั้น เธอก็คงจะรู้สึกแปลกใจใช่ไหมล่ะ? แต่ที่สำคัญกว่านั้น ฉันรู้สึกประหลาดใจกับโชคชะตาที่เราได้พบกันมากกว่า ฉันได้เห็นเขาแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่กิลเบิร์ตในตอนนั้นและฉากที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีดอกสีขาวนั่นกลับยังตราตรึงอยู่ในใจฉัน แต่เขาก็เป็นคนที่น่าโดดเด่นมากพอที่จะทำให้เธอจำเขาได้โดยไม่ได้ตั้งใจเลยล่ะ
ฉันกวักมือเรียกเขาและพูดว่า “มานี่ซิ มานี่” และกระซิบที่หูของเขา “กิลเบิร์ต – ฉันเรียกนายว่ากิลเบิร์ตได้ใช่ไหม? ทำไมรุ่นน้องอย่างนายถึงมาเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างฉันกับผู้หญิงคนนั้นได้ล่ะ? นายเป็นแฟนใหม่ของเธอแล้วก็โกรธเรื่องที่เธอเล่าเกี่ยวกับฉันให้ฟังหรอ?”
“ฉันไม่ว่าอะไรถ้านายจะเรียกฉันว่ากิลเบิร์ต แต่นายเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ใช่คนรักของเธอ ฉันแค่บังเอิญเจอเธอตอนที่เธอกำลังร้องไห้อยู่เท่านั้น และหลังจากที่ฉันได้ยินเรื่องของเธอ ฉันจึงถูกมอบหมายให้เป็นตัวแทนการดวลให้เธอ ฉันเองก็ไม่ได้เต็มใจที่จะสู้กับรุ่นพี่… ที่ไม่ได้มีความบาดหมางส่วนตัว… แต่ฉันไม่มีทางเลือก ฉันหมายถึงถ้าเธอสบายใจที่จะเป็นแบบนี้มากกว่า ดูเหมือนว่านายจะเป็นผู้ชายที่นิสัยแย่เลยทีเดียว”
เขามองผ่านไหล่ของกิลเบิร์ตไปที่ผู้หญิงที่เป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องน่าขันมากกว่า เขาไม่มีความทรงจำใด ๆ ของความสัมพันธ์ของเราที่นอกเหนือไปจากดื่มชาด้วยกันบางครั้งบางคราวแค่นั้นเลย
“เธอพูดว่าฉันทำอะไรกับเธอบ้างล่ะ?”
“สิ่งที่ไม่เหมาะสมที่ฉันไม่สามารถพูดมันออกมาตรง ๆ ได้”
เขารู้สึกอายที่ได้ยินคำว่า “ไม่เหมาะสม” จากปากของเด็กผู้ชายคนนั้นจนทนแทบไม่ได้
“ฉันไม่ได้ทำนะ ฉันไม่มีทางทำแน่นอน มีผู้หญิงคนอื่นอยู่บ้างที่นอนกับฉัน แต่ฉันไม่เคยนอนกับผู้หญิงคนนั้นเลย เราคบกันก็จริง แต่ฉันไม่เคยแตะต้องตัวเธอเลย ฉันคิดว่าเป็นเพราะฉันจูบแก้มเธอมากไปล่ะมั้ง แต่เวลาเจอญาติก็ทำแบบนั้นเหมือนกันนี่นา ไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอถึงโกหกฉันล่ะ?”
“เพราะเธออยากเรียกร้องความสนใจจากฉันไม่ใช่เหรอ?”
“และคงจากนายด้วย” เขาคิดในใจ
“ถ้าเธอพยายามจะเรียกร้องความสนใจจากนายด้วยเจตนาที่ไม่ดี มันก็คงไม่ได้ผลหรอกใช่ไหม?”
จากคำพูดนั่น ฉันก็รู้สึกได้ถึงความเฉลียวฉลาดของกิลเบิร์ตตัวน้อยได้เลย แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็คิดว่าเขาเป็นเด็กที่ยังไม่รู้ถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้ก็เท่านั้นเอง
“กิลเบิร์ต นายไม่เคยออกเดทกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนใช่ไหม? ส่วนใหญ่มีเพียงแค่สองทางเท่านั้นที่คู่รักชายหญิงเลิกกันพบเจอ นั่นก็คือ ยึดติดหรือเกลียดกัน เมื่อคนใดคนหนึ่งเกลียดอีกคน พวกเขาก็จะพยายามกดอีกฝ่ายทั้งทางสถานะทางสังคมและทางกายภาพยังไงล่ะ”
“ถึงแม้อีกคนจะเป็นคนที่พวกเขาตกหลุมรักน่ะหรือ?”
“มันเป็นแบบนั้นเพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่พวกเขาตกหลุมรักนั่นแหละ”
กิลเบิร์ตขมวดคิ้ว ดูสับสน จากนั้นก็หันหลังให้ฉันและบอกว่าจะไปถามผู้หญิงคนนั้นให้ชัดเจนอีกครั้ง เขาเป็นผู้ชายที่จริงจังมาก
ฉันจับแขนเขาและไม่ยอมให้เขาทำ “ฟังนะเด็กชายกิลเบิร์ต มันเป็นการต่อสู้ที่นายเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเพราะเธอรู้สึกว่าความยุติธรรมมันช่างน่าเบื่อก็เท่านั้น นายทำหน้าที่ของนายต่อไปจนจบซะ ถ้านายไม่ทำ นายก็จะปกป้องศักดิ์ศรีของเธอไว้ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
“ฉันไม่ใช่ ‘เด็ก’ นาย… จะไม่เป็นไรเหรอ? ถ้าสิ่งที่นายพูดเป็นเรื่องจริง นายก็กำลังกล่าวหาตัวเองในสิ่งที่นายไม่ได้ทำและต่อสู้โดยไม่มีเหตุผลนะ และก็หมายถึงฉันถูกโกหกและถูกเธอหลอกใช้ด้วย โง่เง่าสิ้นดี…”
“ด้วยความเคารพอย่างสูงนะครับนายน้อย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นเด็กดีเชื่อฟังคนง่ายมากขนาดไหนด้วยนะครับที่คุณรับเป็นตัวแทนการดวลกับใครเนี่ย และผมก็คิดว่ามันเป็นการกระทำที่โง่เง่าเหมือนกันนะครับ”
“ดูเหมือนฉันคงต้องขอถอนคำพูดจากนายสินะ ขอโทษด้วยแล้วกัน แต่ไม่มีทางที่ใครก็ตามที่เห็นหญิงสาวร้องไห้อยู่กลางทางแล้วไม่ยอมฟังเรื่องของเธอหรอก… ถึงผลลัพธ์จะออกมาไม่ดีเท่าไหร่ก็ตาม”
กิลเบิร์ตกระซิบเย็นเยียบด้วยสีหน้าที่ดูขมขื่น แต่ฉันคิดว่ามันเป็นคำตอบในแง่ดีเสียซะส่วนใหญ่ เขาเป็นชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งมั่นที่เธอไม่ค่อยจะได้เห็นอะไรแบบนั้นในหลายปีมานี้หรอก
“ฉันเห็นด้วยนะ อะไรกัน นี่นายก็เป็นคนที่เห็นคุณค่าของเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? เป็นผู้สรรเสริญหญิงสาวกับเขาด้วยเหรอ?”
“ฉันแค่ถูกพ่อแม่สั่งสอนมาแบบนี้ก็เท่านั้นแหละ”
ฉันรู้สึกผิดหวัง เขาก็เป็นแค่สุนัขรับใช้ที่มีสายเลือดชั้นสูงเท่านั้นแหละ
“งั้นเหรอ? งั้นก็ไม่เป็นไร แต่ว่าจากคำพูดของนาย เราคงจะมีจุดประสงค์เดียวกันแล้วสินะ แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่การรักษาหน้าของผู้ชายที่ถูกลากมาดวล แต่เป็นความรู้สึกของหญิงสาวที่อกหักจากความรักต่างหาก เธอคงจะรู้สึกดีขึ้นถ้าได้เตะฉันใช่ไหมล่ะ? ทำไมเราไม่ทำแบบนั้นเสียล่ะ?”
“นายจะยอมให้เป็นไปตามเกมเธอหรือ?”
“ฉันยอมรับความผิดที่ทำให้ผู้หญิงร้องไห้ ฉันยอมให้หน้าฉันนาบไปกับพื้นและเลอะโคลนนิดหน่อยก็ได้”
ความเหยียดหยามบาง ๆ ในดวงตาสีเขียวมรกตที่แสนหายากของเขานั้นหายไป และฉันก็เห็นความชื่นชมในดวงตาคู่นั้นแทน “ผมเข้าใจคุณผิดไปเพียงเพราะแค่ดูจากสถานการณ์เท่านั้น ผมต้องขอโทษจากใจจริงที่พูดจาหยาบคายกับคุณครับ รุ่นพี่”
“ไม่เป็นไรเลย เราต่างก็ถูกลากมาเกี่ยวข้องกับการดวลนี้ทั้งคู่นั้นแหละ”
“เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาดวลแบบนี้ ผมเลยไม่รู้ว่ามันต้องเป็นยังไง ถ้าคุณกรุณาบอกผมจะช่วยได้เยอะเลยครับ”
“เราก็ชกกันเท่าที่เราคิดว่ามันโอเค แล้วจากนั้นฉันจะล้มลงหลังจากพวกเขาเห็นว่ามันสาสมแล้ว เพราะงั้นตอนสุดท้ายก็บิดแขนฉันหรือทำอะไรก็ได้ ฉันจะแสดงท่าทีให้พวกคนมาดูเห็นว่านายชนะแล้วเอง”
“ว่าแต่คุณรู้หรือเปล่าครับว่าพวกเขาเป็นใคร?”
