คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : Cattleya Baudelaire
/
Cattleya Baudelaire
การเขียนจดหมายคล้ายกับการร้องเพลง
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันจะเดินทางไปทุกหนทุกแห่งตามที่คุณลูกค้าต้องการ ออโต้เมมโมรี่ดอลล์ แคทลียา โบลเดอแลร์ค่ะ”
มันเป็นทฤษฎีที่น่าสนใจมากสำหรับการเป็นออโต้เมมโมรี่ดอลล์ และเธอก็คิดอย่างนั้นจริง ๆ
“งั้น ฉันจะเริ่มเลยนะคะ โอเคไหม?”
การร้องเพลงต้องการให้ผู้คนเกิดภาพจินตนาการในหัวของพวกเขา ซึ่งการวาดภาพก็ใช้วิธีแบบเดียวกัน
“’เมิร์ท นายสบายดีหรือเปล่า? ขอบคุณสำหรับจดหมายนะ จดหมายของนายช่วยให้กำลังใจฉันได้ดีจริง ๆ’”
วินาทีที่เธอสูดลมหายใจเพื่อเริ่มเขียนจดหมายก็เหมือนกับวินาทีที่เธอเริ่มร้องเพลง
“โอ้ ฉันพิมพ์ผิดนี่นา เริ่มทำใหม่อีกครั้งแล้วกัน”
เมื่อผู้รับได้รับจดหมาย พวกเขาจะตอบสนองต่อมันยังไง? พวกเขาจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นคำพูดเหล่านั้น?
“คุณคงจะชอบบอกให้เขาตั้งใจเรียนสินะคะ… แต่ถ้าพูดแต่เรื่องนั้นในจดหมาย มันจะน่าเบื่อไปหน่อย น้องชายของคุณถูกบังคับให้เข้าโรงเรียนประจำใช่ไหมล่ะคะ? เพราะดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ เพราะงั้นฉันเลยคิดว่ามันคงดีกว่าถ้าบอกเขาว่า ถ้าเขาพยายามตั้งใจเรียน เขาจะได้โตมาเหมือนคุณ และเป็นอิสระจากที่บ้าน แต่ถ้าเราเขียนชมคุณมากเกินไปมันก็จะน่าเบื่ออีก เพราะงั้นเขียนให้พอดี ๆ เถอะค่ะ ยิ่งถ้าคุณอยากได้คำตอบจากเขามากขนาดนี้”
เธอคิดภาพในหัวของเธอ
“งั้น มาต่อจากที่พิมพ์ไว้นะคะ”
มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของท่วงทำนอง ทำนองเหล่านั้นจะออกมาน่าจดจำหรืออิ่มเอมใจนั้นก็ขึ้นอยู่กับเพลงที่เธอเล่น แต่ตั้งแต่เริ่มจนถึงกลางเพลงนั้น ทำนองจะค่อย ๆ น่าตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
เสียงพิมพ์ดีดคือเสียงของเปียโน เสียงหวัดของปากกาคอแร้งคือเสียงของไวโอลิน และจบท่วงทำนองด้วยเสียงกระทบกันของฉาบ
“เป็นไงคะ?”
จดหมายที่เขียนเสร็จแล้วได้กลายเป็นสิ่งที่มีชีวิต ทุก ๆ คำในจดหมายเหมือนกับเสียงดนตรีที่กำลังเต้นรำ และสัมผัสได้ถึงพลังของมนุษย์ในกลิ่นของหมึก จดหมายเหล่านั้นได้กลายเป็นเรื่องราว
แคทลียา โบลเดอแลร์เขียนจดหมายในรูปแบบนั้น
ออโต้เมมโมรี่ดอลล์และลูกค้าของพวกเธอเป็นผู้ร่วมสร้างโลกด้วยกัน ด้วยการสร้างนิทาน เสียงเพลง และรูปภาพในรูปแบบของ “จดหมาย” ยิ่งพวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากเท่าไหร่ เนื้อหาของจดหมายก็จะยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งทำให้หัวใจของพวกเขาอยู่ใกล้กันมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันในระยะเวลาสั้น ๆ ก็มีคนที่สามารถแตะถึงจุดนั้นได้แล้ว
“คุณ…อยากออกเดทกับผมไหมครับ?”
อย่างเช่นลูกค้าคนนี้
ในช่วงปลายปี มีสถานที่แห่งหนึ่งได้กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในไลเดน เมืองหลวงของไลเดนชาฟต์ลิช
เจ้าของตึกแห่งนี้ที่เคยเป็นห้องโถงที่ใช้รับแขกได้ปรับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสถานที่ที่ผู้คนสามารถเพลิดเพลินไปกับขนมหวานและเสียงเพลง – ซึ่งนั่นก็คือ “คาเฟ่แม็กโนเลีย” ผู้คนในเมืองไลเดนชื่นชอบสถานที่นี้มาก ซึ่งจะสามารถเข้ามาได้นั้นต้องผ่านการจองมาแล้วกว่าหนึ่งเดือนเท่านั้น มันเป็นสถานที่ที่ผู้คนปรารถนาที่จะได้สัมผัสการตกแต่งภายในที่น่าอัศจรรย์ และดื่มด่ำกับเสียงเพลงของนักเปียโนที่บรรเลงประจำอยู่ที่นี่ตลอดเวลา
ผู้เล่นเปียโนจะถูกเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ในแต่ละวันและแต่ละชั่วโมง บางทีอาจเป็นเพราะว่านอกจากมันจะเป็นที่ที่นักดนตรีหนุ่มสาวเล่นแล้ว มันยังเป็นที่ที่ใช้เสาะหาผู้ที่จะสามารถให้การสนับสนุนได้ด้วยเพราะผู้ที่เข้ามาในร้านนั้นมีจำนวนมากเหลือเกิน
ในขณะที่พวกเธอกำลังระบายอารมณ์กันอยู่นั้น ดูเหมือนแคทลียาและอีกคนที่นั่งอยู่กับเธอนั้นจะเป็นคนที่เด็กสุดในร้าน อย่างที่เคยได้ยินมา ราคาของเมนูที่พวกเธอได้รับมานั้นแพงสูงลิ่ว แต่เมื่อพวกเธอเห็นจานที่นำมาเสิร์ฟนั้นพวกเธอก็เข้าใจถึงความคุ้มค่าในการลงทุนในทันที เพราะเงินที่เสียไปนั้นเทียบไม่ได้กับความตื่นเต้นในตอนที่เห็นเค้กสามชั้นได้เลย
เธอและเพื่อนของเธอผลัดกันเลือกขนมที่พวกเธอชอบ หลังจากที่ลังเลอยู่เสียนานนั้น เธอก็ตัดสินใจเลือกแอปเปิลพาย เธอขยับจานแอปเปิลพายที่อยู่ใกล้ ๆ เธอนั้นอย่างตื่นเต้น และจิ้มส้อมลงบนพายนั่น หลังจากที่กินไปหนึ่งคำนั้น เธอก็รู้ในทันทีว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องการมาตลอด การได้กินของหวานในร้านที่มีบรรยากาศอบอุ่นเช่นนี้ถือเป็นความสุขอย่างแท้จริงในหน้าหนาว
ลักซ์ ซิบบิลที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอนั้นไม่กล้าแตะต้องช็อกโกแลตเค้กเลยแม้แต่น้อยถึงแม้ว่ามันจะอยู่ตรงหน้าเธอแล้วก็ตาม มันดูน่าอร่อยอย่างมาก แคทลียาเองก็อยากกินมันเช่นกัน
เพราะบริกรนำเค้กมาเสิร์ฟระหว่างบทสนทนาจึงทำให้หัวข้อที่พวกเธอกำลังพูดอยู่นั้นถูกขัดจังหวะ
“แคทลียา แล้วยังไงต่อ?”
“นี่มันอร่อยจริง ๆ นะ… อ๊า~ อร่อยจัง~ ขอบคุณที่ออกมากินกับฉันนะลักซ์! แต่ที่นี่มันไม่แพงไปหน่อยหรอ? อีกอย่างนะ ถ้าเธอไม่ชอบของหวานเธอก็ไม่มีทางกินเค้กสามชั้นได้หมดหรอก ทุกคนปฏิเสธฉันหมดเลย แต่มันไม่โง่ไปหน่อยหรือไง? คงจะงี่เง่าน่าดูถ้าไม่กินของพวกนี้น่ะ เนอะ?”
เธอพูดออกมาอย่างรัวเร็วราวกับต้องการขัดจังหวะลักซ์ แคทลียาเอ่ยต่อ “ว่าแต่เธอรู้หรือเปล่า? ที่ว่าท่านประธานซื้อที่ดินที่ไหนสักแห่งน่ะ? เหมือนกับที่เขาทำให้มันเป็นโรงงานผลิตของพวกเราน่ะ มีคนบอกว่ามีน้ำตกในตำนานอยู่แถว ๆ หมู่บ้านด้วยล่ะ ถ้าเธอเก็บหินจากก้นน้ำตกมาได้ ฝันของเธอจะกลายเป็นจริงด้วยล่ะ… ครั้งหน้าเราไปกันดีไหม?”
“ตำนานพวกนี้มันคงไม่มีความหมายอะไรหรอกถ้าเธอไปกับใครสักคนน่ะใช่ไหม? แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นนะแคทลียา ฉันอยากคุยเรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้านี้มากกว่า”
แคทลียาใส่ก้อนน้ำตาลที่ผ่านกระบวนการจนกลายเป็นรูปดาวลงในชาของเธอและคนแก้วก่อนจะเอ่ยตอบ “อ๋อ เรื่องที่ฉันถูกชวนออกเดทใช่ไหม? ฉันปฏิเสธไปแล้วล่ะ”
“เอ๋~~~~~~?”
แคทลียาพบว่าตัวเธอกำลังคิดเรื่องประหลาด ๆ อยู่ อย่างเช่น น้ำตาลจะรู้สึกดีแค่ไหนนะในตอนที่ตัวมันกำลังละลายอยู่ในชาน่ะ มันอาจเป็นเพราะว่าเธอรู้สึกมึนหัวจากการที่กินน้ำตาลในปริมาณที่สูงเกินไปอย่างกะทันหัน หรืออาจเป็นเพราะปัญหาที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ว่าใครคือคนที่สมควรถูกตำหนิกันแน่นะ?
“เพราะว่าเขาบอกฉันว่ามันเป็นเงื่อนไขในการตอบตกลงแต่งงานน่ะสิ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แคทลียา โบลเดอแลร์ถูกขอแต่งงานในตอนที่กำลังมีความสัมพันธ์กับใครสักคน แต่เขาเป็นคนแรกนับตั้งแต่เธอเกิดมาที่ทำให้เธอรู้สึกถึงการแต่งงานจริง ๆ
“เอ๋~~~~~~?”
“ลักซ์ เธอเสียงดังไปแล้วนะ”
เมื่อลักซ์รู้ว่าตนเองเสียงดัง เธอจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากของเธอหลังจากมองไปรอบ ๆ ร้านอย่างระแวดระวัง “เขาคือคนนั้นที่มาที่บริษัทใช่หรือเปล่า?”
“ใช่ คือเขานั่นแหละ”
“ฉันว่าเขาเท่ดีออก… เขาแก่กว่าเธอนิดหน่อย แต่ก็มีเสน่ห์จะตาย”
เพราะแคทลียาบอกให้เธอกิน ลักซ์จึงตักเค้กเข้าปากในที่สุด ในขณะที่กำลังเคี้ยวอยู่นั้นโดยที่ไม่ได้บรรยายถึงความประทับใจของเค้กแต่อย่างใด เธอก็รอฟังคำตอบของแคทลียา
“ลักซ์ เธอนี่ดูจะสนุกกับการฟังเรื่องรัก ๆ ของคนอื่นจริงนะ ถึงเธอจะไม่ได้คบกับใครอยู่ก็เถอะ”
“สนุกสิ ก็นะ มันยังเร็วไปสำหรับฉันที่จะมีอะไรแบบนั้น มันเหมือนกับการได้พูดคุยกับคนแปลกหน้าน่ะ…”
ลักซ์ ซิลบิลมีตำแหน่งเป็นเลขาของท่านประธาน แต่ช่วงเวลาที่เธอใช้ชีวิตอย่างสงบสุขนั้นเธอเป็นเหมือนกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเสียมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น เกือบทั้งชีวิตของเธอที่ผ่านมาเธอก็ถูกควบคุมโดยลัทธิศาสนาแห่งหนึ่งมาตลอด ดังนั้นเธอจึงเป็นมือใหม่สำหรับทุกเรื่อง จึงบอกได้ว่าเรื่องของแคทลียาจึงถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่งในคู่มือเรียนเรื่องความรักระหว่างชายหญิงของเธอ
“ฉันเองก็อยากลองคบกับใครสักคนสักวันหนึ่งเหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันอยากฟังเรื่องของคนอื่นมากกว่า โอเคนะ พูดต่อสิ” ดวงตาสองสีของลักซ์เต็มไปด้วยความสงสัย
“เขาชื่อคริส เป็นเจ้าของร้านน้ำหอมในเมืองไลเดนน่ะ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอม ฉันเคยผ่านร้านของเขาเมื่อไม่นานมานี้ด้วย ดูเหมือนมันจะไปได้สวยเลยล่ะ เขาเองก็ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง หน้าตาของเขาไม่ได้แย่อะไร และเขาก็ดูเป็นคนอ่อนโยนด้วย ถ้าเขาแต่งงานเขาคงจะเป็นสามีที่ดีเลย เขาเป็นผู้ชายประเภทที่ดึงดูดผู้หญิงได้ง่าย ๆ เลยล่ะ”
“แคทลียา เธอไม่ชอบเขาเหรอ?”
