ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Violet Evergarden (แปลไทย)

    ลำดับตอนที่ #14 : Violet Evergarden (part one.)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.74K
      105
      26 ม.ค. 65

















    /

    Violet Evergarden

     



                ข่าวล่าสุด ทางรถไฟที่แยกมาจากประเทศทางทะเลตอนใต้ไลเดนชาฟต์ลิช ในที่สุดก็ได้ขยับขยายไปยังประเทศทางตอนเหนือแล้ว

                การขนส่งทางสาธารณะนั้นมีประโยชน์ต่อการเดินทางรอบทวีปเป็นอย่างมาก แต่มันไม่ได้ช่วยเอื้อแค่เพียงแต่ละบุคคลเท่านั้น แต่ยังเอื้อต่อสังคมในด้านของโลจิสติกส์อีกด้วย อาจเรียกได้ว่าสิ่งนี้ประสบความสำเร็จได้เพราะความบาดหมางของสงครามทวีประหว่างตอนเหนือและตอนใต้ที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงเพียงผิวเผินเท่านั้น

                ข่าวเรื่องงานเฉลิมฉลองเรื่องทางรถไฟข้ามทวีปแพร่กระจายในเมืองไลเดนอย่างรวดเร็ว และผู้คนต่างก็รีบซื้อตั๋วสำหรับการเดินทางในครั้งแรก ในวันต่อมาหนังสือพิมพ์ก็ได้ลงข่าวเรื่องงานเฉลิมฉลอง – ซึ่งไม่ได้ถูกส่งไปให้แค่ในไลเดนชาฟต์ลิชเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านด้วย

                ถึงแม้ว่ามันจะเป็นหัวข้อข่าวที่ไม่ได้สำคัญอะไรกับผู้ที่ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ แต่การปรากฏตัวของหญิงสาวเพียงคนเดียวในรูปถ่ายท่ามกลางผู้คนที่กำลังหาซื้อตั๋วกันอยู่นั้น ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม มันก็เป็นความรู้สึกที่แอบซ่อนเร้นอยู่ในผู้คนที่รู้จักเธอ อย่างลักซ์ ซิบบิล ผู้ที่ทำงานให้กับบริษัทไปรษณีย์ซีเอชที่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจที่เห็นภาพของเพื่อนคนสวยของเธอเป็นสิ่งแรกในยามเช้า นักเขียนนิยายที่กำลังทวนศัพท์อยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางภูเขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันทีเมื่อเขาพบสมบัติล้ำค่าในรูปถ่ายในหนังสือพิมพ์นั่น นักดาราศาสตร์หนุ่มที่กำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางถึงกับซื้อหนังสือพิมพ์สองฉบับด้วยกันหลังจากที่ตะลึงงันไปกับรูปถ่ายในนั้น แคทลียาผู้ที่กำลังทำหน้าที่เขียนจดหมายในที่ที่ห่างไกลจากบริษัทของเธอถามกับลูกค้าผู้ชายคนหนึ่งว่าผู้หญิงที่อยู่ในหนังสือพิมพ์กับเธอใครน่ารักกว่ากัน และใครบางคนที่ไม่ได้เห็นหน้าเธอมานานแสนนานถึงกับยอมจำนนต่อความรู้สึกตัวเองและไล่นิ้วไปตามรูปถ่ายนั่น

                มันเป็นเพียงแค่รูปถ่ายเท่านั้น แต่ในเช้าวันนั้น ลางสังหรณ์บางอย่างที่ก่อให้เกิดความรู้สึกที่พิเศษนั่นกำลังถูกจารึกลงในจิตใจของผู้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน

                งานเฉลิมฉลองจะถูกจัดขึ้นที่สถานีของไลเดนชาฟต์ลิชเวลาบ่ายสองโมงตรง และในตอนบ่ายสาม เมื่อผู้โดยสารขึ้นรถไฟข้ามทวีปเมื่อไหร่งานเฉลิมฉลองก็จะสิ้นสุดลงทันที เด็ก ๆ ที่เพิ่งนั่งรถไฟในครั้งแรกโน้มตัวออกมานอกหน้าต่างและชื่นชมกับทัศนียภาพ และโม้ให้กันฟังถึงความโชคดีของตนเองที่ได้ขึ้นรถไฟเป็นครั้งแรก ส่วนผู้ที่ต้องใช้งานรถไฟในการไปทำงานของตนเองนั้นก็รู้สึกพึงพอใจกับการให้บริการผู้โดยสารและการเดินทางที่ปลอดภัย และผู้ที่จองตู้นอนเอาไว้ก้รู้สึกราวกับหัวใจของพวกเขาได้ถูกความสะดวกสบายนั่นขโมยไปและเข้าสู่นิทราในที่สุด

                การเดินทางนั่นแสนราบรื่นโดยที่ไม่มีอะไรติดขัด มีเพียงแค่ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น อย่างเช่นพนักงานขนกระเป๋าได้ส่งกระเป๋าของผู้โดยสารไปผิดห้อง หรือผู้โดยสารจากห้องรับประทานอาหารคนหนึ่งที่โมโหเพราะพบหัวหอมในจานของตนที่ตนเองสั่งว่าไม่ให้ใส่ แต่อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไร

                ทัศนียภาพด้านนอกหน้าต่างถูกย้อมด้วยสีแดงเข้ม และผ่านไปเพียงไม่ถึงชั่วโมงโลกทั้งโลกก็ตกอยู่ในความมืดมิด ซึ่งทุก ๆ ชั่วโมงรถไฟจะต้องหยุดเพื่อเติมน้ำ

                เราจะหยุดเติมน้ำกันสักครู่นะครับ เพราะฉะนั้นในตอนที่รถไฟกำลังสั่นช่วยนั่งอยู่กับที่ด้วยนะครับ พนักงานยกกระเป๋าบอกกับลูกค้าแต่ละตู้

                มีคนมากมายที่หลงใหลไปกับการเดินทางเรียบร้อยและไม่พยายามที่จะเตือนคนที่ยืนอยู่และยังไม่มีท่าทีว่าจะนั่งลง และมีคนอีกมากที่กำลังมองทัศนียภาพนอกหน้าต่างขณะจิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ ส่วนคนที่กำลังอารมณ์ไม่ดีก็ไม่ฟังที่คนอื่นพูดเลย

                พนักงานยกกระเป๋าที่ได้เตือนผู้โดยสารไปยิ้มในขณะที่คิดในใจว่า ผู้โดยสารพวกนี้น่ารำคาญเสียจริงและเดินไปเตือนผู้โดยสารเหล่านั้นให้นั่งอยู่กับที่ก่อน

                มันเป็นการเดินทางที่แสนพิเศษ และไม่มีใครคิดเลยว่าโศกนาฏกรรมกำลังจะเกิดขึ้น ไม่มีใครพบเห็นคนที่น่าสงสัย และไม่ได้สังเกตเลยว่าที่คอของพนักงานยกกระเป๋าทุกคนมีมีดติดอยู่

                ในวันนั้นมันควรจะเป็นวันที่แสนพิเศษสำหรับใครหลายคน

     




                ในเวลาบ่ายสองครึ่ง ภายใต้ท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงที่เมฆกระจัดกระจาย ศพถูกทิ้งบนรางรถไฟราวกับมันเป็นสิ่งโสโครก มันกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น และก่อนที่อีกาจะลงมากัดกินมันอย่างตะกระตะกราม มันก็ถูกพบโดยเจ้าของทุ่งหญ้าที่อยู่ใกล้ ๆ ที่บังเอิญผ่านมาเสียก่อน ราวกับฝนที่ตกลงมาบนผิวน้ำของทะเลสาบ สิ่งเหล่านั้นราวกับกำลังบอกใบ้ถึงเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น หยดฝนหยดแรกที่หยดลงมาเป็นศพ และอีกสองหยดจะบ่งบอกถึงปัญหาที่กำลังลุกลามอยู่

                สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในรถไฟข้ามทวีปนั้น โดยปกติแล้วรถไฟควรจะหยุดวิ่งเสียก่อน แต่ในตอนนี้มันยังคงวิ่งผ่านทุกสถานีไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ยังคงคอยให้ผู้โดยสารทุกคนอยู่บนรถไฟ และกองกำลังทหารก็เริ่มเคลื่อนพล รายงานแรกมาจากพนักงานและพลเรือนจากสถานีหนึ่งที่ผ่านมาเจอโดยบังเอิญ และรายงานนั้นก็ได้ถูกส่งไปยังสารวัตรทหารเรียบร้อย

                สารวัตรทหารมีหน้าที่หลักในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องชีวิตของประชาชนทุกคน และแยกตัวออกมาจากกองทัพบก ถึงแม้ว่าจะมีคำว่า ทหารอยู่ในชื่อก็ตาม และเมื่อสารวัตรทหารมาถึงกระทรวงกลาโหมของไลเดนชาฟต์ลิช การขอกำลังเสริมก็ได้แจ้งมาแล้วเช่นกัน

                ที่ตั้งสำนักงานใหญ่กองกระทรวงกลาโหมไลเดนชาฟต์ลิชมีเพียงแค่ตึก ๆ เดียวเท่านั้น สถาปัตยกรรมของตัวตึกนั้นอธิบายได้ยาก อย่างแรกคือมันมีสิ่งก่อสร้างที่ละม้ายคล้ายคลึงกับหอคอยของปราสาทซึ่งเป็นที่ตั้งของกระทรวงทัพและล้อมด้วยกำแพงหินสองชั้น มีคูน้ำแห้ง ๆ อยู่นอกกำแพง ต้นไม้และพุ่มไม้ที่บดบังคูน้ำนั่นถูกตัดออกไปเพื่อให้เห็นวิวข้างนอก และเพื่อไม่ให้ศัตรูมีที่ซ่อนเผื่อกรณีที่เกิดการบุกรุก โครงสร้างเหล่านั้นเหมือนกำลังขู่ศัตรูว่า ถ้าแกกล้าก็เข้ามาสิ

                ความพึงพอใจในโครงสร้างที่ได้ปรับตัวให้เข้ากับความเกลียดชังซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของพวกเขานั้นเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าทหารของพวกเขาได้เอาชนะสงครามได้ ซึ่งกรณี การจี้ขบวนรถไฟระหว่างทวีปนั้นก็ได้เริ่มลงมือจัดการในกระทรวงกลาโหมเรียบร้อยแล้ว แต่ทหารที่ได้รับการคัดเลือกก็ยังไม่รู้ถึงขอบเขตของความวุ่นวายในเรื่องนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น

     




                เมื่อเวลาห้าโมงยี่สิบห้านาทีของเย็นวันนั้น ในห้อง ๆ หนึ่งของกระทรวงกลาโหม กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียกำลังหารือเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังพิเศษแห่งกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชที่เขาเคยเป็นหัวหน้าหน่วยมาก่อน

                การกระจายกำลังคงจะเหมาะที่สุดแล้ว แต่ถ้าต้องมอบหน้าที่นี้ให้ใครสักคน ผมอยากเป็นคนเลือกคน ๆ นั้นเอง

                กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลีย ผู้ที่ซึ่งเคยเป็นพันตรีของกองทัพไลเดนชาฟต์ลิช ในตอนนี้เขาได้เลื่อนยศเป็นพันโทเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากความสำเร็จในมหาสงครามที่เขาได้เป็นผู้นำของกองกำลังพิเศษแห่งกองทัพไลเดนชาฟต์ลิช และยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้รับอนุญาตให้ใส่เหรียญประจำตำแหน่งของยศพันเอกอีกด้วย หลังจากที่ได้เลื่อนยศเป็นพันโท การทำงานในกระทรวงกลาโหมจึงเป็นงานหลักของเขา เช่นเคย กองกำลังของเขาได้เดินทัพทั้งในและนอกประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศที่ต้องการให้มีการแทรกแซงอาวุธหลังสงคราม แต่ถึงอย่างนั้นกองกำลังของเขาก็ได้เดินไปอย่างไร้จุดหมายด้วยเนื่องจากหน้าที่ของเขา

                แต่ในความคิดของผม การที่ต้องกระจายกำลังมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้านะครับ มีทหารหลายคนที่ได้ลาออกจากตำแหน่งเดิมเพราะได้เลื่อนยศ แต่ถึงตำแหน่งนั้นจะว่าง มันก็ยังเป็นตำแหน่งที่สูงส่งอยู่ดี จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังทำงานได้ดีในฐานะหน่วยอิสระ แต่ถ้าผู้บังคับบัญชาไม่อนุญาตง่าย ๆ...อาจเป็นเพราะว่าพวกเขาคิดว่าทหารเหล่านั้นเป็นทหารของคุณกระมังครับชายที่มีผมสีดำอมน้ำเงินเห็นด้วยกับคำพูดของกิลเบิร์ต ลอว์รัส ชวาร์ตซ์มันถูกเขียนอยู่บนแผ่นป้ายบนโต๊ะของเขา

                กิลเบิร์ตพยักหน้าให้กับคนที่มียศเดียวกับเขาแต่เคยมีตำแหน่งที่สูงกว่าในอดีต แต่ในที่สุดเราก็ก่อตั้งหน่วยอิสระขึ้นมาได้สักที... ถึงบางคนจะคิดว่าการเป็นอิสระเกินไปนั้นอาจเป็นอันตรายได้ แต่พวกเขาก็ได้ใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในยามที่เกิดเหตุฉุกเฉินครั้งใหญ่ขึ้น แต่ถ้าเราบอกว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเลย เราก็คงไม่ได้รับการยินยอมแน่ ๆ ดังนั้นผมจะให้หน่วยอิสระเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเหตุการณ์แบบนี้...และถ้าผมจะส่งต่อให้ใครสักคน ผมอยากให้คน ๆ นั้นเป็นคนที่ผลักดันศักยภาพของทุกคนได้ และสมาชิกในหน่วยทุกคนจะถูกขัดเกลาใหม่หมดเมื่อมาอยู่ในความดูแลของผม

                คุณตั้งใจจะให้ใครเป็นคนรับหน้าที่นี้กัน?

                “ไอดริส เขาเหมาะจะเป็นผู้บังคับบัญชา

                เขาคือคนที่ไม่มีการศึกษาและก็ไม่มีเส้นสายเลยไม่ใช่หรือ? เขาเหมือนกับผมเลยนะ คุณไม่คิดจะให้คนที่มีสายเลือดของโบเกนวิลเลียเป็นคนรับหน้าที่นี่หรือ? ควรจะมีคนในกองทัพที่มาจากตระกูลของคุณนะ

                ผู้การลอว์รัส....คุณเสนอผมเพราะคุณไม่ชอบให้มีการเสนอชื่อตามฝ่าย แต่ในตอนนี้คุณให้ผมเสนอชื่อคนในตระกูลโบเกนวิลเลียงั้นหรอ? ไอดริสน่ะถึงไม่มีการศึกษาแต่เขาก็เป็นคนฉลาด เขายังเป็นคนทะเยอทะยานมากด้วย ผมยืนยันได้

                ผมแค่ล้อเล่นเอง อย่าเพิ่งโมโหสิเมื่อได้ยินกิลเบิร์ตพูดเสียงต่ำแบบนั้น ลอว์รัสจึงหัวเราะออกมาและเอ่ยขอโทษ ในตอนที่เขาโตขึ้น กิลเบิร์ตก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อบอกว่าเขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว

                ถ้าอย่างนั้นเรื่องคนที่จะมารับตำแหน่งต่อจากผม...ผมจะนับว่าความช่วยเหลือของคุณเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเรื่องนี้ก็แล้วกัน

                “แล้วผมจะได้อะไรตอบแทนล่ะ...?

                “น้องสาวของผมบอกว่าเธออยากขี่ม้ากับคุณในครั้งถัดไปที่เราจะออกไปขี่ม้าเล่นกัน

                ลอว์รัสพอใจเป็นอย่างยิ่ง และนั่นทำให้กิลเบิร์ตถอนหายใจเล็กน้อย ไหล่ของเขาตกลงราวกับว่ามีอะไรบางอย่างร่วงทับลงมา

                ถึงแม้ตำแหน่งของกิลเบิร์ตจะดูมั่นคง แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ถึงแม้จะมีคนมากมายที่คอยหนุนหลังเขาเพราะเขาเป็นคนในตระกูลโบเกนวิลเลีย แต่ก็มีใครอีกหลายคนที่ไม่พอใจเขา เมื่อถึงเวลาที่กิลเบิร์ตที่ต้องตัดสินใจว่าเขาจะเลือกใครเป็นพันธมิตร ความอิจฉาและการทุจริตก็จะเกิดขึ้นเสมอ การที่ต้องรวบรวมผู้คนเหล่านั้นมาไว้ในกำมือเป็นเรื่องยากและจำเป็นสำหรับเขาที่จะต้องให้ความพึงใจและคอยปกป้องพวกเขา

                ลอว์รัสเป็นคนหนึ่งที่คอยหนุนหลังเขาและเคยเฝ้ามองเขาราวกับกำลังวิ่งไล่ตามในตอนที่เขาเข้าร่วมกองทัพ และในตอนนี้ในที่สุดกิลเบิร์ตก็ได้มายืนอยู่เคียงข้างเขา มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเลื่อนยศจากพันเอกไปเป็นนายพลจัตวาและเป็นพลตรีได้ อย่างลอว์รัสนั้นเขาไม่ได้มีความสนใจในการเลื่อนยศเลยแม้แต่น้อย และกิลเบิร์ตก็เชื่อว่าเขาคงจะไม่สามารถเลื่อนยศไปได้ไกลกว่าพันเอกแล้ว ชาติกำเนิดของเขาไม่เหมือนกิลเบิร์ต จึงทำให้เขาอยู่ในสถานภาพที่จะโต้แย้งเรื่องความสำเร็จของเขาได้

                เรื่องนี้น่ะขึ้นอยู่กับพวกคุณสองคนแล้วนะ แต่ได้โปรดอย่าทำให้น้องสาวของผมต้องเสียใจเลยเพราะว่าเธอชอบคุณมากจริง ๆ สัญญากับผมได้ไหมครับ

                ผมรู้ครับ ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะสารภาพรักกับผู้ชายอย่างผมมา และผมก็ตั้งใจจะอยู่เคียงข้างเธอ แม้แต่ในหลุมศพของเราก็ตาม

                เขาไม่ได้มีท่าทีเรื่องทะเยอทะยานแต่อย่างใดและเขาก็เป็นคนที่น่าเชื่อถือได้อยู่แล้ว แต่สำหรับกิลเบิร์ต การที่เขาจะปล่อยให้น้องสาวของเขาอยู่ในความดูแลของชายคนนี้ เขาจะต้องเป็นคนที่น่ายกย่องเสียก่อน

                กิลเบิร์ตยกมือข้างซ้ายที่เป็นแขนเทียมของเขาขึ้นมาเพื่อนวดคลายความตึงเครียดระหว่างคิ้วของเขา และหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะและไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงานขึ้นมา เขาอ่านมันตั้งแต่ตื่นนอน และพกมันมาทำงานด้วย เขามองรูปถ่ายที่เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาข่าวเรื่องรถไฟข้ามทวีป

                คุณ...อ่านมันมาตั้งแต่เช้าเลยนี่ คุณชอบรถไฟเหรอ?

                “ถ้าผมมีโอกาสได้เดินทางผมก็อยากลองขึ้นดูเหมือนกัน เขาพูดออกมาด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติเพื่อไม่ให้ถูกจับสังเกตได้ และพับข้างของหนังสือพิมพ์ที่เป็นรูปภาพก่อนจะวางมันลง

                ลอว์รัสอยากถามกิลเบิร์ตว่าทำไมเขาถึงทิ้งนักรบหญิงแห่งไลเดนชาฟต์ลิชคนนั้นไปหลังจากจบสงคราม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากที่จะเปิดประเด็นเรื่องนี้เท่าไรนัก และเมื่อพวกเขากำลังพูดคุยกันถึงเรื่องชีวิตประจำวัน ใครบางคนก็เคาะประตู

                ผู้การชวาร์ตซ์มัน....อ่า ผู้การโบเกนวิลเลีย พวกคุณอยู่ถูกเวลามากครับ ตอนนี้พวกเรากำลังมีประชุมเร่งด่วนกันอยู่ครับ มีเหตุการณ์ครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น และตอนนี้กำลังประชุมกันที่สำนักงานใหญ่เรื่องมาตรการตอบโต้อยู่ครับ รีบมาเลยครับ ตอนนี้เลย เรากำลังเรียกทุกหน่วยงานมาประชุมพร้อมกันครับ

                เมื่อได้ยินประโยคนั้นจากเจ้าหน้าที่ธุรการ ทั้งสองคนก็มองหน้ากันและยืนขึ้นทันที

     




                ผู้ที่มารวมตัวและนั่งอยู่บนโต๊ะกลมในสำนักงานใหญ่ส่วนใหญ่แล้วเป็นพันเอกทั้งหมด และพลตรีกำลังอธิบายถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

                อย่างแรกและที่สำคัญที่สุด ในเวลาบ่ายสองโมงตรงได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อเป็นเกียรติแก่รถไฟข้ามทวีปขึ้น และหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ผู้โดยสารก็ได้ขึ้นไปบนขบวนและรถไฟก็จะเริ่มออกเดินทาง มันผ่านสถานีอัตคาเร็กซึ่งเป็นหนึ่งในสถานีที่ต้องหยุดเติมน้ำและก็วิ่งต่อไป แต่ในตอนนั้นเองที่มีชาวนาคนหนึ่งพบศพอยู่แถว ๆ สถานีนั่น จากข้อมูลที่ได้รับมาจากการรถไฟแห่งชาติของไลเดนชาฟต์ลิช ดูเหมือนรถไฟจะหยุดอีกครั้งที่สถานีเราส์ชันด์ เพื่อแลกกับตัวประกันในขณะที่ทุกคนกำลังตั้งใจฟังเขา พลตรีก็พูดออกมาด้วยความเจ็บแสบ พวกศัตรูบอกให้เราปล่อยตัวอาชญากรทางการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกอัลแตร์ออกมา เขาเป็นอาชญากรจากประเทศหนึ่งที่เคยเป็นพันธมิตรร่วมกับทางตอนเหนือในสงครามโรแฮนด์ครั้งก่อน หลังจากประกาศยอมแพ้ เขาก็แบล็คเมล์ผู้นำประเทศของเขาให้ยกเลิกการประกาศทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น และเขาจึงถูกจับ คนที่กำลังจี้รถไฟครั้งนี้อาจจะเป็นลูกน้องของเขา ซึ่งหมายความว่าคนที่ก่อเรื่องนี้เป็นคนที่ไม่รู้ว่าพวกเขาแพ้สงครามแล้ว

                ความตึงเครียดเกิดขึ้นทั่วห้องทันทีที่พลตรีจำได้ว่าคน ๆ นั้นเป็น ศัตรูของพวกเขา ในไลเดนชาฟต์ลิชนั้น ศัตรูได้ก่อให้เกิดอันตรายต่อทั้งประเทศของพวกเขา พวกเขาทั้งหมดตั้งใจจะจำกัดศัตรูทิ้ง และพวกเขาส่วนใหญ่ก็มีกองกำลังทหารอยู่ในมือทั้งนั้น จึงไม่เต็มใจที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการพูดคุย

                เพื่อทำภารกิจให้เสร็จ พวกศัตรูหวังจะย้ายไปยังประเทศของพวกมัน ซึ่งรถไฟก็กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองท่าทางตอนเหนือของทวีป พวกมันมีเรือไว้พร้อมเรียบร้อยแล้วด้วย ดูเหมือนพวกมันคิดว่าทุกอย่างจะราบรื่นดีสินะ...พลตรีชกหมัดไปตรงทางตอนเหนือของทวีปที่อยู่ในแผนที่บนโต๊ะกลม

                คนที่นั่งรอบล้อมโต๊ะกลมนั้นไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อยถึงแม้จะแอบสะดุ้งไปแล้วก็ตาม และสายตาของพวกเขาก็จับจ้องไปยังพลตรีของพวกเขา และตอบรับความโกรธที่พวยพุ่งออกมาจากตัวเขา

                เรา...พวกเรากองทัพแห่งไลเดนชาฟต์ลิช...มีอยู่เพื่อปกป้องประชาชนและดินแดนของพวกเราจากภัยคุกคาม การยอมให้พวกศัตรูทำเช่นนี้หลังสงครามจบลงถือเป็นความอับอายต่อชื่อเสียงของไลเดนชาฟต์ลิชเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของชื่อเสียงเกียรติยศเท่านั้น ตอนนี้มีผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว และประชาชนของพวกเราจะต้องเดินทางไปกับพวกมันจนกว่าพวกมันจะข้ามไปยังประเทศของพวกมันสำเร็จ และแน่นอนว่าบนขบวนรถไฟนั่นย่อมมีเด็กและผู้หญิงที่สู้ไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะคิดว่าพวกเขาจะต้องผ่านอะไรไปบ้าง เราต้องปกป้องพวกเขาไม่ว่ายังไงก็ตาม ศัตรู กำลังเคลื่อนไหว แต่ปัญหาคือการควบคุมพวกมัน เราจะกำหนดกลยุทธ์ในการตอบโต้ครั้งนี้โดยคำนึงถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ผมอนุญาตให้ทุกคน ไม่ว่าจะยศต่ำกว่าหรือสูงกว่าแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ได้เต็มที่เลย

                เมื่อได้ยินคำพูดของพลตรี ทุกคนก็เริ่มวางกลยุทธ์ในขณะที่ดูแผนที่ไปด้วย รถไฟกำลังเคลื่อนที่อยู่ ถ้าหากพวกเขาต้องการจะโจมตีศัตรู ก็มีอยู่ทางเดียวคือต้องบุกเข้าไปเท่านั้น เพราะการโจมตีจากด้านนอกอาจส่งผลต่อชีวิตของผู้โดยสารที่อยู่ด้านใน และความคิดที่ว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรออยู่จุดเติมน้ำและบุกภายในครั้งเดียวนั้นอาจจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุด แต่ศัตรูก็อาจจะคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว และความกังวลเรื่องที่ตัวประกันอาจถูกฆ่าเพื่อเป็นการอนุญาตให้พวกมันเดินทางได้นั้น พร้อมกับที่ผู้โดยสารอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกยั่วเย้า พวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้รถไฟหยุดที่จุดเติมน้ำ พวกเขาจึงพยายามติดต่อไปยังสถานีอย่างเร่งด่วน

                การโต้เถียงเริ่มดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางความวุ่นวายนั่นมีเพียงกิลเบิร์ตคนเดียวที่ยังคงเงียบและมีใบหน้าซีดเซียว หูของเขายังคงฟังที่ทุกคนกำลังโต้เถียงกันอยู่ และในหัวของเขากำลังคิดว่าเขาควรเสนอเรื่องอะไรไปดี แต่มีสิ่ง ๆ หนึ่งที่กำลังครอบงำทั้งร่างกายของเขาและทำให้การทำงานทั้งหมดในร่างกายหยุดเคลื่อนไหว

                ––ไวโอเล็ตอยู่บนรถไฟ

                ไม่มีทางที่เขาจะเข้าใจผิดว่าคนในรูปถ่ายที่กำลังซื้อตั๋วสำหรับการเดินทางครั้งแรกนั่นไม่ใช่เธอ มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่ออโต้เมมโมรี่ดอลล์จะเดินทางไปรอบโลกด้วยการขึ้นรถไฟ ซึ่งก็หมายความว่าผู้หญิงที่อยู่บนรถไฟข้ามทวีปนั่นจะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเธอ

                ––ถ้าเขาโทรไปหาฮอดกินส์ หมอนั่นจะรับไหมนะ?