“พวกลูกค้าที่เป็นนักพนันที่ฉันเรียกมา ฉันจะได้รับยี่สิบเปอร์เซ็นของเงินพนันจากหัวหน้านักพนันพวกนั้น เพราะงั้นนายก็มาเอาครึ่งหนึ่งมาจากฉันแล้วกัน”
“ฉันขอถอนคำพูดทุกคำที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ ฉันจะเอาชนะนายให้ได้เลย” ฉันไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไม แต่กิลเบิร์ตเริ่มพูดไม่สุภาพใส่ฉันและเห็นชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
จากนั้น เสียงฆ้องที่เป็นสัญญาณในการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น “เคล้ง เคล้ง เคล้ง” หัวหน้านักพนันเริ่มบรรเลงเพลงในการต่อสู้ด้วยหม้อและทัพพีหลังจากเบื่อที่จะรอเราเพราะเราคุยกันไม่จบเสียที ความสัมพันธ์ของฉันกับกิลเบิร์ตก็เริ่มขึ้นตอนแลกหมัดกันนั่นแหละ
“นายควรรู้สึกผิดที่เริ่มการเดิมพันที่แสนงี่เง่านี่ดีกว่า” กิลเบิร์ตต่อว่าฉัน และโยนเสื้อนอกที่คอปกตั้งลงพื้น
เราต่างก็ลองเชิงก่อนที่จะปล่อยหมัดแรกออกไป กิลเบิร์ตเขย่าแขนของเขาราวกับต้องการปรับตัว ซึ่งต่างกับฉันที่แขนยังชิดอยู่กับลำตัวและกำหมัดอย่างเดียวเท่านั้น
––อะไรกัน? เขาไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้มาก่อนเลย
เพราะพี่ชายของฉันกับพ่อเคยต่อยฉันและฉันก็ต่อยกลับแบบไม่จริงจังมาก และก็มีบางครั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรนอกจากชกต่อยในเมือง การแลกหมัดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันที่ฉันใช้เวลากับมันโดยส่วนใหญ่เลยล่ะ ฉันคิดว่าคู่ต่อสู้ของฉันคงจะมาสู้กับฉันด้วยศิลปะการต่อสู้แบบทหารไลเดนชาฟต์ลิชแหง ๆ เพราะเขาก็เป็นบุตรชายของตระกูลทหารด้วย ถ้าเธอพูดถึงศิลปะการต่อสู้ที่เรียนรู้มาจากผู้ชายที่อยู่ในเมืองไลเดนก็จะเป็นแบบนั้นล่ะ แต่ท่าทางของกิลเบิร์ตไม่ใช่แบบนั้นเลย
หลักการในการต่อสู้ของฉันจะเป็นการสำรวจทัศนคติของคู่ต่อสู้ด้วยการป้องกันตัวแบบไม่อุกอาจ เพื่อทำตามหลักการนั้นฉันจึงต้องรอให้คู่ต่อสู้เคลื่อนไหวเสียก่อน แต่ดูเหมือนว่ากิลเบิร์ตก็ใช้หลักการนั้นด้วยเหมือนกัน เพราะงั้นเราจึงเอาแต่ดูท่าเตรียมพร้อมของอีกฝ่าย ตอนผู้ชมพูดจาเยาะเย้ยใส่เราว่า “รีบ ๆ ชกกันสักทีสิ” ฉันจึงจิ๊ปาก
การแสดงถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการพนัน ฉันจึงเตะเขาลูกใหญ่หลังจากที่วาดขาไปด้านหลังเป็นการทดสอบอย่างไม่มีทางเลือก แต่เขาหลบได้ ฉันเตะเขาแรง ๆ อีกครั้งเป็นครั้งที่สอง แต่เขาแสดงท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ครั้งที่สาม เขาจับเท้าของฉันและล้มฉันลงจนหน้าคว่ำ เขาชกเข้าที่ท้องฉันเป็นชุดหลังจากคร่อมบนตัวฉัน มันไม่ใช่การโจมตีที่หนักหน่วงอะไรเพราะเขายังเป็นเด็กผู้ชายที่น้ำหนักยังเบาอยู่ แต่มันทำให้หน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของฉันกรีดร้องเลยล่ะ
มันคงจะน่าเบื่อถ้าฉันแพ้ไปแบบนั้นใช่ไหมล่ะ?
ฉันบีบคอเขาด้วยขาของฉันและบิดจนเขาหงายไปด้านข้างด้วยความยืดหยุ่นสูงของฉันซึ่งเป็นที่โปรดปรานของสาว ๆ ยิ่งนัก เขาตัวเบาใช่ไหมล่ะ การที่เขาตัวเบาก็หมายถึงเขาฉลาดด้วยเหมือนกัน เขาหลบขาของฉันอย่างนิ่มนวลและรวดเร็ว เราทั้งคู่จึงกลับมาเตรียมพร้อมสู้อีกครั้ง
“ฮอดกินส์ เลิกลีลาสักที! เราแทงข้างแกนะ!”
“ทั้งสองคน อย่าเจ็บตัวเพราะฉันเลยนะ!”
“ตรงนั้นแหละ! เอาเลย เอาเลย เอาเลย!”
เสียงของผู้ชมดังก้อง แต่ถึงฉันจะได้ยิน มันก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ดี เพราะประสาทสัมผัสทั้งการมองเห็น, การดมกลิ่น และอีกมากมายของฉันมุ่งไปที่กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียคนเดียว
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเรียนรู้วิธีการต่อสู้ของฉันเสร็จแล้ว กิลเบิร์ตจึงเริ่มเข้ามาต่อยฉันอย่างหนักหน่วง แน่นอนว่าฉันเองก็ตอบโต้และต่อยเขากลับเช่นกัน มันก็ไม่ได้น่าอวดนักหรอก แต่หมัดของฉันทั้งหนักและเจ็บมาก การโจมตีที่ฉันตะบันมันเข้าไปด้วยน้ำหนักทั้งตัวของฉันซึ่งมาจากกล้ามเนื้อที่ฉันฝึกฝนมามักจะทำให้คู่ต่อสู้ของฉันล้มลงทันทีที่ฉันชกพวกเขาไปสามครั้ง แต่ฉันไม่สามารถจัดการเขาได้ในทันที
กิลเบิร์ตเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ของเขาเป็นทั้งการโจมตีและป้องกันในคราวเดียวกัน ในขณะที่กิลเบิร์ตป้องกันด้วยมือข้างเดียว เขาก็จะใช้มืออีกข้างชกมาที่ท้องของฉัน มันไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหวของเขาเท่านั้นที่ว่องไว วิธีการต่อสู้ของเขาก็เป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถจัดการมันได้เลยเว้นแต่เธอจะฝึกมาเยอะเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ถึงเขาจะถูกต่อย แต่สีหน้าของเขาก็เหมือนกับว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลย
“กิลเบิร์ต นายไปเรียนอะไรแบบนั้นมาจากไหนกัน?”
กิลเบิร์ตหลีกเลี่ยงทั้งลูกเตะของฉันและทั้งคำถาม “อืม ที่ไหนกันนะ?”
––นายอายุสิบสี่จริงดิ?
ในตอนที่คำพูดนั้นจ่ออยู่ที่คอของฉัน กิลเบิร์ตก็พูดว่า “มาจบเรื่องนี้สักทีเถอะ”
ทันใดนั้นหมัดของกิลเบิร์ตก็หนักขึ้นมา และน่ารำคาญเหลือทน ราวกับว่าเขาออมแรงไว้จนกระทั่งตอนนี้ เขาเล็งมาที่ร่างกายส่วนสำคัญของฉันอย่างแม่นยำด้วยสีหน้าที่ดูเยือกเย็น – ที่ดูเกินวัยของเขา ฉันกลายเป็นฝ่ายที่ป้องกันอย่างเดียวและล้มลงไปในที่สุด กิลเบิร์ตมองต่ำมาที่ฉันด้วยสีหน้าเช่นนั้นและเอ่ยว่า “ทีนี้ นายก็แพ้อย่างที่นายต้องการแล้วนะ”
“กิลเบิร์ต นายควรจะทบทวนทัศนคติของตัวเองที่มีต่อคนที่อายุมากกว่าให้มากกว่านี้หน่อยนะ”
ในตอนนั้นฉันจึงลืมว่าฉันต้องเล่นไปตามน้ำ ฉันปล่อยให้ร่างกายเป็นไปตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของฉัน ลุกขึ้นจากที่ฉันล้มลงไป วางมือลงบนดิน และกระแทกใบหน้าอันงดงามของเขาอย่างแรงด้วยการเตะที่ด้านข้างด้วยแรงทั้งหมดที่มี นั่นคือการแสดงผาดโผนที่ฉันชอบมากที่สุด กลยุทธ์ที่ฉันไม่ได้ใช้มันเพื่ออะไรทั้งนั้น
คนที่ล้มลงกับพื้นในตอนนี้กลับกลายเป็นกิลเบิร์ตเสียแทน ฉันขึ้นคร่อมร่างของเขาด้วยความสำราญใจและชกไปที่ร่างกายของเขา ผู้ชมต่างกระซิบกระซาบกันด้วยความตื่นเต้น มันเป็นความสุขของฉันที่ได้จับผู้ชายที่เพิ่งจะขู่ฉันไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน
ไม่ เดี๋ยวสิ อย่าตัดสินฉันด้วยดวงตาโต ๆ ของเธอแบบนั้นนะ! มันเป็นอดีต เป็นเรื่องเล่าในอดีตเท่านั้น! ใช่ ใช่แล้ว งั้นก็ฟังเรื่องต่อจากนี้อย่างตั้งใจด้วยนะโอเค๊?
ในขณะที่ฉันกำลังหมกมุ่นกับความพึงพอใจส่วนตัวที่เอาชนะเรื่องไร้สาระของกิลเบิร์ตโดยที่ไม่ได้ดูสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย กิลเบิร์ตจึงหยิบโคลนกำหนึ่งขึ้นมาจากใกล้ๆและปาใส่ตาของฉัน มันเข้าปากฉันด้วย รสชาติของดิน ฉันถุยมันออกพร้อมกับน้ำลาย
“ไอ้เวรนี่ มันไม่ยุติธรรมเลยนะ!”
“บอกกับตัวเองเถอะ”
โดยไม่คาดคิด และไม่อยากจะเชื่อเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะให้ได้ ฉันคิดว่าเขาจะเป็นผู้ชายที่ดูพิถีพิถันกว่านี้เสียอีก
เขาผลักฉันออกไปด้านข้างและหลบออกไป หลังจากเว้นระยะห่างพอสมควรแล้ว เขาก็วิ่งเข้ามาหาฉันด้วยความรวดเร็ว สิ่งที่ฉันเห็นด้วยทัศนียภาพที่พร่ามัวเต็มไปด้วยโคลนของฉันนั้นคือพื้นรองเท้าบูททหารของเขา
เท้าข้างขวาของเขาส่งแรงกระแทกไปที่หน้าอกของฉัน และในตอนที่ร่างกายของฉันหมุนกลางอากาศ ขาซ้ายของเขาก็เตะเข้ามาเป็นครั้งที่สองและสาม จากนั้นขาข้างขวาของเขาก็เตะฉันอีกครั้งหลังจากฉันหมุนตัวไปรอบหนึ่งแล้ว หลังจากได้รับลูกเตะทั้งสามครั้งติดต่อกันในระยะเวลาไม่นาน ฉันก็ล้มลง
––นี่มันการโจมตีอะไรกันเนี่ย?!