เมื่อถูกถามเช่นนั้นจึงทำให้แคทลียาจมสู่ห้วงความคิด ถ้าถามว่าเขาเป็นผู้ชายที่เป็นสเป็คของเธอหรือเปล่า เธอก็คงตอบว่าใช่ แต่…
“ไม่รู้สิ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน เขาให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากคนที่ฉันน่าจะชอบน่ะ”
…ใบหน้าของคน ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นในใจของเธอ
“คนที่ฉันชอบไม่ใช่คนที่จะตกหลุมรักฉันเนี่ยน่ะสิ” เธอเท้าคางลงบนมือของเธอและถอนหายใจ
“อ่า ท่านประธานฮอดกินส์สินะ แต่ฉันคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่ใช่เพราะเป็นเธอหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะแคทลียา แต่เป็นเพราะท่านประธานชอบอะไรอันตราย ๆ แต่จะไม่มีวันเป็นอันตรายกับบริษัทน่ะสิ เพราะงั้นกับคนในบริษัทมันคงจะ… เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์ด้านความรักในทางที่เหมาะสมอยู่หรอก แต่เขาก็แค่ชอบความสัมพันธ์ที่โรแมนติกกับผู้หญิงเท่านั้นแหละ เขาจะไม่มีวันตกหลุมรักเด็ดขาด” เป็นคำตอบอย่างที่คาดไว้ไม่ผิดจากคนที่อยู่กับเขาตลอดเวลาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ลักซ์ผู้ซึ่งมักจะให้คำตอบที่สุภาพและนุ่มนวลอยู่เสมอเมื่อพูดถึงคนอื่น กลับพูดถึงนิสัยของคลอเดีย ฮอดกินส์อย่างไร้ปราณี
“หืม~ นั่นสินะ สมกับเป็นท่านประธานฮอดกินส์ เขาไม่เคยแสดงความรู้สึกแบบนั้นออกมาเลยสินะใช่ไหม?”
“เคยสิ ฉันคิดว่าท่านประธานฮอดกินส์อาจจะกำลังรอคนที่เป็นเนื้อคู่ของเขาอยู่ล่ะมั้ง แต่เขาคงจะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้นถ้าคน ๆ นั้นไม่ปรากฏตัวออกมาสักที… แต่ผู้หญิงที่ท่านประธานฮอดกินส์ยอมที่จะทิ้งทุกสิ่งและอุทิศตัวให้เนี่ยมันคงจะ…”
“แล้วไวโอเล็ตล่ะ?”
เมื่อชื่อของเพื่อนของทั้งสองคนถูกเอ่ยออกมา ลักซ์ก็ทำแขนเป็นรูปกากบาท “ม่าย~ ไวโอเล็ตเป็นครอบครัวของเขาอยู่แล้ว อีกอย่าง ไวโอเล็ตเองก็มีคน… ผู้ชายคนนั้นอยู่แล้วด้วย”
“งั้นหรอ? เข้าใจล่ะ คงไม่มีทางเป็นเธอสินะ”
“ใช่ ไม่มีทางเป็นเธอแน่นอน เพราะแบบนั้นฉันถึงบอกเขาว่าคงไม่มีคนแบบนั้นอยู่บนโลกนี้หรอก”
“แล้วท่านประธานฮอดกินส์ว่าไง?”
“เขาบอกว่า ‘ลักซ์ตัวน้อย นั่นไม่ดีเลยนะ เดี๋ยวฉันจะตัดเงินเดือนเธอนะ’ แล้วเขาก็แกล้งร้องไห้”
แคทลียาที่พอนึกภาพออกจึงหัวเราะเสียงดังลั่น ลักซ์ที่กลั้นไว้ไม่ไหวเหมือนกันจึงหัวเราะคิกคัก “คิก ๆๆๆ”
ในตอนที่บทสนทนากำลังเป็นไปอย่างราบลื่นและมีชีวิตชีวา ชาดำถ้วยที่สองก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เค้กที่เธอเลือกชิ้นต่อไปคือทาร์ตที่ตกแต่งด้วยผลไม้และแคนดี้ที่ถูกแกะสลัก มันอร่อยอย่างที่คาดไว้ เธออยากให้ไวโอเล็ตที่เพิ่งถูกพูดถึงได้กินมันเช่นกัน เธอไม่ได้เห็นหล่อนมาสักพักหนึ่งแล้ว
ไวโอเล็ตเป็นออโต้เมมโมรี่ดอลล์ที่คนต้องการตัวมากที่สุด ตอนนี้เธอคงจะอยู่ที่ไหนสักแห่งแถว ๆ ทวีปนี้ มันคงจะดีไม่น้อยถ้าเธออยู่ที่นี่
“ฉันจะบอกให้แล้วกันเพราะสุดท้ายเราก็คงพูดถึงเรื่องนี้อยู่ดี… ฉันปฏิเสธที่จะเดทกับเขาก็จริง แต่ฉันตกลงที่จะไปทานข้าวกับเขานะ… กับคุณคริสน่ะ”
ถ้าไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดนอยู่ที่นี่ เธอจะให้คำตอบยังไงกับเรื่องของแคทลียา โบลเดอแลร์นะ?
“คุณจะเป็นเพื่อนกับเขาหรือเปล่าคะ?”
––ช่าย เธอคงจะถามอะไรสักอย่างที่ดูไม่คิดอะไรแบบนั้นนั่นแหละ
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่ไวโอเล็ต แต่ลักซ์ก็เป็นคนที่ตอบเรื่องแบบนี้ได้ดีในแบบของเธอ เธอขยับเก้าอี้เลื่อนมาด้านหน้าจนเกิดเสียงครูดโดยมีเค้กสามชั้นอยู่ขวางระหว่างใบหน้าของทั้งสองอยู่
“ทะ ทำไมล่ะ? มะ มันเป็นจุดเริ่มต้นของการคบกันเล่น ๆ หรือเปล่า? แคทลียา เธอทำอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ?”
เพราะเกิดความเข้าใจผิด แคทลียาจึงปฏิเสธอย่างแรง “ไม่ใช่ย่ะ ไม่ใช่! ถึงฉันจะมีหน้าตาแบบนี้ แต่เรื่องความรักน่ะ ฉันมีหัวใจที่บริสุทธิ์นะยะ ที่ฉันบอกว่าฉันปฏิเสธเขาน่ะคือฉันไม่สามารถเดทกับคนที่อยากแต่งงานโดยที่ยังไม่รู้จักกันดีได้หรอก… เพราะแบบนั้นมันเลยกลายเป็นว่าเขาพูดว่า “งั้นทำความรู้จักผมสิ” น่ะสิ… เขาเป็นลูกค้าฉันด้วย เพราะงั้นฉันก็เลยปฏิเสธเขาอย่างเด็ดขาดไม่ได้”
“เอ๋~ หายากนะเนี่ย แคทลียาคนนั้นที่บอกคนที่ไม่ชอบว่าไม่อยากทำน่ะมีด้วยหรอ? เธอไม่สบายหรือเปล่า?”
“โอ้ คุณลักซ์ขา นั่นเรียกว่าปากไม่ดีใช่ไหมน่ะ?”
“มันคงเรียกว่าปากไม่ดีล่ะนะถ้าฉันวิจารณ์เธอน่ะ แต่ในฐานะเพื่อน ฉันชอบความใจแข็งของเธอนะ และฉันก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับการเป็นออโต้เมมโมรี่ดอลล์ด้วย ไม่ใช่ว่าออโต้เมมโมรี่ดอลล์ที่เป็นผู้หญิงชอบโดนลูกค้าจีบอยู่ตลอดเวลาเลยเหรอ? เธอเคยได้ยินข่าวลือเรื่องผู้หญิงของบริษัทการ์เดี้ยนหรือเปล่า?”
“คนที่ตกไปอยู่ในมือของนักการเมืองที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง แต่สุดท้ายแฟนของเธอที่เป็นบุรุษไปรษณีย์ก็ปรากฎตัวขึ้นมาและไล่คน ๆ นั้นไปแล้วก็สารภาพรักกับเธอใช่ไหม! ฉันรู้ดีเลยล่ะ! เรื่องนั้นทำให้หัวใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะเลยล่ะ!”
“ฉันเข้าใจเธอเลย! เห็นว่าพวกเขาสองคนเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันด้วย แต่เอาจริงนะ มันไม่ใช่นิยายรักหรอกเหรอ?”
“ฉันชอบตอนไคลแมกซ์ที่เขาพูดว่า ‘เธอเป็นของฉัน~’ มากเลยล่ะ ฉันหมายถึงหนังสือที่เธอให้ฉันยืมน่ะนะ”
“เรื่อง ‘ตำนานภาคีอัศวินแห่งดวงดาว’ ใช่ไหม? จากตอนที่นางเอกแลกร่างกายของเธอกับผู้นำใช่ไหม? ตอนที่สามของเล่มที่สองใช่ไหม?”
“ใช่เลย~! มันคล้ายกับเรื่องนั้นมากเลยล่ะ แต่เราออกนอกประเด็นไปหน่อยไหมเนี่ย?”
“นั่นสิ โทษทีนะ ฉันเป็นคนเบี่ยงประเด็นเองนั่นแหละ… อื้ม เค้กนี้อร่อยจัง”
เมื่อบทสนทนาของหญิงสาวทั้งสองกลายเป็นเรื่องซ้ำ ๆ ซาก ๆ พวกเธอจึงตัดสินใจที่จะหยุดพูดและผ่อนคลายลงสักประเดี๋ยว
แคทลียาเทชาแก้วที่สามด้วยตัวเอง และเมื่อถ้วยชาว่างเปล่า พวกเธอจึงขอถ้วยที่สองจากบริกรหน้าตาดีคนหนึ่ง
ลูกค้าคนไหนก็ตามที่สั่งเค้กสามชั้นสามารถเติมชาหรือกาแฟได้เป็นครั้งที่สอง แคทลียาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี การไม่ขี้เหนียวเกินไปนั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เธอเริ่มคิดแล้วว่าครั้งต่อไปที่เธอมาเธอจะชวนใครดี
“แคทลียา ฉันขอกินสโคนได้ไหม?”
“แน่นอน ถึงมันจะเป็นขนมธรรมดา ๆ ก็เถอะ แต่มันอร่อยใช่ไหม?”
“ฉันชอบมันมากเลยล่ะ อาจจะมากกว่าเค้กซะอีก ว่าแต่เธอจะไปเดทเมื่อไหร่เหรอ?”
“พรุ่งนี้”
“เอ๋~~~~~~~?”
“ลักซ์ เธอเสียงดังอีกแล้วนะ”
“นั่นก็เพราะว่า…” ลักซ์เถียง ใบหน้าของหล่อนแดงจัด “นี่ นี่ ถ้า… ถ้าหลังจากที่เดทกับคุณคริสครั้งนี้ไม่ได้แย่อย่างที่คิด มันก็จะกลายเป็นเดทจริง ๆ เลยใช่ไหม?”
“สำหรับเขาแหละมั้ง แต่ฉัน…”
“แคทลียา ถ้าเธอไม่ได้ตั้งใจจะเดทกับเขา เธอก็ไม่ต้องไปก็ได้นี่ใช่ไหม? แต่เธอก็จะไปอยู่ดีใช่ไหมล่ะ?”
“อืม…”
“งั้นบอกผลลัพธ์กับฉันด้วยล่ะ โอเค๊?”
เมื่อถูกขอด้วยรอยยิ้ม แคทลียาจึงตอบว่า “ถ้าฉันอยากบอกล่ะนะ” ลักซ์จึงเปลี่ยนไปทำหน้าบูด
แคทลียาละสายตาจากลักซ์ที่กำลังบ่นไปยังทิวทัศน์ข้างนอกหน้าต่าง ต้นไม้ริมถนนที่ควรจะเขียวชอุ่มเหมือนในหน้าร้อน แต่กลับไร้ซึ่งใบไม้ใด ๆ หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่ใบเดียว เช่นเดียวกับลมหนาวนอกร้านที่กำลังโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงชวนให้รู้สึกเศร้าไม่น้อย ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนต่างกำลังงอตัวด้วยความหนาว และจับคอเสื้อของพวกเขาเข้าหากัน
เธอเห็นบุรุษไปรษณีย์คนหนึ่งกำลังขับมอเตอร์ไซค์อยู่รอบ ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่คิดว่าเป็นเขา แต่แคทลียาก็เอนตัวไปทางหน้าต่างเพื่อมอง แน่นอนว่าไม่ใช่เขา เพราะคน ๆ นั้นไม่มีผมสีบลอนด์ และถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ห่างจากเธอมาก แต่เธอก็บอกได้ในทันทีว่าพวกเขามีหน้าตาและรูปร่างไม่เหมือนกัน เขาเป็นแค่บุรุษไปรษณีย์เท่านั้น
“มีอะไรเหรอ?”
