คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : The Flying Letters and the Auto-Memories Doll (part two.)
/
The Flying
Letters and the Auto-Memories Doll
ลมส่งเสียงหวีดหวิวพัดผ่านตึกรามบ้านช่องและป่าไม้ในตัวเมือง
เสียงของลมที่พัดผ่านอย่างรุนแรงนั้นดูมีชีวิตชีวา พร้อมกับแสงของพระอาทิตย์ที่ส่องประกายลงมาอย่างงดงาม
และท้องฟ้าที่ปรอดโปร่งทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเป็นสุข
ในวันนี้
ลมพัดแรงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงช่วงเย็น กระแสลมที่รุนแรงนั่นราวกับมีมังกรกำลังกระพือปีกของมันและร่อนลงบนพื้นดิน
ไม่ว่ามังกรจะบินไปที่ไหน เสียงของใบไม้ เสียงของนก
และเสียงของแมลงก็จะขับร้องผสานกัน
เช่นเดียวกับที่ตั้งของฐานทัพอาการแห่งไลเดนชาฟต์ลิชที่ห้อมล้อมด้วยป่าก็กำลังกลายเป็นลานของลม
แขกที่เพิ่งมาถึงงานลงจากรถบรรทุกที่เวียนรับส่งตลอดทั้งวันเพื่อวันที่แสนพิเศษเช่นนี้
เมื่อรถว่างเปล่าอีกครั้ง มันก็ย้อนกลับไปที่เมืองเพื่อรับผู้โดยสาร
ผู้คนที่มาจากตัวเมืองเดินข้ามถนนที่เต็มไปด้วยป่าไม้ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของพวกเขาก็ดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อพวกเขามาถึงตัวงานที่เครื่องบินรบมากมายกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า
มันก็คือสถานที่จัดงานนิทรรศการการบินครั้งที่เจ็ดนั่นเอง
ท่ามกลางคนเหล่านั้นก็มีคนจากบริษัทซีเอชที่นำโดยคลอเดีย
ฮอดกินส์รวมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเสมียนหรือบุรุษไปรษณีย์
พวกเขาเดินมาด้วยสีหน้าที่ราวกับได้รับการปลดปล่อย
“ยิ้มหน่อยสิ ลักซ์ตัวน้อย”
ในขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกสนุกสนาน
มีเพียงแต่ลักซ์ที่ทำหน้าบูดอยู่คนเดียว
ประธานบริษัทที่ในตอนนี้อายุสามสิบปีพยายามคุยกับเธอเพื่อให้เธอยิ้ม
ลักซ์คงคิดว่าตัวเองยังเป็นเด็ก
เธอจึงระบายความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ออกมา “เปล่าค่ะ
ฉันไม่ได้อารมณ์ไม่ดีหรอกค่ะ ฉัน...มีบางสิ่งที่ฉันทำอะไรไม่ได้เลย
แต่ท่านประธานก็แก้ไขมันได้ด้วยประโยคเดียว...ฉันเพิ่งจะเข้าใจว่าโลกนี้เป็นยังไงเมื่อไม่นานมานี้เอง
และฉันก็เพิ่งจะเป็นผู้ใหญ่...โลกใบนี้มันช่าง...”
“มันแย่ขนาดนั้นเลยหรอที่สำนักงานรัฐเลื่อนเดดไลน์ออกไปน่ะ? แต่ลองคิดดูสิ
ถ้าไม่เลื่อนออกไป ทุกคนในบริษัทคงจะมาร่วมงานเทศกาลไม่ได้แน่
ฉันเองก็...อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อทุกคนบ้างน่ะเพราะว่าทุกคนทำงานได้ดีมาก
และพวกเขาก็อยากจะมาร่วมงานนี้ด้วย...”
“แต่พนักงานต้อนรับที่มาจากสำนักงานรัฐคนนั้นเป็นคนรักเก่าของคุณใช่ไหมคะท่านประธานฮอดกินส์?”
“อ่า...เธอเป็นแฟนเก่าฉันเหรอ?” เขาตอบอย่างไม่แน่ใจ
เพราะอันที่จริงแล้วคงไม่อาจนับว่าเธอเป็นคนรักของเขาได้
เพราะทั้งสองคนรู้จักกันเพียงแค่ร่างกายเปลือยเปล่าของกันและกันเท่านั้น
“พูดง่าย ๆ ก็เพราะว่าคุณมักจะมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นเพียงเพราะว่าความเห็นใจเท่านั้น
และปกติคุณก็ชอบมองข้ามมันด้วย…เพราะแบบนั้น
ถ้าฉันเป็นคนที่ขอให้คุณทำอะไรสักอย่างมันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร...เพราะแบบนั้น...”
ฮอดกินส์มองลักซ์ที่กำลังแสดงสีหน้าหลากหลายออกมาด้วยความกังวลในตอนแรก
แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามันน่าสนุกดีจึงหัวเราะออกมา
ความไร้เดียงสาของผู้หญิงคนนี้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับความสัมพันธ์ของผู้คนทั่วไปถึงแม้จะผ่านงานมามากมายแล้วก็ตามมันช่างน่ารักเหลือเกิน
“ลักซ์ตัวน้อย การที่เธอรู้สึกท้อใจเพราะอะไรแบบนี้น่ะไม่ดีเลยนะ
เธอเป็นเลขาของฉัน เพราะฉะนั้นนับจากนี้เธอจะต้องพยายามเรียนรู้วิธีสกปรก ๆ ของฉัน
คำสั่งของท่านประธานถือเป็น...?”
“ค-คำขาด”
เขาพยายามให้เธอเรียนรู้เรื่องอะไรกันนะ?
“เธอพูดเสียงค่อยไปนะ ไหนลองพูดอีกครั้งซิ คำสั่งของท่านประธานถือเป็น...?”
“ค-คำขาดค่ะ!”
ฮอดกินส์ลูบหัวของลักซ์ด้วยความพอใจ
“ลักซ์ตัวน้อยนี่น่ารักจังน้า ฉันจะทำให้เธอกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมของสังคมเอง”
เพราะเขาลูบหัวเธอราวกับลูบหัวสุนัขหรือแมวอะไรแบบนั้น พนักงานคนอื่นจึงเข้ามาจับมือของเขา
“ท่านประธานคะ เดี๋ยวสารวัตรทหารก็มาจับคุณหรอกค่ะ”
“ลักซ์ก็เหมือนกัน อย่าคิดจะทำตามคำสั่งของท่านประธานเชียวล่ะ
เธอเป็นความหวังของบริษัทเลยนะ เธอควรจะสู้กลับด้วยการชกท่านประธานคืนหรืออะไรแบบนั้นสิ”
“พวกคุณมีปัญหาอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย?”