                เขาได้ตราหน้ากิลเบิร์ตที่ทิ้งไวโอเล็ตไว้และหายไปอย่างไร้ซึ่งร่องรอย ในบทสนทนาครั้งสุดท้ายของพวกเขา เขาบอกว่าจะไม่คุยกับกิลเบิร์ตอีกจนกว่ากิลเบิร์ตจะทบทวนเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง

                กิลเบิร์ต...? คุณ...เงียบไปแล้วนะ แต่คุณคงมีความคิดดี ๆ อยู่ใช่ไหม?

                เมื่อได้ยินลอว์รัสพูดกับเขา กิลเบิร์ตจึงหันหน้าไปหา เขาคงจะมีสีหน้าที่ต่างจากเดิมจึงทำให้ลอว์รัสเอนหลังและกำลังจะพูดกับเขา

                แต่พลตรีเห็นเข้าเสียก่อน มีอะไรงั้นหรือลอว์รัส? ถ้ามีความคิดดี ๆ ก็พูดออกมาเถอะ

                “เปล่าครับ...ผม...ครับ ผมเห็นด้วยเรื่องซุ่มโจมตีที่จุดเติมน้ำครับ แต่พวกทหารที่รักษาการณ์อยู่ตรงนั้นอาจจะเตรียมการณ์ล่วงหน้าไม่ทัน แต่ผมก็คิดว่าเราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากเตรียมพร้อมและก็รอเท่านั้น...ผมคิดว่าการวางแผนและจัดการเรื่องทหารที่จะคอยหนุนหลังพวกเราในระหว่างการต่อสู้น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด การที่รถไฟต้องหยุดขบวนเพื่อเติมน้ำน่าจะอยู่ในแผนของพวกมันแล้วด้วยเมื่อลอว์รัสเสนอความคิดของเขาจบ บางทีอาจเป็นเพราะเขาคิดว่ากิลเบิร์ตไม่สบายจึงถามด้วยเสียงเบา ๆ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?

                กิลเบิร์ตพยักหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อพลตรีเอ่ยถามความคิดเห็นของเขา กิลเบิร์ตก็พร้อมตอบ ผมเห็นด้วยเหมือนกันครับ

                เนื่องจากเขากังวลเรื่องความปลอดภัยของไวโอเล็ตและผู้โดยสารคนอื่น ๆ กิลเบิร์ตจึงสนับสนุนเรื่องการตอบโต้ครั้งนี้

                ––ตอนนี้ก็คงเป็นช่วงที่คนไม่เห็นด้วยกับเขาจะแย้งขึ้นมาแล้วกระมัง เมื่อเขาคิดเช่นนั้น ความกลัวของกิลเบิร์ตก็กลายเป็นจริงทันที

                ผมรู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วยนะครับ ถ้าเราเข้าไปควบคุมรถไฟที่สถานีสุดท้ายที่ท่าเรือทางตอนเหนือจะไม่ดีกว่าหรือครับ?หลังจากที่ลอว์รัสและกิลเบิร์ตเสนอความคิดเห็นของพวกเขาแล้ว พันเอกคนหนึ่งที่คอยเฝ้าดูอยู่เงียบ ๆ เหมือนกับกิลเบิร์ตก็เอ่ยออกมา

                อาห์มาร์ ถ้าคุณอยากค้านเรื่องนี้ก็ช่วยอธิบายมากกว่านี้ด้วยพลตรีให้พันเอกอาห์มาร์พูดมากกว่านี้

                ลอว์รัสทำหน้าเซ็งอย่างเห็นได้ชัด ชายที่ชื่อว่าอาห์มาร์ที่มีเคราขนาดใหญ่มียศเดียวกับเขา แต่พวกเขาทั้งสองคนไม่ถูกกันเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนในห้องต่างรู้ดีว่าอาห์มาร์จะไม่เอ่ยอะไรออกมาเลยจนกว่าลอว์รัสจะเอ่ยออกมาก่อน บรรยากาศในห้องเริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ

                ถ้าเราตั้งใจจะโจมตีพวกมันที่จุดเติมน้ำและสุดท้ายกลับปล่อยให้พวกมันไป จำนวนผู้เสียชีวิตก็จะสูงขึ้นใช่ไหมล่ะครับ? พวกศัตรูก็จะฆ่าตัวประกันเพื่อแก้แค้นและมันก็จะแค้นพวกเรามากยิ่งกว่าเดิม ในตอนนั้นผมว่าพวกมันจะต้องเรียกค่าไถ่แน่ ๆ ถ้าเป็นแบบนั้นผมคิดว่าปล่อยให้พวกมันทำตามแผนการไปและค่อยจัดการทีเดียวน่าจะดีกว่า ผมขอโทษด้วยที่ต้องขัดการอภิปรายครั้งนี้ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน ผมคิดว่าเราควรจะเลือกแผนที่แน่นอนที่สุด

                ไม่ได้หรอกครับ! ถ้าคุณคิดถึงประชาชนจริง ๆ เราก็ควรจะจัดการเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย! คุณคิดว่าตอนนี้ผู้โดยสารในรถไฟจะรู้สึกยังไงกัน? คุณพูดแบบนั้นทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันต้องใช้เวลาเดินทางนานขนาดไหนเนี่ยนะ?! ครอบครัวของพวกเขาเองก็อยากให้พวกเราทำอะไรสักอย่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เหมือนกันนั่นแหละครับ!”

                ลอว์รัส คุณนี่มักจะแสดงความคิดเห็นของคุณด้วยเรื่องความรู้สึกเสมอเลยนะ แต่เรื่องนี้น่ะมันไม่จำเป็นสำหรับแผนการนี้หรอกนะครับ เราต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ก่อนสิ และค่อยจัดการเรื่องแบบนั้นทีหลัง คุณให้คำแนะนำแบบนั้นด้วยการคิดถึงผลลัพธ์ต่อผลลัพธ์งั้นหรือ? มีคนตายไปแล้วนะครับ เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปล่อยให้ผู้โดยสารอดทนต่อไปเท่านั้นแหละ

                หัวข้อของการประชุมถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายลอว์รัสที่คิดว่าการช่วยเหลือประชาชนสำคัญยิ่งกว่าเรื่องอื่น และฝ่ายอาห์มาร์ที่จัดลำดับความสำคัญของแผนการให้อยู่ภายใต้ความควบคุม

                กิลเบิร์ตที่นั่งอยู่เงียบ ๆ ข้างลอว์รัสยังคงรู้สึกระส่ำระส่ายในขณะที่คิดถึงเรื่องแผนการ แทนที่จะมัวแต่กระวนกระวาย เขาจึงอดทนต่อความรู้สึกและคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ กิลเบิร์ตไม่เห็นด้วยกับความคิดของอาห์มาร์เลย

                มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่ต้องคิดว่าไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดนจะต้องเดินทางต่อไปแบบนั้นจนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง เธอคงจะทำอะไรสักอย่างเป็นแน่ เรื่องที่เธออยู่บนรถไฟนั่นไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความหวังที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังทำให้รู้สึกไม่สบายใจด้วย

                ––ถ้าเธอไปคนเดียว เธอคงจะไม่มีวันประมาทแน่

                เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะป้องกันตัวแค่เฉพาะในเหตุการณ์ที่จำเป็นเท่านั้น กิลเบิร์ตสอนให้เธอเป็นคนที่คอยระวังตัวอยู่เสมอ

                ––เขาต้องไปช่วยจากเธอ เขาต้องปกป้องเธอ เพราะว่าเธอแข็งแกร่งเธออาจจะ...

                มันก็หมายความว่าเขากำลังจะกลับไปแก้ไขทุกอย่างในวันนั้น วันที่เขาหลั่งน้ำตาและตัดสินใจแยกทางกับเธอ ถ้าหากว่าเธอรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ไวโอเล็ตจะต้องพยายามกลับมาเป็นเครื่องมือของกิลเบิร์ตอีกครั้งแน่นอน นั่นเป็นความกลัวที่สุดของที่สุดของเขา

                ––เขาไม่อยาก...เห็นคนที่เขารักเป็นเครื่องมืออีกครั้ง

                กิลเบิร์ตเอ่ยถามตนเอง – ในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่ผู้ชายที่มีนามว่ากิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียกลัวมากที่สุดคืออะไร?

                ––ความตายของไวโอเล็ต

                กิลเบิร์ตเอ่ยถามตนเองอีกครั้ง – ในสถานการณ์แบบนี้ เขาปรารถนาอะไรมากที่สุด?

                ––ความปลอดภัยของเธอ

                เมื่อมองเข้าไปในหัวใจของเขา เขาก็รู้ในทันทีว่าเขาต้องทำอะไร

                ––นี่ก็เป็น...โชคชะตาเหมือนกันหรือ?

                กิลเบิร์ตหลับตาลงอีกครั้ง และหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ใบหน้าของผู้หญิงที่เขาได้ทอดทิ้งเธอปรากฏขึ้นในความคิดของเขา หน้าตาของเธอเป็นเหมือนกับรูปถ่ายในหนังสือพิมพ์ ที่แสดงให้เห็นว่าเธอโตขึ้นมากขนาดไหนนับตั้งแต่ที่พวกเขาไม่ได้พบกันอีก

                เขาได้ใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะมานั่งตรงนี้ได้ และที่นั่งต่อไปที่เขาเล็งไว้ก็คือที่นั่งของพลตรี ยิ่งเขาปีนป่ายมากเท่าไหร่ เขาก็จะได้มีอิสระมากขึ้นเท่านั้น

                ในตอนนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่าพระเจ้ากำลังนำทางเขาอีกครั้ง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเป็นทุกข์เพราะกังวลเรื่องไวโอเล็ตมากขนาดไหนก็ตาม เขาก็เข้าใจโดยถ่องแท้ว่าเขาจะต้องทำอะไรโดยใช้เหตุผลอย่างใจเย็น

                ––อย่าลืมสิว่าเขามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกัน อย่าเครียดนักสิ

                เขาเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ

                ––เขาเป็นคนที่เลือกเส้นทางนี้เอง และตอนนี้มันก็ถึงเวลาแล้วก็แค่นั้นเอง

                ผม...ขอเสนอความเห็นได้ไหมครับ?

                ไม่มีความลังเลอยู่ในดวงตาสีเขียวมรกตของเขาอีกแล้ว เขามองไปยังพลตรีและทุกคนที่อยู่รอบโต๊ะ เขารู้ว่าเขาควรทำตัวยังไง

                ผมมีความคิดดี ๆ ครับเสียงของเขาไม่ได้ดังเกินไปหรือเบาเกินไป อย่างแรก เรื่องที่ส่งทหารไปประจำการอยู่บนทางรถไฟ...ผมเห็นด้วยครับ เราไม่ควรปล่อยให้ขบวนรถวิ่งไปถึงตอนเหนือได้ แต่ถ้ามันต้องวิ่งไปถึงท่าเรือจริง ๆ กองทัพเรือจะเป็นคนจัดการเรื่องนั้นเองครับ ผมจะคุยกับดีทฟริท โบเกนวิลเลีย พี่ชายของผมเองครับ อย่างที่ท่านนายพลพูด เราควรจะคำนึงถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อน

                การที่พูดด้วยท่าทางใจเย็นนั้นเป็นเรื่องสำคัญ

                ส่วนปัญหาเรื่องทหารที่ถูกส่งไป ผมจะเป็นคนต่อสู้กับพวกมันที่สถานีปลายทางเองครับ หากต้องเปลี่ยนมันเป็นสนามรบ เราอาจมีประเด็นอ่อนไหวกับทางตอนเหนือก็เป็นได้ ในสายตาของพวกเขา พวกมันอาจจะเป็นวีรบุรุษสำหรับพวกเขาก็ได้ เราต้องให้พวกมันถูกกวาดล้างในดินแดนทางตอนเหนือ – ที่เป็นบ้านของพวกมันเอง – มันจะต้องเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมแน่ครับ แต่เราอาจจะต้องเตรียมใจยอมรับด้วยว่ามันอาจจะกระตุ้นให้เกิดความตกใจมากพอจนนำไปสู่เหตุการณ์ที่เลวร้ายได้ครับ ตอนนี้ พวกเขาอาจจะยังดีกับพวกเราเพราะเรื่องที่พวกเราไม่มีกองกำลังทหารแล้ว แต่พวกเขาจะต้องไม่พอใจเรื่องนี้อย่างแน่นอนครับ

                ตอนนี้เราไม่ควรจะคุยกันเรื่องนั้นนะครับ!”

                กิลเบิร์ตเอ่ยตอบต่อเสียงตะโกนที่แสดงความโมโหของอาห์มาร์ด้วยความฉลาด คนที่พูดว่าต้องคิดถึงผลลัพธ์ต่อผลลัพธ์ก็คุณเองนะครับ ผู้การ

                คุณ...กล้าพูดแบบนั้นกับผมได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่งไปแท้ ๆ...

                ท่านนายพลพูดตั้งแต่แรกแล้วนะครับว่าอนุญาตให้พวกเราเสนอความคิดได้อย่างอิสระ คุณไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของท่านนายพลหรือครับ?

                ถึงจะอ้างถึงคนที่มียศสูงกว่าพวกเขา แต่อาห์มาร์ก็ยังปฏิเสธที่จะยอมแพ้ด้วยการพูดว่า ไม่มีทางใบหน้าของเขาแดงจัด

                อย่างที่อาห์มาร์ทำกับลอว์รัส กิลเบิร์ตจึงเริ่มโต้แย้งบ้าง โปรดให้ผมอธิบายความคิดของผมต่อด้วยครับ ไม่มีอะไรที่จะยืนยันได้ว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้โดยสารเท่านั้น แต่เราต้องอพยพทุกคนที่อยู่ทุกสถานีและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงด้วยเหมือนกัน และผมก็ขอเสนอเรื่องแผนการแทรกซึมเข้าไปประกบตัวพวกมันจากเมืองไลเดนควบคู่ไปกับโจมตีที่จุดเติมน้ำด้วยครับ เขากล่าวเสียงดังด้วยการพูดที่สัมผัสได้ถึงความสงบและความสง่างาม

                คนเราต่างก็ตัดสินคนอื่นด้วยการมองและการได้ยินทั้งนั้น และการที่เขาพูดแบบนี้จะทำให้คนอื่น ๆ เริ่มคิดว่า สิ่งที่ผู้ชายคนนี้พูดน่าสนใจดีนะ

                “คุณพูดว่า แผนการแทรกซึม งั้นเหรอ? ถ้าเราเริ่มจับพวกมันตอนนี้จะทันเวลาเหรอ?

                กิลเบิร์ตตอบโต้คำเย้ยหยันของอาห์มาร์ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ผมจะให้ Nighthawks บินลาดตระเวนครับ

                ถึงตอนนี้รถไฟจะหยุดวิ่ง ยังไงมันก็ต้องวิ่งต่ออยู่ดีนั่นแหละ!”

                คนที่ใช้อารมณ์อยู่เหนือความคิดย่อมแพ้ก่อนเสมอ

                ถึงมันจะวิ่งต่อไป ยังไงมันก็ต้องหยุดวิ่งเพื่อเติมน้ำอยู่ดีครับ ถ้าเราแทรกซึมได้สำเร็จ ความสำเร็จในการบุกเข้าไปที่จุดเติมน้ำก็จะเพิ่มขึ้นครับ การช่วยเหลือผู้โดยสารถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ยิ่งเราปล่อยให้พวกมันมีเวลามากขึ้นเท่าไหร่ ผู้เสียชีวิตก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นครับ ผมว่าทั้งฝั่งพวกมันและก็ฝั่งผู้โดยสารต่างก็เสียขวัญกันทั้งนั้น และคุณก็รู้ว่ายังไง Nighthawks ก็ไปทันเวลาถ้าคุณปล่อยให้ผมจัดการ ให้พวกเราระดมพลกองกำลังพิเศษแห่งไลเดนชาฟต์ลิชเถอะครับ แน่นอนว่าผมเองก็จะเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการเหมือนกัน

                มีความปั่นป่วนในจิตใจเกิดขึ้น เขามองดูสีหน้าของพลตรี แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่พบความผิดพลาดอะไรในข้อเสนอของเขา

                กิลเบิร์ตจึงเอ่ยต่อเพื่อไม่ให้ความคิดของเขาหลุดประเด็น เมื่อไม่นานมานี้เราเองก็ได้เตรียมคนที่จะมาจัดการในสถานการณ์แบบนี้เรียบร้อย แต่ทุกคนคงลืมไปแล้วใช่ไหมครับ? กองกำลังพิเศษแห่งไลเดนชาฟต์ลิชได้ทำงานมาตลอดตั้งแต่ช่วงสงคราม และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาแทรกซึมได้อย่างดีเยี่ยมถึงแม้จะมีคนจำนวนน้อยก็ตาม ถ้าหากเราสั่งให้พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาก็จะเคลื่อนไหวทันที ถึงจะมีความเห็นที่ว่าผมไม่ควรจะผู้บังคับบัญชาพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในความดูแลของผม และผมก็เพิ่งจะถูกเลื่อนยศเป็นพันเอกเมื่อไม่นานมานี้ ผมต้องการจะพิสูจน์ศักยภาพของผมครับ โปรดคิดว่าผมเป็นแค่หมากตัวหนึ่งแล้วกันครับ ผมจะเป็นหมากกระดานที่ระดมกำลังกองทัพเรือเอง และถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ก็ให้เริ่มแผนการแทรกซึมเพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้เลยครับ แต่ถ้าหน่วยของผมล้มเหลว คนที่จะทำหน้าที่นี้จะเป็นทหารของกองทัพบกแห่งไลเดนชาฟต์ลิชแทน ผมคิดว่ามันเป็นไปได้ยากมากที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเพียงเพราะความต้องการแก้แค้นของทางตอนเหนือ ผมคิดว่า...มันต้องมีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่นอน มันคงไม่ได้มีแค่กับดักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผมรู้สึกได้ว่า...พวกมันอยากได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ครับ ซึ่งผมคิดว่าพวกมันจะต้องวางกับดักที่พวกเราไม่รู้มากกว่านี้อีกแน่นอนกิลเบิร์ตกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถาม ท่านนายพลคิดว่ายังไงครับ? ผมหวังว่าท่านจะปล่อยให้ผมจัดการเรื่องนี้เองนะครับเขาอ้อนวอน แต่สิทธิ์ในการตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา เขาอ้อนวอนยิ่งกว่าเดิมด้วยสายตาและวิธีการหว่านล้อมของเขา

                กิลเบิร์ตรู้ดี ตั้งแต่ที่เขาอายุยังน้อย เขารู้ตัวดีอยู่เสมอว่าเขาควรทำตัวยังไงต่อหน้าคนที่เขากำลังคุยด้วยอยู่ ถ้าหากเขาทำอะไรผิดพลาดไป คำติเตียนเหล่านั้นก็จะส่งมาถึงเขา นั่นเป็นความลับสำหรับชัยชนะเพื่อที่จะใช้ชีวิตในฐานะตระกูลโบเกนวิลเลีย เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง เขามีชีวิตอยู่เพื่อคนที่ครั้งหนึ่งเขาไม่เคยรู้ว่าเขารักเธอมากแค่ไหน

                ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู แสดงศักยภาพของคุณให้เราเห็นในฐานะหมากตัวหนึ่งหน่อย

                “ผมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอนครับในตอนที่ตอบไปเช่นนั้น กิลเบิร์ตได้สร้างกลยุทธ์ที่แตกต่างออกไปเรียบร้อยแล้ว

     




                หากมีวันไหนที่เขาคิดว่ามันเป็นวันที่แสนยอดเยี่ยมในชีวิตของซามูเอล ลาบูฟ มันก็คงจะเป็นวันนี้ เพราะเขาได้รับเลือกให้เป็นวิศวกรในห้องเครื่องยนต์ที่อยู่ด้านหน้าของขบวนรถไฟข้ามทวีปขบวนแรกของประวัติศาสตร์ ใครบางคนคงจะสงสัยอย่างแน่นอนว่าเขาจุมพิตผนังห้องสีดำไปแล้วกี่ครั้ง เขาเคยคุยเรื่องนี้กับครอบครัวและเพื่อนฝูงของเขานับครั้งไม่ถ้วน ผู้คนที่รับรู้ถึงความพยายามของเขาต่างก็ยกย่องเขาจากใจจริงและยิ้มให้กับเขาในตอนที่เขาได้ทำงานให้กับรถไฟครั้งแรก ในตอนแรก ซามูเอลวางแผนที่จะใช้เวลาของเขาในการฮัมเพลงในขณะที่กำลังเดินทางไปรอบโลกในตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน และนึกถึงวันที่แสนพิเศษอย่างนี้ซ้ำ ๆ ในหัวของเขา

                ...คนที่ต้องมาทำหน้าที่แทนยังไม่มาอีกเหรอ?

                “ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมขอโทษด้วยครับ...!”