แคทลียาดูจะมีปฏิกิริยาต่อบุรุษไปรษณีย์มากเกินไป เมื่อถูกลักซ์ถามเช่นนั้น เธอจึงตอบว่า “ไม่มีอะไร” เสียงของเธอฟังดูใจลอยชอบกล และกลับมานั่งดี ๆ บนเก้าอี้
“นี่ มีอะไรกันแน่น่ะ?”
“ฉันคิดว่าเป็นเขาน่ะสิ”
“หืม? อะไรหรอ?” ลักซ์ถามอีกครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะได้ยินไม่ถนัดนัก
แคทลียาเม้มริมฝีปากและเอ่ยตอบ “เบเนดิกต์” น้ำเสียงของเธอฟังดูฝืน ๆ
“อ่า” ลักซ์เอ่ยตอบ เธอเข้าใจในทันทีว่าทำไมหล่อนถึงพยายามที่จะไม่พูดออกมา ลักซ์เอียงคอเล็กน้อยและหัวเราะคิกคัก “รู้สึกเหมือนนานแล้วเหมือนกันนะตั้งแต่ที่เขาไปน่ะ… เมื่อไหร่ที่ฉันเห็นใครสักคนขี่มอเตอร์ไซค์ในเมืองแล้วเข้ามาใกล้ ๆ ฉันก็คิดว่าเป็นเบเนดิกต์ตลอดเลย ทุกคนเข้ามาถามฉันว่ามีจดหมายจากเขาบ้างไหมเป็นประจำเลยล่ะ”
“ไม่มีจดหมายหรือโปสการ์ดจากเขาเลยเหรอ?”
“ไม่มีเลย… นี่… แคทลียา วันนี้ เป็นครั้งแรกที่เธอถามถึงเขาเลยนะใช่ไหม? ตั้งแต่เบเนดิกต์ขอพักงานน่ะ”
ราวกับว่าเธอเป็นเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ดุเอา สายตาของแคทลียาหม่นลง “ฉันถามไม่ได้หรอ…? ฉะ ฉันเคยทะเลาะกับเขาตั้งเยอะแยะ แต่เราก็เป็นเหมือนคู่หูกันมาตั้งแต่วันที่เริ่มก่อตั้งบริษัทเลยนะ!”
“ฉันไม่ได้พูดว่าถามไม่ได้สักหน่อยแคทลียา”
“เขาใจร้ายจริง ๆ นะ เขาบอกแต่ท่านประธานกับไวโอเล็ตว่าเขาจะพักงานน่ะ!”
“อื้อ”
“ทั้ง ๆ ที่ฉัน… ทั้ง ๆ ที่ฉันจะอยู่มาตั้งแต่แรกเหมือนกันแท้ ๆ…!”
“อ่าฮะ มันคงทำให้เธอรู้สึกเหงาน่าดูล่ะสินะ”
ลักซ์สามารถอธิบายความรู้สึกของแคทลียาที่พยายามจะปกปิดไว้ได้เลยล่ะว่าเธอกำลังเหงาอยู่ ถ้าเธอพยายามจะพูดมันออกมา เธอคงไม่มีทางที่จะเม้มปากและบ่นอย่างนี้หรอก
“ต่อให้ฉันถูกง้างปากให้พูดฉันก็ไม่อยากพูดหรอกนะว่าฉันเหงาน่ะ!”
แคทลียาไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น
เธอตัดเค้กด้วยส้อมของเธอและกล้ำกลืนงับเข้าปาก เธอเคี้ยว และกลืนลงไปครั้งเดียวด้วยการดื่มชาตามหลัง จากนั้นก็ตัดเค้กอย่างรุนแรงอีกครั้ง ราวกับเธอกำลังคิดว่าเค้กนั่นคือเบเนดิกต์
“ผ่านมาตั้งสามเดือนแล้ว กำลังจะหมดฤดูหนาว แล้วฤดูใบไม้ผลิก็กำลังจะมาแล้วด้วย… แต่ท่านประธานก็ยังไม่ยอมให้ใครแตะมอเตอร์ไซค์ของเบเนดิกต์เลย… ฉันเองก็ยังไม่เอาชื่อเขาออกจากทะเบียนชื่อของพนักงานด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดของลักซ์ที่เหมือนตั้งใจจะปลอบใจเธอนั้น แคทลียาก็พองแก้ม “ฉันไม่ได้เหงาสักหน่อย!”
“อือฮึ”
“ท่านประธานก็เป็นซะอย่างนี้ พนักงานคนไหนขอไปก็ให้ไปง่าย ๆ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่”
––เธอคงเป็นเพื่อนที่น่ารังเกียจมากสินะ
ถึงแม้ว่าความจริงเธอไม่อยากจะโบ้ยความผิดให้เขา แต่เธอก็ไม่ชอบที่เธอปิดกลั้นความรู้สึกไม่ได้
“ถึงเขากลับมาฉันก็จะไม่คุยกับเขาอยู่ดี เพราะเขาหายไปโดยไม่บอกอะไรฉันสักคำ” เธอระบายความรู้สึกที่ไม่ดีของเธอออกมาด้วยความว้าวุ่นใจ แต่ก็รู้สึกดีขึ้นเพราะความมีน้ำใจของลักซ์ที่หัวเราะออกมาราวกับคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
เธอคิดว่าวันนี้เธอจะเลือกใครดีมาฟังในสิ่งที่เธอพูดดีในวันนี้ และท้ายที่สุดเธอก็เลือกลักซ์
ลักซ์เอ่ยอย่างนุ่มนวลราวกับต้องการปลอบประโลมเธอ “แต่ถ้าเขายอมกลับมาฉันก็คงดีใจอยู่ดีนั่นแหละ”
ราวกับว่าเธอเป็นตัวแทนความรู้สึกในใจของแคทลียา
“ถึงฉันจะเพิ่มเริ่มงานที่นี่ตอนกลางคัน แต่ฉันก็คิดว่าเขาเป็นคนดีนะถึงจะปากเสียไปหน่อยก็เถอะ หลังจากที่ไวโอเล็ตพาฉันมาและถูกจ้างให้ทำงานกับท่านประธานฮอดกินส์… คนที่เข้ามาคุยกับฉันมากที่สุดตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้แล้วก็ดูเหมือนจะเป็นห่วงฉันก็มีแต่เบเนดิกต์นี่แหละ เขาดีกับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าเขาทุกคนแหละ แล้วก็ ถ้าพูดในฐานะเลขาท่านประธานที่เป็นคนบริหารจัดการบริษัทนี้ เขาจำเป็นมากเลยล่ะ พนักงานที่เป็นบุรุษไปรษณีย์น่ะไม่เคยพอหรอก พวกเขาส่วนใหญ่มักจะลาออกไม่นานหลังจากถูกว่าจ้าง เพราะงั้นคนแบบเบเนดิกต์ที่ชอบเดินเตร่ไปรอบ ๆ พร้อมกับบ่นไปด้วย และยังมีความเป็นผู้นำแบบนี้อีกถึงเป็นพนักงานที่มีความสำคัญมาก ๆ ยังไงล่ะ ในอนาคตเขาควรจะถูกบรรจุเข้ามามีส่วนร่วมในฝ่ายบริหารของบริษัทนะ ในฐานะโฆษกลูกจ้างอะไรแบบนั้น ฉันมั่นใจว่าผู้บริหารของเรา ท่านประธานก็คงจะรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน แล้วก็นะแคทลียา มันอาจจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นะที่เธอไม่รู้น่ะ เพราะว่าตอนนั้นเธออาจจะอยู่ในที่ที่ไกลมาก ๆ เพราะเธอเป็นออโต้เมมโมรี่ดอลล์ไง เบเนดิกต์อาจจะอยากบอกเธอแต่บอกไม่ได้ก็ได้นะ ไม่สิ เขาต้องอยากบอกแค่ไม่กี่คนแน่เลย ดูเหมือนมีเรื่องที่ไม่ค่อยดีเกิดขึ้นกับเขานะ ไวโอเล็ตกับท่านประธานไม่บอกอะไรฉันสักอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็บอกว่าเขาจะกลับมาแน่นอน และเบเนดิกต์เองก็ตั้งใจจะกลับมาเหมือนกัน เพราะงั้นเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจบอกก็ได้ เขาไม่ใช่คนที่ชอบเล่าเรื่องน่าอายของตัวเองไม่ใช่หรอ? รอเบเนดิกต์คนเห็นแก่ตัวของเรากลับมากันเถอะ ฉันเองก็เป็นคนที่เขาไม่ได้บอกอะไรด้วยเหมือนกัน”
คำพูดยาวเหยียดที่หล่อนพูดกระซิบช้า ๆ อย่างอ่อนหวานและแผ่วเบานั้นได้แทงใจของเธอโดยตรง ยิ่งกว่าคำพูดเหล่านั้นที่ลักซ์พูด แคทลียารู้สึกตะลึงกับมุมมองในแง่ดีของหล่อนและความใจกว้างของหล่อนเสียมากกว่า ลักซ์เป็นผู้หญิงที่เด็กกว่าเธอ แต่ความคิดของหล่อนนั้นเหมือนกับเป็นแม่ของเธอก็ไม่ปาน
“ทำไมเธอถึงเป็นเด็กดีได้ขนาดนี้กันนะ…?”