แต่สิ่งที่ฉันคิดนอกจากว่ามันน่ากลัว น่ารำคาญ หรืออะไรแบบนั้น ฉันกลับคิดว่ามัน “เจ๋ง” จริง ๆ แต่ในตอนนี้ฉันได้รู้ว่ามีคนที่ต่อสู้ที่เหนือมนุษย์แบบนั้นเหมือนเธอและเบเนดิกต์แล้ว เพราะงั้นถ้าฉันเจออะไรแบบนั้นก็คงไม่ตกใจเท่าไหร่ แต่ในตอนนั้นมันส่งผลกับฉัน ใช่ มันส่งผลกับฉันจริง ๆ
สำหรับฉัน กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียเป็นมนุษย์ประเภทใหม่ที่ได้เปิดเผยตัวเองอย่างกะทันหัน การหมุนตัวเตะของเขาไม่ใช่แค่เอาชนะฉันเท่านั้น แต่ได้เอาชนะใจของฉันด้วย
หลังจากนั้นเราทำอะไรกันเหรอ? เราก็สู้กันจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยโคลนโดยไม่ได้สนใจคนดูเลยน่ะสิ ทุกคนค่อย ๆ ทยอยหายไปทีละคนเพราะเบื่อที่จะรอผลการต่อสู้แล้ว
ดูเหมือนผู้หญิงที่เป็นศูนย์กลางของวังวนในตอนนั้นพยายามเล่นบทนางเอกเจ้าน้ำตา แต่หนึ่งในผู้ชมเข้ามาคุยกับเธอกลางคันเสียก่อน และเธอคุยกับเขาถูกคอเธอจึงหายตัวไป คนเดียวที่ยืนดูอยู่จนจบคือเพื่อนของฉันที่หัวหน้านักพนันไว้ใจเรื่องงานและคนและมีเวลาว่างมากเกินไป
“นี่ พวกเขาจะสู้เสร็จกันตอนไหนน่ะ?”
เราไม่ยอมยุติ
สุดท้ายก็มีการตัดสินว่าเราเสมอกันและเราทั้งคู่ก็ถูกส่งไปที่ห้องพยาบาล มีคนรู้เรื่องการต่อสู้ของเราด้วย ดังนั้นพวกเราจึงต้องปฏิบัติตามบทลงโทษว่าด้วยเรื่องความจริงใจระหว่างกันจากอาจารย์ของพวกเรา เนื่องจากการรักษาอาการบาดเจ็บของเราต้องมาก่อน มาตราการลงโทษด้านวินัยจึงเป็นเพียงแค่บทลงโทษเบา ๆ โดยการให้เราทำความสะอาดห้องน้ำของทุกที่
ฉันได้ทำเรื่องแย่ ๆ กับเขา มันคงจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าฉันแค่แพ้ไปเฉย ๆ แต่ฉันก็ดันเอาจริงเอาจังกับมันซะได้… แต่เขาเองก็จริงจังเหมือนกันนั่นแหละ เพราะงั้นมันจึงไม่ใช่ความผิดของฉันซะทีเดียว ไม่สิ ฉันขอโทษ มันเป็นความผิดของฉันเอง
เพราะแบบนั้นฉันจึงขอโทษ แต่กิลเบิร์ตก็ได้พูดกับฉันด้วยสีหน้าดูแคลนว่าเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับฉันอีกในตอนที่เราทำความสะอาดห้องน้ำ มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ล่ะนะ เพราะประวัติคุณงามความดีของเขาที่เพิ่งจะเริ่มนั้นกลับแปดเปื้อนจากการต่อสู้กับรุ่นพี่ตั้งแต่ที่เขาเพิ่งเข้ามาในโรงเรียน เราอายุห่างกันไม่พอ นิสัยของเราก็ต่างกันด้วย การที่เราจะบาดหมางกันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
แต่การที่เธออยู่ที่นี่ก็เพราะสิ่งนั้นมันไม่เกิดขึ้นยังไงล่ะ
นับตั้งแต่การต่อสู้จบลง ฉันก็เริ่มสะกดรอยตามกิลเบิร์ต การเรียกมันว่า “สะกดรอยตาม” ก็อาจจะดูเกินไปหน่อย แต่พอนึกย้อนกลับไปคิดถึงตอนนั้น ไม่ว่าเธอจะมองยังไง ก็ไม่มีคำไหนที่ใช้ได้ดีกว่าคำนั้นหรอก
“กิลเบิร์ต ฉันจะเลี้ยงนายเอง เป็นคำขอโทษสำหรับตอนนั้นไง”
“ไม่จำเป็นครับ”
“นายมีนัดกับคนอื่นหรือไง เราต่างก็ได้รับบทลงโทษเดียวกันใช่ไหมล่ะ? ไม่จำเป็นต้องพูดจาสุภาพหรอกน่า นายใช้คำสุภาพแบบนั้นทั้ง ๆ ที่เรามาถึงขั้นนี้แล้วมันทำให้ฉันตงิดใจนะ งั้นฉันจะแนะนำนายให้ผู้หญิงรู้จักแล้วกัน สเป็คนายเป็นแบบไหนล่ะ? แล้วอยากได้คัพหน้าอกเท่าไหร่?”
“ผมขอร้องล่ะ เลิกตามผมสักที”
ฉันชวนเขามาทานอาหารด้วยถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจก็ตาม ให้เขาได้เรียนรู้รสชาติของความเป็นผู้ใหญ่ผ่านแอลกอฮอล์ที่ฉันลักลอบได้มันมา และบางครั้งก็ฉะฝีปากกับเขาบ้าง ฉันเป็นคนที่สอนเขาสูบบุหรี่ด้วย เขาไม่ค่อยรู้จักรูปแบบของความบันเทิงเสียซะส่วนใหญ่ แม้แต่ตอนที่ฉันสอนเขาเล่นไพ่ แต่ปฏิกิริยาของเขาก็ดูสนุกสนานดี และไม่นานหลังจากนั้นผู้ชายที่มาจากปีเดียวกับฉันที่ฉันเที่ยวเล่นด้วยก็เริ่มสนใจเขาเช่นกัน
กิลเบิร์ตเป็นคนประเภทที่คนที่โตกว่าอยากสนิทด้วย แต่สิ่งที่ฉันพูดอยู่น่ะต่างจากการแสดงความรักนะ ฉันหมายถึง เขาไม่ได้เป็นที่รักใคร่หรอก ฉันคิดว่าคำพูดที่เหมาะก็คงจะเป็นเขากระตุ้นความสนใจของฉันล่ะมั้ง
ตั้งแต่แรก ฉันก็สนใจเขามาก มากเสียจนห้ามตัวเองไม่ได้
แต่เรื่องนั้นก็คงจะเหมือนกับเธอล่ะมั้ง แต่ฉันไม่ได้อยากจีบเธอหรอกนะ ฮุ ๆ ไม่ได้อยากจีบเธอหรอก
มันเริ่มเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ตอนนั้น… พอมองย้อนกลับไป ความสัมพันธ์ของเราก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากที่ฉันเอาแต่ไล่ตามเขา เขาเป็นคนประเภทที่… เข้าใจยากคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีความยุติธรรมที่แรงกล้า แต่เขาก็ค่อนข้างเลือดเย็น และถ้าเขามีเหตุผลที่บังคับให้เขาได้รับชัยชนะในสถานการณ์ที่ถึงจะไม่ยุติธรรม เขาก็จะทำได้ดี เขามีด้านที่ดูหัวแข็ง แต่เขาก็รู้จักตัวเองดีและมีความภาคภูมิใจ เขามีเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดผู้คนเข้าหาเขา แต่ตัวเขาไม่ค่อยจะสนใจคนอื่นมากนักหรอก เขาเป็นผู้ชายที่เคยคิดแต่วิธีที่เขาจะได้เดินบนเส้นทางที่ขาวบริสุทธ์ที่มุ่งไปสู่อนาคตซึ่งปูทางไว้ให้เขาแล้วเท่านั้นแหละ
ฉันเคยถามเขาด้วยว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันเคยสอนเขา แล้วเขาก็ตอบว่า “สูบบุหรี่ มันไม่ได้เลวร้ายเท่ากับวิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูล”
ฉันพบว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นแบบนั้นในภายหลัง ฉันรู้สึกอึดอัดใจนิดหน่อยที่จะบอกเธอเรื่องนี้ แต่มันเป็นตอนที่ไม่สามารถข้ามไปได้ถ้าเราจะพูดถึงเรื่องในอดีตเขา
กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียมีคู่หมั้นอยู่แล้ว
เขาบอกฉันในตอนที่ฉันกำลังจะจบการศึกษา ในตอนนั้นเราอยู่ในขั้นที่การที่เราไปไหนมาไหนด้วยกันสองคนเป็นเรื่องปกติมาก ๆ สำหรับคนรอบตัวเราแล้ว
เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? อืม ไม่มีอะไรเลย ก็แค่ทำแบบเดิมซ้ำ ๆ เท่านั้นแหละ ฉันตามกิลเบิร์ตไปทั่ว หยอกเขาเล่น ใช้เวลาซะส่วนใหญ่กับเขา แล้วก็ขอโทษกิลเบิร์ตเป็นบางครั้งบางคราว… แล้วเราก็กลายเป็นเพื่อนกัน
อาจารย์บอกกับฉันหลายครั้ง “อย่าสนใจทายาทโบเกนวิลเลียมากนัก” อะไรแบบนั้น แต่ฉันไม่ได้ฟังพวกเขาหรอก กิลเบิร์ตเองก็ดูเหมือนจะเตือนฉันว่า “อย่ามายุ่งเกี่ยวกับฉัน” เหมือนกัน และฉันก็ไม่ฟังเขาด้วย ในตอนนั้นฉันไม่ใช่เด็กดีสักเท่าไหร่ ฉันอาจจะรู้จักเขาดีกว่าเพื่อนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาก็ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้อมูลใหม่ที่ฉันได้รับมาตอนกำลังจะจบการศึกษานั้นน่าตกใจสำหรับฉันมาก
เขาเข้ามาคุยกับฉันในตอนปิดภาคเรียนโรงเรียนทหาร บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย
“ฉันจะออกไปรับประทานอาหารกับคู่หมั้นฉันตอนนี้… นายมาด้วยกันไม่ได้เหรอ? เราอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างซับซ้อนน่ะ เพราะงั้นฉันเลยอยากขอให้คนอื่นเข้ามาช่วย”
“ฉันจะไป ฉันไปแน่ ว่าแต่นายมีคู่หมั้นลับหลังฉันงั้นเหรอ? ตั้งแต่เมื่อไหร่? ‘ตั้งแต่เมื่อหกปีที่แล้ว’ งั้นเหรอ? นาย–– ตอนนั้นนายอายุเท่าไหร่กันน่ะ? ‘สิบขวบ’ เหรอ? ทำไมนายไม่บอกฉัน?! นี่นายออกไปเดทกับเธอหรืออะไรแบบนั้นช่วงวันหยุดโดยไม่บอกให้ฉันรู้งั้นเหรอ? นายเคยหรอ? กิลเบิร์ต ไอ้เวรนี่!” ฉันตามเขาไประหว่างที่พูดแบบนั้น
