คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Violet Evergarden (part one.)
/
Violet
Evergarden
ข่าวล่าสุด ทางรถไฟที่แยกมาจากประเทศทางทะเลตอนใต้ไลเดนชาฟต์ลิช
ในที่สุดก็ได้ขยับขยายไปยังประเทศทางตอนเหนือแล้ว
การขนส่งทางสาธารณะนั้นมีประโยชน์ต่อการเดินทางรอบทวีปเป็นอย่างมาก
แต่มันไม่ได้ช่วยเอื้อแค่เพียงแต่ละบุคคลเท่านั้น แต่ยังเอื้อต่อสังคมในด้านของโลจิสติกส์อีกด้วย
อาจเรียกได้ว่าสิ่งนี้ประสบความสำเร็จได้เพราะความบาดหมางของสงครามทวีประหว่างตอนเหนือและตอนใต้ที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงเพียงผิวเผินเท่านั้น
ข่าวเรื่องงานเฉลิมฉลองเรื่องทางรถไฟข้ามทวีปแพร่กระจายในเมืองไลเดนอย่างรวดเร็ว
และผู้คนต่างก็รีบซื้อตั๋วสำหรับการเดินทางในครั้งแรก
ในวันต่อมาหนังสือพิมพ์ก็ได้ลงข่าวเรื่องงานเฉลิมฉลอง –
ซึ่งไม่ได้ถูกส่งไปให้แค่ในไลเดนชาฟต์ลิชเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านด้วย
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นหัวข้อข่าวที่ไม่ได้สำคัญอะไรกับผู้ที่ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้
แต่การปรากฏตัวของหญิงสาวเพียงคนเดียวในรูปถ่ายท่ามกลางผู้คนที่กำลังหาซื้อตั๋วกันอยู่นั้น
ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม มันก็เป็นความรู้สึกที่แอบซ่อนเร้นอยู่ในผู้คนที่รู้จักเธอ
อย่างลักซ์ ซิบบิล
ผู้ที่ทำงานให้กับบริษัทไปรษณีย์ซีเอชที่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจที่เห็นภาพของเพื่อนคนสวยของเธอเป็นสิ่งแรกในยามเช้า นักเขียนนิยายที่กำลังทวนศัพท์อยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางภูเขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันทีเมื่อเขาพบสมบัติล้ำค่าในรูปถ่ายในหนังสือพิมพ์นั่น นักดาราศาสตร์หนุ่มที่กำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางถึงกับซื้อหนังสือพิมพ์สองฉบับด้วยกันหลังจากที่ตะลึงงันไปกับรูปถ่ายในนั้น แคทลียาผู้ที่กำลังทำหน้าที่เขียนจดหมายในที่ที่ห่างไกลจากบริษัทของเธอถามกับลูกค้าผู้ชายคนหนึ่งว่าผู้หญิงที่อยู่ในหนังสือพิมพ์กับเธอใครน่ารักกว่ากัน
และใครบางคนที่ไม่ได้เห็นหน้าเธอมานานแสนนานถึงกับยอมจำนนต่อความรู้สึกตัวเองและไล่นิ้วไปตามรูปถ่ายนั่น
มันเป็นเพียงแค่รูปถ่ายเท่านั้น
แต่ในเช้าวันนั้น
ลางสังหรณ์บางอย่างที่ก่อให้เกิดความรู้สึกที่พิเศษนั่นกำลังถูกจารึกลงในจิตใจของผู้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไวโอเล็ต
เอเวอร์การ์เดน
งานเฉลิมฉลองจะถูกจัดขึ้นที่สถานีของไลเดนชาฟต์ลิชเวลาบ่ายสองโมงตรง
และในตอนบ่ายสาม เมื่อผู้โดยสารขึ้นรถไฟข้ามทวีปเมื่อไหร่งานเฉลิมฉลองก็จะสิ้นสุดลงทันที
เด็ก ๆ ที่เพิ่งนั่งรถไฟในครั้งแรกโน้มตัวออกมานอกหน้าต่างและชื่นชมกับทัศนียภาพ
และโม้ให้กันฟังถึงความโชคดีของตนเองที่ได้ขึ้นรถไฟเป็นครั้งแรก ส่วนผู้ที่ต้องใช้งานรถไฟในการไปทำงานของตนเองนั้นก็รู้สึกพึงพอใจกับการให้บริการผู้โดยสารและการเดินทางที่ปลอดภัย
และผู้ที่จองตู้นอนเอาไว้ก้รู้สึกราวกับหัวใจของพวกเขาได้ถูกความสะดวกสบายนั่นขโมยไปและเข้าสู่นิทราในที่สุด
การเดินทางนั่นแสนราบรื่นโดยที่ไม่มีอะไรติดขัด
มีเพียงแค่ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
อย่างเช่นพนักงานขนกระเป๋าได้ส่งกระเป๋าของผู้โดยสารไปผิดห้อง
หรือผู้โดยสารจากห้องรับประทานอาหารคนหนึ่งที่โมโหเพราะพบหัวหอมในจานของตนที่ตนเองสั่งว่าไม่ให้ใส่
แต่อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไร
ทัศนียภาพด้านนอกหน้าต่างถูกย้อมด้วยสีแดงเข้ม
และผ่านไปเพียงไม่ถึงชั่วโมงโลกทั้งโลกก็ตกอยู่ในความมืดมิด
ซึ่งทุก ๆ ชั่วโมงรถไฟจะต้องหยุดเพื่อเติมน้ำ
“เราจะหยุดเติมน้ำกันสักครู่นะครับ
เพราะฉะนั้นในตอนที่รถไฟกำลังสั่นช่วยนั่งอยู่กับที่ด้วยนะครับ” พนักงานยกกระเป๋าบอกกับลูกค้าแต่ละตู้
มีคนมากมายที่หลงใหลไปกับการเดินทางเรียบร้อยและไม่พยายามที่จะเตือนคนที่ยืนอยู่และยังไม่มีท่าทีว่าจะนั่งลง
และมีคนอีกมากที่กำลังมองทัศนียภาพนอกหน้าต่างขณะจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่
ส่วนคนที่กำลังอารมณ์ไม่ดีก็ไม่ฟังที่คนอื่นพูดเลย
พนักงานยกกระเป๋าที่ได้เตือนผู้โดยสารไปยิ้มในขณะที่คิดในใจว่า
“ผู้โดยสารพวกนี้น่ารำคาญเสียจริง” และเดินไปเตือนผู้โดยสารเหล่านั้นให้นั่งอยู่กับที่ก่อน
มันเป็นการเดินทางที่แสนพิเศษ
และไม่มีใครคิดเลยว่าโศกนาฏกรรมกำลังจะเกิดขึ้น ไม่มีใครพบเห็นคนที่น่าสงสัย
และไม่ได้สังเกตเลยว่าที่คอของพนักงานยกกระเป๋าทุกคนมีมีดติดอยู่
ในวันนั้นมันควรจะเป็นวันที่แสนพิเศษสำหรับใครหลายคน
ในเวลาบ่ายสองครึ่ง ภายใต้ท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงที่เมฆกระจัดกระจาย
ศพถูกทิ้งบนรางรถไฟราวกับมันเป็นสิ่งโสโครก มันกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น
และก่อนที่อีกาจะลงมากัดกินมันอย่างตะกระตะกราม มันก็ถูกพบโดยเจ้าของทุ่งหญ้าที่อยู่ใกล้ ๆ ที่บังเอิญผ่านมาเสียก่อน
ราวกับฝนที่ตกลงมาบนผิวน้ำของทะเลสาบ
สิ่งเหล่านั้นราวกับกำลังบอกใบ้ถึงเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
หยดฝนหยดแรกที่หยดลงมาเป็นศพ และอีกสองหยดจะบ่งบอกถึงปัญหาที่กำลังลุกลามอยู่
สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในรถไฟข้ามทวีปนั้น
โดยปกติแล้วรถไฟควรจะหยุดวิ่งเสียก่อน
แต่ในตอนนี้มันยังคงวิ่งผ่านทุกสถานีไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ยังคงคอยให้ผู้โดยสารทุกคนอยู่บนรถไฟ
และกองกำลังทหารก็เริ่มเคลื่อนพล
รายงานแรกมาจากพนักงานและพลเรือนจากสถานีหนึ่งที่ผ่านมาเจอโดยบังเอิญ
และรายงานนั้นก็ได้ถูกส่งไปยังสารวัตรทหารเรียบร้อย
สารวัตรทหารมีหน้าที่หลักในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องชีวิตของประชาชนทุกคน
และแยกตัวออกมาจากกองทัพบก ถึงแม้ว่าจะมีคำว่า “ทหาร”
อยู่ในชื่อก็ตาม
และเมื่อสารวัตรทหารมาถึงกระทรวงกลาโหมของไลเดนชาฟต์ลิช การขอกำลังเสริมก็ได้แจ้งมาแล้วเช่นกัน
ที่ตั้งสำนักงานใหญ่กองกระทรวงกลาโหมไลเดนชาฟต์ลิชมีเพียงแค่ตึก ๆ เดียวเท่านั้น
สถาปัตยกรรมของตัวตึกนั้นอธิบายได้ยาก
อย่างแรกคือมันมีสิ่งก่อสร้างที่ละม้ายคล้ายคลึงกับหอคอยของปราสาทซึ่งเป็นที่ตั้งของกระทรวงทัพและล้อมด้วยกำแพงหินสองชั้น
มีคูน้ำแห้ง ๆ อยู่นอกกำแพง
ต้นไม้และพุ่มไม้ที่บดบังคูน้ำนั่นถูกตัดออกไปเพื่อให้เห็นวิวข้างนอก
และเพื่อไม่ให้ศัตรูมีที่ซ่อนเผื่อกรณีที่เกิดการบุกรุก
โครงสร้างเหล่านั้นเหมือนกำลังขู่ศัตรูว่า “ถ้าแกกล้าก็เข้ามาสิ”
ความพึงพอใจในโครงสร้างที่ได้ปรับตัวให้เข้ากับความเกลียดชังซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของพวกเขานั้นเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าทหารของพวกเขาได้เอาชนะสงครามได้
ซึ่งกรณี “การจี้ขบวนรถไฟระหว่างทวีป” นั้นก็ได้เริ่มลงมือจัดการในกระทรวงกลาโหมเรียบร้อยแล้ว
แต่ทหารที่ได้รับการคัดเลือกก็ยังไม่รู้ถึงขอบเขตของความวุ่นวายในเรื่องนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น
เมื่อเวลาห้าโมงยี่สิบห้านาทีของเย็นวันนั้น ในห้อง ๆ หนึ่งของกระทรวงกลาโหม
กิลเบิร์ต
โบเกนวิลเลียกำลังหารือเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังพิเศษแห่งกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชที่เขาเคยเป็นหัวหน้าหน่วยมาก่อน
“การกระจายกำลังคงจะเหมาะที่สุดแล้ว แต่ถ้าต้องมอบหน้าที่นี้ให้ใครสักคน
ผมอยากเป็นคนเลือกคน ๆ นั้นเอง”
กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลีย ผู้ที่ซึ่งเคยเป็นพันตรีของกองทัพไลเดนชาฟต์ลิช
ในตอนนี้เขาได้เลื่อนยศเป็นพันโทเรียบร้อยแล้ว
เนื่องจากความสำเร็จในมหาสงครามที่เขาได้เป็นผู้นำของกองกำลังพิเศษแห่งกองทัพไลเดนชาฟต์ลิช
และยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้รับอนุญาตให้ใส่เหรียญประจำตำแหน่งของยศพันเอกอีกด้วย
หลังจากที่ได้เลื่อนยศเป็นพันโท การทำงานในกระทรวงกลาโหมจึงเป็นงานหลักของเขา
เช่นเคย กองกำลังของเขาได้เดินทัพทั้งในและนอกประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศที่ต้องการให้มีการแทรกแซงอาวุธหลังสงคราม
แต่ถึงอย่างนั้นกองกำลังของเขาก็ได้เดินไปอย่างไร้จุดหมายด้วยเนื่องจากหน้าที่ของเขา
“แต่ในความคิดของผม การที่ต้องกระจายกำลังมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้านะครับ
มีทหารหลายคนที่ได้ลาออกจากตำแหน่งเดิมเพราะได้เลื่อนยศ แต่ถึงตำแหน่งนั้นจะว่าง
มันก็ยังเป็นตำแหน่งที่สูงส่งอยู่ดี
จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังทำงานได้ดีในฐานะหน่วยอิสระ
แต่ถ้าผู้บังคับบัญชาไม่อนุญาตง่าย ๆ...อาจเป็นเพราะว่าพวกเขาคิดว่าทหารเหล่านั้นเป็นทหารของคุณกระมังครับ”
ชายที่มีผมสีดำอมน้ำเงินเห็นด้วยกับคำพูดของกิลเบิร์ต “ลอว์รัส ชวาร์ตซ์มัน” ถูกเขียนอยู่บนแผ่นป้ายบนโต๊ะของเขา
กิลเบิร์ตพยักหน้าให้กับคนที่มียศเดียวกับเขาแต่เคยมีตำแหน่งที่สูงกว่าในอดีต
“แต่ในที่สุดเราก็ก่อตั้งหน่วยอิสระขึ้นมาได้สักที...
ถึงบางคนจะคิดว่าการเป็นอิสระเกินไปนั้นอาจเป็นอันตรายได้ แต่พวกเขาก็ได้ใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในยามที่เกิดเหตุฉุกเฉินครั้งใหญ่ขึ้น
แต่ถ้าเราบอกว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเลย เราก็คงไม่ได้รับการยินยอมแน่ ๆ
ดังนั้นผมจะให้หน่วยอิสระเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเหตุการณ์แบบนี้...และถ้าผมจะส่งต่อให้ใครสักคน
ผมอยากให้คน ๆ นั้นเป็นคนที่ผลักดันศักยภาพของทุกคนได้
และสมาชิกในหน่วยทุกคนจะถูกขัดเกลาใหม่หมดเมื่อมาอยู่ในความดูแลของผม”
“คุณตั้งใจจะให้ใครเป็นคนรับหน้าที่นี้กัน?”
“ไอดริส เขาเหมาะจะเป็นผู้บังคับบัญชา”
“เขาคือคนที่ไม่มีการศึกษาและก็ไม่มีเส้นสายเลยไม่ใช่หรือ?
เขาเหมือนกับผมเลยนะ คุณไม่คิดจะให้คนที่มีสายเลือดของโบเกนวิลเลียเป็นคนรับหน้าที่นี่หรือ?
ควรจะมีคนในกองทัพที่มาจากตระกูลของคุณนะ”
“ผู้การลอว์รัส....คุณเสนอผมเพราะคุณไม่ชอบให้มีการเสนอชื่อตามฝ่าย
แต่ในตอนนี้คุณให้ผมเสนอชื่อคนในตระกูลโบเกนวิลเลียงั้นหรอ?
ไอดริสน่ะถึงไม่มีการศึกษาแต่เขาก็เป็นคนฉลาด เขายังเป็นคนทะเยอทะยานมากด้วย
ผมยืนยันได้”
“ผมแค่ล้อเล่นเอง อย่าเพิ่งโมโหสิ” เมื่อได้ยินกิลเบิร์ตพูดเสียงต่ำแบบนั้น
ลอว์รัสจึงหัวเราะออกมาและเอ่ยขอโทษ ในตอนที่เขาโตขึ้น
กิลเบิร์ตก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อบอกว่าเขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องคนที่จะมารับตำแหน่งต่อจากผม...ผมจะนับว่าความช่วยเหลือของคุณเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
“แล้วผมจะได้อะไรตอบแทนล่ะ...?”
“น้องสาวของผมบอกว่าเธออยากขี่ม้ากับคุณในครั้งถัดไปที่เราจะออกไปขี่ม้าเล่นกัน”
ลอว์รัสพอใจเป็นอย่างยิ่ง
และนั่นทำให้กิลเบิร์ตถอนหายใจเล็กน้อย
ไหล่ของเขาตกลงราวกับว่ามีอะไรบางอย่างร่วงทับลงมา
ถึงแม้ตำแหน่งของกิลเบิร์ตจะดูมั่นคง
แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย
ถึงแม้จะมีคนมากมายที่คอยหนุนหลังเขาเพราะเขาเป็นคนในตระกูลโบเกนวิลเลีย
แต่ก็มีใครอีกหลายคนที่ไม่พอใจเขา
เมื่อถึงเวลาที่กิลเบิร์ตที่ต้องตัดสินใจว่าเขาจะเลือกใครเป็นพันธมิตร ความอิจฉาและการทุจริตก็จะเกิดขึ้นเสมอ
การที่ต้องรวบรวมผู้คนเหล่านั้นมาไว้ในกำมือเป็นเรื่องยากและจำเป็นสำหรับเขาที่จะต้องให้ความพึงใจและคอยปกป้องพวกเขา
ลอว์รัสเป็นคนหนึ่งที่คอยหนุนหลังเขาและเคยเฝ้ามองเขาราวกับกำลังวิ่งไล่ตามในตอนที่เขาเข้าร่วมกองทัพ
และในตอนนี้ในที่สุดกิลเบิร์ตก็ได้มายืนอยู่เคียงข้างเขา
มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเลื่อนยศจากพันเอกไปเป็นนายพลจัตวาและเป็นพลตรีได้
อย่างลอว์รัสนั้นเขาไม่ได้มีความสนใจในการเลื่อนยศเลยแม้แต่น้อย
และกิลเบิร์ตก็เชื่อว่าเขาคงจะไม่สามารถเลื่อนยศไปได้ไกลกว่าพันเอกแล้ว
ชาติกำเนิดของเขาไม่เหมือนกิลเบิร์ต
จึงทำให้เขาอยู่ในสถานภาพที่จะโต้แย้งเรื่องความสำเร็จของเขาได้
“เรื่องนี้น่ะขึ้นอยู่กับพวกคุณสองคนแล้วนะ
แต่ได้โปรดอย่าทำให้น้องสาวของผมต้องเสียใจเลยเพราะว่าเธอชอบคุณมากจริง ๆ
สัญญากับผมได้ไหมครับ”
“ผมรู้ครับ ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะสารภาพรักกับผู้ชายอย่างผมมา
และผมก็ตั้งใจจะอยู่เคียงข้างเธอ แม้แต่ในหลุมศพของเราก็ตาม”
เขาไม่ได้มีท่าทีเรื่องทะเยอทะยานแต่อย่างใดและเขาก็เป็นคนที่น่าเชื่อถือได้อยู่แล้ว
แต่สำหรับกิลเบิร์ต การที่เขาจะปล่อยให้น้องสาวของเขาอยู่ในความดูแลของชายคนนี้
เขาจะต้องเป็นคนที่น่ายกย่องเสียก่อน
กิลเบิร์ตยกมือข้างซ้ายที่เป็นแขนเทียมของเขาขึ้นมาเพื่อนวดคลายความตึงเครียดระหว่างคิ้วของเขา
และหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะและไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงานขึ้นมา
เขาอ่านมันตั้งแต่ตื่นนอน และพกมันมาทำงานด้วย
เขามองรูปถ่ายที่เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาข่าวเรื่องรถไฟข้ามทวีป
“คุณ...อ่านมันมาตั้งแต่เช้าเลยนี่ คุณชอบรถไฟเหรอ?”
“ถ้าผมมีโอกาสได้เดินทางผมก็อยากลองขึ้นดูเหมือนกัน”
เขาพูดออกมาด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติเพื่อไม่ให้ถูกจับสังเกตได้
และพับข้างของหนังสือพิมพ์ที่เป็นรูปภาพก่อนจะวางมันลง
ลอว์รัสอยากถามกิลเบิร์ตว่าทำไมเขาถึงทิ้งนักรบหญิงแห่งไลเดนชาฟต์ลิชคนนั้นไปหลังจากจบสงคราม
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากที่จะเปิดประเด็นเรื่องนี้เท่าไรนัก และเมื่อพวกเขากำลังพูดคุยกันถึงเรื่องชีวิตประจำวัน
ใครบางคนก็เคาะประตู
“ผู้การชวาร์ตซ์มัน....อ่า ผู้การโบเกนวิลเลีย พวกคุณอยู่ถูกเวลามากครับ ตอนนี้พวกเรากำลังมีประชุมเร่งด่วนกันอยู่ครับ
มีเหตุการณ์ครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น และตอนนี้กำลังประชุมกันที่สำนักงานใหญ่เรื่องมาตรการตอบโต้อยู่ครับ
รีบมาเลยครับ ตอนนี้เลย เรากำลังเรียกทุกหน่วยงานมาประชุมพร้อมกันครับ”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นจากเจ้าหน้าที่ธุรการ
ทั้งสองคนก็มองหน้ากันและยืนขึ้นทันที
ผู้ที่มารวมตัวและนั่งอยู่บนโต๊ะกลมในสำนักงานใหญ่ส่วนใหญ่แล้วเป็นพันเอกทั้งหมด
และพลตรีกำลังอธิบายถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
“อย่างแรกและที่สำคัญที่สุด
ในเวลาบ่ายสองโมงตรงได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อเป็นเกียรติแก่รถไฟข้ามทวีปขึ้น
และหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ผู้โดยสารก็ได้ขึ้นไปบนขบวนและรถไฟก็จะเริ่มออกเดินทาง
มันผ่านสถานีอัตคาเร็กซึ่งเป็นหนึ่งในสถานีที่ต้องหยุดเติมน้ำและก็วิ่งต่อไป
แต่ในตอนนั้นเองที่มีชาวนาคนหนึ่งพบศพอยู่แถว ๆ สถานีนั่น จากข้อมูลที่ได้รับมาจากการรถไฟแห่งชาติของไลเดนชาฟต์ลิช
ดูเหมือนรถไฟจะหยุดอีกครั้งที่สถานีเราส์ชันด์ เพื่อแลกกับตัวประกัน” ในขณะที่ทุกคนกำลังตั้งใจฟังเขา พลตรีก็พูดออกมาด้วยความเจ็บแสบ “พวกศัตรูบอกให้เราปล่อยตัวอาชญากรทางการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกอัลแตร์ออกมา
เขาเป็นอาชญากรจากประเทศหนึ่งที่เคยเป็นพันธมิตรร่วมกับทางตอนเหนือในสงครามโรแฮนด์ครั้งก่อน
หลังจากประกาศยอมแพ้ เขาก็แบล็คเมล์ผู้นำประเทศของเขาให้ยกเลิกการประกาศทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น
และเขาจึงถูกจับ คนที่กำลังจี้รถไฟครั้งนี้อาจจะเป็นลูกน้องของเขา
ซึ่งหมายความว่าคนที่ก่อเรื่องนี้เป็นคนที่ไม่รู้ว่าพวกเขาแพ้สงครามแล้ว”
ความตึงเครียดเกิดขึ้นทั่วห้องทันทีที่พลตรีจำได้ว่าคน ๆ นั้นเป็น
‘ศัตรู’ ของพวกเขา ในไลเดนชาฟต์ลิชนั้น ‘ศัตรู’ ได้ก่อให้เกิดอันตรายต่อทั้งประเทศของพวกเขา
พวกเขาทั้งหมดตั้งใจจะจำกัดศัตรูทิ้ง
และพวกเขาส่วนใหญ่ก็มีกองกำลังทหารอยู่ในมือทั้งนั้น
จึงไม่เต็มใจที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการพูดคุย
“เพื่อทำภารกิจให้เสร็จ พวกศัตรูหวังจะย้ายไปยังประเทศของพวกมัน ซึ่งรถไฟก็กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองท่าทางตอนเหนือของทวีป
พวกมันมีเรือไว้พร้อมเรียบร้อยแล้วด้วย
ดูเหมือนพวกมันคิดว่าทุกอย่างจะราบรื่นดีสินะ...” พลตรีชกหมัดไปตรงทางตอนเหนือของทวีปที่อยู่ในแผนที่บนโต๊ะกลม
คนที่นั่งรอบล้อมโต๊ะกลมนั้นไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อยถึงแม้จะแอบสะดุ้งไปแล้วก็ตาม
และสายตาของพวกเขาก็จับจ้องไปยังพลตรีของพวกเขา
และตอบรับความโกรธที่พวยพุ่งออกมาจากตัวเขา
“เรา...พวกเรากองทัพแห่งไลเดนชาฟต์ลิช...มีอยู่เพื่อปกป้องประชาชนและดินแดนของพวกเราจากภัยคุกคาม
การยอมให้พวกศัตรูทำเช่นนี้หลังสงครามจบลงถือเป็นความอับอายต่อชื่อเสียงของไลเดนชาฟต์ลิชเป็นอย่างยิ่ง
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของชื่อเสียงเกียรติยศเท่านั้น
ตอนนี้มีผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว
และประชาชนของพวกเราจะต้องเดินทางไปกับพวกมันจนกว่าพวกมันจะข้ามไปยังประเทศของพวกมันสำเร็จ
และแน่นอนว่าบนขบวนรถไฟนั่นย่อมมีเด็กและผู้หญิงที่สู้ไม่ได้
ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะคิดว่าพวกเขาจะต้องผ่านอะไรไปบ้าง
เราต้องปกป้องพวกเขาไม่ว่ายังไงก็ตาม ‘ศัตรู’ กำลังเคลื่อนไหว แต่ปัญหาคือการควบคุมพวกมัน
เราจะกำหนดกลยุทธ์ในการตอบโต้ครั้งนี้โดยคำนึงถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
ผมอนุญาตให้ทุกคน
ไม่ว่าจะยศต่ำกว่าหรือสูงกว่าแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ได้เต็มที่เลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของพลตรี
ทุกคนก็เริ่มวางกลยุทธ์ในขณะที่ดูแผนที่ไปด้วย รถไฟกำลังเคลื่อนที่อยู่
ถ้าหากพวกเขาต้องการจะโจมตีศัตรู ก็มีอยู่ทางเดียวคือต้องบุกเข้าไปเท่านั้น เพราะการโจมตีจากด้านนอกอาจส่งผลต่อชีวิตของผู้โดยสารที่อยู่ด้านใน
และความคิดที่ว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรออยู่จุดเติมน้ำและบุกภายในครั้งเดียวนั้นอาจจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุด
แต่ศัตรูก็อาจจะคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว
และความกังวลเรื่องที่ตัวประกันอาจถูกฆ่าเพื่อเป็นการอนุญาตให้พวกมันเดินทางได้นั้น
พร้อมกับที่ผู้โดยสารอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกยั่วเย้า
พวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้รถไฟหยุดที่จุดเติมน้ำ
พวกเขาจึงพยายามติดต่อไปยังสถานีอย่างเร่งด่วน
การโต้เถียงเริ่มดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ท่ามกลางความวุ่นวายนั่นมีเพียงกิลเบิร์ตคนเดียวที่ยังคงเงียบและมีใบหน้าซีดเซียว
หูของเขายังคงฟังที่ทุกคนกำลังโต้เถียงกันอยู่
และในหัวของเขากำลังคิดว่าเขาควรเสนอเรื่องอะไรไปดี
แต่มีสิ่ง ๆ หนึ่งที่กำลังครอบงำทั้งร่างกายของเขาและทำให้การทำงานทั้งหมดในร่างกายหยุดเคลื่อนไหว
––ไวโอเล็ตอยู่บนรถไฟ
ไม่มีทางที่เขาจะเข้าใจผิดว่าคนในรูปถ่ายที่กำลังซื้อตั๋วสำหรับการเดินทางครั้งแรกนั่นไม่ใช่เธอ
มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่ออโต้เมมโมรี่ดอลล์จะเดินทางไปรอบโลกด้วยการขึ้นรถไฟ
ซึ่งก็หมายความว่าผู้หญิงที่อยู่บนรถไฟข้ามทวีปนั่นจะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเธอ
––ถ้าเขาโทรไปหาฮอดกินส์
หมอนั่นจะรับไหมนะ?