เหล่าเสมียนหัวเราะ ลักซ์เองก็เช่นกัน
เมื่อฮอดกินส์เห็นพวกเขาเป็นแบบนั้นก็รู้สึกโล่งใจ
เพราะเขาคุยไม่เก่งกับผู้หญิงที่กำลังทุกข์ใจเลย
––ตอนนี้
มีผู้หญิงอีกคนที่ทำให้เขารู้สึกกังวลใจมากกว่า
หลังจากให้เงินจำนวนหนึ่งกับลักซ์เพื่อให้เธอได้ซื้อของให้ทุกคน
ฮอดกินส์ก็ออกไปตามหาไวโอเล็ตและแคทลียา
ลูกจ้างบางคนบอกเขาว่าถ้าเดินไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เจอพวกเธอเองแหละ แต่เพราะคนที่เข้าร่วมงานจดหมายโบยบินนั้นมีจำนวนมากกว่าคนที่เข้าร่วมงานในครั้งที่ผ่านมาถึงสองเท่าและทำลายทุกสถิติเลยด้วย
ที่ตั้งฐานทัพอากาศจึงใหญ่มากกว่าเดิม
ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามหาพวกเธอเจอ
––เขาพยายามทำให้พวกเธอสองคนสนิทกัน
แต่ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า
ไม่เหมือนกับไวโอเล็ตและลักซ์
ทั้งสองคนเข้ากันได้และเริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ขนาดฮอดกินส์กับกิลเบิร์ตยังเป็นเพื่อนกันได้
เขาจึงอยากพนันว่าสองคนนั้นจะกลายเป็นเพื่อนกันได้หรือเปล่า
เขาไม่ได้ติดต่อกับกิลเบิร์ตมาสักพักแล้ว และเขาก็พยายามไม่คิดถึงเรื่องนั้นด้วย
เขาเดินไปข้างหน้าโดยมีจุดหมายที่แน่นอน
ฮอดกินส์มุ่งตรงไปยังสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของงาน
ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วเหมือนกันที่แคทลียาออกไปจากบริษัท
พวกเธอคงจะมีช่วงเวลาดี ๆ ในการชมการแสดงและซุ้มต่าง ๆ อย่างแน่นอน
เขาเพิ่งจะรู้สึกตัวในตอนนั้นว่าดีเหมือนกันนะที่เขาเกิดมาตัวสูง
ใช้เวลาไม่นานเขาก็หาแคทลียาเจอ
ไม่มีทางเลยที่ผู้หญิงที่สวยจนน่าทึ่งที่ดูหยิ่งยโสคนนี้จะหาได้ยาก
แคทลียานั่งอยู่บนม้านั่งตัวคนเดียว
และดูท่าทางเหงาหงอย
“ถ้างั้นฉันพนันผิดอย่างนั้นเหรอเนี่ย?”
ในขณะที่เขาพยายามเรียกเธอ ผู้ชายคนหนึ่งก็เข้ามาคุยกับแคทลียาเสียก่อน
เขาจับแขนของเธอไว้เพราะเธอไม่สนใจเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เขาคงจะพยายามชวนเธอให้ไปเดินงานเทศกาลด้วยกัน
“แย่ล่ะสิ...”
ฮอดกินส์ไม่ได้เป็นห่วงแคทลียาแต่อย่างใด เขาเดินฝ่าฝูงชนด้วยความรวดเร็ว
“อย่ามาจับตัวฉันแบบนี้นะ!”
เมื่อเขาได้ยินเสียงแหลม ๆ ของเธอเขาก็รีบแทรกตัวผ่านทุกคนอย่างรีบร้อน
แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว แคทลียาลุกขึ้นและบิดแขนของเธอที่ถูกจับอย่างรวดเร็ว
จากนั้นจึงขยำเสื้อบริเวณอกของชายคนนั้นและใช้เข่ากระแทกที่เป้าของเขา
มันคงเป็นความเจ็บปวดที่สุดแสนจะบรรยาย
ชายคนนั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นและคงขยับตัวไม่ได้อีกเลย
ในขณะที่แคทลียาตั้งใจจะทำร้ายเขามากกว่านี้
ฮอดกินส์ก็หยุดเธอด้วยการตะโกน “แคทลียา มานี่!”
“ท่านประธาน!” เธอโบกมือให้เขาและดูมีความสุข
ก่อนจะวิ่งมาหาเขา
ฮอดกินส์โบกมือกลับและหัวเราะแห้ง ๆ
แคทลียากระโดดกอดเขา
ถึงแม้ว่าจะมีสายตาเหยียด ๆ มองมาที่พวกเขา
แต่เขาก็เห็นความสำคัญกับจิตใจของแคทลียามากกว่า
เขากอดตอบเธอเบา ๆ หนึ่งครั้งจากนั้นจึงถอยออกมา
และได้รับรอยยิ้มกว้างกลับมาเมื่อเขาถามเธอว่าเป็นอะไรไหม
“ฉันมาไม่ทันสินะ...”
“ท่านประธานพยายามจะช่วยฉันหรือคะ? ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ
แต่...ถ้าฉันทำตัวอ่อนแอในสถานการณ์แบบนั้น คุณก็คงจะพยายามช่วยฉันสินะคะ
ฉันน่าจะรออีกสักหน่อยดีกว่า”
“ไม่ใช่แบบนั้น เอ่อ ถูกแล้วล่ะ” เขาไม่ได้ยอมรับออกไปว่าจริง ๆ แล้วเขาพยายามจะช่วยผู้ชายคนนั้นต่างหาก
“แต่แคทลียา...ฉันเคยบอกเธอไปแล้วนะว่าเธอควรจะแก้ปัญหาเรื่องแบบนี้ด้วยความใจเย็นน่ะ...”
“แต่ฉันไม่ได้ใช้กำปั้นเลยนะคะ
ฉันคิดว่าคนที่เคยเป็นนักสู้ศิลปะป้องกันตัวอย่างฉันไม่ควรจะทำแบบนั้นกับคนธรรมดาทั่วไปฉันก็เลยใช้ขาแทนค่ะ
เพราะว่าขาฉันไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น ชมฉันสิคะท่านประธาน”
หญิงสาวที่มีนามว่าแคทลียา
โบเดอแลร์เป็นผู้หญิงสวยเสียจนเพียงแค่ปรายตามองก็คงได้ผู้ชายมาเป็นกอบเป็นกำ
แต่จิตใจของเธอนั้นเป็นแค่ลูกสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น เธอช่างไร้เดียงสาและใสซื่อ
และยังเป็นคนที่หัวรุนแรงคนหนึ่งอีกด้วย อาจเพราะว่าเธอไม่ได้คิดร้ายอะไร เธอจึงมั่นใจในความแข็งแรงของร่างกายตัวเองและแก้ไขปัญหาทุกอย่างด้วยการใช้กำลัง
“มันเป็นเรื่องดีก็จริงที่เธอไม่ปล่อยให้ตัวเองโดนคนแปลกหน้าจับตัวแบบนั้น
แต่ถ้าป้องกันตัวมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกนะ เพราะงั้นอย่าลืมเรื่องนี้ล่ะ
ไปจากตรงนี้กันเถอะ คนมองใหญ่แล้ว”
“ชมฉันหน่อยสิคะะะ...อ่า เอ่อ... แต่ว่า...”
ชายคนนั้นที่นอนอยู่บนพื้นพยายามคลานออกไปจากตรงนั้นระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่
หลังจากหันไปดูเขาแวบหนึ่งแคทลียาก็หันกลับมาหาฮอดกินส์
“ฉันต้องรออยู่ที่นี่คะ ไวโอเล็ตหายไปไหนก็ไม่รู้ แต่เธอบอกว่าเธอจะกลับมาค่ะ
ถ้าฉันไปเราก็จะหากันไม่เจอ”
“’หายไปไหนก็ไม่รู้’...เธอไม่รู้เหรอว่าเธอไปไหน?”
“ค่ะ ฉันคิดว่าเธอคงจะ...ไล่ตามใครสักคนที่เธอเรียกเขาว่า ‘ผู้พัน’ น่ะค่ะ”
ฮอดกินส์เงียบไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของแคทลียา
เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจ เขาจับที่ไหล่ของเธอด้วยความกังวลและมือที่สั่นเทา “ผู้ชายที่มีผมสีดำและใส่เครื่องแบบทหารหรือเปล่า!?” ช่างหายากยิ่งที่จะเห็นเขาพูดเสียงดังแบบนี้
บางทีอาจเป็นเพราะความกังวลของเขาถูกส่งผ่านไปยังแคทลียา
เธอจึงเริ่มตัวสั่นเหมือนกัน “ฉ-ฉันไม่รู้ค่ะ
ฉันไม่เห็นเขา แต่ไวโอเล็ตบอกว่าเมื่อก่อนเขาเคยเป็นผู้ใช้เธอ”
“เธอไปทางไหน!?”
เพราะถูกบังคับให้บอกด้วยท่าทางที่คล้ายกับกำลังขู่
แคทลียาจึงชี้ไปทางฝูงชนด้วยนิ้วที่สั่นเทาอย่างอ่อนแรง “ท-ทางนั้นค่ะ...แต่เธอหายไปสักพักแล้วนะคะ”
“ฉันจะไปตามเธอ ฉันจะพาเธอกลับมาเอง โทษทีนะแคทลียา
แต่ทุกคนจากบริษัทกำลังไปที่จัดงานจดหมายโบยบินอยู่ เธอไปพบพวกเขาที่นั่นแล้วกันนะ”
“ห-หา ฉันต้องไปเองอีกแล้วหรอคะ?”