                ผ่านไปแล้ว 6 ชั่วโมงและ 34 นาทีด้วยกันจนกระทั่งมาถึงช่วงเย็น ซามูเอลมีปืนจ่ออยู่ที่คอของเขาจากด้านหลัง ร่างที่แน่นิ่งของหนึ่งในเพื่อนร่วมงานและผู้ช่วยของเขานอนอยู่ที่เท้าของเขา และมีหัวห้อยหย่อน ๆ คนเหล่านั้นเป็นคนที่กล่าวทักทายและพูดคุยกับเขาในทุก ๆ วัน แต่ในตอนนี้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว รถไฟที่เรื่องราวของมันเพิ่งจะเริ่มต้นและเพิ่งจะถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ในตอนนี้ได้ถูกจี้และยึดโดยอาชญากรเสียแล้ว

                ––ทำไม...ทำไม...ถึงเป็นแบบนี้? เขาทำอะไรลงไป?

                เมื่อเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่โหดร้าย อย่างแรกที่คนส่วนใหญ่ก็จะคิดเหมือน ๆ กันคือพวกเขาอยากจะคร่ำครวญ

                ––เขาทำอะไรผิด?

                จากนั้นพวกเขาก็เริ่มคิดว่าทำไมพวกเขาถึงโชคร้ายแบบนี้ เวลาแห่งความสุขนั้นจบลงตั้งแต่ซามูเอลได้ขับรถไฟออกจากสถานีเมืองไลเดน เมืองหลวงของไลเดนชาฟต์ลิชหลังจากที่งานเฉลิมฉลองได้สิ้นสุดลงก่อนเวลาพลบค่ำ

                รถไฟข้ามทวีปมีชื่อว่า ฟาม ฟาเตลมีทั้งหมดสิบสามตู้ด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วยหัวรถจักร 3 หัว ตู้นอนเดี่ยว 2 ตู้ ตู้นอนธรรมดา 2 ตู้ ตู้โดยสาร 2 ตู้ ตู้โดยสารแบบพาโนรามิค ตู้รับประทานอาหาร 2 ตู้ และตู้ขนส่งสินค้า เพื่อที่หัวรถจักรจะลากตู้รถไฟอีกสิบขบวนได้ ทุกสามตู้จะต้องมีวิศวกรและผู้ช่วยวิศวกรอยู่ประจำการ และเมื่อได้ยินเสียงหวีดของไอน้ำ แต่ละตู้จะต้องใช้คนสามคนในการปรับความเร็ว ดังนั้นถ้าขาดคนขับรถไฟคนใดคนหนึ่งไปก็จะไม่มีวันทำงานได้สำเร็จ

                ยังไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำที่ฟาม ฟาเตลถูกจี้ด้วยอาวุธหลังจากที่ออกมาจากไลเดนชาฟต์ลิช พวกนักจี้ทั้งหลายกระจัดกระจายอยู่แต่ละตู้โดยเริ่มยึดมาจากตู้สินค้า โดยมีคนที่ถูกสังหารไปแล้วเป็นพนักงานยกกระเป๋าจากตู้นอนธรรมดาหนึ่งคน วิศวกรจากหัวรถจักร 3 หนึ่งคน คู่หูของซามูเอล – และผู้ช่วยทั้งหมดสามคน – จากหัวรถจักร 1

                ฟาม ฟาเตลจะต้องเติมน้ำเพื่อเป็นเชื้อเพลิงจากสถานีที่ต้องหยุดเพื่อเติมน้ำ ซึ่งในตอนนี้คำขอพนักงานที่ต้องมาทำหน้าที่แทนวิศวกรและผู้ช่วยที่มีตำแหน่งว่างอยู่ได้ถูกส่งไปยังการรถไฟแห่งชาติของไลเดนชาฟต์ลิชแล้ว ดูเหมือนพวกที่ขึ้นมาจี้รถไฟเองก็ต้องการอะไรบางอย่างจากรัฐบาลด้วยเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่ได้บอกเรื่องนั้นกับซามูเอลผู้ที่เป็นเพียงแค่หนึ่งในตัวประกันเท่านั้น

                พวกเขามีผ้าที่มีสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศแห่งหนึ่งทางตอนเหนือผูกแขนพวกเขาไว้ พวกเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่? เพื่อแก้แค้นให้กับความพ่ายแพ้ของพวกเขางั้นหรือ? พวกเขามีแผนอะไรที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้ไหม? แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม แต่เขาก็สรุปได้ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ทำตัวหละหลวมเป็นอย่างมากและไม่รับฟังคำสั่งจากใครด้วย แต่ถึงพวกเขาจะไม่รู้ว่ารถไฟนี้ทำงานยังไง พวกเขาก็จะฆ่าพนักงานทุกคนที่เข้ามาขัดขวางการทำงานของพวกเขาอยู่ดี

                อย่ากังวลไปเลย เรื่องมันจะยากกว่านี้นะถ้านายไม่ฟังคำสั่งของพวกเรา แต่เพราะว่านายเป็นคนขับ พวกเราเลยจะไม่ฆ่านาย พวกเราฆ่าคนพวกนั้นก็เพราะว่าคนมันแออัดเกินไป เพราะงั้นอย่ากลัวจนฉี่รดกางเกงขึ้นมาซะล่ะ มันเหม็นหนึ่งในนักจี้คนหนึ่งบอกซาอูเอลให้ใจเย็น บางทีอาจเป็นเพราะเขาแสดงสีหน้าหวาดกลัวและไม่น่าดูจนเกินไป

                เอ่อ จนกว่าจะมีคนมาแทนผมต้องขับไปถึงไหนครับ...?

                ขับไปจนถึงปลายทางเลย และห้ามเปลี่ยนเส้นทางด้วย สิ่งที่เราต้องการจากนายก็แค่พาเราไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัยก็เท่านั้น

                ในตอนแรกเขาคิดว่าถ้าเขาพูดอะไรไปอาจทำให้พวกเขาโมโหและทำร้ายเขาก็ได้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เขาสามารถพูดคุยกับคนเหล่านี้ได้อย่างปกติ

                ––พวกเขาอาจจะเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งอย่างเขาก็ได้ แต่เขาจะคิดแบบนั้นกับคนพวกนี้ไม่ได้เด็ดขาด

                จากมุมมองของซามูเอล พวกเขาดูเหมือนคนที่มาจากคนละโลกกับเขาเลย

     




                มีคนอีกมากมายนอกเหนือจากซามูเอล ลาบูฟที่คิดว่าทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้ ไม่เหมือนกับซามูเอล เพราะเนื่องจากเขาเป็นวิศวกร เขาจึงจะไม่ถูกฆ่า แต่กลับกันกับผู้โดยสารที่กำลังหวาดกลัว เพราะพวกเขาอาจถูกฆ่าได้ทุกเมื่อถ้าหากไปแหย่พวกนักจี้พวกนี้เข้า

                หลายชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่มาถึงจุดเติมน้ำและการจี้ได้เริ่มขึ้น จำนวนอาชญากรนั้นมีไม่เยอะ และพวกเขาก็เปลี่ยนเวรกันในการดูตัวประกัน ผู้โดยสารไม่รู้เลยว่ามีวิศวกรและผู้ช่วยบางคนที่ถูกฆ่าไปแล้วและกำลังรอให้มีคนมารับหน้าที่แทนอยู่ สภาวะตึงเครียดจากความกลัวยังคงอยู่ และสภาพจิตใจของผู้โดยสารก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว

                ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นด้วย?ในตู้รับประทานอาหาร 2 หนึ่งในผู้โดยสารคนหนึ่ง – ที่เป็นชายแก่ ๆ ที่ดูใจดี – อาลัยต่ออาหารเย็นชืดที่วางอยู่หน้าเขา

                ––ในเวลาแบบนี้ เขาอยากจะเห็นหลานของเขาสวมชุดแต่งงานและแต่งงานกับใครสักคนในบ้านเกิดของพวกเขา

                เขาไม่คิดเลยว่าการเดินทางบนรถไฟที่เริ่มต้นด้วยความสุขจะกลายเป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวแบบนี้ เหตุการณ์เลวร้ายใหญ่ ๆ มากมายที่เขาเคยเห็นในหนังสือพิมพ์และได้ยินมาจากปากคนอื่นนั้นเกิดอยู่ในที่ที่ห่างไกลจากเขามาก ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องร้ายแรงแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเขา

                เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดกับใคร แต่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขากลับตอบเขา

                แล้วขบวนรถไฟข้ามทวีปควรจะเป็นยังไงหรือคะ...?

                ท่ามกลางเสียงที่วุ่นวายนั่น เสียงที่แสนไพเราะดังก้องอยู่ในหูของเขา มันเป็นยานพาหนะขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับทางรถไฟที่เชื่อมไปยังอีกด้านหนึ่งของทวีป และมีไว้เพื่อขนส่งอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะสินค้าหรือผู้คน มันส่งมอบการเข้าถึงและกำไรให้กับผู้คนมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นรถไฟก็ไม่สามารถวิ่งได้ถ้าไม่มีรางรถไฟ ดังนั้นการที่จะสร้างรางรถไฟ ผืนดินจะต้องได้รับการชำระล้างเสียก่อน ถึงแม้จะมีสวนดอกไม้หรือบ้านสักหลังอยู่ก็ตาม ไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่ขวางทางอยู่จะต้องถูกจำกัด เสียงนั่นเป็นของหญิงสาวที่แสนประหลาดและน่าดึงดูดคนหนึ่งที่กำลังมองสีของท้องฟ้าที่กำลังเปลี่ยนไปอยู่เงียบ ๆ โดยที่ไม่ได้กรีดร้องออกมาสักแอะนับตั้งแต่ที่รถไฟถูกจี้ ราวกับมีเครื่องจักรหรืออะไรบางอย่างฝังอยู่ในหัวของเธอ เธอพูดต่อไปอย่างไหลลื่น การที่จะสร้างรางรถไฟได้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องทำลายปราสาททางตอนเหนือที่เป็นอนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมทิ้ง ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยังได้ยินมาว่าผู้ประกอบการทางตอนเหนือได้รับความเดือดร้อนจากการทำงานหนักเนื่องจากค่าแรงที่ต่ำมากด้วยค่ะ เส้นทางเหล่านั้นถูกระเบิดเพื่อให้พวกเราผ่านภูเขาได้ และอุบัติเหตุที่เกิดจากการระเบิดก็เกิดขึ้นไม่น้อยด้วยค่ะ ดวงตาสีฟ้าของหญิงสาวสังเกตเห็นสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศทางตอนเหนือที่ผูกไว้รอบแขนของชายคนหนึ่งที่ถืออาวุธอยู่

                เป็นไปไม่ได้หรอก เธอไม่ควรพูดโกหกนะ เรื่องแบบนั้นน่ะ...มันไม่มีในหนังสือพิมพ์เลยไม่ใช่เหรอ?

                มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่จะไม่รู้สึกอึดอัดที่ได้ยินคำพูดที่ใส่ร้ายชาติของพวกเขา และเมื่อได้ยินชายชราคนนั้นพูดด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย หญิงสาว – ที่มีนามว่าไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน – ก็เอ่ยตอบ มันไม่ใช่เรื่องที่โด่งดังหรอกค่ะ ฉันได้ยินโดยบังเอิญในตอนที่กำลังเดินทางอยู่น่ะค่ะเพราะก่อนหน้านี้ฉันได้เดินทางไปแทบทุกที่เลย มีความเป็นไปได้ที่ว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นแรงผลักดันของพวกเขาก็ได้นะคะ...แต่ถ้าเป็นเรื่องนั้นจริง พวกเขาก็ควรจะทำลายรถไฟคันนี้และฆ่าพวกเราทั้งหมด แต่พวกเขาฆ่าลูกเรือไปไม่กี่คนเท่านั้นเอง และดูเหมือนพวกเขาจะคำนึงถึงชีวิตของผู้โดยสารเป็นสำคัญด้วย พวกเขา...คงจะมีจุดประสงค์อื่น…”

                ชายชราตัวสั่นด้วยคำว่า ฆ่าจากปากของผู้หญิงที่ดูอ่อนแอกว่า “เธอพูดแบบนั้น หมายความว่ายังไง..?

                ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ เพราะว่าพวกเขาจับเราเป็นตัวประกัน...มันอาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเขาต้องการอะไรบางอย่างจากรัฐบาลกระมังคะ

                ชายชราไม่ได้เชื่อคำพูดของไวโอเล็ต แต่กลับทึ่งไม่น้อยเมื่อได้ยินการคาดเดาที่แสนฉลาดของเธอ

                ––ผู้หญิงคนนี้...ทำงานอะไรกันนะ?

                เธอเป็นผู้หญิงที่แสนลึกลับคนหนึ่งที่มีหน้าตาราวกับตุ๊กตาที่พวกเด็กตัวเล็ก ๆ ถือไปไหนมาไหนด้วย เขารู้สึกกลัวน้อยลงเพราะความอยากรู้เรื่องของเธอ

                ถึงอย่างนั้นเราก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ฉันแค่...อยากไปร่วมงานแต่งของหลานสาวฉันก็เท่านั้นเอง

                ค่ะ เราทำอะไรไม่ได้ไวโอเล็ตเอ่ยต่อ เรื่องของพวกเราเองก็ไม่สำคัญกับพวกเขาด้วยเหมือนกันค่ะ แต่ละฝ่ายเองก็มีความเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของตัวเอง และรถไฟขบวนนี้ก็คงจะเปลี่ยนเป็นสนามรบให้กับสงครามของพวกเขาแล้วล่ะค่ะ

                โลกทั้งโลกถูกปกคลุมด้วยความมืดและเปลี่ยนเป็นยามเย็น แสงไฟอ่อน ๆ จากโคมไฟที่ห้อยอยู่ในขบวนรถช่างแตกต่างจากสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างมาก ดวงตาสีฟ้าจ้องมองไปยังขบวนการเติมน้ำที่อยู่ด้านนอกขบวนรถ ชายคนหนึ่งตะโกนใส่ผู้โดยสารสองสามคนที่ถูกจับเป็นตัวประกันตามลำดับ

                ฉันควรจะ...ไปได้แล้วค่ะ

                และในตอนนั้นเองที่ชายชราสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เธอไม่ได้เพียงแค่กำลังสังเกตสถานการณ์ด้วยความเงียบเท่านั้น แต่เธอตั้งใจจะทำอะไรบางอย่าง

                นี่ หนู ฉันไม่รู้นะว่าเธอตั้งใจจะทำอะไร แต่เธออยู่เฉย ๆ น่าจะดีกว่า...

                “ข้างนอกมืดหมดแล้วค่ะ กระจกพวกนี้ค่อนข้างใหญ่เลยใช่ไหมคะ?

                ชายชรารู้สึกสับสนเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่สมเหตุสมผลนั่น

                คุณคะ คุณสูบบุหรี่หรือซิการ์ไหมคะ?

                ส-สูบ

                “คุณมีไม้ขีดไหมคะ?

                “อยู่ในกระเป๋าข้างขวาของฉัน...

                หลังจากนี้ฉันขอยืมสักก้านนะคะเธอไม่พูดอะไรมากกว่านั้น ไวโอเล็ตยืนขึ้นทันที และค่อย ๆ ยกมือขึ้นมามัดผมของเธอ

                ชายชราเห็นมือของเธอจับแท่งเงินที่แหลมบางแท่งหนึ่งอกมา มันเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่เธอซ่อนไว้เพื่อใช้ในการต่อสู้ทั้งระยะไกลและระยะประชิด แต่ในมุมมองของคนทั่วไป มันก็ถูกมองเป็นแค่เข็มแท่งหนึ่งเท่านั้น

                อย่างไรก็ตาม หนึ่งในอาชญากรคนหนึ่งเล็งปืนมาที่ไวโอเล็ตเมื่อเห็นเธอทำตัวแปลก ๆ เฮ้ เธอจะทำอะไร?! ยกมือขึ้นเดี๋ยวนี้!”

                “เข้าใจแล้วค่ะเธอยกมือขึ้นอย่างที่เขาบอก

                ทันใดนั้น โคมไฟในรถไฟก็ระเบิดและไฟก็ดับลง เสียงกรีดร้องของผู้โดยสารปะปนไปกับเสียงเดือดดาลของนักจี้ แต่ไม่มีเสียงปืนแต่อย่างใด มีเสียงของอะไรบางอย่างกำลังโจมตีและทำลายกระจกอย่างต่อเนื่อง จากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนถูกโอบล้อมด้วยความสับสนในความเงียบท่ามกลางความมืดมิดที่เงียบสงัด

                เกิดอะไรขึ้นกับพวกจี้รถไฟกัน? เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น? และในตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นในรถไฟกัน? และในขณะที่ในหัวของผู้โดยสารเต็มไปด้วยคำถามนั่น ไฟก็ถูกจุดขึ้นในโคมไฟที่เพิ่งแตกไปอีกครั้ง หญิงสาวที่แสนงดงามถือไม้ขีดไฟไว้และโผล่ออกมาจากความมืดมิดราวกับวิญญาณตนหนึ่ง เธอกระซิบ ชู่วโดยที่มีนิ้วชี้แนบอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ หญิงสาวคนนั้นดูเด่นชัดเหลือเกินเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ ผู้โดยสารทุกคนที่สังเกตเห็นเธอเงียบลงทันทีเมื่อเห็นเธอยกนิ้วขึ้นจุ๊ปาก

                ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นนักเดินทาง ฉันรู้ค่ะว่าทุกท่านกำลังเหนื่อย แต่ได้โปรดรออีกสักประเดี๋ยวนะคะ ฉันจะออกไป...จัดการกับผู้คุมที่อยู่ด้านนอกและในตู้สินค้าก่อนเธอไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น ไวโอเล็ตก็เป่าไม้ขีดไฟด้วยความรวดเร็ว

                ในตอนนั้นเองที่ชายชราเพิ่งรู้สึกตัวว่าเธอได้หยิบไม้ขีดไฟจากกระเป๋าเสื้อของเขาไปแล้วโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด

                ภายในโลกที่แสนมืดมิด มีเพียงแค่เสียงที่ดังขึ้นอีกครั้งเท่านั้น และเมื่อหน้าต่างฝั่งซ้ายถูกเปิดออกและมีคนกระโดดลงไป มีเสียงกรวดที่ถูกเหยียบดังขึ้นและเสียงของคนที่วิ่งตามมา ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ก็มีเสียงของอะไรบางอย่างหนัก ๆ กำลังถูกลาก

                เหล่าผู้โดยสารสะดุ้ง และรู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงมีคนเหยียบกรวดอีกครั้ง มันเป็นการเคลื่อนไหวที่แสนว่องไวและกำลังเข้ามาใกล้ ๆ ขบวนรถ เสียงฝีเท้าของคนที่พวกเขามองไม่เห็นทำให้คนที่ตกอยู่ใต้ความกลัวเป็นเวลานานรู้สึกไม่สบายใจ

                ขออภัยด้วยค่ะ

                “เฮ้ย!” ชายชราร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเคาะหน้าต่างจากด้านนอก

                ไวโอเล็ตยืนอยู่ข้างนอกขบวนรถ และมีแสงจันทร์ทอแสงลงมาที่ด้านหลังของเธอ

                ทุกท่านคะ รีบหนีออกไปจากที่นี่ก่อนที่จะมีคนจากขบวนรถไฟอื่นมาโจมตีรถไฟขบวนนี้เลยค่ะ และช่วยอยู่เงียบ ๆ กันด้วยนะคะ

                เธอแต่งตัวเหมือนกับตุ๊กตา และหน้าตาก็ยังเหมือนกับตุ๊กตาอีก คำแนะนำจากปากของเธอนั่นช่างน่าเคลือบแคลงใจ

                ให้ผู้หญิง คนแก่ และเด็กออกไปก่อนนะคะ โปรดเดินไปตามรางรถไฟและเดินตรงข้ามกับทางที่รถไฟวิ่งมานะคะ มันอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ถ้าคุณเดินไปยังสถานีที่ใกล้ที่สุด จะมีสารวัตรรอพวกคุณอยู่และคอยคุ้มกันพวกคุณอย่างแน่นอนค่ะ อย่าเฝ้ารออยู่ที่สถานีนี้เด็ดขาดเลยนะคะ ดูเหมือนพนักงานของสถานีรถไฟกำลังพูดคุยกับพวกผู้คุมอยู่ค่ะ ซึ่งหมายความว่าจะต้องมีองค์กรอื่นที่มีส่วนร่วมในการยึดขบวนรถไฟนี้แน่นอนค่ะ

                ใคร ๆ ก็บอกได้ว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ถึงแม้จะไม่เห็นการต่อสู้ของเธอตรง ๆ ก็ตาม

                ผู้คนเริ่มปีนออกจากทางหน้าต่างและลงมาอย่างรวดเร็ว

                แล้วเธอล่ะ? เธอจะไม่มากับเราเหรอ?ชายชราถามหญิงสาวที่น่าพิศวงเมื่อเขาลงมาถึงพื้น

                ไวโอเล็ตส่ายหัว ฉันมีสิ่งที่ต้องทำค่ะ ตั้งแต่จบสงครามไปก็เพิ่งจะมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ดูเหมือนว่ากองทัพของไลเดนชาฟต์ลิชจะเข้ามาจัดการกับความขัดแย้งนี้ค่ะ มันคงเป็นเรื่องยากมากที่จะหยุดรถไฟไว้โดยไม่โจมตีจากข้างนอก...และยังมีคนอยู่ข้างในแบบนี้อีก แต่ถ้าไม่มีคนในขบวนแล้วพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องลังเลแล้วค่ะ ดูเหมือนว่าการต่อสู้จะเริ่มขึ้นเมื่อรถไฟไปถึงสถานีที่ต้องหยุดสถานีถัดไปนะคะ แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้นฉันต้องทำในสิ่งที่ฉันทำได้ก่อน...

                นั่นน่ะ...ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องทำหรอกใช่ไหม? วิ่งหนีไปด้วยกันเถอะ

                “ไม่ค่ะ...

                ดวงตาสีฟ้าของเธอจ้องมองไปยังชายชราที่อยู่เบื้องหน้าเธอ แต่จิตใจของเธอได้ล่องลอยไปที่อื่นเสียแล้ว

                ไม่ค่ะ มันเป็นสิ่งที่ฉันต้องทำ ฉัน...ฉัน...ทำแบบนี้ก็เพื่อใครบางคนที่ฉันอยากจะเป็นความแข็งแกร่งให้เขาค่ะ ถึงจะเป็นแค่ทางอ้อมก็ตาม

                เธอมองไปยังกิลเบิร์ต โบเกนวิลเลีย คนที่อยู่ไกลแสนไกล และถ้าเขาอยู่ที่นี่เขาจะต้องช่วยเหลือประชาชนทุกคนอย่างแน่นอน

                โชคดีที่ฉันคงจะไปถึงที่ที่ฉันจะไปก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน ฉันบังเอิญได้ขึ้นรถไฟนี้น่ะค่ะ จริง ๆ แล้วก็มีการเดินทางอีกหลายวิธีเลย ถ้าวันนี้ฉันติดต่อกับบริษัทของฉันได้ พวกเขาก็ควรจะเตรียมหาคนมาทำหน้าที่แทนฉันเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ค่ะ เพราะฉะนั้นท่านประธานของบริษัทคงจะคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้วและเตรียมจัดหาคนมาแทนแล้วแน่นอนค่ะ ฉันกังวลแค่เรื่องนี้เท่านั้นแหละค่ะ

                “เธอควรจะกังวลเรื่องสภาพร่างกายของเธอแทนเรื่องแบบนั้นสิ มันอันตรายนะ...เธอเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่งเองไม่ใช่เหรอ?

                อย่ากังวลไปเลยค่ะ เพราะว่าคืนนี้มืดมาก ฉันคิดว่าฉันน่าจะควบคุมสถานการณ์นี้ได้ด้วยความเสียหายที่น้อยที่สุดค่ะ

                “เธอบอกว่า ควบคุมงั้นเหรอ...

                “ควบคุมสถานการณ์ค่ะเธอพูดคำที่เธอพูดก่อนหน้านี้ มันไม่ได้หมายความถึง ทนต่อการต่อต้านหรือ ยึดทั้งนั้น คำที่เธอพูดมีความหมายต่างออกไป เธอวางแผนที่จะให้อีกฝ่ายยอมแพ้ ผู้หญิงที่แสนงดงามคนนั้นดูไม่มีความกลัวหรือความกังวลเลยแม้แต่น้อยถึงแม้ว่าจะมีกำลังน้อยกว่าก็ตาม

                ––เขารู้สึกว่า...มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่ามั่นใจเลยแฮะ

                ท่าทางของเธอที่ปรากฏอยู่ในสายตาของชายชราเหมือนกับเครื่องจักรกลไม่มีผิด

                “เธอไม่กลัวเหรอ?