เราได้รับหนังสืออนุญาตให้ออกจากสถานศึกษาโดยที่มีข้อตกลงอย่างเหมาะสม ถึงแม้ว่าเขาตั้งใจจะพาฉันไปด้วยตั้งแต่แรก แต่ส่วนของการได้รับความยินยอมก็เหมือนกับของเขา
จุดนัดพบเป็นร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ที่อยู่ระหว่างทางจากโรงเรียนทหารบกไปยังเมืองไลเดน ฉันเองก็เคยไปจิบชาที่นั่นบางครั้งเหมือนกัน มันเป็นร้านที่ให้ความรู้สึกที่ดี
แล้วเราก็พบเธอที่นั่น โอเค ข้าม หัวข้อถัดไปเลย
เอ๋? เธอถามว่าหล่อนเป็นคนแบบไหนงั้นเหรอ? หืม~ ฉันไม่อยากพูดถึงเลยแฮะ แต่ถ้าฉันต้องพูด หล่อนให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นลูกคุณหนูจากตระกูลผู้ดีเลยล่ะ ไม่ได้ดูเหมือนว่าเธอกำลังออกเดท… ฉันไม่อยากพูดถึงเธอจริง ๆ นะ ทำไมน่ะเหรอ…? เพราะฉันรู้สึกว่ากิลเบิร์ตจะต้องโกรธฉันแน่ ๆ น่ะสิ
เหตุผลที่เขาเรียกฉันมาด้วย… ก็เหมือนกับที่เขาว่า พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างซับซ้อน
ในตอนแรก เธอไม่ใช่คู่หมั้นของกิลเบิร์ต แต่เป็นพี่ชายของเขา และที่จริงคนเป็นพี่จะต้องสืบทอดต่อจากครอบครัว แต่ – ใครจะรู้ล่ะว่าเขาคิดอะไรอยู่ – การที่เขาเข้าโรงเรียนทหารเรือก็เป็นเหมือนกับการวิ่งหนีแล้วล่ะ เพราะเขายังจะเข้าถึงแม้ว่าครอบครัวของเขากำหนดให้ต้องเข้ากองทัพบกก็ตาม
เพราะเธอเป็นทหารเก่า เธอก็ต้องรู้ใช่ไหม? ถึงทั้งสองกองทัพจะเป็นหน่วยงานในการป้องกันประเทศ แต่ก็มีเส้นกั้นที่มองไม่เห็นอยู่ระหว่างกองทัพบกและกองทัพเรืออยู่ เช่นเดียวกับอัตราส่วนของค่าใช้จ่ายในการป้องกันและของใช้พวกนั้นล่ะ มันเป็นปัญหาของผู้ใหญ่แหละนะ
ช่าย ดูเหมือนคนเป็นพี่จะไม่ค่อยถูกกับครอบครัวตัวเอง ฉันได้ยินมาว่าเขาจะมีบุคลิกที่เป็นตัวของตัวเองมาก เพราะแบบนั้นเลยไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคงจะเจ็บปวดมากที่ต้องเติบโตมาในครอบครัวที่มีอำนาจเผด็จการ พอคิดแล้ว ผู้ชายที่อยู่กับกิลเบิร์ตในตอนแรกที่ฉันเห็นเขาคงจะเป็นพี่ชาย และพี่ชายคนนั้นก็ได้หนีออกไปจากบ้าน เพราะงั้นภาระทุกอย่างจึงถูกผลักมาที่กิลเบิร์ตที่อายุสิบขวบ เพราะพ่อแม่ของเขาทั้งคู่ตัดสินใจให้เขาเป็นผู้นำตระกูลและให้กิลเบิร์ตรับคู่หมั้นของพี่ไปด้วยเช่นกัน
นี่เป็นเรื่องที่หยาบคายมากสำหรับพวกเขาทั้งคู่ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะรักษาระยะห่างระหว่างกัน กิลเบิร์ตเป็นผู้ชายที่ไม่ได้รู้สึกทุกข์ทรมานจากแรงกดดันที่ต้องเป็นต้นแบบของตระกูลโบเกนวิลเลีย ซึ่งต่างจากพี่ชายของเขา… เพราะงั้นทุกคนรอบตัวเขาจึงเลือกที่จะฝากความคาดหวังไว้ที่เขาแทนที่จะแก้ไขที่ตัวพี่ชาย ดูเหมือนกิลเบิร์ตเองก็ชอบพอในตัวคู่หมั้นเช่นกัน ในแบบของกิลเบิร์ตแหละนะ แต่คู่หมั้นของเขามีคำขอ และกิลเบิร์ตก็ตัดสินใจที่จะเติมเต็มคำขอนั่น
การหนี สิ่งที่ชายและหญิงเลือกที่จะทำเพื่อต่อต้านกระแสของโลกใบนี้และหลบหนีจากสถานะของพวกเขาบนสถานะทางสังคมเพื่อตอบสนองความรักของพวกเขา
ไม่ใช่กิลเบิร์ตหรอกนะ คู่หมั้นของเขา… พยายามที่จะตกหลุมรักกิลเบิร์ต แต่ทำไม่ได้ จากนั้นเธอจึงไปตกหลุมรักผู้ชายคนอื่นแทน คนที่เป็นพ่อบ้านจากตระกูลของเธอ เธอบอกว่ามันเป็นความรักแหละนะ
ในขณะที่คู่หมั้นของเขาสารภาพและทำให้เขาฟังด้วยความจริงใจไร้สาระ มันก็ได้เลยเถิดไปถึงขนาดขอให้เขาช่วยเธอหนี ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ตายด้านสำหรับเธอ แต่กิลเบิร์ตก็รับทราบด้วยการตอบแค่คำสองคำ และเรียกฉันให้เข้ามาช่วยคิดแผนช่วยเหลือ
ในขณะที่ฟังเรื่องราวอยู่นั้น ฉันก็สงสัยว่าเขามีกลไกที่เรียกว่าความรู้สึกอยู่ในตัวเขาบ้างหรือเปล่า
ฉันอยากจะตะโกนใส่คู่หมั้นของเขาแบบว่า “เธอจะทำอะไรก็เรื่องของเธอ” “อย่าเอากิลเบิร์ตเข้าไปเอี่ยวด้วย” แต่กิลเบิร์ตเริ่มศึกษาเส้นทางหลบหนีไปประเทศอื่นด้วยความจริงจังสุด ๆ
“การตรวจเข้าตรงชายแดนค่อนข้างเข้มงวด ฮอดกินส์ บ้านนายเป็นร้านค้าที่เกี่ยวข้องกับสินค้านำเข้าด้วยใช่ไหม? แน่นอนว่ามันอาจจะได้รับอนุญาตจากรัฐบาลในเรื่องการจัดส่งด้วย นายให้พวกเขาหลบออกไปจากประเทศนี้ด้วยไม่ได้หรือ? ถ้าเป็นไปได้ เราก็ค่อยเปลี่ยนเส้นทางไปใช้การขนส่งทางน้ำทีหลังก็ได้นี่… และก็หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีความขัดแย้งได้ด้วย ไม่ว่าจะต้องอ้อมไกลแค่ไหนก็ตาม” เขาเอ่ยอย่างใจเย็นและราวกับกำลังคุยเรื่องธุรกิจ “คุณจ่ายได้แค่ไหนครับ? ในตอนที่ยังมีเวลาอยู่แบบนี้ มันคงจะดีกว่านะถ้าคุณเปลี่ยนของที่คุณครอบครองอยู่ตอนนี้เป็นเงินแทน เปลี่ยนอันนี้ หรือข้าวสาลีเป็นของที่คุณต้องการก็ได้ครับ… นั่นคงไม่พอหรอกครับ มันไม่แน่นอนด้วยว่าคุณจะสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ด้วยหรือเปล่า ผมเข้าใจครับ ผมเองก็จะช่วยด้วย ไม่ครับ เรื่องนี้น่ะก็แค่… เรื่องทั้งหมดนี่ก็เพราะพี่ชายผมแหละครับ”
ยิ่งกิลเบิร์ตใจเย็นมากเท่าไหร่ ความโกรธก็ยิ่งมากขึ้นและปะทุอยู่ในตัวฉัน
ในที่สุดบทสนทนาที่ได้ความช่วยเหลือที่จำเป็นของฉันก็จบลง ตอนขากลับ ฉันถามกิลเบิร์ตว่าเขาไม่ชอบเธอหรือเปล่า ว่าเขาไม่ได้รู้สึกเศร้าหรือหงุดหงิดกับสถานการณ์แบบนั้นสักนิดเลยหรือ – พวกเขาหมั้นกันมาหลายปีแล้วด้วย ถึงพ่อแม่ของพวกเขาจะเป็นคนตัดสินใจให้ก็ตามทีเถอะ
กิลเบิร์ตที่เดินเงียบ ๆ มาตลอดทางมองมาที่ฉัน กลีบของต้นไม้ที่ดอกของมันได้ทาสีขาวบนถนนในตอนต้นฤดูใบไม้ผลิได้หายไปแล้วและถูกย้อมกลายเป็นสีเขียวแทน แต่ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในโลกที่ทัศนียภาพได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่กิลเบิร์ตที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของฉันก็ยังคงเป็นตัวตนที่ยอดเยี่ยมและน่าทึ่งเหมือนเช่นเคย
กิลเบิร์ตพูดพร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย “ความจริงคือมันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกกับการไล่ตามใครสักคนที่กำลังจะจากไป มันฝังใจฉันเพราะพี่ชายของฉัน” อีกแล้ว เขาดูโดดเดี่ยวอีกแล้ว ปากของเขาขยับราวกับยืมคำพูดของคนอื่นมา “ฉันคงพูดไม่ได้หรอกว่าฉันเห็นใจเธอ แต่… ถ้าถามฉันว่าฉันผูกพันด้วยไหม ฉันเปล่าเลย คน ๆ นั้นไม่ใช่ของฉันมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ”
“’ของนาย’ นายพูดว่า… นาย…”
“ฉันใช้คำไม่ค่อยดีใช่ไหมล่ะ ไม่ใช่ว่าฉันมองเธอเป็นสิ่งของเพราะเธอเป็นผู้หญิงหรืออะไรหรอกนะ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้น… นาย…”
อ่า มันเป็นแบบนี้เองสินะ ฉันคิดอย่างนั้น
––เพราะว่าเป็นนาย นายมักจะ…
มันเป็นครั้งแรกที่ฉันสัมผัสได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของคนที่มีชื่อว่ากิลเบิร์ต โบเกนวิลเลีย
––เพราะแบบนั้น ถึงนายจะห้อมล้อมด้วยผู้คนมากมาย นายก็มักจะ…
ผู้ชายคนนี้ไม่มีความรู้สึกของการผูกพัน
เป็นไปได้ว่าพี่ชายของเขาที่ทิ้งเขาไปเป็นคนเดียวที่เขามีความรู้สึกผูกพันด้วย แต่ถึงจะไม่ใช่แบบนั้น เขาก็คงจะเป็น…
––นายดูโดดเดี่ยว
…คนที่เคยชินกับการยอมแพ้ต่อสิ่งต่าง ๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงจัดการกับทุกเรื่องและผู้คนอย่างใจเย็นและอยู่ในการควบคุมแบบนั้น ถึงแม้ว่าความตั้งใจจริงของเขาจะไม่ใช่แบบนั้นก็ตาม
“เรื่องของเรื่องก็คือเราได้สร้างปัญหาให้กับลูกสาวของพวกเขาเพราะพี่ชายของฉัน การทำแบบนี้จึงไม่ได้มีความหมายอะไรเลย”
––แล้วความรู้สึกของนายไปไหนเสียล่ะ?