“เธอเก่งอยู่แล้ว เพราะงั้นเธอไปเองได้อยู่แล้วล่ะโอเคไหม?! แล้วก็อย่าทะเลาะกับใครอีกล่ะถ้ามีคนมาจับตัวเธอน่ะ!”
“ท่านประธาน!” แคทลียาไล่ตามฮอดกินส์ราวกับพยายามเกาะติดเขา
แต่ก็ยอมแพ้เมื่อไปได้ครึ่งทางเพราะรู้สึกเหนื่อย
เธอถอนหายใจเมื่อเห็นแผ่นหลังของใครบางคนที่หายไปเป็นครั้งที่สองของวัน
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะเธอไม่สามารถขัดขวางฮอดกินส์ที่ดูแลไวโอเล็ตราวกับพ่อแม่บุญธรรมได้
แคทลียาจึงเริ่มเดินไปด้วยท่าทางอ่อนล้า
ในขณะที่คิดว่ามันคงจะดีถ้ามีคนมาไล่ตามเธอแบบนี้บ้าง
และนั่นจึงทำให้เธอรู้สึกเหงาอีกครั้ง
––วันนี้เป็นวันที่ดีหรือแย่กันแน่เนี่ย?
เธอคิดแบบนั้น
เรื่องดีคือวันนี้เธอสามารถคุยกับไวโอเล็ตได้มากขึ้น
แต่มันก็ถูกหักล้างด้วยเรื่องที่เธอทิ้งแคทลียาไว้
ส่วนอีกเรื่องคือเธอกำลังจะไปเจอคนในบริษัทและเธอจะไม่เหงาอีกต่อไป
แต่มันก็ถูกหักล้างด้วยเรื่องที่ฮอดกินส์เห็นไวโอเล็ตสำคัญกว่าเช่นกัน
หลังจากที่ประเมินความรู้สึกที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ของเธอ เธอก็สรุปได้ว่ามันเป็นวันที่แย่
เหตุผลที่เธอไม่ชอบอยู่ตัวคนเดียวคือเธอคิดว่ามันทำให้เธอไม่มีเสน่ห์
ผู้คนที่ห้อมล้อมด้วยผู้คนมากมายมักจะมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
ฮอดกินส์เองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น
แคทลียาเองก็สนใจเขาเหมือนกับที่ผีเสื้อที่อยากกินน้ำผึ้งไม่มีผิด
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้ว่าเธอไม่มีวันเป็นแบบเขาได้
เธอกัดริมฝีปากเบา ๆ
เธอรู้สึกหัวใจของเธอกำลังเหี่ยวแห้ง
จุดเริ่มต้นของเดือนมันควรจะเป็นอะไรที่แสนวิเศษสิ
ส่วนหนึ่งในจิตใจของเธอเฝ้ามองหามันเพราะเดือนที่แล้วมันเป็นเดือนที่แสนหดหู่เป็นอย่างมาก
“เฮ้ ยัยโง่ เธอมาคนเดียวหรอ?”
มันช่างน่าหดหู่
แต่ว่า...
“เบเนดิกต์...”
...น้ำตาของเธอเอ่อล้นเมื่อเธอได้ยินประโยคที่กำลังเยาะเย้ยเธอจากด้านหลัง
ในระหว่างนั้น
ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน
ผู้ที่เป็นศูนย์กลางของความวังวนนั่นกำลังเผชิญหน้ากับชายคนหนึ่ง
พวกเขายืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นพลัมที่อยู่ล้อมรอบพื้นที่สนามรบและห่างไกลจากผู้คน
พวกเขาเหมือนคู่รักไม่มีผิด มันคงจะไม่เหมือนถ้าพวกเขาถูกสังเกตได้อย่างง่ายดาย
แต่ด้วยระยะห่างขนาดนี้จึงเหมือนว่าพวกเขากำลังออกเดทกันอย่างลับ ๆ
“ผ่านมานานแล้วสินะ”
ผมสีดำ ดวงตาสีเขียว ชายคนนั้นมองไปที่ไวโอเล็ตด้วยดวงตาสีเขียวที่ฉายแววรำคาญใจ
เธอพลาดสายตาจากเขาหลายครั้ง แต่แล้วในที่สุดเธอก็จับแขนของเขาและหยุดเขาไว้ได้ทัน
เขาจึงมีสีหน้าที่บูดบึ้งเช่นนี้
“รอเดี๋ยวค่ะ”
ไวโอเล็ตกระชากแขนของเขาลวก ๆ จึงทำให้ชายหนุ่มหันมามองเธอ
บางทีอาจเป็นเพราะเธอโตขึ้นและรูปร่างของเธอต่างจากครั้งสุดท้ายที่เขาเห็น
ชายหนุ่มจึงชะงักไปเล็กน้อย
และเมื่อเขารู้ว่าเธอเป็นใคร
เขาจึงเดาะลิ้นอย่างไม่ละอายใจและผลักเธอออก “อย่ามาแตะฉัน”
เขาเหมือนกับคนที่ไวโอเล็ตตามหามาก
แต่ก็ต่างกันอยู่เล็กน้อย เขามองเธอด้วยสายตารังเกียจเมื่อเธอไม่ยอมขยับแม้แต่นิดเดียวหลังจากที่ถูกผลักออกไปแบบนั้น
แน่นอนว่าร่างกายของเธอต้องได้รับผลกระทบบ้าง
“คุณอาจจะจำฉันไม่ได้ แต่...”
“ฉันจำได้ ไม่มีทางที่ฉันจะลืมอาวุธสังหารที่ฆ่าลูกน้องของฉันไปได้หรอก”
เขาคือดีทฟริท โบเกนวิลเลีย พี่ชายของกิลเบิร์ต
ไวโอเล็ตกะพริบตาอย่างเชื่องช้าเมื่อได้ยินคำพูดแทงใจนั่น
ดีทฟริทไม่เหมือนกับเอ็ดเวิร์ด โจนส์ ชายที่เธอพบเจอมาก่อนหน้านี้
แต่สิ่งที่มีความคล้ายกันเป็นอย่างมากคือเขาพยายามจะเปิดโปงอดีตของเธอ
“ค่ะ” แต่ไวโอเล็ตก็ตอบกลับไปโดยรับทราบดี
“เธอจะทำอะไรน่ะ...? คนอย่างเธอควรจะถูกจับตามองด้วยซ้ำ
เกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายของเธอ?”
ดีทฟริทใส่เครื่องแบบคอปกสูงของทหารเรือ
บางทีที่เขาแวะมาที่นี่อาจเป็นเพราะเรื่องงานของเขา
ไวโอเล็ตตอบคำถามนั้นไม่ได้เลย
และนั่นจึงทำให้ดีทฟริทเดาะลิ้นและพูดเสริม “ฉันไม่ได้หมายถึงกิลเบิร์ต
เมื่อไม่นานมานี้เธอถูกเพื่อนของเขารับไปดูแลแล้วก็ใช้งานไม่ใช่เหรอ? รีบกลับไปหาเขาซะ
อย่ามายุ่งกับฉัน” เขาทำท่าทางราวกับกำลังไล่สุนัข
“คุณรู้ด้วยหรือคะ?”