                ไม่ค่ะ เธอดูเป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องนั้นเท่าไหร่นัก เพราะเธอเลือกที่จะต่อสู้กับเหล่านักจี้พวกนั้น

                รถไฟเริ่มออกวิ่งอีกครั้ง

                ชายชราเอ่ยขอบคุณเธอที่ช่วยทุกคนไว้ในตอนที่เธอปีนกลับขึ้นไปบนรถไฟและถามเป็นครั้งสุดท้าย “เธอชื่อว่าอะไรเหรอ?

                สีหน้าของไวโอเล็ตดูน่าดึงดูดเสียยิ่งกว่าเดิมเมื่อเธอยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบที่ริมฝีปากโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก และเมื่อรถไฟลาลับไป ชายชราก็ไม่ได้ยินชื่อของเธอ

     




                ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ชั่วโมง และ 47 นาทีที่แล้ว กิลเบิร์ตได้ส่งเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ประชุมฉุกเฉินให้กับหน่วยของเขา พวกเขารวมตัวที่ลานวิ่งที่ที่ Nighthawks กำลังจะออกบิน พวกเขาทุกคนกำลังรอ ทุกคนกำลังรอข้อสรุปจากที่ประชุมอยู่ เขาตัดสินใจที่จะใช้ประโยชน์จากเวลาในการรอคอยนั่นติดต่อกับผู้ชายสองคนที่เขาต้องการพูดคุยด้วย

                เรากำลังเชื่อมต่อกับกระทรวงทหารเรือแห่งไลเดนชาฟต์ลิช

                “โทษที ผมขอยืมมันหน่อยได้ไหม และช่วยกันคนออกไปจากตรงนี้ให้ที

                คนจากห้องสื่อสารที่กิลเบิร์ตได้ร้องขอมาล่วงหน้าให้โทรหาพี่ชายของเขายอมให้เขานั่งแทนที่ตนเอง

                เสียงของพี่ชายเขาดังขึ้น กิล นายมีเรื่องจะขอพี่ชายอย่างนั้นเหรอ?

                มันเป็นน้ำเสียงของคนที่แกล้งทำเป็นไม่พอใจ กิลเบิร์ตคิดเช่นนั้น

                ถึงแม้ดีทฟริทจะขอกิลเบิร์ตอะไรสักอย่างได้ แต่เรื่องนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักนิด แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาขอให้อีกฝ่ายทำอะไรให้ ถึงแม้พี่ชายของเขาจะทำท่าทางเหมือนกับรำคาญ แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธเขาเลยสักครั้ง เขาคงจะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณกิลเบิร์ตที่คอยเลี้ยงดูเธอคนนั้นที่เขายกให้กระมัง

                ครับ พี่ชาย ผมมีเรื่องจะขอ

                ไม่มีทางที่คนเป็นพี่ชายจะไม่มีความสุขที่น้องชายต้องพึ่งเขาหรอก

                กิลเบิร์ตได้ประกาศในห้องประชุมว่าเขาจะระดมกำลังกองทัพเรือได้อย่างแน่นอนเนื่องจากโอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จนั้นมีมาก และสถานการณ์ในตอนนี้ก็ดูเหมือนจะถูกส่งเรื่องไปให้กองทัพเรือแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงมีการขอเรือรบเพื่อป้องกันการอพยพของพวกมันจากท่าเรือทางตอนเหนืออย่างเป็นทางการ

                ถึงแม้ว่าทั้งสองจะเป็นองค์กรระดับชาติเหมือนกัน แต่กองทัพบกและกองทัพเรือแห่งไลเดนชาฟต์ลิชก็แยกหน่วยงานกันอย่างชัดเจนและใช้แค่งบประมาณทางทหารร่วมกันเท่านั้น ผู้ที่คอยใกล่เกลี่ยจึงจำเป็นมากสำหรับการขอความร่วมมือจากอีกฝ่าย เพราะถ้าหากพึ่งอย่างอื่นคงจะเป็นเรื่องที่ยากมากเพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องที่ดีทฟริทที่ทรยศตระกูลโบเกนวิลเลีย – ตระกูลที่ได้เข้าร่วมกองทัพบกมาหลายชั่วอายุคน – และเกณฑ์เข้ากองทัพเรือได้กลายเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเขาทั้งสองคนแล้ว เช่นเดียวกับกิลเบิร์ต ดีทฟริทเองก็ได้พยายามปีนป่ายขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงกว่าเพื่อทำให้กองทัพของเขาใหญ่ขึ้น

                “ถ้าอย่างนั้น ผมจะตอบแทนพี่คืนสักวันแล้วกัน

                “เอาเครื่องดื่มมาฉลองวันเกิดฉันก็พอแล้วล่ะ

                “ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็จะยอมทำให้แล้วกันถึงจะไม่ได้รับค่าตอบแทนก็ตามกิลเบิร์ตเอ่ยตอบและตั้งใจจะวางสาย แต่แล้วปลายนิ้วของเขาที่กำลังเหยียดตรงก็หยุดชะงักเมื่อได้ยินคำพูดถัดมาจากปากของดีทฟริท

                อ่าฮะ...อีกเรื่องหนึ่ง เหตุผลที่นายสิ้นหวังขนาดนี้เพราะ มันใช่ไหม? ฉันบังเอิญเห็น มันในหนังสือพิมพ์เข้าถึงจะไม่อยากเห็นก็ตามเถอะ มันกำลังไปหานายหรือไง? มันรู้แล้วใช่ไหมว่านายยังมีชีวิตอยู่? ฉันล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น นายจะทำให้ มันเป็นของนายหรือเปล่า?

                ฮะ?มันเป็นเรื่องปกติตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แล้วที่พี่ชายของเขาจะแกล้งเขา กิลเบิร์ตจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เลิกเล่นมุกห่วย ๆ ในเวลาแบบนี้ซะทีเถอะ ไวโอเล็ตไม่รู้สักหน่อยว่าผมยังมีชีวิตอยู่

                เงียบกริบ

                พี่?

                มันไม่ใช่มุกหรอกนะ ฉันเข้าใจล่ะ...ตอนแรกฉันนึกว่า มัน จะรีบไปหานายให้เร็วที่สุดซะอีก แต่ฉันเข้าใจผิดใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น มันก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่เพราะเรื่องนี้สินะ...เพราะว่านายเป็นคนดี นายเลยพยายามอยู่ห่างจาก มันเพื่อให้ มันมีชีวิตที่แสนสงบสุข เพราะงั้นนายก็เลยกังวลสินะว่า มัน จะรู้เรื่องนี้เข้าเพราะแผนการช่วยเหลือขั้นเร่งด่วนนี่น่ะ ไม่ต้องกังวลไปหรอก มันรู้เรื่องนี้อยู่แล้วล่ะ

                พี่...พี่พูดเรื่องอะไร...?เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงบนแผ่นหลังของเขา ไม่มีทาง...ที่เธอจะรู้เรื่องนี้หรอกเสียงของเขาสั่น

                แต่ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ ครั้งสุดท้ายที่ฉันเจอนายในช่วงงานจดหมายโบยบิน...ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าฉันเจอ มันน่ะ? ก่อนหน้านั้น มัน ถามฉัน...ว่านายยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ฉันเลยตอบกำกวมไป และเพราะอย่างนั้น มัน...เธอก็เลยเชื่อว่านายยังมีชีวิตอยู่

                ถึงแม้ว่ากิลเบิร์ตจะเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่ได้ แต่เขาก็ยังอยากพูดว่า เดี๋ยวก่อนอยู่ ในหัวของเขาขาวโพลน เขารู้สึกหัวหมุนเสียจนอยากจะอ้วกออกมา เขายกมือขึ้นปิดปากและเงียบ

                ––ไวโอเล็ต...รู้หรือ?

                เฮ้ กิล นายเป็นอะไรหรือเปล่า?

                เขาได้ยินเรื่องที่คำโกหกของเขาทำให้เธอรู้สึกเป็นทุกข์และเสียใจมากขนาดไหนจากฮอดกินส์ ถ้าเธอรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ถ้าอย่างนั้นกิลเบิร์ตก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากเจ้านายของเธอที่ทิ้งเธอไปโดยไม่ได้ยกย่องเกียรติความเป็นทหารของเธอเลย และคงช่วยอะไรไม่ได้ถ้าเธอจะเกลียดเขาขึ้นมา

                ทำไม...พี่ถึงพูดแบบนั้น...?!”

                ความโกรธเกรี้ยวท่วมท้นหัวใจของกิลเบิร์ต เขาอยากจะระบายมันออกมา และทางเดียวที่เขาจะระบายได้ก็คือพี่ชายของเขาเท่านั้น

                อย่างกับฉันสนงั้นแหละ อย่าเอาฉันไปเอี่ยวกับเรื่องรัก ๆ ที่ไม่ลืมหูลืมตาของนายสิ ฉันไม่ได้บอกเธอแบบนั้น แต่เธอเชื่อไปเองก็แค่นั้นแหละ

                พี่คิดว่ามันไม่เกี่ยวกับพี่...พี่ชาย พี่เป็นแบบนี้ตลอด...แล้วผมจะมองหน้าเธอได้ยังไงล่ะ...?!”

                คนที่ใกล้ชิดกับนายมากที่สุดคือครอบครัวใช่ไหม? ดูเหมือนว่าเธอจะคิดมาตลอดว่านายยังมีชีวิตอยู่ พอเธอได้รับการยืนยันว่านายยังอยู่ แล้วฉันจะทำยังไงได้ล่ะ? แต่ก็นะ ตาของยัยนั่นเปล่งประกายอย่างกับคนโง่เลย ถ้าเธอไม่ได้ไปหานาย...ก็คงมีอยู่ทางเดียวที่ฉันคิดออกก็คือ เพราะเธอเป็นแค่เครื่องมือ เธอจึงรอให้เจ้านายของเธอมารับเธอน่ะสิ เธอคงรอให้ถึงเวลาที่เธอจะเป็นที่ต้องการอีกครั้งล่ะมั้ง...เพราะว่าเธอโง่ยังไงล่ะ มันเป็นโอกาสที่ดีเลยนะ เพราะงั้นไปหาเธอซะสิ

                “พี่––!!”

                นายเตรียมตัวที่จะรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในตอนที่ทำแผนนี้ขึ้นมาอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ? ขอบคุณพี่ชายของนายซะสิที่ให้โอกาสนี้กับนายน่ะ บาย กิล ปล่อยให้ฉันจัดการเรื่องทะเลเอง ครั้งถัดไปที่เราพบกันคงเป็นวันเกิดของฉันสินะ...รักนะ

                พี่ เดี๋ยวก่อน!”

                ฝั่งตรงข้ามวางสาย กิลเบิร์ตนั่งอยู่เงียบ ๆ ด้วยความสับสน

                บางทีคนข้างนอกอาจจะรอให้บทสนทนาของพวกเขาจบลงจึงเคาะประตู ใครสักคนจากหน่วยส่งมอบสัมภาระพร้อมกับอาวุธและกระสุนที่เขาได้ระบุไป คนที่นำสัมภาระมาให้เขานั้นเป็นกังวลกับความทุกข์ระทมของกิลเบิร์ตและเข้าใจว่าเพราะเขาได้เจรจากับกองทัพเรือด้วยความรุนแรง แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย

                ในขณะที่กำลังตรวจสอบของในสัมภาระของเขา กิลเบิร์ตก็ได้จับปืนไว้แน่น ถ้าหากว่าเขายิงมันทะลุศีรษะของเขาตอนนี้ ความกังวลทุกอย่างที่มีก็จะหายไป แต่เขาทำแบบนั้นไม่ได้

                จากนั้นเขาจึงติดต่อไปยังบริษัทไปรษีย์ซีเอชแห่งไลเดนชาฟต์ลิช หญิงสาวคนหนึ่งที่มีเสียงที่ยังเยาว์วัยเป็นคนรับสาย และบอกเขาว่าวันนี้บริษัทปิดทำการชั่วคราว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้เรื่องการจี้แล้ว

                ได้โปรดบอก...ว่าผมโทรมาเพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องจี้รถไฟข้ามทวีป พนักงานคนหนึ่งของคุณก็อยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกันใช่ไหม? ถ้าคุณบอกเขาว่าผมเป็นคนจากกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชเขาจะรู้ทันทีว่าผมเป็นใคร...

                เขาได้ยินเสียงความวุ่นวายดังขึ้นที่ปลายสาย มันเป็นเสียงตะโกนจากเพื่อนเก่าของเขา ตามมาด้วยเสียงของเก้าอี้ที่ถูกกระแทกเพราะใครคนหนึ่งยืนขึ้น และตามมาด้วยเสียงของเอกสารที่หล่นลงมา และในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงลมหายใจของใครอีกคน

                กิลเบิร์ต! นาย...นายอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่?!” เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธอย่างชัดเจนดังก้องอยู่ในหูของเขา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้กิลเบิร์ตรู้สึกสนุกขึ้นมา มันเป็นเวลานานมากแล้วเหลือเกินตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาได้คุยกับคลอเดีย ฮอดกินส์

                ฉันได้ยินมาจากเลขาเมื่อกี้นี้เองว่านายพยายามติดต่อกองทัพ โทษที ฉันกำลังประชุมอยู่น่ะ

                ห้ามเข้าประชุมในตอนที่พนักงานของฉันกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ร้ายแรงอีก! นาย...รู้เรื่องแล้วใช่ไหม? ทหารกำลังเคลื่อนไหวอยู่ใช่ไหม? ฉันหมายถึงเรื่องที่รถไฟข้ามทวีปกำลังถูกจี้น่ะ! เธอ... เธอ...

                “ฉันรู้ ไวโอเล็ตอยู่บนรถไฟใช่ไหม? ฉันเห็นรูปเธอในหนังสือพิมพ์น่ะ

                ฮอดกินส์ตะลึงไปทันทีเมื่อได้ยินกิลเบิร์ตตอบด้วยท่าทางสบาย ๆ และโต้กลับทันที อย่าพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นแบบนั้นนะโว้ย!” เขาเสียสติยิ่งกว่าเดิมและเริ่มทำเสียงแปลก ๆ ฉันเป็นของฉันแบบนี้อยู่แล้ว และนายก็ควรจะเป็นแบบฉันด้วยเหมือนกัน นายควรจะเป็นแบบฉันมาตลอด

                ––เขาเป็นคนอ่อนไหวและชอบเอะอะโวยวายคนหนึ่ง

                สุดท้ายกิลเบิร์ตก็หัวเราะออกมา เขารู้สึกละอายใจเหลือเกินที่เขารู้สึกคิดถึงเสียงที่น่ารำคาญของเพื่อนเขามากขนาดไหนในตอนที่พวกเขาไม่ได้คุยกันเลย เขาไม่ปล่อยให้อีกคนคิดว่าเขาเป็นกังวลอย่างที่เจ้าตัวเป็น และตอบด้วยคำพูดที่ไม่ได้เพียงแค่หยิ่งยโสของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมความจริงเข้าไปด้วย อย่างกับฉันเสียสติแบบนายได้งั้นแหละ มันเป็นหน้าที่ของฉันนะที่ต้องปกป้องประชาชนน่ะ

                “ไวโอเล็ตตัวน้อย...ถูกนับว่าเป็นประชาชนหรือเปล่า?

                “แน่นอน

                นายโกรธหรือเปล่า...ที่ฉันปล่อยให้ไวโอเล็ตตัวน้อยตกอยู่ในความอันตรายแบบนั้นน่ะ? ทั้ง ๆ ที่นายไว้ใจฉันแท้ ๆ

                กิลเบิร์ตรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยินอีกคนถามอะไรแบบนั้น นายพูดอะไรน่ะ? ฉันต้องขอบคุณนายต่างหาก เพราะฉันคงไว้ใจ...ให้ใครมาดูแลเธอนอกจากนายได้หรอก นายเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ฉันก็เลยทิ้งเธอไว้กับนายไงล่ะ แต่เรื่องนั้นน่ะไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้หรอกนะ

                ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ

                กิลเบิร์ตรู้สึกตัวในตอนนั้นว่าฮอดกินส์กำลังพูดเรื่องอะไร ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ผิดอะไร แต่การที่เขาเอาแต่โทษตัวเองในขณะที่คิดว่าเขาจะทำอะไรได้อีกนั้นเป็นนิสัยของเพื่อนสนิทของเขาเลย

                ฮอดกินส์

                อะไร?

                “นายเป็นเพื่อนสนิทของฉันที่สุดเลยนะ

                “อะไรกันน่ะ ทำไมจู่ ๆ ถึงพูดออกมาล่ะ...?

                ฮอดกินส์ เพื่อนอย่างนายน่ะ...ฉันคงหาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้วล่ะ นายสำคัญมากรู้ไหม ถึงนายจะไม่อยากเป็นเพื่อนคนสำคัญของฉันก็เถอะ ฉันก็สำคัญกับนายเหมือนกันใช่ไหม? เพราะแบบนั้น...ฉันถึงคิดว่าฉันกำลังทำบาปกับนายอยู่ นายเคยถามฉันว่าทำไมฉันถึงปล่อยไวโอเล็ตไปและบอกให้ฉันไปหาเธอใช่ไหม? และก็บอกว่าฉันไม่ควรโทรไปหานายอีกจนกว่าฉันจะคิดเรื่องนี้ใหม่

                “ใช่ ฉันเคยพูดแบบนั้น

                ฉัน...ฉันแค่รู้สึกว่ามันคงเป็นการดีที่สุดที่ฉันจะเป็นคนสุดท้ายที่เธอควรเจอ เพราะแบบนั้นฉันก็เลยปล่อยเธอไป ในตอนที่เราเจอกันครั้งแรก ฉันเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับฉันที่คอยเฝ้าดูเธอแบบนี้ในขณะที่ให้เธอคอยอยู่ใกล้ ๆ ฉันไว้ แต่นั่นน่ะมันก็เป็นแค่เรื่องบังหน้าเท่านั้นแหละ สุดท้ายฉันก็ใช้เธอเหมือนกับเครื่องมือชิ้นหนึ่งอยู่ดีนั่นแหละ

                แต่ว่า...ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นมันก็ช่วยอะไรไม่ได้นี่ เป็นฉันฉันก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน

                “จริง ๆ น่ะเหรอ? ฉัน...ไม่คิดว่านายจะทำหรอกนะ เธอเป็นยังไงบ้างล่ะ? ไวโอเล็ตที่นายเป็นคนคอยชี้แนะและเลี้ยงดูเธอมาน่ะ ถ้าฉัน...ไม่เลือกทางที่ผิด ๆ แบบนั้น...ถ้าฉันไม่เลี้ยงเธอมาโดยให้เธออยู่ข้าง ๆ ฉัน เธอก็คงจะเติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้จักสนามรบด้วยซ้ำ เธอควรจะเป็นอย่างที่ไวโอเล็ตเป็นในตอนนี้ตั้งแต่แรก เพราะแบบนั้นมันถึงไม่ใช่ความผิดของนายไงที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น มันเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเท่านั้นแหละ

                ถ้านายจะพูดแบบนั้นฉันก็เถียงนายคืนได้อยู่ดีนั่นแหละ อย่าทำเป็นเหมือนว่าการที่ไวโอเล็ตสู้เคียงข้างนายเป็นเรื่องแย่สิ นั่นน่ะเป็นการดูหมิ่นทหารทุกนายที่อยู่กับเราในตอนนั้นนะ ปัญหาน่ะคือวิธีการที่นายชี้นำเธอหลังจากนั้นต่างหาก และที่ฉันโกรธก็เพราะว่านายเห็นความรู้สึกของตัวเองสำคัญกว่าและไม่คิดถึงความรู้สึกของไวโอเล็ตตัวน้อยต่างหาก แต่ ฟังนะ! ฉันจะเลิกด่านายสักพัก ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะทะเลาะกัน เราสองคนต่างก็เป็นผู้คุ้มครองเธอนะ ไปช่วยเธอกันเถอะน้ำเสียงของเขามุ่งมั่นและราวกับกำลังส่งผ่านความอบอุ่นมา พร้อมกับจ้องมองมาที่เขาด้วยดวงตาสีฟ้าขุ่นนั่นถึงแม้ว่าจะผ่านเครื่องมือสื่อสารอย่างนี้ก็ตาม

                ฉันเห็นด้วย...เพื่อเธอ ทุกอย่างที่ฉันทำ...เพื่อให้เธออยู่ห่างจากกองทัพ ฉันได้เตรียมอะไรหลายอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เธอกลับมา ทั้งเส้นสาย ความดีของฉันฉันอุทิศตัวเองเพื่อให้ทุกอย่างออกมาดีเยี่ยมมากที่สุด ฉันพยายามทำอยู่แม้แต่ตอนนี้ด้วยก็เถอะ ถ้าเพื่อปกป้องไวโอเล็ตแล้วฉันจะไม่สนอะไรทั้งนั้น

                ถ้าอย่างนั้นนายก็ทำท่าเย็นชาแบบ อะไรก็ตามที่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของเธอจะต้องถูกกำจัด ถึงแม้จะเป็นตัวฉันเองก็ตาม และก็ปกป้องเธอจากเงามืดอะไรอย่างนี้งั้นเหรอ?

                ใช่ แบบนั้นแหละ

                ถ้าฟังจากน้ำเสียงแล้ว ดูเหมือนฮอดกินส์จะยังไม่รู้ความจริง ซึ่งก็หมายความว่าไวโอเล็ตคิดไปเองจริง ๆ ว่ากิลเบิร์ตยังมีชีวิตอยู่ และอย่างที่ดีทฟริทพูด เธอยังคงรอเขาอยู่ รอคอยให้เจ้านายของเธอกลับมารับเธอ

                แต่ฉันกำลังสงสัยเรื่องนั้นอยู่...สงสัยในไม่ช้าเรื่องโกหกของฉันจะถูกเปิดโปงแล้วล่ะ มีโอกาสเป็นไปได้สูงเลยที่ฉันจะได้เจอกับไวโอเล็ต

                หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ฮอดกินส์ก็เอ่ยถามซ้ำ หา?!” ด้วยเสียงอันดัง และในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงของกังหันเครื่องบินที่ดังอยู่ด้านหลังของกิลเบิร์ต เดี๋ยวนะ ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้...นายอยู่ที่ไหน?

                ใกล้ ๆ กับลานบินที่มีไว้ให้ Nighthawks ของหน่วยฉันน่ะ ฉันกำลังจะออกเดินทางแล้วกิลเบิร์ตเติมกระสุนปืนในขณะที่กำลังพูด และเขายังถอดเครื่องแบบทหารเพื่อเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบที่ใช้ในการต่อสู้อีกด้วย และเขารู้สึกคุ้นเคยกับชุดนี้มากกว่า

                ของกองกำลังพิเศษแห่งไลเดนชาฟต์ลิชน่ะนะ!? นะ-นาย...เป็นผู้บัญชาการของพวกเขาและกำลังจะไปช่วยงั้นเหรอ?!”

                ใช่แล้ว

                “นาย...บอกว่านายจะไม่ไปเจอเธอนี่! ทำแบบนี้จะไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ?!”

                เงียบกริบ กิลเบิร์ตคิดว่าบทสนทนาคงจะลากยาวยิ่งกว่านี้แน่ถ้าเขาบอกเรื่องที่ไวโอเล็ตเหมือนจะรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่

                นายเงียบทำไมกัน? มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกเหรอ?

                เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันจะไปขอโทษและรายงานเรื่องนี้ให้นายฟังเอง ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อช่วยชีวิตไวโอเล็ต ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ถ้าสุดท้ายเราได้เจอกัน ฉันก็จะขอร้องให้เธอให้อภัยฉัน...

                เวลาที่ใช้คุยกันของพวกเขาเริ่มสั้นลงเรื่อย ๆ

                ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดไว้เลย เพราะนายเป็นคนก่อปัญหานี้เองฮอดกินส์พูดคล้าย ๆ กับที่ดีทฟริทพูด ถ้าอย่างนั้นนายจะทำยังไงล่ะในตอนที่ Nighthawks ลงจอดน่ะ? อย่าบอกนะว่านายจะกระโดดลงบนรถไฟที่กำลังวิ่งอยู่น่ะ?

