ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Violet Evergarden (แปลไทย)

    ลำดับตอนที่ #13 : The Flying Letters and the Auto-Memories Doll (part two.)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.83K
      90
      25 ม.ค. 65
















    /

    The Flying Letters and the Auto-Memories Doll



                ลมส่งเสียงหวีดหวิวพัดผ่านตึกรามบ้านช่องและป่าไม้ในตัวเมือง เสียงของลมที่พัดผ่านอย่างรุนแรงนั้นดูมีชีวิตชีวา พร้อมกับแสงของพระอาทิตย์ที่ส่องประกายลงมาอย่างงดงาม และท้องฟ้าที่ปรอดโปร่งทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเป็นสุข

                 ในวันนี้ ลมพัดแรงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงช่วงเย็น กระแสลมที่รุนแรงนั่นราวกับมีมังกรกำลังกระพือปีกของมันและร่อนลงบนพื้นดิน ไม่ว่ามังกรจะบินไปที่ไหน เสียงของใบไม้ เสียงของนก และเสียงของแมลงก็จะขับร้องผสานกัน เช่นเดียวกับที่ตั้งของฐานทัพอาการแห่งไลเดนชาฟต์ลิชที่ห้อมล้อมด้วยป่าก็กำลังกลายเป็นลานของลม

                แขกที่เพิ่งมาถึงงานลงจากรถบรรทุกที่เวียนรับส่งตลอดทั้งวันเพื่อวันที่แสนพิเศษเช่นนี้ เมื่อรถว่างเปล่าอีกครั้ง มันก็ย้อนกลับไปที่เมืองเพื่อรับผู้โดยสาร ผู้คนที่มาจากตัวเมืองเดินข้ามถนนที่เต็มไปด้วยป่าไม้ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของพวกเขาก็ดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อพวกเขามาถึงตัวงานที่เครื่องบินรบมากมายกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า

                มันก็คือสถานที่จัดงานนิทรรศการการบินครั้งที่เจ็ดนั่นเอง

                ท่ามกลางคนเหล่านั้นก็มีคนจากบริษัทซีเอชที่นำโดยคลอเดีย ฮอดกินส์รวมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเสมียนหรือบุรุษไปรษณีย์ พวกเขาเดินมาด้วยสีหน้าที่ราวกับได้รับการปลดปล่อย

                ยิ้มหน่อยสิ ลักซ์ตัวน้อย

                ในขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกสนุกสนาน มีเพียงแต่ลักซ์ที่ทำหน้าบูดอยู่คนเดียว ประธานบริษัทที่ในตอนนี้อายุสามสิบปีพยายามคุยกับเธอเพื่อให้เธอยิ้ม

                ลักซ์คงคิดว่าตัวเองยังเป็นเด็ก เธอจึงระบายความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ออกมา เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้อารมณ์ไม่ดีหรอกค่ะ ฉัน...มีบางสิ่งที่ฉันทำอะไรไม่ได้เลย แต่ท่านประธานก็แก้ไขมันได้ด้วยประโยคเดียว...ฉันเพิ่งจะเข้าใจว่าโลกนี้เป็นยังไงเมื่อไม่นานมานี้เอง และฉันก็เพิ่งจะเป็นผู้ใหญ่...โลกใบนี้มันช่าง...

                มันแย่ขนาดนั้นเลยหรอที่สำนักงานรัฐเลื่อนเดดไลน์ออกไปน่ะ? แต่ลองคิดดูสิ ถ้าไม่เลื่อนออกไป ทุกคนในบริษัทคงจะมาร่วมงานเทศกาลไม่ได้แน่ ฉันเองก็...อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อทุกคนบ้างน่ะเพราะว่าทุกคนทำงานได้ดีมาก และพวกเขาก็อยากจะมาร่วมงานนี้ด้วย...

                “แต่พนักงานต้อนรับที่มาจากสำนักงานรัฐคนนั้นเป็นคนรักเก่าของคุณใช่ไหมคะท่านประธานฮอดกินส์?

                “อ่า...เธอเป็นแฟนเก่าฉันเหรอ?เขาตอบอย่างไม่แน่ใจ เพราะอันที่จริงแล้วคงไม่อาจนับว่าเธอเป็นคนรักของเขาได้ เพราะทั้งสองคนรู้จักกันเพียงแค่ร่างกายเปลือยเปล่าของกันและกันเท่านั้น

                พูดง่าย ๆ ก็เพราะว่าคุณมักจะมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นเพียงเพราะว่าความเห็นใจเท่านั้น และปกติคุณก็ชอบมองข้ามมันด้วยเพราะแบบนั้น ถ้าฉันเป็นคนที่ขอให้คุณทำอะไรสักอย่างมันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร...เพราะแบบนั้น...

                ฮอดกินส์มองลักซ์ที่กำลังแสดงสีหน้าหลากหลายออกมาด้วยความกังวลในตอนแรก แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามันน่าสนุกดีจึงหัวเราะออกมา ความไร้เดียงสาของผู้หญิงคนนี้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับความสัมพันธ์ของผู้คนทั่วไปถึงแม้จะผ่านงานมามากมายแล้วก็ตามมันช่างน่ารักเหลือเกิน

                ลักซ์ตัวน้อย การที่เธอรู้สึกท้อใจเพราะอะไรแบบนี้น่ะไม่ดีเลยนะ เธอเป็นเลขาของฉัน เพราะฉะนั้นนับจากนี้เธอจะต้องพยายามเรียนรู้วิธีสกปรก ๆ ของฉัน คำสั่งของท่านประธานถือเป็น...?

                “ค-คำขาด

                เขาพยายามให้เธอเรียนรู้เรื่องอะไรกันนะ?

                เธอพูดเสียงค่อยไปนะ ไหนลองพูดอีกครั้งซิ คำสั่งของท่านประธานถือเป็น...?

                “ค-คำขาดค่ะ!”

                ฮอดกินส์ลูบหัวของลักซ์ด้วยความพอใจ ลักซ์ตัวน้อยนี่น่ารักจังน้า ฉันจะทำให้เธอกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมของสังคมเอง

                เพราะเขาลูบหัวเธอราวกับลูบหัวสุนัขหรือแมวอะไรแบบนั้น พนักงานคนอื่นจึงเข้ามาจับมือของเขา

                ท่านประธานคะ เดี๋ยวสารวัตรทหารก็มาจับคุณหรอกค่ะ

                “ลักซ์ก็เหมือนกัน อย่าคิดจะทำตามคำสั่งของท่านประธานเชียวล่ะ เธอเป็นความหวังของบริษัทเลยนะ เธอควรจะสู้กลับด้วยการชกท่านประธานคืนหรืออะไรแบบนั้นสิ

                “พวกคุณมีปัญหาอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย?

                เหล่าเสมียนหัวเราะ ลักซ์เองก็เช่นกัน เมื่อฮอดกินส์เห็นพวกเขาเป็นแบบนั้นก็รู้สึกโล่งใจ เพราะเขาคุยไม่เก่งกับผู้หญิงที่กำลังทุกข์ใจเลย

                ––ตอนนี้ มีผู้หญิงอีกคนที่ทำให้เขารู้สึกกังวลใจมากกว่า

                หลังจากให้เงินจำนวนหนึ่งกับลักซ์เพื่อให้เธอได้ซื้อของให้ทุกคน ฮอดกินส์ก็ออกไปตามหาไวโอเล็ตและแคทลียา ลูกจ้างบางคนบอกเขาว่าถ้าเดินไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เจอพวกเธอเองแหละ แต่เพราะคนที่เข้าร่วมงานจดหมายโบยบินนั้นมีจำนวนมากกว่าคนที่เข้าร่วมงานในครั้งที่ผ่านมาถึงสองเท่าและทำลายทุกสถิติเลยด้วย ที่ตั้งฐานทัพอากาศจึงใหญ่มากกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามหาพวกเธอเจอ

                ––เขาพยายามทำให้พวกเธอสองคนสนิทกัน แต่ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า