การที่ไวโอเล็ตพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพเช่นนั้นทำให้ดีทฟริทรู้สึกสับสน
ในตอนที่เขาพบเธอ
เธอเหมือนกับสัตว์ประหลาดที่มีปัญญาน้อยนิดเสียจนไม่สามารถพูดได้ด้วยซ้ำ
“อย่ามาแกล้งไขสือไปหน่อยเลย”
เขาจ้องมองเธอราวกับว่าหน้าตาที่สวยงามของเธอและร่างกายที่เติบโตขึ้นทำให้เขากลัวยิ่งกว่าเดิม
“เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของพี่น้องฉัน และก็เป็นเรื่องที่ผิดพลาดด้วย
แน่นอนว่าเรากำลังพูดถึงน้องชายของฉันอยู่ ทีนี้มาได้แล้ว
เห็นเธออยู่ท่ามกลางผู้คนแบบนี้แล้วฉันรู้สึกไม่ดีเลย” ดิทฟลีทแสดงท่าทีฉุนเฉียว
เขาดึงแขนของไวโอเล็ตอย่างแรงด้วยความโกรธ
แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดออกมาจากแขนของเธอ
เขาจึงปล่อยด้วยความประหลาดใจ และมองไปที่แขนก่อนจะมองไปที่หน้าของไวโอเล็ต
พวกเขาทั้งสองคนมีท่าทางตึงเครียด เหมือนกับการที่สัตว์กินเนื้อเจอกับสัตว์กินพืชในทุ่งหญ้า ใครที่ขยับตัวก่อนคนนั้นก็จะเป็นฝ่ายแพ้
“ฉันไม่ได้พก...อาวุธแล้วค่ะ ฉันจะไม่ฆ่าใครอีกแล้ว ฉันถูกสั่ง...ไม่ให้ฆ่าใครอีก
และฉันก็จะไม่ทำด้วย...ถึงจะได้รับคำสั่งก็ตาม” ไวโอเล็ตผายมือทั้งสองข้างเพื่อย้ำว่าเธอไม่ได้พกอาวุธ
“อย่างกับฉันจะเชื่อเธองั้นแหละ อย่างนั้นหรอกเหรอ? เธอ...เป็นเครื่องมือที่ไม่อยากได้อะไรเลยนอกจากคำสั่งไม่ใช่เหรอ?
ฉันปล่อยเธอไปแล้วก็จริง แต่ถ้าฉันสั่งให้เธอทำอะไรสักอย่าง เธอก็จะไม่ทำงั้นเหรอ?
นี่ เมื่อก่อนน่ะเธอก็เคยรับคำสั่งจากฉันไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันจะไม่ทำแล้วค่ะ”
ดีทฟริททำมือเป็นรูปปืนและจิ้มลงบนอกของไวโอเล็ต
นิ้วของเขาจิ้มผ่านรอยแยกของเสื้อเบา ๆ ดูเหมือนการป้องตัวของเธอจะตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่สัมผัสได้จากนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่ม
ถ้าเป็นเธอคนก่อนคงจะตอบโต้ทันที แต่ในตอนนี้เธอไม่แม้แต่จะขยับ
“ฆ่าตัวตายซะ”
ลมหายใจของไวโอเล็ตหยุดชะงัก มันหยุดหนึ่ง สอง
และสามวินาทีด้วยกันก่อนที่เธอจะหายใจได้อีกครั้ง ใบหน้าของเธอยังคงซีด ถึงแม้ว่าหัวใจของเธอจะแทบหยุดเต้นเมื่อได้ยินคำสั่งของชายหนุ่มที่ทำให้เธอหวนนึกถึงเค้าลาง ๆ ของคนที่เธอให้ความเคารพและรักมากก็ตาม
ไวโอเล็ตเอ่ยตอบ
“ฉันจะไม่ทำค่ะ ฉันได้รับคำสั่ง...ให้มีชีวิตอยู่ค่ะ”
คำตอบที่เธอตอบด้วยความพยายามอย่างเต็มที่นั่นปะปนไปด้วยความเศร้า
“จริงเหรอ? แย่ล่ะสิ
ฉันเองก็เคยคิดเรื่องนี้...ตอนที่ให้เธอกับกิลมาก่อน...เขาสั่งเธอไม่ให้ตายหรืออะไรแบบนั้นใช่ไหม...?
แย่จริง ๆ เลยนะ เขาช่างอ่อนไหวเหลือเกิน
มันคงจะดีกว่าถ้าเธอตายตอนที่ถูกกิลเบิร์ตใช้
แต่เธอก็ยังมีชีวิตอยู่และก็แข็งแรงดีด้วย จนถึงตอนนี้...ฉันยังต้องไปเยี่ยมครอบครัวคนที่เธอฆ่าพวกเขาและก็ยังต้องให้เงินพวกเขาอยู่เลย”
ดวงตาสีฟ้าของไวโอเล็ตสั่นระริก
ปลายนิ้วที่ดึงออกมาจากตัวเธอนั้นไม่ได้เปราะเปื้อนไปด้วยเลือด
แต่คำพูดนั้นนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสราวกับว่าร่างกายของเธอถูกทำร้ายก็ไม่ปาน
“ถ้า...มีอะไร...ที่ฉัน...ช่วยได้––”
“ฉันไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น!! ไม่ใช่จากเธอ!”
เมื่อเขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแบบนั้นจึงทำให้คนอื่นหันมามอง
เหมือนกับชายหนุ่มในเครื่องแบบทหารกำลังข่มขู่หญิงสาวไม่มีผิด
“เธอไปซะ ไปจากตรงนี้ซะ”
“ฉันยัง...มีคำถามค่ะ”
ดีทฟริทถอนหายใจอย่างแรง
เขาปัดผมหน้าของเขาและทำหน้าบึ้งใส่ไวโอเล็ตราวกับว่าเขาเกลียดเธอจริง ๆ
และจากนั้นเขาจึงจับแขนเทียมของเธอที่เขาเคยปล่อยมัน “ถ้าอย่างนั้นมากับฉันและก็อย่าทำท่าทางแปลก ๆ
เราจะไปที่อื่น”
ไวโอเล็ตเข้าไปใกล้ดิทฟริทเท่าที่เธอเข้าใกล้ได้
แขกทุกคนที่อยู่ใกล้ ๆ จึงคิดว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่คู่รักที่กำลังทะเลาะกันเท่านั้น
พวกเขาเดินไปอย่างเงียบ ๆ
ดิทฟริทคิดว่าการที่เขาพาผู้หญิงไปเช่นนี้แย่พอ ๆ กับที่เขาพูดไม่ดีกับไวโอเล็ตเลย
ไม่ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นจะทำไปโดยไม่ตั้งใจหรือตั้งใจก็ตามก็ไม่สามารถคาดเดาได้จากสีหน้าของเขา
แต่เพราะเขาใส่เครื่องแบบของทหารเรือจึงอาจเรียกได้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
เพราะการเดินเช่นนั้นเหมือนกับการที่เธอได้รับการปกป้องจากผู้ใหญ่ไม่มีผิด
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ไวโอเล็ตถูกใครบางคนจูงมือไปในขณะที่เดินผ่านผู้คนที่กำลังหัวเราะด้วยความสนุกสนานเช่นนี้
แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่งในชีวิตของเธอ
สถานการณ์ในตอนนี้ต่างจากครั้งก่อน ไม่ว่าจะคนที่กำลังจูงมือเธอ ระดับสายตาของเขาที่มองมาที่เธอ ทุก ๆ อย่าง
อดีตทหารหญิงยกมือขึ้นจับเข็มกลัดมรกตของเธอโดยอัตโนมัติ
บางทีความเป็นเด็กของเธออาจจะยังคงอยู่
และความเป็นผู้ใหญ่ของออโต้เมมโมรี่ดอลล์กำลังหวั่นวิตก
เมื่อคนรอบตัวน้อยลงแล้ว
ดีทฟริทก็ปล่อยแขนเธอราวกับอยากจะโยนเธอทิ้ง
“เธอมีธุระอะไรกับฉัน? ถ้าเป็นเรื่องที่เธอไม่พอใจฉัน ฉันจะไม่ฟัง”
“ฉันไม่ได้...ไม่พอใจคุณค่ะ”
ดีทฟริทพ่นลมออกทางจมูก
“ฉันก็เคยคิดเรื่องนั้น ฉันได้รับคำชมและก็ความไม่พอใจมาเยอะ
ฉันมีบุคลิกแบบนี้อยู่แล้ว และบางครั้งฉันก็รู้สึกว่าการที่ฉันเป็นแบบนี้จะไปจุดชนวนอะไรสักอย่างด้วย”
“ฉันจะไม่ทำค่ะ ฉันจะไม่...ทำแบบนั้นกับคุณค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบจากไวโอเล็ต ดวงตาสีเขียวของเขาก็แสดงความตึงเครียดออกมาอย่างอธิบายไม่ถูก
ความโกรธที่ไม่เหมือนกับความโกรธที่เต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามโดยปกติฉายแววอยู่ในดวงตาของเขา
เมื่อดีทฟริทเข้ามาใกล้เธอ
เธอจึงถอยห่างออกไปไม่กี่ก้าวราวกับกลัวว่าเขาจะกระแทกเธอจนหลังของเธอชนกับต้นไม้ใหญ่
แต่ในขณะที่เธอจ้องมองเขาโดยไม่คิดจะละสายตานั้น
เขาก็ส่งกำปั้นออกมาเฉียดใบหน้าของเธอ เธอไม่ได้ถูกต่อย
แต่มันทำให้เศษของเปลือกไม้ข่วนหน้าของเธอ เธอไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่เสียเลือด
เพราะถ้ามองจากหางตาแล้ว เธอก็มั่นใจว่ากำปั้นของดีทฟลิทก็มีเลือดออกเหมือนกัน
“เธอจำได้ไหม...? ตอนที่เธอยังเด็ก ฉันเคยต่อยเธอและก็เตะเธอ”
“ค่ะ”
“เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันไม่รู้สึกว่าเธอตั้งใจจะฆ่าฉัน
ฉันก็จะทำร้ายเธอรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตอนที่ฉันอยู่กับเธอ
ฉันก็เป็นสัตว์ประหลาดเหมือนกัน...เธอทำให้ฉันเป็นแบบนี้”
“ฉัน...หรือคะ...?”
