คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : The Flying Letters and the Auto-Memories Doll (part one.)
/
The Flying
Letters and the Auto-Memories Doll
วันหยุดของออโต้เมมโมรี่ดอลล์ได้จบลงอย่างเงียบสงบ
การที่ได้ใช้เวลาในช่วงปลายฤดูร้อนเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่พิเศษอะไร
– มองดูต้นไม้ที่อยู่นอกหน้าต่างในยามเช้า เดินเล่นไปรอบ ๆ เมืองพร้อมกับร่มในตอนเที่ยง อ่านหนังสือใต้ร่มเงาของต้นไม้ในยามเย็น
และเตรียมตัวที่จะออกเดินทางในยามค่ำคืน ในตอนที่ไม่มีใครมองมาที่เธอ
เธอจะแยกส่วนประกอบของปืนออกจากกันและใส่กลับเข้าไปใหม่
รวมไปถึงขว้างมีดไปยังใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาเพื่อฝึกการใช้แขนของเธอให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
แต่ส่วนใหญ่แล้วเธอก็จะใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ
และนั่นเป็นอิทธิพลมาจากการที่แม่บุญธรรมของเธอเลี้ยงเธอมาราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง
มีคนมากมายที่พยายามจะทำลายความเงียบสงบของเธอ
แต่เพราะเธอเป็นคนที่เงียบขรึมและเยือกเย็น เธอจึงทำให้ผู้อื่นรู้สึกเกรงใจเธอ
ความงามของเธอทำให้เวลาและผู้คนที่อยู่รอบตัวเธอต้องหยุดการเคลื่อนไหว
“ไวโอเล็ต เธอ...ต้องมากับฉัน”
เธอเป็นคนที่ไม่เหมาะที่จะชวนให้มาเล่นสนุกด้วยกันเลยสักนิด
สิ่งที่ตั้งอยู่บนถนนที่คับแคบห่างจากถนนเส้นหลักของไลเดน
เมืองหลวงของไลเดนชาฟต์ลิช คืออาคารโดดเดี่ยวที่ยื่นออกมาและใหญ่ยิ่งกว่าร้านค้าเล็ก ๆ หลายแห่งที่เรียงรายอยู่บริเวณนั้น
มันเป็นอาคารของบริษัทไปรษณีย์ซีเอช
ซึ่งเป็นบริษัทที่เพิ่งเปิดใหม่และเพิ่งจะเข้าสู่อุตสาหกรรมจดหมายเมื่อไม่นานมานี้
หลังคารูปโดมที่มีปลายยอดแหลมสีเขียวและเสารูปนกที่ใช้บอกทิศนั้นถือเป็นจุดเด่นของบริษัทเลยก็ว่าได้
พร้อมกับผนังสีอิฐที่ซึ่งเป็นสีที่กำลังนิยม
เหนือทางเข้าที่เป็นโค้งที่เป็นชื่อของบริษัทที่ถูกพิมพ์ลงบนแผ่นเหล็กด้วยตัวอักษรสีทองนั้นมีกระดิ่งที่ส่งเสียงดังกังวาลทุกครั้งที่ประตูเปิด
เผื่อบ่งบอกว่ามีลูกค้ามาใช้บริการ ภายในอาคารนั้นจะเห็นเคาน์เตอร์อยู่ตรงทางเข้าซึ่งเป็นแผนกต้อนรับโดยเฉพาะสำหรับบริการจัดส่ง
อาคารแห่งนี้มีสามชั้นด้วยกัน
ชั้นแรกจะเป็นชั้นของแผนกต้อนรับ ชั้นที่สองจะเป็นสำนักงาน
และชั้นที่สามจะเป็นห้องของประธานบริษัท ซึ่งในตอนนี้
ลูกจ้างทุกคนที่อยู่ในชั้นที่สองกำลังทำงานกันอย่างหนักหน่วง
วันนี้เป็น
‘วันปิดทำการ’ ของบริษัท ซึ่งในระหว่างวันนั้น
ธุรกรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะรายงาน ใบแจ้งหนี้ หลักฐานการชำระเงิน
และทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัทในเดือนนั้นจะถูกเคลียร์ให้เรียบร้อย
สำหรับผู้ที่ทำงานในฐานะเสมียนนั้นถือเป็นวันที่แสนสาหัสสำหรับพวกเขาเลยล่ะ
เพราะมันหมายความว่าพวกเขาจะต้องทำงานหนักกว่าเดิมอีกเท่าตัว
“คุณบอกว่าเราจะไปด้วยกันนี่นา
และคุณก็บอกฉันว่าคุณจะพาฉันไปที่นั่นด้วย...” ท่ามกลางการทำงานที่แสนว้าวุ่นนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังมองไปที่ฮอดกินส์ด้วยสายตาติเตียนและหดหู่
เธอจับเสื้อของเธอแน่นและกัดริมฝีปากเพื่อแสดงว่าเธอกำลังโกรธ “ฉันโกรธนะคะเนี่ย”
เธอเป็นหญิงสาวสวยที่มีผมสีดำยาวและมีเสน่ห์อันน่าดึงดูด
เธอสวมเดรสรัดอกที่เผยให้เห็นหน้าอกหน้าใจของเธอโดยไม่คิดจะสงวนตัวหรืออะไรสักนิดซึ่งข้างในเป็นเสื้อชั้นในสีเทา
และเธอยังมีสร้อยคอลูกปัด จี้ กำไล สร้อยโซ่ข้อมือ และแหวนที่ทำจากโลหะ
กางเกงหนังที่แสนร้อนแรงของเธอถูกย้อมด้วยสีน้ำเงินและตกแต่งลวดลายด้วยสีทอง
สายรัดถุงน่องถูกเย็บปักถักร้อยด้วยลวดลายเรขาคณิตและช่วยเสริมแต่งบนผิวเปลือย ๆ ของเธอตั้งแต่กลางถุงน่องของเธอไปจนถึงรองเท้าบูทเข่าสูง
เธอเป็นผู้หญิงที่สร้างความบาดตาบาดใจให้แก่ทุกสายตาที่มองมา
ไม่ว่าจะด้วยชุดของเธอหรือความงามที่เปล่งประกายของเธอก็ตาม แต่อย่างไรก็แล้วแต่…
“ไม่ค่ะ ไม่มีวันค่ะ! ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนพาฉันไป
ฉันก็ไม่อยากไปค่ะ”
…เธอเขย่งเท้า การกระทำของเธอเหมือนกับเด็กไม่มีผิด
“ไม่ใช่แบบนั้น คือฉันหมายถึง ถึงเธอจะพูดแบบนั้นก็เถอะนะแคทลียา...”
คลอเดีย ฮอดกินส์ ประธานบริษัทซีเอชส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้เธอ “ดูกองเอกสารพวกนี้สิ ฉันว่าฉันต้องตายแน่ ๆ”
บนโต๊ะของฮอดกินส์มีกองเอกสารที่กองพูนอย่างน่ากลัวและดูเหมือนจะทำให้เขาตายได้จริง ๆ
เขาลงตราประทับลงบนเอกสารเหล่านั้นระหว่างที่พูดไปด้วย
การตรวจสอบและการอนุมัติจากเขาถือเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเอกสารที่จัดทำขึ้นโดยเสมียน
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเชื่อใจเหล่าเสมียนอยู่แล้วหรือเพราะเขาขี้เกียจอ่านเขาจึงตราประทับลงไปโดยที่ไม่คิดจะอ่านเลยสักนิด
“ท่านประธานฮอดกินส์คะ ถ้าคุณเสร็จแล้วช่วยส่งเอกสารพวกนั้นให้ฉันด้วยนะคะ
แล้วก็ช่วยตรวจสอบเอกสารพวกนี้ด้วยค่ะ”
บทสนทนาถูกขัดจังหวะ พร้อมกับกองเอกสารที่สูงขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“อ่า โทษทีนะลักซ์ตัวน้อย เธอตรวจสอบทั้งหมดแล้วใช่ไหม?”