เขาได้ตราหน้ากิลเบิร์ตที่ทิ้งไวโอเล็ตไว้และหายไปอย่างไร้ซึ่งร่องรอย
ในบทสนทนาครั้งสุดท้ายของพวกเขา
เขาบอกว่าจะไม่คุยกับกิลเบิร์ตอีกจนกว่ากิลเบิร์ตจะทบทวนเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง
“กิลเบิร์ต...? คุณ...เงียบไปแล้วนะ แต่คุณคงมีความคิดดี ๆ อยู่ใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินลอว์รัสพูดกับเขา
กิลเบิร์ตจึงหันหน้าไปหา
เขาคงจะมีสีหน้าที่ต่างจากเดิมจึงทำให้ลอว์รัสเอนหลังและกำลังจะพูดกับเขา
แต่พลตรีเห็นเข้าเสียก่อน
“มีอะไรงั้นหรือลอว์รัส? ถ้ามีความคิดดี ๆ ก็พูดออกมาเถอะ”
“เปล่าครับ...ผม...ครับ ผมเห็นด้วยเรื่องซุ่มโจมตีที่จุดเติมน้ำครับ
แต่พวกทหารที่รักษาการณ์อยู่ตรงนั้นอาจจะเตรียมการณ์ล่วงหน้าไม่ทัน
แต่ผมก็คิดว่าเราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากเตรียมพร้อมและก็รอเท่านั้น...ผมคิดว่าการวางแผนและจัดการเรื่องทหารที่จะคอยหนุนหลังพวกเราในระหว่างการต่อสู้น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
การที่รถไฟต้องหยุดขบวนเพื่อเติมน้ำน่าจะอยู่ในแผนของพวกมันแล้วด้วย” เมื่อลอว์รัสเสนอความคิดของเขาจบ
บางทีอาจเป็นเพราะเขาคิดว่ากิลเบิร์ตไม่สบายจึงถามด้วยเสียงเบา ๆ “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
กิลเบิร์ตพยักหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อพลตรีเอ่ยถามความคิดเห็นของเขา กิลเบิร์ตก็พร้อมตอบ “ผมเห็นด้วยเหมือนกันครับ”
เนื่องจากเขากังวลเรื่องความปลอดภัยของไวโอเล็ตและผู้โดยสารคนอื่น ๆ
กิลเบิร์ตจึงสนับสนุนเรื่องการตอบโต้ครั้งนี้
––ตอนนี้ก็คงเป็นช่วงที่คนไม่เห็นด้วยกับเขาจะแย้งขึ้นมาแล้วกระมัง
เมื่อเขาคิดเช่นนั้น ความกลัวของกิลเบิร์ตก็กลายเป็นจริงทันที
“ผมรู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วยนะครับ
ถ้าเราเข้าไปควบคุมรถไฟที่สถานีสุดท้ายที่ท่าเรือทางตอนเหนือจะไม่ดีกว่าหรือครับ?”
หลังจากที่ลอว์รัสและกิลเบิร์ตเสนอความคิดเห็นของพวกเขาแล้ว
พันเอกคนหนึ่งที่คอยเฝ้าดูอยู่เงียบ ๆ เหมือนกับกิลเบิร์ตก็เอ่ยออกมา
“อาห์มาร์ ถ้าคุณอยากค้านเรื่องนี้ก็ช่วยอธิบายมากกว่านี้ด้วย” พลตรีให้พันเอกอาห์มาร์พูดมากกว่านี้
ลอว์รัสทำหน้าเซ็งอย่างเห็นได้ชัด
ชายที่ชื่อว่าอาห์มาร์ที่มีเคราขนาดใหญ่มียศเดียวกับเขา
แต่พวกเขาทั้งสองคนไม่ถูกกันเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนในห้องต่างรู้ดีว่าอาห์มาร์จะไม่เอ่ยอะไรออกมาเลยจนกว่าลอว์รัสจะเอ่ยออกมาก่อน
บรรยากาศในห้องเริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ
“ถ้าเราตั้งใจจะโจมตีพวกมันที่จุดเติมน้ำและสุดท้ายกลับปล่อยให้พวกมันไป
จำนวนผู้เสียชีวิตก็จะสูงขึ้นใช่ไหมล่ะครับ? พวกศัตรูก็จะฆ่าตัวประกันเพื่อแก้แค้นและมันก็จะแค้นพวกเรามากยิ่งกว่าเดิม
ในตอนนั้นผมว่าพวกมันจะต้องเรียกค่าไถ่แน่ ๆ ถ้าเป็นแบบนั้นผมคิดว่าปล่อยให้พวกมันทำตามแผนการไปและค่อยจัดการทีเดียวน่าจะดีกว่า
ผมขอโทษด้วยที่ต้องขัดการอภิปรายครั้งนี้ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน
ผมคิดว่าเราควรจะเลือกแผนที่แน่นอนที่สุด”
“ไม่ได้หรอกครับ! ถ้าคุณคิดถึงประชาชนจริง ๆ
เราก็ควรจะจัดการเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย! คุณคิดว่าตอนนี้ผู้โดยสารในรถไฟจะรู้สึกยังไงกัน?
คุณพูดแบบนั้นทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันต้องใช้เวลาเดินทางนานขนาดไหนเนี่ยนะ?! ครอบครัวของพวกเขาเองก็อยากให้พวกเราทำอะไรสักอย่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เหมือนกันนั่นแหละครับ!”
“ลอว์รัส คุณนี่มักจะแสดงความคิดเห็นของคุณด้วยเรื่องความรู้สึกเสมอเลยนะ
แต่เรื่องนี้น่ะมันไม่จำเป็นสำหรับแผนการนี้หรอกนะครับ
เราต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ก่อนสิ และค่อยจัดการเรื่องแบบนั้นทีหลัง
คุณให้คำแนะนำแบบนั้นด้วยการคิดถึงผลลัพธ์ต่อผลลัพธ์งั้นหรือ? มีคนตายไปแล้วนะครับ
เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปล่อยให้ผู้โดยสารอดทนต่อไปเท่านั้นแหละ”
หัวข้อของการประชุมถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายลอว์รัสที่คิดว่าการช่วยเหลือประชาชนสำคัญยิ่งกว่าเรื่องอื่น และฝ่ายอาห์มาร์ที่จัดลำดับความสำคัญของแผนการให้อยู่ภายใต้ความควบคุม
กิลเบิร์ตที่นั่งอยู่เงียบ ๆ ข้างลอว์รัสยังคงรู้สึกระส่ำระส่ายในขณะที่คิดถึงเรื่องแผนการ
แทนที่จะมัวแต่กระวนกระวาย เขาจึงอดทนต่อความรู้สึกและคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้
กิลเบิร์ตไม่เห็นด้วยกับความคิดของอาห์มาร์เลย
มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่ต้องคิดว่าไวโอเล็ต
เอเวอร์การ์เดนจะต้องเดินทางต่อไปแบบนั้นจนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง
เธอคงจะทำอะไรสักอย่างเป็นแน่
เรื่องที่เธออยู่บนรถไฟนั่นไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความหวังที่ยิ่งใหญ่
แต่ยังทำให้รู้สึกไม่สบายใจด้วย
––ถ้าเธอไปคนเดียว
เธอคงจะไม่มีวันประมาทแน่
เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะป้องกันตัวแค่เฉพาะในเหตุการณ์ที่จำเป็นเท่านั้น
กิลเบิร์ตสอนให้เธอเป็นคนที่คอยระวังตัวอยู่เสมอ
––เขาต้องไปช่วยจากเธอ
เขาต้องปกป้องเธอ เพราะว่าเธอแข็งแกร่งเธออาจจะ...
มันก็หมายความว่าเขากำลังจะกลับไปแก้ไขทุกอย่างในวันนั้น
วันที่เขาหลั่งน้ำตาและตัดสินใจแยกทางกับเธอ ถ้าหากว่าเธอรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
ไวโอเล็ตจะต้องพยายามกลับมาเป็นเครื่องมือของกิลเบิร์ตอีกครั้งแน่นอน
นั่นเป็นความกลัวที่สุดของที่สุดของเขา
––เขาไม่อยาก...เห็นคนที่เขารักเป็นเครื่องมืออีกครั้ง
กิลเบิร์ตเอ่ยถามตนเอง
– ในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่ผู้ชายที่มีนามว่ากิลเบิร์ต
โบเกนวิลเลียกลัวมากที่สุดคืออะไร?
––ความตายของไวโอเล็ต
กิลเบิร์ตเอ่ยถามตนเองอีกครั้ง
– ในสถานการณ์แบบนี้ เขาปรารถนาอะไรมากที่สุด?
––ความปลอดภัยของเธอ
เมื่อมองเข้าไปในหัวใจของเขา
เขาก็รู้ในทันทีว่าเขาต้องทำอะไร
––นี่ก็เป็น...โชคชะตาเหมือนกันหรือ?
กิลเบิร์ตหลับตาลงอีกครั้ง และหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
ใบหน้าของผู้หญิงที่เขาได้ทอดทิ้งเธอปรากฏขึ้นในความคิดของเขา
หน้าตาของเธอเป็นเหมือนกับรูปถ่ายในหนังสือพิมพ์ ที่แสดงให้เห็นว่าเธอโตขึ้นมากขนาดไหนนับตั้งแต่ที่พวกเขาไม่ได้พบกันอีก
เขาได้ใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะมานั่งตรงนี้ได้
และที่นั่งต่อไปที่เขาเล็งไว้ก็คือที่นั่งของพลตรี ยิ่งเขาปีนป่ายมากเท่าไหร่
เขาก็จะได้มีอิสระมากขึ้นเท่านั้น
ในตอนนั้น
เขาก็รู้สึกได้ว่าพระเจ้ากำลังนำทางเขาอีกครั้ง
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเป็นทุกข์เพราะกังวลเรื่องไวโอเล็ตมากขนาดไหนก็ตาม
เขาก็เข้าใจโดยถ่องแท้ว่าเขาจะต้องทำอะไรโดยใช้เหตุผลอย่างใจเย็น
––อย่าลืมสิว่าเขามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกัน
อย่าเครียดนักสิ
เขาเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ
––เขาเป็นคนที่เลือกเส้นทางนี้เอง
และตอนนี้มันก็ถึงเวลาแล้วก็แค่นั้นเอง
“ผม...ขอเสนอความเห็นได้ไหมครับ?”
ไม่มีความลังเลอยู่ในดวงตาสีเขียวมรกตของเขาอีกแล้ว
เขามองไปยังพลตรีและทุกคนที่อยู่รอบโต๊ะ เขารู้ว่าเขาควรทำตัวยังไง
“ผมมีความคิดดี ๆ ครับ” เสียงของเขาไม่ได้ดังเกินไปหรือเบาเกินไป
“อย่างแรก
เรื่องที่ส่งทหารไปประจำการอยู่บนทางรถไฟ...ผมเห็นด้วยครับ
เราไม่ควรปล่อยให้ขบวนรถวิ่งไปถึงตอนเหนือได้ แต่ถ้ามันต้องวิ่งไปถึงท่าเรือจริง ๆ
กองทัพเรือจะเป็นคนจัดการเรื่องนั้นเองครับ ผมจะคุยกับดีทฟริท โบเกนวิลเลีย
พี่ชายของผมเองครับ อย่างที่ท่านนายพลพูด
เราควรจะคำนึงถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อน”
การที่พูดด้วยท่าทางใจเย็นนั้นเป็นเรื่องสำคัญ
“ส่วนปัญหาเรื่องทหารที่ถูกส่งไป
ผมจะเป็นคนต่อสู้กับพวกมันที่สถานีปลายทางเองครับ หากต้องเปลี่ยนมันเป็นสนามรบ
เราอาจมีประเด็นอ่อนไหวกับทางตอนเหนือก็เป็นได้ ในสายตาของพวกเขา
พวกมันอาจจะเป็นวีรบุรุษสำหรับพวกเขาก็ได้
เราต้องให้พวกมันถูกกวาดล้างในดินแดนทางตอนเหนือ – ที่เป็นบ้านของพวกมันเอง –
มันจะต้องเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมแน่ครับ
แต่เราอาจจะต้องเตรียมใจยอมรับด้วยว่ามันอาจจะกระตุ้นให้เกิดความตกใจมากพอจนนำไปสู่เหตุการณ์ที่เลวร้ายได้ครับ
ตอนนี้ พวกเขาอาจจะยังดีกับพวกเราเพราะเรื่องที่พวกเราไม่มีกองกำลังทหารแล้ว
แต่พวกเขาจะต้องไม่พอใจเรื่องนี้อย่างแน่นอนครับ”
“ตอนนี้เราไม่ควรจะคุยกันเรื่องนั้นนะครับ!”
กิลเบิร์ตเอ่ยตอบต่อเสียงตะโกนที่แสดงความโมโหของอาห์มาร์ด้วยความฉลาด “คนที่พูดว่าต้องคิดถึงผลลัพธ์ต่อผลลัพธ์ก็คุณเองนะครับ ผู้การ”
“คุณ...กล้าพูดแบบนั้นกับผมได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่งไปแท้ ๆ...”
“ท่านนายพลพูดตั้งแต่แรกแล้วนะครับว่าอนุญาตให้พวกเราเสนอความคิดได้อย่างอิสระ
คุณไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของท่านนายพลหรือครับ?”
ถึงจะอ้างถึงคนที่มียศสูงกว่าพวกเขา
แต่อาห์มาร์ก็ยังปฏิเสธที่จะยอมแพ้ด้วยการพูดว่า “ไม่มีทาง”
ใบหน้าของเขาแดงจัด
อย่างที่อาห์มาร์ทำกับลอว์รัส
กิลเบิร์ตจึงเริ่มโต้แย้งบ้าง “โปรดให้ผมอธิบายความคิดของผมต่อด้วยครับ
ไม่มีอะไรที่จะยืนยันได้ว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้โดยสารเท่านั้น
แต่เราต้องอพยพทุกคนที่อยู่ทุกสถานีและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงด้วยเหมือนกัน
และผมก็ขอเสนอเรื่องแผนการแทรกซึมเข้าไปประกบตัวพวกมันจากเมืองไลเดนควบคู่ไปกับโจมตีที่จุดเติมน้ำด้วยครับ” เขากล่าวเสียงดังด้วยการพูดที่สัมผัสได้ถึงความสงบและความสง่างาม
คนเราต่างก็ตัดสินคนอื่นด้วยการมองและการได้ยินทั้งนั้น
และการที่เขาพูดแบบนี้จะทำให้คนอื่น ๆ เริ่มคิดว่า “สิ่งที่ผู้ชายคนนี้พูดน่าสนใจดีนะ”
“คุณพูดว่า ‘แผนการแทรกซึม’
งั้นเหรอ? ถ้าเราเริ่มจับพวกมันตอนนี้จะทันเวลาเหรอ?”
กิลเบิร์ตตอบโต้คำเย้ยหยันของอาห์มาร์ด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ผมจะให้ Nighthawks บินลาดตระเวนครับ”
“ถึงตอนนี้รถไฟจะหยุดวิ่ง ยังไงมันก็ต้องวิ่งต่ออยู่ดีนั่นแหละ!”
คนที่ใช้อารมณ์อยู่เหนือความคิดย่อมแพ้ก่อนเสมอ
“ถึงมันจะวิ่งต่อไป ยังไงมันก็ต้องหยุดวิ่งเพื่อเติมน้ำอยู่ดีครับ
ถ้าเราแทรกซึมได้สำเร็จ ความสำเร็จในการบุกเข้าไปที่จุดเติมน้ำก็จะเพิ่มขึ้นครับ
การช่วยเหลือผู้โดยสารถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
ยิ่งเราปล่อยให้พวกมันมีเวลามากขึ้นเท่าไหร่
ผู้เสียชีวิตก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นครับ ผมว่าทั้งฝั่งพวกมันและก็ฝั่งผู้โดยสารต่างก็เสียขวัญกันทั้งนั้น
และคุณก็รู้ว่ายังไง Nighthawks ก็ไปทันเวลาถ้าคุณปล่อยให้ผมจัดการ
ให้พวกเราระดมพลกองกำลังพิเศษแห่งไลเดนชาฟต์ลิชเถอะครับ
แน่นอนว่าผมเองก็จะเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการเหมือนกัน”
มีความปั่นป่วนในจิตใจเกิดขึ้น
เขามองดูสีหน้าของพลตรี แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่พบความผิดพลาดอะไรในข้อเสนอของเขา
กิลเบิร์ตจึงเอ่ยต่อเพื่อไม่ให้ความคิดของเขาหลุดประเด็น
“เมื่อไม่นานมานี้เราเองก็ได้เตรียมคนที่จะมาจัดการในสถานการณ์แบบนี้เรียบร้อย
แต่ทุกคนคงลืมไปแล้วใช่ไหมครับ? กองกำลังพิเศษแห่งไลเดนชาฟต์ลิชได้ทำงานมาตลอดตั้งแต่ช่วงสงคราม
และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาแทรกซึมได้อย่างดีเยี่ยมถึงแม้จะมีคนจำนวนน้อยก็ตาม
ถ้าหากเราสั่งให้พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาก็จะเคลื่อนไหวทันที
ถึงจะมีความเห็นที่ว่าผมไม่ควรจะผู้บังคับบัญชาพวกเขา
แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในความดูแลของผม และผมก็เพิ่งจะถูกเลื่อนยศเป็นพันเอกเมื่อไม่นานมานี้
ผมต้องการจะพิสูจน์ศักยภาพของผมครับ โปรดคิดว่าผมเป็นแค่หมากตัวหนึ่งแล้วกันครับ
ผมจะเป็นหมากกระดานที่ระดมกำลังกองทัพเรือเอง และถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
ก็ให้เริ่มแผนการแทรกซึมเพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้เลยครับ แต่ถ้าหน่วยของผมล้มเหลว
คนที่จะทำหน้าที่นี้จะเป็นทหารของกองทัพบกแห่งไลเดนชาฟต์ลิชแทน
ผมคิดว่ามันเป็นไปได้ยากมากที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเพียงเพราะความต้องการแก้แค้นของทางตอนเหนือ
ผมคิดว่า...มันต้องมีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่นอน
มันคงไม่ได้มีแค่กับดักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ผมรู้สึกได้ว่า...พวกมันอยากได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ครับ
ซึ่งผมคิดว่าพวกมันจะต้องวางกับดักที่พวกเราไม่รู้มากกว่านี้อีกแน่นอน” กิลเบิร์ตกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านนายพลคิดว่ายังไงครับ?
ผมหวังว่าท่านจะปล่อยให้ผมจัดการเรื่องนี้เองนะครับ” เขาอ้อนวอน
แต่สิทธิ์ในการตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา
เขาอ้อนวอนยิ่งกว่าเดิมด้วยสายตาและวิธีการหว่านล้อมของเขา
กิลเบิร์ตรู้ดี
ตั้งแต่ที่เขาอายุยังน้อย
เขารู้ตัวดีอยู่เสมอว่าเขาควรทำตัวยังไงต่อหน้าคนที่เขากำลังคุยด้วยอยู่
ถ้าหากเขาทำอะไรผิดพลาดไป คำติเตียนเหล่านั้นก็จะส่งมาถึงเขา
นั่นเป็นความลับสำหรับชัยชนะเพื่อที่จะใช้ชีวิตในฐานะตระกูลโบเกนวิลเลีย
เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง
เขามีชีวิตอยู่เพื่อคนที่ครั้งหนึ่งเขาไม่เคยรู้ว่าเขารักเธอมากแค่ไหน
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู แสดงศักยภาพของคุณให้เราเห็นในฐานะหมากตัวหนึ่งหน่อย”
“ผมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอนครับ” ในตอนที่ตอบไปเช่นนั้น
กิลเบิร์ตได้สร้างกลยุทธ์ที่แตกต่างออกไปเรียบร้อยแล้ว
หากมีวันไหนที่เขาคิดว่ามันเป็นวันที่แสนยอดเยี่ยมในชีวิตของซามูเอล ลาบูฟ
มันก็คงจะเป็นวันนี้
เพราะเขาได้รับเลือกให้เป็นวิศวกรในห้องเครื่องยนต์ที่อยู่ด้านหน้าของขบวนรถไฟข้ามทวีปขบวนแรกของประวัติศาสตร์
ใครบางคนคงจะสงสัยอย่างแน่นอนว่าเขาจุมพิตผนังห้องสีดำไปแล้วกี่ครั้ง
เขาเคยคุยเรื่องนี้กับครอบครัวและเพื่อนฝูงของเขานับครั้งไม่ถ้วน
ผู้คนที่รับรู้ถึงความพยายามของเขาต่างก็ยกย่องเขาจากใจจริงและยิ้มให้กับเขาในตอนที่เขาได้ทำงานให้กับรถไฟครั้งแรก
ในตอนแรก
ซามูเอลวางแผนที่จะใช้เวลาของเขาในการฮัมเพลงในขณะที่กำลังเดินทางไปรอบโลกในตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน
และนึกถึงวันที่แสนพิเศษอย่างนี้ซ้ำ ๆ ในหัวของเขา
“...คนที่ต้องมาทำหน้าที่แทนยังไม่มาอีกเหรอ?”
“ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมขอโทษด้วยครับ...!”
ผ่านไปแล้ว
6 ชั่วโมงและ 34 นาทีด้วยกันจนกระทั่งมาถึงช่วงเย็น
ซามูเอลมีปืนจ่ออยู่ที่คอของเขาจากด้านหลัง
ร่างที่แน่นิ่งของหนึ่งในเพื่อนร่วมงานและผู้ช่วยของเขานอนอยู่ที่เท้าของเขา และมีหัวห้อยหย่อน ๆ คนเหล่านั้นเป็นคนที่กล่าวทักทายและพูดคุยกับเขาในทุก ๆ วัน
แต่ในตอนนี้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว
รถไฟที่เรื่องราวของมันเพิ่งจะเริ่มต้นและเพิ่งจะถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ในตอนนี้ได้ถูกจี้และยึดโดยอาชญากรเสียแล้ว
––ทำไม...ทำไม...ถึงเป็นแบบนี้?