“ใช่ มันเป็นความผิดของเธอ แม้แต่ตอนนี้ฉันก็เป็นแบบนั้น
การที่ฉันอยู่กับเธอและได้คุยกับเธอมันทำให้ฉันโกรธ ใจของฉันไม่เคยสงบได้เลย
เธอทำให้ฉันเป็นแบบนั้น เธอฆ่าเพื่อนของฉัน ฉันฝันถึงเรื่องนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ถึงฉันจะเกลียดเธอ ฉันก็ไม่ได้เหม็นขี้หน้าเธอ ไม่สิ มันอาจเป็นเพราะว่าฉันเกลียดเธอมากจนฉันทนไม่ไหว
แต่ฉันก็ไม่รู้สึกแบบนั้น มันคงจะใกล้กับคำว่ายอมแพ้กระมัง
ฉันคิดว่าตัวฉันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับความจริงว่าสิ่งของที่บกพร่องอย่างเธอมีอยู่บนโลกนี้...เธอคิดออกไหมว่าทำไม?”
ดีทฟริทชกต้นไม้ด้วยกำปั้นอีกข้าง
ไวโอเล็ตไม่ได้หันหน้าหนี
เธอยังคงมองไปที่เขาด้วยดวงตาสีฟ้าของเธอ บางทีอาจเป็นเพราะดวงตาของเธอมันเป็นสีฟ้าและโปร่งใสมากเกินไป
ดีทฟริทจึงรู้สึกว่ามันกำลังเปิดเผยความรู้สึกต่อเขา
“หนึ่งในลูกน้องของฉันที่เธอฆ่าพยายามจะข่มขืนเธอ เพราะแบบนั้นเธอถึงฆ่าเขา
ทุกอย่าง ทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างมันวนเวียนอยู่อย่างนั้น! มันเป็นเพราะมันวนเวียนอยู่อย่างนั้น...!
เพราะแบบนั้นฉันถึงรู้สึกไม่รู้สึกแค้นใจยังไงล่ะ” ดีทฟริทเอ่ย
“ทุกอย่าง...ที่ฉันทำ...และก็สิ่งที่คุณทำกับฉันหรือคะ...?”
“ใช่ ไม่เคยมีใครบอกเธอหรือ?”
ไวโอเล็ตส่ายหัวเบา ๆ “ไม่ค่ะ ไม่เคยมีใครบอกฉัน”
จู่ ๆ คำทำนายของฮอดกินส์ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของไวโอเล็ต “และหลังจากนั้น เธอก็จะรู้ตัวว่าเธอน่ะถูกเผาไปแล้วมากขนาดไหน เธอจะรู้สึกตัวเมื่อเธอรู้สึกไฟกำลังลามเลียอยู่บนเท้าของเธอ
และเธอก็จะรู้ว่ามีคนมากมายที่กำลังเทน้ำมันราดไปบนเปลวเพลิงนั่น
มันอาจจะเป็นเรื่องง่ายที่จะมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของมัน
แต่เมื่อถึงเวลาที่เธอร้องไห้ออกมาเธอก็จะรู้เอง”
จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่ดวงตาของเธอจะปิดลงและหลับไปชั่วนิรันดร์
เธอก็จะไม่มีวันรู้ถึงความรู้สึกที่ร่างกายของเธอกำลังถูกแผดเผาอยู่
เธอจะยังคงเป็นสัตว์ประหลาดอย่างที่เธอถูกกำหนดให้เป็น แต่ถึงจะเป็นสัตว์ประหลาด เป็นเครื่องมือ แต่ไวโอเล็ตก็ยังคงมีชีวิตอยู่เฉกเช่นมนุษย์คนหนึ่ง
เธอมีชีวิตอยู่เช่นนี้นับตั้งแต่ที่เธอร้องไห้ในตอนที่เธอพาร่างของชายหนุ่มที่ได้ตายไปแล้วกลับไปยังบ้านเกิดของเขา
– และก่อนหน้านั้น ถึงแม้ว่าเธอจะยังได้กลิ่นตัวเธอที่ถูกห่อหุ้มและแผดเผาด้วยเปลวไฟ
เธอก็เลือกที่จะ ‘มีชีวิตอยู่’
“และเพราะแบบนั้นถึงเธอจะบอกว่าเธอไม่เห็นด้วย ฉันก็จะบอกว่า ‘คิดว่าฉันสนหรือไง’”
มันมีเหตุผลที่เธอเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เฉกเช่นมนุษย์เช่นนี้
เว้นแต่ว่าสิ่ง ๆ นั้นเป็นแสงสว่างเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ในชีวิตของหญิงสาวที่แสนชั่วร้าย
“คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ
มันไม่ใช่แบบนั้นเลย...ขออภัยด้วยนะคะที่ฉันหยุดคุณไว้
ฉันแค่...มีบางอย่าง...ที่อยากถามเกี่ยวกับผู้พันเท่านั้นค่ะ”
ดีทฟริทค่อย ๆ คลายกำปั้นของเขา
เลือดนั่นไหลอยู่ในหว่างข้อนิ้วขาว ๆ ของเขา “เขาเละตุ้มเป๊ะไปแล้วล่ะตอนนี้ เพราะเธอนั่นล่ะ แล้วเขาทำไม?”
“ฉันควรทำยังไงคะ?”
“ฮะ?”
ไวโอเล็ต
เอเวอร์การ์เดนเอ่ยถามดีทฟริท โบเกนวิลเลีย “ถึงฉันจะเป็น...เครื่องมือก็ตาม
แต่ฉันปกป้องเขาไม่ได้ แต่เขา...ก็สั่งให้ฉันมีชีวิตอยู่
เพราะแบบนั้นฉันถึงมีชีวิตอยู่ ถ้ามีอะไร...ที่ฉัน...พอจะ...ช่วยคุณได้
ฉันอยากให้คุณบอกฉันค่ะ การที่ฉันมีชีวิตอยู่...จะเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?
ฉันอยากให้คุณบอกฉันค่ะ การที่ฉันมีชีวิตอยู่...จะเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?...เพราะว่าฉันมีส่วนร่วมกับพวกเขา
แค่เพราะมีส่วนร่วมกับพวกเขา
ถึงฉัน...จะเป็นเครื่องมือของผู้พัน...แต่ฉันได้รับคำสั่งให้มีชีวิตอยู่...ฉัน...อยากส่งมันไปให้ถึงผู้พัน...”