คนที่เข้ามาขัดจังหวะบทสนทนาระหว่างแคทลียาและฮอดกินส์นั้นเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าไร้เดียงสา
เธอมีผมสีลาเวนเดอร์ที่ถูกเล็มปลายอย่างประณีตยาวเหนือไหล่ของเธอ
และถึงแม้ว่าเธอจะสวมแว่นตา แต่เมื่อมองดูใกล้ ๆ ก็จะเห็นว่าสีตาของเธอทั้งสองข้างไม่เหมือนกัน
มันเป็นสิ่งที่เธอมีมาแต่กำเนิด
แต่ผ้าพันคอที่พันอยู่รอบคอของเธอและเบอเรตต้าที่ติดอยู่ข้างศีรษะของเธอนั้นเป็นคุณสมบัติที่ละเอียดอ่อนของหญิงสาวที่มีความเป็นมืออาชีพ
“ค่ะ เอกสารที่ถูกแก้ไขจะถูกติดป้ายไว้ค่ะ ช่วยตรวจสอบมันด้วยนะคะ”
ลักซ์ ซิบบิล หญิงสาวที่เคยถูกบูชาในฐานะมนุษย์กึ่งเทพของลัทธิทางศาสนาในเกาะโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งในตอนนี้ได้ทำงานให้กับบริษัทไปรษณีย์ซีเอช
“ขอบคุณมากนะ เลขาของฉันเก่งที่สุดเลย ฉันรักเธอจริง ๆ นะเนี่ย”
ลักซ์แสดงสีหน้าหดหู่ใส่คนที่กำลังขยิบตาให้เธอ “เลิกชมฉันเถอะค่ะ
แค่ช่วย…ขยับแขนของคุณหน่อยเถอะค่ะ ถ้าตอนนั้นฉันหยุดคุณไว้…ไม่ให้ไปเที่ยวกับนักแสดงหญิงคนนั้น เอกสารพวกนี้ก็คง…แน่อยู่แล้วล่ะค่ะว่าคุณคงจะเลิกกับเธอ…แต่ว่าตอนนั้น…ถ้าฉัน…”
“ใจร้ายจัง เธอเพิ่งหักอกฉันเลยนะเนี่ยลักซ์ตัวน้อย...”
“ถ้าตอนนั้นฉันบังคับให้คุณทำงานถึงจะต้องมัดคุณไว้ก็เถอะ
เอกสารพวกนี้ก็คง...”
เพราะเลขาของเขาทำท่าทางราวกับเธอเคยมีส่วนร่วมในเรื่องบางอย่างและไม่สามารถแก้ไขมันได้
ฮอดกินส์จึงกลับมาแสดงท่าทีขึงขัง “ฉันขอโทษแล้วกันนะ
เดี๋ยวฉันจะซื้อเครื่องปั๊มตราเอกสารมาแล้วกัน”
จากนั้นลักซ์ก็หันไปพูดกับแคทลียาราวกับกำลังขอร้อง
“แล้วก็นะแคทลียา อย่าพยายาม…ห้ามท่านประธานฮอดกินส์เลยนะ
การที่พวกเราจะได้เลิกงานเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับท่านประธานฮอดกินส์ทั้งนั้น
วันนี้ฉันก็อยากกลับบ้านเร็ว ๆ ด้วย...”
เสมียนที่กำลังทำงานอยู่เงียบ ๆ พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของลักซ์ สำหรับพวกเขา
เวลาที่พวกเขาจะได้เลิกงานนั้นมันเป็นเรื่องของความเป็นและความตายเชียวล่ะ
แคลทียาทำเป็นไม่สนใจคำพูดนั่น
แต่ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากสายตาและรู้สึกเหมือนมีคำพูดมากมายกำลังทิ่มแทงหลังของเธอว่า
“คนที่กำลังขัดขวางงานอย่างเธอควรจะออกไปซะ”
“อะไรกันน่ะ...? เพราะเป็นเลขาก็เลยพูดอวดดีแบบนั้นได้หรอ
เลขาของท่านประธาน...ไม่ยุติธรรมเลย ฉันก็อยากเป็นเลขาเหมือนกันนี่นา”
“แคทลียา เธอเป็นออโต้เมมโมรี่ดอลล์ไม่ใช่หรือ? แบบนั้นน่ะไม่ดีกว่าหรือไง?