ในงานเลี้ยงน้ำชาตอนบ่ายของพวกเธอนั้น การที่เธอแก่กว่าจึงทำให้เธอรู้สึกอนาถใจกับนิสัยเด็ก ๆ ของเธออย่างมาก
หลังจากนั้น พวกเธอก็ทิ้งภาระทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ออกไปเดินเตร่หลังจากที่ไม่ได้เดินมาเสียเนิ่นนาน พวกเธอไปที่ร้านหนังสือและร้านขายของน่ารัก ๆ และร้านเสื้อผ้าที่แตกต่างกันไปตามรสนิยมของพวกเธอ เมื่อไหร่ก็ตามที่คนขายถามว่า “พวกคุณเป็นพี่น้องกันหรอ?” พวกเธอก็จะหัวเราะและตอบว่า “เราเป็นเพื่อนร่วมงานและเป็นเพื่อนกันค่ะ”
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกดิน พวกเธอก็กลับไปที่สำนักงานพร้อมกับหอบของพะรุงพะรัง แคทลียาตามลักซ์คนขยันที่อ้างว่าเธออยากจะทำงานที่เธอทิ้งไว้เมื่อวันก่อนต่ออีกสักเล็กน้อย
เมื่อไม่มีอะไรทำ แคทลียาจึงไปที่ห้องของท่านประธาน แต่ฮอดกินส์กลับไม่อยู่ มีต้นกระบองเพชรและกระถางเล็ก ๆ อยู่บนโต๊ะของท่านประธานที่ให้ความรู้สึกแปลก ๆ และถูกใช้เป็นที่ทับกระดาษทับโน้ตที่เขาทิ้งไว้ “มีธุระและมีทานข้าวเย็น จะกลับมาตอนค่ำ ๆ” เมื่อเธอให้ลักซ์ดู หล่อนก็ตอบว่าแปลให้ว่า “มันหมายความว่าเขาจะออกไปทานข้าวเย็นกับผู้หญิงที่เขาเพิ่งคบด้วยเมื่อไม่นานมานี้ไงล่ะ” พร้อมกับทำสีหน้าไม่พอใจ ดูเหมือนว่าเขาจะกลับมาตอนค่ำจริงอย่างที่พูดไว้ แล้วเขาก็หลับนอนอยู่ในบริษัทด้วย
พวกเธอทั้งสองคนทานข้าวเย็นด้วยกันหลังจากนั้นและแยกย้ายกันกลับเพราะวันนี้พวกเธอพูดคุยกันมากไปแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเธอจะบอกลากันอย่างร่าเริง แต่พอแยกย้ายและเดินไปแค่สามก้าวแคทลียาก็รู้สึกเหงาขึ้นมา
พรุ่งนี้เธอก็จะได้หยุดเช่นกัน เธอตัดสินใจกลับบ้านถึงแม้ว่าจะรู้สึกเหงาและเศร้าใจที่ต้องแยกทางกับคนที่เธอเองก็รู้ดีกว่าเดี๋ยวก็ได้เจอกัน ระหว่างทางเธอเห็นแมวจรจัดและวิ่งไล่ตามมัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เก็บมันมาเลี้ยง
“กลับมาแล้ว”
เมื่อเธอถึงบ้านเธอก็นั่งลงบนเตียงที่มีฝุ่นเขรอะเล็กน้อยเพราะเธอไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่นัก เธอนอนลง และลุกขึ้นแทบจะทันที “ไม่ได้นะ ไม่ได้นะ” จากนั้นจึงไปล้างเครื่องสำอางออก
เพราะเธอมีใบหน้าที่สวยจนตะลึง ผู้คนจึงมักคิดว่าแคทลียาแต่งหน้าหนาเกินไป แต่จริง ๆ หลังจากที่ล้างออกก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก เนื่องจากใบหน้าแต่ละส่วนของเธอมีโครงหน้าที่ชัดเจนจึงทำให้เธอดูเด็กกว่าความเป็นจริงเล็กน้อย
หลังจากอาบน้ำอุ่นเสร็จ เธอก็เปลี่ยนมาใส่เสื้อคลุมที่เธอเพิ่งซื้อมาและไม่เคยใส่มาก่อน ในขณะที่กำลังสงสัยว่าพระจันทร์ในค่ำคืนนี้เป็นยังไง เธอก็มองออกไปนอกหน้าต่าง แต่กลับไม่พบมัน กลับพบแต่กลุ่มดาวไม่กี่ดวงที่กำลังส่องประกายระยิบระยับอยู่เท่านั้น แคทลียาที่สวมเสื้อคลุมและกำลังหวีผมอยู่นั้นเหลือบมองไปยังไฟของบ้านแต่ละหลัง มันทำให้เธอนึกได้ว่ามีคนอยู่มากมายที่อยู่อาศัยร่วมกับผู้อื่น ไม่เหมือนเธอที่อยู่ตัวคนเดียว
––การมีชีวิตคู่คงจะเยี่ยมยอดน่าดูเลยนะ
ความรักรูปแบบนั้นถือเป็นข้อผูกมัดที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลกคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีคนที่ทำข้อผูกมัดด้วย เธอคงจะทำบ้างเหมือนกันสักวันหนึ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะเชื่อแบบนั้นมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอก็ไม่เคยเจอผู้ชายที่เธออยากแต่งงานด้วยสักคนหลังจากที่ถึงวัยอันควรแล้วก็ตาม บางทีเธออาจไม่มีโอกาสได้เป็นแบบนั้นก็ได้
––การอยู่กับใครสักคนตลอดทั้งชีวิตถึงแม้ว่าจะไม่ได้รักเขาเลยก็ตามมันคงเป็นไปไม่ได้สำหรับเธอ
ถึงแม้ว่าสถานการณ์ของเธอตอนนี้จะเอี่ยวถึงเรื่องแต่งงาน แต่เธอก็ไม่สามารถจินตนาการถึงภาพที่เธอมีลูกได้เลยแม้แต่น้อย แล้วอีกอย่าง แคทลียาคิดว่าเธอเองก็มีนิสัยเด็กมากพออยู่แล้ว และถึงแม้ว่ากระแสสังคมจะมีส่วนที่ทำให้เธอต้องแต่งงาน แต่เธอก็ยังลังเลที่จะผูกมัดกับใครอยู่ดี
ความรู้สึกของการผูกมัดนั้นทำให้เธอได้ลิ้มรสความขมขื่นที่ขมราวกับกาแฟ แต่ไม่มีกลิ่นหอมแต่อย่างใด
––เธอสงสัยว่าจะมีผู้หญิงคนไหนที่กำลังจะนอนและมีความรู้สึกแบบเดียวกับเธอบ้างไหมนะ
ถ้าไม่มีมันคงจะดีกว่า แต่เธอก็พบว่าเธอหวังให้มีใครสักคนรู้สึกเหมือนเธอเสมอ และเธอก็หวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีเพื่อนสาวที่คอยบอกเธอว่าทุกอย่างจะไม่เป็นอะไร
––เธอดีใจจังที่เธอมีงานทำ
การทำงานช่วยให้เธอหลบเลี่ยงได้บ้างจากความต้องการที่เธอต้องมีในฐานะผู้หญิงเพื่อทำตามข้อผูกมัดนั่น แต่เมื่อเธอนึกถึงคำว่า “ข้อผูกมัด” มันก็รู้สึกแทงใจเธอบ้างเล็กน้อย
––เบเนดิกต์ก็ไม่ได้มีข้อผูกมัดอะไรที่จำเป็นต้องบอกเธอทุกอย่างเสียหน่อย
เรื่องของเขาติดค้างอยู่ในใจเธอมาตลอด เหมือนกับรอยแผลเล็ก ๆ มันทำให้เธอรู้สึกปวดใจ
แคทลียาไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวในชีวิตของเบเนดิกต์ นั่นเป็นเรื่องที่เธอรู้ดี เขาทำไปด้วยตัวเขาเองก็แค่นั้น เขาไม่มีข้อผูกมัดอะไรที่ต้องรายงานเธอทุกอย่าง
แต่ถึงอย่างนั้น แคทลียาก็อยากจะสนิทกับเขา พวกเขาทะเลาะกันบ่อย แต่บางครั้งเธอก็มีความรู้สึกที่ว่าเธอกับเขาน่าจะเข้ากันได้ดีที่สุด แต่เธอคงจะเข้าใจผิดไปเอง
––เธอ…ก็เป็นแบบนี้อยู่เรื่อย
ในชีวิตของแคทลียา ไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นที่เธอเข้าใจผิดเรื่องความเข้ากันดีกับคนอื่นทั้งที่จริงมันไม่ใช่แบบนั้น
––เพราะเธอมันโง่
มันอาจเป็นเพราะว่าทุกคนพยายามอดทนที่จะอยู่กับเธอก็ได้
––เธอ… เหงา…
บางทีเธออาจเป็นคนที่ไม่มีทางเป็นคนสำคัญของใครสักคน
เมื่อคิดแบบนั้นมันจึงทำให้เธอรู้สึกเศร้าและเป็นกังวล น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเธอ จากนั้นเธอก็กลิ้งไปมาบนเตียง และดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดจนถึงหัว การปิดกั้นตนเองจากโลกความเป็นจริงทำให้เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย เธอภาวนาขอให้พรุ่งนี้เช้าอย่าเพิ่งมาถึง ความกังวลและความเศร้าสร้อยของเธอจะมลายหายไปเมื่อเธอหลับลง เหมือนกับน้ำตาลที่ละลายในชาดำของเธอ
––…จริง ๆ นะ
การที่คิดเรื่องเบเนดิกต์ บลูหายตัวไปนั้นทำให้เธออ่อนแอ
“ยอมแพ้ซะเถอะ” ความคิดที่เป็นสุขอีกด้านหนึ่งในหัวของเธอพูด
ใช่ เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมแพ้เท่านั้น เขาไม่ได้ชอบเธอ และก็ไม่มีที่ว่างในชีวิตของเขาให้เธอเข้าไปได้อีกแล้ว
––เธอเหงาจัง
แคทลียาขดตัวราวกับทารกและนอนหลับไปในที่สุด
ราวกับความหนาวเย็นเมื่อวานเป็นเพียงแค่เรื่องโกหก ในเช้าวันต่อมานั้นบรรยากาศกลับอุ่นขึ้นมาทันตาเห็น ฤดูหนาวกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
แคทลียามองออกไปนอกหน้าต่างครู่หนึ่ง แต่ก็เริ่มแต่งตัวราวกับต้องการสลัดความรู้สึกกวนใจออกไป เธอตัดสินใจว่าจะใส่ชุดอะไรตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนที่เธอจะไปเจอวันนี้ เธอจึงเลือกเดรสผ้าลื่นสีขาวจากชุดมากมายหลากสีที่เธอมี มันโชว์ตรงหน้าอกเล็กน้อยแต่ก็ไม่โชว์มากเท่าปกติ
เมื่อผู้หญิงที่มีหน้าอกใหญ่สวมเสื้อผ้าที่ไม่เข้ากับส่วนเว้าโค้งของตัวเอง มันจะทำให้พวกเธอดูเหมือนอ้วนขึ้นและรูปร่างดูใหญ่กว่าเดิมซึ่งขยายไปตามชุดราวกับสวมด้วยเปเปอร์มาเช่ก็ไม่ปาน อาจเรียกได้ว่าเสื้อผ้าชุดนี้ของเธอนั้นเหมาะสำหรับการพบปะเป็นครั้งแรกมากที่สุดมากกว่าชุดตัวอื่น ๆ ของเธอ
เธอตั้งใจที่จะสวมเคปโค้ท* สีดำ แต่เพราะอากาศอุ่นขึ้น เธอจึงสวมเสื้อคลุมสีเบจโรส* ตัวบาง ๆ แทน ระหว่างรองเท้าส้นสูงเก้าเซนติเมตรกับห้าเซนติเมตร เธอตัดสินใจเลือกห้าเซนติเมตร พวกเขาอาจจะแค่ทานข้าวด้วยกันเท่านั้น แต่ถ้าเกิดว่าพวกเขาได้ไปเดินต่อด้วย ถ้าเดินนานไปรองเท้าส้นสูงเก้าเซนติเมตรของเธออาจจะทำให้เท้าของเธอเจ็บได้ หลังจากหยิบกระเป๋าถือที่ใส่ได้แค่กระเป๋าสตางค์และลิปสติกของเธอได้เท่านั้น เธอก็พร้อมแล้ว
เมื่อเธอออกไปข้างนอก เธอก็เห็นเจ้าของบ้านเช่าที่เธออยู่นั้นกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งริมถนน เธอทักทายเขาขณะเดินผ่านเขาไป
ในย่านที่อยู่อาศัยที่แคทลียาอยู่นั้น มีผู้สูงอายุจำนวนมากอาศัยอยู่ตัวคนเดียว แบบที่อยู่กันทั้งครอบครัวก็มีเช่นกัน หลังจากที่อยู่แต่ในบ้านเพื่อห่างไกลจากความหนาวเหน็บในช่วงฤดูหนาว เหล่าผู้สูงอายุก็ออกมาเดินทอดน่องไปรอบ ๆ ในขณะที่กำลังมองพวกเขากำลังเดินอย่างเชื่องช้า เธอก็ลดความเร็วลง
ระหว่างที่เดินลงไปตามซอกซอยที่นำไปสู่ใจกลางเมืองนั้น เธอก็ได้ยินเสียงเปียโนจากที่ไหนสักแห่ง ดูเหมือนผู้เล่นส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก แต่พวกเขาคงจะฝึกกันอย่างหนักเลยทีเดียวในตอนที่อยู่แต่ในบ้านในช่วงฤดูหนาว ฝีมือการเล่นของพวกเขาดีขึ้นกว่าเดิมมากจากที่เธอเคยได้ยินในฤดูใบไม้ร่วง มันทำให้เธอรู้สึกถึงวิถีการใช้ชีวิตของพวกเขา เพราะด้วยการงานของเธอนั้นจึงทำให้เธอต้องรีบไปในทุก ๆ วันจนไม่ได้สนใจเสียงและบรรยากาศรอบตัวเช่นนี้
“ในอนาคตฉันคงจะ… เลิกเป็นออโต้เมมโมรี่ดอลล์แหงเลย”
เธอคิดว่าตัวเธออยากจะเปลี่ยนกิจวัตรการดำเนินชีวิตของเธอแต่ยังคงอยู่ในเมือง ๆ เดิม เมื่อคิดเช่นนั้น เธอคิดว่าการที่มีใครสักคนทำงานประจำสักร้านในแถบชานเมืองคงจะเป็นคู่ชีวิตที่ดีที่สุด
เมื่อเธอมาถึงด้านหน้าของร้านอาหารที่พวกเขานัดเจอกันนั้น ถึงแม้ว่าจะมาถึงก่อนเวลานัดนิดหน่อย แต่คน ๆ นั้นก็ยืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว เขาเป็นชายที่มีผมสีน้ำตาลไหม้ รูปร่างผอม แต่ตัวสูง เขาสวมเทรนช์โค้ททับเสื้อแจ็คเก็ตและเสื้อเชิ้ต เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอมที่เป็นเจ้าของร้านน้ำหอมในเมืองในไลเดน
“คุณคริส”
แคทลียาคิดว่าเธอคิดถูกแล้วที่เลือกเดรสผ้าลื่น เพราะที่ร้านอาหารไม่มีใครสวมเดรสโค้ทมาเลย แต่มีคนใส่เหมือนที่เธอเลือกแทน ร้านอาหารเต็มไปด้วยหอยน่าอร่อยหลากหลายชนิด ซึ่งสมกับที่ไลเดนเป็นเมืองท่าอย่างมาก
“คุณแคทลียา ขอบคุณนะครับที่มา วันนี้อากาศอบอุ่นดีนะครับว่าไหม?”