                ใช่แล้ว

                บางครั้งนายก็...บ้าเหมือนกันนะเนี่ย! อัศวินในชุดเกราะแวววาวกำลังเป็นบ้าเพราะความรัก! ฉันนับถือนายเลยนะเนี่ย

                เขาได้ยินเสียงหัวเราะของฮอดกินส์ และเมื่อกิลเบิร์ตไม่สามารถโต้เถียงได้ก็เริ่มหน้าแดง

                เออแล้วก็ นายยัง...เป็นพันโทอยู่หรือเปล่า? นายได้ไปทำอะไรหรือเปล่าถึงได้มีสองยศแบบนั้นน่ะ?

                นายนี่ถามเยอะจริงนะ...พวกเขารอให้อาการบาดเจ็บของฉันหายดีก่อนน่ะ ฉันเพิ่งจะได้เป็นพันเอกเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง เขาจับตาข้างขวาของเขาที่ถูกซ่อนเอาไว้ด้วยแขนเทียมของเขา ถึงแม้จะมองเห็นได้แค่ข้างเดียวแต่การจัดการอาวุธของเขาก็ไม่ได้บกพร่อง

                แล้วนายก็ยังเป็นผู้บัญชาการของหน่วยคนเดียวอีกด้วย!? นั่นยิ่งบ้าเข้าไปใหญ่! สงสัยพวกยศสูง ๆ ได้ตบรางวัลนายแหง!”

                “เลิกล้อฉันได้แล้วฮอดกินส์ ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าเพื่อไวโอเล็ตแล้วฉันก็ไม่เลือกวิธีการทั้งนั้นแหละ และแน่นอนว่าจุดประสงค์ของเราก็เพื่อทำให้เหตุการณ์เรียบร้อย แต่มันก็คงจะไม่มีวันเรียบร้อยได้ถ้าฉันไม่ได้เป็นคนสั่งการ ก่อนหน้านี้นายบอกว่านายจะทำทุกอย่างเท่าที่นายทำได้นี่ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องโกหกล่ะก็ ฉันอยากให้นายแสดงทักษะเรื่องการรับข้อมูลของนายให้ฉันเห็น มีข้อมูลอะไรไหมที่พวกทหารไม่รู้น่ะ?

                “เข้าใจล่ะ ฉันจะเล่าให้นายเอง แต่ฉันขอพูดอะไรหน่อยสิ

                “อะไรเหรอ...?

                พอ...เป็นเรื่องของไวโอเล็ตตัวน้อยทีไรนายก็กลายเป็นไอ้งั่งไปเลยนะ ฉันล่ะ...ชอบที่นายเป็นแบบนี้ชะมัด

                “หุบปากไปเลย

                ทำไมถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้นะ? ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนนั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดคุยกันมาเสียเนิ่นนาน แต่เมื่อพวกเขาเริ่มเปิดปากเมื่อไหร่ พวกเขาก็จะพูดไม่หยุดราวกับว่าเวลาที่ใช้ในการพูดคุยกันไม่มีความหมายเลย พวกเขาสองคนลืมเรื่องที่ทำให้พวกเขาเลิกคุยกันไปเสียสนิทและเริ่มคุยกัน

                “ฉันจะบอกข้อมูลที่ฉันมี แต่นายก็ต้องบอกฉันเหมือนกัน ฉันได้รับรายงานมาว่าพวกนักจี้พวกนั้นเป็นกลุ่มคนหัวรุนแรงจากประเทศโรแฮนด์ทางตอนเหนือ พวกมันคือกลุ่มคนที่เคยก่อเรื่องโดยการเข้าไปตรวจค้นสถานที่ตอนสร้างทางรถไฟข้ามทวีป แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ใช่คนที่สามารถก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นได้...พวกมันจะต้องมีคนคอยหนุนหลังอยู่แน่

                กิลเบิร์ตจดทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูดใส่สมุดบันทึกของเขา และเขายังพูดถึงเรื่องที่เขาได้ยินมาจากที่ประชุมด้วย ทั้งเรื่องที่พวกมันเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองจากคุกอัลแตร์ และเรื่องที่ต้องให้พวกมันข้ามไปยังอีกทวีปหนึ่งได้เพื่อแลกกับชีวิตของผู้โดยสาร เขารู้ว่าพวกมันไม่มีความสามารถพอที่จะเจรจาต่อรองเรื่องนี้ได้ด้วยตัวพวกมันเองหรอก

                ดูเหมือนข้อมูลของฉันกับข้อมูลของนายจะเป็นข้อมูลเก่าทั้งคู่เลยสินะ รถไฟต้องหยุดที่จุดเติมน้ำแน่ ฉันได้ข้อมูลมาจากการรถไฟแห่งชาติของไลเดนชาฟต์ลิชมาว่ามีวิศวกรและผู้ช่วยวิศวกรบางคนถูกฆ่าไปแล้ว และพวกอาชญากรก็ต้องการคนมาทำหน้าที่แทนพวกนั้น ก็ดีที่เป็นแบบนั้นเพราะมันจะทำให้เรามีเวลามากขึ้น แต่นายบอกว่าพวกมันคงจะมีจำนวนน้อยใช่ไหมถึงได้วางแผนมาแล้วแต่ก็ยังประมาทแบบนี้? ปกติแล้วพวกองค์กรต่อต้านรัฐบาลขยายใหญ่ขึ้นและถูกปลดออกแบบนี้ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะว่าพวกหน้าโง่ไร้ค่าโดนดึงเข้ามาเพื่อหารจำนวนคนให้มันสมดุลมากกว่า งั้นก็หมายความว่าพวกมันตั้งใจจะทุ่มสุดตัวโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปอีกแล้วใช่ไหมล่ะนี่?

                จะยังไงก็ช่าง พวกมันก็คงต้องการให้ทางใต้เสียหน้าและข้ามไปประเทศอื่นอยู่ดี นายรู้หรือเปล่าว่ารถไฟก็ต้องผ่านเขตแทนของประเทศโรแฮนด์ด้วย? ยกตัวอย่างนะ ถ้าพวกเราเป็นฝ่ายแพ้สงคราม เมืองของไลเดนชาฟต์ลิชก็ต้องถูกทำลายเพื่อให้พวกมันทำถนนข้ามไปใช่ไหมล่ะ นายคิดว่าไง?

                ฉันคงจะอพยพคนไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว สะสมคลังอาวุธ ระดมทหาร และค่อยกลับมาทีหลังกระมัง

                ถ้าเป็นฉัน ฉันคงจะไปหาความสุขในประเทศอื่นแล้วล่ะ แต่ถ้านายเลือกทำแบบนั้น พวกศัตรูอาจจะทำแบบนั้นก็ได้ และพวกมันก็คงจะมีพรรคพวกอยู่ในคุกอัลแตร์ที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยแน่ ๆ แต่ถ้าฉัน...เป็นอย่างพวกมัน และนายอยู่ในคุกอัลแตร์ บางทีฉันอาจจะทำแบบพวกมันก็ได้

                ––ถ้านายเป็นแบบพวกมัน นายคงเลือกวิธีที่ฉลาดกว่านี้แน่ กิลเบิร์ตคิดแบบนั้นแต่ไม่ได้พูดออกไป

                บางทีอาจเป็นเพราะฮอดกินส์เดาออกว่ากิลเบิร์ตกำลังคิดอะไรจึงรีบพูดอย่างรวดเร็ว แต่อย่างน้อยพวกมันก็ยังปราณีที่ไม่ฆ่าผู้โดยสารล่ะนะ แต่พวกมันคงจะเริ่มหมดอาลัยตายอยากในเร็ว ๆ นี้แน่ ถ้าเป็นแบบนั้นจำนวนผู้เสียชีวิตก็จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ นายบอกว่าข้อมูลของเราเก่าทั้งคู่ แต่ของฉันก็ยังมีสาระมากกว่านะ กฎระเบียบหลังจากยุติเรื่องกองกำลังทหารของทางตอนเหนือเข้มงวดมากนะ ถ้าพวกนักจี้จะใช้อาวุธ เป็นไปได้ว่าพวกมันน่าจะได้มาจากทวีปอื่น ฉันได้รับข้อมูลยืนยันมาแล้วว่ามีกลุ่มติดอาวุธเข้ามาค้าขายอาวุธที่เราไม่คุ้นกับประเทศและทวีปที่เราทำการค้าขายด้วย แต่ถึงอย่างนั้นดูเหมือนความสัมพันธ์ของทวีปคู่ค้าอาวุธกับคนของประเทศเราจะไม่ดีเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะคิดค่าธรรมเนียมสูงไปด้วย ซึ่งก็หมายความว่าพวกมันกำลังเสียเปรียบพวกเขาอยู่

                ขนาดไลเดนชาฟต์ลิชยังมีปัญหาด้านการค้ากับทวีปอื่น พวกเขาคงกำลังจับตาดูทรัพยากรของพวกเราอยู่ และคงไม่หยุดแค่แลกเปลี่ยนสินค้าแน่ แต่ยังพยายามซื้อที่ดินของพวกเราด้วย มัน หึ...เหมือนกับเรื่องนั้นเลยนะ

                ช่าย อย่างเรื่องที่นายได้รับคำเตือนเรื่องโปรเจคบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับทางตอนใต้และทางตอนเหนือใช่ไหม? ตอนนี้เราต้องทำความเข้าใจเบื้องหลังของเหตุการณ์นี้ก่อนสินะ ในตอนแรกคงดูเหมือนแค่การต่อสู้ระหว่างไลเดนชาฟต์ลิชที่อยู่ตอนใต้กับประเทศโรแฮนด์ทางตอนเหนือเฉย ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น พวกเขากำลังเฝ้าดูพวกเราอยู่ และอยากรู้ว่าไลเดนชาฟต์ลิชจะรับมือสถานการณ์แบบนี้ยังไง เพราะประเทศเรานอกจากจะชนะสงครามแล้วยังเป็นประเทศที่มีกำลังทหารด้วย

                แผนการข้ามทวีป ทวีปอื่น อาวุธใหม่

                แม้ว่ามันจะค่อนข้างอีรุงตุงนัง แต่กิลเบิร์ตก็เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ในหัวของเขามีความคิดมากมายพันกันไปหมด และบทสรุปจากข้อมูลเหล่านั้นก็ค่อย ๆ ออกมาเรื่อย ๆ ประการแรก เรื่องที่พวกมันเรียกร้องจากเราในการข้ามทวีป เมื่อรถไฟข้ามทวีปไปถึงเมืองท่าเมื่อไหร่ อาชญากรสงครามและทางการเมืองของทางตอนเหนือจะได้รับอนุญาตให้ข้ามทวีปไปกับพวกมัน ประการที่สอง พวกมันก็อาจจะหักหลังทวีปอื่นที่คอยหนุนหลังพวกมันก็ได้

                ไม่ว่าใครก็ตามที่มีสัญชาตญาณที่แม่นยำก็คงเดาเรื่องนี้ออก สถานการณ์ในตอนนี้จะเป็นตัวจุดชนวนสงครามครั้งถัดไป ในตอนที่ทุกคนคิดว่าช่วงเวลาที่น่าสะพรึงกลัวของสงครามได้จบลงแล้ว ทวีปอื่นก็ได้เล็งเป้ามาที่พวกเขาเรียบร้อยแล้ว

                ในขณะที่การคาดคะเนของกิลเบิร์ตเป็นไปตามเป้า หัวของเขาก็หนักอึ้งขึ้นเรื่อย ๆ เราต้องชนะให้ได้

                “นอกจากหน่วยนายแล้ว ไลเดนชาฟต์ลิชจะส่งทหารหน่วยอื่นมาอีกหรือเปล่า?

                มีคำสั่งออกไปแล้วล่ะ พวกเขาตั้งใจจะซุ่มโจมตีที่จุดเติมน้ำ ช่วยผู้โดยสาร และสู้กับพวกมัน แต่กองกำลังทหารของทางตอนเหนือก็อาจจะซุ่มโจมตีพวกเราอยู่ก็ได้ แต่ถ้าพวกมันหลุดรอดไปได้ก็จะเจอกับกองทัพเรือแทน พี่ชายของฉันก็กำลังเคลื่อนไหวเหมือนกัน แต่เราคงปล่อยให้พวกมันไปถึงทะเลได้ และเพราะแบบนั้นฉันเลยมีเรื่องจะขอนาย

                “อยากขออะไรล่ะ? นายขออะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ

                “ซื้อที่ดินตรงจุดเติมน้ำจุดถัดไปหน่อยสิ

                “หา?

                “รถไฟต้องเติมน้ำทุก ๆ ชั่วโมง ถ้ารถไฟเติมน้ำเสร็จเมื่อไหร่เราก็จะเสียโอกาสในการช่วยเหลือผู้โดยสารอีก แต่ฉันก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้วแหละว่าพวกมันคงจะใช้ตัวประกันเป็นโล่และกองกำลังทหารทางตอนเหนือคงจะอนุญาตให้มันผ่านไปได้ ฉันอยากทำลายรางรถไฟที่ที่พวกมันจะหยุดแน่ ๆ พวกมันจะได้ไปต่อไม่ได้...เพราะงั้น ซื้อที่ดินและก็ทำลายมันซะ

                “’ซื้อที่ดิน เนี่ยน่ะ อย่างกับมันง่ายนักแหละ...

                “นายทำไม่ได้เหรอ?

                “อย่าถามอะไรโง่ ๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้หรือไม่ได้หรอกนะ ฉันจะทำ พนักงานของฉันอยู่บนรถไฟนั่นนะ!”

                “เพราะว่าเป็นนาย ฉันก็เลยคิดไว้อยู่แล้วแหละว่านายต้องพูดแบบนั้น ที่ดินที่รถไฟวิ่งผ่านมีสองเจ้าของด้วยกัน คือของการรถไฟแห่งชาติและของผู้เช่าจากเจ้าของเดิม ตอนที่ฉันดูแผนที่ ฉันคิดว่าฉันจะจำกัดพื้นที่ที่เราซุ่มโจมตี เพราะมันจะได้ส่งผลกระทบต่อดินแดนอื่นน้อยลงและรถไฟจะต้องหยุดวิ่งตอนที่อยู่ห่างจากจุดเติมน้ำสักสองสามจุดอย่างแน่นอน แต่ในพื้นที่นั้นน่ะ มีอยู่จุดหนึ่งที่เป็นที่ดินส่วนตัว ฉันเลยอยากให้นายใช้ความสามารถทางธุรกิจของนายซื้อมันซะ ตั้งแต่ตอนนี้เลย ให้เร็วที่สุดด้วย

                กิลเบิร์ตเองก็คิดว่าตัวเขากำลังพูดเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

                นาย... กิลเบิร์ต นาย...

                แต่เขาคิดว่าเพื่อนรักของเขาต้องทำได้แน่

                เดี๋ยว ๆๆๆๆ เดี๋ยวก่อน ทำไมนายถึงต้องจำกัดพื้นที่ด้วยล่ะ?

                “ที่จริงแล้ว ท่านนายพลไม่เห็นด้วยกับกลยุทธ์นี้หรอก

                แหม คงไม่มีใครยอมรับเรื่อง ซื้อที่ดิน ทำลายมัน และตึ๊บไอ้พวกศัตรูซะทันทีหรอกนะ

                ถ้าฉันมีเวลามากกว่านี้ฉันก็คงจะกล่อมเขาได้อยู่หรอก แต่โชคร้ายที่ฉันต้องมาขึ้นเครื่องซะก่อน ฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันจะใช้แผนนี้ และเป็นกลยุทธ์ของฉันเองไม่ใช่ของทางทหาร ฉันจะเป็นคนจ่ายค่าเสียหายเองด้วย เราอาจจะเจรจาที่ดินกับการรถไฟแห่งชาติของไลเดนชาฟต์ลิชไม่ได้ แต่ถ้าที่ดินของผู้เช่าล่ะก็เราทำได้แน่ ถ้านายเป็นเจ้าของที่ดินแล้วนายจะทำยังไงกับมันก็ได้ทั้งนั้นแหละ

                ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราทำลายมันมันจะต้องแย่แน่เลยใช่ไหม?! การรถไฟแห่งชาติเป็นผู้เช่าที่ดินนั่นไม่ใช่หรอกเหรอ?! ถึงมันจะเป็นชื่อคนอื่น แต่การรถไฟแห่งชาติก็เป็นผู้เช่านั่นแหละ จู่ ๆ ฉันจะไปทำลายทรัพย์สินของคนอื่นเฉย ๆ ไม่ได้หรอกนะ

                ความช่วยเหลือจะมาหานายเองแหละ หลังจากนายซื้อที่ดินนั่นได้เมื่อไหร่ นายก็ค่อยบีบบังคับผู้รับผิดชอบของการรถไฟแห่งชาติ หลังจากเหตุการณ์สงบเรียบร้อยแล้วนายค่อยทำแบบนั้น เมื่อเหตุการณ์นี้จบลงเมื่อไหร่ ทีมจัดการภาวะวิกฤตของการรถไฟแห่งชาติไลเดนชาฟต์ลิชคงจะสอบสวนเรื่องนี้เองแหละ นายก็ค่อยบอกพวกเขาว่านายทำแบบนั้นเพื่อให้ผู้โดยสารมีทางหนีไปได้ ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติฉันคงจะเป็นคนขอให้พวกเขาส่งมอบที่ดินนั่นด้วยตัวเองแล้วล่ะ แต่เพราะฉันทำงานให้กับองค์กรข้าราชการก็เลยทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะงั้นเราสองคนต้องเป็นฝ่ายยอมเสนอหน้ารับเรื่องนี้เอง ถ้าเราปล่อยให้พวกอาชญากรไปถึงทะเลได้ เรื่องนี้คงจะไม่สิ้นสุดลงที่คนที่เป็นฝ่ายรับผิดชอบเรื่องนี้ถูกไล่ออกแน่ เพื่อแลกกับการที่เราไปทำลายทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขา เราก็ทำสัญญากับคนจากการรถไฟแห่งชาติไม่ให้ไปตรวจสอบพวกเขาแทน  จากนั้นก็ขอให้บริษัทหนังสือพิมพ์...

                “ยังไงฉันก็คงถูกจับอยู่ดีแหละ นายให้ฉันไปมีเอี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยก็เพราะตั้งใจจะทำให้มันเป็นเรื่องที่น่าประทับใจใช่ไหมล่ะ?

                “นายเข้าใจเร็วดีนี่

                แผนที่กิลเบิร์ตวางไว้ผุดขึ้นมาเป็นลำดับ

                สำหรับคลอเดีย ฮอดกินส์ ประธานบริษัทไปรษณีย์อย่างเขาแล้ว เพื่อปกป้องพนักงาน และไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของคนที่ถูกจับเป็นตัวประกัน จะต้องซื้อที่ดินที่การรถไฟแห่งชาติไลเดนชาฟต์ลิชเป็นผู้เช่ามาเป็นของตนเอง (ซึ่งประธานบริษัทคนนี้เคยเป็นถึงอดีตทหารของไลเดนชาฟต์ลิชและยังได้รับตำแหน่งเป็นพันตรีอีกด้วย) และคงจะรู้สึกหวาดกลัวว่าสถานการณ์จะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้ว่าการรถไฟแห่งชาติจะคาดการณ์ไว้แล้วก็ตามว่าหลังจากนี้รางรถไฟจะใช้งานไม่ได้ ยังไงซะชีวิตก็มีค่ากว่ามูลค่าความเสียหายอยู่แล้ว และพวกเขาต้องยอมตกลงแน่

                นับจากนี้ไป ลำดับกลยุทธ์กองทัพบกและแผนการจะถูกดำเนินการทันที ในความเป็นจริงแล้ว ฮอดกินส์จะไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินนั่น เพราะคนที่จะเป็นคนจ่ายมันก็คือกิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียเอง แต่ถึงแม้เรื่องนี้จะยังไม่เห็นผล เขาก็ยังสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้

                ฉันจะให้นายเป็นหลักประกันของฉันก็แล้วกัน ถ้ามันไม่ได้ผล เราก็จะทำที่จุดเติมน้ำจุดต่อไป แต่เหยื่อก็จะเพิ่มขึ้น และโอกาสในการรอดชีวิตของไวโอเล็ตก็จะสูงขึ้นอย่างน่าสงสัยด้วย ฉันจะให้ลูกน้องของฉันคนหนึ่งไปช่วยนายแล้วกัน เขามีเอกสารเรื่องการซื้อขายที่ดินอยู่ เพราะงั้นโทรหาเขาซะ นายอาจจะต้องเป็นคนเจรจากับตัวแทนของพวกเขา แต่ถ้าเป็นนาย นายคงจะทำได้แน่ ด้วยการประจบสอพลอแย่ ๆ ของนายนั่นแหละ

                ฉันขอรับคำชมนั่นไว้ก็แล้วกัน! แต่เรื่องนี้คงจะถูกจับได้ทีหลังแน่ ใคร ๆ ต่างก็รู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเรานี่ ใช่ไหม?

                กิลเบิร์ตหันกลับไปมองเมื่อมีใครบางคนแตะเข้าที่ไหล่ของเขา ดูเหมือนว่า Nighthawks พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว

                ฉันไม่สนหรอกนะถ้าเรื่องนี้จะทำให้ฉันต้องเสียตำแหน่งไปน่ะ แต่ฉันจะพยายามพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าฉันไม่ใช่คนที่พวกเขาจะเอาฉันออกไปได้ง่าย ๆ  สำหรับฉัน สิ่งที่สำคัญกว่าตัวฉันคือประชาชนทุกคน...และความปลอดภัยของไวโอเล็ต ฟังนะ ฉันไม่มีวันให้อภัยคนที่ทำให้ประชาชนของไลเดนชาฟต์ลิชต้องตกอยู่ในอันตรายหรอก ไม่ว่าพวกมันจะเป็นใครก็ตาม มีคนตายไปแล้ว และเราจะเอาคืนพวกมันอย่างสาสมแน่นอน ไม่ว่าใครจะเป็นคนหนุนหลังพวกมันก็ตาม แต่พวกเราไลเดนชาฟต์ลิชจะไม่มีวันยอมแพ้ต่อแรงกดดันหรือการรุกรานจากชนชาติอื่นอย่างแน่นอน ฉันจะทำให้พวกศัตรูต้องเสียใจที่พวกมันกล้ามาแตะต้องไลเดนชาฟต์ลิชทายาทของตระกูลโบเกนวิลเลียได้แสดงความโกรธผ่านน้ำเสียงของเขา ซึ่งเป็นน้ำเสียงที่แม้แต่เพื่อนของเขาเองก็ยังรู้สึกถึงลางร้ายของเหล่าศัตรู

     




                ผ่านไปแล้วเจ็ดชั่วโมงกับสิบหกนาที ทำไมแถวนี้ถึงไม่มีใครอยู่เลยนะ?

                หนึ่งในนักจี้ร้องออกมาเมื่อเห็นสภาพของตู้รับประทานอาหาร 2 เขามองไปรอบ ๆ ตู้ที่เต็มไปด้วยความมืดมิดและสั่นไปมาด้วยเสียงหวีดร้องของหัวรถจักร

                รถไฟได้เริ่มออกวิ่งอีกครั้ง การรถไฟแห่งชาติไลเดนชาฟต์ลิชได้ตอบรับคำขอจากพวกนักจี้และได้ส่งคนมาทำงานแทนเหล่าวิศวกรที่ตายอนาถอย่างน่าสงสาร ส่วนซามูเอล ลาบูฟยังคงพยายามที่จะขับรถไฟต่อไปโดยที่มีนักจี้จ่อปืนที่เขาอยู่

                สิ่งที่เกิดขึ้นในตู้รับประทานอาหารนั้นมันดูเป็นไปไม่ได้เลยเมื่อคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ควรจะเกิดขึ้น ตู้รับประทานอาหารที่ชายคนหนึ่งกำลังมองอยู่นั้นว่างเปล่า ไม่เพียงแต่ไม่มีผู้โดยสารเท่านั้น แต่เพื่อนร่วมงานของเขาที่คอยคุมตู้นี้ก็หายไปด้วยเช่นกัน

                ชายคนนั้นนึกถึงเรื่องลึกลับที่เขาเคยได้ยินจากบ้านเกิดของเขา เรื่องเล่านั้นมีอยู่ว่าถ้าเกิดวันหนึ่งมีใครต้องเดินทางตอนกลางคืน ห้ามมองออกไปนอกหน้าต่างเด็ดขาด ให้มองแต่ข้างหน้าเท่านั้น ไม่ว่าจะเดินทางด้วยรถม้า รถยนต์ หรือรถไฟก็ตาม

                ––มันเป็นเพราะว่า...

                เขาวางมือลงตรงขอบหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้

                ––...สิ่งลี้ลับจะเดินตามแสงจันทร์มา

                และมองไปยังข้างหลังของรถไฟ

                ––เหล่าภูตผีที่แสนน่าสะพรึงกลัวจะส่งเสียงกรีดร้องและวิ่งไล่ตามพวกเรา

                อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไล่ตามรถไฟมานั้นก็มีเพียงแค่แสงจันทร์ที่ส่องลงมาในยามค่ำคืนเท่านั้น กลิ่นของหญ้าแพรี่ทำให้ชายหนุ่มที่ติดอยู่ในรถไฟรู้สึกกลัวน้อยลง

                เฮ้อ ชายคนนั้นจับหน้าอกของเขา ไม่มีภูตผีปรากฏตัวออกมาอย่างที่เขาคิด แต่เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีกว่าอะไรคือสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวของผู้โดยสารและเพื่อนของเขา

                ลาก่อนค่ะเสียงของใครบางคนดังขึ้นโดยที่เขาไม่ทันได้คาดคิด และในตอนที่เขากำลังจะเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร คอเสื้อของเขาก็ถูกดึงขึ้นและเขาก็ถูกโยนออกไปนอกหน้าต่าง

                รถไฟกำลังเคลื่อนที่ ถึงแม้ว่ามันจะวิ่งไม่เร็วมากนัก แต่ก็คงไม่มีใครที่ตกลงไปแล้วจะไม่ได้รับอันตราย ก่อนที่ร่างของชายคนนั้นจะกระแทกพื้น สิ่งที่เขาเห็นคือดวงตาสีฟ้าที่กำลังมองมาที่เขาจากบนรถไฟและแสงสีทองที่ส่องประกายสู้กับแสงจันทร์ และในขณะที่เขาหยุดหายใจเพราะความงามนั่น ร่างของเขาก็กระแทกลงบนพื้นดินเหมือนกับลูกบอลลูกเล็ก ๆ ลูกหนึ่ง

                 ไวโอเล็ตยืนเตรียมพร้อมอยู่บนรถไฟที่กำลังวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ที่สะโพกของเธอมีดาบทหารที่เธอยึดมาจากชายที่เธอโยนเขาลงจากรถไฟ ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยอาวุธที่เธอได้ยึดมันมาจากพวกนักจี้ทั้งหลาย

                หลังจากทดลองใช้ดาบ กริช และดาบปืนพกที่ไม่เข้ากับเดรสผูกโบว์ที่แสนน่ารักของเธอเลยสักนิด เธอก็เลือกกลับไปใช้ดาบแทน ดูเหมือนว่าความหนักของอาวุธเหล่านั้นจะไม่หนักพอสำหรับเธอ เธอจึงโยนมันทิ้ง

                การต่อสู้ของไวโอเล็ตนั้นคล้ายกับแมงมุมไม่มีผิด ในตอนแรกเธอได้สู้กับนักจี้คนหนึ่งที่บังเอิญชนกับเขาเข้าตอนที่เขารู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์แปลก ๆ ในห้องสินค้า แต่เมื่อคนอื่น ๆ เริ่มตามหาเพื่อนของเขา เธอก็คิดว่า มันเป็นโอกาสที่ดีจึงแอบซุ่มรอกำจัดพวกเขาทีละคน และก่อนหน้านี้ก็มีนักจี้คนหนึ่งเห็นร่างของผู้หญิงอยู่บนเพดานจากหน้าต่างจึงส่งเสียงกรีดร้องออกมาและหมดสติไป เธอสร้างใยและตามล่าเหยื่อของเธอที่เธอได้วางกับดักไว้เรียบร้อย

                มีอยู่สี่คนด้วยกันที่เป็นคนคอยเฝ้าตัวประกันอยู่ในตู้รับประทานอาหาร 1 และนักจี้ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวก็ยังคงเฝ้าตัวประกันอยู่อย่างนั้นถึงแม้จะห้อมล้อมด้วยคนที่มากกว่าก็ตาม เมื่อเขาไม่สามารถรับมือกับความบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นในตู้รับประทานอาหาร 2 ได้จึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากตู้หน้า

                ถึงแม้ว่าผู้โดยสารในตู้รับประทานอาหาร 2 จะหนีไปได้ในตอนที่รถไฟหยุดวิ่ง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่สามารถช่วยคนที่อยู่ในตู้รับประทานอาหาร 1 ได้ ถึงแม้ว่าจะหลบหลีกสายตาของคนเฝ้าได้ก็ตาม ไวโอเล็ตจ้องมองไปข้างหน้า เธอตัดสินใจว่าสิ่งต่อไปที่เธอจะทำคือยึดห้องควบคุมและทำให้รถไฟหยุดอีกครั้ง

                ไวโอเล็ตเดินบนรถไฟอย่างช่ำชอง และไม่มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนใจเลยแม้แต่น้อย เธอเดินไปอย่างเงียบ ๆ และตัวคนเดียว มุ่งหน้าไปสู่การต่อสู้ในสถานที่ที่ถูกยึด เธอไม่ได้เป็นทหารหญิงอีกแล้ว และไม่มีคนออกคำสั่งอยู่ข้างเคียงข้างเธออีกแล้ว เธอกำลังใช้ชีวิตของเธออย่างดิ้นรน ชีวิตที่เธอไม่ได้สำรองเอาไว้ และไม่มีตัวเลือกนอกจากเธอจะสร้างตัวเลือกนั้นขึ้นมาเอง ด้วยเหตุผลนี้ เธอจึงเลือกที่จะช่วยผู้โดยสารโดยไม่ขอคำแนะนำจากใคร เธอพยายามที่จะทำในสิ่งที่เธอทำได้ในฐานะไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน

                ผู้พัน

                รถไฟที่พวกเขาเหล่านั้นขึ้นมาได้ถูกยึดแล้ว และถ้าเธอสามารถช่วยพวกเขาให้หนีไปได้ เธอก็จะทำ ถ้าหากเจ้านายของเธอยังมีชีวิตอยู่และยังเป็นทหาร เธอก็เชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าเขาจะต้องหาทางช่วยรถไฟขบวนนี้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะไม่มีวันรู้แล้วก็ตามว่าเธอตั้งใจจะทำอะไร

                เสียงของกังหันหรือ?ไวโอเล็ตมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปรอดโปร่งทันที มีเสียงอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกับเสียงของรถไฟดังขึ้นในหูของเธอ เธอเห็นวัตถุที่บินได้หลายตัวปรากฎตัวอยู่เหนือรถไฟ

                นั่น! ผู้ร้ายอยู่นั่น!”

                กระสุนมากมายพุ่งทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้า เสียงของปืนดังขึ้นพร้อมกับเสียงของผู้ชายคนหนึ่ง ปืนถูกเล็งมาที่เธอจากหัวรถจักร หนึ่งในนักจี้ที่กำลังบ้าคลั่งเพราะไม่เห็นผู้โดยสารและผู้ที่ก่อเรื่องนี้ ในที่สุดเขาก็เห็นไวโอเล็ตวิ่งอยู่บนรถไฟ

                ไวโอเล็ตละสายตาจากสิ่งที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าและมีสมาธิกับการต่อสู้แทน เธอเร่งความเร็วเพื่อขึ้นไปบนหัวรถจักรและย่อตัวลง หลังจากเว้นระยะห่างมาพอสมควรแล้ว เธอก็ยิงไปที่เหล่าอาชญากรที่อยู่ในหัวรถจักรและวิ่งต่อไป ในตอนนี้เธอต้องรีบเข้าไปในรถไฟให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายอย่างนั้น

                แก...เป็นใคร?! แกเป็นคนที่ช่วยตัวประกันที่อยู่ด้านหลังให้หนีไปใช่ไหม?!”

                ชายคนหนึ่งปีนออกมาจากหน้าต่างในตู้ผู้โดยสารและเข้ามาขวางไวโอเล็ตไว้จากทางด้านหน้าและด้านหลังของเธอ ชายที่มีสัญลักษณ์ของทางตอนเหนือขยับเข้ามาใกล้เธอเพื่อที่จะโจมตีเธอจากทั้งสองด้าน

                ตอบมา! แกเป็นใคร?!”

                “ฉันเป็นแค่นักเดินทางเท่านั้นค่ะ

                “โกหก! แกรู้เรื่องแผนของเรางั้นหรอ? ไม่สิ...ถ้าแกรู้ก็คงไม่มาตัวคนเดียวแบบนี้หรอก มานี่! เราจะสอบสวนแกเอง วางอาวุธลงเดี๋ยวนี้

                ไวโอเล็ตเก็บปืนลงในซองหนัง

                ไม่ใช่! ทิ้งอาวุธลงบนพื้น!”

                เธอไม่ได้ฟังคำสั่งของเขา และก้าวเข้าไป ใคร...ในขณะที่เอ่ยออกมาเช่นนั้น ไวโอลเล็ตก็พุ่งไปที่หน้าอกของคนที่พยายามข่มขู่เธอ และชกไปที่หน้าของเขา

                หมัดที่มาจากหญิงสาวที่มีหน้าตาสะสวยนั่นดูหนักกว่าที่เห็น ชายคนนั้นล้มลง และชนเข้ากับอีกสองสามคนให้ล้มไปกับเขาด้วย

                ใคร...บอกว่าจะให้ความร่วมมือกับคุณล่ะคะ?เมื่อได้ยินเธอพึมพำออกมาเสียงเบา การต่อสู้ก็ได้เริ่มขึ้น

                ชายฉกรรจ์พุ่งเข้าหาเธอจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ในตอนแรกเธอปามีดพกใส่ชายที่มาจากด้านหลังของเธอ เธอป้องกันตัวเธอด้วยมือข้างซ้ายของเธอ จับเข้าที่ใบหน้าของเขาและผลักเขาไปด้านหลัง และเมื่อเขาสะดุด เธอก็ขัดขาเขาและเตะเขาลงจากรถไฟ

                ศัตรูที่พุ่งมาหาเธอจากด้านหน้าพยายามจะชกเธอด้วยมือเปล่า ๆ ของเขา เขาเป็นชายที่มีรูปร่างสูงและตัวใหญ่ เขาคงจะมั่นใจในความแข็งแรงของร่างกายเขามาก เขาเล็งไปที่หน้าของไวโอเล็ตด้วยความร่าเริง แต่ก็โดนลูกเตะของเธอเข้าเสียก่อนและพยายามกันไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ไวโอเล็ตเล็งไปที่ช่องว่าง วางมือบนลำตัวของเขาก่อนจะหมุนขาเพรียวยาวของเธอ ในขณะที่เขากำลังถูกเธอเตะนั้น เธอก็ใช้มือที่ว่างอยู่อีกข้างหนึ่งของเธอชกเข้าไปที่ท้องของเขา แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะมีเกราะป้องกันซ่อนอยู่ใต้เสื้อของเขา เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังงอตัว แต่ไม่ได้ยินเสียงกระดูกหักเลยสักนิด

                ฉันจะบี้หน้าแก! ตายซะเถอะ!” หลังจากชะงักไปชั่วครู ชายหนุ่มก็พยายามชกไปที่หน้าของเธออีกครั้ง

                ไวโอเล็ตรับไว้ด้วยมือข้างเดียว ดึงปืนออกจากซองหนังและยิงเข้าที่ต้นขาของเขาในระยะประชิด

                แก...นั่นไม่ยุติ...

                สำหรับไวโอเล็ตที่อยู่ในรบสนามรบมาทั้งชีวิต ไม่มีอะไรที่น่ากลัวสำหรับเธอเลย เธอกดที่ไหล่ของเขาที่ยุบลงไปเบา ๆ และเขาก็หายตัวไปในความมืดพร้อมกับเสียงกรีดร้อง เมื่อไวโอเล็ตได้อยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง เสียงของรถไฟก็ดังขึ้น

                นั่นเป็นพลังของผู้หญิงที่มีนามว่าไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดน และเป็นข้อพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของอาวุธแห่งกองทัพไลเดนชาฟต์ที่ชื่อของเธอไม่ได้ถูกลงทะเบียนเป็นทหารเสียด้วยซ้ำ

                แผนการจี้รถไฟเริ่มล้มเหลว เพราะผู้กระทำผิดส่วนใหญ่มีนิสัยที่ใจร้อนมากเกินไป แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุหลัก พวกเขาอาจมีกำลังทหารมากพอที่จะควบคุมผู้โดยสารที่อ่อนแอได้ แต่เมื่อออโต้เมมโมรี่ดอลล์ ผู้ที่ซึ่งภาคภูมิใจในความแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้นั้นปะปนไปกับผู้โดยสาร พวกเขาก็ต้องยอมศิโรราบให้

                คุณ...เป็นทหารของไลเดนชาฟต์ลิชหรือ?เสียงแผ่วเบาของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น มันเป็นวิธีการพูดที่แสนเงียบสงบ และเขาก็เป็นคนที่ให้ความรู้สึกที่ดูโปร่งใสและมั่นคง เขาสวมเสื้อโค้ทสีฟ้าที่สีของมันดูจืดชืดเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดมิด บนเสื้อโค้ทมีสัญลักษณ์ประจำชาติโรแฮนด์ปักอยู่ และในมือของเขาก็มีฝักดาบเล่มยาวอยู่

                เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้เป็นทหารแล้ว ฉันมีคำถามที่จะอยากจะถามคุณค่ะ คุณเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดหรือเปล่าคะ?  ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากที่จะสู้กับคนที่แข็งแกร่งสุด

                ชายคนนั้นจับปลอกดาบของเขาไว้แน่น และเมื่อเขาทำเช่นนั้น ฝักก็หลุดออกและร่วงหล่นลงบนเท้าของเขา เผยให้เห็นถึงดาบปลายปืนที่ซ่อนอยู่ด้านใน เขาโค้งคำนับให้ไวโอเล็ตด้วยมารยาทที่ไร้ที่ติ ผมเป็นผู้นำของเหล่าอัศวินแห่งโรแฮนด์...แต่ผมได้ละชื่อของผมทิ้งไปแล้ว และผมคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่คุณกำลังมองหา ผมเคย...เห็นคุณในสนามรบมาก่อน คุณคือแม่มดแห่งไลเดนชาฟต์ลิชใช่ไหม?ผู้นำของเหล่าอัศวินแห่งโรแฮนด์มองไปที่ไวโอเล็ตที่อยู่ใต้แสงจันทร์ด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก มันฉายแววถึงความกลัวและความโกรธแค้นของเขาที่เขาได้เห็นปีศาจตนนั้นเติบโตขึ้นเป็นอย่างมากและยืนอยู่ต่อหน้าเขาอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะมองยังไงเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงที่มีหน้าตางดงามมากก็เท่านั้นเอง และมันจึงทำให้เขารู้สึกงุนงง รูปแบบการต่อสู้ของคุณ...เหมือนกับเทพีที่แสนป่าเถื่อนเลยนะ...ตั้งแต่สงคราบจบลงผมก็ไม่ได้ยินเรื่องของคุณอีกเลย แต่...ผมเข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณก็กำลังทำงานแบบนี้เองสินะ

                บรรยากาศรอบตัวของชายคนนี้ไม่เหมือนชายคนอื่น ๆ ที่เธอสู้มา

                ฉันขออภัยด้วยค่ะที่ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหวัง แต่แม่มดที่คุณพูดถึงได้จากโลกนี้ไปแล้วและไม่ได้เป็นทหารอีกแล้วค่ะ ในตอนนี้ฉันเป็นเพียงแค่นักเดินทางเท่านั้น ฉันไม่ได้ทำตัวเหมือนนักฆ่าอีกแล้วค่ะ ฉันอาจจะปฏิบัติต่อเพื่อนของคุณหยาบกระด้างไปหน่อย แต่พวกเขายังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอนค่ะ ถึงแม้ว่าฉันอาจจะทำตัวอวดดีเกินกว่าการเป็นแค่ผู้โดยสารไปหน่อย แต่ได้โปรดปล่อยตัวประกันทั้งหมดด้วยค่ะ

                ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ

                “ฉันก็คิดไว้อย่างนั้นค่ะ...เราต่างก็ถูกใช้เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น แม้แต่ตัวฉันยังเข้าใจในเรื่องนี้ ทำไมคุณถึงทำแบบนี้ล่ะคะ?

                เพื่อนำสิ่งต่าง ๆ...และผู้คน...ที่พวกคุณเหยียบย่ำไปกลับคืนมายังไงล่ะ

                คุณหมายถึงว่าคุณอยากจะเริ่มสงครามอีกครั้งหรือคะ?

                ผู้นำเหล่าอัศวินหัวเราะ เสียงของเขาสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขายังคงเรียบเฉย โทษทีนะ แต่ผมอยากถามอะไรคุณบางอย่าง สำหรับคุณ คุณคิดว่าสงครามได้จบไปแล้วหรือครับ?

                ไวโอเล็ตตัวแข็งทื่อ เพราะเธอไม่คิดว่าเธอจะถูกถามเช่นนี้

                คุณเป็นคนไม่ค่อยแสดงอารมณ์เท่าไหร่ผมก็เลยมองคุณไม่ออก แต่ที่คุณไม่ยอมตอบผมแบบนี้ก็หมายความว่าคุณเองก็คิดเหมือนกันใช่ไหม? นั่นแหละสิ่งที่ทหารเป็น เป็นเช่นนั้นเสมอมาและตลอดไป...ความทรงจำที่แสนโหดร้ายนั่นจะอยู่กับพวกเราเหมือนกับเศษซากจากการเผาไหม้และไม่มีวันหายไป สำหรับผมมันสงครามไม่เคยจบลงหรอก

                บทสนทนาในตอนนี้เหมือนกับเดจาวูไม่มีผิด

                แต่ว่า...ในความเป็นจริง สงครามได้จบไปแล้วนะคะ

                “แต่ถึงอย่างนั้นมันก็จะเริ่มใหม่อยู่ดี

                คำพูดเหล่านั้นคือคำพูดที่ไวโอเล็ตเมื่อก่อนเคยพูดไว้

                ใบหน้าของเพื่อนที่ตายไปแล้วของผม กลิ่นของซากศพ น้ำหนักของปืนที่เราฉวยมันมาจากศพของศัตรู ค่ำคืนที่ผมจมอยู่ในความเจ็บปวดหลังจากที่ถูกทหารอาวุโสทำร้ายโดยที่ไม่รู้ว่าทำอะไรผิด ผมอดทนกับมันมาตลอด...เพราะผมเชื่อว่าวันหนึ่ง สงครามจะจบลงและคิดว่ามีบางสิ่งที่ยอดเยี่ยมกำลังรอคอยผมอยู่ แต่ตอนนี้มันเป็นยังไงล่ะ? เพื่อนของผมที่มีความฝันเดียวกันกับผมถูกขังอยู่ในคุก ส่วนพวกยศสูง ๆ ที่เป็นคนก่อสงครามก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย และตอนนี้ชาติของเราก็กำลังจะกลายเป็นศัตรูของพวกเราเอง ทหารที่ปกป้องประเทศชาติด้วยชีวิตของพวกเขาถูกมองว่าไร้ประโยชน์และถูกพวกชาวนาขว้างก้อนหินใส่ บ้านเกิดของผมหายไปเพราะประเทศที่เป็นฝ่ายชนะได้สร้างรางรถไฟบนแผ่นดินที่พวกเราพยายามปกป้อง ผมเองก็พยายามจะลืม ๆ มันไปเหมือนกัน แต่ในหัวใจของมัน มันยังอยู่ในนั้น อยู่ในนั้นมาตลอด แม้กระทั่งตอนนี้...

                ถุงใต้ตาของผู้นำเหล่าอัศวินดำสนิท

                ...แม้แต่ตอนที่ผมตื่นขึ้นมา ตอนที่ผมนอนหลับ และตอนที่ผมกำลังหายใจอยู่ ในช่วงเวลาที่ไม่คาดคิด ความโกรธที่ผมควบคุมไว้ไม่อยู่กำลังแผดเผาอยู่ในร่างกายของผม เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำลายประเทศของคุณ ไม่เพียงแต่ทางตอนใต้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงทางตะวันตกด้วย สิ่งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ เท่านั้น นับจากนี้ไป วิถีชีวิตดั้งเดิมของพวกเราจะเริ่มขึ้น คุณพอใจหรือยังล่ะ? ถ้าจะให้ผมพูด ผมพูดได้ไม่เก่งหรอก เพราะผมจะพูดด้วยหมัดของผมเอง

                มันมีเหตุผลที่เขาพูดคำว่า เราออกมาหลายครั้ง ชายสามคนที่สวมเสื้อโค้ทสีฟ้าเหมือนกับเขาปรากฎขึ้นและดึงดาบปลายปืนออกมาจากฝักของพวกเขาและชี้มาที่ไวโอเล็ต เหนือรถไฟที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่นั้น อดีตอัศวินพร้อมกับดาบปลายปืนและอดีตทหารหญิงที่ถืออาวุธหลายชนิดยืนประจันหน้ากัน

                ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน อดีตของไวโอเล็ตก็ยังไล่ตามเธอและไม่ยอมปล่อยเธอไป

                ไวโอเล็ตยกมือขึ้นจับเข็มกลัดที่อยู่บนหน้าอกของเธอ ทำไม...ทุกอย่างถึงได้กลายเป็นแบบนี้?มันเป็นคำถามที่ปรากฏขึ้นในใจของทุกคนเมื่อพวกเขาได้เผชิญกับสิ่งเลวร้าย แต่ไม่ใช่สำหรับเธอ นั่นเป็นเพราะว่าคนที่เคยเป็นเจ้านายของเธอได้บอกเธอไว้ว่า เลิกโทษคนอื่น และมีชีวิตอยู่ต่อไปซะ

                ฉันก็เป็นคนเงียบ ๆ อยู่แล้วค่ะ เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรไวโอเล็ตชักดาบออกจากฝักและถอนสายบัวอย่างที่สุภาพสตรีพึงทำ

     




                เมื่อเวลาผ่านไป 7 ชั่วโมงกับอีก 34 นาที ฮอดกินส์ได้ไปสำนักงานสาขาย่อยของสำนักงานจัดซื้ออสังหาริมทรัพย์แห่งชาติไลเดนชาฟต์ลิช มันเป็นสำนักงานที่เขาเลือกให้มาก่อสร้างบริษัทของเขา เมื่อเขาบอกว่าเขาจะเจรจาและปรึกษาหารือกับผู้ที่เขาตกลงค้าขายด้วย พนักงานต้อนรับก็ให้การต้อนรับเขาอย่างเต็มที่ เขาถูกพาไปยังห้องส่วนตัวและนั่งลงบนโต๊ะที่ถูกแยกจากกันโดยชัดเจน ทั้งสองฝ่ายต่างมองหน้ากันและกัน

                ถึงคุณจะพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้หรอกนะครับท่านประธานฮอดกินส์... เมื่อจอห์น วิสชอว์ ผู้ที่ได้รับหน้าที่เป็นคู่ค้าของเขาได้ยินสิ่งที่ฮอดกินส์พูดก็ทำสีหน้าไม่สบายใจ

                เขาเป็นชายวัยสามสิบกลาง ๆ ที่หน้าเด็กเสียจนอาจเข้าใจผิดได้ว่าเขาอายุแค่ยี่สิบกว่า ๆ เท่านั้น เขาทำงานเป็นผู้จัดการของสำนักงานแห่งนี้ และมักจะถูกเหยียดหยามเพราะหน้าตาของเขา

                มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?เบื้องหน้าของเขาคือคลอเดีย ฮอดกินส์ที่พูดกับเขาด้วยการพูดแบบคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ก็ขี้เล่นกว่าเขานิดหน่อย โดยปกติแล้วเขามักจะเห็นอีกฝ่ายชอบแหย่ด้วยความสนุกสนานคนอื่นเสมอ แต่ในตอนนี้เขากำลังแสดงท่าทีจริงจังออกมา และทำให้หัวใจของอีกคนเต้นแรงขึ้นมาทันทีถึงแม้ว่าจะมีเพศเดียวกันก็ตาม

                จอห์นรู้สึกผวาเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของฮอดกินส์ อย่างที่ผมพูดไปครับ คำขอของคุณมันเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับเกินไป เกี่ยวกับเรื่องที่คุณจะซื้อหมู่บ้านริตอร์โน่นั้น ซื้อแค่แถวเดียวยังยากเลยครับ ถ้าจะซื้อทั้งหมดมันคง...