‘พูดอวดดี’ อะไรกัน...ฉันแค่จะบอกว่าถึงวันนี้เธอจะได้หยุดงาน
แต่พวกเรากำลังทำงานกันอยู่นะ”
ถึงแม้ว่าจะมีหน้าตาที่ยังเยาว์วัยนัก
แต่จิตใจของลักซ์นั้นได้เติบโตขึ้นจนเป็นเลขาที่สมบูรณ์แบบแล้ว
หลังจากที่เธอหนีออกมาจากลัทธินั่น
เธอก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อตอบแทนฮอดกินส์และบริษัทที่รับเธอเข้ามา
“ท่านประธานคะ ทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยทานของว่างนะคะ”
มือของฮอดกินส์ที่กำลังพยายามจะเอาอะไรบางอย่างออกมาจากใต้โต๊ะก็หยุดชะงัก
และเอาขึ้นมาบนโต๊ะเหมือนเดิม
“อะไรกันน่ะ? อะไรกันน่ะ? อะไรกันน่ะ?! เพราะว่ามีแต่ออโต้เมมโมรี่ดอลล์ที่ได้หยุดก็เลยช่วยไม่ได้งั้นหรอ?”
แคทลียาตั้งใจจะทะเลาะต่อ
แต่ก่อนที่เธอจะได้ทำแบบนั้น ลักซ์ก็รับโทรศัพท์เสียก่อน
ชายหนุ่มจึงส่งสายตามาที่เธอราวกับจะเอ่ยว่า “ขอโทษด้วยนะ”
“ฉันเข้าใจล่ะ”
เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าทุกคนในบริษัทกำลังยุ่ง
เธอรู้ตัวดีกว่ากำลังรบกวนการทำงานของพวกเขาอยู่
อย่างไรก็ตาม
ออโต้เมมโมรี่ดอลล์ที่มีนามว่าแคทลียาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะยอมแพ้
เธอยื่นแผ่นพับให้ฮอดกินส์ที่กำลังประทับเอกสารอยู่ดู “แต่ปีหนึ่งมันมีแค่ครั้งเดียวเองนะ...ที่เราจะได้เข้าร่วมงาน ‘จดหมายโบยบิน’ น่ะ ฉัน…ฉันเขียนจดหมายเรียบร้อยแล้ว
และฉันก็ไม่ได้เชิญใครไปด้วยเพราะท่านประธานบอกว่าจะพาฉันไป
ฉันไม่อยากไปคนเดียวนี่นา
การที่ต้องไปร่วมงานเทศกาลคนเดียวน่ะ...มันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรอ?”
คำว่า
“นิทรรศการการบินครั้งที่เจ็ด” ถูกเขียนขึ้นบนแผ่นพับนั่น
นิทรรศการดังกล่าวจะถูกจัดขึ้นในพื้นที่ซ้อมรบของกองทัพอากาศของไลเดนชาฟต์ลิช
ซึ่งดูเหมือนจะประกอบไปด้วยการสาธิตการซ้อมรบกลางอากาศ
และการแสดงเครื่องบินของกองทัพบกและกองทัพเรือ
ยังรวมไปถึงการชุมนุมโดยส่วนตัวของอาสาสมัคร ซึ่ง “จดหมายโบยบิน”
ที่แคทลียาพูดถึงก็เป็นหนึ่งในงานนั้นด้วย ซึ่งเป็นงานที่มีไอเดียว่า
“จดหมายที่จะให้กำลังใจใครก็ตามที่หยิบมันขึ้นมา” ซึ่งจดหมายที่ถูกรวบรวมมานั้นจะถูกโปรยลงมาจากฟากฟ้าโดยนักบินที่มีเกียรติที่ถูกเลือกมาจากกองทัพบกและกองทัพเรือ
มันเป็นเทศกาลที่แสนโรแมนติก
ที่ผู้เข้าร่วมงานทุกคนจะได้เขียนข้อความที่สร้างแรงบันดาลใจแก่คนแปลกหน้าที่เลือกจดหมายของพวกเขา
งานนิทรรศการครั้งที่หกนั้นเคยถูกจัดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน
และดูเหมือนจะถูกยกเลิกไประยะหนึ่งเพราะสงครามที่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น
เธอยื่นจดหมายไปจ่อหน้าของฮอดกินส์จนเขาแทบจะจูบมัน
และมันก็ทำให้เขาจาม
“ฉันอยากไปกับเธอนะแคทลียา แต่ฉันลืมไปน่ะสิว่าวันนี้เป็นวันปิดทำการน่ะ...”