“ค่ะ ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้วสินะคะ”
เขายื่นแขนออกมาและนำเธอเข้าไปในร้านอาหาร แทนที่จะมีกลิ่นหวานเหมือนฮอดกินส์ เขากลับมีกลิ่นเหมือนไม้หนามที่ออกหวานเหมือนกลิ่นวานิลลา ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นพรรณไม้ที่ดูสดชื่น
––แต่เธอชอบกลิ่นท่านประธานฮอดกินส์มากกว่า
เธอชอบความรู้สึกหิวในตอนที่เธอได้กลิ่นอะไรสักอย่างที่อยู่ใกล้ ๆ การที่ถูกกลิ่นหวาน ๆ ห้อมล้อมตัวนั้นทำให้เธอรู้สึกเบิกบานใจ วันนี้เองก็เช่นกัน อันที่จริงเธออยากจะกินเค้กตั้งแต่เช้าเลย
––เขามีกลิ่นยังไงกันนะ?
ชายผมบลอนด์ที่พูดจาไม่ค่อยสุภาพนั่นปรากฏขึ้นในใจของเธอ การฉีดโคโลญจน์คงไม่ใช่รสนิยมของเขา เขาอาจจะไม่มีกลิ่นอะไรเลยก็ได้ เขาอาจจะมีกลิ่นฝน หรือกลิ่นหอมหวานก็ได้ตามแต่แต่ละวัน – เขาเป็นผู้ชายที่มีกลิ่นเฉพาะตัวของตัวเอง
“เราเลือกเครื่องดื่มกันดีไหมครับ?”
หลังจากที่ได้รับเมนูอาหาร เธอก็ดูเมนูอย่างคร่าว ๆ และตัดสินใจเลือกไวน์ผลไม้เป็นเครื่องดื่มโดยไม่คิดจะลองอะไร แต่เมื่อพูดถึงอาหารที่จะทาน เธอก็ได้รับแจ้งว่าอาหารถูกเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว พวกเขาไม่ต้องเลือกอะไรอีก
––เขาคงจะเคยมาที่นี่บ่อยน่าดูเลยสินะ
เขาจะยิ้มทุกครั้งที่พวกเขาสบตากัน และเธอก็จะยิ้มออกมาเช่นกัน
“อันที่จริง ผมได้รับจดหมายจากน้องชายผมแล้วนะครับ”
“อ๋า เขาตอบว่ายังไงคะ?”
“ดูจริงใจกว่าปกติครับ ต้องขอบคุณที่เป็นคนเขียนให้เลย เพราะเราอายุห่างกันมาก… ถึงผมจะคิดว่าเขาน่ารักมากก็เถอะ แต่เขาก็ดื้อมากจริง ๆ มันเลยอยากที่จะสื่อให้เขาเห็นถึงความตั้งใจของผม”
เริ่มต้นด้วยอาหารเรียกน้ำย่อย พวกเขาสองคนกินอาหารทีละจานที่ถูกนำมาเสิร์ฟ
“อ่า… ฉันเข้าใจค่ะ แต่ของฉันเป็นขั้วตรงข้ามเลย ฉันเป็นน้องคนสุดท้องค่ะ ถ้าไม่นับฉัน ฉันก็มีพี่ชาย… อีกเก้าคนค่ะ”
“’เก้า’ เลยเหรอครับ? น่าเหลือเชื่อมาก”
บทสนทนาไม่ได้ให้ความรู้สึกตะขิดตะขวงใด ๆ ตั้งแต่แรกที่เธอได้ทำงานให้เขา เธอก็รู้สึกอยู่แล้วว่าเขาเป็นคนอัธยาศัยดี ไม่เคยโกรธหรือพาลใส่เธอ เขามีมารยาทที่ดีมากอย่างที่ทุกคนควรจะมี
“พี่ชายคนโตของฉันอายุมากกว่าฉันสิบปีเลยค่ะ และสำหรับฉันที่เป็นลูกสาวคนเล็กแล้วมีพี่ชายแบบนั้น พี่ชายคนโตถือเป็นคนที่น่ารำคาญใจสำหรับฉันมากค่ะ เพราะว่าในตอนที่เขากลับมาบ้านเรานั้นเขามักจะได้รับคำชมเสมอ ในขณะที่ฉันมักจะโดนดุตลอดเลย”
“ผมเข้าใจ แต่ผมเองก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากเหมือนกันในตอนที่ผมกำลังโตเป็นผู้ใหญ่”
เธอรู้เลยว่าเขาพยายามที่จะให้เธอรู้สึกสนุกกับบทสนทนา เขามีความเงียบขรึมสมกับเป็นผู้ใหญ่
“แต่ว่านะคะคุณคริส ฉันว่าเราเทียบกับคนแบบคุณที่อยู่เหนือกว่าพี่น้องคนอื่น ๆ เพราะทำงานหนักและประสบความสำเร็จไม่ได้หรอกค่ะ และไม่ว่าเราจะทำอะไรเราก็ได้รับการดูแลที่น้อยกว่าอยู่ดี เพราะงั้นมันเลยซับซ้อนกว่านั้นค่ะ”
“ผมคิดว่ามันคงเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่ผมมีให้พ่อกระมังครับ เขาเป็นพ่อค้า แต่ผมก็ไม่เข้ากับเขาเลยสักนิด”
“ถึงคุณจะเป็นคนบริหารร้านที่โด่งดังขนาดนั้นน่ะหรือคะ?”
“ผมไม่เคยผ่านเกณฑ์ที่พ่อของผมวางไว้เลยล่ะครับ”
––เขาขอเธอออกเดทเพราะเธอถึงเกณฑ์ที่จะเป็นคู่แต่งงานของเขาหรือเปล่านะ?
เธอกินหอยเข้าไปเพื่อกลืนคำพูดที่เกือบออกมาจากลำคอของเธอ
“ในครอบครัวของผม ทุกคนต้องมีเรือเป็นของตัวเองด้วยนะครับ ตอนอากาศอุ่นขึ้นกว่านี้อยากลองไปล่องดูสักครั้งไหมครับ?”
“เรือนั่นคงจะไม่ใช่แบบเดียวกับที่ฉันคิดใช่ไหมคะ?”
“คุณคิดไว้ว่ายังไงครับ?”
เมื่อถูกถามเช่นนั้น เธอก็ตอบไปตามตรง “เรือข้ามฟากค่ะ”
มันเป็นเรือลำเล็ก ๆ ที่ใช้ข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง เขาตอบพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “มันใหญ่กว่าเรือพวกนั้นนิดหน่อยครับ”
จากการหัวเราะของเขา เธอเดาว่ามันคงเป็นเรือที่ใหญ่น่าดู
แคทลียามองผู้ชายที่มีชื่อว่าคริสอีกครั้ง เธอชอบดวงตาที่แสนอ่อนโยนที่จ้องมองมาจากใต้ผมสีน้ำตาลไหม้ และวิธีการพูดช้า ๆ ของเขา เธอคิดเช่นนั้น เขาไม่ขาดตกบกพร่องอะไรเลย ตรงกันข้ามกับเธอที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง มันจึงทำให้เธอตั้งคำถามว่าทำไมเขาถึงเลือกเธอมาเป็นเพื่อนทานข้าวในวันนี้
เธอพยายามถามอย่างตรงไปตรงมา “ทำไม… คุณถึงขอฉันออกเดทหรือคะ?”
คริสแสดงสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินคำถามที่ตรงประเด็นเช่นนั้น แต่เขาก็ตอบกลับมาทันทีโดยไม่พยายามบ่ายเบี่ยง “เวลาทำงานผมต้องระมัดระวังเสมอครับ คุณแคทลียา เพราะแบบนั้นผมถึงชอบผู้หญิงที่ไม่มีความกังวลแบบคุณ อยู่กับคุณแล้วสนุกดีครับ ก็เท่านั้นเอง”
“ไม่ใช่ว่าตอนนี้คุณต้องระวังสุด ๆ เลยเหรอคะ?”
“มันไม่ใช่แบบนั้นครับ แน่นอนว่าผมพยายามทำให้คุณรู้สึกสนุก แต่มันก็มีความผ่อนคลายอยู่ด้วย คุณคงจะไม่ผิดหวังใช่ไหมครับถ้าเดทครั้งนี้ผมแสดงด้านที่น่าเกลียดออกมาน่ะ?”
“’ด้านที่น่าเกลียด’ เหรอคะ?”
“อย่างทำซอสพาสต้าเลอะเสื้อเชิ้ตของผม หรือทำเหรียญหล่นออกจากกระเป๋าสตางค์ตอนกำลังจ่ายเงินแบบนั้นน่ะครับ”
“ฉันก็ทำแบบนั้นบ่อยเหมือนกันค่ะ ฉันคงจะถามคุณว่า ‘คุณทำอะไรคะเนี่ย~’ แต่ก็จะช่วยคุณแน่นอนค่ะ”
“นั่นแหละครับ ความไม่ระมัดระวังแบบนั้นแหละครับมันดีมากเลย ลูกค้าที่มาที่ร้านของผมพวกเขาจะมีระบบตรวจสอบความผิดพลาดแบบนั้น เพราะแบบนั้นพวกเราจึงต้องทำให้พวกเขาซื้อให้ได้ด้วยการแสดงกิริยาที่ดีและมีกึ๋นในเรื่องของมารยาทโดยห้ามทำผิดพลาดเด็ดขาด ผมเคยคิดว่าออโต้เมมโมรี่ดอลล์ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่คุณแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงเลย ตอนที่เราเจอกันแล้วคุณทักผมอย่างร่าเริงด้วยคำว่า “ดีค่ะ!” มันทำให้การแนะนำในการเขียนจดหมายง่ายมากเลยครับ เราเพิ่งจะเจอกันครั้งแรก แต่ผมรู้สึกเหมือนกำลังเที่ยวเล่นกับผู้หญิงแถวละแวกบ้านผมเลย”
“ดะ ดอลล์ของพวกเราที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดจะคุยกับลูกค้าอย่าสง่างามแบบนั้นค่ะ ไม่เหมือนกับฉันเลย ฉัน… ฉันไม่มีอะไรดีสักอย่าง อีกอย่างนะคะคุณคริส มีผู้หญิงอยู่อีกหลายคนเลยค่ะที่เป็นแบบนั้น ไม่ใช่ว่ามีผู้หญิงแบบนั้นอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่ร้านคุณด้วยหรือคะ?”
“ไม่มีผู้หญิงสวย ๆ คนไหนที่สบาย ๆ และดีแบบคุณเลยครับ”
“เป็นเพราะหน้าตาของฉันเหรอคะ?”
“คุณสวยครับ”
“ฉัน…”
“แล้วคุณก็น่ารักด้วย คุณอาจจะพยายามมากกว่าคนอื่น ๆ แต่ผมต้องการแค่คุณเท่านั้นแหละครับ ผมคิดว่าอย่างนั้น เหตุผลก็มีแค่นั้นแหละครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าเธอจะรู้สึกลำบากใจ แต่ในอกของแคทลียาก็ได้รับการเติมเต็มด้วยความสุข เธอสงสัยว่าคนแบบนี้ที่ยังโสดอยู่นั้นให้ความรู้สึกแบบนี้ได้ยังไงกัน เธอไม่สามารถเลิกสงสัยในตัวเขาได้เลย
“คุณคริสคะ คุณเคยแต่งงานหรือว่าเคยมีลูกอะไรแบบนั้นหรือเปล่าคะ?”
“ผมไม่เคยมีคู่หมั้นเลยด้วยซ้ำครับ”
“คุณมีงานอดิเรกชอบเที่ยวกลางคืนหรืออะไรแบบนั้นหรือเปล่าคะ?”
“ผมมีนิสัยชอบง่วงนอนทันทีหลังจากที่กินเสร็จครับ ผมนอนก่อนเที่ยงคืนเสมอ”
“ทำไมคุณยังโสดล่ะคะ?”
“แล้วทำไมคุณยังโสดล่ะครับ?”
“ฉัน…”
“อันที่จริง ทำไมคนเราถึงต้องแต่งงานกันนะ?”
เมื่อน้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป แคทลียาก็มองไปที่เขาอย่างจริงจัง
“มันคงมีแรงจูงใจมากมาย เช่นเส้นสายครอบครัวและอะไรแบบนั้น การรักษาวงศ์ตระกูล การช่วยเหลือทางการเงิน และก็ความรัก แต่คุณไม่คิดว่ามันจะไม่ดีกว่าหรือครับถ้าไม่ถูกผูกมัดด้วยสิ่งที่เรียกว่าการแต่งงานน่ะ?”
“คะ คุณขอฉันออกเดทเพราะเรื่องแต่งงาน แต่คุณก็ยังพูดอะไรแบบนั้นน่ะเหรอคะ?”