“พ่อแม่ของเราคงจะต้องพูดถึงเรื่องนี้แน่นอน แต่พ่อแม่ฉันก็คงแค่จับคู่ฉันกับคนใหม่ที่จะมาเป็นภรรยาของฉันก็เท่านั้นเอง”
––นายไม่รู้สึกเคืองบ้างเหรอที่จะมีคนติดสอยห้อยตามนายไปตลอดทั้งชีวิตและตัดสินใจให้นายเหมือนนายเป็นแค่ชิ้นส่วนหนึ่งของเกมน่ะ?
“ลูกชายคนโตสุดของตระกูลเธอจะเป็นคนรับช่วงต่อของตระกูลแทน เพราะงั้นคงไม่มีปัญหาอะไรนอกจากเรื่องชื่อเสียงของพวกเขา แต่หากของพวกเขายังคงเกี่ยวดองกับเราตลอดรุ่นของฉัน มันก็จะถูกแก้ไขไปเอง”
ไม่ว่ากิลเบิร์ตจะพยายามพูดโน้มน้าวใจฉันแค่ไหน ฉันก็จะไม่มีวันพูดว่า “ถูกแล้วล่ะ” เด็ดขาด
คนที่ยืนอยู่ข้างฉันเป็นชายหนุ่มที่ยังวัยรุ่นอยู่ เขาเป็นเด็กที่ราวกับเป็นผลลัพธ์จากการถูกเรียกร้องความเป็นเหตุเป็นผล ไม่เคยมองหาความหมายของการมีตัวตนอยู่นอกเหนือไปจากการเป็นแค่ “สิ่งอำนวยความสะดวก” สำหรับผู้คน เขามองตัวเองและคนอื่น ๆ เป็นเพียงแค่สินทรัพย์เท่านั้น
“ฉัน… ดีใจที่นายมีคู่หมั้น แต่ถึงฉันจะโกรธที่นายอุบเงียบไม่บอกฉันก็เถอะ” เพราะอะไรบางอย่าง ฉันจึงกลายเป็นคนที่เศร้าและเสียงของฉันก็เริ่มสั่นเครือเพราะน้ำตาที่กลั้นไว้ไม่อยู่ กิลเบิร์ตถามฉันว่ามีอะไร แต่ฉันหลอกเขาโดยแกล้งทำเป็นไอ
รู้ไหม ฉันได้เห็น… อนาคตของกิลเบิร์ตด้วยนะ ไม่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน หรืออีกไกลแค่ไหนที่เขาจะเดินผ่านเส้นทางที่แสนยอดเยี่ยมโดยไม่หันเหไปจากมัน แต่มันก็จะแทบไม่มีอะไรเหลืออยู่บนฝ่ามือของเขา เขาจะโยนสิ่งของและผู้คนที่เขาไม่มีธุระด้วยแล้วทิ้งไปและไม่สนว่าตัวเองจะถูกโยนทิ้งด้วยไหม เขาจะแค่เหยียบย่ำไปตามเส้นทางคับแคบ เสี่ยง และขาวบริสุทธ์ที่ปูมาให้เขาในโลกที่มืดสนิท แต่เขาจะต้องก้าวข้ามมันไปได้อย่างสวยงาม และชำนาญมากกว่าใครแน่นอน
ในมือของเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากปืน
ฉันเป็นคนเห็นแก่ตัว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงเศร้ากับข้อเท็จจริงนั่น ถึงแม้ว่าฉันจะคิดว่ากิลเบิร์ตเป็นเพื่อนเบอร์หนึ่งของฉัน แต่อาจจะไม่ใช่สำหรับเขาก็ได้
ช่าย การหลบหนีสำเร็จด้วยดี
ฉันไม่รู้หรอกว่าสองคนนั้นเป็นยังไงหรือทำอะไรอยู่ตอนนี้ แต่พวกเขาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเพื่อนฉัน เพราะงั้นฉันก็หวังว่าพวกเขาจะมีความสุขดี ผลกระทบหลังจากเรื่องนั้นเต็มไปด้วยปัญหา แต่ปัญหาที่คู่หมั้นของทายาทโบเกนวิลเลียหนีไปนั้นไม่นานก็หายวับไป
จู่ ๆ พ่อของกิลเบิร์ตก็เสียชีวิต
ในตอนที่เรายัดคู่รักที่แสนหยาบคายเข้าไปในรถบรรทุกของธุรกิจครอบครัวฉัน และกลับมาด้วยสีหน้าเฉยเมย “ตายจริง ตายจริง มันจบแล้ว” อาจารย์เรียกกิลเบิร์ตเป็นการหยุดเขา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
“เธอหายไปไหนมา? เธอทำอะไรอยู่? เรากำลังตามหาเธออยู่พอดี เขาจากไปแล้ว เธอไม่ได้อยู่ตอนช่วงสุดท้ายของชีวิตเขา”
อาจารย์ก็คงตื่นตระหนกเช่นกัน เขาทิ้งระเบิดใส่กิลเบิร์ตที่ตกตะลึงกับคำพูดที่ได้ทำร้ายเขา กิลเบิร์ตกระวนกระวายใจ แต่ก็ไม่ได้สับสน เขาเป็นผู้ชายที่สามารถตัดอารมณ์ทุกอย่างออกไปและทำในสิ่งที่เขาต้องทำ เขาบอกว่าเขาเข้าใจแล้วและรีบกลับไปบ้านเขาทันที
ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ไปกับเขา ฉันออกจากโรงเรียนได้เพราะได้รับอนุญาตให้ไปเข้าร่วมงานศพเท่านั้น ญาติของฉันส่วนใหญ่สุขภาพดีกันหมด เพราะงั้นมันจึงเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ไปร่วมงานศพของใครสักคนและคน ๆ นั้นก็คือพ่อของกิลเบิร์ต ในตอนที่ฉันเข้าไปด้วยความประหม่านั้น เขาก็อยู่ที่นั่นแล้ว และแสดงบทบาทของผู้นำตระกูลที่เศร้าโศกด้วยท่าทีที่เหมาะสม… กิลเบิร์ตที่กลายเป็นผู้นำตระกูลโบเกนวิลเลียทั้งในนามและตำแหน่งกระแอมในลำคออย่างสุขุม
“ทำไมล่ะ ถ้าฉันรู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น พวกเขาคงจะไม่ได้หนีไปหรอก… ตอนนี้อุปสรรคของพวกเขาหายไปแล้ว ฉันจะได้แก้ไขเรื่องนี้… ฉันทำเรื่องที่ไม่ยุติธรรมกับคน ๆ นั้น” เขาเอ่ย
เขาเรียกพ่อของเขาว่า “อุปสรรค”
นั่นคงเป็นเพราะวิธีการเลี้ยงดูกิลเบิร์ตมาอย่างแน่นอน เลี้ยงมาในฐานะ “เครื่องมือ” ของตระกูลโบเกนวิลเลียที่จะส่งต่อไปในตระกูล เขาถูกเลี้ยงมาแบบนั้นเพื่อให้เขาเป็นคนเตรียมกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อความรุ่งเรืองของวงศ์ตระกูล มันได้เปลี่ยนเขาอย่างกะทันหัน ผู้คนจะเอาคืนในสิ่งที่คนอื่นทำกับพวกเขา
ยิ่งเธอสนิทกับเขามากเท่าไหร่ เธอก็จะเข้าใจเขามากขึ้นเท่านั้น เขาเป็นคนจิตใจดีแต่โดดเดี่ยว ถึงเขาจะมีใบหน้าน่ารักเวลาเขาหัวเราะก็เถอะ แต่เขาก็แทบไม่หัวเราะเลย เขารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับสถานะของเขา
ฉันคิดว่าเมื่อตอนที่ฉัน… ตอนที่ฉัน… ตาย… หรือฉันหายไปต่อหน้าต่อตาเขา… สิ่งเดียวที่ฉันไม่ต้องการคือเขาทำเหมือนกับฉันเป็นแค่สิ่งของ ฉันทนไม่ได้หรอก
เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกเต๋าแห่งโชคชะตาถูกทอยเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกตของเขา เขาก็จะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากอนาคตที่คดเคี้ยวถูกกางออก เขาก็แค่จ้องมองไปที่เส้นทางที่ไม่ใช่ของมนุษย์อย่างจริงจังก็เท่านั้น
จะมีสักวันไหมที่ผู้ชายอย่างเขาวิ่งไล่ตามใครสักคน? ใครสักคน – ที่ใคร ๆ ต่างก็ไล่ตามกัน ใครสักคน ใครสักคนที่เขาจะให้ความรักได้
เขาจะมีวันเป็นแบบนั้นไหม?