แคทลียาคิ้วตก
ดวงตาสีม่วงอะมีทิสของเธอฉายแววเศร้าโศก
ในตอนนี้เธอเหมือนกับสุนัขที่กำลังร้องไห้ไม่มีผิด
ฮอดกินส์รู้สึกผิดขึ้นมาทันที
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิสาวน้อยผู้น่ารักของฉัน
ยังไงเทศกาลก็จัดไปจนถึงช่วงค่ำอยู่แล้ว ตอนนั้นฉันก็คงไปร่วมงานกับเธอได้
เพราะฉันเองก็อยากให้ลูกจ้างของฉันเลิกเร็วเหมือนกัน จะได้ไปงานเทศกาลได้
แต่เราคงทำเสร็จไม่ทันช่วงจดหมายโบยบินหรอกนะ...ฉันคิดว่าแบบนั้น ไม่รู้สิ
ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นน่ะนะ”
“ฉันจะต้อง...อยู่ตัวคนเดียวจนถึงตอนนั้นหรือคะ?”
“เบเนดิกต์ก็...อยู่ในระหว่าง...การส่งจดหมายเหมือนกันด้วยสิ”
“ช่างเขาเถอะค่ะ ทำไมคุณต้องพูดถึงเขาด้วยล่ะคะ?” หน้าของเธอเริ่มแดง
แคทลียาพยายามจะล้มโต๊ะของฮอดกินส์
มันเป็นความแข็งแกร่งที่คิดไม่ถึงเลยทีเดียวเมื่อเห็นแขนเพรียว ๆ ของเธอ
ฮอดกินส์รีบจัดโต๊ะกลับมาที่เดิม
“ใจเย็นก่อนแคทลียา ฉันเข้าใจ แต่ดูเหมือนคนเดียวที่ว่างและอายุพอ ๆ กับเธอก็มีแต่...
ลักซ์ตัวน้อย ช่วยเอาตารางงานของลูกจ้างมาให้ฉันดูหน่อยสิ”
ถึงแม้ว่าเธอกำลังถือสายอยู่
แต่ลักซ์ก็ยื่นสมุดบันทึกที่บันทึกแผนงานของลูกจ้างทุกคนที่ลงทะเบียนเอาไว้ให้กับฮอดกินส์พร้อมกับคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงร่าเริง
ฮอดกินส์ยิ้ม
เพราะเขาพบคนที่ดูเหมือนจะเหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้มากที่สุด “อ่า วันนี้ไวโอเล็ตก็ได้หยุดงานเหมือนกันนะ”
“หา?” น้ำเสียงของแคทลียามีการแสดงการปฏิเสธเล็กน้อย
คฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยต้นไม้
พร้อมพรั่งด้วยดอกไม้หลากสีและพืชผลนานาชนิดในสนามหญ้าที่เป็นระเบียบและหรูหรา
คือคฤหาสน์ของตระกูลเอเวอร์การ์เดน ซึ่งมีแพทริก เอเวอร์การ์เดนเป็นผู้นำของตระกูล
และมันใหญ่โตเสียจนน่าจะเป็นปราสาทมากกว่าคฤหาสน์เสียอีก
คฤหาสน์มีกำแพงสีขาวสะอาดราวกับชอล์กและหลังคาสีฟ้าเข้ม
สถาปัตยกรรมของตัวคฤหาสน์นั้นมีความสง่างามและมีความสมดุลเท่ากันทั้งสองด้าน
ตั้งแต่ยอดหลังคาไปจนถึงหน้าต่างเลยทีเดียว
ในขณะที่คนสวนเห็นแคทลียากำลังเดินผ่านสนามหญ้า
เขาก็ตะโกนถาม “คุณคือคุณแคทลียา โบเดอแลร์ใช่ไหมครับ?”