เขาทำอะไรลงไป?
เมื่อเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่โหดร้าย
อย่างแรกที่คนส่วนใหญ่ก็จะคิดเหมือน ๆ กันคือพวกเขาอยากจะคร่ำครวญ
––เขาทำอะไรผิด?
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มคิดว่าทำไมพวกเขาถึงโชคร้ายแบบนี้
เวลาแห่งความสุขนั้นจบลงตั้งแต่ซามูเอลได้ขับรถไฟออกจากสถานีเมืองไลเดน
เมืองหลวงของไลเดนชาฟต์ลิชหลังจากที่งานเฉลิมฉลองได้สิ้นสุดลงก่อนเวลาพลบค่ำ
รถไฟข้ามทวีปมีชื่อว่า
“ฟาม ฟาเตล” มีทั้งหมดสิบสามตู้ด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วยหัวรถจักร
3 หัว ตู้นอนเดี่ยว 2 ตู้ ตู้นอนธรรมดา 2 ตู้ ตู้โดยสาร 2 ตู้ ตู้โดยสารแบบพาโนรามิค ตู้รับประทานอาหาร 2 ตู้ และตู้ขนส่งสินค้า
เพื่อที่หัวรถจักรจะลากตู้รถไฟอีกสิบขบวนได้
ทุกสามตู้จะต้องมีวิศวกรและผู้ช่วยวิศวกรอยู่ประจำการ
และเมื่อได้ยินเสียงหวีดของไอน้ำ แต่ละตู้จะต้องใช้คนสามคนในการปรับความเร็ว
ดังนั้นถ้าขาดคนขับรถไฟคนใดคนหนึ่งไปก็จะไม่มีวันทำงานได้สำเร็จ
ยังไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำที่ฟาม
ฟาเตลถูกจี้ด้วยอาวุธหลังจากที่ออกมาจากไลเดนชาฟต์ลิช พวกนักจี้ทั้งหลายกระจัดกระจายอยู่แต่ละตู้โดยเริ่มยึดมาจากตู้สินค้า
โดยมีคนที่ถูกสังหารไปแล้วเป็นพนักงานยกกระเป๋าจากตู้นอนธรรมดาหนึ่งคน วิศวกรจากหัวรถจักร 3 หนึ่งคน คู่หูของซามูเอล – และผู้ช่วยทั้งหมดสามคน – จากหัวรถจักร 1
ฟาม
ฟาเตลจะต้องเติมน้ำเพื่อเป็นเชื้อเพลิงจากสถานีที่ต้องหยุดเพื่อเติมน้ำ
ซึ่งในตอนนี้คำขอพนักงานที่ต้องมาทำหน้าที่แทนวิศวกรและผู้ช่วยที่มีตำแหน่งว่างอยู่ได้ถูกส่งไปยังการรถไฟแห่งชาติของไลเดนชาฟต์ลิชแล้ว
ดูเหมือนพวกที่ขึ้นมาจี้รถไฟเองก็ต้องการอะไรบางอย่างจากรัฐบาลด้วยเหมือนกัน
แต่พวกเขาไม่ได้บอกเรื่องนั้นกับซามูเอลผู้ที่เป็นเพียงแค่หนึ่งในตัวประกันเท่านั้น
พวกเขามีผ้าที่มีสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศแห่งหนึ่งทางตอนเหนือผูกแขนพวกเขาไว้
พวกเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่? เพื่อแก้แค้นให้กับความพ่ายแพ้ของพวกเขางั้นหรือ?
พวกเขามีแผนอะไรที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้ไหม? แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
แต่เขาก็สรุปได้ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ทำตัวหละหลวมเป็นอย่างมากและไม่รับฟังคำสั่งจากใครด้วย
แต่ถึงพวกเขาจะไม่รู้ว่ารถไฟนี้ทำงานยังไง
พวกเขาก็จะฆ่าพนักงานทุกคนที่เข้ามาขัดขวางการทำงานของพวกเขาอยู่ดี
“อย่ากังวลไปเลย เรื่องมันจะยากกว่านี้นะถ้านายไม่ฟังคำสั่งของพวกเรา
แต่เพราะว่านายเป็นคนขับ พวกเราเลยจะไม่ฆ่านาย
พวกเราฆ่าคนพวกนั้นก็เพราะว่าคนมันแออัดเกินไป เพราะงั้นอย่ากลัวจนฉี่รดกางเกงขึ้นมาซะล่ะ
มันเหม็น” หนึ่งในนักจี้คนหนึ่งบอกซาอูเอลให้ใจเย็น
บางทีอาจเป็นเพราะเขาแสดงสีหน้าหวาดกลัวและไม่น่าดูจนเกินไป
“เอ่อ จนกว่าจะมีคนมาแทน…ผมต้องขับไปถึงไหนครับ...?”
“ขับไปจนถึงปลายทางเลย และห้ามเปลี่ยนเส้นทางด้วย
สิ่งที่เราต้องการจากนายก็แค่พาเราไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัยก็เท่านั้น”
ในตอนแรกเขาคิดว่าถ้าเขาพูดอะไรไปอาจทำให้พวกเขาโมโหและทำร้ายเขาก็ได้
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เขาสามารถพูดคุยกับคนเหล่านี้ได้อย่างปกติ
––พวกเขาอาจจะเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งอย่างเขาก็ได้
แต่เขาจะคิดแบบนั้นกับคนพวกนี้ไม่ได้เด็ดขาด
จากมุมมองของซามูเอล
พวกเขาดูเหมือนคนที่มาจากคนละโลกกับเขาเลย
มีคนอีกมากมายนอกเหนือจากซามูเอล ลาบูฟที่คิดว่าทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้
ไม่เหมือนกับซามูเอล เพราะเนื่องจากเขาเป็นวิศวกร เขาจึงจะไม่ถูกฆ่า
แต่กลับกันกับผู้โดยสารที่กำลังหวาดกลัว
เพราะพวกเขาอาจถูกฆ่าได้ทุกเมื่อถ้าหากไปแหย่พวกนักจี้พวกนี้เข้า
หลายชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่มาถึงจุดเติมน้ำและการจี้ได้เริ่มขึ้น
จำนวนอาชญากรนั้นมีไม่เยอะ และพวกเขาก็เปลี่ยนเวรกันในการดูตัวประกัน
ผู้โดยสารไม่รู้เลยว่ามีวิศวกรและผู้ช่วยบางคนที่ถูกฆ่าไปแล้วและกำลังรอให้มีคนมารับหน้าที่แทนอยู่
สภาวะตึงเครียดจากความกลัวยังคงอยู่
และสภาพจิตใจของผู้โดยสารก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
“ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นด้วย?” ในตู้รับประทานอาหาร
2 หนึ่งในผู้โดยสารคนหนึ่ง – ที่เป็นชายแก่ ๆ ที่ดูใจดี –
อาลัยต่ออาหารเย็นชืดที่วางอยู่หน้าเขา
––ในเวลาแบบนี้
เขาอยากจะเห็นหลานของเขาสวมชุดแต่งงานและแต่งงานกับใครสักคนในบ้านเกิดของพวกเขา
เขาไม่คิดเลยว่าการเดินทางบนรถไฟที่เริ่มต้นด้วยความสุขจะกลายเป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวแบบนี้
เหตุการณ์เลวร้ายใหญ่ ๆ มากมายที่เขาเคยเห็นในหนังสือพิมพ์และได้ยินมาจากปากคนอื่นนั้นเกิดอยู่ในที่ที่ห่างไกลจากเขามาก
ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องร้ายแรงแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเขา
เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดกับใคร
แต่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขากลับตอบเขา
“แล้วขบวนรถไฟข้ามทวีปควรจะเป็นยังไงหรือคะ...?”
ท่ามกลางเสียงที่วุ่นวายนั่น
เสียงที่แสนไพเราะดังก้องอยู่ในหูของเขา “มันเป็นยานพาหนะขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับทางรถไฟที่เชื่อมไปยังอีกด้านหนึ่งของทวีป
และมีไว้เพื่อขนส่งอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะสินค้าหรือผู้คน
มันส่งมอบการเข้าถึงและกำไรให้กับผู้คนมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นรถไฟก็ไม่สามารถวิ่งได้ถ้าไม่มีรางรถไฟ
ดังนั้นการที่จะสร้างรางรถไฟ ผืนดินจะต้องได้รับการชำระล้างเสียก่อน
ถึงแม้จะมีสวนดอกไม้หรือบ้านสักหลังอยู่ก็ตาม
ไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่ขวางทางอยู่จะต้องถูกจำกัด”
เสียงนั่นเป็นของหญิงสาวที่แสนประหลาดและน่าดึงดูดคนหนึ่งที่กำลังมองสีของท้องฟ้าที่กำลังเปลี่ยนไปอยู่เงียบ ๆ โดยที่ไม่ได้กรีดร้องออกมาสักแอะนับตั้งแต่ที่รถไฟถูกจี้
ราวกับมีเครื่องจักรหรืออะไรบางอย่างฝังอยู่ในหัวของเธอ เธอพูดต่อไปอย่างไหลลื่น “การที่จะสร้างรางรถไฟได้
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องทำลายปราสาททางตอนเหนือที่เป็นอนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมทิ้ง
ยิ่งไปกว่านั้น
ฉันยังได้ยินมาว่าผู้ประกอบการทางตอนเหนือได้รับความเดือดร้อนจากการทำงานหนักเนื่องจากค่าแรงที่ต่ำมากด้วยค่ะ
เส้นทางเหล่านั้นถูกระเบิดเพื่อให้พวกเราผ่านภูเขาได้
และอุบัติเหตุที่เกิดจากการระเบิดก็เกิดขึ้นไม่น้อยด้วยค่ะ”
ดวงตาสีฟ้าของหญิงสาวสังเกตเห็นสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศทางตอนเหนือที่ผูกไว้รอบแขนของชายคนหนึ่งที่ถืออาวุธอยู่
“เป็นไปไม่ได้หรอก เธอไม่ควรพูดโกหกนะ
เรื่องแบบนั้นน่ะ...มันไม่มีในหนังสือพิมพ์เลยไม่ใช่เหรอ?”
มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่จะไม่รู้สึกอึดอัดที่ได้ยินคำพูดที่ใส่ร้ายชาติของพวกเขา
และเมื่อได้ยินชายชราคนนั้นพูดด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย หญิงสาว –
ที่มีนามว่าไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน – ก็เอ่ยตอบ “มันไม่ใช่เรื่องที่โด่งดังหรอกค่ะ
ฉันได้ยินโดยบังเอิญในตอนที่กำลังเดินทางอยู่น่ะค่ะเพราะก่อนหน้านี้ฉันได้เดินทางไปแทบทุกที่เลย
มีความเป็นไปได้ที่ว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นแรงผลักดันของพวกเขาก็ได้นะคะ...แต่ถ้าเป็นเรื่องนั้นจริง
พวกเขาก็ควรจะทำลายรถไฟคันนี้และฆ่าพวกเราทั้งหมด
แต่พวกเขาฆ่าลูกเรือไปไม่กี่คนเท่านั้นเอง
และดูเหมือนพวกเขาจะคำนึงถึงชีวิตของผู้โดยสารเป็นสำคัญด้วย พวกเขา...คงจะมีจุดประสงค์อื่น…”
ชายชราตัวสั่นด้วยคำว่า
“ฆ่า” จากปากของผู้หญิงที่ดูอ่อนแอกว่า “เธอพูดแบบนั้น หมายความว่ายังไง..?”
“ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ
เพราะว่าพวกเขาจับเราเป็นตัวประกัน...มันอาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเขาต้องการอะไรบางอย่างจากรัฐบาลกระมังคะ”
ชายชราไม่ได้เชื่อคำพูดของไวโอเล็ต
แต่กลับทึ่งไม่น้อยเมื่อได้ยินการคาดเดาที่แสนฉลาดของเธอ
––ผู้หญิงคนนี้...ทำงานอะไรกันนะ?
เธอเป็นผู้หญิงที่แสนลึกลับคนหนึ่งที่มีหน้าตาราวกับตุ๊กตาที่พวกเด็กตัวเล็ก ๆ ถือไปไหนมาไหนด้วย
เขารู้สึกกลัวน้อยลงเพราะความอยากรู้เรื่องของเธอ
“ถึงอย่างนั้นเราก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ฉันแค่...อยากไปร่วมงานแต่งของหลานสาวฉันก็เท่านั้นเอง”
“ค่ะ เราทำอะไรไม่ได้” ไวโอเล็ตเอ่ยต่อ “เรื่องของพวกเราเองก็ไม่สำคัญกับพวกเขาด้วยเหมือนกันค่ะ
แต่ละฝ่ายเองก็มีความเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของตัวเอง
และรถไฟขบวนนี้ก็คงจะเปลี่ยนเป็นสนามรบให้กับสงครามของพวกเขาแล้วล่ะค่ะ”
โลกทั้งโลกถูกปกคลุมด้วยความมืดและเปลี่ยนเป็นยามเย็น
แสงไฟอ่อน ๆ จากโคมไฟที่ห้อยอยู่ในขบวนรถช่างแตกต่างจากสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างมาก
ดวงตาสีฟ้าจ้องมองไปยังขบวนการเติมน้ำที่อยู่ด้านนอกขบวนรถ
ชายคนหนึ่งตะโกนใส่ผู้โดยสารสองสามคนที่ถูกจับเป็นตัวประกันตามลำดับ
“ฉันควรจะ...ไปได้แล้วค่ะ”
และในตอนนั้นเองที่ชายชราสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
เธอไม่ได้เพียงแค่กำลังสังเกตสถานการณ์ด้วยความเงียบเท่านั้น
แต่เธอตั้งใจจะทำอะไรบางอย่าง
“นี่ หนู ฉันไม่รู้นะว่าเธอตั้งใจจะทำอะไร แต่เธออยู่เฉย ๆ น่าจะดีกว่า...”
“ข้างนอกมืดหมดแล้วค่ะ กระจกพวกนี้ค่อนข้างใหญ่เลยใช่ไหมคะ?”
ชายชรารู้สึกสับสนเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่สมเหตุสมผลนั่น
“คุณคะ คุณสูบบุหรี่หรือซิการ์ไหมคะ?”
“ส-สูบ”
“คุณมีไม้ขีดไหมคะ?”
“อยู่ในกระเป๋าข้างขวาของฉัน...”
“หลังจากนี้ฉันขอยืมสักก้านนะคะ” เธอไม่พูดอะไรมากกว่านั้น
ไวโอเล็ตยืนขึ้นทันที และค่อย ๆ ยกมือขึ้นมามัดผมของเธอ
ชายชราเห็นมือของเธอจับแท่งเงินที่แหลมบางแท่งหนึ่งอกมา
มันเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่เธอซ่อนไว้เพื่อใช้ในการต่อสู้ทั้งระยะไกลและระยะประชิด
แต่ในมุมมองของคนทั่วไป มันก็ถูกมองเป็นแค่เข็มแท่งหนึ่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม
หนึ่งในอาชญากรคนหนึ่งเล็งปืนมาที่ไวโอเล็ตเมื่อเห็นเธอทำตัวแปลก ๆ “เฮ้ เธอจะทำอะไร?! ยกมือขึ้นเดี๋ยวนี้!”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เธอยกมือขึ้นอย่างที่เขาบอก
ทันใดนั้น
โคมไฟในรถไฟก็ระเบิดและไฟก็ดับลง เสียงกรีดร้องของผู้โดยสารปะปนไปกับเสียงเดือดดาลของนักจี้
แต่ไม่มีเสียงปืนแต่อย่างใด
มีเสียงของอะไรบางอย่างกำลังโจมตีและทำลายกระจกอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนถูกโอบล้อมด้วยความสับสนในความเงียบท่ามกลางความมืดมิดที่เงียบสงัด
เกิดอะไรขึ้นกับพวกจี้รถไฟกัน?
เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น? และในตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นในรถไฟกัน?
และในขณะที่ในหัวของผู้โดยสารเต็มไปด้วยคำถามนั่น
ไฟก็ถูกจุดขึ้นในโคมไฟที่เพิ่งแตกไปอีกครั้ง
หญิงสาวที่แสนงดงามถือไม้ขีดไฟไว้และโผล่ออกมาจากความมืดมิดราวกับวิญญาณตนหนึ่ง
เธอกระซิบ “ชู่ว” โดยที่มีนิ้วชี้แนบอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ
หญิงสาวคนนั้นดูเด่นชัดเหลือเกินเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้
ผู้โดยสารทุกคนที่สังเกตเห็นเธอเงียบลงทันทีเมื่อเห็นเธอยกนิ้วขึ้นจุ๊ปาก
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นนักเดินทาง ฉันรู้ค่ะว่าทุกท่านกำลังเหนื่อย
แต่ได้โปรดรออีกสักประเดี๋ยวนะคะ
ฉันจะออกไป...จัดการกับผู้คุมที่อยู่ด้านนอกและในตู้สินค้าก่อน” เธอไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น ไวโอเล็ตก็เป่าไม้ขีดไฟด้วยความรวดเร็ว
ในตอนนั้นเองที่ชายชราเพิ่งรู้สึกตัวว่าเธอได้หยิบไม้ขีดไฟจากกระเป๋าเสื้อของเขาไปแล้วโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
ภายในโลกที่แสนมืดมิด
มีเพียงแค่เสียงที่ดังขึ้นอีกครั้งเท่านั้น
และเมื่อหน้าต่างฝั่งซ้ายถูกเปิดออกและมีคนกระโดดลงไป มีเสียงกรวดที่ถูกเหยียบดังขึ้นและเสียงของคนที่วิ่งตามมา
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ก็มีเสียงของอะไรบางอย่างหนัก ๆ กำลังถูกลาก
เหล่าผู้โดยสารสะดุ้ง
และรู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงมีคนเหยียบกรวดอีกครั้ง
มันเป็นการเคลื่อนไหวที่แสนว่องไวและกำลังเข้ามาใกล้ ๆ ขบวนรถ
เสียงฝีเท้าของคนที่พวกเขามองไม่เห็นทำให้คนที่ตกอยู่ใต้ความกลัวเป็นเวลานานรู้สึกไม่สบายใจ
“ขออภัยด้วยค่ะ”
“เฮ้ย!” ชายชราร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเคาะหน้าต่างจากด้านนอก
ไวโอเล็ตยืนอยู่ข้างนอกขบวนรถ
และมีแสงจันทร์ทอแสงลงมาที่ด้านหลังของเธอ
“ทุกท่านคะ
รีบหนีออกไปจากที่นี่ก่อนที่จะมีคนจากขบวนรถไฟอื่นมาโจมตีรถไฟขบวนนี้เลยค่ะ
และช่วยอยู่เงียบ ๆ กันด้วยนะคะ”
เธอแต่งตัวเหมือนกับตุ๊กตา
และหน้าตาก็ยังเหมือนกับตุ๊กตาอีก คำแนะนำจากปากของเธอนั่นช่างน่าเคลือบแคลงใจ
“ให้ผู้หญิง คนแก่ และเด็กออกไปก่อนนะคะ
โปรดเดินไปตามรางรถไฟและเดินตรงข้ามกับทางที่รถไฟวิ่งมานะคะ
มันอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ถ้าคุณเดินไปยังสถานีที่ใกล้ที่สุด
จะมีสารวัตรรอพวกคุณอยู่และคอยคุ้มกันพวกคุณอย่างแน่นอนค่ะ
อย่าเฝ้ารออยู่ที่สถานีนี้เด็ดขาดเลยนะคะ
ดูเหมือนพนักงานของสถานีรถไฟกำลังพูดคุยกับพวกผู้คุมอยู่ค่ะ
ซึ่งหมายความว่าจะต้องมีองค์กรอื่นที่มีส่วนร่วมในการยึดขบวนรถไฟนี้แน่นอนค่ะ”
ใคร ๆ ก็บอกได้ว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
ถึงแม้จะไม่เห็นการต่อสู้ของเธอตรง ๆ ก็ตาม
ผู้คนเริ่มปีนออกจากทางหน้าต่างและลงมาอย่างรวดเร็ว
“แล้วเธอล่ะ? เธอจะไม่มากับเราเหรอ?” ชายชราถามหญิงสาวที่น่าพิศวงเมื่อเขาลงมาถึงพื้น
ไวโอเล็ตส่ายหัว
“ฉันมีสิ่งที่ต้องทำค่ะ ตั้งแต่จบสงครามไปก็เพิ่งจะมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
ดูเหมือนว่ากองทัพของไลเดนชาฟต์ลิชจะเข้ามาจัดการกับความขัดแย้งนี้ค่ะ
มันคงเป็นเรื่องยากมากที่จะหยุดรถไฟไว้โดยไม่โจมตีจากข้างนอก...และยังมีคนอยู่ข้างในแบบนี้อีก
แต่ถ้าไม่มีคนในขบวนแล้วพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องลังเลแล้วค่ะ
ดูเหมือนว่าการต่อสู้จะเริ่มขึ้นเมื่อรถไฟไปถึงสถานีที่ต้องหยุดสถานีถัดไปนะคะ
แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้นฉันต้องทำในสิ่งที่ฉันทำได้ก่อน...”
“นั่นน่ะ...ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องทำหรอกใช่ไหม? วิ่งหนีไปด้วยกันเถอะ”
“ไม่ค่ะ...”
ดวงตาสีฟ้าของเธอจ้องมองไปยังชายชราที่อยู่เบื้องหน้าเธอ
แต่จิตใจของเธอได้ล่องลอยไปที่อื่นเสียแล้ว
“ไม่ค่ะ มันเป็นสิ่งที่ฉันต้องทำ
ฉัน...ฉัน...ทำแบบนี้ก็เพื่อใครบางคนที่ฉันอยากจะเป็นความแข็งแกร่งให้เขาค่ะ
ถึงจะเป็นแค่ทางอ้อมก็ตาม”
เธอมองไปยังกิลเบิร์ต โบเกนวิลเลีย คนที่อยู่ไกลแสนไกล และถ้าเขาอยู่ที่นี่เขาจะต้องช่วยเหลือประชาชนทุกคนอย่างแน่นอน
“โชคดีที่ฉันคงจะไปถึงที่ที่ฉันจะไปก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน
ฉันบังเอิญได้ขึ้นรถไฟนี้น่ะค่ะ จริง ๆ แล้วก็มีการเดินทางอีกหลายวิธีเลย
ถ้าวันนี้ฉันติดต่อกับบริษัทของฉันได้ พวกเขาก็ควรจะเตรียมหาคนมาทำหน้าที่แทนฉัน…เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ค่ะ
เพราะฉะนั้นท่านประธานของบริษัทคงจะคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้วและเตรียมจัดหาคนมาแทนแล้วแน่นอนค่ะ
ฉันกังวลแค่เรื่องนี้เท่านั้นแหละค่ะ”
“เธอควรจะกังวลเรื่องสภาพร่างกายของเธอแทนเรื่องแบบนั้นสิ
มันอันตรายนะ...เธอเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่งเองไม่ใช่เหรอ?”
“อย่ากังวลไปเลยค่ะ เพราะว่าคืนนี้มืดมาก
ฉันคิดว่าฉันน่าจะควบคุมสถานการณ์นี้ได้ด้วยความเสียหายที่น้อยที่สุดค่ะ”
“เธอบอกว่า ‘ควบคุม’ งั้นเหรอ...”
“ควบคุมสถานการณ์ค่ะ” เธอพูดคำที่เธอพูดก่อนหน้านี้
มันไม่ได้หมายความถึง “ทนต่อการต่อต้าน” หรือ “ยึด” ทั้งนั้น
คำที่เธอพูดมีความหมายต่างออกไป เธอวางแผนที่จะให้อีกฝ่ายยอมแพ้
ผู้หญิงที่แสนงดงามคนนั้นดูไม่มีความกลัวหรือความกังวลเลยแม้แต่น้อยถึงแม้ว่าจะมีกำลังน้อยกว่าก็ตาม
––เขารู้สึกว่า...มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่ามั่นใจเลยแฮะ
ท่าทางของเธอที่ปรากฏอยู่ในสายตาของชายชราเหมือนกับเครื่องจักรกลไม่มีผิด
“เธอไม่กลัวเหรอ?”
“ไม่ค่ะ”
เธอดูเป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องนั้นเท่าไหร่นัก
เพราะเธอเลือกที่จะต่อสู้กับเหล่านักจี้พวกนั้น
รถไฟเริ่มออกวิ่งอีกครั้ง
ชายชราเอ่ยขอบคุณเธอที่ช่วยทุกคนไว้ในตอนที่เธอปีนกลับขึ้นไปบนรถไฟและถามเป็นครั้งสุดท้าย
“เธอชื่อว่าอะไรเหรอ?”