                ไม่เหมือนกับไวโอเล็ตและลักซ์ ทั้งสองคนเข้ากันได้และเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ขนาดฮอดกินส์กับกิลเบิร์ตยังเป็นเพื่อนกันได้ เขาจึงอยากพนันว่าสองคนนั้นจะกลายเป็นเพื่อนกันได้หรือเปล่า เขาไม่ได้ติดต่อกับกิลเบิร์ตมาสักพักแล้ว และเขาก็พยายามไม่คิดถึงเรื่องนั้นด้วย

                เขาเดินไปข้างหน้าโดยมีจุดหมายที่แน่นอน ฮอดกินส์มุ่งตรงไปยังสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของงาน ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วเหมือนกันที่แคทลียาออกไปจากบริษัท พวกเธอคงจะมีช่วงเวลาดี ๆ ในการชมการแสดงและซุ้มต่าง ๆ อย่างแน่นอน

                เขาเพิ่งจะรู้สึกตัวในตอนนั้นว่าดีเหมือนกันนะที่เขาเกิดมาตัวสูง ใช้เวลาไม่นานเขาก็หาแคทลียาเจอ ไม่มีทางเลยที่ผู้หญิงที่สวยจนน่าทึ่งที่ดูหยิ่งยโสคนนี้จะหาได้ยาก

                แคทลียานั่งอยู่บนม้านั่งตัวคนเดียว และดูท่าทางเหงาหงอย

                ถ้างั้นฉันพนันผิดอย่างนั้นเหรอเนี่ย?

                ในขณะที่เขาพยายามเรียกเธอ ผู้ชายคนหนึ่งก็เข้ามาคุยกับแคทลียาเสียก่อน เขาจับแขนของเธอไว้เพราะเธอไม่สนใจเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาคงจะพยายามชวนเธอให้ไปเดินงานเทศกาลด้วยกัน

                แย่ล่ะสิ...

                ฮอดกินส์ไม่ได้เป็นห่วงแคทลียาแต่อย่างใด เขาเดินฝ่าฝูงชนด้วยความรวดเร็ว

                อย่ามาจับตัวฉันแบบนี้นะ!”

                เมื่อเขาได้ยินเสียงแหลม ๆ ของเธอเขาก็รีบแทรกตัวผ่านทุกคนอย่างรีบร้อน แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว แคทลียาลุกขึ้นและบิดแขนของเธอที่ถูกจับอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงขยำเสื้อบริเวณอกของชายคนนั้นและใช้เข่ากระแทกที่เป้าของเขา มันคงเป็นความเจ็บปวดที่สุดแสนจะบรรยาย ชายคนนั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นและคงขยับตัวไม่ได้อีกเลย

                ในขณะที่แคทลียาตั้งใจจะทำร้ายเขามากกว่านี้ ฮอดกินส์ก็หยุดเธอด้วยการตะโกน แคทลียา มานี่!”

                “ท่านประธาน!” เธอโบกมือให้เขาและดูมีความสุข ก่อนจะวิ่งมาหาเขา

                ฮอดกินส์โบกมือกลับและหัวเราะแห้ง ๆ

                แคทลียากระโดดกอดเขา ถึงแม้ว่าจะมีสายตาเหยียด ๆ มองมาที่พวกเขา แต่เขาก็เห็นความสำคัญกับจิตใจของแคทลียามากกว่า เขากอดตอบเธอเบา ๆ หนึ่งครั้งจากนั้นจึงถอยออกมา และได้รับรอยยิ้มกว้างกลับมาเมื่อเขาถามเธอว่าเป็นอะไรไหม

                ฉันมาไม่ทันสินะ...

                “ท่านประธานพยายามจะช่วยฉันหรือคะ? ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่...ถ้าฉันทำตัวอ่อนแอในสถานการณ์แบบนั้น คุณก็คงจะพยายามช่วยฉันสินะคะ ฉันน่าจะรออีกสักหน่อยดีกว่า

                “ไม่ใช่แบบนั้น เอ่อ ถูกแล้วล่ะเขาไม่ได้ยอมรับออกไปว่าจริง ๆ แล้วเขาพยายามจะช่วยผู้ชายคนนั้นต่างหาก แต่แคทลียา...ฉันเคยบอกเธอไปแล้วนะว่าเธอควรจะแก้ปัญหาเรื่องแบบนี้ด้วยความใจเย็นน่ะ...

                แต่ฉันไม่ได้ใช้กำปั้นเลยนะคะ ฉันคิดว่าคนที่เคยเป็นนักสู้ศิลปะป้องกันตัวอย่างฉันไม่ควรจะทำแบบนั้นกับคนธรรมดาทั่วไปฉันก็เลยใช้ขาแทนค่ะ เพราะว่าขาฉันไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น ชมฉันสิคะท่านประธาน

                หญิงสาวที่มีนามว่าแคทลียา โบเดอแลร์เป็นผู้หญิงสวยเสียจนเพียงแค่ปรายตามองก็คงได้ผู้ชายมาเป็นกอบเป็นกำ แต่จิตใจของเธอนั้นเป็นแค่ลูกสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น เธอช่างไร้เดียงสาและใสซื่อ และยังเป็นคนที่หัวรุนแรงคนหนึ่งอีกด้วย อาจเพราะว่าเธอไม่ได้คิดร้ายอะไร เธอจึงมั่นใจในความแข็งแรงของร่างกายตัวเองและแก้ไขปัญหาทุกอย่างด้วยการใช้กำลัง

                มันเป็นเรื่องดีก็จริงที่เธอไม่ปล่อยให้ตัวเองโดนคนแปลกหน้าจับตัวแบบนั้น แต่ถ้าป้องกันตัวมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกนะ เพราะงั้นอย่าลืมเรื่องนี้ล่ะ ไปจากตรงนี้กันเถอะ คนมองใหญ่แล้ว

                ชมฉันหน่อยสิคะะะ...อ่า เอ่อ... แต่ว่า...

                ชายคนนั้นที่นอนอยู่บนพื้นพยายามคลานออกไปจากตรงนั้นระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่

                หลังจากหันไปดูเขาแวบหนึ่งแคทลียาก็หันกลับมาหาฮอดกินส์ ฉันต้องรออยู่ที่นี่คะ ไวโอเล็ตหายไปไหนก็ไม่รู้ แต่เธอบอกว่าเธอจะกลับมาค่ะ ถ้าฉันไปเราก็จะหากันไม่เจอ

                “’หายไปไหนก็ไม่รู้...เธอไม่รู้เหรอว่าเธอไปไหน?

                “ค่ะ ฉันคิดว่าเธอคงจะ...ไล่ตามใครสักคนที่เธอเรียกเขาว่า ผู้พันน่ะค่ะ

                ฮอดกินส์เงียบไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของแคทลียา เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจ เขาจับที่ไหล่ของเธอด้วยความกังวลและมือที่สั่นเทา ผู้ชายที่มีผมสีดำและใส่เครื่องแบบทหารหรือเปล่า!? ช่างหายากยิ่งที่จะเห็นเขาพูดเสียงดังแบบนี้

                บางทีอาจเป็นเพราะความกังวลของเขาถูกส่งผ่านไปยังแคทลียา เธอจึงเริ่มตัวสั่นเหมือนกัน ฉ-ฉันไม่รู้ค่ะ ฉันไม่เห็นเขา แต่ไวโอเล็ตบอกว่าเมื่อก่อนเขาเคยเป็นผู้ใช้เธอ

                “เธอไปทางไหน!?

                เพราะถูกบังคับให้บอกด้วยท่าทางที่คล้ายกับกำลังขู่ แคทลียาจึงชี้ไปทางฝูงชนด้วยนิ้วที่สั่นเทาอย่างอ่อนแรง ท-ทางนั้นค่ะ...แต่เธอหายไปสักพักแล้วนะคะ

                “ฉันจะไปตามเธอ ฉันจะพาเธอกลับมาเอง โทษทีนะแคทลียา แต่ทุกคนจากบริษัทกำลังไปที่จัดงานจดหมายโบยบินอยู่ เธอไปพบพวกเขาที่นั่นแล้วกันนะ

                “ห-หา ฉันต้องไปเองอีกแล้วหรอคะ?