เนื่องจากก่อนหน้านี้ฮอดกินส์ได้คุยกับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว คนสวนจึงเดินตามเธอมาตั้งแต่หน้าประตูไปจนถึงคฤหาสน์
และเมื่อเธอมาถึงชานหน้าคฤหาสน์ก็มีพ่อบ้านออกมาต้อนรับเธอเรียบร้อย
“เธอกำลังลงมาครับ”
ในขณะที่เธอกำลังนั่งรออยู่ในห้องรับแขกอย่างไม่มีอะไรทำ
ไม่นานหลังจากนั้นไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดนก็ปรากฏตัวขึ้นเหมือนกับที่พ่อบ้านพูดไว้ก่อนหน้านี้
“แคทลียา...?”
ไวโอเล็ตปรากฏตัวขึ้นโดยไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง
และมันก็คงไม่ใช่เพราะพรมที่ทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงของหญิงสาว
แต่คงเป็นเพราะตัวเธอเองเดินมาโดยไร้ซึ่งเสียงเลยมากกว่า ในวันนี้เธอสวมเดรสที่ต่างจากเดรสที่เธอสวมในฐานะออโต้เมมโมรี่ดอลล์
ผมของเธอมัดไว้หลวม ๆ และปล่อยลงมาข้างเดียวและประดับด้วยดอกไม้ คำว่า
“น่ารัก” คงจะเป็นคำที่เหมาะที่จะบรรยายตัวเธอในตอนนี้มากที่สุด
เธอสวมเดรสสีขาวที่มีลายดอกไม้สีฟ้า และดอกไม้บนเดรสของเธอนั้นไม่ได้ถูกออกแบบให้กระจัดกระจายอย่างไม่มีแบบแผน
แต่ได้ถูกออกแบบให้เหมือนกับมันกำลังร่วงหล่นลงมาจากไหล่ไปจนถึงหน้าอกของเธอ
สภาพอากาศในไลเดนชาฟต์ลิชยังคงอบอุ่นอยู่เช่นเคยถึงแม้ว่าฤดูร้อนจะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม
และมันก็เหมาะกับการที่จะใส่แค่เดรสแบบเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังสวมเสื้อคาร์ดิแดนสีน้ำเงินเข้มทับชุดเดรสของเธออยู่ดี
และบางทีอาจเป็นเพราะต้องการปิดแขนเทียมของเธอ และเช่นเคย
เข็มกลัดมรกตนั่นยังคงกลัดอยู่บนหน้าอกของเธอ
“พอเธอใส่เดรสแบบนี้ก็ดูเหมือน...เลดี้คนหนึ่งดีนะ น่ารักดีจัง”
ไวโอเล็ตเอ่ยตอบ
“มันเป็นสไตล์แบบที่แม่บุญธรรมของฉันชอบน่ะค่ะ แต่ที่สำคัญกว่านั้น
มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าคะ?” ราวกับดวงตาสีฟ้าของเธอกำลังพูดว่า
“เกิดอะไรขึ้นทำไมคุณถึงมาหาฉันถึงที่บ้าน?
รีบตอบโดยเร็วเลยค่ะ”
“อ่า ก็แบบว่า...”