สีหน้าของไวโอเล็ตดูน่าดึงดูดเสียยิ่งกว่าเดิมเมื่อเธอยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบที่ริมฝีปากโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก
และเมื่อรถไฟลาลับไป ชายชราก็ไม่ได้ยินชื่อของเธอ
ย้อนกลับไปเมื่อ
6
ชั่วโมง และ 47 นาทีที่แล้ว
กิลเบิร์ตได้ส่งเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ประชุมฉุกเฉินให้กับหน่วยของเขา
พวกเขารวมตัวที่ลานวิ่งที่ที่ Nighthawks กำลังจะออกบิน
พวกเขาทุกคนกำลังรอ ทุกคนกำลังรอข้อสรุปจากที่ประชุมอยู่
เขาตัดสินใจที่จะใช้ประโยชน์จากเวลาในการรอคอยนั่นติดต่อกับผู้ชายสองคนที่เขาต้องการพูดคุยด้วย
“เรากำลังเชื่อมต่อกับกระทรวงทหารเรือแห่งไลเดนชาฟต์ลิช”
“โทษที ผมขอยืมมันหน่อยได้ไหม และช่วยกันคนออกไปจากตรงนี้ให้ที”
คนจากห้องสื่อสารที่กิลเบิร์ตได้ร้องขอมาล่วงหน้าให้โทรหาพี่ชายของเขายอมให้เขานั่งแทนที่ตนเอง
เสียงของพี่ชายเขาดังขึ้น
“กิล นายมีเรื่องจะขอพี่ชายอย่างนั้นเหรอ?”
มันเป็นน้ำเสียงของคนที่แกล้งทำเป็นไม่พอใจ กิลเบิร์ตคิดเช่นนั้น
ถึงแม้ดีทฟริทจะขอกิลเบิร์ตอะไรสักอย่างได้
แต่เรื่องนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักนิด
แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาขอให้อีกฝ่ายทำอะไรให้ ถึงแม้พี่ชายของเขาจะทำท่าทางเหมือนกับรำคาญ
แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธเขาเลยสักครั้ง
เขาคงจะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณกิลเบิร์ตที่คอยเลี้ยงดูเธอคนนั้นที่เขายกให้กระมัง
“ครับ พี่ชาย ผมมีเรื่องจะขอ”
ไม่มีทางที่คนเป็นพี่ชายจะไม่มีความสุขที่น้องชายต้องพึ่งเขาหรอก
กิลเบิร์ตได้ประกาศในห้องประชุมว่าเขาจะระดมกำลังกองทัพเรือได้อย่างแน่นอนเนื่องจากโอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จนั้นมีมาก
และสถานการณ์ในตอนนี้ก็ดูเหมือนจะถูกส่งเรื่องไปให้กองทัพเรือแล้วเช่นกัน
ดังนั้นจึงมีการขอเรือรบเพื่อป้องกันการอพยพของพวกมันจากท่าเรือทางตอนเหนืออย่างเป็นทางการ
ถึงแม้ว่าทั้งสองจะเป็นองค์กรระดับชาติเหมือนกัน
แต่กองทัพบกและกองทัพเรือแห่งไลเดนชาฟต์ลิชก็แยกหน่วยงานกันอย่างชัดเจนและใช้แค่งบประมาณทางทหารร่วมกันเท่านั้น
ผู้ที่คอยใกล่เกลี่ยจึงจำเป็นมากสำหรับการขอความร่วมมือจากอีกฝ่าย
เพราะถ้าหากพึ่งอย่างอื่นคงจะเป็นเรื่องที่ยากมากเพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน
เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องที่ดีทฟริทที่ทรยศตระกูลโบเกนวิลเลีย –
ตระกูลที่ได้เข้าร่วมกองทัพบกมาหลายชั่วอายุคน –
และเกณฑ์เข้ากองทัพเรือได้กลายเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเขาทั้งสองคนแล้ว
เช่นเดียวกับกิลเบิร์ต
ดีทฟริทเองก็ได้พยายามปีนป่ายขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงกว่าเพื่อทำให้กองทัพของเขาใหญ่ขึ้น
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะตอบแทนพี่คืนสักวันแล้วกัน”
“เอาเครื่องดื่มมาฉลองวันเกิดฉันก็พอแล้วล่ะ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็จะยอมทำให้แล้วกันถึงจะไม่ได้รับค่าตอบแทนก็ตาม”
กิลเบิร์ตเอ่ยตอบและตั้งใจจะวางสาย
แต่แล้วปลายนิ้วของเขาที่กำลังเหยียดตรงก็หยุดชะงักเมื่อได้ยินคำพูดถัดมาจากปากของดีทฟริท
“อ่าฮะ...อีกเรื่องหนึ่ง เหตุผลที่นายสิ้นหวังขนาดนี้เพราะ ‘มัน’ ใช่ไหม? ฉันบังเอิญเห็น ‘มัน’
ในหนังสือพิมพ์เข้าถึงจะไม่อยากเห็นก็ตามเถอะ ‘มัน’ กำลังไปหานายหรือไง? ‘มัน’
รู้แล้วใช่ไหมว่านายยังมีชีวิตอยู่?
ฉันล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น นายจะทำให้ ‘มัน’ เป็นของนายหรือเปล่า?”
“ฮะ?” มันเป็นเรื่องปกติตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แล้วที่พี่ชายของเขาจะแกล้งเขา
กิลเบิร์ตจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ “เลิกเล่นมุกห่วย ๆ ในเวลาแบบนี้ซะทีเถอะ
ไวโอเล็ตไม่รู้สักหน่อยว่าผมยังมีชีวิตอยู่”
เงียบกริบ
“พี่?”
“มันไม่ใช่มุกหรอกนะ ฉันเข้าใจล่ะ...ตอนแรกฉันนึกว่า ‘มัน’ จะรีบไปหานายให้เร็วที่สุดซะอีก
แต่ฉันเข้าใจผิดใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น ‘มัน’ ก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่เพราะเรื่องนี้สินะ...เพราะว่านายเป็นคนดี
นายเลยพยายามอยู่ห่างจาก ‘มัน’ เพื่อให้
‘มัน’ มีชีวิตที่แสนสงบสุข เพราะงั้นนายก็เลยกังวลสินะว่า
‘มัน’
จะรู้เรื่องนี้เข้าเพราะแผนการช่วยเหลือขั้นเร่งด่วนนี่น่ะ ไม่ต้องกังวลไปหรอก ‘มัน’ รู้เรื่องนี้อยู่แล้วล่ะ”
“พี่...พี่พูดเรื่องอะไร...?” เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงบนแผ่นหลังของเขา
“ไม่มีทาง...ที่เธอจะรู้เรื่องนี้หรอก” เสียงของเขาสั่น
“แต่ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ
ครั้งสุดท้ายที่ฉันเจอนายในช่วงงานจดหมายโบยบิน...ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าฉันเจอ ‘มัน’ น่ะ? ก่อนหน้านั้น ‘มัน’ ถามฉัน...ว่านายยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ฉันเลยตอบกำกวมไป
และเพราะอย่างนั้น ‘มัน’...เธอก็เลยเชื่อว่านายยังมีชีวิตอยู่”
ถึงแม้ว่ากิลเบิร์ตจะเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่ได้
แต่เขาก็ยังอยากพูดว่า “เดี๋ยวก่อน” อยู่ ในหัวของเขาขาวโพลน เขารู้สึกหัวหมุนเสียจนอยากจะอ้วกออกมา
เขายกมือขึ้นปิดปากและเงียบ
––ไวโอเล็ต...รู้หรือ?
“เฮ้ กิล นายเป็นอะไรหรือเปล่า?”
เขาได้ยินเรื่องที่คำโกหกของเขาทำให้เธอรู้สึกเป็นทุกข์และเสียใจมากขนาดไหนจากฮอดกินส์
ถ้าเธอรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ถ้าอย่างนั้นกิลเบิร์ตก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากเจ้านายของเธอที่ทิ้งเธอไปโดยไม่ได้ยกย่องเกียรติความเป็นทหารของเธอเลย
และคงช่วยอะไรไม่ได้ถ้าเธอจะเกลียดเขาขึ้นมา
“ทำไม...พี่ถึงพูดแบบนั้น...?!”
ความโกรธเกรี้ยวท่วมท้นหัวใจของกิลเบิร์ต เขาอยากจะระบายมันออกมา
และทางเดียวที่เขาจะระบายได้ก็คือพี่ชายของเขาเท่านั้น
“อย่างกับฉันสนงั้นแหละ อย่าเอาฉันไปเอี่ยวกับเรื่องรัก ๆ ที่ไม่ลืมหูลืมตาของนายสิ
ฉันไม่ได้บอกเธอแบบนั้น แต่เธอเชื่อไปเองก็แค่นั้นแหละ”
“พี่คิดว่ามันไม่เกี่ยวกับพี่...พี่ชาย
พี่เป็นแบบนี้ตลอด...แล้วผมจะมองหน้าเธอได้ยังไงล่ะ...?!”
“คนที่ใกล้ชิดกับนายมากที่สุดคือครอบครัวใช่ไหม?
ดูเหมือนว่าเธอจะคิดมาตลอดว่านายยังมีชีวิตอยู่ พอเธอได้รับการยืนยันว่านายยังอยู่
แล้วฉันจะทำยังไงได้ล่ะ? แต่ก็นะ ตาของยัยนั่นเปล่งประกายอย่างกับคนโง่เลย
ถ้าเธอไม่ได้ไปหานาย...ก็คงมีอยู่ทางเดียวที่ฉันคิดออกก็คือ เพราะเธอเป็นแค่เครื่องมือ
เธอจึงรอให้เจ้านายของเธอมารับเธอน่ะสิ
เธอคงรอให้ถึงเวลาที่เธอจะเป็นที่ต้องการอีกครั้งล่ะมั้ง...เพราะว่าเธอโง่ยังไงล่ะ
มันเป็นโอกาสที่ดีเลยนะ เพราะงั้นไปหาเธอซะสิ”
“พี่––!!”
“นายเตรียมตัวที่จะรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในตอนที่ทำแผนนี้ขึ้นมาอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?
ขอบคุณพี่ชายของนายซะสิที่ให้โอกาสนี้กับนายน่ะ บาย กิล
ปล่อยให้ฉันจัดการเรื่องทะเลเอง
ครั้งถัดไปที่เราพบกันคงเป็นวันเกิดของฉันสินะ...รักนะ”
“พี่ เดี๋ยวก่อน!”
ฝั่งตรงข้ามวางสาย
กิลเบิร์ตนั่งอยู่เงียบ ๆ ด้วยความสับสน
บางทีคนข้างนอกอาจจะรอให้บทสนทนาของพวกเขาจบลงจึงเคาะประตู
ใครสักคนจากหน่วยส่งมอบสัมภาระพร้อมกับอาวุธและกระสุนที่เขาได้ระบุไป
คนที่นำสัมภาระมาให้เขานั้นเป็นกังวลกับความทุกข์ระทมของกิลเบิร์ตและเข้าใจว่าเพราะเขาได้เจรจากับกองทัพเรือด้วยความรุนแรง
แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย
ในขณะที่กำลังตรวจสอบของในสัมภาระของเขา
กิลเบิร์ตก็ได้จับปืนไว้แน่น ถ้าหากว่าเขายิงมันทะลุศีรษะของเขาตอนนี้
ความกังวลทุกอย่างที่มีก็จะหายไป แต่เขาทำแบบนั้นไม่ได้
จากนั้นเขาจึงติดต่อไปยังบริษัทไปรษีย์ซีเอชแห่งไลเดนชาฟต์ลิช
หญิงสาวคนหนึ่งที่มีเสียงที่ยังเยาว์วัยเป็นคนรับสาย
และบอกเขาว่าวันนี้บริษัทปิดทำการชั่วคราว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้เรื่องการจี้แล้ว
“ได้โปรดบอก...ว่าผมโทรมาเพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องจี้รถไฟข้ามทวีป
พนักงานคนหนึ่งของคุณก็อยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกันใช่ไหม?
ถ้าคุณบอกเขาว่าผมเป็นคนจากกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชเขาจะรู้ทันทีว่าผมเป็นใคร...”
เขาได้ยินเสียงความวุ่นวายดังขึ้นที่ปลายสาย
มันเป็นเสียงตะโกนจากเพื่อนเก่าของเขา
ตามมาด้วยเสียงของเก้าอี้ที่ถูกกระแทกเพราะใครคนหนึ่งยืนขึ้น
และตามมาด้วยเสียงของเอกสารที่หล่นลงมา
และในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงลมหายใจของใครอีกคน
“กิลเบิร์ต! นาย...นายอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่?!”
เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธอย่างชัดเจนดังก้องอยู่ในหูของเขา
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้กิลเบิร์ตรู้สึกสนุกขึ้นมา
มันเป็นเวลานานมากแล้วเหลือเกินตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาได้คุยกับคลอเดีย
ฮอดกินส์
“ฉันได้ยินมาจากเลขาเมื่อกี้นี้เองว่านายพยายามติดต่อกองทัพ โทษที
ฉันกำลังประชุมอยู่น่ะ”
“ห้ามเข้าประชุมในตอนที่พนักงานของฉันกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ร้ายแรงอีก!
นาย...รู้เรื่องแล้วใช่ไหม? ทหารกำลังเคลื่อนไหวอยู่ใช่ไหม?
ฉันหมายถึงเรื่องที่รถไฟข้ามทวีปกำลังถูกจี้น่ะ! เธอ...
เธอ...”
“ฉันรู้ ไวโอเล็ตอยู่บนรถไฟใช่ไหม? ฉันเห็นรูปเธอในหนังสือพิมพ์น่ะ”
ฮอดกินส์ตะลึงไปทันทีเมื่อได้ยินกิลเบิร์ตตอบด้วยท่าทางสบาย ๆ และโต้กลับทันที
“อย่าพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นแบบนั้นนะโว้ย!” เขาเสียสติยิ่งกว่าเดิมและเริ่มทำเสียงแปลก ๆ “ฉันเป็นของฉันแบบนี้อยู่แล้ว
และนายก็ควรจะเป็นแบบฉันด้วยเหมือนกัน นายควรจะเป็นแบบฉันมาตลอด”
––เขาเป็นคนอ่อนไหวและชอบเอะอะโวยวายคนหนึ่ง
สุดท้ายกิลเบิร์ตก็หัวเราะออกมา
เขารู้สึกละอายใจเหลือเกินที่เขารู้สึกคิดถึงเสียงที่น่ารำคาญของเพื่อนเขามากขนาดไหนในตอนที่พวกเขาไม่ได้คุยกันเลย
เขาไม่ปล่อยให้อีกคนคิดว่าเขาเป็นกังวลอย่างที่เจ้าตัวเป็น
และตอบด้วยคำพูดที่ไม่ได้เพียงแค่หยิ่งยโสของเขาเท่านั้น
แต่ยังรวมความจริงเข้าไปด้วย “อย่างกับฉันเสียสติแบบนายได้งั้นแหละ
มันเป็นหน้าที่ของฉันนะที่ต้องปกป้องประชาชนน่ะ”
“ไวโอเล็ตตัวน้อย...ถูกนับว่าเป็นประชาชนหรือเปล่า?”
“แน่นอน”
“นายโกรธหรือเปล่า...ที่ฉันปล่อยให้ไวโอเล็ตตัวน้อยตกอยู่ในความอันตรายแบบนั้นน่ะ?
ทั้ง ๆ ที่นายไว้ใจฉันแท้ ๆ”
กิลเบิร์ตรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยินอีกคนถามอะไรแบบนั้น “นายพูดอะไรน่ะ? ฉันต้องขอบคุณนายต่างหาก เพราะฉันคงไว้ใจ...ให้ใครมาดูแลเธอนอกจากนายได้หรอก
นายเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ฉันก็เลยทิ้งเธอไว้กับนายไงล่ะ
แต่เรื่องนั้นน่ะไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้หรอกนะ”
“ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ”
กิลเบิร์ตรู้สึกตัวในตอนนั้นว่าฮอดกินส์กำลังพูดเรื่องอะไร ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ผิดอะไร
แต่การที่เขาเอาแต่โทษตัวเองในขณะที่คิดว่าเขาจะทำอะไรได้อีกนั้นเป็นนิสัยของเพื่อนสนิทของเขาเลย
“ฮอดกินส์”
“อะไร?”
“นายเป็นเพื่อนสนิทของฉันที่สุดเลยนะ”
“อะไรกันน่ะ ทำไมจู่ ๆ ถึงพูดออกมาล่ะ...?”
“ฮอดกินส์ เพื่อนอย่างนายน่ะ...ฉันคงหาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้วล่ะ
นายสำคัญมากรู้ไหม ถึงนายจะไม่อยากเป็นเพื่อนคนสำคัญของฉันก็เถอะ
ฉันก็สำคัญกับนายเหมือนกันใช่ไหม?
เพราะแบบนั้น...ฉันถึงคิดว่าฉันกำลังทำบาปกับนายอยู่
นายเคยถามฉันว่าทำไมฉันถึงปล่อยไวโอเล็ตไปและบอกให้ฉันไปหาเธอใช่ไหม?
และก็บอกว่าฉันไม่ควรโทรไปหานายอีกจนกว่าฉันจะคิดเรื่องนี้ใหม่”
“ใช่ ฉันเคยพูดแบบนั้น”
“ฉัน...ฉันแค่รู้สึกว่ามันคงเป็นการดีที่สุดที่ฉันจะเป็นคนสุดท้ายที่เธอควรเจอ
เพราะแบบนั้นฉันก็เลยปล่อยเธอไป ในตอนที่เราเจอกันครั้งแรก
ฉันเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับฉันที่คอยเฝ้าดูเธอแบบนี้ในขณะที่ให้เธอคอยอยู่ใกล้ ๆ ฉันไว้
แต่นั่นน่ะมันก็เป็นแค่เรื่องบังหน้าเท่านั้นแหละ
สุดท้ายฉันก็ใช้เธอเหมือนกับเครื่องมือชิ้นหนึ่งอยู่ดีนั่นแหละ”
“แต่ว่า...ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นมันก็ช่วยอะไรไม่ได้นี่
เป็นฉันฉันก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน”
“จริง ๆ น่ะเหรอ? ฉัน...ไม่คิดว่านายจะทำหรอกนะ เธอเป็นยังไงบ้างล่ะ?
ไวโอเล็ตที่นายเป็นคนคอยชี้แนะและเลี้ยงดูเธอมาน่ะ
ถ้าฉัน...ไม่เลือกทางที่ผิด ๆ แบบนั้น...ถ้าฉันไม่เลี้ยงเธอมาโดยให้เธออยู่ข้าง ๆ ฉัน
เธอก็คงจะเติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้จักสนามรบด้วยซ้ำ เธอควรจะเป็นอย่างที่ไวโอเล็ตเป็นในตอนนี้ตั้งแต่แรก
เพราะแบบนั้นมันถึงไม่ใช่ความผิดของนายไงที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
มันเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเท่านั้นแหละ”
“ถ้านายจะพูดแบบนั้นฉันก็เถียงนายคืนได้อยู่ดีนั่นแหละ
อย่าทำเป็นเหมือนว่าการที่ไวโอเล็ตสู้เคียงข้างนายเป็นเรื่องแย่สิ นั่นน่ะเป็นการดูหมิ่นทหารทุกนายที่อยู่กับเราในตอนนั้นนะ
ปัญหาน่ะคือวิธีการที่นายชี้นำเธอหลังจากนั้นต่างหาก
และที่ฉันโกรธก็เพราะว่านายเห็นความรู้สึกของตัวเองสำคัญกว่าและไม่คิดถึงความรู้สึกของไวโอเล็ตตัวน้อยต่างหาก
แต่ ฟังนะ! ฉันจะเลิกด่านายสักพัก ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะทะเลาะกัน
เราสองคนต่างก็เป็นผู้คุ้มครองเธอนะ ไปช่วยเธอกันเถอะ” น้ำเสียงของเขามุ่งมั่นและราวกับกำลังส่งผ่านความอบอุ่นมา
พร้อมกับจ้องมองมาที่เขาด้วยดวงตาสีฟ้าขุ่นนั่นถึงแม้ว่าจะผ่านเครื่องมือสื่อสารอย่างนี้ก็ตาม
“ฉันเห็นด้วย...เพื่อเธอ ทุกอย่างที่ฉันทำ...เพื่อให้เธออยู่ห่างจากกองทัพ
ฉันได้เตรียมอะไรหลายอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เธอกลับมา ทั้งเส้นสาย ความดีของฉัน…ฉันอุทิศตัวเองเพื่อให้ทุกอย่างออกมาดีเยี่ยมมากที่สุด
ฉันพยายามทำอยู่แม้แต่ตอนนี้ด้วยก็เถอะ
ถ้าเพื่อปกป้องไวโอเล็ตแล้วฉันจะไม่สนอะไรทั้งนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ทำท่าเย็นชาแบบ ‘อะไรก็ตามที่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของเธอ…จะต้องถูกกำจัด ถึงแม้จะเป็นตัวฉันเองก็ตาม’
และก็ปกป้องเธอจากเงามืดอะไรอย่างนี้งั้นเหรอ?”
“ใช่ แบบนั้นแหละ”
ถ้าฟังจากน้ำเสียงแล้ว
ดูเหมือนฮอดกินส์จะยังไม่รู้ความจริง ซึ่งก็หมายความว่าไวโอเล็ตคิดไปเองจริง ๆ ว่ากิลเบิร์ตยังมีชีวิตอยู่
และอย่างที่ดีทฟริทพูด เธอยังคงรอเขาอยู่ รอคอยให้เจ้านายของเธอกลับมารับเธอ
“แต่ฉันกำลังสงสัยเรื่องนั้นอยู่...สงสัยในไม่ช้าเรื่องโกหกของฉันจะถูกเปิดโปงแล้วล่ะ
มีโอกาสเป็นไปได้สูงเลยที่ฉันจะได้เจอกับไวโอเล็ต”
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ฮอดกินส์ก็เอ่ยถามซ้ำ “หา?!” ด้วยเสียงอันดัง
และในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงของกังหันเครื่องบินที่ดังอยู่ด้านหลังของกิลเบิร์ต “เดี๋ยวนะ ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้...นายอยู่ที่ไหน?”
“ใกล้ ๆ กับลานบินที่มีไว้ให้ Nighthawks ของหน่วยฉันน่ะ
ฉันกำลังจะออกเดินทางแล้ว” กิลเบิร์ตเติมกระสุนปืนในขณะที่กำลังพูด
และเขายังถอดเครื่องแบบทหารเพื่อเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบที่ใช้ในการต่อสู้อีกด้วย
และเขารู้สึกคุ้นเคยกับชุดนี้มากกว่า
“ของกองกำลังพิเศษแห่งไลเดนชาฟต์ลิชน่ะนะ!?
นะ-นาย...เป็นผู้บัญชาการของพวกเขาและกำลังจะไปช่วยงั้นเหรอ?!”
“ใช่แล้ว”
“นาย...บอกว่านายจะไม่ไปเจอเธอนี่! ทำแบบนี้จะไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ?!”
เงียบกริบ
กิลเบิร์ตคิดว่าบทสนทนาคงจะลากยาวยิ่งกว่านี้แน่ถ้าเขาบอกเรื่องที่ไวโอเล็ตเหมือนจะรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
“นายเงียบทำไมกัน? มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกเหรอ?”
“เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันจะไปขอโทษและรายงานเรื่องนี้ให้นายฟังเอง
ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อช่วยชีวิตไวโอเล็ต ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ถ้าสุดท้ายเราได้เจอกัน
ฉันก็จะขอร้องให้เธอให้อภัยฉัน...”
เวลาที่ใช้คุยกันของพวกเขาเริ่มสั้นลงเรื่อย ๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดไว้เลย
เพราะนายเป็นคนก่อปัญหานี้เอง” ฮอดกินส์พูดคล้าย ๆ กับที่ดีทฟริทพูด
“ถ้าอย่างนั้นนายจะทำยังไงล่ะในตอนที่ Nighthawks ลงจอดน่ะ? อย่าบอกนะว่านายจะกระโดดลงบนรถไฟที่กำลังวิ่งอยู่น่ะ?”
“ใช่แล้ว”
“บางครั้งนายก็...บ้าเหมือนกันนะเนี่ย! อัศวินในชุดเกราะแวววาวกำลังเป็นบ้าเพราะความรัก!
ฉันนับถือนายเลยนะเนี่ย”
เขาได้ยินเสียงหัวเราะของฮอดกินส์
และเมื่อกิลเบิร์ตไม่สามารถโต้เถียงได้ก็เริ่มหน้าแดง
“เออแล้วก็ นายยัง...เป็นพันโทอยู่หรือเปล่า?