                “เธอเก่งอยู่แล้ว เพราะงั้นเธอไปเองได้อยู่แล้วล่ะโอเคไหม?! แล้วก็อย่าทะเลาะกับใครอีกล่ะถ้ามีคนมาจับตัวเธอน่ะ!”

                ท่านประธาน!” แคทลียาไล่ตามฮอดกินส์ราวกับพยายามเกาะติดเขา แต่ก็ยอมแพ้เมื่อไปได้ครึ่งทางเพราะรู้สึกเหนื่อย

                เธอถอนหายใจเมื่อเห็นแผ่นหลังของใครบางคนที่หายไปเป็นครั้งที่สองของวัน มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะเธอไม่สามารถขัดขวางฮอดกินส์ที่ดูแลไวโอเล็ตราวกับพ่อแม่บุญธรรมได้ แคทลียาจึงเริ่มเดินไปด้วยท่าทางอ่อนล้า ในขณะที่คิดว่ามันคงจะดีถ้ามีคนมาไล่ตามเธอแบบนี้บ้าง และนั่นจึงทำให้เธอรู้สึกเหงาอีกครั้ง

                ––วันนี้เป็นวันที่ดีหรือแย่กันแน่เนี่ย? เธอคิดแบบนั้น

                เรื่องดีคือวันนี้เธอสามารถคุยกับไวโอเล็ตได้มากขึ้น แต่มันก็ถูกหักล้างด้วยเรื่องที่เธอทิ้งแคทลียาไว้ ส่วนอีกเรื่องคือเธอกำลังจะไปเจอคนในบริษัทและเธอจะไม่เหงาอีกต่อไป แต่มันก็ถูกหักล้างด้วยเรื่องที่ฮอดกินส์เห็นไวโอเล็ตสำคัญกว่าเช่นกัน หลังจากที่ประเมินความรู้สึกที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ของเธอ เธอก็สรุปได้ว่ามันเป็นวันที่แย่

                เหตุผลที่เธอไม่ชอบอยู่ตัวคนเดียวคือเธอคิดว่ามันทำให้เธอไม่มีเสน่ห์

                ผู้คนที่ห้อมล้อมด้วยผู้คนมากมายมักจะมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ฮอดกินส์เองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น แคทลียาเองก็สนใจเขาเหมือนกับที่ผีเสื้อที่อยากกินน้ำผึ้งไม่มีผิด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้ว่าเธอไม่มีวันเป็นแบบเขาได้

                เธอกัดริมฝีปากเบา ๆ เธอรู้สึกหัวใจของเธอกำลังเหี่ยวแห้ง จุดเริ่มต้นของเดือนมันควรจะเป็นอะไรที่แสนวิเศษสิ ส่วนหนึ่งในจิตใจของเธอเฝ้ามองหามันเพราะเดือนที่แล้วมันเป็นเดือนที่แสนหดหู่เป็นอย่างมาก

                เฮ้ ยัยโง่ เธอมาคนเดียวหรอ?

                มันช่างน่าหดหู่ แต่ว่า...

                เบเนดิกต์...

                ...น้ำตาของเธอเอ่อล้นเมื่อเธอได้ยินประโยคที่กำลังเยาะเย้ยเธอจากด้านหลัง

                ในระหว่างนั้น ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน ผู้ที่เป็นศูนย์กลางของความวังวนนั่นกำลังเผชิญหน้ากับชายคนหนึ่ง พวกเขายืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นพลัมที่อยู่ล้อมรอบพื้นที่สนามรบและห่างไกลจากผู้คน พวกเขาเหมือนคู่รักไม่มีผิด มันคงจะไม่เหมือนถ้าพวกเขาถูกสังเกตได้อย่างง่ายดาย แต่ด้วยระยะห่างขนาดนี้จึงเหมือนว่าพวกเขากำลังออกเดทกันอย่างลับ ๆ

                ผ่านมานานแล้วสินะ

                ผมสีดำ ดวงตาสีเขียว ชายคนนั้นมองไปที่ไวโอเล็ตด้วยดวงตาสีเขียวที่ฉายแววรำคาญใจ เธอพลาดสายตาจากเขาหลายครั้ง แต่แล้วในที่สุดเธอก็จับแขนของเขาและหยุดเขาไว้ได้ทัน เขาจึงมีสีหน้าที่บูดบึ้งเช่นนี้

              รอเดี๋ยวค่ะ

              ไวโอเล็ตกระชากแขนของเขาลวก ๆ จึงทำให้ชายหนุ่มหันมามองเธอ บางทีอาจเป็นเพราะเธอโตขึ้นและรูปร่างของเธอต่างจากครั้งสุดท้ายที่เขาเห็น ชายหนุ่มจึงชะงักไปเล็กน้อย

              และเมื่อเขารู้ว่าเธอเป็นใคร เขาจึงเดาะลิ้นอย่างไม่ละอายใจและผลักเธอออก อย่ามาแตะฉัน

              เขาเหมือนกับคนที่ไวโอเล็ตตามหามาก แต่ก็ต่างกันอยู่เล็กน้อย เขามองเธอด้วยสายตารังเกียจเมื่อเธอไม่ยอมขยับแม้แต่นิดเดียวหลังจากที่ถูกผลักออกไปแบบนั้น แน่นอนว่าร่างกายของเธอต้องได้รับผลกระทบบ้าง

              คุณอาจจะจำฉันไม่ได้ แต่...

              ฉันจำได้ ไม่มีทางที่ฉันจะลืมอาวุธสังหารที่ฆ่าลูกน้องของฉันไปได้หรอก

              เขาคือดีทฟริท โบเกนวิลเลีย พี่ชายของกิลเบิร์ต

              ไวโอเล็ตกะพริบตาอย่างเชื่องช้าเมื่อได้ยินคำพูดแทงใจนั่น ดีทฟริทไม่เหมือนกับเอ็ดเวิร์ด โจนส์ ชายที่เธอพบเจอมาก่อนหน้านี้ แต่สิ่งที่มีความคล้ายกันเป็นอย่างมากคือเขาพยายามจะเปิดโปงอดีตของเธอ

              ค่ะแต่ไวโอเล็ตก็ตอบกลับไปโดยรับทราบดี

              เธอจะทำอะไรน่ะ...? คนอย่างเธอควรจะถูกจับตามองด้วยซ้ำ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายของเธอ?

              ดีทฟริทใส่เครื่องแบบคอปกสูงของทหารเรือ บางทีที่เขาแวะมาที่นี่อาจเป็นเพราะเรื่องงานของเขา

              ไวโอเล็ตตอบคำถามนั้นไม่ได้เลย และนั่นจึงทำให้ดีทฟริทเดาะลิ้นและพูดเสริม ฉันไม่ได้หมายถึงกิลเบิร์ต เมื่อไม่นานมานี้เธอถูกเพื่อนของเขารับไปดูแลแล้วก็ใช้งานไม่ใช่เหรอ? รีบกลับไปหาเขาซะ อย่ามายุ่งกับฉันเขาทำท่าทางราวกับกำลังไล่สุนัข

              คุณรู้ด้วยหรือคะ?