แคทลียานึกถึงสิ่งที่ฮอดกินส์พูดกับเธอถึงวิธีการเกลี้ยกล่อมไว้โอเล็ต
หญิงสาวที่แสนลึกลับคนนี้ “ฟังให้ดีนะ
ถ้าเธออยากจะชวนไวโอเล็ตตัวน้อยไปด้วย...เธอต้องพูดว่า...มันเป็นภารกิจที่ฉันจะให้เธอทำ”
เขาดูมั่นใจมากเหลือเกินว่ามันจะได้ผล
ไวโอเล็ตมักจะเชื่อฟังและแสดงความบริสุทธิ์ใจอยู่เสมอในตอนที่เธอคุยกับฮอดกินส์
แต่พอเป็นคนอื่นแล้วเธอจะแสดงในท่าทีที่ต่างออกไป
––ผู้หญิงคนนี้แปลกจริง ๆ นะ
แคทลียารู้ว่าเธอเคยเป็นทหารมาก่อน
และเคยอยู่ในกองทัพของไลเดนชาฟต์ลิชเหมือนกับฮอดกินส์
คนที่แคทลียารักอย่างสุดหัวใจ
ท่ามกลางคนแปลก ๆ ทั้งหลายแหล่ที่ฮอดกินส์เลือกมาทำงานในบริษัทไปรษณีย์ซีเอชนั้น ไม่เคยมีใครเคยเป็นทหารเก่าอย่างเธอมาก่อนเลย
อย่างไรก็ตาม
ถึงจะไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของเธอ
แต่ไวโอเล็ตก็เป็นคนที่ดูลึกลับมากคนหนึ่ง
เธอไม่เคยยิ้มเลยสักครั้ง
และเธอก็มักจะพูดอย่างสุภาพอยู่เสมอ
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เคยประจบใครอีกเหมือนกัน
เธอมักจะสร้างระยะห่างระหว่างคนอื่น ๆ เสมอ
แต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่าเธอเหงาแต่อย่างใด เธอเป็นคนสวย
และมีหัวใจที่ด้านชาราวกับน้ำแข็ง แคทลียามองเธอเป็นแบบนั้น
“คือว่า…เรื่องนี้น่ะ...มีการคุยกันมาก่อนแล้วล่ะนะ”
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอกังวลว่าเธอจะพูดอะไรที่ทำให้เธอระแคะระคายหรือไม่
ไวโอเล็ตเคยฟังคำสั่งใครนอกจากฮอกกินส์หรือเปล่านะ? แล้วถ้าเธอฟัง
พวกเขาจะเคยมีช่วงเวลาที่สนุกสนานบ้างหรือเปล่านะ?
––แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีกว่าต้องไปงานเทศกาลคนเดียวละกัน
แคทลียาจึงเอ่ย
“ไวโอเล็ต เธอ…ต้องมากับฉัน
มันเป็นภารกิจที่ท่านประธานฮอดกินส์มอบให้เธอ
เธอต้องไปงานนิทรรศการการบินกับฉันจนกว่าท่านประธานจะมาร่วมงานได้”
หลังจากที่เธอพูดออกไปราวกับกำลังออกคำสั่งนั้นก็เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วอึดใจ
หญิงสาวที่มีใบหน้าเรียบเฉย เงียบขรึม ดูไม่เป็นมิตร
และสวยงามราวกับเจ้าหญิงน้ำแข็งกะพริบตาหลายครั้ง ขนตางอนยาวของเธอกระพือขึ้นลงและใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
“ภารกิจ...หรือคะ?”
“ใช่แล้ว ภารกิจ”
“มันเป็น…ภารกิจจริง ๆ หรือคะ?”
แคทลียาหลบดวงตาสีฟ้าใสของไวโอเล็ตที่สะท้อนภาพของเธออยู่ในแววตา
“ถ-ถ้า...เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องโกหก เธอไปถามท่านประธานดูเลยก็ได้”
“ไม่ได้หรอกค่ะ วันนี้เป็นวันปิดทำการ และเขาก็คงจะยุ่งอยู่
เพราะงั้นฉันจะไม่โทรไปหรอกค่ะ ฉันเข้าใจค่ะ ถ้าท่านประธานขอให้ฉันทำภารกิจนี้
ฉันก็จะทำค่ะ” นอกจากเรื่องที่เธอกังวลเรื่องวันปิดทำการแล้ว
เธอยังนึกถึงผู้อุปถัมภ์ของเธอด้วย ไม่เหมือนกับแคทลียาเลยสักนิด
พอเธอยินยอมข้อตกลงนั่นแคทลียาก็เริ่มรู้สึกอึดอัดใจ
เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังคุยกับเครื่องจักร นางฟ้า
หรือไม่ก็ภูตผี – อะไรสักอย่างที่เธอไม่สามารถเข้าถึงได้เลย
“เธอจะไปกับฉันจริง ๆ หรอ?”
“ค่ะ”
“จริง ๆ น่ะหรอ?”