“ขอโทษทีครับ ขอโทษที” คริสดูเจื่อนไปเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบ “ผมจะพูดยังไงดี?” เขาเช็ดหยดน้ำจากแก้วแชมเปญเปล่าของเขาด้วยนิ้ว “คนที่อายุเท่า ๆ ผมจะปฏิบัติกับคนที่ยังไม่แต่งงานเหมือนคนไม่ปกติครับ… แต่เมื่อคุณไม่รู้สึกมีความสุขกับโอกาสในการแต่งงานใด ๆ คุณก็จะเริ่มคิดอะไรหลายอย่างเลยครับ เช่น ‘การแต่งงานคืออะไรนะ?’ หรือ ‘การตกหลุมรักใครสักคนเป็นยังไง?’ เมื่อไหร่ก็ตามที่พ่อแม่ผมมาที่บ้าน พวกเขาก็จะพูดว่า ‘ตายจริง ขนาดลูกอยู่ตัวคนเดียวยังมีถ้วยชามเยอะขนาดนี้เลย’ ผมซื้อมาเยอะ ๆ ก็เพราะว่าผมเหนื่อยตอนกลับมาบ้านแล้วไม่ได้ล้างจานเป็นวันเท่านั้นเอง ไม่ใช่ของใครทั้งนั้น ทำไมผมต้องแต่งงานด้วยในเมื่อผมอยู่ตัวคนเดียวได้…? ผมคิด… แล้วก็คิด…”
––ทำไมเธอต้องคบกับใครด้วยในเมื่อเธออยู่ตัวคนเดียวได้…
“ผมสามารถใช้ชีวิตตัวคนเดียวได้ และงานอดิเรกของผมก็คือการทำน้ำหอม เพราะงั้นผมเลยใช้เวลาว่างอยู่ในห้องทำงานคนเดียว ผมจะรู้สึกมีความสุขมากเวลาเดินผ่านผู้หญิงที่ฉีดน้ำหอมของผมในเมือง และผมก็คิดว่าผมคงจะมีความสุขมากกว่านี้ถ้าผมมีคนรัก แต่ผมก็คิดว่าในตอนนั้นผมคงมีเวลาในการทำน้ำหอมน้อยลง ถ้าเป็นแบบนั้น ผมคิดว่าแค่หาคนดี ๆ แต่งงาน แล้วก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันก็พอ แต่แบบนี้จะถือว่าเป็นรักแท้จริงหรือ?”
––การตอบรับใครสักคนในตอนที่เธอสามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเอง สิ่งนี้และหัวใจที่บริสุทธิ์ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้
“ผม… คิดว่าคุณเป็นคนที่วิเศษมาก ผมเองก็อยากลองตกหลุมรักคุณ แต่พอ… มีเรื่องที่ไม่จริงใจอย่างเช่นการแต่งงาน ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเบื่อในทันทีเลยครับ ถึงแม้ว่าผมจะขอเรื่องที่จำเป็นต้องมีก่อนแต่งงานก็ตาม”
“อย่างที่ฉันพูดแหละค่ะ ทำไมคุณถึงบอกฉันเรื่องนี้ล่ะคะ?”
แคทลียาทำสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย คริสยกมือทั้งสองข้างขึ้น “นั่นเป็นเหตุผลที่ผมแต่งงานไม่ได้ครับ” เขาขมวดคิ้วและนวดไหล่ “ผมฝันถึงเรื่องรักใคร่อยู่บ่อยครั้ง ถ้าหากผมจะคบใครสักคน ผมก็อยากคบเพราะผมรักเขา การแต่งงานก็เหมือนกัน ผมชอบคุณนะ เพราะงั้นการที่ไม่อยากให้ใครได้คุณไปมันคงเป็นเหตุผลที่ดีพอ แต่พอเป็นเรื่องแต่งงาน ข้อดีและข้อเสียของมันก็ตีกันไปหมด ผมรู้สึกสับสนด้วยถ้าผมเห็นว่าคน ๆ นั้นจะได้ประโยชน์ยังไงจากการได้ผมมา แม้กระทั่งตอนที่ผมเดทกับใครสักคน พลังของผมก็จะหมดก่อนที่เราจะไปถึงจุดหมายด้วยซ้ำ แล้วผมก็จะคิดว่า ‘นี่คงไม่ใช่รักแท้เหมือนกันสินะ’… แต่ตอนผมอยู่กับคุณ… แม้แต่คนที่ชอบยึดตามแบบแผนอย่างผมที่ชอบคิดว่าความรักต้องเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล คุณก็ทำเหมือนเราอายุเท่ากันและเป็นเพื่อนกัน… ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากตกหลุมรักหรอกนะครับ ก็แค่มันไม่เป็นไปอย่างถูกต้องเท่านั้นเอง” ในขณะที่พูดอยู่นั้น บางทีอาจเป็นเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขา คริสจึงวางมือลงตรงผมหน้าของเขาเพื่อซ่อนใบหน้า “สำหรับเพื่อน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนหรือคุณเชื่ออะไรมันก็ไม่สำคัญใช่ไหมล่ะครับ? เวลาอยู่ด้วยกันมันสนุกก็เท่านั้นเอง และการที่อยู่ด้วยกันเพื่อความสนุกนั่นแหละคือเพื่อน ผมคิดว่าผมอาจจะมีความสัมพันธ์แบบนี้กับคุณได้… ผมขอคุณออกเดทด้วยเรื่องแต่งงาน ก็เลยพยายาม… พูดอย่างตรงไปตรงมาน่ะครับ”
เงียบกริบ
“มันแปลกหรือเปล่าครับ?”
“ไม่…แปลก…เลยค่ะ”
––มันไม่แปลก มันไม่แปลกเลยสักนิด
“ถึงจะ…มีใครบอกว่ามันแปลก ฉันก็จะไม่บอกว่าแปลกค่ะ”
––ไม่ เธอพูดมันไม่ได้
เธอก็ยังเป็นเหมือนเดิมเช่นเคย
“ยัยผู้หญิงงี่เง่า”
มีเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นในหัวเธอ เสียงที่เธอยังไม่ลืมว่ามันเป็นเช่นไรดังก้องอยู่ในหัวเธอ
“แคทลียา”
เขาเคยเรียกชื่อเธอแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
“เธอ ทำไมเธอถึงอยู่คนเดียวล่ะ? หา? ตาแก่ทิ้งเธอไว้หรอ?”
––ถ้าเธอจะคบกับใครสักคน เธอก็อยากจะคบเพราะความรัก
“นี่~ เราจะถูกร้องเรียนเอานะ เธอเขย่ามือลูกค้าแรงไปอีกแล้วหรอ?”
––เพราะเธอชอบเขา
“ตาแก่! ทำไมคุณปล่อยให้เธอดื่มล่ะ!? เวลาไปส่งยัยนี่ที่บ้านมันน่าปวดหัวมากนะรู้ไหม!”
––เพราะเธอชอบเขา เพราะเธอชอบเขา เพราะเธอชอบเขา
ความรู้สึกที่ว่า “เธอชอบเขา” ไหลทะลักออกมาราวกับโคมไฟ ความรู้สึกของเธอที่มีต่อเบเนดิกต์ บลูนั้นเหมือนกับกระแสไฟฟ้า
––ทำไมเธอถึงชอบเขาล่ะ?
มันมีอิทธิพล และดังกังวาน
––คนที่อยู่ตรงหน้าเธอย่อมดีกว่าแน่นอน
ความรู้สึกที่เธอเพิ่งรับรู้นี้ไม่เหมือนกับความรู้สึกอื่น
––แต่เธอชอบคนตรงหน้าไม่ได้
ราวกับมันถูกปาใส่หน้าเธอ
––เพราะความรัก…
…เพราะว่ามันไม่ใช่พลังงานไฟฟ้า
––ไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหน ความรัก…
…เพราะมันไม่ได้เขียนในรูป “ปล่อยออกมา” แต่เป็น “ตกลงไป”
––ถ้าเธอมีคนที่ชอบ เธอก็จะไม่สามารถคบกับคนที่เธอไม่สนใจได้
คนที่แคทลียาตกหลุมรักไม่ใช่คน ๆ นั้น
“คุณคริส… ฉัน… เข้าใจค่ะ”
เธอบอกไม่ได้ในตอนนั้นว่าทำไมเธอถึงตกหลุมรักผู้ชายที่ชื่อว่าคริสไม่ได้
“ฉันเข้าใจ เข้าใจมาก ๆ เลยค่ะ”
แต่เธอบอกได้ว่าทำไมเธอถึงเข้าไปอยู่ในชีวิตเขาไม่ได้
“ฉัน… เข้าใจค่ะ”
มันขัดกับกฎความรักของแคทลียา โบลเดอแลร์ แต่เธอก็ตกหลุมรักเบเนดิกต์ บลูอยู่ดี เธอรู้สึกไม่ดีมาตลอดเพราะตัวเองกำลังฝ่าฝืนกฎที่ตนเองวางไว้
––มัน… เป็นความผิดของไอ้คนโง่นั่นคนเดียว
เธอพยายามควบคุมตนเองไม่ให้ตกหลุมรักมาตลอด เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะลืมมัน โดยปกติเธอจะไม่มีวันมีความสัมพันธ์กับลูกค้าของเธอ แต่สุดท้ายเธอก็คิดว่าเธอควรจะมีเพราะเธอไม่มีใครเลย
ไม่มีใครสามารถคบกับใครด้วยความรู้สึกฝ่ายเดียวได้หรอก
“ฉัน… เข้าใจค่ะ เพราะงั้นฉันถึงคิดว่าถ้าเราไม่คบกัน… มันคงจะดีกว่า…!”
แต่ถึงอย่างนั้นถ้าเธอไม่เริ่มตกหลุมรักใครสักคน เธอคงจะต้องติดอยู่ในความรู้สึกนั้นชั่วชีวิต
“คุณคริสคะ คุณแค่เลือกคนที่คล้ายกับคุณเท่านั้นแหละค่ะ ฉันก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าฉันจะคบกับใครสักคน…”
ถ้าตามกฎความรักของแคทลียา โบลเดอแลร์แล้ว…
“…ถ้าฉันจะคบกับใครสักคน ฉันแค่อยากได้ความรู้สึกของการตกหลุมรักเท่านั้นแหละค่ะ!”
…คนนั้นจะต้องไปตามอีกคนหนึ่งและสารภาพรัก
ผู้คนในร้านอาหารมองมาตามเสียงของคู่ที่น่าตื่นเต้นเงียบ ๆ พวกเขาหันมามองทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อแคทลียานั่งลงหลังจากยืนขึ้นและพูดเสียงดังนั้น พวกเขาก็หันกลับไปสนทนาของตนเองต่อ
คริสอ้าปากค้างด้วยความตะลึงงัน “ตอนนี้คุณเห็นด้วยกับผมแล้วหรอ?”
เธอเกือบจะหัวเราะออกมา และเอ่ยตอบหลังจากนั้นชั่วอึดใจ “คุณขอฉันออกเดทเพราะเรื่องแต่งงาน เพราะงั้นฉันก็เลยอยากพูดออกมาตรง ๆ เหมือนกันค่ะ”
คริสยกมือสางผมอย่างแรง จากนั้นก็พูดออกมาตะกุกตะกัก “เราอาจจะเหมือนกันมากไปจริง ๆ…” เขาส่งเสียงคร่ำครวญและนอนคว่ำลงกับโต๊ะ
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ อีกอย่าง ถ้าเราเป็นเพื่อนกัน เราอาจจะเข้ากันได้ดีมาก ๆ เลยนะคะ ถึงจะดูเหมือนเราเถียงกันก็เถอะ”
“เพราะเราเหมือนกันเหรอครับ?”
“เพราะเราเหมือนกันค่ะ!”
บางทีเขาอาจคิดว่ารอยยิ้มฝืน ๆ ของเธอดูน่าสนุก คริสจึงเป่าลมออกจากจมูกและหัวเราะ
“ขอโทษที”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงฉันก็เป็นคนไล่คุณไปอยู่ดีนั่นล่ะ…”
หลังจากนั้นเขาก็เรียกบริกร ตอนแรกเธอคิดว่าเขาจะเรียกเก็บเงิน แต่เขากลับเลือกเครื่องดื่มแรง ๆ จากเมนู และเชิญชวนให้แคทลียาดื่มอะไรสักอย่างด้วยเหมือนกัน
“เอ๋ ถ้าฉันดื่มด้วยจะไม่เป็นไรหรือคะ?”