              การที่ไวโอเล็ตพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพเช่นนั้นทำให้ดีทฟริทรู้สึกสับสน ในตอนที่เขาพบเธอ เธอเหมือนกับสัตว์ประหลาดที่มีปัญญาน้อยนิดเสียจนไม่สามารถพูดได้ด้วยซ้ำ

              อย่ามาแกล้งไขสือไปหน่อยเลย เขาจ้องมองเธอราวกับว่าหน้าตาที่สวยงามของเธอและร่างกายที่เติบโตขึ้นทำให้เขากลัวยิ่งกว่าเดิมเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของพี่น้องฉัน และก็เป็นเรื่องที่ผิดพลาดด้วย แน่นอนว่าเรากำลังพูดถึงน้องชายของฉันอยู่ ทีนี้มาได้แล้ว เห็นเธออยู่ท่ามกลางผู้คนแบบนี้แล้วฉันรู้สึกไม่ดีเลยดิทฟลีทแสดงท่าทีฉุนเฉียว เขาดึงแขนของไวโอเล็ตอย่างแรงด้วยความโกรธ แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดออกมาจากแขนของเธอ เขาจึงปล่อยด้วยความประหลาดใจ และมองไปที่แขนก่อนจะมองไปที่หน้าของไวโอเล็ต

              พวกเขาทั้งสองคนมีท่าทางตึงเครียด เหมือนกับการที่สัตว์กินเนื้อเจอกับสัตว์กินพืชในทุ่งหญ้า ใครที่ขยับตัวก่อนคนนั้นก็จะเป็นฝ่ายแพ้

              ฉันไม่ได้พก...อาวุธแล้วค่ะ ฉันจะไม่ฆ่าใครอีกแล้ว ฉันถูกสั่ง...ไม่ให้ฆ่าใครอีก และฉันก็จะไม่ทำด้วย...ถึงจะได้รับคำสั่งก็ตามไวโอเล็ตผายมือทั้งสองข้างเพื่อย้ำว่าเธอไม่ได้พกอาวุธ

              อย่างกับฉันจะเชื่อเธองั้นแหละ อย่างนั้นหรอกเหรอ? เธอ...เป็นเครื่องมือที่ไม่อยากได้อะไรเลยนอกจากคำสั่งไม่ใช่เหรอ? ฉันปล่อยเธอไปแล้วก็จริง แต่ถ้าฉันสั่งให้เธอทำอะไรสักอย่าง เธอก็จะไม่ทำงั้นเหรอ? นี่ เมื่อก่อนน่ะเธอก็เคยรับคำสั่งจากฉันไม่ใช่เหรอ?

              “ฉันจะไม่ทำแล้วค่ะ





              ดีทฟริททำมือเป็นรูปปืนและจิ้มลงบนอกของไวโอเล็ต นิ้วของเขาจิ้มผ่านรอยแยกของเสื้อเบา ๆ ดูเหมือนการป้องตัวของเธอจะตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่สัมผัสได้จากนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่ม ถ้าเป็นเธอคนก่อนคงจะตอบโต้ทันที แต่ในตอนนี้เธอไม่แม้แต่จะขยับ

              ฆ่าตัวตายซะ

              ลมหายใจของไวโอเล็ตหยุดชะงัก มันหยุดหนึ่ง สอง และสามวินาทีด้วยกันก่อนที่เธอจะหายใจได้อีกครั้ง ใบหน้าของเธอยังคงซีด ถึงแม้ว่าหัวใจของเธอจะแทบหยุดเต้นเมื่อได้ยินคำสั่งของชายหนุ่มที่ทำให้เธอหวนนึกถึงเค้าลาง ๆ ของคนที่เธอให้ความเคารพและรักมากก็ตาม

              ไวโอเล็ตเอ่ยตอบ ฉันจะไม่ทำค่ะ ฉันได้รับคำสั่ง...ให้มีชีวิตอยู่ค่ะ คำตอบที่เธอตอบด้วยความพยายามอย่างเต็มที่นั่นปะปนไปด้วยความเศร้า

              จริงเหรอ? แย่ล่ะสิ ฉันเองก็เคยคิดเรื่องนี้...ตอนที่ให้เธอกับกิลมาก่อน...เขาสั่งเธอไม่ให้ตายหรืออะไรแบบนั้นใช่ไหม...? แย่จริง ๆ เลยนะ เขาช่างอ่อนไหวเหลือเกิน มันคงจะดีกว่าถ้าเธอตายตอนที่ถูกกิลเบิร์ตใช้ แต่เธอก็ยังมีชีวิตอยู่และก็แข็งแรงดีด้วย จนถึงตอนนี้...ฉันยังต้องไปเยี่ยมครอบครัวคนที่เธอฆ่าพวกเขาและก็ยังต้องให้เงินพวกเขาอยู่เลย

              ดวงตาสีฟ้าของไวโอเล็ตสั่นระริก ปลายนิ้วที่ดึงออกมาจากตัวเธอนั้นไม่ได้เปราะเปื้อนไปด้วยเลือด แต่คำพูดนั้นนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสราวกับว่าร่างกายของเธอถูกทำร้ายก็ไม่ปาน

              ถ้า...มีอะไร...ที่ฉัน...ช่วยได้––

              ฉันไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น!! ไม่ใช่จากเธอ!”

              เมื่อเขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแบบนั้นจึงทำให้คนอื่นหันมามอง เหมือนกับชายหนุ่มในเครื่องแบบทหารกำลังข่มขู่หญิงสาวไม่มีผิด

              เธอไปซะ ไปจากตรงนี้ซะ

              “ฉันยัง...มีคำถามค่ะ

              ดีทฟริทถอนหายใจอย่างแรง เขาปัดผมหน้าของเขาและทำหน้าบึ้งใส่ไวโอเล็ตราวกับว่าเขาเกลียดเธอจริง ๆ และจากนั้นเขาจึงจับแขนเทียมของเธอที่เขาเคยปล่อยมัน ถ้าอย่างนั้นมากับฉันและก็อย่าทำท่าทางแปลก ๆ เราจะไปที่อื่น

              ไวโอเล็ตเข้าไปใกล้ดิทฟริทเท่าที่เธอเข้าใกล้ได้ แขกทุกคนที่อยู่ใกล้ ๆ จึงคิดว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่คู่รักที่กำลังทะเลาะกันเท่านั้น

              พวกเขาเดินไปอย่างเงียบ ๆ ดิทฟริทคิดว่าการที่เขาพาผู้หญิงไปเช่นนี้แย่พอ ๆ กับที่เขาพูดไม่ดีกับไวโอเล็ตเลย ไม่ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นจะทำไปโดยไม่ตั้งใจหรือตั้งใจก็ตามก็ไม่สามารถคาดเดาได้จากสีหน้าของเขา แต่เพราะเขาใส่เครื่องแบบของทหารเรือจึงอาจเรียกได้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการเดินเช่นนั้นเหมือนกับการที่เธอได้รับการปกป้องจากผู้ใหญ่ไม่มีผิด

              มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ไวโอเล็ตถูกใครบางคนจูงมือไปในขณะที่เดินผ่านผู้คนที่กำลังหัวเราะด้วยความสนุกสนานเช่นนี้ แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่งในชีวิตของเธอ สถานการณ์ในตอนนี้ต่างจากครั้งก่อน ไม่ว่าจะคนที่กำลังจูงมือเธอ ระดับสายตาของเขาที่มองมาที่เธอ ทุก ๆ อย่าง

              อดีตทหารหญิงยกมือขึ้นจับเข็มกลัดมรกตของเธอโดยอัตโนมัติ บางทีความเป็นเด็กของเธออาจจะยังคงอยู่ และความเป็นผู้ใหญ่ของออโต้เมมโมรี่ดอลล์กำลังหวั่นวิตก

              เมื่อคนรอบตัวน้อยลงแล้ว ดีทฟริทก็ปล่อยแขนเธอราวกับอยากจะโยนเธอทิ้ง

                เธอมีธุระอะไรกับฉัน? ถ้าเป็นเรื่องที่เธอไม่พอใจฉัน ฉันจะไม่ฟัง

                ฉันไม่ได้...ไม่พอใจคุณค่ะ

                ดีทฟริทพ่นลมออกทางจมูก ฉันก็เคยคิดเรื่องนั้น ฉันได้รับคำชมและก็ความไม่พอใจมาเยอะ ฉันมีบุคลิกแบบนี้อยู่แล้ว และบางครั้งฉันก็รู้สึกว่าการที่ฉันเป็นแบบนี้จะไปจุดชนวนอะไรสักอย่างด้วย