เธอเคยเป็นสัตว์ประหลาดของเขา
และเขาก็เคยเป็นผู้ที่เก็บเธอมา เป็นเกราะป้องกัน และเป็นเครื่องมือของเขา
ความสัมพันธ์ของพวกเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
“คิดว่าฉันรู้หรือไง!! เธอถามฉันทำไมกัน!?”
ถึงกระนั้น
ผู้รับใช้ก็ยังคงเชื่อฟังคำสอนจากเจ้านายเก่าของเธอ
“เพราะว่าฉันเคย...เป็นเครื่องมือของคุณค่ะ”
สัตว์ประหลาดที่เขาเก็บมาจากเกาะที่โดดเดี่ยวได้โตขึ้นแล้ว
ในตอนนี้มันสามารถพูดและเสียงของมันก็สั่นด้วยความกังวล
“ถ้าเธอเป็นแค่เครื่องมือก็อย่าทำอะไรตามใจชอบสิ!”
เสียงของมันสั่นด้วยความกังวล
และต้องการความช่วยเหลือ
“เพราะว่า...คุณ...เคยเป็น...เจ้านาย...ของฉันค่ะ”
ดีทฟริทรู้สึกเหมือนถูกควบคุมด้วยคำพูดของไวโอเล็ต
––เธอคิดว่าเขาเป็นเจ้านายของเธองั้นเหรอ?
ดวงตาสีฟ้าของไวโอเล็ตโปร่งใสและสวยงาม
และเพราะแบบนั้นมันจึงทำให้ดีทฟริทนึกถึงสิ่งที่เขาเคยทำกับเธอเมื่อก่อนราวกับกำลังส่องกระจก
“แล้วคิดว่าฉันจะสนใจเครื่องมือที่ฉันโยนทิ้งไปแล้วหรือไง! เธอเป็นสัตว์ประหลาด และก็เป็นความหายนะที่ทำลายชีวิตน้องชายของฉัน!”
สิ่งที่คน ๆ หนึ่งทำกับผู้อื่นหวนกลับมาผ่านช่วงเวลา
“คุณดีทฟริท...ถ้าอย่างนั้น ทำไม...คุณถึง...ยกฉันให้ผู้พันล่ะคะ?”
ความเจ็บปวดและความอ่อนโยนย้อนกลับมาหาเขา สายตานั่นราวกับกำลังยิงเขาอยู่
สายตาแบบนั้นเหมือนกับตอนที่เธอมองมาที่ดีทฟริทในตอนที่พวกเขาแยกจากกัน
เขาเคยถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้นและได้ตัดสินใจพาเธอมากับเขาด้วยจากเกาะที่แสนห่างไกลนั่น
และทิ้งเธอไว้ให้น้องชายของเขาที่เป็นสมาชิกในครอบครัวคนเดียวที่เขายังติดต่อด้วย
ทำไมเขาถึงยกเธอให้กิลเบิร์ตน่ะเหรอ?
เธอเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์
แต่ถึงอย่างนั้นดีทฟริทก็คิดว่าเธอมีประโยชน์เกินกว่าความสามารถของเขา
เขาไม่ได้เชื่อว่าน้องชายของเขาจะใช้เธอได้อย่างดีในตอนที่เขายกเธอให้
ความจริงที่เขาควรจะเก็บเธอไว้และขายเธอวิ่งอยู่ในหัวของเขา และรู้สึกราวกับดีทฟริทได้สร้างปัญหาให้กิลเบิร์ต
ในตอนนั้นดีทฟริทคิดอะไรอยู่นะถึงได้ทิ้งไวโอเล็ตไว้ให้กิลเบิร์ต?
ในตอนนั้นไม่มีคนอื่นอีกแล้วนอกจากกิลเบิร์ตจริง ๆ น่ะหรือ? แล้วทหารเรือคนอื่นล่ะ?
ในตอนนั้นเขาคงมีหลายทางเลือกมากกว่านี้ แต่เขาก็ยังให้เธอไปกับหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของเขา
“เธอเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ไหม?” ดีทฟริทยื่นมือออกไปกำคอเสื้อของไวโอเล็ต
เขาอยากจะต่อยเธอหรือ?
เขาอยากจะฆ่าเธอหรือ? หรือต้องการจะสั่งสอนกันแน่?
“ถ้าเธอเข้าใจ ก็ไปตายซะ รับความโกรธและความเศร้าของฉันไปซะ
แต่เธอ...คงจะไม่ตายใช่ไหมถึงฉันจะบอกให้เธอไปตาย?”
“ค่ะ”
“ฉันก็จะไม่ตายเหมือนกัน
และฉันก็ไม่อยากรู้...สิ่งที่เธอกำลังสับสนอยู่ด้วย
ฉันทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าที่เธอทำเพื่อมีชีวิตอยู่เสียอีก แต่แล้วยังไงล่ะ?
ฉันยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อฉันตายไป มันก็จะจบลง
ถึงฉันจะเสียใจและรู้สึกทุกข์ทรมานมากขนาดไหนก็ตาม มีหลายครั้งที่ฉันเคยคิดว่าถ้าตายไปมันคงจะดีกว่า
และในตอนนั้นฉันก็คิดจะตายจริง ๆ ด้วย
เธอทำหน้าเหมือนกับเธอเป็นคนเดียวที่มีช่วงเวลาที่ยากลำบากงั้นแหละ
ทุกคนต่างก็มีความยากลำบากกันทั้งนั้น
คนที่เธอฆ่าก็คงจะไม่ตายถ้าพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉัน มันอาจจะเป็นความผิดของฉันก็ได้เพราะฉันเป็นหัวหน้าของพวกเขา
ฉันปกป้องพวกเขาไม่ได้ในตอนที่ฉันเป็นผู้นำของพวกเขา แต่
รู้อะไรไหมยัยสัตว์ประหลาด...ถ้าเธอ...มีความรู้สึกผิดสักเล็กน้อยในสิ่งที่เธอทำไป
และจะไม่ยอมตายไม่ว่าอะไรก็ตาม...ก็จงมีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะ จนกว่าเธอจะถูกใครสักคนฆ่าหรืออายุไขของเธอหมดลง
ดีกว่าที่ต้องตายแบบ...”
เขาอยากจะต่อยเธอหรือ? เขาอยากจะฆ่าเธอหรือ? หรือว่าบางที...
“...มันยากที่ต้องมีชีวิตอยู่”
บางที...
“มันยากที่ต้องมีชีวิตอยู่ก็จริง แต่ก็ลืมมันไปซะ และก็มีชีวิตอยู่ซะ คนที่ทำแบบนั้นไม่ได้ก็จะตายไปเองนั่นแหละ ถ้าเธอไม่อยากตายด้วยน้ำมือของเธอเอง ก็เลิกโทษว่าบาปของเธอเกิดจากคนอื่น และมีชีวิตอยู่ต่อไปซะ มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิต มีชีวิตอยู่ต่อไปซะ...” ทันใดนั้นดีทฟริทก็ปล่อยมือจากคอเสื้อของไวโอเล็ต “แล้วค่อยตาย”
ไวโอเล็ตมองไปที่ดีทฟริทด้วยสายตาที่ไม่เหมือนตอนที่เธอมองไปที่กิลเบิร์ต
แต่เป็นสายตาแบบที่ใครคนหนึ่งมองไปยังเจ้านายของเธอ “คุณดีทฟริทคะ ผู้พัน...ตายแล้วจริง ๆ หรือคะ?”
“เธออยาก...ให้ฉันพูดว่าอะไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา
ไวโอเล็ตก็สูดลมหายใจอย่างฉับพลัน
เธอเห็นอะไรบางอย่างที่ส่องประกายวาววับอยู่บนท้องฟ้า “คุณคงจะไม่พูดว่า...’ใช่’ เหมือนที่คนอื่น ๆ พูดใช่ไหมคะ?
ฉันแค่อยากจะแน่ใจค่ะ ถ้าผู้พันตายแล้วจริง ๆ คุณคงจะ...ฆ่าฉันไปแล้ว”
ในสายตาของไวโอเล็ต
ราวกับมีอะไรบางอย่างร่วงหล่นมาจากท้องฟ้าเหนือศีรษะของดีทฟริท เหมือนกับหิมะ หรือดอกไม้
“เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมคะ?”