ฮอดกินส์หยุดพูดตรงนั้น และยื่นมือของเขาออกมา ปลายนิ้วของเขาสัมผัสที่ผมของไวโอเล็ตที่ขยุมกันเป็นก้อนอยู่บนเตียง เขาค่อย ๆ สางผมที่เริ่มเหนียวเพราะเหงื่อออกอย่างช้า ๆ
“ถ้าอย่างนั้น ท่านประธานฮอดกินส์คะ หลังจากคุณจบการศึกษา… คุณ… เจอกับคน ๆ นั้นอีกครั้งตอนไหนคะ?”
เมื่อได้ยินคำขอร้องให้เล่าเรื่องต่อด้วยเสียงลมหายใจหวีดหวิวยาว ๆ จากคนที่หลอดลมกำลังทุกข์ทรมาน ฮอดกินส์จึงส่งยิ้มแข็ง ๆ ให้ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ดึงผ้าห่มที่อยู่ตรงหน้าอกของไวโอเล็ตขึ้นมาถึงคอ “ค่อยมาฟังกันต่อหลังจากที่เธอหายจากไข้เถอะ” เขากระซิบด้วยความอ่อนโยนอย่างยิ่งพร้อมกับสายตาที่นุ่มนวล คำพูดของเขาราวกับเต็มไปด้วยความรักที่คล้ายกับความรักจากคนเป็นพ่อ
พวกเขาอยู่ในห้องที่มีขนาดใหญ่มากพอสำหรับคนสองคน ผนังของห้องเป็นลายดอกไม้สีฟ้าอ่อน และโคมระย้าประดับด้วยระย้าเรียงรายลงมา บนโต๊ะกลมที่ตั้งอยู่กลางห้องมีกล่อง กระเป๋า และตะกร้าผลไม้ที่ห่ออย่างดีจนรู้ได้ในทันทีว่าเป็นของเยี่ยมไข้ ถึงแม้ในห้องจะไม่เย็นจนเกินไป แต่ไม้ที่เผาอยู่ในเตาผิงก็ส่งประกายไฟออกมาในชั่วพริบตา หน้าต่างของห้องที่มีม่านปิดอยู่สั่นอย่างแรงเพราะลม เข็มของนาฬิกาห้องชี้ไปที่เลขชั่วโมงก่อนที่จะค่ำ
“อาการป่วยก็เป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับฉันเหมือนกันค่ะ ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะฉันห่างจากสนามรบมานาน… ช่างน่าเหลือเชื่อเหลือเกินที่ฉันอ่อนแอเช่นนี้ ขอประทานอภัยด้วยนะคะที่ฉันไม่สามารถควบคุมสุขภาพตัวเองได้”
“พูดอะไรของเธอน่ะ? เธอเป็นไข้ก็เพราะอุณหภูมิเปลี่ยนไม่ใช่เหรอ? แล้วที่ที่เธอไปทำงานก็อยู่เหนือสุดด้วย… โทษทีนะที่ทำให้เธอต้องลำบาก ไม่ต้องกังวลแล้วก็นอนซะเถอะ โอเค๊?” ในตอนที่พูดอยู่นั้น เขาก็ใช้นิ้วชี้ลูบไปตามรอยคล้ำเล็กน้อยใต้ดวงตาสีฟ้าใสของไวโอเล็ตอย่างแผ่วเบา ไม่ใช่ว่าการทำแบบนี้จะทำให้รอยคล้ำนั่นหายไป แต่เป็นการแสดงถึงความปรารถนาของเขาที่ตั้งใจจะทำต่างหาก “เราติดต่อไปหาลูกค้าที่จองตัวเธอ และพวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังอยากเลือกเธอถึงเธอจะไปหาพวกเขาช้าก็ตาม เพราะงั้นจึงไม่มีใครสักคนยกเลิกการจองไป ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น และพักผ่อนให้นานหน่อยเถอะไวโอเล็ตตัวน้อย เธอดูเหนื่อยมากเลย”
“ฉันจะรีบรักษาตัวเองให้เร็วที่สุดค่ะ พรุ่งนี้ก็คงได้”
“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด นับจากวันนี้พักงานอย่างน้อยสักสามวัน ในสามวันนี้เดี๋ยวฉันจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าเธอพร้อมจะกลับไปทำงานหรือยัง ขอโทษด้วยนะที่ห้ามไม่ให้คนอื่นมาเยี่ยมน่ะ”
“ไม่หรอกค่ะ ถ้าพวกเขาติดไข้ไปคงจะไม่ดีแน่ คุณด้วยค่ะท่านประธานฮอดกินส์… ขออภัยด้วยนะคะที่ทำให้คุณต้องเล่าอะไรให้ฟังหลายอย่างเลยแทนที่จะแค่มาเยี่ยมเฉย ๆ… ฉันทำให้คุณต้องอยู่นานเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก ไวโอเล็ตตัวน้อย ถ้าการที่ฉันติดไข้จะทำให้เธอหาย ฉันก็ยินดี แล้วฉันเองก็… เป็นเหมือนกับพ่อบุญธรรมเธอด้วยถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม ใช่ไหมล่ะ?”
“ค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบนั้น ฮอดกินส์ก็ยิ้มจนหน้าบาน “หนังสือที่ลักซ์ตัวน้อยขอให้ฉันเอามาให้เธออยู่ในถุงสีน้ำตาล ฉันแอบดูเนื้อหามัน แล้วก็เห็นว่ามันเป็นนิยายรักชื่อดังเสียด้วย ถ้าตาเธอล้าเมื่อไหร่ก็หยุดอ่านทันทีเลยนะ”
“ค่ะ”
“ที่เหลือมาจากคนในบริษัท เบเนดิกต์ฝากมาบอกฉันว่า ‘ดูแลตัวเอง’ ส่วนแคทลียาตามตารางจะกลับมาวันพรุ่งนี้ แต่ถึงหล่อนจะมาที่นี่ด้วยความต้องการของหล่อนเอง เธอก็ไม่ควรจะให้หล่อนอยู่นานนะ”
“ค่ะ”
“บอกคนในบ้านนี้แล้วกันนะถ้าเธอมีอะไรที่เธออยากให้ฉันทำให้ ฉันจะรีบลางานมาทันที”
“ไม่เป็นไรค่ะ ลักซ์คงจะร้องไห้แน่ เพราะฉะนั้นทำงานของคุณเถอะค่ะ”
ฮอดกินส์เอ่ยลา และพยายามจะจูบแก้มเธอ แต่ปากของเขากลับถูกหยุดไว้ด้วยฝ่ามือที่ร้อนจัด และในตอนที่เขาถามด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่าเธอไม่อยากให้เขาทำหรือ ไวโอเล็ตก็ตอบว่ามันอันตรายเกินไป เขาอาจติดไข้เธอได้
เขาจูบที่ฝ่ามือจนเกิดเสียงดังจ๊วบ “ราตรีสวัสดิ์นะ ไวโอเล็ตตัวน้อย”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ท่านประธานฮอดกินส์”
ฮอดกินส์ออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ และเดินไปบนทางเดินกว้างอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางเขาได้แจ้งคนรับใช้ที่เดินผ่านมาว่าเขาจะไปแล้ว แม้แต่ตอนที่เขาขับรถเขาก็ยังคงเร่งรีบ
บางทีอาจเป็นเพราะที่พักอาศัยที่เขาได้ไปเยี่ยมนั้นตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงไลเดน ดวงอาทิตย์จึงตกในตอนที่เขามาถึงตัวเมือง ท้องฟ้าสีแดงฉานจึงค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท
วันนี้เป็นวันที่ลมแรงอย่างเห็นได้ชัด รถคลาสสิคของฮอดกินส์โยกเยกไม่หยุดในระหว่างการเดินทางที่แสนน่ากลัว
สถานที่ที่ฮอดกินส์มุ่งหน้าไปนั้นเป็นย่านพำนักที่อยู่ห่างจากเมืองไลเดน เมืองหลวงของไลเดนชาฟต์ลิชไปเล็กน้อย ด้านในย่านนั้นได้มีแค่โรงแรมเล็ก ๆ ที่เข้ามาพักโดยไม่ต้องจอง แต่ยังมีโรงแรมเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถผ่านประตูเข้าไปได้จนกว่าจะถูกเชิญเข้าไปเท่านั้น โรงแรมขนาดเล็กที่เขาสั่นกระดิ่งอยู่นั้นเป็นแบบอย่างที่สอง
ชั้นแรกเป็นทางเข้าของผู้ที่มาพัก และอยู่ชั้นเดียวกับพนักงานที่คอยบริหารงานทุกอย่าง โรงแรมมีอยู่ห้าชั้นด้วยกัน เนื่องจากว่าตึกส่วนใหญ่ที่มีตึก ๆ เดียวจะสูงแค่สามชั้นเท่านั้น ดังนั้นตึกนี้จึงค่อนข้างสูงทีเดียว มีเพียงแค่ผู้ที่ทำสัญญากับทางโรงแรมเท่านั้นที่จะอยู่ในแต่ละชั้นได้ มันเป็นโรงแรมชั้นสูงที่เปิดให้ผู้อยู่อาศัยอยู่ได้ทั้งชั้น ซึ่งทั้งห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว และห้องอื่น ๆ ถูกออกแบบมาอย่างหรูหรา แม้แต่การเข้าพักแค่คืนเดียวก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก เว้นเสียแต่ผู้อยู่อาศัยจะถูกเลือกมา
ในตอนที่เขาสั่นกระดิ่งบนห้องชั้นบนสุด ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากข้างใน
“นั่นใครครับ?”