นายได้ไปทำอะไรหรือเปล่าถึงได้มีสองยศแบบนั้นน่ะ?”
“นายนี่ถามเยอะจริงนะ...พวกเขารอให้อาการบาดเจ็บของฉันหายดีก่อนน่ะ
ฉันเพิ่งจะได้เป็นพันเอกเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง”
เขาจับตาข้างขวาของเขาที่ถูกซ่อนเอาไว้ด้วยแขนเทียมของเขา
ถึงแม้จะมองเห็นได้แค่ข้างเดียวแต่การจัดการอาวุธของเขาก็ไม่ได้บกพร่อง
“แล้วนายก็ยังเป็นผู้บัญชาการของหน่วยคนเดียวอีกด้วย!?
นั่นยิ่งบ้าเข้าไปใหญ่! สงสัยพวกยศสูง ๆ ได้ตบรางวัลนายแหง!”
“เลิกล้อฉันได้แล้วฮอดกินส์ ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ?
ถ้าเพื่อไวโอเล็ตแล้วฉันก็ไม่เลือกวิธีการทั้งนั้นแหละ
และแน่นอนว่าจุดประสงค์ของเราก็เพื่อทำให้เหตุการณ์เรียบร้อย แต่มันก็คงจะไม่มีวันเรียบร้อยได้ถ้าฉันไม่ได้เป็นคนสั่งการ
ก่อนหน้านี้นายบอกว่านายจะทำทุกอย่างเท่าที่นายทำได้นี่
ถ้ามันไม่ใช่เรื่องโกหกล่ะก็
ฉันอยากให้นายแสดงทักษะเรื่องการรับข้อมูลของนายให้ฉันเห็น
มีข้อมูลอะไรไหมที่พวกทหารไม่รู้น่ะ?”
“เข้าใจล่ะ ฉันจะเล่าให้นายเอง แต่ฉันขอพูดอะไรหน่อยสิ”
“อะไรเหรอ...?”
“พอ...เป็นเรื่องของไวโอเล็ตตัวน้อยทีไรนายก็กลายเป็นไอ้งั่งไปเลยนะ ฉันล่ะ...ชอบที่นายเป็นแบบนี้ชะมัด”
“หุบปากไปเลย”
ทำไมถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้นะ?
ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนนั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดคุยกันมาเสียเนิ่นนาน
แต่เมื่อพวกเขาเริ่มเปิดปากเมื่อไหร่
พวกเขาก็จะพูดไม่หยุดราวกับว่าเวลาที่ใช้ในการพูดคุยกันไม่มีความหมายเลย
พวกเขาสองคนลืมเรื่องที่ทำให้พวกเขาเลิกคุยกันไปเสียสนิทและเริ่มคุยกัน
“ฉันจะบอกข้อมูลที่ฉันมี แต่นายก็ต้องบอกฉันเหมือนกัน ฉันได้รับรายงานมาว่าพวกนักจี้พวกนั้นเป็นกลุ่มคนหัวรุนแรงจากประเทศโรแฮนด์ทางตอนเหนือ
พวกมันคือกลุ่มคนที่เคยก่อเรื่องโดยการเข้าไปตรวจค้นสถานที่ตอนสร้างทางรถไฟข้ามทวีป
แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ใช่คนที่สามารถก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นได้...พวกมันจะต้องมีคนคอยหนุนหลังอยู่แน่”
กิลเบิร์ตจดทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูดใส่สมุดบันทึกของเขา
และเขายังพูดถึงเรื่องที่เขาได้ยินมาจากที่ประชุมด้วย
ทั้งเรื่องที่พวกมันเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองจากคุกอัลแตร์
และเรื่องที่ต้องให้พวกมันข้ามไปยังอีกทวีปหนึ่งได้เพื่อแลกกับชีวิตของผู้โดยสาร
เขารู้ว่าพวกมันไม่มีความสามารถพอที่จะเจรจาต่อรองเรื่องนี้ได้ด้วยตัวพวกมันเองหรอก
“ดูเหมือนข้อมูลของฉันกับข้อมูลของนายจะเป็นข้อมูลเก่าทั้งคู่เลยสินะ
รถไฟต้องหยุดที่จุดเติมน้ำแน่ ฉันได้ข้อมูลมาจากการรถไฟแห่งชาติของไลเดนชาฟต์ลิชมาว่ามีวิศวกรและผู้ช่วยวิศวกรบางคนถูกฆ่าไปแล้ว
และพวกอาชญากรก็ต้องการคนมาทำหน้าที่แทนพวกนั้น
ก็ดีที่เป็นแบบนั้นเพราะมันจะทำให้เรามีเวลามากขึ้น
แต่นายบอกว่าพวกมันคงจะมีจำนวนน้อยใช่ไหมถึงได้วางแผนมาแล้วแต่ก็ยังประมาทแบบนี้? ปกติแล้วพวกองค์กรต่อต้านรัฐบาลขยายใหญ่ขึ้นและถูกปลดออกแบบนี้ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะว่าพวกหน้าโง่ไร้ค่าโดนดึงเข้ามาเพื่อหารจำนวนคนให้มันสมดุลมากกว่า งั้นก็หมายความว่าพวกมันตั้งใจจะทุ่มสุดตัวโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปอีกแล้วใช่ไหมล่ะนี่?”
“จะยังไงก็ช่าง
พวกมันก็คงต้องการให้ทางใต้เสียหน้าและข้ามไปประเทศอื่นอยู่ดี
นายรู้หรือเปล่าว่ารถไฟก็ต้องผ่านเขตแทนของประเทศโรแฮนด์ด้วย? ยกตัวอย่างนะ
ถ้าพวกเราเป็นฝ่ายแพ้สงคราม
เมืองของไลเดนชาฟต์ลิชก็ต้องถูกทำลายเพื่อให้พวกมันทำถนนข้ามไปใช่ไหมล่ะ
นายคิดว่าไง?”
“ฉันคงจะอพยพคนไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว สะสมคลังอาวุธ ระดมทหาร และค่อยกลับมาทีหลังกระมัง”
“ถ้าเป็นฉัน ฉันคงจะไปหาความสุขในประเทศอื่นแล้วล่ะ
แต่ถ้านายเลือกทำแบบนั้น พวกศัตรูอาจจะทำแบบนั้นก็ได้
และพวกมันก็คงจะมีพรรคพวกอยู่ในคุกอัลแตร์ที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยแน่ ๆ แต่ถ้าฉัน...เป็นอย่างพวกมัน
และนายอยู่ในคุกอัลแตร์ บางทีฉันอาจจะทำแบบพวกมันก็ได้”
––ถ้านายเป็นแบบพวกมัน นายคงเลือกวิธีที่ฉลาดกว่านี้แน่ กิลเบิร์ตคิดแบบนั้นแต่ไม่ได้พูดออกไป
บางทีอาจเป็นเพราะฮอดกินส์เดาออกว่ากิลเบิร์ตกำลังคิดอะไรจึงรีบพูดอย่างรวดเร็ว
“แต่อย่างน้อยพวกมันก็ยังปราณีที่ไม่ฆ่าผู้โดยสารล่ะนะ
แต่พวกมันคงจะเริ่มหมดอาลัยตายอยากในเร็ว ๆ นี้แน่ ถ้าเป็นแบบนั้นจำนวนผู้เสียชีวิตก็จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ
นายบอกว่าข้อมูลของเราเก่าทั้งคู่ แต่ของฉันก็ยังมีสาระมากกว่านะ
กฎระเบียบหลังจากยุติเรื่องกองกำลังทหารของทางตอนเหนือเข้มงวดมากนะ
ถ้าพวกนักจี้จะใช้อาวุธ เป็นไปได้ว่าพวกมันน่าจะได้มาจากทวีปอื่น
ฉันได้รับข้อมูลยืนยันมาแล้วว่ามีกลุ่มติดอาวุธเข้ามาค้าขายอาวุธที่เราไม่คุ้นกับประเทศและทวีปที่เราทำการค้าขายด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นดูเหมือนความสัมพันธ์ของทวีปคู่ค้าอาวุธกับคนของประเทศเราจะไม่ดีเท่าไหร่
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะคิดค่าธรรมเนียมสูงไปด้วย
ซึ่งก็หมายความว่าพวกมันกำลังเสียเปรียบพวกเขาอยู่
“ขนาดไลเดนชาฟต์ลิชยังมีปัญหาด้านการค้ากับทวีปอื่น
พวกเขาคงกำลังจับตาดูทรัพยากรของพวกเราอยู่ และคงไม่หยุดแค่แลกเปลี่ยนสินค้าแน่
แต่ยังพยายามซื้อที่ดินของพวกเราด้วย มัน หึ...เหมือนกับเรื่องนั้นเลยนะ”
“ช่าย อย่างเรื่องที่นายได้รับคำเตือนเรื่องโปรเจคบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับทางตอนใต้และทางตอนเหนือใช่ไหม?
ตอนนี้เราต้องทำความเข้าใจเบื้องหลังของเหตุการณ์นี้ก่อนสินะ
ในตอนแรกคงดูเหมือนแค่การต่อสู้ระหว่างไลเดนชาฟต์ลิชที่อยู่ตอนใต้กับประเทศโรแฮนด์ทางตอนเหนือเฉย ๆ
แต่จริง ๆ แล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น พวกเขากำลังเฝ้าดูพวกเราอยู่ และอยากรู้ว่าไลเดนชาฟต์ลิชจะรับมือสถานการณ์แบบนี้ยังไง
เพราะประเทศเรานอกจากจะชนะสงครามแล้วยังเป็นประเทศที่มีกำลังทหารด้วย”
“แผนการข้ามทวีป ทวีปอื่น อาวุธใหม่”
แม้ว่ามันจะค่อนข้างอีรุงตุงนัง
แต่กิลเบิร์ตก็เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ในหัวของเขามีความคิดมากมายพันกันไปหมด
และบทสรุปจากข้อมูลเหล่านั้นก็ค่อย ๆ ออกมาเรื่อย ๆ ประการแรก
เรื่องที่พวกมันเรียกร้องจากเราในการข้ามทวีป
เมื่อรถไฟข้ามทวีปไปถึงเมืองท่าเมื่อไหร่
อาชญากรสงครามและทางการเมืองของทางตอนเหนือจะได้รับอนุญาตให้ข้ามทวีปไปกับพวกมัน
ประการที่สอง พวกมันก็อาจจะหักหลังทวีปอื่นที่คอยหนุนหลังพวกมันก็ได้
ไม่ว่าใครก็ตามที่มีสัญชาตญาณที่แม่นยำก็คงเดาเรื่องนี้ออก
สถานการณ์ในตอนนี้จะเป็นตัวจุดชนวนสงครามครั้งถัดไป ในตอนที่ทุกคนคิดว่าช่วงเวลาที่น่าสะพรึงกลัวของสงครามได้จบลงแล้ว
ทวีปอื่นก็ได้เล็งเป้ามาที่พวกเขาเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่การคาดคะเนของกิลเบิร์ตเป็นไปตามเป้า
หัวของเขาก็หนักอึ้งขึ้นเรื่อย ๆ “เราต้องชนะให้ได้”
“นอกจากหน่วยนายแล้ว ไลเดนชาฟต์ลิชจะส่งทหารหน่วยอื่นมาอีกหรือเปล่า?”
“มีคำสั่งออกไปแล้วล่ะ พวกเขาตั้งใจจะซุ่มโจมตีที่จุดเติมน้ำ ช่วยผู้โดยสาร และสู้กับพวกมัน
แต่กองกำลังทหารของทางตอนเหนือก็อาจจะซุ่มโจมตีพวกเราอยู่ก็ได้
แต่ถ้าพวกมันหลุดรอดไปได้ก็จะเจอกับกองทัพเรือแทน
พี่ชายของฉันก็กำลังเคลื่อนไหวเหมือนกัน แต่เราคงปล่อยให้พวกมันไปถึงทะเลได้
และเพราะแบบนั้นฉันเลยมีเรื่องจะขอนาย”
“อยากขออะไรล่ะ? นายขออะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ”
“ซื้อที่ดินตรงจุดเติมน้ำจุดถัดไปหน่อยสิ”
“หา?”
“รถไฟต้องเติมน้ำทุก ๆ ชั่วโมง
ถ้ารถไฟเติมน้ำเสร็จเมื่อไหร่เราก็จะเสียโอกาสในการช่วยเหลือผู้โดยสารอีก
แต่ฉันก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้วแหละว่าพวกมันคงจะใช้ตัวประกันเป็นโล่และกองกำลังทหารทางตอนเหนือคงจะอนุญาตให้มันผ่านไปได้
ฉันอยากทำลายรางรถไฟที่ที่พวกมันจะหยุดแน่ ๆ พวกมันจะได้ไปต่อไม่ได้...เพราะงั้น
ซื้อที่ดินและก็ทำลายมันซะ”
“’ซื้อที่ดิน’ เนี่ยน่ะ อย่างกับมันง่ายนักแหละ...”
“นายทำไม่ได้เหรอ?”
“อย่าถามอะไรโง่ ๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้หรือไม่ได้หรอกนะ ฉันจะทำ พนักงานของฉันอยู่บนรถไฟนั่นนะ!”
“เพราะว่าเป็นนาย ฉันก็เลยคิดไว้อยู่แล้วแหละว่านายต้องพูดแบบนั้น
ที่ดินที่รถไฟวิ่งผ่านมีสองเจ้าของด้วยกัน
คือของการรถไฟแห่งชาติและของผู้เช่าจากเจ้าของเดิม ตอนที่ฉันดูแผนที่
ฉันคิดว่าฉันจะจำกัดพื้นที่ที่เราซุ่มโจมตี เพราะมันจะได้ส่งผลกระทบต่อดินแดนอื่นน้อยลงและรถไฟจะต้องหยุดวิ่งตอนที่อยู่ห่างจากจุดเติมน้ำสักสองสามจุดอย่างแน่นอน
แต่ในพื้นที่นั้นน่ะ มีอยู่จุดหนึ่งที่เป็นที่ดินส่วนตัว
ฉันเลยอยากให้นายใช้ความสามารถทางธุรกิจของนายซื้อมันซะ ตั้งแต่ตอนนี้เลย
ให้เร็วที่สุดด้วย”
กิลเบิร์ตเองก็คิดว่าตัวเขากำลังพูดเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
“นาย... กิลเบิร์ต นาย...”
แต่เขาคิดว่าเพื่อนรักของเขาต้องทำได้แน่
“เดี๋ยว ๆๆๆๆ เดี๋ยวก่อน ทำไมนายถึงต้องจำกัดพื้นที่ด้วยล่ะ?”
“ที่จริงแล้ว ท่านนายพลไม่เห็นด้วยกับกลยุทธ์นี้หรอก”
“แหม คงไม่มีใครยอมรับเรื่อง ‘ซื้อที่ดิน ทำลายมัน และตึ๊บไอ้พวกศัตรูซะ’ ทันทีหรอกนะ”
“ถ้าฉันมีเวลามากกว่านี้ฉันก็คงจะกล่อมเขาได้อยู่หรอก
แต่โชคร้ายที่ฉันต้องมาขึ้นเครื่องซะก่อน ฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันจะใช้แผนนี้
และเป็นกลยุทธ์ของฉันเองไม่ใช่ของทางทหาร ฉันจะเป็นคนจ่ายค่าเสียหายเองด้วย
เราอาจจะเจรจาที่ดินกับการรถไฟแห่งชาติของไลเดนชาฟต์ลิชไม่ได้
แต่ถ้าที่ดินของผู้เช่าล่ะก็เราทำได้แน่
ถ้านายเป็นเจ้าของที่ดินแล้วนายจะทำยังไงกับมันก็ได้ทั้งนั้นแหละ”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราทำลายมันมันจะต้องแย่แน่เลยใช่ไหม?! การรถไฟแห่งชาติเป็นผู้เช่าที่ดินนั่นไม่ใช่หรอกเหรอ?! ถึงมันจะเป็นชื่อคนอื่น แต่การรถไฟแห่งชาติก็เป็นผู้เช่านั่นแหละ จู่ ๆ ฉันจะไปทำลายทรัพย์สินของคนอื่นเฉย ๆ ไม่ได้หรอกนะ”
“ความช่วยเหลือจะมาหานายเองแหละ หลังจากนายซื้อที่ดินนั่นได้เมื่อไหร่
นายก็ค่อยบีบบังคับผู้รับผิดชอบของการรถไฟแห่งชาติ
หลังจากเหตุการณ์สงบเรียบร้อยแล้วนายค่อยทำแบบนั้น เมื่อเหตุการณ์นี้จบลงเมื่อไหร่
ทีมจัดการภาวะวิกฤตของการรถไฟแห่งชาติไลเดนชาฟต์ลิชคงจะสอบสวนเรื่องนี้เองแหละ
นายก็ค่อยบอกพวกเขาว่านายทำแบบนั้นเพื่อให้ผู้โดยสารมีทางหนีไปได้ ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติฉันคงจะเป็นคนขอให้พวกเขาส่งมอบที่ดินนั่นด้วยตัวเองแล้วล่ะ
แต่เพราะฉันทำงานให้กับองค์กรข้าราชการก็เลยทำแบบนั้นไม่ได้
เพราะงั้นเราสองคนต้องเป็นฝ่ายยอมเสนอหน้ารับเรื่องนี้เอง
ถ้าเราปล่อยให้พวกอาชญากรไปถึงทะเลได้ เรื่องนี้คงจะไม่สิ้นสุดลงที่คนที่เป็นฝ่ายรับผิดชอบเรื่องนี้ถูกไล่ออกแน่
เพื่อแลกกับการที่เราไปทำลายทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขา
เราก็ทำสัญญากับคนจากการรถไฟแห่งชาติไม่ให้ไปตรวจสอบพวกเขาแทน จากนั้นก็ขอให้บริษัทหนังสือพิมพ์...”
“ยังไงฉันก็คงถูกจับอยู่ดีแหละ นายให้ฉันไปมีเอี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยก็เพราะตั้งใจจะทำให้มันเป็นเรื่องที่น่าประทับใจใช่ไหมล่ะ?”
“นายเข้าใจเร็วดีนี่”
แผนที่กิลเบิร์ตวางไว้ผุดขึ้นมาเป็นลำดับ
สำหรับคลอเดีย
ฮอดกินส์ ประธานบริษัทไปรษณีย์อย่างเขาแล้ว เพื่อปกป้องพนักงาน และไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของคนที่ถูกจับเป็นตัวประกัน
จะต้องซื้อที่ดินที่การรถไฟแห่งชาติไลเดนชาฟต์ลิชเป็นผู้เช่ามาเป็นของตนเอง (ซึ่งประธานบริษัทคนนี้เคยเป็นถึงอดีตทหารของไลเดนชาฟต์ลิชและยังได้รับตำแหน่งเป็นพันตรีอีกด้วย)
และคงจะรู้สึกหวาดกลัวว่าสถานการณ์จะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้ว่าการรถไฟแห่งชาติจะคาดการณ์ไว้แล้วก็ตามว่าหลังจากนี้รางรถไฟจะใช้งานไม่ได้
ยังไงซะชีวิตก็มีค่ากว่ามูลค่าความเสียหายอยู่แล้ว และพวกเขาต้องยอมตกลงแน่
นับจากนี้ไป
ลำดับกลยุทธ์กองทัพบกและแผนการจะถูกดำเนินการทันที ในความเป็นจริงแล้ว
ฮอดกินส์จะไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินนั่น เพราะคนที่จะเป็นคนจ่ายมันก็คือกิลเบิร์ต
โบเกนวิลเลียเอง แต่ถึงแม้เรื่องนี้จะยังไม่เห็นผล
เขาก็ยังสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้
“ฉันจะให้นายเป็นหลักประกันของฉันก็แล้วกัน ถ้ามันไม่ได้ผล
เราก็จะทำที่จุดเติมน้ำจุดต่อไป แต่เหยื่อก็จะเพิ่มขึ้น
และโอกาสในการรอดชีวิตของไวโอเล็ตก็จะสูงขึ้นอย่างน่าสงสัยด้วย
ฉันจะให้ลูกน้องของฉันคนหนึ่งไปช่วยนายแล้วกัน
เขามีเอกสารเรื่องการซื้อขายที่ดินอยู่ เพราะงั้นโทรหาเขาซะ
นายอาจจะต้องเป็นคนเจรจากับตัวแทนของพวกเขา แต่ถ้าเป็นนาย นายคงจะทำได้แน่
ด้วยการประจบสอพลอแย่ ๆ ของนายนั่นแหละ”
“ฉันขอรับคำชมนั่นไว้ก็แล้วกัน! แต่เรื่องนี้คงจะถูกจับได้ทีหลังแน่
ใคร ๆ ต่างก็รู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเรานี่ ใช่ไหม?”
กิลเบิร์ตหันกลับไปมองเมื่อมีใครบางคนแตะเข้าที่ไหล่ของเขา ดูเหมือนว่า Nighthawks พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว
“ฉันไม่สนหรอกนะถ้าเรื่องนี้จะทำให้ฉันต้องเสียตำแหน่งไปน่ะ
แต่ฉันจะพยายามพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าฉันไม่ใช่คนที่พวกเขาจะเอาฉันออกไปได้ง่าย ๆ สำหรับฉัน สิ่งที่สำคัญกว่าตัวฉันคือประชาชนทุกคน...และความปลอดภัยของไวโอเล็ต
ฟังนะ
ฉันไม่มีวันให้อภัยคนที่ทำให้ประชาชนของไลเดนชาฟต์ลิชต้องตกอยู่ในอันตรายหรอก ไม่ว่าพวกมันจะเป็นใครก็ตาม
มีคนตายไปแล้ว และเราจะเอาคืนพวกมันอย่างสาสมแน่นอน
ไม่ว่าใครจะเป็นคนหนุนหลังพวกมันก็ตาม
แต่พวกเราไลเดนชาฟต์ลิชจะไม่มีวันยอมแพ้ต่อแรงกดดันหรือการรุกรานจากชนชาติอื่นอย่างแน่นอน
ฉันจะทำให้พวกศัตรูต้องเสียใจที่พวกมันกล้ามาแตะต้องไลเดนชาฟต์ลิช” ทายาทของตระกูลโบเกนวิลเลียได้แสดงความโกรธผ่านน้ำเสียงของเขา
ซึ่งเป็นน้ำเสียงที่แม้แต่เพื่อนของเขาเองก็ยังรู้สึกถึงลางร้ายของเหล่าศัตรู
ผ่านไปแล้วเจ็ดชั่วโมงกับสิบหกนาที ทำไมแถวนี้ถึงไม่มีใครอยู่เลยนะ?
หนึ่งในนักจี้ร้องออกมาเมื่อเห็นสภาพของตู้รับประทานอาหาร
2
เขามองไปรอบ ๆ ตู้ที่เต็มไปด้วยความมืดมิดและสั่นไปมาด้วยเสียงหวีดร้องของหัวรถจักร
รถไฟได้เริ่มออกวิ่งอีกครั้ง
การรถไฟแห่งชาติไลเดนชาฟต์ลิชได้ตอบรับคำขอจากพวกนักจี้และได้ส่งคนมาทำงานแทนเหล่าวิศวกรที่ตายอนาถอย่างน่าสงสาร
ส่วนซามูเอล ลาบูฟยังคงพยายามที่จะขับรถไฟต่อไปโดยที่มีนักจี้จ่อปืนที่เขาอยู่
สิ่งที่เกิดขึ้นในตู้รับประทานอาหารนั้นมันดูเป็นไปไม่ได้เลยเมื่อคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ควรจะเกิดขึ้น
ตู้รับประทานอาหารที่ชายคนหนึ่งกำลังมองอยู่นั้นว่างเปล่า
ไม่เพียงแต่ไม่มีผู้โดยสารเท่านั้น แต่เพื่อนร่วมงานของเขาที่คอยคุมตู้นี้ก็หายไปด้วยเช่นกัน
ชายคนนั้นนึกถึงเรื่องลึกลับที่เขาเคยได้ยินจากบ้านเกิดของเขา
เรื่องเล่านั้นมีอยู่ว่าถ้าเกิดวันหนึ่งมีใครต้องเดินทางตอนกลางคืน
ห้ามมองออกไปนอกหน้าต่างเด็ดขาด ให้มองแต่ข้างหน้าเท่านั้น
ไม่ว่าจะเดินทางด้วยรถม้า รถยนต์ หรือรถไฟก็ตาม
––มันเป็นเพราะว่า...
เขาวางมือลงตรงขอบหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้
––...สิ่งลี้ลับจะเดินตามแสงจันทร์มา
และมองไปยังข้างหลังของรถไฟ
––เหล่าภูตผีที่แสนน่าสะพรึงกลัวจะส่งเสียงกรีดร้องและวิ่งไล่ตามพวกเรา
อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่ไล่ตามรถไฟมานั้นก็มีเพียงแค่แสงจันทร์ที่ส่องลงมาในยามค่ำคืนเท่านั้น
กลิ่นของหญ้าแพรี่ทำให้ชายหนุ่มที่ติดอยู่ในรถไฟรู้สึกกลัวน้อยลง
“เฮ้อ” ชายคนนั้นจับหน้าอกของเขา
ไม่มีภูตผีปรากฏตัวออกมาอย่างที่เขาคิด แต่เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีกว่าอะไรคือสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวของผู้โดยสารและเพื่อนของเขา
“ลาก่อนค่ะ” เสียงของใครบางคนดังขึ้นโดยที่เขาไม่ทันได้คาดคิด
และในตอนที่เขากำลังจะเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
คอเสื้อของเขาก็ถูกดึงขึ้นและเขาก็ถูกโยนออกไปนอกหน้าต่าง
รถไฟกำลังเคลื่อนที่
ถึงแม้ว่ามันจะวิ่งไม่เร็วมากนัก แต่ก็คงไม่มีใครที่ตกลงไปแล้วจะไม่ได้รับอันตราย
ก่อนที่ร่างของชายคนนั้นจะกระแทกพื้น
สิ่งที่เขาเห็นคือดวงตาสีฟ้าที่กำลังมองมาที่เขาจากบนรถไฟและแสงสีทองที่ส่องประกายสู้กับแสงจันทร์
และในขณะที่เขาหยุดหายใจเพราะความงามนั่น
ร่างของเขาก็กระแทกลงบนพื้นดินเหมือนกับลูกบอลลูกเล็ก ๆ ลูกหนึ่ง
ไวโอเล็ตยืนเตรียมพร้อมอยู่บนรถไฟที่กำลังวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
ที่สะโพกของเธอมีดาบทหารที่เธอยึดมาจากชายที่เธอโยนเขาลงจากรถไฟ
ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยอาวุธที่เธอได้ยึดมันมาจากพวกนักจี้ทั้งหลาย
หลังจากทดลองใช้ดาบ กริช และดาบปืนพกที่ไม่เข้ากับเดรสผูกโบว์ที่แสนน่ารักของเธอเลยสักนิด
เธอก็เลือกกลับไปใช้ดาบแทน
ดูเหมือนว่าความหนักของอาวุธเหล่านั้นจะไม่หนักพอสำหรับเธอ เธอจึงโยนมันทิ้ง
การต่อสู้ของไวโอเล็ตนั้นคล้ายกับแมงมุมไม่มีผิด
ในตอนแรกเธอได้สู้กับนักจี้คนหนึ่งที่บังเอิญชนกับเขาเข้าตอนที่เขารู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์แปลก ๆ ในห้องสินค้า
แต่เมื่อคนอื่น ๆ เริ่มตามหาเพื่อนของเขา เธอก็คิดว่า “มันเป็นโอกาสที่ดี” จึงแอบซุ่มรอกำจัดพวกเขาทีละคน
และก่อนหน้านี้ก็มีนักจี้คนหนึ่งเห็นร่างของผู้หญิงอยู่บนเพดานจากหน้าต่างจึงส่งเสียงกรีดร้องออกมาและหมดสติไป
เธอสร้างใยและตามล่าเหยื่อของเธอที่เธอได้วางกับดักไว้เรียบร้อย
มีอยู่สี่คนด้วยกันที่เป็นคนคอยเฝ้าตัวประกันอยู่ในตู้รับประทานอาหาร
1
และนักจี้ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวก็ยังคงเฝ้าตัวประกันอยู่อย่างนั้นถึงแม้จะห้อมล้อมด้วยคนที่มากกว่าก็ตาม
เมื่อเขาไม่สามารถรับมือกับความบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นในตู้รับประทานอาหาร 2 ได้จึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากตู้หน้า
ถึงแม้ว่าผู้โดยสารในตู้รับประทานอาหาร
2
จะหนีไปได้ในตอนที่รถไฟหยุดวิ่ง
แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่สามารถช่วยคนที่อยู่ในตู้รับประทานอาหาร 1 ได้ ถึงแม้ว่าจะหลบหลีกสายตาของคนเฝ้าได้ก็ตาม ไวโอเล็ตจ้องมองไปข้างหน้า
เธอตัดสินใจว่าสิ่งต่อไปที่เธอจะทำคือยึดห้องควบคุมและทำให้รถไฟหยุดอีกครั้ง
ไวโอเล็ตเดินบนรถไฟอย่างช่ำชอง
และไม่มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนใจเลยแม้แต่น้อย เธอเดินไปอย่างเงียบ ๆ และตัวคนเดียว
มุ่งหน้าไปสู่การต่อสู้ในสถานที่ที่ถูกยึด เธอไม่ได้เป็นทหารหญิงอีกแล้ว
และไม่มีคนออกคำสั่งอยู่ข้างเคียงข้างเธออีกแล้ว เธอกำลังใช้ชีวิตของเธออย่างดิ้นรน
ชีวิตที่เธอไม่ได้สำรองเอาไว้
และไม่มีตัวเลือกนอกจากเธอจะสร้างตัวเลือกนั้นขึ้นมาเอง ด้วยเหตุผลนี้
เธอจึงเลือกที่จะช่วยผู้โดยสารโดยไม่ขอคำแนะนำจากใคร เธอพยายามที่จะทำในสิ่งที่เธอทำได้ในฐานะไวโอเล็ต
เอเวอร์การ์เดน
“ผู้พัน”
รถไฟที่พวกเขาเหล่านั้นขึ้นมาได้ถูกยึดแล้ว
และถ้าเธอสามารถช่วยพวกเขาให้หนีไปได้ เธอก็จะทำ
ถ้าหากเจ้านายของเธอยังมีชีวิตอยู่และยังเป็นทหาร
เธอก็เชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าเขาจะต้องหาทางช่วยรถไฟขบวนนี้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะไม่มีวันรู้แล้วก็ตามว่าเธอตั้งใจจะทำอะไร
“เสียงของกังหันหรือ?”
ไวโอเล็ตมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปรอดโปร่งทันที
มีเสียงอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกับเสียงของรถไฟดังขึ้นในหูของเธอ
เธอเห็นวัตถุที่บินได้หลายตัวปรากฎตัวอยู่เหนือรถไฟ
“นั่น!
ผู้ร้ายอยู่นั่น!”
กระสุนมากมายพุ่งทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้า
เสียงของปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงของผู้ชายคนหนึ่ง ปืนถูกเล็งมาที่เธอจากหัวรถจักร
หนึ่งในนักจี้ที่กำลังบ้าคลั่งเพราะไม่เห็นผู้โดยสารและผู้ที่ก่อเรื่องนี้ ในที่สุดเขาก็เห็นไวโอเล็ตวิ่งอยู่บนรถไฟ
ไวโอเล็ตละสายตาจากสิ่งที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าและมีสมาธิกับการต่อสู้แทน
เธอเร่งความเร็วเพื่อขึ้นไปบนหัวรถจักรและย่อตัวลง
หลังจากเว้นระยะห่างมาพอสมควรแล้ว
เธอก็ยิงไปที่เหล่าอาชญากรที่อยู่ในหัวรถจักรและวิ่งต่อไป
ในตอนนี้เธอต้องรีบเข้าไปในรถไฟให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายอย่างนั้น
“แก...เป็นใคร?!
แกเป็นคนที่ช่วยตัวประกันที่อยู่ด้านหลังให้หนีไปใช่ไหม?!”
ชายคนหนึ่งปีนออกมาจากหน้าต่างในตู้ผู้โดยสารและเข้ามาขวางไวโอเล็ตไว้จากทางด้านหน้าและด้านหลังของเธอ
ชายที่มีสัญลักษณ์ของทางตอนเหนือขยับเข้ามาใกล้เธอเพื่อที่จะโจมตีเธอจากทั้งสองด้าน
“ตอบมา!
แกเป็นใคร?!”
“ฉันเป็นแค่นักเดินทางเท่านั้นค่ะ”
“โกหก! แกรู้เรื่องแผนของเรางั้นหรอ?
ไม่สิ...ถ้าแกรู้ก็คงไม่มาตัวคนเดียวแบบนี้หรอก มานี่! เราจะสอบสวนแกเอง
วางอาวุธลงเดี๋ยวนี้”
ไวโอเล็ตเก็บปืนลงในซองหนัง
“ไม่ใช่!
ทิ้งอาวุธลงบนพื้น!”
เธอไม่ได้ฟังคำสั่งของเขา
และก้าวเข้าไป “ใคร...” ในขณะที่เอ่ยออกมาเช่นนั้น
ไวโอลเล็ตก็พุ่งไปที่หน้าอกของคนที่พยายามข่มขู่เธอ และชกไปที่หน้าของเขา
หมัดที่มาจากหญิงสาวที่มีหน้าตาสะสวยนั่นดูหนักกว่าที่เห็น
ชายคนนั้นล้มลง และชนเข้ากับอีกสองสามคนให้ล้มไปกับเขาด้วย
“ใคร...บอกว่าจะให้ความร่วมมือกับคุณล่ะคะ?”
เมื่อได้ยินเธอพึมพำออกมาเสียงเบา การต่อสู้ก็ได้เริ่มขึ้น
ชายฉกรรจ์พุ่งเข้าหาเธอจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ในตอนแรกเธอปามีดพกใส่ชายที่มาจากด้านหลังของเธอ เธอป้องกันตัวเธอด้วยมือข้างซ้ายของเธอ
จับเข้าที่ใบหน้าของเขาและผลักเขาไปด้านหลัง และเมื่อเขาสะดุด เธอก็ขัดขาเขาและเตะเขาลงจากรถไฟ
ศัตรูที่พุ่งมาหาเธอจากด้านหน้าพยายามจะชกเธอด้วยมือเปล่า ๆ ของเขา
เขาเป็นชายที่มีรูปร่างสูงและตัวใหญ่ เขาคงจะมั่นใจในความแข็งแรงของร่างกายเขามาก
เขาเล็งไปที่หน้าของไวโอเล็ตด้วยความร่าเริง แต่ก็โดนลูกเตะของเธอเข้าเสียก่อนและพยายามกันไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง
ไวโอเล็ตเล็งไปที่ช่องว่าง วางมือบนลำตัวของเขาก่อนจะหมุนขาเพรียวยาวของเธอ
ในขณะที่เขากำลังถูกเธอเตะนั้น
เธอก็ใช้มือที่ว่างอยู่อีกข้างหนึ่งของเธอชกเข้าไปที่ท้องของเขา
แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะมีเกราะป้องกันซ่อนอยู่ใต้เสื้อของเขา
เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังงอตัว แต่ไม่ได้ยินเสียงกระดูกหักเลยสักนิด
“ฉันจะบี้หน้าแก!
ตายซะเถอะ!” หลังจากชะงักไปชั่วครู
ชายหนุ่มก็พยายามชกไปที่หน้าของเธออีกครั้ง
ไวโอเล็ตรับไว้ด้วยมือข้างเดียว
ดึงปืนออกจากซองหนังและยิงเข้าที่ต้นขาของเขาในระยะประชิด
“แก...นั่นไม่ยุติ...”
สำหรับไวโอเล็ตที่อยู่ในรบสนามรบมาทั้งชีวิต
ไม่มีอะไรที่น่ากลัวสำหรับเธอเลย เธอกดที่ไหล่ของเขาที่ยุบลงไปเบา ๆ
และเขาก็หายตัวไปในความมืดพร้อมกับเสียงกรีดร้อง เมื่อไวโอเล็ตได้อยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง
เสียงของรถไฟก็ดังขึ้น
นั่นเป็นพลังของผู้หญิงที่มีนามว่าไวโอเล็ต
เอเวอร์การ์เดน
และเป็นข้อพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของอาวุธแห่งกองทัพไลเดนชาฟต์ที่ชื่อของเธอไม่ได้ถูกลงทะเบียนเป็นทหารเสียด้วยซ้ำ
แผนการจี้รถไฟเริ่มล้มเหลว
เพราะผู้กระทำผิดส่วนใหญ่มีนิสัยที่ใจร้อนมากเกินไป แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุหลัก พวกเขาอาจมีกำลังทหารมากพอที่จะควบคุมผู้โดยสารที่อ่อนแอได้
แต่เมื่อออโต้เมมโมรี่ดอลล์
ผู้ที่ซึ่งภาคภูมิใจในความแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้นั้นปะปนไปกับผู้โดยสาร
พวกเขาก็ต้องยอมศิโรราบให้
“คุณ...เป็นทหารของไลเดนชาฟต์ลิชหรือ?”
เสียงแผ่วเบาของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น
มันเป็นวิธีการพูดที่แสนเงียบสงบ
และเขาก็เป็นคนที่ให้ความรู้สึกที่ดูโปร่งใสและมั่นคง
เขาสวมเสื้อโค้ทสีฟ้าที่สีของมันดูจืดชืดเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดมิด
บนเสื้อโค้ทมีสัญลักษณ์ประจำชาติโรแฮนด์ปักอยู่ และในมือของเขาก็มีฝักดาบเล่มยาวอยู่
“เปล่าค่ะ
ฉันไม่ได้เป็นทหารแล้ว ฉันมีคำถามที่จะอยากจะถามคุณค่ะ
คุณเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดหรือเปล่าคะ?
ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากที่จะสู้กับคนที่แข็งแกร่งสุด”
ชายคนนั้นจับปลอกดาบของเขาไว้แน่น
และเมื่อเขาทำเช่นนั้น ฝักก็หลุดออกและร่วงหล่นลงบนเท้าของเขา
เผยให้เห็นถึงดาบปลายปืนที่ซ่อนอยู่ด้านใน
เขาโค้งคำนับให้ไวโอเล็ตด้วยมารยาทที่ไร้ที่ติ “ผมเป็นผู้นำของเหล่าอัศวินแห่งโรแฮนด์...แต่ผมได้ละชื่อของผมทิ้งไปแล้ว
และผมคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่คุณกำลังมองหา ผมเคย...เห็นคุณในสนามรบมาก่อน
คุณคือแม่มดแห่งไลเดนชาฟต์ลิชใช่ไหม?” ผู้นำของเหล่าอัศวินแห่งโรแฮนด์มองไปที่ไวโอเล็ตที่อยู่ใต้แสงจันทร์ด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก
มันฉายแววถึงความกลัวและความโกรธแค้นของเขาที่เขาได้เห็นปีศาจตนนั้นเติบโตขึ้นเป็นอย่างมากและยืนอยู่ต่อหน้าเขาอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะมองยังไงเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงที่มีหน้าตางดงามมากก็เท่านั้นเอง
และมันจึงทำให้เขารู้สึกงุนงง “รูปแบบการต่อสู้ของคุณ...เหมือนกับเทพีที่แสนป่าเถื่อนเลยนะ...ตั้งแต่สงคราบจบลงผมก็ไม่ได้ยินเรื่องของคุณอีกเลย
แต่...ผมเข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณก็กำลังทำงานแบบนี้เองสินะ”
บรรยากาศรอบตัวของชายคนนี้ไม่เหมือนชายคนอื่น ๆ ที่เธอสู้มา
“ฉันขออภัยด้วยค่ะที่ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหวัง
แต่แม่มดที่คุณพูดถึงได้จากโลกนี้ไปแล้วและไม่ได้เป็นทหารอีกแล้วค่ะ
ในตอนนี้ฉันเป็นเพียงแค่นักเดินทางเท่านั้น ฉันไม่ได้ทำตัวเหมือนนักฆ่าอีกแล้วค่ะ
ฉันอาจจะปฏิบัติต่อเพื่อนของคุณหยาบกระด้างไปหน่อย
แต่พวกเขายังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอนค่ะ
ถึงแม้ว่าฉันอาจจะทำตัวอวดดีเกินกว่าการเป็นแค่ผู้โดยสารไปหน่อย
แต่ได้โปรดปล่อยตัวประกันทั้งหมดด้วยค่ะ”
“ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”
“ฉันก็คิดไว้อย่างนั้นค่ะ...เราต่างก็ถูกใช้เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น
แม้แต่ตัวฉันยังเข้าใจในเรื่องนี้ ทำไมคุณถึงทำแบบนี้ล่ะคะ?”
“เพื่อนำสิ่งต่าง ๆ...และผู้คน...ที่พวกคุณเหยียบย่ำไปกลับคืนมายังไงล่ะ”
“คุณหมายถึงว่าคุณอยากจะเริ่มสงครามอีกครั้งหรือคะ?”
ผู้นำเหล่าอัศวินหัวเราะ
เสียงของเขาสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขายังคงเรียบเฉย “โทษทีนะ แต่ผมอยากถามอะไรคุณบางอย่าง สำหรับคุณ
คุณคิดว่าสงครามได้จบไปแล้วหรือครับ?”
ไวโอเล็ตตัวแข็งทื่อ
เพราะเธอไม่คิดว่าเธอจะถูกถามเช่นนี้
“คุณเป็นคนไม่ค่อยแสดงอารมณ์เท่าไหร่ผมก็เลยมองคุณไม่ออก
แต่ที่คุณไม่ยอมตอบผมแบบนี้ก็หมายความว่าคุณเองก็คิดเหมือนกันใช่ไหม? นั่นแหละสิ่งที่ทหารเป็น
เป็นเช่นนั้นเสมอมาและตลอดไป...ความทรงจำที่แสนโหดร้ายนั่นจะอยู่กับพวกเราเหมือนกับเศษซากจากการเผาไหม้และไม่มีวันหายไป
สำหรับผมมันสงครามไม่เคยจบลงหรอก”
บทสนทนาในตอนนี้เหมือนกับเดจาวูไม่มีผิด
“แต่ว่า...ในความเป็นจริง
สงครามได้จบไปแล้วนะคะ”
“แต่ถึงอย่างนั้นมันก็จะเริ่มใหม่อยู่ดี”
คำพูดเหล่านั้นคือคำพูดที่ไวโอเล็ตเมื่อก่อนเคยพูดไว้
“ใบหน้าของเพื่อนที่ตายไปแล้วของผม กลิ่นของซากศพ น้ำหนักของปืนที่เราฉวยมันมาจากศพของศัตรู ค่ำคืนที่ผมจมอยู่ในความเจ็บปวดหลังจากที่ถูกทหารอาวุโสทำร้ายโดยที่ไม่รู้ว่าทำอะไรผิด
ผมอดทนกับมันมาตลอด...เพราะผมเชื่อว่าวันหนึ่ง
สงครามจะจบลงและคิดว่ามีบางสิ่งที่ยอดเยี่ยมกำลังรอคอยผมอยู่
แต่ตอนนี้มันเป็นยังไงล่ะ? เพื่อนของผมที่มีความฝันเดียวกันกับผมถูกขังอยู่ในคุก
ส่วนพวกยศสูง ๆ ที่เป็นคนก่อสงครามก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
และตอนนี้ชาติของเราก็กำลังจะกลายเป็นศัตรูของพวกเราเอง
ทหารที่ปกป้องประเทศชาติด้วยชีวิตของพวกเขาถูกมองว่าไร้ประโยชน์และถูกพวกชาวนาขว้างก้อนหินใส่
บ้านเกิดของผมหายไปเพราะประเทศที่เป็นฝ่ายชนะได้สร้างรางรถไฟบนแผ่นดินที่พวกเราพยายามปกป้อง
ผมเองก็พยายามจะลืม ๆ มันไปเหมือนกัน แต่ในหัวใจของมัน มันยังอยู่ในนั้น
อยู่ในนั้นมาตลอด แม้กระทั่งตอนนี้...”
ถุงใต้ตาของผู้นำเหล่าอัศวินดำสนิท
“...แม้แต่ตอนที่ผมตื่นขึ้นมา ตอนที่ผมนอนหลับ และตอนที่ผมกำลังหายใจอยู่ ในช่วงเวลาที่ไม่คาดคิด
ความโกรธที่ผมควบคุมไว้ไม่อยู่กำลังแผดเผาอยู่ในร่างกายของผม
เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำลายประเทศของคุณ
ไม่เพียงแต่ทางตอนใต้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงทางตะวันตกด้วย สิ่งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ เท่านั้น
นับจากนี้ไป วิถีชีวิตดั้งเดิมของพวกเราจะเริ่มขึ้น คุณพอใจหรือยังล่ะ?
ถ้าจะให้ผมพูด ผมพูดได้ไม่เก่งหรอก เพราะผมจะพูดด้วยหมัดของผมเอง”
มันมีเหตุผลที่เขาพูดคำว่า “เรา” ออกมาหลายครั้ง
ชายสามคนที่สวมเสื้อโค้ทสีฟ้าเหมือนกับเขาปรากฎขึ้นและดึงดาบปลายปืนออกมาจากฝักของพวกเขาและชี้มาที่ไวโอเล็ต
เหนือรถไฟที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่นั้น
อดีตอัศวินพร้อมกับดาบปลายปืนและอดีตทหารหญิงที่ถืออาวุธหลายชนิดยืนประจันหน้ากัน
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
อดีตของไวโอเล็ตก็ยังไล่ตามเธอและไม่ยอมปล่อยเธอไป
ไวโอเล็ตยกมือขึ้นจับเข็มกลัดที่อยู่บนหน้าอกของเธอ
“ทำไม...ทุกอย่างถึงได้กลายเป็นแบบนี้?” มันเป็นคำถามที่ปรากฏขึ้นในใจของทุกคนเมื่อพวกเขาได้เผชิญกับสิ่งเลวร้าย
แต่ไม่ใช่สำหรับเธอ นั่นเป็นเพราะว่าคนที่เคยเป็นเจ้านายของเธอได้บอกเธอไว้ว่า “เลิกโทษคนอื่น และมีชีวิตอยู่ต่อไปซะ”
“ฉันก็เป็นคนเงียบ ๆ อยู่แล้วค่ะ
เพราะฉะนั้นไม่เป็นไร” ไวโอเล็ตชักดาบออกจากฝักและถอนสายบัวอย่างที่สุภาพสตรีพึงทำ
เมื่อเวลาผ่านไป 7
ชั่วโมงกับอีก 34 นาที
ฮอดกินส์ได้ไปสำนักงานสาขาย่อยของสำนักงานจัดซื้ออสังหาริมทรัพย์แห่งชาติไลเดนชาฟต์ลิช
มันเป็นสำนักงานที่เขาเลือกให้มาก่อสร้างบริษัทของเขา
เมื่อเขาบอกว่าเขาจะเจรจาและปรึกษาหารือกับผู้ที่เขาตกลงค้าขายด้วย
พนักงานต้อนรับก็ให้การต้อนรับเขาอย่างเต็มที่
เขาถูกพาไปยังห้องส่วนตัวและนั่งลงบนโต๊ะที่ถูกแยกจากกันโดยชัดเจน ทั้งสองฝ่ายต่างมองหน้ากันและกัน
“ถึงคุณจะพูดแบบนั้น
แต่ก็ไม่ได้หรอกนะครับท่านประธานฮอดกินส์...” เมื่อจอห์น วิสชอว์
ผู้ที่ได้รับหน้าที่เป็นคู่ค้าของเขาได้ยินสิ่งที่ฮอดกินส์พูดก็ทำสีหน้าไม่สบายใจ
เขาเป็นชายวัยสามสิบกลาง ๆ ที่หน้าเด็กเสียจนอาจเข้าใจผิดได้ว่าเขาอายุแค่ยี่สิบกว่า ๆ เท่านั้น
เขาทำงานเป็นผู้จัดการของสำนักงานแห่งนี้ และมักจะถูกเหยียดหยามเพราะหน้าตาของเขา
“มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?”
เบื้องหน้าของเขาคือคลอเดีย
ฮอดกินส์ที่พูดกับเขาด้วยการพูดแบบคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
แต่ก็ขี้เล่นกว่าเขานิดหน่อย โดยปกติแล้วเขามักจะเห็นอีกฝ่ายชอบแหย่ด้วยความสนุกสนานคนอื่นเสมอ
แต่ในตอนนี้เขากำลังแสดงท่าทีจริงจังออกมา
และทำให้หัวใจของอีกคนเต้นแรงขึ้นมาทันทีถึงแม้ว่าจะมีเพศเดียวกันก็ตาม
จอห์นรู้สึกผวาเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของฮอดกินส์
“อย่างที่ผมพูดไปครับ คำขอของคุณมันเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับเกินไป
เกี่ยวกับเรื่องที่คุณจะซื้อหมู่บ้านริตอร์โน่นั้น ซื้อแค่แถวเดียวยังยากเลยครับ
ถ้าจะซื้อทั้งหมดมันคง...”