จดหมายโบยบินร่วงหล่นลงมา
สายลดที่พัดผ่านพวกเขาสองคนพัดอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงที่ดังกึกก้อง
จดหมายเหล่านั้นร่วงหล่นลงมาราวกับพายุหิมะ
เครื่องบินสีเหลืองบินพาดผ่านท้องฟ้า
มันโปรยจดหมายที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายลงมาให้กับผู้คนที่อยู่ด้านล่าง
ราวกับกำลังจะบอกว่า “เลือกสักฉบับสิ
จดหมายที่คุณเลือกจะเป็นกำลังใจให้กับโชคชะตาของคุณ”
“ไวโอเล็ต!” โดยที่ไม่มีใครมองมา
ใครคนหนึ่งตะโกนเรียกชื่อของไวโอเล็ตและอุ้มเธอขึ้นมาราวกับว่าเธอเป็นกระเป๋าใบหนึ่ง
ร่างของดีทฟริทค่อย ๆ ถอยห่างไปเรื่อย ๆ
เธอพยายามจะกระซิบเรียกชื่อของเขา แต่มันก็คงส่งไปไม่ถึง
ครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเขาคือตอนที่เขาหมุนส้นเท้าของเขา
เขาไม่ได้หันมองมาที่เธอเลยแม้แต่น้อย
ไวโอเล็ตเรียกชื่อของคนที่ออกวิ่งหลังจากที่ลักพาตัวเธอหนีไป
“ท่านประธาน...ฮอดกินส์”
“ก้มหัวลง!”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ ท่านประธานฮอดกินส์”
“ไม่เลยสักนิด! ทำไม...เธอถึงไปอยู่กับคนอันตรายแบบนั้นได้ล่ะ!?”
ไวโอเล็ตตรวจสอบจุดที่เธอเห็นวัตถุที่ส่องประกายที่เธอเห็นก่อนหน้านี้อีกครั้ง
จากตรงนี้เธอไม่เห็นมันอีกแล้ว
“ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ
ฉันรู้อยู่แล้วค่ะว่ามีสไนเปอร์กำลังเล็งไรเฟิลมาที่ฉันจากเนินเขานั่นค่ะ”
“เธอพูดว่า ‘สไนเปอร์’
งั้นเหรอ...!?”
“ไม่มีบอดี้การ์ดอยู่กับเขาค่ะ แต่ตอนที่ฉันเข้าไปใกล้เข้า
ฉันรู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่างค่ะ
คน ๆ นั้น...มักจะเดินไปไหนโดยมีบอดี้การ์ดอยู่ด้วยเสมอค่ะ...เพราะแบบนั้นฉันถึงรู้ในตอนที่ฉันไม่เห็นพวกเขา
แต่พวกเขาแค่เฝ้าดูเท่านั้นค่ะ เขาไม่ได้ตั้งใจจะส่งสัญญาณไปให้พวกเขายิง
เป็นอะไรหรือเปล่าคะท่านประธานฮอดกินส์?”
ความสงบเยือกเย็นของเธอมักจะน่าเชื่อถือ
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เขาคงไม่อาจพูดแบบนั้นได้
ฮอดกินส์ตอบด้วยความโมโหและหมดความอดทนผสมกับความโล่งใจ
“ฉันคิดว่าแคทลียาอาจจะร้องไห้
ฉันก็เลยรีบมาให้เร็วที่สุด...แล้วฉันก็ได้ยินว่าเธอหายไปเพื่อตามหาผู้ชายในเครื่องแบบทหาร...ฉันกลัวนะรู้ไหม
อย่าไปเจอพี่ชายของกิลเบิร์ตอีกเด็ดขาดเลยนะไวโอเล็ตตัวน้อย
ถึงคน ๆ นั้นจะมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับกิลเบิร์ต
แต่พวกเขาน่ะเป็นคนละคนกันเลยนะ และถึงเขาจะเคยเป็นเจ้านายคนก่อนของเธอ
เธอก็ไปเจอเขาไม่ได้ เขาเป็นคนที่น่ากลัวมาก และเขาก็...เกลียดเธอ
ฉันประมาทเองแหละ...ต่อจากนี้ถึงจะเป็นงานเทศกาลเราก็จะไม่เข้าร่วมอีก
ฉันคิดว่าเธอจะถูกลากกลับไปเป็นทหารแล้วซะอีก...ฉันจะพาเธอกลับบ้านเองวันนี้โอเคไหม?”
“ค่ะ”
“เขาได้พูดอะไรหรือเปล่า? เธอเป็นอะไรไหม?”
ไวโอเล็ตไม่ได้ตอบในทันที
ฮอดกินส์ยังคงอุ้มเธออยู่ เธอยื่นมือออกไปบนท้องฟ้าและหยิบจดหมายฉบับหนึ่ง
“นี่ เขาได้พูดอะไรแปลก ๆ ไหม? ไวโอเล็ตตัวน้อย?”
เธอได้หยิบความรู้สึกของคน ๆ หนึ่งที่ต้องการส่งไปให้อีกคน
“เปล่าค่ะ เปล่า ไม่มีอะไร...ฉันแค่...ได้รับอะไรบางอย่างมาเท่านั้นเองค่ะ”
“มีชีวิตอยู่ซะ”
“อะไรเหรอ?”
“โดยไม่ต้องโทษใครอีก มีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ต่อไปซะ”
“กำลังใจค่ะ”
“แล้วค่อยตาย”
ดีทฟริทเดินผ่านท่ามกลางจดหมายที่กระจัดกระจายไปทั่ว
เขาพาตัวเองออกมาห่างไกลจากศูนย์กลางของพื้นที่ซ้อมรบที่ผู้คนกำลังบ้าคลั่งเรื่องจดหมายโบยบิน
และเข้าไปยังหอควบคุมที่ห้ามไม่ให้ใครเข้านอกจากบุคลากร
เขาพยักหน้าให้กับคนที่ใส่เครื่องแบบเหมือนกับเขา
และคนที่ใส่เครื่องแบบของกองทัพบก
“ถ้าพี่ทำอะไรที่ไม่ดีล่ะก็ ลูกน้องของผมที่บินอยู่จะเห็นมันนะ” ท่ามกลางคนเหล่านั้น มีชายคนหนึ่งพูดกับเขา “พวกเขายังบินอยู่”
ชายที่พูดกับเขาชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากแขนกลของเขา
“เพิ่งผ่านมาไม่กี่ปีเองสินะ”
หน้าตาของเขาต่างจากที่ดีทฟริทเคยรู้จัก
ตาข้างหนึ่งของเขาถูกปิดด้วยผ้าปิดตา และแผลเป็นที่ถูกปิดไว้ครึ่งหนึ่ง
ผมของเขาเป็นสีที่เหมือนกับท้องฟ้ายามพลบค่ำ
และดวงตาสีเขียวมรกตของเขาเหมือนกับอัญมณีของจริง
ใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยความเศร้ากลบเกลื่อนด้วยความเย็นชา
ร่างสูงโปร่งของเขาสวมชุดเครื่องแบบสีม่วงเข้มของทหารบกของไลเดนชาฟต์ลิชที่เป็นประเทศแถบชายทะเลที่โด่งดังในเรื่องของทหาร
เครื่องหมายทองคำที่ติดอยู่กับเสื้อคลุมของเขาบ่งบอกถึงยศของเขา
และไม่ใช่สิ่งที่ทหารทั่วไปจะใส่ได้
กิลเบิร์ตปัดมือของดีทฟริทที่วางอยู่บนไหล่ของเขาออก
“เย็นชาจังนะ เมื่อกี้ฉันเจอเครื่องมือของนายด้วย”
พวกเขาสองคนย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า “เครื่องมือ”
ที่เขาพูดหมายถึงอะไร
“ฉันไม่ได้โกหกหรอกนะ เธอตามฉันมา แต่ดูเหมือนเธอจะเข้าใจผิดว่าฉันเป็นนาย
ระวังหน่อยสิ นายแกล้งทำเป็นว่านายตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?