“แน่นอนครับ แล้วก็อย่าเพิ่งกลับบ้านเลย ถ้าคุณไปตอนนี้มันคงยุ่งยากกว่าเดิม คุณทิ้งผมเร็วที่สุดนับตั้งแต่ผมเดทมาเลย ของหวานก็ยังไม่มาเสิร์ฟเลยด้วย และผมก็ยังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้ ผมอยากกินกับคุณต่อ มันเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ชายที่ถูกทิ้งให้กินของหวานต่อคนเดียวนะครับ เพราะผมชอบของหวานมาก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แคทลียาก็เอ่ยตอบอย่างร่าเริง “ฉันด้วยค่ะ! แต่ฉันยังไม่ทิ้งคุณเลยนะคะ เรายังไม่เริ่มคบกันเลยด้วยซ้ำ”
“นั่นสินะครับ… แต่รู้สึกเหมือนถูกตัดไฟแต่ต้นลมตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย”
บทสนทนาของพวกเขาหลังจากนั้นกลับลื่นไหลอย่างมากจนน่าประหลาดใจ
“แต่ว่า แทนที่จะเริ่มต้นความรักที่อาจจะจบลงกลางคัน คุณคริสคะ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่ดูเหมือนเราจะเข้ากันได้ดีอย่างที่คุณต้องการไม่ใช่หรือคะ? แล้วก็สุดท้าย แทนที่จะรักฉัน คุณก็แค่เลือกใครสักคนที่จะชอบความฝันของคุณและความสนใจของคุณก็พอไม่ใช่หรือคะ?”
“ไม่… อ่า… ครับ”
“การมีแค่ความสนใจไม่ดีหรอกนะคะ การตกหลุมรักสิสำคัญกว่า”
“แต่ผมก็ยังชอบคุณอยู่ดีนะ คุณรู้ใช่ไหม?”
“ยอมแพ้เถอะค่ะ ฉันมั่นใจว่ามันคงไม่ใช่รักแท้เหมือนกันแน่นอน อีกอย่าง ที่จริงฉันก็มีคนที่ชอบอยู่แล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินแคทลียาพูดเช่นนั้น คริสก็ยอมแพ้ได้ในที่สุด และยิ่งไปกว่านั้น เขายังให้คำแนะนำที่เปิดเผยและแข็งกร้าวอีกด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกผิดหวังที่ถูกปฏิเสธกะทันหันก็ตาม เขาก็โมโหขึ้นมา “คุณ ถ้าคุณมีคนที่คุณชอบอยู่แล้ว คุณก็ไม่ควรจะมาทานอาหารกับผมสิใช่ไหม?”
“ฉะ ฉันขอโทษค่ะ ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองดีเท่าไหร่…”
“ถ้างั้นถึงคุณเดทกับผม คุณก็จะทิ้งผมกลางคันอยู่ดีใช่ไหม? นั่นมันแย่มากนะ”
“ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ”
“ได้โปรดขอโทษมากกว่านี้ ผมอยากได้คำขอโทษที่เหมาะสมกว่านี้ ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้มากที่สุดเลย”
“ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ ครั้งหน้าให้ฉันเลี้ยงของหวานคุณนะคะ คุณอยากไปคาเฟ่แม็กโนเลียกับฉันไหมคะ?”
“เอ๋ ที่ที่ต้องรอล่วงหน้าหนึ่งเดือนน่ะหรอ?” ความโกรธของเขาลดลงทันที
“เมื่อวานฉันลองไปกับเพื่อนน่ะค่ะ แล้วก็พบว่ามันดีมาก ๆ เพื่อนฉันกับฉันทานเค้กสามชั้นหมดด้วยแหละค่ะ!”
“’เค้กสามชั้น’…”
“คุณจะได้เติมชาดำครั้งที่สองด้วยนะคะ”
“นั่นน่าสนใจมาก…”
“อันที่จริง ฉันรู้สึกว่าน้ำตาลในนั้นส่งผลกระทบต่อร่างกายมากเลยค่ะ แต่มันดีเยี่ยมจริง ๆ ตัวร้านเองก็วิเศษมากอยู่แล้ว มันคงอยากสำหรับผู้ชายที่ต้องไปคนเดียวใช่ไหมล่ะคะ?”
เมื่อทั้งสองกำจัดความระแวดระวังในตัวอีกฝ่ายไปได้แล้ว พวกเขาก็คุยกันต่อ คริสยังไม่สามารถกำจัดความรู้สึกทุกข์ใจไปได้ แต่ก็พยายามเป็นสุภาพบุรุษจนถึงที่สุด
พวกเขากินขนมหวาน และชาหลังอาหาร และหลังจากนั้นก็ผ่านไปที่ร้านของคริส ที่ซึ่งเขาได้สร้างน้ำหอมที่เหมาะกับแคทลียาตั้งแต่เริ่ม ในร้านก็มีกลิ่นที่ดีมากด้วยจนทำให้เธออยากจะกวาดเอาน้ำหอมไปทั้งหมด บางทีในอนาคตเธออาจจะได้ทำงานที่นี่ก็ได้ แต่คนที่จะเป็นคนทำลายร้านก็คงเป็นแคทลียาอีกนั่นแหละ
เมื่อนัดหมายวันถัดไปที่พวกเขาจะได้เจอกันนั้น พวกเขาก็แยกย้ายกันในตอนเย็น
“คุณผู้จัดการ คุณถูกทิ้งอีกแล้วเหรอครับ? ทำไมคุณเป็นเพื่อนกับผู้หญิงที่ปฏิเสธคุณล่ะครับ?”
“เงียบซะ”
หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างคริสและพนักงานก่อนจะปิดประตูร้าน แคทลียาจึงหัวเราะคิกคักออกมา
ในตอนที่ท้องฟ้าสีครามรวมเข้ากับพระอาทิตย์ตกดิน แคทลียาก็กำลังข้ามสะพานที่ว่ากันว่าเก่าแก่ที่สุดในไลเดน การอยู่ในจุดที่ได้มองเมืองและทะเลเต็มตา สะพานแห่งนี้จึงเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุด คู่รักกำลังพิงไหล่กันและกันพร้อมกับเพลินเพลินไปกับทิวทัศน์บนสะพาน มีคู่รักสูงอายุที่กำลังวิ่งไปพร้อมกับหมาแก่ ๆ ด้วย ในกลุ่มคนเหล่านั้น แคทลียากำลังย่างเท้าไปบนสะพานด้วยความภูมิใจ
––พรุ่งนี้ เธอจะส่งใบลาหยุดให้ท่านประธานฮอดกินส์
รองเท้าส้นสูงห้าเซนติเมตรนั้นทำให้ฝีเท้าของเธอมีเสียงเบากว่าเมื่อตอนเช้า
––ถึงหมอนั่นจะโวยวาย เธอก็จะถามเขาให้ได้ว่าทำไมเขาถึงไม่บอกเธอ
เธอรู้สึกราวกับตัวเธอไม่ได้ถูกผูกมัดกับอะไรทั้งนั้น
เธอไม่สนหรอกว่าจะถูกปฏิเสธไหม แต่อย่างน้อยผู้ชายคนนั้นก็ควรจะปล่อยให้เธอพูด
“ชอบนาย” ในขณะที่เธอพยายามจะพูดออกมาด้วยเสียงเบา ๆ เธอก็เริ่มรู้สึกพึงพอใจ “ชอบนาย” จิตใจของเธอล่องลอยไปจากผู้คนที่เดินผ่านเธอ เธอไม่ได้รู้สึกอายที่พูดคนเดียวเลยสักนิด “ชอบ นาย ชอบ… นาย”
มีเพียงรถม้าและรถยนต์ที่วิ่งผ่านเธอเท่านั้น
“’เบเนดิกต์ ฉัน…”
เงาของเธอที่ตามเธอมานั้นเหมือนกับกำลังเต้นรำไม่มีผิด
“…ชอบนาย’”
มันเป็นสิ่งเดียวที่อยู่เคียงข้างเธอ
“เธอ ทำอะไรน่ะ?”
ทันใดนั้น มอเตอร์ไซค์ที่ขับมาทางขวาของเธอก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตา มันเหมือนกับรถขยะมากกว่า มอเตอร์ไซค์มีรูปทรงแปลก ๆ ไม่เหมือนกับผลิตจากทวีปนี้
แคทลียาเหลือบไปมองด้วยความเซื่องซึม ผมสีบลอนด์ทรายที่ถูกอาบด้วยพระอาทิตย์เล็กน้อยปรากฎให้เห็น เช่นเดียวกับใบหน้าที่บ่งบอกไม่ได้ว่าเป็นหญิงหรือชายนั่น แต่ให้ความรู้สึกที่เหมือนผู้ชายมากกว่า
“อ่า~… แต่ก็ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สบายดีไหม?” เสียงของเขาแข็งกร้าวและฉุนเฉียวเล็กน้อย และก็ยังดูเอาแต่ใจ “ฉันเพิ่งกลับมาเมื่อกี้เอง ฉันคิดว่าอาจจะเป็นเธอก็เลยตามมา แต่ว่า…”
แคทลียายังคงยืนอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่พูดอะไร ใบหน้าของเธอแดงจัด
“อะไร…อีกล่ะ…ทีนี้?”
เมื่อเธอเห็นท่าทีเขินอายของเขาในตอนที่เขากำลังเกาแก้มตัวเองด้วยนิ้วนั้น เธอก็สิ้นความอดทน เธอลืมความตั้งใจที่จะไปเจอเขาและสารภาพกับเขาเรียบร้อย ทุกอย่างพังทลายลงทันที และเธอก็ตัดสินใจวิ่งหนีไปจากตรงนั้นด้วยความเร็วสูงสุด
“เอ๋ เฮ้! เฮ้ย ยัยผู้หญิงงี่เง่า!”
––นี่มันแย่ นี่มันแย่มาก นี่มันแย่ที่สุด!
รองเท้าส้นสูงห้าเซนติเมตรคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ถ้าเธอสวมส้นเก้าเซนติเมตรนั่นมาล่ะก็ เท้าเธอคงพังยับแน่
––เธอจะทำยังไงดี?! เธอควรจะไปฆ่าตัวตายตรงไหนดี?!
ในหัวของเธอยุ่งเหยิงด้วยความอาย
––ธะ เธอควรจะฆ่าเขาดีไหม? แบบนั้นจะเร็วกว่าหรือเปล่า?
เธอได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ที่กำลังวิ่งตามเธอ ถึงแม้ว่าเธออยากจะวิ่งให้เร็วกว่าเดิม แต่ชุดเดรสผ้าลื่นของเธอกลับพันรอบตัวเพราะแรงต้านลม
“แคทลียา!”
ไม่มีทางที่มนุษย์จะชนะมอเตอร์ไซค์ได้อยู่แล้ว และดูเหมือนแขนของเธอจะถูกเขาคว้าไว้ได้ในตอนที่เขาแซงเธอ ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่อยากถูกจับ แคทลียาจึงเปลี่ยนเส้นทางและหันไปทางราวสะพานแทน
“เฮ้ย ๆๆๆๆๆ!”
เธอทิ้งกระเป๋าถือของเธอ และถอดรองเท้า เธอปีนขึ้นไปบนราวโดยไม่สนใจขาเรียวยาวของเธอที่จะเผยออกมา เธอหันกลับไปทางเขา “ฉันจะฆ่านายแน่ถ้านายมา!”
“เธอต่างหากที่จะตายน่ะ!”
นั่นเป็นการพูดคุยกันครั้งแรกหลังจากที่กลับมาเจอกัน เบเนดิกต์ก็ยังเป็นคนเดิมที่ดูเหมือนจะสูญเสียความใจเย็น แต่ก็ยังกางแขนออกเพื่อรอรับเธอ เมื่อเห็นแบบนั้นแคทลียาจึงกัดริมฝีปาก
––อ้า แขนนั่นจะทำให้เธอมีความสุขขนาดไหนกันนะในสถานการณ์ที่ต่างไปจากตอนนี้น่ะ
ตอนนี้พวกเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากอุปสรรคที่ขัดขวางการฆ่าตัวตายของเธอ
“ใจเย็น เลิกพยายามจะตายและฆ่าฉันซะ”
แคทลียาส่ายหัวราวกับไม่เต็มใจ “นายได้ยินที่ฉันพูดเมื่อกี้หรือเปล่า?”
“ได้ยิน”
“เดี๋ยว เอาใหม่ พอฉันถามว่านายได้ยินไหม…บอกฉันว่าไม่ได้ยินเถอะนะ…ขอร้อง”
“เข้าใจล่ะ ถามอีกครั้งสิ”
“นายได้ยินที่ฉันพูดเมื่อกี้หรือเปล่า?”
“ตอนที่เธอพูดว่าเธอชอบฉันใช่ไหม?"
“กรี๊ด~~~~~~!”
เขาจับเธอไว้ในตอนที่เธอสะบัดแขนของเธอ ถ้าหากเธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ เขาคงจะปกป้องเธอและคงจบลงตรงนั้น
“เอาสิ”
แต่แคทลียาไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา
“โอ๊ย โอ๊ย– โอ๊ย ๆๆๆ!”
“ปล่อย ฉัน นะ!”
แคทลียาเป็นผู้หญิงที่มีร่างกายแข็งแกร่ง เธองอแขนด้านในที่ถูกจับและเริ่มบิดอย่างแรง
“ยัยผู้หญิงนี่เง่า! ยัยผู้หญิงแข็งแรงงี่เง่า!”
“ฉันรู้ย่ะ!”
“เธอวิ่งหนีทำไมกัน? ฉันไม่เข้าใจเลย! เธอชอบ…”
“ฉันไม่ชอบนาย ฉันไม่ชอบนาย ฉันไม่ชอบนาย!”