                ฉันจะไม่ทำค่ะ ฉันจะไม่...ทำแบบนั้นกับคุณค่ะ

                เมื่อได้ยินคำตอบจากไวโอเล็ต ดวงตาสีเขียวของเขาก็แสดงความตึงเครียดออกมาอย่างอธิบายไม่ถูก ความโกรธที่ไม่เหมือนกับความโกรธที่เต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามโดยปกติฉายแววอยู่ในดวงตาของเขา

                เมื่อดีทฟริทเข้ามาใกล้เธอ เธอจึงถอยห่างออกไปไม่กี่ก้าวราวกับกลัวว่าเขาจะกระแทกเธอจนหลังของเธอชนกับต้นไม้ใหญ่ แต่ในขณะที่เธอจ้องมองเขาโดยไม่คิดจะละสายตานั้น เขาก็ส่งกำปั้นออกมาเฉียดใบหน้าของเธอ เธอไม่ได้ถูกต่อย แต่มันทำให้เศษของเปลือกไม้ข่วนหน้าของเธอ เธอไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่เสียเลือด เพราะถ้ามองจากหางตาแล้ว เธอก็มั่นใจว่ากำปั้นของดีทฟลิทก็มีเลือดออกเหมือนกัน

                เธอจำได้ไหม...? ตอนที่เธอยังเด็ก ฉันเคยต่อยเธอและก็เตะเธอ

                “ค่ะ

                “เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันไม่รู้สึกว่าเธอตั้งใจจะฆ่าฉัน ฉันก็จะทำร้ายเธอรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตอนที่ฉันอยู่กับเธอ ฉันก็เป็นสัตว์ประหลาดเหมือนกัน...เธอทำให้ฉันเป็นแบบนี้

                “ฉัน...หรือคะ...?

                ใช่ มันเป็นความผิดของเธอ แม้แต่ตอนนี้ฉันก็เป็นแบบนั้น การที่ฉันอยู่กับเธอและได้คุยกับเธอมันทำให้ฉันโกรธ ใจของฉันไม่เคยสงบได้เลย เธอทำให้ฉันเป็นแบบนั้น เธอฆ่าเพื่อนของฉัน ฉันฝันถึงเรื่องนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ถึงฉันจะเกลียดเธอ ฉันก็ไม่ได้เหม็นขี้หน้าเธอ ไม่สิ มันอาจเป็นเพราะว่าฉันเกลียดเธอมากจนฉันทนไม่ไหว แต่ฉันก็ไม่รู้สึกแบบนั้น มันคงจะใกล้กับคำว่ายอมแพ้กระมัง ฉันคิดว่าตัวฉันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับความจริงว่าสิ่งของที่บกพร่องอย่างเธอมีอยู่บนโลกนี้...เธอคิดออกไหมว่าทำไม?ดีทฟริทชกต้นไม้ด้วยกำปั้นอีกข้าง

                ไวโอเล็ตไม่ได้หันหน้าหนี เธอยังคงมองไปที่เขาด้วยดวงตาสีฟ้าของเธอ บางทีอาจเป็นเพราะดวงตาของเธอมันเป็นสีฟ้าและโปร่งใสมากเกินไป ดีทฟริทจึงรู้สึกว่ามันกำลังเปิดเผยความรู้สึกต่อเขา

                หนึ่งในลูกน้องของฉันที่เธอฆ่าพยายามจะข่มขืนเธอ เพราะแบบนั้นเธอถึงฆ่าเขา ทุกอย่าง ทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างมันวนเวียนอยู่อย่างนั้น! มันเป็นเพราะมันวนเวียนอยู่อย่างนั้น...! เพราะแบบนั้นฉันถึงรู้สึกไม่รู้สึกแค้นใจยังไงล่ะดีทฟริทเอ่ย

                ทุกอย่าง...ที่ฉันทำ...และก็สิ่งที่คุณทำกับฉันหรือคะ...?

                “ใช่ ไม่เคยมีใครบอกเธอหรือ?

                ไวโอเล็ตส่ายหัวเบา ๆ ไม่ค่ะ ไม่เคยมีใครบอกฉัน

                จู่ ๆ คำทำนายของฮอดกินส์ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของไวโอเล็ต และหลังจากนั้น เธอก็จะรู้ตัวว่าเธอน่ะถูกเผาไปแล้วมากขนาดไหน เธอจะรู้สึกตัวเมื่อเธอรู้สึกไฟกำลังลามเลียอยู่บนเท้าของเธอ และเธอก็จะรู้ว่ามีคนมากมายที่กำลังเทน้ำมันราดไปบนเปลวเพลิงนั่น มันอาจจะเป็นเรื่องง่ายที่จะมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของมัน แต่เมื่อถึงเวลาที่เธอร้องไห้ออกมาเธอก็จะรู้เอง

                จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่ดวงตาของเธอจะปิดลงและหลับไปชั่วนิรันดร์ เธอก็จะไม่มีวันรู้ถึงความรู้สึกที่ร่างกายของเธอกำลังถูกแผดเผาอยู่ เธอจะยังคงเป็นสัตว์ประหลาดอย่างที่เธอถูกกำหนดให้เป็น แต่ถึงจะเป็นสัตว์ประหลาด เป็นเครื่องมือ แต่ไวโอเล็ตก็ยังคงมีชีวิตอยู่เฉกเช่นมนุษย์คนหนึ่ง เธอมีชีวิตอยู่เช่นนี้นับตั้งแต่ที่เธอร้องไห้ในตอนที่เธอพาร่างของชายหนุ่มที่ได้ตายไปแล้วกลับไปยังบ้านเกิดของเขา – และก่อนหน้านั้น ถึงแม้ว่าเธอจะยังได้กลิ่นตัวเธอที่ถูกห่อหุ้มและแผดเผาด้วยเปลวไฟ เธอก็เลือกที่จะ มีชีวิตอยู่

                และเพราะแบบนั้นถึงเธอจะบอกว่าเธอไม่เห็นด้วย ฉันก็จะบอกว่าคิดว่าฉันสนหรือไง’”

                มันมีเหตุผลที่เธอเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เฉกเช่นมนุษย์เช่นนี้ เว้นแต่ว่าสิ่ง ๆ นั้นเป็นแสงสว่างเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ในชีวิตของหญิงสาวที่แสนชั่วร้าย

                คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ มันไม่ใช่แบบนั้นเลย...ขออภัยด้วยนะคะที่ฉันหยุดคุณไว้ ฉันแค่...มีบางอย่าง...ที่อยากถามเกี่ยวกับผู้พันเท่านั้นค่ะ

                ดีทฟริทค่อย ๆ คลายกำปั้นของเขา เลือดนั่นไหลอยู่ในหว่างข้อนิ้วขาว ๆ ของเขา เขาเละตุ้มเป๊ะไปแล้วล่ะตอนนี้ เพราะเธอนั่นล่ะ แล้วเขาทำไม?

                “ฉันควรทำยังไงคะ?

                “ฮะ?

                ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดนเอ่ยถามดีทฟริท โบเกนวิลเลีย ถึงฉันจะเป็น...เครื่องมือก็ตาม แต่ฉันปกป้องเขาไม่ได้ แต่เขา...ก็สั่งให้ฉันมีชีวิตอยู่ เพราะแบบนั้นฉันถึงมีชีวิตอยู่ ถ้ามีอะไร...ที่ฉัน...พอจะ...ช่วยคุณได้ ฉันอยากให้คุณบอกฉันค่ะ การที่ฉันมีชีวิตอยู่...จะเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? ฉันอยากให้คุณบอกฉันค่ะ การที่ฉันมีชีวิตอยู่...จะเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?...เพราะว่าฉันมีส่วนร่วมกับพวกเขา แค่เพราะมีส่วนร่วมกับพวกเขา ถึงฉัน...จะเป็นเครื่องมือของผู้พัน...แต่ฉันได้รับคำสั่งให้มีชีวิตอยู่...ฉัน...อยากส่งมันไปให้ถึงผู้พัน...