ทำไมนายต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากขนาดนั้นด้วยล่ะ...?”
“พี่ชาย เรื่องของไวโอเล็ต...”
“ฉันไม่ได้บอกอะไรเธอทั้งนั้น” ดีทฟริทไม่ได้โกหก “ดูเหมือนว่าเธอจะกำลังหลงทางตั้งแต่ที่นายหายไปน่ะนะ
ฉันแค่บอกอะไรบางอย่างเธอไปในฐานะเจ้านายคนก่อนก็เท่านั้น
มีชีวิตอยู่เท่าที่เธออยากอยู่แล้วค่อยตาย”
เนื่องจากว่าเขาไม่ได้ยืนยันอะไรกับเธอ
ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดนจึงกลับบ้านไปด้วยความหวังว่าเธอจะได้รับการยืนยัน
เขาไม่ได้ตั้งใจจะบอกความจริงเรื่องน้องชายของเขา
“มันเป็นคำขอของนายใช่ไหมล่ะ? มันอาจจะ...ไม่เหมือนกันสักเท่าไหร่
แต่ก่อนที่ฉันจะรู้สึกตัวก็มีคน ๆ หนึ่งพาเธอไปแล้ว เพราะว่าเขามีผมสีแดงที่เด่นมาก
หมอนั่นคงเป็นเพื่อนสมัยเรียนโรงเรียนทหารของนายใช่ไหม? หมอนั่นคงคิดว่าฉันคงจะฆ่าเธอล่ะมั้ง
ฮ่า ๆ ถ้าฉันฆ่าเธอได้ฉันคงทำไปแล้ว...นี่ กิล
นายคงจะไม่บอกว่านายชอบยัยสัตว์ประหลาดนั่นหรอกใช่ไหม?
นายดูแลเธออย่างดีจนเธอโตมาเป็นผู้หญิงที่สวยใช้ได้ก็จริง
แต่นายก็รู้ว่าเธอเป็นยังไง เพราะงั้นหยุดความรู้สึกนั่นไว้ซะ”
“มันไม่ใช่เรื่องของพี่”
“ใช่สิ นายสำคัญ นายเป็นน้องชายของฉัน”
“นี่เป็นเรื่องของผมกับไวโอเล็ต มันไม่ใช่...เรื่องของคนอื่น
คนที่ผลักภาระทุกอย่างให้ ‘น้องชายคนสำคัญ’ ก็พี่เองไม่ใช่หรือ? ผมที่โดนพี่ทิ้งไว้ไง...” ดวงตาสีมรกตของกิลเบิร์ตหยีลง
เพราะท้องฟ้าสว่างมากเกินไปที่จะมองด้วยตาเปล่าจึงทำให้ตาของเขาเจ็บ
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ปิดมันไว้ “...มันเป็นเรื่องของผมที่ผมพนันทั้งชีวิตของผมเพื่อปกป้องอะไรบางอย่าง
ผมพยายามเลื่อนตำแหน่งเพราะสิ่งนั้น ตอนนี้
เหตุผลที่ผมมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เพื่อศักดิ์ศรีและยศที่สูงส่งในกองทัพ
หรือเพื่อล้างความผิดให้พี่ที่พี่ทำกับตระกูลโบเกนวิลเลียอีกแล้ว ผมทำเพื่อเธอ
และถ้าพี่ทำอะไรเธอล่ะก็ ผมจะทำลายพี่ด้วยทุกสิ่งที่ผมมี นั่นคืออาวุธที่ผมมี
และมันจะไม่เปลี่ยน ถึงศัตรูของผมจะเป็นพี่ก็ตาม”
การที่ได้เห็นน้องชายของเขาที่เขาไม่ได้เจอมาเสียนานเปลี่ยนไป
ทำให้ดีทฟริทมองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับมันสุกสกาวเกินไป “นาย...ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้วสินะ” เขากำหมัดและพยายามที่จะชกไปที่ไหล่ของกิลเบิร์ต
กิลเบิร์ตรับหมัดนั่นไว้ เขาจับมือของอีกคนไว้แน่น ดีทฟริททนต่อแรงสั่นของมือเขาและจับมือของกิลเบิร์ตไว้
มันเหมือนกับตอนที่พวกเขาจับมือกันในวัยเด็กไม่มีผิด
“นี่ ถึงฉันจะเป็นพี่ที่ห่วยแตกสำหรับนาย แต่...ฉันรักนายนะ”
พี่ชายบอกความลับกับน้องชายของเขาด้วยเสียงที่แผ่วเบาเพื่อไม่ให้ใครได้ยิน
“ผมรู้”
พวกเขาเคยพูดแบบนี้ในบ้านของตระกูลโบเกนวิลเลียมาก่อน
เพื่อไม่ให้ถูกดุ พวกเขาจึงกระซิบให้กันฟังแค่สองคนเท่านั้น
“นาย...เข้าใจจริง ๆ ใช่ไหม ถึงจะเป็นแบบนี้
แต่ฉันก็รักนาย...ด้วยทั้งหมดนี่ฉันมี ฉันรักนาย
กิลเบิร์ต...ฉัน...แค่สงสัย...ว่าทำไมฉัน...ถึงถ่ายทอดความรู้สึกแบบนี้ให้กับคนที่ฉันรักไม่ได้เลย”
“ผมรู้ครับ พี่ชาย”
เมื่อตกค่ำ ผู้คนที่ออกมาจากงานนิทรรศการการบินก็ได้พึ่งแสงจันทร์และโคมไฟในห้องของพวกเขาเพื่ออ่านถ้อยคำที่ให้กำลังใจที่ได้ส่งให้พวกเขาโดยคนที่พวกเขาไม่รู้จัก
จดหมายของพวกเขาสร้างแรงบันดาลใจให้ใครกันนะ? ในขณะที่พวกเขาคิดเช่นนั้น
พวกเขาก็อ่านมันอย่างถี่ถ้วน มันอาจจะเป็นถ้อยคำที่ดีสำหรับคนบางคน และอาจจะไม่สำหรับคนบางคน
ไม่ว่ายังไงก็ตาม
ความใจดีที่ได้มอบให้กับพวกเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขนั่นก็ช่วยบรรเทาความเหงาในคืนที่แสนยาวนานและคลายความกังวลใจในเช้าวันถัดมาได้
และให้รางวัลกับพวกเขาด้วยความหวังเล็ก ๆ
ไวโอเล็ตกำลังพยายามเปิดซองจดหมายที่เธอได้รับมาจากจดหมายโบยบินหลังจากกลับมาที่คฤหาสน์ของตระกูลเอเวอร์การ์เดน
ในขณะที่ยืนอยู่คนเดียวข้างหน้าต่าง
“ค่ะ”
ทั้งหมดในจดหมายฉบับนั้นมีอยู่เพียงคำเดียวคือ “สู้ ๆ”
ด้วยลายมือที่เหมือนกับลายมือของเด็กน้อย
รุ่งอรุณได้ปลุกทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม
รุ่งเช้าเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ของทั้งวันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม
มันก็ยังเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่พฤตกรรมของทุกคนจะถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจน
สีของท้องฟ้า กลิ่นที่ลอยมาทางอากาศ ไม่ว่าพวกเขาจะกินอะไร ไม่ว่าพวกเขาจะนอนมากน้อยแค่ไหน
– องค์ประกอบเล็กน้อยพวกนี้จะเป็นทางเลือกและตัวกำหนดโชคชะตาของพวกเขา
ผู้คนจะยอมรับความเสียใจจากการตัดสินใจของพวกเขาโดยที่ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน
แต่อย่างไรก็ตาม รุ่งอรุณได้ปลุกทุกคนอย่างเท่าเทียม
แต่มันก็ถูกนำไปใช้กับสิ่งมีชีวิตเท่านั้น
เมื่อสิ่งหนึ่งเริ่มขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งก็ต้องเดินหน้าต่อไปไปยังจุดจบของมัน
ความคิดเห็น