“ฉันเข้าใจแล้ว! หยุด! ฉันเข้าใจแล้วโว้ย! ฉันจะเลิกพูดถึงมันไปก่อนตอนนี้ จริง ๆ นะ เลิกใช้กำลังสักที!”
การเคลื่อนไหวของเธอหยุดโดยสมบูรณ์ เมื่อเบเนดิกต์ปล่อยมือ แคทลียาก็ยังไม่ลงจากราวแต่นั่งลงไปแทน
“อย่ามองสิ อย่ามอง” สายตาของเขาจับจ้องไปที่แคทลียาคนเจ้าน้ำตา ในที่สุดเบเนดิกต์ก็ได้มองไปที่เพื่อนร่วมงานที่เขาไม่เจอมาสักพักตรง ๆ ได้เสียที
เธอสวมชุดที่เขารู้ได้ในทันทีว่าเธอไม่ได้ทำงาน เพราะเธอดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าปกติ ความเปล่งประกายของเธอดูเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอฉีดน้ำหอมที่มีกลิ่นของแมกไม้เขียวขจีซึ่งถูกฉีดบนผิวเธอโดยคริส เห็นได้ชัดว่าเธอเพิ่งกลับจากการไปเดทมา
ไม่ว่าเบเนดิกต์จะคิดอะไรอยู่ก็ตาม อยู่ดี ๆ เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะ “ฮ่า ๆ เธอนี่… ฉันไม่เข้าใจเธอเลยจริง ๆ”
“อะไรน่ะ…?”
“นี่ ฉันเข้าใจแล้วล่ะ คุยกันอย่างสงบ ๆ สักหน่อยเถอะ ตอนที่ฉันลาไปบริษัทเป็นไง? มีเหตุการณ์แปลก ๆ หรืออะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? ตาแก่กับวีเป็นไง?”
แคทลียาตอบพร้อมกับเม้มริมฝีปาก “ไม่มีอะไรเท่าไหร่ ทุกคนสบายดี ท่านประธานฮอดกินส์กับไวโอเล็ตก็เหมือนกัน”
“แล้วเธอล่ะ?”
“ฉันสบายดี”
“งั้นหรอ? แต่ฉันคิดว่าเธอผอมลงนะ”
แคทลียาประหลาดใจเพราะเธอน้ำหนักลดลงจริง ๆ
“นี่~ ถึงจะนิด ๆ หน่อย ๆ แต่เธอเหงาบ้างหรือเปล่า?”
เงียบกริบ
“รู้ไหม แม้แต่สัตว์ป่าก็ไม่มองแบบนั้นหรอกนะ”
“ฉันจะไม่บอกกับคนที่ไม่บอกอะไรกับฉันสักคำหรอกนะว่าฉันเหงาน่ะ!” เธอพยายามจะเตะเขาด้วยเท้าเปล่า แต่เธอก็เหวี่ยงพลาด
เบเนดิกต์ปีนขึ้นมาบนราวและนั่งลงข้าง ๆ แคทลียา
––กลิ่นของดิน
เธอได้กลิ่นจากตัวเขาซึ่งเปลี่ยนไปตามแต่ละวัน
“สุดท้ายฉันก็กลับมาเพราะฉันเหงายังไงล่ะ” เบเนดิกต์กระซิบด้วยน้ำเสียงกระฉับกระเฉง “ฉันไปตามหาใครบางคนมาน่ะ แต่ฉันไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ ฉันก็เลยได้แต่ย่ำอยู่กับที่ ฉันใช้เงินที่ได้มาจากบริษัทไปเกือบหมดและตอนนี้ฉันก็แทบไม่เหลือแม้แต่เหรียญเดียว ถึงมันจะเป็นทวีปที่ฉันเคยอยู่ก็เถอะ แต่ฉันไม่มีคนรู้จักอยูที่นั่นเลย… เพราะงั้นฉันก็เล~ยเริ่มคิดว่าฉันอยากกลับบ้านหรืออะไรแบบนั้น”
เพราะไม่เคยเห็นด้านนี้ของเขา แคทลียาจึงตกอยู่ในภวังค์และลืมที่จะปิดปาก
“สุดท้าย แม้แต่ที่ที่ฉันไปก็ไม่มีอะไรเลย แต่ฉันก็รวบรวมข้อมูลมาได้นิดหน่อย เพราะงั้นฉันเลยคิดว่าจะไปที่นั่นอีกเมื่อฉันเก็บเงินได้มากพอ แต่ก็นะ ตั้งแต่แรกมันก็ยังเป็นปริศนาอยู่ดีนั่นแหละว่าเธอยังอยู่หรือไม่อยู่ในทวีปนั้นน่ะ…”
เงียบกริบ
“อ่า น้องสาวฉันน่ะ ฉันไปตามหาเธอมา ยังไงซะ พูดอะไรหน่อยสิ”
“นายมีน้องสาวด้วยหรอ?”
“โอ้ มีสิ มีแน่นอน”
“เธอหนีออกจากบ้านหรอ? ถึงฉันจะหนีมาด้วยเหมือนกันก็เถอะ…”
“เปล่า เหมือนกับว่าเราอยู่คนละที่มากกว่า แล้วเธอจะไม่เป็นไรเหรอถ้าไม่กลับไปน่ะ? พ่อแม่เธอคงเป็นห่วงน่าดู”
“ไม่มีทาง เพราะว่าเป็นฉันยังไงล่ะ มันก็เลย… ยากน่ะ ช่างเรื่องของฉันเถอะ แล้วนายจะกลับมาที่บริษัทหรือเปล่า?”
“อ่าฮะ ฉันไม่มีที่ไหนให้กลับไปแล้วนี่”
––เข้าใจล่ะ แคทลียาคิด
เบเนดิกต์จะกลับมา และมันทำให้เธอมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ
“แค่นั้นหรอ? หมดปัญหาแล้วสิ”
เธอดีใจมากจริง ๆ นอกเหนือจากเรื่องสถานการณ์น่าอับอายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เธอก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ” อยู่ดี ๆ เธอก็พูดออกมาและเผยรอยยิ้ม “อย่าหนีไปไหนเฉย ๆ อีกแล้วนะ เค๊?”
––เพราะเธอชอบเขายังไงล่ะ
บางทีอาจเป็นเพราะความรู้สึกของเธอ
“เพราะฉันจะพยายามออกไปตามหานายแน่”
…ได้เผยออกมาแล้ว
ลมแรงพัดโหมกระหน่ำเล็กน้อยจึงทำให้ผมสีดำของเธอปลิวมาปรกหน้าเธอ “นายทำหน้าโง่ ๆ อีกแล้วนะ แต่เราควรจะปล่อยมือจากราวได้แล้วหรือเปล่า?” เธอเสนอภายใต้ความเย็นยะเยือกของลมหนาว
“นี่” เธอตั้งใจจะพูดว่า “เราควรปล่อยได้ยัง?” แต่เมื่อเห็นเขายกมือขึ้น และเห็นใบหน้าที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนจากเบเนดิกต์
ผมสีดำของเธอถูกจับด้วยปลายนิ้วของเขา ในขณะที่กำลังปัดผ่านไปนั้น เขาก็เลื่อนฝ่ามือเข้ามาใกล้เธอ และไม่ถึงวินาทีหลังจากนั้นใบหน้าของพวกเขาก็เข้ามาติดกัน
เธอไม่ได้ผลักเขาให้เธอเป็นอิสระหรืออะไรแบบนั้น ในขณะที่ใบหน้าของพวกเขาถูกันไปมานั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงอะไรเปียก ๆ แทนที่ความรู้สึกของเธอจะเป็น “ทำไมนายถึงทำแบบนี้?” กลับเป็น “ทำไมนายร้องไห้ล่ะ?”
“ถ้าฉันหายไป… เธอจะตามหาฉันไหม?” ใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากเธอ แต่มือที่เลื่อนมาใกล้แก้มของเธอนั้นได้เอื้อมไปที่หลังของเธอและกอดเธอไว้แน่นทำให้เธอขยับไปไหนไม่ได้ “นี่ เธอจะตามหาฉันหรือเปล่า?” เสียงแข็งกร้าว และฉุนเฉียวเล็กน้อย และยังเอาแต่ใจนั่นเปลี่ยนเป็นเสียงที่ราวกับเขากำลังรู้สึกเหงาหงอยเพราะเขาไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้
“ต้องใช้เวลาสามเดือนเลยล่ะกว่าฉันจะเข้าใจ แต่ถ้ามีแบบนี้เกิดขึ้นอีก ฉันจะตามหานายแน่”
การเดินทางสามเดือนของเบเนดิกต์ บลูอาจเป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่าที่เธอคิดไว้ แต่ในที่สุดแคทลียาก็ได้รับรู้ เขาช่างโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวมากจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็กลับมายังเมืองที่กลายเป็นบ้านเกิดของเขาและผู้คนในเมืองนั้น
“ถึงเธอจะไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่ไหนน่ะหรอ?”
ในตอนนั้นเธอได้ทิ้งสิ่งที่เขาทำกับเธอไว้ด้านหลัง มันอาจจะกลายเป็นปัญหาสำหรับเธอ แต่เธอก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องเลวร้ายอะไร
“นายโง่จะตาย เพราะงั้นฉันคิดว่านายต้องทิ้งคำใบ้ไว้ที่ไหนสักแห่งแน่”
ในตอนนี้ เธอควรจะฟังในสิ่งที่เขาจะพูดมากกว่า
“ฉัน –– ถ้าฉัน – ถ้าฉัน – กำลังใช้ชีวิตอยู่โดยที่ลืมเธอไปล่ะ?”
“เอ๋ ฉันก็ร้องไห้น่ะสิ…”
“เธอจะร้องไห้หรอ?”
“อื้ม เหมือนปกตินั่นแหละ แต่ถ้าฉันพานายกลับมาได้ ฉันก็จะทำ คือฉันหมายถึง ท่านประธานก็คงจะเศร้าด้วยเหมือนกันแหละ”
“ฉัน… สงสัยจังว่าเขาจะคิดถึงฉันหรือเปล่า เขาทำหน้าปกติมากเลยตอนส่งฉัน”
“มีต้นกระบองเพชรต้นหนึ่งอยู่ในห้องท่านประธานตอนนายไป และเขาก็ตั้งชื่อมันว่าเบเนดิกต์ด้วยล่ะ เขาเหงาซะจนเขาจะซื้อสุนัขมาเลี้ยงสักวันแล้วตั้งชื่อว่าเบเนดิกต์ด้วยนะ”
“อย่าพูดโกหกสิ…”
“ไม่ได้โกหกสักหน่อย ไปที่บริษัทเดี๋ยวนี้เลย มีต้นกระบองเพชรอยู่บนโต๊ะจริง ๆ ทุกคนเห็นเขาตอนรดน้ำต้นไม้แล้วพูดว่า ‘เบเนดิกต์ โตเร็ว ๆ นะ’ ด้วย”
“ฮึ ๆ โกหกใช่ไหมน่ะ?”
“ไม่เอาน่า ไปกันเถอะ ฉันกำลังว่าจะกลับบ้าน แต่ไหน ๆ นายก็อยู่ที่นี่แล้ว ฉันเลยอยากไปบริษัทสักหน่อย”
“อืม~ อีกนิดเถอะ” แรงของแขนที่กอดแคทลียาไว้อยู่นั้นแน่นยิ่งกว่าเดิม
ถ้าเธอคิดจะสลัดมันออก เธอก็ทำได้แน่นอน แต่มาคิดดูดี ๆ แล้ว หากเธอกลายเป็นผู้หญิงที่เธอเคยเป็นต่อหน้าผู้ชาย เธอสงสัยว่าในตัวเธอจะมีสักส่วนหนึ่งที่ยอมให้เขาทำแบบนี้หรือเปล่า เธอคงไม่ยอมแน่นอน แต่ถึงแม้เธอจะยอม เธอก็คงอยากทำลายมันให้สิ้นซาก
––ก็นะ เธอเดาว่า… มันอาจจะเป็นแบบนั้นเมื่อเขาใจเย็นลงแล้วหน่อยล่ะมั้ง
แคทลียาเองก็อยากอยู่ตรงนี้นานกว่านี้อีกหน่อยเหมือนกัน
“นี่”
“หืม?”
“ฉันพูดว่า ‘ยินดีต้อนรับกลับบ้าน’ นะ”
“อ่าฮะ”
“อย่ามา ‘อ่าฮะ’ กับฉันนะยะ”
“ฉันกลับมาแล้ว”
“ดีมาก”
––ถ้าหากเธอจะคบกับใครสักคน เธอก็จะคบเพราะเหตุผลที่เธอชอบเขาอย่างเดียวเท่านั้น
“เบเนดิกต์ ฉันน่ะ…”
แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
––ถ้าไม่ใช่เหตุผลนั้น เธอก็ไม่ต้องการหรอก
ความคิดเห็น