                เธอเคยเป็นสัตว์ประหลาดของเขา และเขาก็เคยเป็นผู้ที่เก็บเธอมา เป็นเกราะป้องกัน และเป็นเครื่องมือของเขา ความสัมพันธ์ของพวกเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว

                คิดว่าฉันรู้หรือไง!! เธอถามฉันทำไมกัน!?

                ถึงกระนั้น ผู้รับใช้ก็ยังคงเชื่อฟังคำสอนจากเจ้านายเก่าของเธอ

                เพราะว่าฉันเคย...เป็นเครื่องมือของคุณค่ะ

                สัตว์ประหลาดที่เขาเก็บมาจากเกาะที่โดดเดี่ยวได้โตขึ้นแล้ว ในตอนนี้มันสามารถพูดและเสียงของมันก็สั่นด้วยความกังวล

                ถ้าเธอเป็นแค่เครื่องมือก็อย่าทำอะไรตามใจชอบสิ!”

                เสียงของมันสั่นด้วยความกังวล และต้องการความช่วยเหลือ

                เพราะว่า...คุณ...เคยเป็น...เจ้านาย...ของฉันค่ะ

                ดีทฟริทรู้สึกเหมือนถูกควบคุมด้วยคำพูดของไวโอเล็ต

                ––เธอคิดว่าเขาเป็นเจ้านายของเธองั้นเหรอ?

                ดวงตาสีฟ้าของไวโอเล็ตโปร่งใสและสวยงาม และเพราะแบบนั้นมันจึงทำให้ดีทฟริทนึกถึงสิ่งที่เขาเคยทำกับเธอเมื่อก่อนราวกับกำลังส่องกระจก

                แล้วคิดว่าฉันจะสนใจเครื่องมือที่ฉันโยนทิ้งไปแล้วหรือไง! เธอเป็นสัตว์ประหลาด และก็เป็นความหายนะที่ทำลายชีวิตน้องชายของฉัน!”

                สิ่งที่คน ๆ หนึ่งทำกับผู้อื่นหวนกลับมาผ่านช่วงเวลา

                คุณดีทฟริท...ถ้าอย่างนั้น ทำไม...คุณถึง...ยกฉันให้ผู้พันล่ะคะ?

                ความเจ็บปวดและความอ่อนโยนย้อนกลับมาหาเขา สายตานั่นราวกับกำลังยิงเขาอยู่ สายตาแบบนั้นเหมือนกับตอนที่เธอมองมาที่ดีทฟริทในตอนที่พวกเขาแยกจากกัน เขาเคยถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้นและได้ตัดสินใจพาเธอมากับเขาด้วยจากเกาะที่แสนห่างไกลนั่น และทิ้งเธอไว้ให้น้องชายของเขาที่เป็นสมาชิกในครอบครัวคนเดียวที่เขายังติดต่อด้วย

                ทำไมเขาถึงยกเธอให้กิลเบิร์ตน่ะเหรอ?

                เธอเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ถึงอย่างนั้นดีทฟริทก็คิดว่าเธอมีประโยชน์เกินกว่าความสามารถของเขา เขาไม่ได้เชื่อว่าน้องชายของเขาจะใช้เธอได้อย่างดีในตอนที่เขายกเธอให้ ความจริงที่เขาควรจะเก็บเธอไว้และขายเธอวิ่งอยู่ในหัวของเขา และรู้สึกราวกับดีทฟริทได้สร้างปัญหาให้กิลเบิร์ต

                ในตอนนั้นดีทฟริทคิดอะไรอยู่นะถึงได้ทิ้งไวโอเล็ตไว้ให้กิลเบิร์ต? ในตอนนั้นไม่มีคนอื่นอีกแล้วนอกจากกิลเบิร์ตจริง ๆ น่ะหรือ? แล้วทหารเรือคนอื่นล่ะ? ในตอนนั้นเขาคงมีหลายทางเลือกมากกว่านี้ แต่เขาก็ยังให้เธอไปกับหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของเขา

                เธอเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ไหม?ดีทฟริทยื่นมือออกไปกำคอเสื้อของไวโอเล็ต

                เขาอยากจะต่อยเธอหรือ? เขาอยากจะฆ่าเธอหรือ? หรือต้องการจะสั่งสอนกันแน่?

                ถ้าเธอเข้าใจ ก็ไปตายซะ รับความโกรธและความเศร้าของฉันไปซะ แต่เธอ...คงจะไม่ตายใช่ไหมถึงฉันจะบอกให้เธอไปตาย?

                “ค่ะ

                ฉันก็จะไม่ตายเหมือนกัน และฉันก็ไม่อยากรู้...สิ่งที่เธอกำลังสับสนอยู่ด้วย ฉันทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าที่เธอทำเพื่อมีชีวิตอยู่เสียอีก แต่แล้วยังไงล่ะ? ฉันยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อฉันตายไป มันก็จะจบลง ถึงฉันจะเสียใจและรู้สึกทุกข์ทรมานมากขนาดไหนก็ตาม มีหลายครั้งที่ฉันเคยคิดว่าถ้าตายไปมันคงจะดีกว่า และในตอนนั้นฉันก็คิดจะตายจริง ๆ ด้วย เธอทำหน้าเหมือนกับเธอเป็นคนเดียวที่มีช่วงเวลาที่ยากลำบากงั้นแหละ ทุกคนต่างก็มีความยากลำบากกันทั้งนั้น คนที่เธอฆ่าก็คงจะไม่ตายถ้าพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉัน มันอาจจะเป็นความผิดของฉันก็ได้เพราะฉันเป็นหัวหน้าของพวกเขา ฉันปกป้องพวกเขาไม่ได้ในตอนที่ฉันเป็นผู้นำของพวกเขา แต่ รู้อะไรไหมยัยสัตว์ประหลาด...ถ้าเธอ...มีความรู้สึกผิดสักเล็กน้อยในสิ่งที่เธอทำไป และจะไม่ยอมตายไม่ว่าอะไรก็ตาม...ก็จงมีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะ จนกว่าเธอจะถูกใครสักคนฆ่าหรืออายุไขของเธอหมดลง ดีกว่าที่ต้องตายแบบ...

                เขาอยากจะต่อยเธอหรือ? เขาอยากจะฆ่าเธอหรือ? หรือว่าบางที...

                ...มันยากที่ต้องมีชีวิตอยู่

                บางที...

                มันยากที่ต้องมีชีวิตอยู่ก็จริง แต่ก็ลืมมันไปซะ และก็มีชีวิตอยู่ซะ คนที่ทำแบบนั้นไม่ได้ก็จะตายไปเองนั่นแหละ ถ้าเธอไม่อยากตายด้วยน้ำมือของเธอเอง ก็เลิกโทษว่าบาปของเธอเกิดจากคนอื่น และมีชีวิตอยู่ต่อไปซะ มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิตอยู่ต่อไปซะ... ทันใดนั้นดีทฟริทก็ปล่อยมือจากคอเสื้อของไวโอเล็ต แล้วค่อยตาย

                ไวโอเล็ตมองไปที่ดีทฟริทด้วยสายตาที่ไม่เหมือนตอนที่เธอมองไปที่กิลเบิร์ต แต่เป็นสายตาแบบที่ใครคนหนึ่งมองไปยังเจ้านายของเธอ คุณดีทฟริทคะ ผู้พัน...ตายแล้วจริง ๆ หรือคะ?

                เธออยาก...ให้ฉันพูดว่าอะไร?

                เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ไวโอเล็ตก็สูดลมหายใจอย่างฉับพลัน เธอเห็นอะไรบางอย่างที่ส่องประกายวาววับอยู่บนท้องฟ้า คุณคงจะไม่พูดว่า...ใช่เหมือนที่คนอื่น ๆ พูดใช่ไหมคะ? ฉันแค่อยากจะแน่ใจค่ะ ถ้าผู้พันตายแล้วจริง ๆ คุณคงจะ...ฆ่าฉันไปแล้ว

                ในสายตาของไวโอเล็ต ราวกับมีอะไรบางอย่างร่วงหล่นมาจากท้องฟ้าเหนือศีรษะของดีทฟริท เหมือนกับหิมะ หรือดอกไม้

                เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมคะ?