“จริง ๆ แล้วซื้อแค่ที่ดินตรงสถานีรถไฟก็ได้
แต่ถ้าซื้อทั้งหมู่บ้านเลยน่าจะได้กำไรมากกว่า”
“สถานีรถไฟก็เป็นทรัพย์สินของหมู่บ้านเหมือนกันครับ
และมันก็ไม่สามารถใช้เป็นเรื่องเจรจาอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปได้”
“ไม่ใช่แล้ว
ผมเพิ่งจะติดต่อกับสำนักงานกฎหมายของไลเดนชาฟต์ลิชเมื่อตะกี้เอง
สถานีรถไฟนั่นเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล
มันเป็นหนึ่งในที่ดินขนาดใหญ่ที่คุณเอียนผู้นำหมู่บ้านได้รับมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเธอ
รางรถไฟที่มีเพื่ออุตสาหกรรมเหมืองแร่นั่นก็เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเธอเป็นคนสร้าง
และสถานีรถไฟนั่นก็ถูกสร้างขึ้นด้วยเหตุผลเดียวกับที่หมู่บ้านริตอร์โน่ถูกสร้างขึ้นนั่นแหละ
การรถไฟแห่งชาติไลเดนชาฟต์ลิชใช้สถานีนั่นเพื่อเติมน้ำก็จริง แต่ที่ผู้โดยสารลงจากรถไฟไม่ได้เพราะว่ามันเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล
คุณจะเห็นเองถ้าคุณตรวจสอบจากการทะเบียนของอสังหาริมทรัพย์
คุณช่วยเปิดไฟล์นั่นเลยได้ไหม?”
จอห์นเปิดเอกสารที่เกี่ยวกับข้อมูลอาณาเขตของหมู่บ้านริตอร์โน่ด้วยความไม่เต็มใจ
และกรรมสิทธิ์ของที่ดินแห่งนั้นก็เป็นของหัวหน้าเหมืองถ่านหินของริตอร์โน่
“คุณนี่...รู้ดีจังเลยนะครับ”
สิ่งที่ฮอดกินส์พูดเป็นความจริง
“มันค่อนข้างโด่งดังเลยล่ะ
สถานีที่ผู้คนไม่สามารถลงไปได้ โรแมนติกดีนะว่าไหม?
แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่สามารถลงไปได้หรอก
มีแต่ผู้ที่มีใบรับรองแรงงานเหมืองถ่านหินของริตอร์โน่และผู้ที่อยู่อาศัยเท่านั้นแหละที่ลงไปได้
มันเป็นเพราะว่ามันเป็นอสังหาริมทรัพย์ส่วนตัวที่คนนอกสามารถเข้าและออกได้ต้องผ่านการอนุญาตที่แสนยุ่งยากมาแล้วเท่านั้น...ตอนนี้
กลับมาที่ปัญหาของเราก่อน
ผมแค่อยากได้ที่ดินที่รถไฟข้ามทวีปจะผ่านมาก็เท่านั้นแหละ”
––เขาจะหว่านล้อมหมอนี่ให้ได้ เขาจะหว่านล้อมหมอนี่ให้ได้
เขาจะหว่านล้อมหมอนี่ให้ได้ เขาจะหว่านล้อมหมอนี่ให้ได้
ฮอดกินส์ทำท่าทางและหว่านล้อมให้จอห์น
วิสชอว์เคลิ้มไปกับเรื่องเล่าของเขาให้ได้ ราวกับพวกเขาอยู่บนเวที
ดวงตาของเขาหรี่ลงอย่างนุ่มนวล แต่ในแววตาของเขาไม่มีความใจดีอยู่เลยสักนิด “ให้ผมอธิบายถึงประโยชน์ของการธุรกรรมนี้ให้ง่ายกว่านี้ดีไหม? หมู่บ้านริตอร์โน่กำลังประสบปัญหาเรื่องประชากรที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
เหมืองของพวกเขาอาจจะเคยมีชื่อเสียงมากก็จริง
แต่ในตอนนี้การทำเหมืองนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วเพราะว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อหลายปีก่อน
ถึงรางรถไฟจะยังอยู่ แต่จำนวนแรงงานก็เริ่มลดลงเรื่อย ๆ
และพวกหนุ่มสาวก็ออกจากหมู่บ้านไปกันหมด มันไม่ใช่ที่เที่ยวของนักท่องเที่ยวด้วย
ซึ่งก็หมายความว่าอีกไม่นานมันก็จะกลายเป็นแค่ซากปรักหักพังแน่ ๆ
และบางส่วนของหมู่บ้านก็ถูกใช้เป็นรางรถไฟด้วย
ตอนนี้เศรษฐกิจของหมู่บ้านก็ได้มาจากการทำเงินจากเรื่องนั้นอย่างเดียว
ตอนนี้เหลือคนในหมู่บ้านกี่คนล่ะ?”
“ประมาณเก้าสิบ...”
“ถ้ารวม ๆ กันแล้วนั่นก็เท่ากับแค่ไม่กี่สิบครัวเรือนเองนะ
พวกเขาจะทนความหนาวของฤดูหนาวปีนี้ได้หรือเปล่า? ถ้าไม่มีพวกหนุ่มสาวที่ไปหาเงินมาให้ครอบครัวของพวกเขา
พวกเขาจะอยู่กันได้หรือเปล่าล่ะ?”
“พวกเขา...คงจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเลยสินะครับ”
“ผมเห็นจุดจบของเรื่องนี้ได้เลยล่ะ
แต่มีบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนให้มันกลายเป็นเรื่องเล่า ‘ที่ไม่มีจุดจบ’
ได้อยู่นะ ตอนนี้บริษัทของเรามีแค่บริการไปรษณีย์กับออโต้เมมโมรี่ดอลล์เท่านั้น
แต่เมื่อไม่นานมานี้พวกเรากำลังจะมีโปรเจคใหม่ออกมา
ก็คืออุตสาหกรรมการผลิตยังไงล่ะ ตอนนี้พวกเรายังสั่งจดหมาย แสตมป์
และตราประทับขี้ผึ้งมาจากบริษัทอื่น
แต่พวกเราวางแผนที่จะสร้างของพวกเราขึ้นมาเองและขายมันด้วย
ผมจะจ้างคนทั้งหมู่บ้านมาทำงานนั้น ไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ก็ตาม
ตราบใดที่มือของพวกเขายังใช้งานได้อยู่น่ะนะ” ฮอดกินส์ลุกขึ้นและนั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ จอห์น
ถึงแม้พวกเขาจะนั่งห่างกัน
แต่มันก็เป็นระยะห่างที่แสนน้อยนิด และมันก็ทำให้จอห์นรู้สึกกังวลยิ่งกว่าเดิม
แต่การที่ฮอดกินส์มานั่งอยู่ข้าง ๆ เขาแบบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกโล่งใจมากกว่าตอนนั่งอยู่ตรงหน้าเขา
การนั่งข้าง ๆ กันนั้นเป็นอันตรายต่อจิตใจน้อยกว่าตอนนั่งตรงข้ามกัน
ยิ่งคน ๆ หนึ่งมองเห็นใบหน้าของอีกคนน้อยลงเท่าไหร่ ความตึกเครียดก็น้อยลงเท่านั้น
แต่ฮอดกินส์ไม่เคยถูกใครสอนเรื่องนั้นหรอก
เขาทำแบบนั้นด้วยประสบการณ์ชีวิตของเขาเอง
“คุณกังวลเรื่องอะไรกัน?”
“มีนายหน้าคนไหนที่สามารถปิดการซื้อขายได้ทันทีหลังจากที่ได้รับแจ้งว่าที่ดินที่ถูกซื้อจะถูกเปลี่ยนเป็นสนามรบไหมล่ะครับ?”
“ผมเข้าใจแล้ว...คงมีคนค้านเรื่องนี้สินะ...ผมเข้าใจล่ะ
เข้าใจล่ะ ผมเข้าใจจริง ๆ แล้วล่ะ แน่นอนว่าผมจะไม่บังคับคุณ” เขาย้ำคำนั้นด้วยความเห็นอกเห็นใจ
จากนั้นจึงยอมลดเงื่อนไขลง “ถ้าผมซื้อหมู่บ้านริตอร์โน่ไม่ได้
ผมก็จะซื้อที่ผมเสนอไปนั่นแหละ ยังไงผมก็จะซื้อ ผมอธิบายเหตุผลไปหมดแล้ว
ผมอยากจะแก้ไขปัญหาเรื่องการจี้รถไฟให้เร็วกว่าสิ่งที่กองทัพกำลังจะทำ
และเพื่อการนั้น ผมเลยอยากได้สถานที่ที่พวกเขาจะสาดกระสุนใส่กันได้
ผมไม่ได้อยากซื้อแค่สถานีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั้งหมู่บ้านด้วย
และผมก็จะนำมันเข้าสู่ธุรกิจของผมอย่างแน่นอน คุณก็รู้ ว่ายังไงผมก็จะยืนยันคำเดิม” และต่อไปเขาก็พูดถึงเงื่อนไขที่เกี่ยวกับเรื่องทางอารมณ์ “ผู้หญิงที่เป็นเหมือนกับลูกสาวของผมและถูกทิ้งไว้ให้ผมดูแลเธอแทนเพื่อนที่แสนล้ำค่าที่สุดในชีวิตของผมอยู่บนรถไฟขบวนนั้น
ผมอยากช่วยชีวิตเธอ ผมมีเส้นสายในกองทัพด้วย
ผมพยายามถามเรื่องนี้และก็สถานการณ์ตอนนี้กับพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าไปช่วยเหลือได้ยากถ้ารถไฟยังไม่หยุดวิ่งแบบนี้
และทางที่ดีที่สุดก็คือรอซุ่มโจมตีที่จุดเติมน้ำ ช่วยผู้โดยสารออกมา และเริ่มการสู้รบ
แต่กองทัพคงเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้ทันทีเพราะอาจถูกขัดขวางไว้
มันจะไม่ใช่การสนับสนุนจากประเทศเรา แต่เป็นการซุ่มโจมตีในดินแดนที่กองทัพของทางตอนเหนือยึดครองแทน
เหตุการณ์แบบนี้มันใหญ่เกินกว่าที่กองทัพจะจัดการด้วยตัวเอง
และหน่วยที่จะจัดการเรื่องนี้ก็คือกองจู่โจมอาวุธพิเศษ”
กองจู่โจมอาวุธพิเศษประกอบด้วยหน่วยโจมตีที่จะถูกส่งไปเมื่อไหร่ก็ตามที่ปัญหาเหล่านั้นมีมากเกินกว่าที่สารวัตรทหารจะรับมือได้
ไม่ว่าจะในประเทศหรือนอกประเทศก็ตาม
อย่างไลเดนชาฟต์ลิชที่มีประวัติศาสตร์การต่อสู้กับการรุกรานมาอย่างยาวนานก็ได้ประสบผลความสำเร็จในการสกัดกั้นมาโดยตลอด
และได้สร้างฐานทัพทหารแห่งชาติในประเทศที่ได้ทำการบุกรุกเป็นการชดเชยแทน ในช่วงสงครามทวีปพวกเขาก็ได้มีบทบาทในพื้นที่คลังสินค้าด้วย
กองจู่โจมอาวุธพิเศษนั้นจะอยู่ในหน่วยงานทางทหารและหน่วยงานรักษาความสงบและความปลอดภัยในปริมณฑลของประเทศ
กองกำลังหารที่ถูกระดมพลนั่นไม่ใช่หน่วยที่มาจากหน่วยที่อยู่ใกล้เคียงสถานีรถไฟที่รถไฟได้วิ่งผ่านไปแล้ว
แต่เป็นหน่วยจากสถานีที่อยู่ข้างหน้าต่างหาก
“เพราะแบบนั้นผมก็เลยอยากซื้อที่ดินที่เป็นสถานีจุดเติมน้ำจุดถัดไปยังไงล่ะ”
จอห์นกลืนน้ำลายลูกใหญ่เมื่อได้ยินคำพูดของฮอดกินส์
“ผมจะซื้อที่ดินนั่นและก็ทำลายรางรถไฟทิ้ง
เพื่อที่จะสร้างที่ที่พวกทหารจะเคลื่อนไหวได้ง่ายกว่านี้
มันจะต้องมีประโยชน์ต่อกองจู่โจมอาวุธพิเศษอย่างแน่นอน
บทสรุปของเรื่องนี้จะได้จบลงก่อนที่พวกเขาจะมาถึงไง ใช่ไหมล่ะ? ยังไงก็ช่าง ผมอยากที่จะให้รถไฟหยุดวิ่งอยู่ดี
จะทำได้หรือไม่ได้ก็ตาม ยังไงผมก็จะทำ เพราะพนักงานของผมอยู่บนรถไฟขบวนนั้น
คุณแต่งงานหรือยังจอห์น? คุณยังไม่แต่งใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น
พ่อแม่ของคุณสบายดีไหม?
ผมอยากรู้ว่าคุณจะรู้สึกยังไงถ้าพ่อแม่ของคุณอยู่บนรถไฟและกำลังถูกปืนเล็งมาที่พวกเขาอยู่น่ะ
ผมเชื่อว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะน้อยลงแน่นอนถ้าคุณช่วยผมตอนนี้และเดี๋ยวนี้เลย
แต่ถ้าคุณปฏิเสธ จำนวนผู้เสียชีวิตก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ
คุณต้องเลือกแล้วล่ะว่าคุณจะเป็นวีรบุรุษหรือจะเป็นยมทูตดี”
“ตะ-แต่
สิ่งทีเรากำลังทำอยู่นี่ยังไม่ได้รับการยินยอมจากรัฐบาลใช่ไหมครับ?”
ฮอดกินส์ยิ้ม “คุณไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้หรอก
สุดท้ายแล้วผู้รับเหมาก็คือตัวผมเองนั่นแหละ ถ้าคุณให้ผมซื้อที่ดินนั่น
ผมจะทำยังไงกับมันก็ได้นี่”
“แต่นี่มัน...น่าเหลือเชื่อเกินไป
คุณกำลังจะบอกว่าคุณมีหน่วยของตัวเองหรืออะไรแบบนั้นเหรอครับ?
แต่ถึงคุณจะหยุดรถไฟได้ การช่วยผู้โดยสารออกมาก็แทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่ดี...”
ฮอดกินส์ไม่ได้แสดงท่าทีขัดใจต่อหน้าชายหนุ่มที่กำลังกลัวสุดขีดแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม
เขาวางมือลงบนเข่าของชายหนุ่มและพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนหวานยิ่งกว่าเดิม
“ผมจะเป็นคนตัดสินเองว่ามันจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้” แต่ออร่าของเขาเต็มไปด้วยการบีบบังคับ “และผมก็ไม่ได้โง่ด้วย
ผมน่ะไม่ใช่คนที่ไม่เคยเห็นสนามรบหรอกนะ ผมก็ไม่ได้ภูมิใจเรื่องนี้นักหรอก
แต่เมื่อก่อนผมเคยเป็นผู้นำหน่วยทหารมาก่อน”
กลิ่นที่ทั้งชีวิตของจอห์นไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนโชยออกมาจากตัวของฮอดกินส์
และเมื่อเขาหันไปด้านข้าง ตาของพวกเขาก็สบกัน ดวงตาสีฟ้าขุ่น หุ่นสมส่วน ไหล่กว้าง
และอกอันอบอุ่นสะท้อนอยู่ในแววตาของเขา
“ผม...พลังที่ใช้ในการต่อสู้ที่ผมมี...ผมไม่อยากเรียกมันว่า
‘พลังที่ใช้ในการต่อสู้’ หรอกนะ
แต่...ตอนนี้น่ะที่ผมเดินหน้าต่อไปได้ก็เพราะความเชื่อมั่นในพลังของคนที่ให้ความแข็งแกร่งกับผมยังไงล่ะ”
มือที่วางอยู่บนเข่าของจอห์นเลื่อนไปจับมือของเขาโดยที่ไม่บอกให้อีกคนรู้สึกตัวเลยสักนิด
ฮอดกินส์นั้นมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง
– ในเรื่องของการใช้คำพูด – ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้คนได้เป็นอย่างดี
แต่คุณค่าที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งนั้น
“คุณคงไม่ใช่แค่คนกลางหรอกใช่ไหม?
เพราะว่ามีบางอย่างที่ผมอยากให้คุณทำ”
คำพูดของเขาที่หวานดุจน้ำผึ้งนั้นผสมไปด้วยยาพิษเพื่อที่จะหลอกล่อผู้คนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเทียบเทียมได้
“ผมต้องการให้คุณเสนอข้อตกลงนี้กับหัวหน้าหมู่บ้านก็เท่านั้นเองจอห์น” เมื่อจอห์นยังคงเงียบ ฮอดกินส์ก็วางมืออีกข้างลงบนเข่าของเขา “ผมแค่อยากรู้จัก...ความจริงใจของคุณก็เท่านั้น”
––ขอโทษด้วยนะหนุ่มน้อย
ฮอดกินส์รู้สึกผิดขึ้นมาเมื่อเขากำลังจะรุกฆาตอีกฝ่ายได้
––ขอโทษด้วยจริง ๆ ที่พาคุณมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย
แต่มีใครบางคนที่อยากจะเปลี่ยนสถานที่เหล่านั้นเป็นสนามรบน่ะสิ
เขารุกฆาตจอห์น
วิสชอว์ด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นคุณก็จะมาเป็นหนึ่งในทีมช่วยเหลือด้วยใช่ไหมครับ?
แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ ผมติดต่อหมู่บ้านด้วยตัวเองก็ได้ครับ คุณเป็นผู้จัดการ
ส่วนผมเป็นผู้ค้าเอง เราต่างก็มีความเชี่ยวชาญเรื่องการเจรจาทั้งคู่
แต่ถ้าเป็นผมผมจะตกลงกับลูกค้าแค่ห้านาทีเท่านั้นแหละ
ผมจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของผมเอง”
เหนือสองเส้นในหนังสือสัญญาเช่าที่ดินที่เขียนไว้บนแผ่นหนังชื่อของผู้รับเหมารายใหม่คือ
– คลอเดีย ฮอดกินส์ – ถูกพิมพ์ออกมา เมื่อขั้นตอนการทำเอกสารเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์
ฮอดกินส์ก็ตบไหล่ของจอห์นโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะที่อีกคนกำลังคอตกอย่างซึมเศร้าราวกับว่าพวกเขาได้ทำบางสิ่งที่ชั่วร้ายลงไป
จากนั้นฮอดกินส์จึงโทรไปยังบริษัทของเขาเมื่อได้รับอนุญาตให้ยืมโทรศัพท์ได้
กิลเบิร์ตและฮอดกินส์ไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่กำลังเป็นทุกข์กับสถานการณ์ขัดแย้งในตอนนี้
แต่คนที่กำลังรับสายของเขาก็เช่นกัน
“ลักซ์ตัวน้อย
ทุกคนเริ่มทำตามคำแนะนำของฉันหรือยัง?”
“พวกเขาเริ่มแยกย้ายกันไปแล้วค่ะ
ถ้าท่านประธานประธานให้คำอนุญาตเมื่อไหร่ฉันจะโทรไปเรียกให้พวกเขากลับมาเดี๋ยวนี้แหละค่ะ
ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกบุรุษไปรษณีย์นั่นแหละค่ะ…”
“เธอเรียกคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้ชายมาได้ก็พอแล้วล่ะ
เลขาที่ทำงานรวดเร็วแบบนี้นี่ดีจริง ๆ...!”
“คุณเริ่มดำเนินการตามแผนแล้วหรือยังคะ?”
“ดินแดนที่น่าสงสารถูกซื้อไปแล้วล่ะ
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ง่ายกว่าการเกลี้ยกล่อมผู้หญิงเสียอีก แต่มีเรื่องสำคัญกว่าที่ฉันกำลังจะพูด
คือเรื่องสถานีของหมู่บ้านริตอร์โน่...บอกทุกคนให้ทุ่มสุดตัวกับมันเลย
จะใช้วิธีไหนก็ได้
แต่ยังไงเราก็ต้องคำนึกถึงเรื่องที่รถไฟอาจจะไม่ผ่านจุดนั้นด้วยเพราะพวกมันอาจจะเห็นเราจากห้องเครื่องยนต์ได้
อย่าลืมบอกให้พวกเขาสวมพันผ้าสีแดงด้วย พวกเขาจะได้ถูกแยกออกมาจากพวกศัตรู
แล้วก็บอกให้พวกเขาจุดระเบิดควันเพื่อเป็นสัญญาณว่าพวกเขากำลังดำเนินแผนการอยู่ด้วย”
“มันอาจจะสายไปหน่อย
แต่ เอ่อ
ถึงเราจะทำแบบนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้โดยสารก็เถอะ...แต่ผู้มีอิทธิพลของประเทศนี้จะไม่โกรธเราหรือคะ...?”
“โกรธอยู่แล้วล่ะ
ถึงมันจะเป็นทรัพย์สินของฉัน พวกเขาก็คงโกรธอยู่ดี
สุดท้ายบริษัทไปรษณีย์ของพวกเราก็คงจะสร้างความเสียหายต่อการจัดการระบบเศรษฐกิจของรัฐไม่มากก็น้อยอยู่ดีแหละนะ”
“คุณไม่เป็นไรจริง ๆ หรือคะ?”
“สิ่งที่เรากำลังจะทำคือทำลายรางรถไฟและปกป้องผู้คนที่กำลังหนีออกมาทันทีที่รถไฟหยุดวิ่ง
เราจะไม่เข้าไปวุ่นวายกับพวกทหาร...ตราบใดที่พวกคนที่อยู่นั่นไม่อาละวาดซะก่อนน่ะนะ...แต่ถึงพวกเขาจะทำ
ตะโกนด่าทองานของฉันก็ตาม ฉันมีคนที่ฉันรู้จักที่บริษัทหนังสือพิมพ์อยู่
ถ้าเกิดผลลัพธ์ออกมาดี
ฉันก็จะขอให้พวกเขาเขียนหัวข้อข่าวที่ทำให้ไม่มีใครมาตำหนิเราได้เองแหละ
ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คงจะโดนด่าจนตัวซีดเลยล่ะ
แต่ถ้ามีเรื่องของทหารเข้ามาเกี่ยวด้วยความเห็นของพวกองค์กรขนาดใหญ่ก็คงจะทำอะไรไม่ได้หรอกนะ แต่พวกเขาก็คงหาเรื่องมาเล่นงานพวกเราได้อยู่ดี
เพราะแบบนั้นฉันถึงจะเป็นคนไปจัดการเรื่องนี้เอง ฉันจะไม่ปล่อยให้ทุกคนจบลงด้วยการโดนยำเละเหยียบย่ำจนตายบนถนนหรอกนะ
เพราะงั้นสงบสติอารมณ์ไว้ แต่ยังไงก็ช่วยบอกทุกคนด้วยนะ
เมื่อหัวรถจักรหยุดวิ่งเมื่อไหร่ ให้พุ่งเป้าเข้าไปช่วยเหลือผู้โดยสารทันที
และวิ่งหนีไปซะถ้าคิดว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย แค่นั้นแหละ เดี๋ยวฉันจะไปขึ้น
Nighthawk ที่เพื่อนของฉันหามาให้แล้วล่ะ”
“ท่านประธานฮอดกินส์คะ”
“ว่าไงลักซ์ตัวน้อย?”
“ฉันอยากไปด้วยค่ะ”
“ไม่ได้หรอกนะ
ฉันอยากให้มีใครสักคนคอยเฝ้าอยู่ที่บริษัทแทนฉัน
ฉันเลยเชื่อใจและฝากความหวังไว้ที่เธอยังไงล่ะ”
“แต่ไวโอเล็ตเป็นเพื่อนคนแรกของฉันนะคะ!
ฉัน...อาจจะทำอะไรไม่ได้ก็จริง
แต่...ฉันก็ยังอยากไปช่วยเธออยู่ดีค่ะถึงฉันจะทำอะไรไม่ได้เลยก็ตาม!” ลักซ์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ลักซ์ตัวน้อย
ไม่ใช่ว่าเธอทำอะไรไม่ได้หรอกนะ มันเป็นเพราะเธอนั่นแหละ
ฉันถึงยอมให้เธอเป็นคนดูแลบริษัทแทนฉัน สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้ก็คือปล่อยให้ฉันไปเองคนเดียวเถอะ
ถ้าฉันไปเมื่อไหร่ งานก็จะเริ่มดำเนินการได้เร็วขึ้นเมื่อนั้น
และมันก็เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือไวโอเล็ตทั้งนั้น
ฉันจะช่วยเธอและกลับไปให้ได้อย่างแน่นอน เพราะงั้นรออยู่นั่นแหละ”
“จริง ๆ หรือคะ...?”