ฮอดกินส์ยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดที่สุภาพ “ฉันเอง สุนัขจิ้งจอกตัวจ้อยที่นายช่วยไว้วันนั้น”
“ฉันไม่เคยเจอสุนัขจิ้งจอกที่ไหน” ทันใดนั้นเสียงของผู้พักอาศัยก็ต่ำลงเมื่อเขาจำได้ว่าอีกคนเป็นใคร
“งั้นก็คนที่นายต่อยหน้าตอนที่เจอกันครั้งแรกไง ฮอดกินส์เอง”
“รอตรงนั้นเดี๋ยว ฉันจะไปเปิดให้เดี๋ยวนี้”
ผู้พักอาศัยที่ถูกเลือกเปิดประตูไม้โอ๊คออกมาพร้อมกับปืนที่อยู่ในมือเป็นชายที่เพิ่งจะผ่านช่วงวัยยี่สิบในตอนที่งานกำลังรุ่งโรจน์ และเป็นคนเดียวกับที่เป็นผู้นำตระกูลที่ไม่มีใครในกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชไม่รู้จัก แม้จะเป็นช่วงกลางดึงแล้ว แต่เขาก็ยังสวมเครื่องแบบทหาร มีเพียงแค่คอปกที่ถูกปลดกระดุมแล้วเรียบร้อย บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่มีเวลาได้พักเลย ผมของเขาที่มักจะหวีจนเรียบแปล้ขึ้นไปเหนือหน้าผากกลับยุ่งเหยิง และยังมีตอหนวดอีกด้วย เขายังถอดที่ปิดตาออกจนเผยให้เห็นดวงตาที่ถูกกรีดลึกอีกด้วย
“ไวโอเล็ตเป็นยังไงบ้าง?”
ฮอดกินส์ยักไหล่กับคำพูดนั่นทันทีที่พวกเขาสบตากัน “’ฮอดกินส์ สวัสดีตอนค่ำ นายทำงานจนดึกเลยนะ’ – นายค่อยถามหลังจากที่พูดกับฉันแบบนี้ไม่ได้เหรอ?”
“ฮอดกินส์ สวัสดีตอนค่ำ นายทำงานจนดึกเลยนะ… ฉันเหนื่อย”
เขาทนดูสีหน้าที่ราวกับกำลังพูดว่า “รีบบอกให้ฉันฟังสักที” ไม่ได้ เขาจึงเอ่ยตอบ “ก็แค่เป็นไข้เท่านั้น ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องห่วงน่ะ? ถ้านายตั้งใจจะไปเยี่ยมเธอพรุ่งนี้อยู่แล้ว จะอยากได้รายงานของฉันไปทำไมล่ะ?”
“ฉันเป็นห่วง…”
บางทีอาจเป็นเพราะเขาได้หวนนึกถึงอดีต เขาจึงรู้สึกว่ากิลเบิร์ตในตอนนี้เริ่มเป็นมิตรขึ้นมานิดหน่อย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาในตอนวัยเด็กที่เคยไม่เป็นมิตรกับใครกลับมีความรัก ฮอดกินส์พยายามลดเสียงหัวเราะที่หลุดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจลง
“เฮ้ อะไรน่ะ? นายหัวเราะทำไม?”
“ฉันเปล่าสักหน่อย ว่าแต่ที่นี่ดูแพงเชียวนา… นายจ่ายเงินที่ที่นายเคยอยู่ครบหมดแล้วเหรอ?”
“ฉันได้ค่าเช่าถูกเพราะเส้นสายของครอบครัวฉันน่ะ ฉันเองก็กำลังหาอพาร์ทเมนต์อยู่… เพราะงั้นที่นี่จึงเป็นแค่ที่อยู่อาศัยชั่วคราว ก่อนหน้านี้ฉัน… ย้ายบ้านเป็นระยะ ๆ มาตลอดเพื่อไม่ให้ไวโอเล็ตเจอฉัน แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว…”
หลังจากเหตุการณ์จี้รถไฟ กิลเบิร์ตก็ได้ขอโทษฮอดกินส์และตระกูลเอเวอร์การ์เดน หยุดซ่อนตัว และเริ่มติดต่อกับไวโอเล็ต ทั้งคู่กำลังไปด้วยกันได้ดีเลยล่ะ
แต่เพราะเขาเป็นพันเอกแห่งกองทัพ และเธอเป็นออโต้เมมโมรี่ดอลล์ที่เป็นที่นิยม พวกเขาจึงมีเวลาอยู่เพียงน้อยนิดที่จะได้พบกัน ช่วงเวลาและสถานที่ที่พวกเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองนั้นจึงมีค่าอย่างมาก
“อ่า ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายไม่กลับไปที่บ้านของนายที่แม่กับน้องสาวที่น่านับถือของนายอยู่น่ะ”
กิลเบิร์ตพยักหน้า “ฉันไม่อยากให้เธอไปที่นั่น… ฮอดกินส์ การที่นายบอกฉันเรื่องเธอโดยตรงมันช่วยฉันได้เยอะเลยล่ะ เข้ามาสิ”
เขาคงจะเหนื่อยมากจริง ๆ คำพูดที่เขาเอ่ยออกมาหยุดกระชั้นหลายครั้ง
ฮอดกินส์ได้เข้าไปในห้องที่ใหญ่ที่สุด อาจเป็นเพราะไฟในห้องยังไม่ถูกจุดเรียบร้อยดีมันจึงยังมืดอยู่ มีเพียงแค่โคมไฟที่อยู่บนตู้มุมห้องเท่านั้นที่ให้แสงสว่างโดยรอบ
“อย่าเปิดหน้าต่างนะ เดี๋ยวกระดาษจะปลิว”
โต๊ะหน้าเก้าอี้ที่ฮอดกินส์นั่งอยู่เงียบ ๆ มีเหล็กปลายแหลม เชือกผูก และกองเอกสารอยู่ มันมีอย่างอื่นอยู่ด้วย เช่น ขี้ผึ้งปิดผนึก ปากกาคอแร้ง และกระดาษเขียนจดหมายที่เขียนไว้ครึ่งหนึ่ง กองจดหมายที่ผูกด้วยเชือกวางอยู่ข้าง ๆ กระดาษ
ฮอดกินส์เอื้อมมือไปยังกระดาษนั่นเงียบ ๆ ด้วยสีหน้าประหลาดใจ กิลเบิร์ตได้เดินหายเข้าไปในครัว ในขณะที่อ่านจดหมายอยู่นั้น ฮอดกินส์ก็ถามด้วยสีหน้าเงียบสงบ “นายได้นอนบ้างหรือเปล่า?”
เสียงขยับของเข็มนาฬิกาดังขึ้น
“อ่า เพิ่งตื่นเมื่อกี้เลย ฮอดกินส์ ฉันกำลังจะทำอาหารเย็น นายจะกินด้วยไหม?”
“หืมม นายดูท่าทางหมดแรงแล้วแต่อย่างกับจะจัดงานเลี้ยงงั้นแหละ กิลเบิร์ต นี่นายดื่มตอนที่กำลังทำอาหารเหรอ?”
จู่ ๆ กลิ่นหวาน ๆ ก็ลอยมาทางเขา
“ฉันไม่ใช่นายนะ… ฉันจะใส่มันลงไปในอาหาร”
“งั้นนายก็ทำอาหารอะไรแบบนี้ด้วยงั้นสิ”
“อย่างน้อยถ้าเพื่อนมาหาฉันก็จะทำแหละ”
ดวงตาที่กำลังไล่อ่านจดหมายอยู่นั้นหยุดลง และฮอดกินส์ก็หันไปทางห้องครัวที่ซึ่งไม่สามารถเห็นกิลเบิร์ตได้จากในห้องเลย
“โกหก นายแค่หิวเพราะเพิ่งตื่นใช่ไหมล่ะ?” ฮอดกินส์พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง แต่เขาไม่ได้กำลังร่าเริงอยู่เลยสักนิด
“งั้นฉันจะกินมันให้หมดเอง”
“รู้ไหม หลัง ๆ มานี้นายเอาแต่เรียกฉันว่า ‘เพื่อน’ อยู่เรื่อยเลยนะ นายอยากเอาใจฉันแบบไหนกันเนี่ย?”
“’หลัง ๆ มานี้’…? งั้นเหรอ? งั้นฉันควรใช้คำไหนล่ะ? เรามีความสัมพันธ์แบบนี้มาสิบ ๆ ปีแล้วนะ ทำไมการที่ฉันเรียกนายว่าเพื่อนต้องเป็นการเอาใจล่ะ?”
คำตอบที่ฟังดูลื่นไหลนั่นกระแทกใจเขาเต็ม ๆ
“ไม่ใช่ คือฉันหมายถึง นาย… มักจะทำกับผู้คนที่นิสัยดี ๆ เหมือนกับเครื่องมือ นายไม่เคยแสดงความนับถือฉันด้วยซ้ำถึงฉันจะแก่กว่านาย”
“ถ้าเป็นเรื่องไวโอเล็ต ฉันต้องขอโทษด้วย แต่เรื่องที่ไม่นับถือนาย มาถึงขนาดนี้แล้วฉันต้องแสดงความนับถือเพราะอายุห่างกันด้วยเหรอ?”
เงียบกริบ
“ฮอดกินส์?”
ถึงจะถูกเรียก แต่ฮอดกินส์ก็ไม่เอ่ยตอบอะไรแต่กลับหันกลับไปมองจดหมายเพียงชั่วครู่ มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้อ่านจดหมายพวกนี้ แต่ฮอดกินส์รู้ดีว่ามันคืออะไร เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ฮอดกินส์มาหาเขาที่ห้อง ก็จะมีจดหมายที่ถูกปิดผนึกอยู่ตลอดแต่ไม่มีการจ่าหน้าซองถึงผู้รับ ฮอดกินส์รู้จักอีกคนหนึ่งที่เคยสะสมจดหมายไว้เป็นกอง ๆ แต่ไม่เคยส่ง
“นายมันโง่ชะมัด”
อย่างที่กิลเบิร์ตพูด พวกเขามีความสัมพันธ์แบบนี้มาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว และพวกเขาเองก็เคยมีช่วงเวลาที่เลิกติดต่อกันไปด้วย จดหมายที่ในที่สุดเขาก็ได้เห็นอีกครั้งหลังจากผ่านมาหลายปีเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวคนหนึ่งที่กิลเบิร์ตไม่สามารถไปหาได้ถูกเขียนลงไป เขาคงตั้งใจที่จะโยนทิ้งจดหมายเก่า ๆ ไปและส่งอันใหม่ไปแทน สิ่งที่เขียนในจดหมายมีแต่คำขอโทษสำหรับสิ่งที่เขาทำลงไปซ้ำ ๆ เช่นเดียวกับคำขอบคุณที่เธอส่งจดหมายมาให้เขานับไม่ถ้วน
ฮอดกินส์หมุนคอ มองไปที่แผ่นหลังของกิลเบิร์ตที่ยืนอยู่ในครัว สำหรับเขาเขาคิดว่ามันถึงเวลาอันสมควรแล้ว แต่สำหรับพวกเขาทั้งสองคนอาจจะต้องใช้เวลาสักพัก
––ไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกเขาสองคนที่เคยแยกจากกันจะได้กลับมาเจอกันอีก
มันเป็นเรื่องรัก ๆ ทั่วไปที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ แต่นั่นคงเป็นเหตุผลที่แท้จริง…
––…เขาคิดว่าเขาอยากให้พวกเขามีความสุขมากพอที่จะชดเชยช่วงเวลาที่เสียไป
เขาและเธอ ทั้งคู่เป็นคนที่ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้สำหรับฮอดกินส์
“กิลเบิร์ต”
“อะไร?”