                จดหมายโบยบินร่วงหล่นลงมา สายลดที่พัดผ่านพวกเขาสองคนพัดอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงที่ดังกึกก้อง จดหมายเหล่านั้นร่วงหล่นลงมาราวกับพายุหิมะ

                เครื่องบินสีเหลืองบินพาดผ่านท้องฟ้า มันโปรยจดหมายที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายลงมาให้กับผู้คนที่อยู่ด้านล่าง ราวกับกำลังจะบอกว่า เลือกสักฉบับสิ จดหมายที่คุณเลือกจะเป็นกำลังใจให้กับโชคชะตาของคุณ

                ไวโอเล็ต!” โดยที่ไม่มีใครมองมา ใครคนหนึ่งตะโกนเรียกชื่อของไวโอเล็ตและอุ้มเธอขึ้นมาราวกับว่าเธอเป็นกระเป๋าใบหนึ่ง

                ร่างของดีทฟริทค่อย ๆ ถอยห่างไปเรื่อย ๆ เธอพยายามจะกระซิบเรียกชื่อของเขา แต่มันก็คงส่งไปไม่ถึง ครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเขาคือตอนที่เขาหมุนส้นเท้าของเขา เขาไม่ได้หันมองมาที่เธอเลยแม้แต่น้อย

                ไวโอเล็ตเรียกชื่อของคนที่ออกวิ่งหลังจากที่ลักพาตัวเธอหนีไป ท่านประธาน...ฮอดกินส์

                “ก้มหัวลง!”

                ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ ท่านประธานฮอดกินส์

                “ไม่เลยสักนิด! ทำไม...เธอถึงไปอยู่กับคนอันตรายแบบนั้นได้ล่ะ!?

                ไวโอเล็ตตรวจสอบจุดที่เธอเห็นวัตถุที่ส่องประกายที่เธอเห็นก่อนหน้านี้อีกครั้ง จากตรงนี้เธอไม่เห็นมันอีกแล้ว

                ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ ฉันรู้อยู่แล้วค่ะว่ามีสไนเปอร์กำลังเล็งไรเฟิลมาที่ฉันจากเนินเขานั่นค่ะ

                เธอพูดว่า สไนเปอร์ งั้นเหรอ...!?

                ไม่มีบอดี้การ์ดอยู่กับเขาค่ะ แต่ตอนที่ฉันเข้าไปใกล้เข้า ฉันรู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่างค่ะ คน ๆ นั้น...มักจะเดินไปไหนโดยมีบอดี้การ์ดอยู่ด้วยเสมอค่ะ...เพราะแบบนั้นฉันถึงรู้ในตอนที่ฉันไม่เห็นพวกเขา แต่พวกเขาแค่เฝ้าดูเท่านั้นค่ะ เขาไม่ได้ตั้งใจจะส่งสัญญาณไปให้พวกเขายิง เป็นอะไรหรือเปล่าคะท่านประธานฮอดกินส์?

                ความสงบเยือกเย็นของเธอมักจะน่าเชื่อถือ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เขาคงไม่อาจพูดแบบนั้นได้

                ฮอดกินส์ตอบด้วยความโมโหและหมดความอดทนผสมกับความโล่งใจ ฉันคิดว่าแคทลียาอาจจะร้องไห้ ฉันก็เลยรีบมาให้เร็วที่สุด...แล้วฉันก็ได้ยินว่าเธอหายไปเพื่อตามหาผู้ชายในเครื่องแบบทหาร...ฉันกลัวนะรู้ไหม อย่าไปเจอพี่ชายของกิลเบิร์ตอีกเด็ดขาดเลยนะไวโอเล็ตตัวน้อย ถึงคน ๆ นั้นจะมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับกิลเบิร์ต แต่พวกเขาน่ะเป็นคนละคนกันเลยนะ และถึงเขาจะเคยเป็นเจ้านายคนก่อนของเธอ เธอก็ไปเจอเขาไม่ได้ เขาเป็นคนที่น่ากลัวมาก และเขาก็...เกลียดเธอ ฉันประมาทเองแหละ...ต่อจากนี้ถึงจะเป็นงานเทศกาลเราก็จะไม่เข้าร่วมอีก ฉันคิดว่าเธอจะถูกลากกลับไปเป็นทหารแล้วซะอีก...ฉันจะพาเธอกลับบ้านเองวันนี้โอเคไหม?

                “ค่ะ

                “เขาได้พูดอะไรหรือเปล่า? เธอเป็นอะไรไหม?

                ไวโอเล็ตไม่ได้ตอบในทันที ฮอดกินส์ยังคงอุ้มเธออยู่ เธอยื่นมือออกไปบนท้องฟ้าและหยิบจดหมายฉบับหนึ่ง

                นี่ เขาได้พูดอะไรแปลก ๆ ไหม? ไวโอเล็ตตัวน้อย?

                เธอได้หยิบความรู้สึกของคน ๆ หนึ่งที่ต้องการส่งไปให้อีกคน

                เปล่าค่ะ เปล่า ไม่มีอะไร...ฉันแค่...ได้รับอะไรบางอย่างมาเท่านั้นเองค่ะ

                มีชีวิตอยู่ซะ

                อะไรเหรอ?

                โดยไม่ต้องโทษใครอีก มีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ต่อไปซะ

                กำลังใจค่ะ

                แล้วค่อยตาย

     



                ดีทฟริทเดินผ่านท่ามกลางจดหมายที่กระจัดกระจายไปทั่ว เขาพาตัวเองออกมาห่างไกลจากศูนย์กลางของพื้นที่ซ้อมรบที่ผู้คนกำลังบ้าคลั่งเรื่องจดหมายโบยบิน และเข้าไปยังหอควบคุมที่ห้ามไม่ให้ใครเข้านอกจากบุคลากร เขาพยักหน้าให้กับคนที่ใส่เครื่องแบบเหมือนกับเขา และคนที่ใส่เครื่องแบบของกองทัพบก

                ถ้าพี่ทำอะไรที่ไม่ดีล่ะก็ ลูกน้องของผมที่บินอยู่จะเห็นมันนะท่ามกลางคนเหล่านั้น มีชายคนหนึ่งพูดกับเขา พวกเขายังบินอยู่ชายที่พูดกับเขาชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากแขนกลของเขา

                เพิ่งผ่านมาไม่กี่ปีเองสินะ

                หน้าตาของเขาต่างจากที่ดีทฟริทเคยรู้จัก ตาข้างหนึ่งของเขาถูกปิดด้วยผ้าปิดตา และแผลเป็นที่ถูกปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ผมของเขาเป็นสีที่เหมือนกับท้องฟ้ายามพลบค่ำ และดวงตาสีเขียวมรกตของเขาเหมือนกับอัญมณีของจริง ใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยความเศร้ากลบเกลื่อนด้วยความเย็นชา ร่างสูงโปร่งของเขาสวมชุดเครื่องแบบสีม่วงเข้มของทหารบกของไลเดนชาฟต์ลิชที่เป็นประเทศแถบชายทะเลที่โด่งดังในเรื่องของทหาร เครื่องหมายทองคำที่ติดอยู่กับเสื้อคลุมของเขาบ่งบอกถึงยศของเขา และไม่ใช่สิ่งที่ทหารทั่วไปจะใส่ได้

                กิลเบิร์ตปัดมือของดีทฟริทที่วางอยู่บนไหล่ของเขาออก

                เย็นชาจังนะ เมื่อกี้ฉันเจอเครื่องมือของนายด้วย

                พวกเขาสองคนย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า เครื่องมือที่เขาพูดหมายถึงอะไร

                ฉันไม่ได้โกหกหรอกนะ เธอตามฉันมา แต่ดูเหมือนเธอจะเข้าใจผิดว่าฉันเป็นนาย ระวังหน่อยสิ นายแกล้งทำเป็นว่านายตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมนายต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากขนาดนั้นด้วยล่ะ...?

                พี่ชาย เรื่องของไวโอเล็ต...