                จริง ๆ แล้วซื้อแค่ที่ดินตรงสถานีรถไฟก็ได้ แต่ถ้าซื้อทั้งหมู่บ้านเลยน่าจะได้กำไรมากกว่า

                สถานีรถไฟก็เป็นทรัพย์สินของหมู่บ้านเหมือนกันครับ และมันก็ไม่สามารถใช้เป็นเรื่องเจรจาอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปได้

                ไม่ใช่แล้ว ผมเพิ่งจะติดต่อกับสำนักงานกฎหมายของไลเดนชาฟต์ลิชเมื่อตะกี้เอง สถานีรถไฟนั่นเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล มันเป็นหนึ่งในที่ดินขนาดใหญ่ที่คุณเอียนผู้นำหมู่บ้านได้รับมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเธอ รางรถไฟที่มีเพื่ออุตสาหกรรมเหมืองแร่นั่นก็เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเธอเป็นคนสร้าง และสถานีรถไฟนั่นก็ถูกสร้างขึ้นด้วยเหตุผลเดียวกับที่หมู่บ้านริตอร์โน่ถูกสร้างขึ้นนั่นแหละ การรถไฟแห่งชาติไลเดนชาฟต์ลิชใช้สถานีนั่นเพื่อเติมน้ำก็จริง แต่ที่ผู้โดยสารลงจากรถไฟไม่ได้เพราะว่ามันเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล คุณจะเห็นเองถ้าคุณตรวจสอบจากการทะเบียนของอสังหาริมทรัพย์ คุณช่วยเปิดไฟล์นั่นเลยได้ไหม?

                จอห์นเปิดเอกสารที่เกี่ยวกับข้อมูลอาณาเขตของหมู่บ้านริตอร์โน่ด้วยความไม่เต็มใจ และกรรมสิทธิ์ของที่ดินแห่งนั้นก็เป็นของหัวหน้าเหมืองถ่านหินของริตอร์โน่

                คุณนี่...รู้ดีจังเลยนะครับ

                สิ่งที่ฮอดกินส์พูดเป็นความจริง

                มันค่อนข้างโด่งดังเลยล่ะ สถานีที่ผู้คนไม่สามารถลงไปได้ โรแมนติกดีนะว่าไหม? แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่สามารถลงไปได้หรอก มีแต่ผู้ที่มีใบรับรองแรงงานเหมืองถ่านหินของริตอร์โน่และผู้ที่อยู่อาศัยเท่านั้นแหละที่ลงไปได้ มันเป็นเพราะว่ามันเป็นอสังหาริมทรัพย์ส่วนตัวที่คนนอกสามารถเข้าและออกได้ต้องผ่านการอนุญาตที่แสนยุ่งยากมาแล้วเท่านั้น...ตอนนี้ กลับมาที่ปัญหาของเราก่อน ผมแค่อยากได้ที่ดินที่รถไฟข้ามทวีปจะผ่านมาก็เท่านั้นแหละ

                ––เขาจะหว่านล้อมหมอนี่ให้ได้ เขาจะหว่านล้อมหมอนี่ให้ได้ เขาจะหว่านล้อมหมอนี่ให้ได้ เขาจะหว่านล้อมหมอนี่ให้ได้

                ฮอดกินส์ทำท่าทางและหว่านล้อมให้จอห์น วิสชอว์เคลิ้มไปกับเรื่องเล่าของเขาให้ได้ ราวกับพวกเขาอยู่บนเวที ดวงตาของเขาหรี่ลงอย่างนุ่มนวล แต่ในแววตาของเขาไม่มีความใจดีอยู่เลยสักนิด ให้ผมอธิบายถึงประโยชน์ของการธุรกรรมนี้ให้ง่ายกว่านี้ดีไหม? หมู่บ้านริตอร์โน่กำลังประสบปัญหาเรื่องประชากรที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เหมืองของพวกเขาอาจจะเคยมีชื่อเสียงมากก็จริง แต่ในตอนนี้การทำเหมืองนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วเพราะว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ถึงรางรถไฟจะยังอยู่ แต่จำนวนแรงงานก็เริ่มลดลงเรื่อย ๆ และพวกหนุ่มสาวก็ออกจากหมู่บ้านไปกันหมด มันไม่ใช่ที่เที่ยวของนักท่องเที่ยวด้วย ซึ่งก็หมายความว่าอีกไม่นานมันก็จะกลายเป็นแค่ซากปรักหักพังแน่ ๆ และบางส่วนของหมู่บ้านก็ถูกใช้เป็นรางรถไฟด้วย ตอนนี้เศรษฐกิจของหมู่บ้านก็ได้มาจากการทำเงินจากเรื่องนั้นอย่างเดียว ตอนนี้เหลือคนในหมู่บ้านกี่คนล่ะ?

                “ประมาณเก้าสิบ...

                ถ้ารวม ๆ กันแล้วนั่นก็เท่ากับแค่ไม่กี่สิบครัวเรือนเองนะ พวกเขาจะทนความหนาวของฤดูหนาวปีนี้ได้หรือเปล่า? ถ้าไม่มีพวกหนุ่มสาวที่ไปหาเงินมาให้ครอบครัวของพวกเขา พวกเขาจะอยู่กันได้หรือเปล่าล่ะ?

                พวกเขา...คงจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเลยสินะครับ

                ผมเห็นจุดจบของเรื่องนี้ได้เลยล่ะ แต่มีบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนให้มันกลายเป็นเรื่องเล่า ที่ไม่มีจุดจบได้อยู่นะ ตอนนี้บริษัทของเรามีแค่บริการไปรษณีย์กับออโต้เมมโมรี่ดอลล์เท่านั้น แต่เมื่อไม่นานมานี้พวกเรากำลังจะมีโปรเจคใหม่ออกมา ก็คืออุตสาหกรรมการผลิตยังไงล่ะ ตอนนี้พวกเรายังสั่งจดหมาย แสตมป์ และตราประทับขี้ผึ้งมาจากบริษัทอื่น แต่พวกเราวางแผนที่จะสร้างของพวกเราขึ้นมาเองและขายมันด้วย ผมจะจ้างคนทั้งหมู่บ้านมาทำงานนั้น ไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ก็ตาม ตราบใดที่มือของพวกเขายังใช้งานได้อยู่น่ะนะฮอดกินส์ลุกขึ้นและนั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ จอห์น

                 ถึงแม้พวกเขาจะนั่งห่างกัน แต่มันก็เป็นระยะห่างที่แสนน้อยนิด และมันก็ทำให้จอห์นรู้สึกกังวลยิ่งกว่าเดิม แต่การที่ฮอดกินส์มานั่งอยู่ข้าง ๆ เขาแบบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกโล่งใจมากกว่าตอนนั่งอยู่ตรงหน้าเขา

                การนั่งข้าง ๆ กันนั้นเป็นอันตรายต่อจิตใจน้อยกว่าตอนนั่งตรงข้ามกัน ยิ่งคน ๆ หนึ่งมองเห็นใบหน้าของอีกคนน้อยลงเท่าไหร่ ความตึกเครียดก็น้อยลงเท่านั้น แต่ฮอดกินส์ไม่เคยถูกใครสอนเรื่องนั้นหรอก เขาทำแบบนั้นด้วยประสบการณ์ชีวิตของเขาเอง

                คุณกังวลเรื่องอะไรกัน?

                มีนายหน้าคนไหนที่สามารถปิดการซื้อขายได้ทันทีหลังจากที่ได้รับแจ้งว่าที่ดินที่ถูกซื้อจะถูกเปลี่ยนเป็นสนามรบไหมล่ะครับ?

                ผมเข้าใจแล้ว...คงมีคนค้านเรื่องนี้สินะ...ผมเข้าใจล่ะ เข้าใจล่ะ ผมเข้าใจจริง ๆ แล้วล่ะ แน่นอนว่าผมจะไม่บังคับคุณเขาย้ำคำนั้นด้วยความเห็นอกเห็นใจ จากนั้นจึงยอมลดเงื่อนไขลง ถ้าผมซื้อหมู่บ้านริตอร์โน่ไม่ได้ ผมก็จะซื้อที่ผมเสนอไปนั่นแหละ ยังไงผมก็จะซื้อ ผมอธิบายเหตุผลไปหมดแล้ว ผมอยากจะแก้ไขปัญหาเรื่องการจี้รถไฟให้เร็วกว่าสิ่งที่กองทัพกำลังจะทำ และเพื่อการนั้น ผมเลยอยากได้สถานที่ที่พวกเขาจะสาดกระสุนใส่กันได้ ผมไม่ได้อยากซื้อแค่สถานีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั้งหมู่บ้านด้วย และผมก็จะนำมันเข้าสู่ธุรกิจของผมอย่างแน่นอน คุณก็รู้ ว่ายังไงผมก็จะยืนยันคำเดิม และต่อไปเขาก็พูดถึงเงื่อนไขที่เกี่ยวกับเรื่องทางอารมณ์ ผู้หญิงที่เป็นเหมือนกับลูกสาวของผมและถูกทิ้งไว้ให้ผมดูแลเธอแทนเพื่อนที่แสนล้ำค่าที่สุดในชีวิตของผมอยู่บนรถไฟขบวนนั้น ผมอยากช่วยชีวิตเธอ ผมมีเส้นสายในกองทัพด้วย ผมพยายามถามเรื่องนี้และก็สถานการณ์ตอนนี้กับพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าไปช่วยเหลือได้ยากถ้ารถไฟยังไม่หยุดวิ่งแบบนี้ และทางที่ดีที่สุดก็คือรอซุ่มโจมตีที่จุดเติมน้ำ ช่วยผู้โดยสารออกมา และเริ่มการสู้รบ แต่กองทัพคงเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้ทันทีเพราะอาจถูกขัดขวางไว้ มันจะไม่ใช่การสนับสนุนจากประเทศเรา แต่เป็นการซุ่มโจมตีในดินแดนที่กองทัพของทางตอนเหนือยึดครองแทน เหตุการณ์แบบนี้มันใหญ่เกินกว่าที่กองทัพจะจัดการด้วยตัวเอง และหน่วยที่จะจัดการเรื่องนี้ก็คือกองจู่โจมอาวุธพิเศษ

                กองจู่โจมอาวุธพิเศษประกอบด้วยหน่วยโจมตีที่จะถูกส่งไปเมื่อไหร่ก็ตามที่ปัญหาเหล่านั้นมีมากเกินกว่าที่สารวัตรทหารจะรับมือได้ ไม่ว่าจะในประเทศหรือนอกประเทศก็ตาม อย่างไลเดนชาฟต์ลิชที่มีประวัติศาสตร์การต่อสู้กับการรุกรานมาอย่างยาวนานก็ได้ประสบผลความสำเร็จในการสกัดกั้นมาโดยตลอด และได้สร้างฐานทัพทหารแห่งชาติในประเทศที่ได้ทำการบุกรุกเป็นการชดเชยแทน ในช่วงสงครามทวีปพวกเขาก็ได้มีบทบาทในพื้นที่คลังสินค้าด้วย กองจู่โจมอาวุธพิเศษนั้นจะอยู่ในหน่วยงานทางทหารและหน่วยงานรักษาความสงบและความปลอดภัยในปริมณฑลของประเทศ กองกำลังหารที่ถูกระดมพลนั่นไม่ใช่หน่วยที่มาจากหน่วยที่อยู่ใกล้เคียงสถานีรถไฟที่รถไฟได้วิ่งผ่านไปแล้ว แต่เป็นหน่วยจากสถานีที่อยู่ข้างหน้าต่างหาก

                เพราะแบบนั้นผมก็เลยอยากซื้อที่ดินที่เป็นสถานีจุดเติมน้ำจุดถัดไปยังไงล่ะ

                จอห์นกลืนน้ำลายลูกใหญ่เมื่อได้ยินคำพูดของฮอดกินส์

                ผมจะซื้อที่ดินนั่นและก็ทำลายรางรถไฟทิ้ง เพื่อที่จะสร้างที่ที่พวกทหารจะเคลื่อนไหวได้ง่ายกว่านี้ มันจะต้องมีประโยชน์ต่อกองจู่โจมอาวุธพิเศษอย่างแน่นอน บทสรุปของเรื่องนี้จะได้จบลงก่อนที่พวกเขาจะมาถึงไง ใช่ไหมล่ะ?  ยังไงก็ช่าง ผมอยากที่จะให้รถไฟหยุดวิ่งอยู่ดี จะทำได้หรือไม่ได้ก็ตาม ยังไงผมก็จะทำ เพราะพนักงานของผมอยู่บนรถไฟขบวนนั้น คุณแต่งงานหรือยังจอห์น? คุณยังไม่แต่งใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น พ่อแม่ของคุณสบายดีไหม? ผมอยากรู้ว่าคุณจะรู้สึกยังไงถ้าพ่อแม่ของคุณอยู่บนรถไฟและกำลังถูกปืนเล็งมาที่พวกเขาอยู่น่ะ ผมเชื่อว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะน้อยลงแน่นอนถ้าคุณช่วยผมตอนนี้และเดี๋ยวนี้เลย แต่ถ้าคุณปฏิเสธ จำนวนผู้เสียชีวิตก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ คุณต้องเลือกแล้วล่ะว่าคุณจะเป็นวีรบุรุษหรือจะเป็นยมทูตดี

                ตะ-แต่ สิ่งทีเรากำลังทำอยู่นี่ยังไม่ได้รับการยินยอมจากรัฐบาลใช่ไหมครับ?

                ฮอดกินส์ยิ้ม คุณไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้หรอก สุดท้ายแล้วผู้รับเหมาก็คือตัวผมเองนั่นแหละ ถ้าคุณให้ผมซื้อที่ดินนั่น ผมจะทำยังไงกับมันก็ได้นี่

                แต่นี่มัน...น่าเหลือเชื่อเกินไป คุณกำลังจะบอกว่าคุณมีหน่วยของตัวเองหรืออะไรแบบนั้นเหรอครับ? แต่ถึงคุณจะหยุดรถไฟได้ การช่วยผู้โดยสารออกมาก็แทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่ดี...

                ฮอดกินส์ไม่ได้แสดงท่าทีขัดใจต่อหน้าชายหนุ่มที่กำลังกลัวสุดขีดแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขาวางมือลงบนเข่าของชายหนุ่มและพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนหวานยิ่งกว่าเดิม ผมจะเป็นคนตัดสินเองว่ามันจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้แต่ออร่าของเขาเต็มไปด้วยการบีบบังคับ และผมก็ไม่ได้โง่ด้วย ผมน่ะไม่ใช่คนที่ไม่เคยเห็นสนามรบหรอกนะ ผมก็ไม่ได้ภูมิใจเรื่องนี้นักหรอก แต่เมื่อก่อนผมเคยเป็นผู้นำหน่วยทหารมาก่อน

                กลิ่นที่ทั้งชีวิตของจอห์นไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนโชยออกมาจากตัวของฮอดกินส์ และเมื่อเขาหันไปด้านข้าง ตาของพวกเขาก็สบกัน ดวงตาสีฟ้าขุ่น หุ่นสมส่วน ไหล่กว้าง และอกอันอบอุ่นสะท้อนอยู่ในแววตาของเขา

                ผม...พลังที่ใช้ในการต่อสู้ที่ผมมี...ผมไม่อยากเรียกมันว่า พลังที่ใช้ในการต่อสู้หรอกนะ แต่...ตอนนี้น่ะที่ผมเดินหน้าต่อไปได้ก็เพราะความเชื่อมั่นในพลังของคนที่ให้ความแข็งแกร่งกับผมยังไงล่ะมือที่วางอยู่บนเข่าของจอห์นเลื่อนไปจับมือของเขาโดยที่ไม่บอกให้อีกคนรู้สึกตัวเลยสักนิด

                ฮอดกินส์นั้นมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง – ในเรื่องของการใช้คำพูด – ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้คนได้เป็นอย่างดี แต่คุณค่าที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งนั้น

                คุณคงไม่ใช่แค่คนกลางหรอกใช่ไหม? เพราะว่ามีบางอย่างที่ผมอยากให้คุณทำ

                คำพูดของเขาที่หวานดุจน้ำผึ้งนั้นผสมไปด้วยยาพิษเพื่อที่จะหลอกล่อผู้คนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเทียบเทียมได้

                ผมต้องการให้คุณเสนอข้อตกลงนี้กับหัวหน้าหมู่บ้านก็เท่านั้นเองจอห์น เมื่อจอห์นยังคงเงียบ ฮอดกินส์ก็วางมืออีกข้างลงบนเข่าของเขา ผมแค่อยากรู้จัก...ความจริงใจของคุณก็เท่านั้น

                ––ขอโทษด้วยนะหนุ่มน้อย

                ฮอดกินส์รู้สึกผิดขึ้นมาเมื่อเขากำลังจะรุกฆาตอีกฝ่ายได้

                ––ขอโทษด้วยจริง ๆ ที่พาคุณมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย แต่มีใครบางคนที่อยากจะเปลี่ยนสถานที่เหล่านั้นเป็นสนามรบน่ะสิ

                เขารุกฆาตจอห์น วิสชอว์ด้วยรอยยิ้ม ถ้าอย่างนั้นคุณก็จะมาเป็นหนึ่งในทีมช่วยเหลือด้วยใช่ไหมครับ? แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ ผมติดต่อหมู่บ้านด้วยตัวเองก็ได้ครับ คุณเป็นผู้จัดการ ส่วนผมเป็นผู้ค้าเอง เราต่างก็มีความเชี่ยวชาญเรื่องการเจรจาทั้งคู่ แต่ถ้าเป็นผมผมจะตกลงกับลูกค้าแค่ห้านาทีเท่านั้นแหละ ผมจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของผมเอง

     




                เหนือสองเส้นในหนังสือสัญญาเช่าที่ดินที่เขียนไว้บนแผ่นหนังชื่อของผู้รับเหมารายใหม่คือ – คลอเดีย ฮอดกินส์ – ถูกพิมพ์ออกมา เมื่อขั้นตอนการทำเอกสารเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ ฮอดกินส์ก็ตบไหล่ของจอห์นโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะที่อีกคนกำลังคอตกอย่างซึมเศร้าราวกับว่าพวกเขาได้ทำบางสิ่งที่ชั่วร้ายลงไป จากนั้นฮอดกินส์จึงโทรไปยังบริษัทของเขาเมื่อได้รับอนุญาตให้ยืมโทรศัพท์ได้

                กิลเบิร์ตและฮอดกินส์ไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่กำลังเป็นทุกข์กับสถานการณ์ขัดแย้งในตอนนี้ แต่คนที่กำลังรับสายของเขาก็เช่นกัน

                ลักซ์ตัวน้อย ทุกคนเริ่มทำตามคำแนะนำของฉันหรือยัง?

                พวกเขาเริ่มแยกย้ายกันไปแล้วค่ะ ถ้าท่านประธานประธานให้คำอนุญาตเมื่อไหร่ฉันจะโทรไปเรียกให้พวกเขากลับมาเดี๋ยวนี้แหละค่ะ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกบุรุษไปรษณีย์นั่นแหละค่ะ…”

                เธอเรียกคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้ชายมาได้ก็พอแล้วล่ะ เลขาที่ทำงานรวดเร็วแบบนี้นี่ดีจริง ๆ...!”

                คุณเริ่มดำเนินการตามแผนแล้วหรือยังคะ?

                ดินแดนที่น่าสงสารถูกซื้อไปแล้วล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ง่ายกว่าการเกลี้ยกล่อมผู้หญิงเสียอีก แต่มีเรื่องสำคัญกว่าที่ฉันกำลังจะพูด คือเรื่องสถานีของหมู่บ้านริตอร์โน่...บอกทุกคนให้ทุ่มสุดตัวกับมันเลย จะใช้วิธีไหนก็ได้ แต่ยังไงเราก็ต้องคำนึกถึงเรื่องที่รถไฟอาจจะไม่ผ่านจุดนั้นด้วยเพราะพวกมันอาจจะเห็นเราจากห้องเครื่องยนต์ได้ อย่าลืมบอกให้พวกเขาสวมพันผ้าสีแดงด้วย พวกเขาจะได้ถูกแยกออกมาจากพวกศัตรู แล้วก็บอกให้พวกเขาจุดระเบิดควันเพื่อเป็นสัญญาณว่าพวกเขากำลังดำเนินแผนการอยู่ด้วย

                มันอาจจะสายไปหน่อย แต่ เอ่อ ถึงเราจะทำแบบนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้โดยสารก็เถอะ...แต่ผู้มีอิทธิพลของประเทศนี้จะไม่โกรธเราหรือคะ...?

                “โกรธอยู่แล้วล่ะ ถึงมันจะเป็นทรัพย์สินของฉัน พวกเขาก็คงโกรธอยู่ดี สุดท้ายบริษัทไปรษณีย์ของพวกเราก็คงจะสร้างความเสียหายต่อการจัดการระบบเศรษฐกิจของรัฐไม่มากก็น้อยอยู่ดีแหละนะ

                คุณไม่เป็นไรจริง ๆ หรือคะ?

                สิ่งที่เรากำลังจะทำคือทำลายรางรถไฟและปกป้องผู้คนที่กำลังหนีออกมาทันทีที่รถไฟหยุดวิ่ง เราจะไม่เข้าไปวุ่นวายกับพวกทหาร...ตราบใดที่พวกคนที่อยู่นั่นไม่อาละวาดซะก่อนน่ะนะ...แต่ถึงพวกเขาจะทำ ตะโกนด่าทองานของฉันก็ตาม ฉันมีคนที่ฉันรู้จักที่บริษัทหนังสือพิมพ์อยู่ ถ้าเกิดผลลัพธ์ออกมาดี ฉันก็จะขอให้พวกเขาเขียนหัวข้อข่าวที่ทำให้ไม่มีใครมาตำหนิเราได้เองแหละ ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คงจะโดนด่าจนตัวซีดเลยล่ะ แต่ถ้ามีเรื่องของทหารเข้ามาเกี่ยวด้วยความเห็นของพวกองค์กรขนาดใหญ่ก็คงจะทำอะไรไม่ได้หรอกนะ  แต่พวกเขาก็คงหาเรื่องมาเล่นงานพวกเราได้อยู่ดี เพราะแบบนั้นฉันถึงจะเป็นคนไปจัดการเรื่องนี้เอง ฉันจะไม่ปล่อยให้ทุกคนจบลงด้วยการโดนยำเละเหยียบย่ำจนตายบนถนนหรอกนะ เพราะงั้นสงบสติอารมณ์ไว้ แต่ยังไงก็ช่วยบอกทุกคนด้วยนะ เมื่อหัวรถจักรหยุดวิ่งเมื่อไหร่ ให้พุ่งเป้าเข้าไปช่วยเหลือผู้โดยสารทันที และวิ่งหนีไปซะถ้าคิดว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย แค่นั้นแหละ เดี๋ยวฉันจะไปขึ้น Nighthawk ที่เพื่อนของฉันหามาให้แล้วล่ะ

                ท่านประธานฮอดกินส์คะ

                “ว่าไงลักซ์ตัวน้อย?

                “ฉันอยากไปด้วยค่ะ

                ไม่ได้หรอกนะ ฉันอยากให้มีใครสักคนคอยเฝ้าอยู่ที่บริษัทแทนฉัน ฉันเลยเชื่อใจและฝากความหวังไว้ที่เธอยังไงล่ะ

                แต่ไวโอเล็ตเป็นเพื่อนคนแรกของฉันนะคะ! ฉัน...อาจจะทำอะไรไม่ได้ก็จริง แต่...ฉันก็ยังอยากไปช่วยเธออยู่ดีค่ะถึงฉันจะทำอะไรไม่ได้เลยก็ตาม!” ลักซ์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

                ลักซ์ตัวน้อย ไม่ใช่ว่าเธอทำอะไรไม่ได้หรอกนะ มันเป็นเพราะเธอนั่นแหละ ฉันถึงยอมให้เธอเป็นคนดูแลบริษัทแทนฉัน สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้ก็คือปล่อยให้ฉันไปเองคนเดียวเถอะ ถ้าฉันไปเมื่อไหร่ งานก็จะเริ่มดำเนินการได้เร็วขึ้นเมื่อนั้น และมันก็เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือไวโอเล็ตทั้งนั้น ฉันจะช่วยเธอและกลับไปให้ได้อย่างแน่นอน เพราะงั้นรออยู่นั่นแหละ

                “จริง ๆ หรือคะ...?