“พูดเรื่องเพื่อน… ฉันน่ะคิดว่าบางครั้งการที่เราให้มิตรภาพกับใครไปก็ใช่ว่าจะได้รับมันกลับคืนด้วยนะ”
“อ่าฮะ” กิลเบิร์ตไม่ได้ตอบรับคำพูดนั้นเท่าไหร่นัก
ฮอดกินส์รู้สึกว่าเขาตอบส่ง ๆ มาโดยไม่ได้ตั้งใจฟังเสียด้วยซ้ำ เขาจึงเผลอใส่อารมณ์ไม่พอใจไปในวิธีการพูดของเขา “นายตอบ ‘อ่าฮะ’ แต่นายเข้าใจจริง ๆ หรือเปล่า? ฉันว่านายไม่เข้าใจนะ… ฉันรู้สึกแบบนั้นกับนายมาตั้งหลายปี กิลเบิร์ต นายคงจะไม่มีเพื่อนได้แน่ ๆ แต่ฉันทำไม่ได้หรอกนะ และฉันก็ไม่อยากให้เราเป็นแบบ… แบบนี้เลยสักนิด… แบบที่ฉันเป็นคนเดียว… ที่อยากให้นายอยู่แบบนี้… สบายดีแบบนี้ หรือที่อยากเจอนายเรื่อย ๆ และคุยกันเรื่องทั่ว ๆ ไป แต่เพราะนายโคตรจะเย็นชา… ฉันก็เลยแบบว่า ‘ฉันเป็นคนเดียวที่ชอบนายหรือเปล่านะ?’ เพราะงั้นหลัง ๆ มานี้ฉันถึงรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีของนายไง แต่ว่านาย… นายคงจะไม่เข้าใจความรู้สึกพวกนี้ของฉันหรอก”
ทั้งสองคนรู้จักนิสัยใจคอและเข้าอกเข้าใจกันดีว่ามิตรภาพของพวกเขามีอยู่จริง และพวกเขาก็เชื่อใจอีกคนมาก หลักฐานของมิตรภาพนั้นก็คือการที่กิลเบิร์ตไว้วางใจให้ฮอดกินส์ดูแลคน ๆ หนึ่งที่เขาพยายามจะปกป้องด้วยทั้งชีวิตของเขา แต่ถึงอย่างนั้นฮอดกินส์ก็ยังคิดแบบนั้นว่าสำหรับกิลเบิร์ตแล้วเขาไม่ได้ถูกวางอยู่ในสถานะเพื่อน แต่เขาก็ไม่เคยพูดมันออกไป เพราะการที่มีความรู้สึกเช่นนั้นดูเป็นเรื่องไร้สาระในมิตรภาพระหว่างผู้ชาย
หลังจากพูดออกไปแบบนั้นฮอดกินส์ก็รู้สึกผิดขึ้นมาในทันที เขารู้สึกผิด แต่ถึงอย่างนั้น…
“ไม่ ฉันเข้าใจดี ฉันไม่มีเพื่อนที่ไหนนอกจากนายหรอกนะ”
บางทีอาจเป็นเพราะเขาจับกระดาษในมือแรงไปหน่อยมันจึงยับเล็กน้อย ฮอดกินส์วางมันลงบนโต๊ะด้วยความตื่นตระหนกและค่อย ๆ รีดให้เรียบ แต่พอเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของกิลเบิร์ตเข้ามาใกล้ในตอนที่เขากำลังรีดมันอยู่นั้น เขาจึงรีบวางจดหมายลงที่เดิม
ทั้งสองยังคงเงียบเมื่อประชันหน้ากัน
อาจเป็นเพราะเขาเพิ่งสังเกตเห็นจดหมายที่ถูกเขียนไว้ครึ่งหนึ่ง เขาจึงรีบยัดใส่ในกองเอกสารของเขาและผลักให้ออกไปห่าง ๆ จากสายตาของฮอดกินส์ ฮอดกินส์แอบชำเลืองมองจดหมายที่ถูกซ่อนไว้ด้วยหางตา
เมื่อแยกจดหมายไปเรียบร้อย กิลเบิร์ตก็พรูลมหายใจยาว ๆ ราวกับกำลังถอนหายใจ “นายพูดว่าฉันอาจไม่เข้าใจ แต่ฉันก็เข้าใจมันนะ” เสียงของเขาค่อย ๆ เบาลง “นายมักจะห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูงจำนวนมากเสมอ แต่นายเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของฉัน”
––โกหกชัด ๆ
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีเพื่อนที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยเหมือนฮอดกินส์ แต่กิลเบิร์ตก็เป็นคนที่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาหาเขาอยู่แล้ว เขาไม่ใช่คนที่จะอยู่แบบสันโดษซะทีเดียว ในตอนที่เรียนอยู่โรงเรียนทหารบกเขาก็เข้าร่วมงานรวมรุ่นและงานเลี้ยงสังสรรค์ เขาสามารถสนทนากับใครก็ตามได้อย่างลื่นไหลไม่มีที่ติ
แต่ก่อนที่ฮอดกินส์จะได้ปฏิเสธคำพูดนั่น กิลเบิร์ตก็เอ่ย “ฉันมีคนรู้จักหลายคน แต่นายเป็นเพื่อนจริง ๆ ของฉันคนเดียว หลังจากที่นายจบการศึกษา… ฉันก็เคยคิดว่ามันคงจะดีไม่น้อยเลยนะถ้าฉันเกิดเร็วกว่านี้สักสองปีน่ะ” น้ำเสียงของเขาดูราวกับกำลังน้อยใจ
ภาพลวงตาของเด็กผู้ชายอายุสิบสี่ปีซ้อนทับกับร่างของผู้ชายวัยสามสิบที่สภาพยับเยิน ฮอดกินส์ก็รู้สึกเหมือนตนเองกลับไปอายุสิบหกอีกครั้งเช่นกัน ในตอนนั้นเขาเอาแต่ไล่ตามกิลเบิร์ตและวนเวียนอยู่รอบตัวเขา
––เราอยู่ด้วยกันเสมอ
ความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงใจเขาค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความอุ่นวาบในใจ รอยยิ้มค่อย ๆ คืบคลานเข้าไปในหัวใจอันทะนงตัวของเขาจนห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มออกมาไม่ได้
––กิลเบิร์ต นาย…
ผู้ชายที่มีชื่อว่ากิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรแบบนั้นเลยสักนิด ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาแสดงแต่ด้านที่ตัวเขาเป็นแค่ ‘สินทรัพย์’ ที่มีไว้จัดการเรื่องต่าง ๆ ของตัวเองและคนรอบตัวอย่างลื่นไหลเท่านั้น
––ด้านนั้นของนายไม่ยุติธรรมเลยสักนิด
และช่างเป็นเรื่องประหลาดที่ว่า หญิงสาวที่กิลเบิร์ตรักก็เคยเป็น “เครื่องมือ” เพื่อประโยชน์ของเขามาโดยตลอด แต่แล้ว “เครื่องมือ” นั่นก็ได้ปลดเชือกที่ผูกมัดรอบตัวเธอไว้อย่างแน่นหนานั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเริ่มแสดงสีหน้าเห็นใจผู้อื่น แล้วใครกันล่ะที่เป็นผู้รับผิดชอบความสำเร็จส่วนใหญ่น่ะ?
คลอเดีย ฮอดกินส์เมินเฉยต่อความต้องการจริงของตัวเองและทำเพียงแค่แสดงความปลาบปลื้มและยิ้มกว้างให้กับสีหน้าที่กำลังเขินอายของเพื่อน “ฮู่ว–– ฮ่า ๆๆๆๆๆ!”
“เฮ้ อย่าหัวเราะสิ นายเป็นคนให้ฉันพูดอะไรน่าอายแบบนี้ออกมาเองนะ ฉันจะไม่พูดมันอีกต่อไปแล้ว”
“ฮ่า ๆๆๆ ไม่ ๆ… นายเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้ขำที่นาย… อ่า กิลเบิร์ต อาหารที่นายทิ้งไว้ในเตาอบมันไม่เป็นไรหรอ? มันส่งเสียงแปลก ๆ นะ”
“มันไม่ดีเลย”
ฮอดกินส์ลุกขึ้นและตามกิลเบิร์ตที่วิ่งตึงตังกลับเข้าไปในห้องครัว การโต้เถียงกันแบบเดิม ๆ ดังขึ้นในโรงแรมและกลายเป็นเสียงของยามค่ำคืน
เช่นเดียวกับเวลาที่ผ่านพ้นมา ไม่ว่ามันจะผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ตาม สำหรับคนสองคนที่มีความสัมพันธ์ที่เรียกว่ามิตรภาพ มันก็จะกลับไปเป็นเหมือนวันที่ยังสนิทกัน ถึงแม้พวกเขาจะมีช่วงเวลาที่ไม่เจอหน้ากันเลยก็ตาม
“ถอยไปหน่อย ฉันจะโรยเครื่องปรุง”
“ไอ้โง่ นายผิดแล้ว นั่นไม่ใช่เกลือนะ”
“นายไม่มีผงพริกเลยเนี่ยนะ นายทำอาหารโดยมีแค่เกลือกับน้ำตาลหรอ?”
“ฉันติดนิสัยชอบกินอาหารนอกบ้านน่ะ ฮอดกินส์ พอแล้ว นี่ไม่ใช่อาหารแล้ว”
“อย่าพูดอะไรไร้สาระสิ ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้หรอกนะ”
“งั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว อย่าเพิ่งยอมแพ้สิ”
ไม่ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่อีกกี่ร้อยหรือพันปีก็ตาม ทั้งสองก็จะกลับไปเป็นตัวเองในช่วงเวลานั้นเสมอ
แด่กิลเบิร์ตในวัยสิบสี่ปีและฮอดกินส์ในวัยสิบหกปี
/
ขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะที่กลับมาอัพช้ามาก ๆ
ช่วงก่อนหน้านี้ชีวิตวุ่นวายมาก ๆ ค่ะ ;-;
ตอนสุดท้ายของ gaiden จะมาอัพให้ไม่เกินวันอาทิตย์นะคะ
ความคิดเห็น