                “ฉันไม่ได้บอกอะไรเธอทั้งนั้นดีทฟริทไม่ได้โกหก ดูเหมือนว่าเธอจะกำลังหลงทางตั้งแต่ที่นายหายไปน่ะนะ ฉันแค่บอกอะไรบางอย่างเธอไปในฐานะเจ้านายคนก่อนก็เท่านั้น มีชีวิตอยู่เท่าที่เธออยากอยู่แล้วค่อยตาย

                เนื่องจากว่าเขาไม่ได้ยืนยันอะไรกับเธอ ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดนจึงกลับบ้านไปด้วยความหวังว่าเธอจะได้รับการยืนยัน เขาไม่ได้ตั้งใจจะบอกความจริงเรื่องน้องชายของเขา

                มันเป็นคำขอของนายใช่ไหมล่ะ? มันอาจจะ...ไม่เหมือนกันสักเท่าไหร่ แต่ก่อนที่ฉันจะรู้สึกตัวก็มีคน ๆ หนึ่งพาเธอไปแล้ว เพราะว่าเขามีผมสีแดงที่เด่นมาก หมอนั่นคงเป็นเพื่อนสมัยเรียนโรงเรียนทหารของนายใช่ไหม? หมอนั่นคงคิดว่าฉันคงจะฆ่าเธอล่ะมั้ง ฮ่า ๆ ถ้าฉันฆ่าเธอได้ฉันคงทำไปแล้ว...นี่ กิล นายคงจะไม่บอกว่านายชอบยัยสัตว์ประหลาดนั่นหรอกใช่ไหม? นายดูแลเธออย่างดีจนเธอโตมาเป็นผู้หญิงที่สวยใช้ได้ก็จริง แต่นายก็รู้ว่าเธอเป็นยังไง เพราะงั้นหยุดความรู้สึกนั่นไว้ซะ

                “มันไม่ใช่เรื่องของพี่

                ใช่สิ นายสำคัญ นายเป็นน้องชายของฉัน

                นี่เป็นเรื่องของผมกับไวโอเล็ต มันไม่ใช่...เรื่องของคนอื่น คนที่ผลักภาระทุกอย่างให้ น้องชายคนสำคัญก็พี่เองไม่ใช่หรือ? ผมที่โดนพี่ทิ้งไว้ไง...ดวงตาสีมรกตของกิลเบิร์ตหยีลง เพราะท้องฟ้าสว่างมากเกินไปที่จะมองด้วยตาเปล่าจึงทำให้ตาของเขาเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ปิดมันไว้ ...มันเป็นเรื่องของผมที่ผมพนันทั้งชีวิตของผมเพื่อปกป้องอะไรบางอย่าง ผมพยายามเลื่อนตำแหน่งเพราะสิ่งนั้น ตอนนี้ เหตุผลที่ผมมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เพื่อศักดิ์ศรีและยศที่สูงส่งในกองทัพ หรือเพื่อล้างความผิดให้พี่ที่พี่ทำกับตระกูลโบเกนวิลเลียอีกแล้ว ผมทำเพื่อเธอ และถ้าพี่ทำอะไรเธอล่ะก็ ผมจะทำลายพี่ด้วยทุกสิ่งที่ผมมี นั่นคืออาวุธที่ผมมี และมันจะไม่เปลี่ยน ถึงศัตรูของผมจะเป็นพี่ก็ตาม

                การที่ได้เห็นน้องชายของเขาที่เขาไม่ได้เจอมาเสียนานเปลี่ยนไป ทำให้ดีทฟริทมองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับมันสุกสกาวเกินไป นาย...ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้วสินะเขากำหมัดและพยายามที่จะชกไปที่ไหล่ของกิลเบิร์ต

                กิลเบิร์ตรับหมัดนั่นไว้ เขาจับมือของอีกคนไว้แน่น ดีทฟริททนต่อแรงสั่นของมือเขาและจับมือของกิลเบิร์ตไว้ มันเหมือนกับตอนที่พวกเขาจับมือกันในวัยเด็กไม่มีผิด

                นี่ ถึงฉันจะเป็นพี่ที่ห่วยแตกสำหรับนาย แต่...ฉันรักนายนะ

                พี่ชายบอกความลับกับน้องชายของเขาด้วยเสียงที่แผ่วเบาเพื่อไม่ให้ใครได้ยิน

                ผมรู้

                พวกเขาเคยพูดแบบนี้ในบ้านของตระกูลโบเกนวิลเลียมาก่อน เพื่อไม่ให้ถูกดุ พวกเขาจึงกระซิบให้กันฟังแค่สองคนเท่านั้น

                นาย...เข้าใจจริง ๆ ใช่ไหม ถึงจะเป็นแบบนี้ แต่ฉันก็รักนาย...ด้วยทั้งหมดนี่ฉันมี ฉันรักนาย กิลเบิร์ต...ฉัน...แค่สงสัย...ว่าทำไมฉัน...ถึงถ่ายทอดความรู้สึกแบบนี้ให้กับคนที่ฉันรักไม่ได้เลย

                “ผมรู้ครับ พี่ชาย

     



                เมื่อตกค่ำ ผู้คนที่ออกมาจากงานนิทรรศการการบินก็ได้พึ่งแสงจันทร์และโคมไฟในห้องของพวกเขาเพื่ออ่านถ้อยคำที่ให้กำลังใจที่ได้ส่งให้พวกเขาโดยคนที่พวกเขาไม่รู้จัก จดหมายของพวกเขาสร้างแรงบันดาลใจให้ใครกันนะ? ในขณะที่พวกเขาคิดเช่นนั้น พวกเขาก็อ่านมันอย่างถี่ถ้วน มันอาจจะเป็นถ้อยคำที่ดีสำหรับคนบางคน และอาจจะไม่สำหรับคนบางคน ไม่ว่ายังไงก็ตาม ความใจดีที่ได้มอบให้กับพวกเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขนั่นก็ช่วยบรรเทาความเหงาในคืนที่แสนยาวนานและคลายความกังวลใจในเช้าวันถัดมาได้ และให้รางวัลกับพวกเขาด้วยความหวังเล็ก ๆ

                ไวโอเล็ตกำลังพยายามเปิดซองจดหมายที่เธอได้รับมาจากจดหมายโบยบินหลังจากกลับมาที่คฤหาสน์ของตระกูลเอเวอร์การ์เดน ในขณะที่ยืนอยู่คนเดียวข้างหน้าต่าง

                ค่ะ

                ทั้งหมดในจดหมายฉบับนั้นมีอยู่เพียงคำเดียวคือ สู้ ๆด้วยลายมือที่เหมือนกับลายมือของเด็กน้อย

     



                รุ่งอรุณได้ปลุกทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม

                รุ่งเช้าเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ของทั้งวันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มันก็ยังเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่พฤตกรรมของทุกคนจะถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจน สีของท้องฟ้า กลิ่นที่ลอยมาทางอากาศ ไม่ว่าพวกเขาจะกินอะไร ไม่ว่าพวกเขาจะนอนมากน้อยแค่ไหน – องค์ประกอบเล็กน้อยพวกนี้จะเป็นทางเลือกและตัวกำหนดโชคชะตาของพวกเขา ผู้คนจะยอมรับความเสียใจจากการตัดสินใจของพวกเขาโดยที่ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน แต่อย่างไรก็ตาม รุ่งอรุณได้ปลุกทุกคนอย่างเท่าเทียม แต่มันก็ถูกนำไปใช้กับสิ่งมีชีวิตเท่านั้น

                เมื่อสิ่งหนึ่งเริ่มขึ้น อีกสิ่งหนึ่งก็ต้องเดินหน้าต่อไปไปยังจุดจบของมัน









































    /

    ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ซับซ้อนมาก
    เชื่อว่าจริงๆดีทฟริทไม่ได้เกลียดไวโอเล็ต แต่ซึนเฉยๆ55555
    ส่วนกิลเบิร์ต เมื่อไหร่เอ็งจะกลับไปหาไวโอเล็ต














    S
    N
    A
    P
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×