                จริง ๆ ฉันสร้างปัญหาให้เธออยู่เรื่อย แต่เธอก็ยังเชื่อในตัวฉันเสมอเลยนะ

                “ค่ะ ฉันเชื่อค่ะ เพราะงั้นรีบกลับมา...ให้เร็วที่สุดเลยนะคะ...พร้อมกับทุก ๆ คนเลย

                ฉันจะกลับไปแน่นอน เพื่อเธอเลย

     




                ในเวลาสองทุ่ม – ซึ่งเป็นเวลาที่ทุกคนควรจะเลิกงานและกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว แคทลียา โบเดอแลร์กำลังโต้เถียงกับคนขับรถม้า ดูเหมือนว่าไฟบนถนนนั้นมีไว้เพื่อเผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลของเธอ

                วันนี้รถม้าที่จัดไว้เต็มหมดแล้วครับ เพราะงั้นผมเลยให้คุณขึ้นไม่ได้คนขับรถม้าอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

                ฉันก็เลยขอร้องคุณอยู่นี่ไงคะ!”

                จมูกและแก้มของแคทลียาขึ้นสีแดงระเรื่อ และมันอาจเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็นหรือเพราะการทะเลาะวิวาท แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ตาของเธอก็เป็นสีแดงก่ำราวกับคนที่พยายามกลั้นน้ำตาไว้

                คุณรู้เรื่องนั้นใช่ไหม ที่รถไฟข้ามทวีปถูกจี้น่ะ?! ฉัน...ต้องไปที่นั่นให้ได้ค่ะ! เพื่อน...เพื่อน...เพื่อนร่วมงานของฉัน...เพื่...อนของฉัน...ฉัน...อยากรู้ว่าเธอเป็นยังไงบ้าง และจากนั้น...จากนั้น...

                แคทลียาที่มาเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ ได้เดินทางมาอย่างเร่งรีบหลังจากเลิกงาน ซึ่งเธอได้ผ่านจุดบริการขนส่งมาสองเมืองแล้ว และในตอนที่เธอกำลังทำเช่นนั้น เธอก็ได้ติดต่อไปยังบริษัทไปรษณีย์ซีเอชและมาถึงหมู่บ้านเหมืองถ่านหินที่ฮอดกินส์บอกให้เธอไป ซึ่งรถรับส่งคันสุดท้ายกำลังจะออกจากหมู่บ้าน

                คุณผู้หญิงอย่าพูดอะไรที่เห็นแก่ตัวแบบนั้นสิครับ! โลกไม่ได้หมุนรอบตัวคุณหรอกนะครับ คุณกำลังสร้างปัญหาให้กับผู้โดยสารที่ผ่านขั้นตอนมาอย่างถูกต้องอยู่นะครับ

                ฉันก็จะผ่านขั้นตอนมาอย่างถูกต้องเหมือนกันแหละถ้าฉันทำได้น่ะ! แต่ไวโอเล็ตอาจจะตายก็ได้! ฉัน... ฉัน...ต้องไปช่วยเธอ! ผู้หญิงคนนั้น...แข็งแกร่งมากก็จริง แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้ ฉันไม่รู้เลยว่าเธอโอเคไหม! ถ้าเธอตาย ถ้าเป็นแบบนั้น...เพราะแบบนั้นฉันถึงอยากไปไงคะ! ได้โปรด ให้ฉันจับตัวรถไว้ก็ได้ค่ะ เพราะงั้นให้ฉันเข้าไปเถอะ!”

                เมื่อเห็นแคทลียาร้องไห้ออกมาด้วยความโมโห คนขับรถม้าก็ไม่รู้จะพูดอะไร ผมก็อยากให้คุณขึ้นมาเหมือนกันถ้าผมทำได้น่ะ…” เขามองเข้าไปในรถม้า คนที่อยู่ข้างในมองเขาด้วยความหงุดหงิด และบอกให้เขารีบ ๆ ไป แต่อย่างไรก็ตามก็มีชายคนหนึ่งที่ลุกขึ้นโดยที่ไม่ได้มองมาที่เขา

                ประตูรถที่ถูกปิดไปแล้วเปิดออก ชายที่มีผมสีดำและภาพลักษณ์ที่ดูอบอุ่นโผล่หัวออกมา นี่ ผมจะลงเอง ให้เธอมานั่งแทนผมเถอะเขามีน้ำเสียงที่มีเอกลักษณ์

                คุณผู้ชาย...แต่...คุณ

                ผมไม่เป็นไรหรอก ผมจะอยู่เมืองนี้อีกสักคืนแล้วกัน คุณช่วยเตรียมรถม้าที่มาได้เร็วที่สุดในวันพรุ่งนี้เช้าได้ไหม? ชายผู้นั้นยิ้มมุมปาก

                คนขับรถม้ารู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากกับเมตตาอันล้นเหลือของเขา สำหรับผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมการให้บริการเช่นนี้มักจะเจอกับลูกค้าที่มีปัญหาซะส่วนใหญ่ ซึ่งเขาก็เพิ่งเจอคนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขาเองก็รู้สึกเห็นใจแคทลียาเหมือนกันเมื่อได้ยินเรื่องของเธอ

                เฮ้ คุณผู้หญิง! ขอบคุณคนใจดีคนนี้ซะสิ...ให้ตายเถอะ คุณผู้ชายครับ เดี๋ยวผมจะยกกระเป๋าให้คุณเอง คุณผู้หญิง ช่วยส่งกระเป๋าของคุณมาด้วยครับ

                “อะ เอ๋?

                “มีคนไม่ไปแล้ว เพราะงั้นคุณก็ไปแทนที่เขาได้ รีบขึ้นรถและไปหาเพื่อนของคุณที่กำลังจะตายซะสิ โชคดีจริงนะคุณน่ะ...

                “จริง ๆ หรือ...? ขะ-ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากจริง ๆ!”

                คนที่คุณควรขอบคุณคือผู้ชายคนนั้นต่างหากคนขับรถม้าพูดในขณะที่ยกกระเป๋าของเธอ

                ยังคงไม่เชื่อว่าตัวเธอจะโชคดีได้ถึงเพียงนี้ เธอหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มทั้ง ๆ ที่ยังตกใจไม่หายและก้มหัวให้เขา ข-ขอบคุณค่ะ! ขอบคุณจริง ๆ! ฉันจะจ่ายค่าที่พักให้คุณเองค่ะ ขอบคุณจริง ๆ นะคะ!”

                ชายคนนั้นส่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางของแคทลียาและยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาบนแก้มของเธอด้วยปลายนิ้ว การกระทำนั่นดูเป็นธรรมชาติเสียจนแคทลียาไม่สามารถขัดขืนได้ ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังรู้สึกปลื้มปิติเหมือนกับตอนที่เธอรู้สึกเวลาอยู่กับฮอดกินส์เลย

                อ่า...เอ่อ...

                “ผมไม่ว่าอะไรหรอกครับ คุณผู้หญิง

                ดวงตาของชายคนนั้นมีพลังบางอย่าง ไฝที่อยู่ใต้ดวงตาสีเฮเซลของเขามีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถู

                คุณพูดว่า ไวโอเล็ต ใช่ไหม? ใช่ไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดนหรือเปล่า?

                “ใช่ค่ะ คุณ...เอ่อ คุณรู้จักเธอเหรอคะ?

                ครับ ผมเคยให้เธอเขียนจดหมายให้ครั้งหนึ่ง ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ...หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งราวกับเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ เขาก็เอ่ยออกมา อืม...เราสองคนมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างลึกซึ้งที่เราบอกคนอื่น ๆ ไม่ได้น่ะ เราเป็นเพื่อนเก่ากันด้วย ผมเองก็ตั้งใจจะไปเจอเธอสักหน่อยเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าไลเดนชาฟต์ลิชจะเข้ามามีเอี่ยวในเรื่องนี้ด้วย ผมเลยคิดว่าเดี๋ยวค่อยไปเจอเธอทีหลังก็ได้ คุณช่วยส่งความนับถือของผมไปให้เธอได้ไหมครับ?ชายคนนั้นที่สวมเสื้อคลุมสีดำเริ่มเดินจากไปและราวกับกำลังจะมลายหายไปในความมืด

                คะ-คุณชื่ออะไรคะ?! ฉันจะบอกชื่อคุณ...กับเธอเองค่ะ!”

                เมื่อได้ยินแคทลียาพูดแบบนั้น ชายคนนั้นก็หันกลับมาและหัวเราะ ผิวซีด ๆ ของเขาทำให้เขาดูเหมือนภูตผีบนถนนในยามค่ำคืนไม่มีผิด

                เอ็ดเวิร์ด โจนส์ครับชายคนนั้นโบกมือ และแคทลียาก็โบกกลับพร้อมกับยิ้มกว้าง

                ในคืนนั้นไม่มีใครสังเกตเลยว่าเขาคือผู้ลี้ภัยที่เคยเป็นนักโทษที่ต้องโทษประหารมาก่อน

     




                เมื่อเวลาสองทุ่ม กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียกำลังมองลงไปที่พื้นในขณะที่กำลังเตรียมพร้อมอยู่บน Nighthawk มันเป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกเวียนหัวเลยทีเดียว พวกเขาบินขึ้นสูงเพื่อไม่ให้พวกศัตรูเห็น

                เจอแล้ว อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

                “รับทราบครับผู้การโบเกนวิลเลีย ทราบแล้วเปลี่ยน

                ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนั้นมีวัตถุที่ส่องประกายอยู่ท่ามกลางความมืดมิดผ่านรอยแยกของเมฆขึ้นมา และมันก็คือรถไฟข้ามทวีป ฟาม ฟาเตล นั่นเอง

                รายงานจากหน่วย 1 เราเจอฟาม ฟาเตลแล้ว เตรียมร่อนลงไปได้

                เมื่อได้ยินสัญญาณจากวิทยุของนักบิน เหล่า Nighthawks ทั้งเจ็ดก็กำหนดเป้าหมายผ่านระบบไปยังพื้นดิน พวกเขาเห็นลูกบอลไฟที่จุดขึ้นตามภูเขาที่มีรางรถไฟอยู่

                มันคือระเบิดควันที่ถูกจุดจากจุดเติมน้ำอย่างที่ผู้การพูดถึงเลยครับ

                เปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์ที่สาม หน่วย 5 ล่าถอยไปก่อน ไปร่วมกับกองจู่โจมอาวุธพิเศษซะ และรายงานสถานการณ์ให้พวกเขาด้วย บอกว่าโชคดีที่เป้าหมายต้องหยุดอย่างเฉียบพลันเพราะไฟป่าหรืออะไรก็ได้ ส่วนหน่วย 1 เดินหน้าต่อ ครึ่งหนึ่งของทีมจะลงเข้าสู่สนามรบก่อน เราจะยึดหัวรถจักร 1, 2 และ 3 ก่อน  เริ่มลงมือทันทีที่รถหยุด หลังจากครึ่งแรกไปแล้ว ครึ่งหลังจะให้การสนับสนุนและโจมตีจากข้างนอกทันทีที่ลงไป จากจุดนั้นจะมีพลเรือนมาช่วยเหลือเราปกป้องลูกเรือ ใครก็ตามที่ใส่พันผ้าสีแดงไว้ตรงแขนคือพันธมิตรของเรา อย่าเผลอโจมตีพวกเขาเด็ดขาด โอเค ฟังนะทุกคน ผลลัพธ์ของกลยุทธ์นี้จะเป็นตัวชี้ชะตาหน่วยของพวกเรา แต่เพราะเป็นพวกนาย ไม่ว่าพวกนายจะไปที่ไหนก็คงจะทำสำเร็จอยู่แล้ว แต่ฉันอยากให้พวกนายอยู่ในที่ที่ฉันมองเห็นสักประเดี๋ยวก่อนนะ

                นักบินจากหน่วย 1 หัวเราะออกมา เพราะกิลเบิร์ตพูดอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกับตัวเขาเลยสักนิด

                ฉันภาวนาขอให้เราทำสำเร็จด้วยเถอะ ถ้าอย่างนั้น ครึ่งแรก เตรียมตัวร่อนลงได้

                ด้วยหน่วยทั้งหมดหกหน่วย – ซึ่งในตอนนี้หน่วยที่ห้าได้ถอนกำลังไปแล้ว – และบุคลากรสิบสองคน หน่วยของกิลเบิร์ต กองกำลังพิเศษแห่งไลเดนชาฟต์ลิช กำลังจัดรูปแบบและกำลังจะลงไปต่อสู้บนรถไฟข้ามทวีป ประการแรก คนหกคนที่นั่งอยู่ด้านหลังจะร่อนลงบนรถไฟและเริ่มทำการปราบปราม หัวรถจักร 1 2 และ 3 ที่เชื่อมต่อกันนั้น แต่ละหัวจะถูกควบคุมโดยคนสองคน แบ่งออกเป็นคนที่จะเข้าไปข้างในและคนที่จะรออยู่ข้างนอก และเริ่มสู้กับพวกนักจี้ ต่อจากนั้น หกคนที่เหลือจะร่อนลงไปอยู่ใกล้ ๆ กับจุดที่รถไฟจะหยุดวิ่ง มันเป็นแผนที่วางไว้เพื่อให้พวกเขาช่วยคุ้มครองคนหกคนที่เข้าไปในรถไฟและปกป้องผู้โดยสารจากด้านนอก

                หลังจากที่ให้พวกเขาจำแผนที่ละเอียดอ่อนและคำแนะนำจากเขา กิลเบิร์ตก็นำสมาชิกของกองกำลังพิเศษ ซึ่งเป็นกองกำลังที่เกิดจากการรวมตัวของคนที่ถูกเลือกมาไม่กี่คน ซึ่งไม่ได้ตามหัวหน้าทีมของพวกเขาอย่างรูปแบบทหารปกติ แต่เป็นแค่ทีมธรรมดา ๆ ที่สมาชิกมีส่วนร่วมในการต่อสู้เท่านั้น

                กิลเบิร์ตกระโดดลงจาก Nighthawk พร้อมกับสมาชิกจากหน่วยแรก และร่อนลงบนรถไฟที่กำลังวิ่งอยู่ เครื่องบินจะบินต่ำได้ไม่นานนัก เขาจึงโดดลงมาในตอนนั้น และหลังจากยึดตัวรถไฟไว้ได้แล้วเขาก็พยายามทรงตัว

                คนที่อยู่ข้างในคงจะได้ยินใบพัดของเครื่องบินบินอยู่บนหัวของพวกเขา ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นนักจี้ออกมาจากตู้หัวรถจักร 1 กิลเบิร์ตชกไปที่หน้าของเขาด้วยแขนเทียมข้างซ้ายของเขา และเมื่อชายคนนั้นล่าถอยไป เขาก็คว้าคอของชายคนนั้นและลากเขาออกมาจากทางหน้าต่าง ถึงแม้ว่าจะมีนักจี้จากตู้หัวรถจักร 2 ที่อยู่ใกล้ ๆ เห็นเข้าและยิงใส่กิลเบิร์ต เขาก็ได้ยิงใส่ชายผู้แสนโชคร้ายที่เพิ่งออกมาจากทางหน้าต่างแค่เพียงครึ่งตัวเท่านั้นเอง

                ผู้การ ผมจะมุ่งหน้าไปก่อนนะครับ

                หนึ่งในหน่วยของกิลเบิร์ตที่กระโดดลงมาหลังเขา ร่างเล็กบิดตัวและเตะนักจี้จากตู้หัวรถจักร 2 ที่เล็งเป้ามาที่กิลเบิร์ตให้กลับเข้าไปในรถไฟเหมือนเดิม กิลเบิร์ตโยนชายที่โชกไปด้วยเลือกออกจากหัวรถจักรและลักลอบเข้าไป

                ช่วยผมด้วย! อย่าฆ่าผมเลย! ถ้าผมตาย ผู้โดยสารกับหัวรถจักรนี้ก็จะตายเหมือนกัน!” คนที่กำลังกรีดร้องและขอร้องอย่างน่าสงสารนี้คือซามูเอล ลาบูฟ

                ผู้ช่วยของเขาตายไปแล้ว ส่วนผู้ช่วยวิศวกรหนุ่มอีกคนหนึ่งที่มาทำหน้าที่แทนก็มีใบหน้าซีดเผือดขณะพยายามจะไม่เหยียบลงบนตัวศพ

                สงบสติอารมณ์ก่อนครับ ผมเป็นพันเอกของกองทัพไลเดนชาฟต์ลิช กิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียครับ ตอนนี้เรากำลังดำเนินการการช่วยเหลือผู้โดยสารในรถไฟขบวนนี้อยู่ครับ

                พ-พันธมิตรหรอ? คนจากกองทัพเหรอ?ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้เขาอาจจะเตรียมตัวเพื่อรับมือกับเรื่องเลวร้ายมาตลอด เขาจึงร้องไห้ออกมาด้วยความโล่งใจ

                กิลเบิร์ตแตะที่ไหล่ของเขาอย่างนุ่มนวล คุณกล้าหาญมากครับ มันคงจะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่คุณคาดไม่ถึงเลยสินะครับ คุณคู่ควรกับเหรียญรางวัลมากจริง ๆ

                ความจริงใจที่แผ่ออกมาจากตัวกิลเบิร์ตนั้นให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกับที่ฮอดกินส์ทำ ไม่ว่าใครก็ตามที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์เช่นนี้ถูกบอกเรื่องแบบนี้โดยทหารที่มีหน้าตาเหล่าเหลาที่พยายามจะให้ความช่วยเหลือเป็นเรื่องที่น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ซามูเอลจึงเริ่มตัวสั่น

                คุณชื่ออะไรครับ?

                ซะ-ซามูเอลครับ ท่านผู้การ

                คุณซามูเอลครับ คุณเป็นวีรบุรุษของไลเดนชาฟต์ลิชเลยนะครับ แต่มีเรื่องที่ผมอยากจะถามหน่อย จุดเติมน้ำจุดถัดไปคือที่ไหนครับ?

                “ริตอร์โน่ครับ

                ที่นั่นมีกองทัพของเราอีกกองทัพหนึ่งอยู่ครับ และพวกเขาจะส่งสัญญาณครั้งใหญ่มา เพราะฉะนั้นช่วยหยุดก่อนที่จะถึงสถานีด้วยนะครับ

                “คุณพูดว่า ส-สัญญาณงั้นหรือครับ?

                “คุณจะรู้เองแหละครับเมื่อคุณเห็นมัน หลังจากหยุดรถแล้ว ให้วิ่งหนีไปจากที่นี่และวิ่งไปตามเส้นทางของหมู่บ้านนะครับ

                ซามูเอลและผู้ช่วยของเขามองหน้ากัน

                แต่ผู้โดยสาร...และก็...เพื่อนร่วมงานของผม...ซามูเอลมองไปที่ศพของอดีตเพื่อนร่วมงานของเขา

                ถึงพวกเขาจะตายแล้ว แต่ผมก็อยากให้พวกเขาได้เจอครอบครัวของพวกเขาครับทั้งสองคนพูดพร้อมกัน

                ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีครับ นอกจากกองทัพของพวกเราแล้วจะมีกองทัพอีกกองหนึ่งตามมาครับ เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วและคุณทั้งสองคนจะได้กลับไปยังบ้านของพวกคุณแน่นอน แต่ในตอนนี้ผมอยากให้คนที่ยังพอเดินได้อยู่อพยพตัวเองไปก่อนชั่วคราวครับ คนที่พันผ้าสีแดงไว้ตรงแขนกำลังดูแลเรื่องการอพยพอยู่ โปรดไปกับพวกเขานะครับ

                บางทีอาจเป็นเพราะเขารู้สึกสบายใจ ซามูเอลจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่ในตอนที่เขากำลังรู้สึกโล่งใจอยู่นั้น เสียงปืนก็ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง

                ––มีคน...กำลังต่อสู้อยู่งั้นเหรอ?

                กิลเบิร์ตได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทุกคนปะปนไปกับความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นหลังจากรถไฟหยุดวิ่งและบดขยี้ศัตรูทันทีเมื่อได้รับสัญญาณระเบิดควันจากด้านใน ถ้ามีการโจมตีจากหัวรถจักร 3 ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขากำลังเจออุปสรรคอยู่ ในตอนนี้ คนหกคนที่ลงมาก่อนนั้นเป็นคนที่ได้รับการคัดเลือกจากการแต่งตั้งเพื่อกองกำลังชั้นยอด ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีพลังเทียบเท่ากับทหารธรรมดาสิบคนเลยทีเดียว

                ผมคิดว่า...มันน่าจะดังมาจากข้างนอกนะครับ

                เมื่อได้ยินซามูเอลบอกเช่นนั้น กิลเบิร์ตก็พยายามยื่นหัวออกไปนอกหน้าต่าง หน้าของเขาชนเข้ากับกิ่งไม้เล็กน้อย

                เมื่อไม่นานมานี้มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นครับ ผมได้ยินเสียงตะโกน ผม...เป็นคนหูดีนะครับก็เลยได้รับคำชมบ่อย ๆ ถึงแม้จะอยู่ในที่ที่ห่างไกล ผมก็ได้ยินเสียงคนกำลังสาปแช่งกันครับ

                คุณควรจะภาคภูมิใจในตัวเองยิ่งกว่าเดิมอีกนะครับ ถ้าสิ่งที่คุณพูดเป็นความจริง เราก็ต้องรีบไปให้การช่วยเหลือผู้ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายอาชญากรนั่นทันที โทษทีนะครับ ผมจะขึ้นไปข้างบนแล้ว อย่าลืมภารกิจของคุณนะครับ

                เมื่อได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต ซามูเอลก็พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่แสดงถึงความดีใจและความกังวล

                กิลเบิร์ตปีนขึ้นไปบนรถไฟอีกครั้งแม้จะถูกแรงต้านอากาศกดทับอยู่ก็ตาม ดินแดนที่ถูกสร้างเป็นทางรถไฟนั้นคงจะเคยมีสวนดอกไม้มาก่อน ถึงแม้จะถูกเหยียบย่ำ แต่กลีบของพวกมันก็ยังคงมีชีวิตและกระจัดกระจายปลิวไปกับสายลม ในโลกที่แสนมืดมิดนั้น สีของฤดูใบไม้ร่วงอย่างเช่นสีขาว ฟ้า เหลือง แดง และส้มยังคงไม่ถูกกำจัดออกไป และถึงแม้ว่าพวกมันจะกลายเป็นฝุ่นผง แต่พวกมันก็ได้สร้างภาพที่แสนน่าทึ่งที่ช่วยตกแต่งโลกใบนี้จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของมัน เหนือสีสันพวกนั้นไป กิลเบิร์ตก็เจอกับคนที่เขากำลังมองหา

                ผู้การครับ สถานการณ์ในตอนนี้ต้องการกำลังเสริมไหมครับ?!” หน่วยที่หกร่อนตามลงมา และคู่หูของกิลเบิร์ตก็ร่อนลงมาเมื่อถึงคิวของเขา

                กิลเบิร์ตหยุดเขาด้วยมือ ไอดริส ดูเหมือนว่ามีพลเรือนกำลังต่อสู้กับพวกนักจี้อยู่นะ...เราควรจะสังเกตเห็นเรื่องนี้ก่อนสิ

                “ก่อนหน้านี้พวกเรากำลังเป็นบ้าเพราะเรื่องการร่อนลงของพวกเราอยู่น่ะครับ แต่ผมก็ไม่เห็นอะไรนะครับ งั้นถ้าอย่างนั้น...

                ผมจะไปเอง ผมจะเสนอชื่อคุณเป็นผู้บัญชาการคนต่อไป ถ้าผมไม่มีโอกาสรอดกลับมาล่ะก็ คุณจะได้รับโอกาสนั้นทันที

                “คุณพูดจริงหรือครับ?

                ผมพูดจริง

                ผมมีความสามารถมากพอที่จะได้เลื่อนขั้นและคงจะแซงหน้าคุณได้ในไม่ช้า แต่ได้โปรดกลับมาอย่างปลอดภัยและกลับมายืนต่อหน้าผมอีกครั้งเถอะครับ ถ้าผมไม่มีคนให้ไล่ตามล่ะก็...

                แทนที่จะตอบกลับ กิลเบิร์ตกลับเคาะกำปั้นลงบนไหล่ของเขาแทน

                กลุ่มคนที่สวมเสื้อโค้ทสีฟ้าบดบังร่างของคนที่เขากำลังมองหาอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องเดินไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่หน้าขบวนเพื่อไปหาเธอ คงจะใช้เวลาสักหน่อย

                กิลเบิร์ตออกวิ่งไปทันทีโดยไม่มีความลังเลอีก




























    /

    เขาจะได้เจอกันแล้ว ;-;











    S
    N
    A
    P
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×