“จริง ๆ
ฉันสร้างปัญหาให้เธออยู่เรื่อย แต่เธอก็ยังเชื่อในตัวฉันเสมอเลยนะ”
“ค่ะ ฉันเชื่อค่ะ
เพราะงั้นรีบกลับมา...ให้เร็วที่สุดเลยนะคะ...พร้อมกับทุก ๆ คนเลย”
“ฉันจะกลับไปแน่นอน
เพื่อเธอเลย”
ในเวลาสองทุ่ม –
ซึ่งเป็นเวลาที่ทุกคนควรจะเลิกงานและกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว แคทลียา โบเดอแลร์กำลังโต้เถียงกับคนขับรถม้า
ดูเหมือนว่าไฟบนถนนนั้นมีไว้เพื่อเผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลของเธอ
“วันนี้รถม้าที่จัดไว้เต็มหมดแล้วครับ
เพราะงั้นผมเลยให้คุณขึ้นไม่ได้” คนขับรถม้าอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันก็เลยขอร้องคุณอยู่นี่ไงคะ!”
จมูกและแก้มของแคทลียาขึ้นสีแดงระเรื่อ
และมันอาจเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็นหรือเพราะการทะเลาะวิวาท
แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ตาของเธอก็เป็นสีแดงก่ำราวกับคนที่พยายามกลั้นน้ำตาไว้
“คุณรู้เรื่องนั้นใช่ไหม
ที่รถไฟข้ามทวีปถูกจี้น่ะ?! ฉัน...ต้องไปที่นั่นให้ได้ค่ะ!
เพื่อน...เพื่อน...เพื่อนร่วมงานของฉัน...เพื่...อนของฉัน...ฉัน...อยากรู้ว่าเธอเป็นยังไงบ้าง
และจากนั้น...จากนั้น...”
แคทลียาที่มาเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้
ได้เดินทางมาอย่างเร่งรีบหลังจากเลิกงาน
ซึ่งเธอได้ผ่านจุดบริการขนส่งมาสองเมืองแล้ว และในตอนที่เธอกำลังทำเช่นนั้น
เธอก็ได้ติดต่อไปยังบริษัทไปรษณีย์ซีเอชและมาถึงหมู่บ้านเหมืองถ่านหินที่ฮอดกินส์บอกให้เธอไป
ซึ่งรถรับส่งคันสุดท้ายกำลังจะออกจากหมู่บ้าน
“คุณผู้หญิงอย่าพูดอะไรที่เห็นแก่ตัวแบบนั้นสิครับ! โลกไม่ได้หมุนรอบตัวคุณหรอกนะครับ คุณกำลังสร้างปัญหาให้กับผู้โดยสารที่ผ่านขั้นตอนมาอย่างถูกต้องอยู่นะครับ”
“ฉันก็จะผ่านขั้นตอนมาอย่างถูกต้องเหมือนกันแหละถ้าฉันทำได้น่ะ!
แต่ไวโอเล็ตอาจจะตายก็ได้! ฉัน...
ฉัน...ต้องไปช่วยเธอ! ผู้หญิงคนนั้น...แข็งแกร่งมากก็จริง
แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้ ฉันไม่รู้เลยว่าเธอโอเคไหม! ถ้าเธอตาย
ถ้าเป็นแบบนั้น...เพราะแบบนั้นฉันถึงอยากไปไงคะ! ได้โปรด
ให้ฉันจับตัวรถไว้ก็ได้ค่ะ เพราะงั้นให้ฉันเข้าไปเถอะ!”
เมื่อเห็นแคทลียาร้องไห้ออกมาด้วยความโมโห
คนขับรถม้าก็ไม่รู้จะพูดอะไร “ผมก็อยากให้คุณขึ้นมาเหมือนกันถ้าผมทำได้น่ะ…”
เขามองเข้าไปในรถม้า คนที่อยู่ข้างในมองเขาด้วยความหงุดหงิด
และบอกให้เขารีบ ๆ ไป
แต่อย่างไรก็ตามก็มีชายคนหนึ่งที่ลุกขึ้นโดยที่ไม่ได้มองมาที่เขา
ประตูรถที่ถูกปิดไปแล้วเปิดออก
ชายที่มีผมสีดำและภาพลักษณ์ที่ดูอบอุ่นโผล่หัวออกมา “นี่
ผมจะลงเอง ให้เธอมานั่งแทนผมเถอะ” เขามีน้ำเสียงที่มีเอกลักษณ์
“คุณผู้ชาย...แต่...คุณ”
“ผมไม่เป็นไรหรอก
ผมจะอยู่เมืองนี้อีกสักคืนแล้วกัน
คุณช่วยเตรียมรถม้าที่มาได้เร็วที่สุดในวันพรุ่งนี้เช้าได้ไหม?” ชายผู้นั้นยิ้มมุมปาก
คนขับรถม้ารู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากกับเมตตาอันล้นเหลือของเขา
สำหรับผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมการให้บริการเช่นนี้มักจะเจอกับลูกค้าที่มีปัญหาซะส่วนใหญ่
ซึ่งเขาก็เพิ่งเจอคนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเช่นนี้เป็นครั้งแรก
เขาเองก็รู้สึกเห็นใจแคทลียาเหมือนกันเมื่อได้ยินเรื่องของเธอ
“เฮ้
คุณผู้หญิง! ขอบคุณคนใจดีคนนี้ซะสิ...ให้ตายเถอะ
คุณผู้ชายครับ เดี๋ยวผมจะยกกระเป๋าให้คุณเอง คุณผู้หญิง
ช่วยส่งกระเป๋าของคุณมาด้วยครับ”
“อะ เอ๋?”
“มีคนไม่ไปแล้ว
เพราะงั้นคุณก็ไปแทนที่เขาได้ รีบขึ้นรถและไปหาเพื่อนของคุณที่กำลังจะตายซะสิ
โชคดีจริงนะคุณน่ะ...”
“จริง ๆ หรือ...?
ขะ-ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากจริง ๆ!”
“คนที่คุณควรขอบคุณคือผู้ชายคนนั้นต่างหาก”
คนขับรถม้าพูดในขณะที่ยกกระเป๋าของเธอ
ยังคงไม่เชื่อว่าตัวเธอจะโชคดีได้ถึงเพียงนี้
เธอหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มทั้ง ๆ ที่ยังตกใจไม่หายและก้มหัวให้เขา “ข-ขอบคุณค่ะ! ขอบคุณจริง ๆ! ฉันจะจ่ายค่าที่พักให้คุณเองค่ะ
ขอบคุณจริง ๆ นะคะ!”
ชายคนนั้นส่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางของแคทลียาและยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาบนแก้มของเธอด้วยปลายนิ้ว
การกระทำนั่นดูเป็นธรรมชาติเสียจนแคทลียาไม่สามารถขัดขืนได้ ยิ่งไปกว่านั้น
เธอยังรู้สึกปลื้มปิติเหมือนกับตอนที่เธอรู้สึกเวลาอยู่กับฮอดกินส์เลย
“อ่า...เอ่อ...”
“ผมไม่ว่าอะไรหรอกครับ
คุณผู้หญิง”
ดวงตาของชายคนนั้นมีพลังบางอย่าง
ไฝที่อยู่ใต้ดวงตาสีเฮเซลของเขามีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถู
“คุณพูดว่า
‘ไวโอเล็ต’ ใช่ไหม? ใช่ไวโอเล็ต
เอเวอร์การ์เดนหรือเปล่า?”
“ใช่ค่ะ คุณ...เอ่อ
คุณรู้จักเธอเหรอคะ?”
“ครับ
ผมเคยให้เธอเขียนจดหมายให้ครั้งหนึ่ง ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ...” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งราวกับเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ เขาก็เอ่ยออกมา
“อืม...เราสองคนมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างลึกซึ้งที่เราบอกคนอื่น ๆ ไม่ได้น่ะ
เราเป็นเพื่อนเก่ากันด้วย ผมเองก็ตั้งใจจะไปเจอเธอสักหน่อยเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าไลเดนชาฟต์ลิชจะเข้ามามีเอี่ยวในเรื่องนี้ด้วย
ผมเลยคิดว่าเดี๋ยวค่อยไปเจอเธอทีหลังก็ได้
คุณช่วยส่งความนับถือของผมไปให้เธอได้ไหมครับ?” ชายคนนั้นที่สวมเสื้อคลุมสีดำเริ่มเดินจากไปและราวกับกำลังจะมลายหายไปในความมืด
“คะ-คุณชื่ออะไรคะ?!
ฉันจะบอกชื่อคุณ...กับเธอเองค่ะ!”
เมื่อได้ยินแคทลียาพูดแบบนั้น
ชายคนนั้นก็หันกลับมาและหัวเราะ
ผิวซีด ๆ ของเขาทำให้เขาดูเหมือนภูตผีบนถนนในยามค่ำคืนไม่มีผิด
“เอ็ดเวิร์ด
โจนส์ครับ” ชายคนนั้นโบกมือ
และแคทลียาก็โบกกลับพร้อมกับยิ้มกว้าง
ในคืนนั้นไม่มีใครสังเกตเลยว่าเขาคือผู้ลี้ภัยที่เคยเป็นนักโทษที่ต้องโทษประหารมาก่อน
เมื่อเวลาสองทุ่ม กิลเบิร์ต
โบเกนวิลเลียกำลังมองลงไปที่พื้นในขณะที่กำลังเตรียมพร้อมอยู่บน Nighthawk
มันเป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกเวียนหัวเลยทีเดียว
พวกเขาบินขึ้นสูงเพื่อไม่ให้พวกศัตรูเห็น
“เจอแล้ว
อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”
“รับทราบครับผู้การโบเกนวิลเลีย
ทราบแล้วเปลี่ยน”
ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนั้นมีวัตถุที่ส่องประกายอยู่ท่ามกลางความมืดมิดผ่านรอยแยกของเมฆขึ้นมา
และมันก็คือรถไฟข้ามทวีป ‘ฟาม ฟาเตล’
นั่นเอง
“รายงานจากหน่วย
1 เราเจอฟาม ฟาเตลแล้ว เตรียมร่อนลงไปได้”
เมื่อได้ยินสัญญาณจากวิทยุของนักบิน
เหล่า
Nighthawks ทั้งเจ็ดก็กำหนดเป้าหมายผ่านระบบไปยังพื้นดิน
พวกเขาเห็นลูกบอลไฟที่จุดขึ้นตามภูเขาที่มีรางรถไฟอยู่
“มันคือระเบิดควันที่ถูกจุดจากจุดเติมน้ำอย่างที่ผู้การพูดถึงเลยครับ”
“เปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์ที่สาม
หน่วย 5 ล่าถอยไปก่อน ไปร่วมกับกองจู่โจมอาวุธพิเศษซะ
และรายงานสถานการณ์ให้พวกเขาด้วย
บอกว่าโชคดีที่เป้าหมายต้องหยุดอย่างเฉียบพลันเพราะไฟป่าหรืออะไรก็ได้ ส่วนหน่วย 1 เดินหน้าต่อ ครึ่งหนึ่งของทีมจะลงเข้าสู่สนามรบก่อน เราจะยึดหัวรถจักร
1, 2 และ 3 ก่อน เริ่มลงมือทันทีที่รถหยุด
หลังจากครึ่งแรกไปแล้ว ครึ่งหลังจะให้การสนับสนุนและโจมตีจากข้างนอกทันทีที่ลงไป
จากจุดนั้นจะมีพลเรือนมาช่วยเหลือเราปกป้องลูกเรือ
ใครก็ตามที่ใส่พันผ้าสีแดงไว้ตรงแขนคือพันธมิตรของเรา อย่าเผลอโจมตีพวกเขาเด็ดขาด
โอเค ฟังนะทุกคน ผลลัพธ์ของกลยุทธ์นี้จะเป็นตัวชี้ชะตาหน่วยของพวกเรา
แต่เพราะเป็นพวกนาย ไม่ว่าพวกนายจะไปที่ไหนก็คงจะทำสำเร็จอยู่แล้ว
แต่ฉันอยากให้พวกนายอยู่ในที่ที่ฉันมองเห็นสักประเดี๋ยวก่อนนะ”
นักบินจากหน่วย 1
หัวเราะออกมา
เพราะกิลเบิร์ตพูดอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกับตัวเขาเลยสักนิด
“ฉันภาวนาขอให้เราทำสำเร็จด้วยเถอะ
ถ้าอย่างนั้น ครึ่งแรก เตรียมตัวร่อนลงได้”
ด้วยหน่วยทั้งหมดหกหน่วย –
ซึ่งในตอนนี้หน่วยที่ห้าได้ถอนกำลังไปแล้ว – และบุคลากรสิบสองคน หน่วยของกิลเบิร์ต กองกำลังพิเศษแห่งไลเดนชาฟต์ลิช
กำลังจัดรูปแบบและกำลังจะลงไปต่อสู้บนรถไฟข้ามทวีป ประการแรก คนหกคนที่นั่งอยู่ด้านหลังจะร่อนลงบนรถไฟและเริ่มทำการปราบปราม
หัวรถจักร 1 2 และ 3 ที่เชื่อมต่อกันนั้น
แต่ละหัวจะถูกควบคุมโดยคนสองคน
แบ่งออกเป็นคนที่จะเข้าไปข้างในและคนที่จะรออยู่ข้างนอก และเริ่มสู้กับพวกนักจี้
ต่อจากนั้น หกคนที่เหลือจะร่อนลงไปอยู่ใกล้ ๆ กับจุดที่รถไฟจะหยุดวิ่ง
มันเป็นแผนที่วางไว้เพื่อให้พวกเขาช่วยคุ้มครองคนหกคนที่เข้าไปในรถไฟและปกป้องผู้โดยสารจากด้านนอก
หลังจากที่ให้พวกเขาจำแผนที่ละเอียดอ่อนและคำแนะนำจากเขา
กิลเบิร์ตก็นำสมาชิกของกองกำลังพิเศษ
ซึ่งเป็นกองกำลังที่เกิดจากการรวมตัวของคนที่ถูกเลือกมาไม่กี่คน
ซึ่งไม่ได้ตามหัวหน้าทีมของพวกเขาอย่างรูปแบบทหารปกติ
แต่เป็นแค่ทีมธรรมดา ๆ ที่สมาชิกมีส่วนร่วมในการต่อสู้เท่านั้น
กิลเบิร์ตกระโดดลงจาก Nighthawk
พร้อมกับสมาชิกจากหน่วยแรก และร่อนลงบนรถไฟที่กำลังวิ่งอยู่
เครื่องบินจะบินต่ำได้ไม่นานนัก เขาจึงโดดลงมาในตอนนั้น
และหลังจากยึดตัวรถไฟไว้ได้แล้วเขาก็พยายามทรงตัว
คนที่อยู่ข้างในคงจะได้ยินใบพัดของเครื่องบินบินอยู่บนหัวของพวกเขา
ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นนักจี้ออกมาจากตู้หัวรถจักร 1 กิลเบิร์ตชกไปที่หน้าของเขาด้วยแขนเทียมข้างซ้ายของเขา
และเมื่อชายคนนั้นล่าถอยไป เขาก็คว้าคอของชายคนนั้นและลากเขาออกมาจากทางหน้าต่าง
ถึงแม้ว่าจะมีนักจี้จากตู้หัวรถจักร 2 ที่อยู่ใกล้ ๆ เห็นเข้าและยิงใส่กิลเบิร์ต
เขาก็ได้ยิงใส่ชายผู้แสนโชคร้ายที่เพิ่งออกมาจากทางหน้าต่างแค่เพียงครึ่งตัวเท่านั้นเอง
“ผู้การ
ผมจะมุ่งหน้าไปก่อนนะครับ”
หนึ่งในหน่วยของกิลเบิร์ตที่กระโดดลงมาหลังเขา
ร่างเล็กบิดตัวและเตะนักจี้จากตู้หัวรถจักร 2 ที่เล็งเป้ามาที่กิลเบิร์ตให้กลับเข้าไปในรถไฟเหมือนเดิม
กิลเบิร์ตโยนชายที่โชกไปด้วยเลือกออกจากหัวรถจักรและลักลอบเข้าไป
“ช่วยผมด้วย!
อย่าฆ่าผมเลย! ถ้าผมตาย ผู้โดยสารกับหัวรถจักรนี้ก็จะตายเหมือนกัน!”
คนที่กำลังกรีดร้องและขอร้องอย่างน่าสงสารนี้คือซามูเอล ลาบูฟ
ผู้ช่วยของเขาตายไปแล้ว
ส่วนผู้ช่วยวิศวกรหนุ่มอีกคนหนึ่งที่มาทำหน้าที่แทนก็มีใบหน้าซีดเผือดขณะพยายามจะไม่เหยียบลงบนตัวศพ
“สงบสติอารมณ์ก่อนครับ
ผมเป็นพันเอกของกองทัพไลเดนชาฟต์ลิช กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียครับ
ตอนนี้เรากำลังดำเนินการการช่วยเหลือผู้โดยสารในรถไฟขบวนนี้อยู่ครับ”
“พ-พันธมิตรหรอ?
คนจากกองทัพเหรอ?” ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้เขาอาจจะเตรียมตัวเพื่อรับมือกับเรื่องเลวร้ายมาตลอด
เขาจึงร้องไห้ออกมาด้วยความโล่งใจ
กิลเบิร์ตแตะที่ไหล่ของเขาอย่างนุ่มนวล
“คุณกล้าหาญมากครับ มันคงจะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่คุณคาดไม่ถึงเลยสินะครับ
คุณคู่ควรกับเหรียญรางวัลมากจริง ๆ”
ความจริงใจที่แผ่ออกมาจากตัวกิลเบิร์ตนั้นให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกับที่ฮอดกินส์ทำ
ไม่ว่าใครก็ตามที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์เช่นนี้ถูกบอกเรื่องแบบนี้โดยทหารที่มีหน้าตาเหล่าเหลาที่พยายามจะให้ความช่วยเหลือเป็นเรื่องที่น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
ซามูเอลจึงเริ่มตัวสั่น
“คุณชื่ออะไรครับ?”
“ซะ-ซามูเอลครับ
ท่านผู้การ”
“คุณซามูเอลครับ
คุณเป็นวีรบุรุษของไลเดนชาฟต์ลิชเลยนะครับ แต่มีเรื่องที่ผมอยากจะถามหน่อย
จุดเติมน้ำจุดถัดไปคือที่ไหนครับ?”
“ริตอร์โน่ครับ”
“ที่นั่นมีกองทัพของเราอีกกองทัพหนึ่งอยู่ครับ
และพวกเขาจะส่งสัญญาณครั้งใหญ่มา เพราะฉะนั้นช่วยหยุดก่อนที่จะถึงสถานีด้วยนะครับ”
“คุณพูดว่า ’ส-สัญญาณ’ งั้นหรือครับ?”
“คุณจะรู้เองแหละครับเมื่อคุณเห็นมัน
หลังจากหยุดรถแล้ว ให้วิ่งหนีไปจากที่นี่และวิ่งไปตามเส้นทางของหมู่บ้านนะครับ”
ซามูเอลและผู้ช่วยของเขามองหน้ากัน
“แต่ผู้โดยสาร...และก็...เพื่อนร่วมงานของผม...”
ซามูเอลมองไปที่ศพของอดีตเพื่อนร่วมงานของเขา
“ถึงพวกเขาจะตายแล้ว
แต่ผมก็อยากให้พวกเขาได้เจอครอบครัวของพวกเขาครับ” ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน
“ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีครับ
นอกจากกองทัพของพวกเราแล้วจะมีกองทัพอีกกองหนึ่งตามมาครับ
เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว
ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วและคุณทั้งสองคนจะได้กลับไปยังบ้านของพวกคุณแน่นอน แต่ในตอนนี้ผมอยากให้คนที่ยังพอเดินได้อยู่อพยพตัวเองไปก่อนชั่วคราวครับ
คนที่พันผ้าสีแดงไว้ตรงแขนกำลังดูแลเรื่องการอพยพอยู่ โปรดไปกับพวกเขานะครับ”
บางทีอาจเป็นเพราะเขารู้สึกสบายใจ ซามูเอลจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
แต่ในตอนที่เขากำลังรู้สึกโล่งใจอยู่นั้น เสียงปืนก็ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง
––มีคน...กำลังต่อสู้อยู่งั้นเหรอ?
กิลเบิร์ตได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทุกคนปะปนไปกับความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นหลังจากรถไฟหยุดวิ่งและบดขยี้ศัตรูทันทีเมื่อได้รับสัญญาณระเบิดควันจากด้านใน
ถ้ามีการโจมตีจากหัวรถจักร 3 ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขากำลังเจออุปสรรคอยู่
ในตอนนี้
คนหกคนที่ลงมาก่อนนั้นเป็นคนที่ได้รับการคัดเลือกจากการแต่งตั้งเพื่อกองกำลังชั้นยอด
ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีพลังเทียบเท่ากับทหารธรรมดาสิบคนเลยทีเดียว
“ผมคิดว่า...มันน่าจะดังมาจากข้างนอกนะครับ”
เมื่อได้ยินซามูเอลบอกเช่นนั้น
กิลเบิร์ตก็พยายามยื่นหัวออกไปนอกหน้าต่าง หน้าของเขาชนเข้ากับกิ่งไม้เล็กน้อย
“เมื่อไม่นานมานี้มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นครับ
ผมได้ยินเสียงตะโกน ผม...เป็นคนหูดีนะครับก็เลยได้รับคำชมบ่อย ๆ
ถึงแม้จะอยู่ในที่ที่ห่างไกล ผมก็ได้ยินเสียงคนกำลังสาปแช่งกันครับ”
“คุณควรจะภาคภูมิใจในตัวเองยิ่งกว่าเดิมอีกนะครับ
ถ้าสิ่งที่คุณพูดเป็นความจริง
เราก็ต้องรีบไปให้การช่วยเหลือผู้ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายอาชญากรนั่นทันที โทษทีนะครับ
ผมจะขึ้นไปข้างบนแล้ว อย่าลืมภารกิจของคุณนะครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต
ซามูเอลก็พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่แสดงถึงความดีใจและความกังวล
กิลเบิร์ตปีนขึ้นไปบนรถไฟอีกครั้งแม้จะถูกแรงต้านอากาศกดทับอยู่ก็ตาม
ดินแดนที่ถูกสร้างเป็นทางรถไฟนั้นคงจะเคยมีสวนดอกไม้มาก่อน ถึงแม้จะถูกเหยียบย่ำ
แต่กลีบของพวกมันก็ยังคงมีชีวิตและกระจัดกระจายปลิวไปกับสายลม ในโลกที่แสนมืดมิดนั้น
สีของฤดูใบไม้ร่วงอย่างเช่นสีขาว ฟ้า เหลือง แดง และส้มยังคงไม่ถูกกำจัดออกไป
และถึงแม้ว่าพวกมันจะกลายเป็นฝุ่นผง
แต่พวกมันก็ได้สร้างภาพที่แสนน่าทึ่งที่ช่วยตกแต่งโลกใบนี้จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของมัน
เหนือสีสันพวกนั้นไป กิลเบิร์ตก็เจอกับคนที่เขากำลังมองหา
“ผู้การครับ
สถานการณ์ในตอนนี้ต้องการกำลังเสริมไหมครับ?!” หน่วยที่หกร่อนตามลงมา
และคู่หูของกิลเบิร์ตก็ร่อนลงมาเมื่อถึงคิวของเขา
กิลเบิร์ตหยุดเขาด้วยมือ “ไอดริส
ดูเหมือนว่ามีพลเรือนกำลังต่อสู้กับพวกนักจี้อยู่นะ...เราควรจะสังเกตเห็นเรื่องนี้ก่อนสิ”
“ก่อนหน้านี้พวกเรากำลังเป็นบ้าเพราะเรื่องการร่อนลงของพวกเราอยู่น่ะครับ
แต่ผมก็ไม่เห็นอะไรนะครับ งั้นถ้าอย่างนั้น...”
“ผมจะไปเอง
ผมจะเสนอชื่อคุณเป็นผู้บัญชาการคนต่อไป ถ้าผมไม่มีโอกาสรอดกลับมาล่ะก็
คุณจะได้รับโอกาสนั้นทันที”
“คุณพูดจริงหรือครับ?”
“ผมพูดจริง”
“ผมมีความสามารถมากพอที่จะได้เลื่อนขั้นและคงจะแซงหน้าคุณได้ในไม่ช้า
แต่ได้โปรดกลับมาอย่างปลอดภัยและกลับมายืนต่อหน้าผมอีกครั้งเถอะครับ
ถ้าผมไม่มีคนให้ไล่ตามล่ะก็...”
แทนที่จะตอบกลับ
กิลเบิร์ตกลับเคาะกำปั้นลงบนไหล่ของเขาแทน
กลุ่มคนที่สวมเสื้อโค้ทสีฟ้าบดบังร่างของคนที่เขากำลังมองหาอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องเดินไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่หน้าขบวนเพื่อไปหาเธอ
คงจะใช้เวลาสักหน่อย
กิลเบิร์ตออกวิ่งไปทันทีโดยไม่มีความลังเลอีก
ความคิดเห็น