“จริง ๆ ค่ะ”
“เธอ...ไม่เหมือนกับคนที่มีชีวิตเลยนะ
แต่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?”
“ค่ะ”
“ฉันแค่ถามไปงั้นแหละ แต่ว่าท่านประธานน่ะรู้สึกจะเอ็นดูเธอเป็นพิเศษเลยนะ
พวกเธอสองคนเป็นคนรักกันหรอ?”
“ไม่ใช่เลยค่ะ”
“แล้วเธอคิดยังไงกับเบเนดิกต์?”
“เบเนดิกต์หรือคะ? เขามีความสามารถในการต่อสู้ที่ดีเลยล่ะค่ะ
แล้วก็ยังมีความเป็นผู้นำเสียจนน่าตกใจเลยค่ะ”
มันเป็นคำถามที่ค่อนข้างหยาบคาย
แต่ไวโอเล็ตก็ยังตอบอย่างจริงจังโดยที่ไม่ได้เอะใจเลยสักนิด
แคทลียาเริ่มรู้สึกมีชีวิตชีวาเพราะคำตอบของเธอ
เธอจึงปล่อยให้ความรู้สึกสนุกครอบงำและเริ่มกระโดดไปมา “ฉันดีใจนะที่เราสนใจอะไรเหมือน ๆ กันน่ะ
งั้นถ้าทุกอย่างลงตัวแล้วก็ไปกันเถอะ! ไปบอกคนในบ้านซะสิว่าเธอจะออกไปข้างนอกน่ะ
แล้วก็นะไวโอเล็ต เอากระดาษ ซองจดหมาย
และก็ปากกาหมึกซึมไปด้วยล่ะ เพราะว่าเรากำลังจะไปร่วมงานจดหมายโบยบิน”
“’จดหมายโบยบิน’...ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด
มันเป็นหนึ่งในแผนการแสดงโดยกองทัพบกและกองทัพเรือใช่ไหมคะ?”
อย่างที่คาดไว้ไม่ผิด
เธอเป็นถึงทหารเก่า เธอย่อมจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
แคทลียาจึงถามว่าเธอเคยเข้าร่วมงานไหม
แต่ไวโอเล็ตกลับส่ายหัวเบา ๆ “ฉันไม่เคยดูค่ะ แต่เคยมีคนเล่าให้ฉันฟังไว้เป็นข้อมูลน่ะค่ะ…”
แล้วใครเป็นคนเล่าให้เธอฟังกันล่ะ?
ไวโอเล็ตไม่ได้บอกเกี่ยวกับเรื่องนี้
“แคทลียาคะ
ไม่มีอะไรที่จำเป็นนอกเหนือจากกระดาษและก็อุปกรณ์อื่น ๆ แล้วใช่ไหมคะ?
ท่านประธานฮอดกินส์ได้อนุญาตให้ฉันพกปืนไปด้วยหรือเปล่าคะ?”
“ไม่จำเป็นต้องพกอาวุธไปหรอกนะ อะไรของเธอน่ะ? มันน่ากลัวออกจะตายไป”
“ก็คุณพูดว่ามันเป็นภารกิจน่ะค่ะ ฉันก็เลย...”
ไวโอเล็ตไม่เข้าใจเรื่องต่าง ๆ และก็ทำให้แคทลียารู้สึกงุนงงตามไปด้วย
แต่โชคดีที่สุดท้ายทั้งสองคนก็ออกไปข้างนอกด้วยกันได้
พื้นที่ที่ใช้ในการซ้อมรบทางอากาศของกองทัพไลเดนชาฟต์ลิชตั้งอยู่ห่างจากเมืองไลเดนออกไป
เส้นทางในการไปไม่ได้ลำบากอะไร
และวิธีเดินทางที่ง่ายที่สุดจากตัวเมืองก็คือการนั่งรถม้าหรือรถบรรทุก
เมื่อมาถึงจุดหมาย ก็จะเห็นป่าที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้มากมาย
มันเป็นสถานที่ที่เขียวขจีเสียจนทำให้ผู้คนที่เคยอยู่แต่ในเมืองรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาชั่วครู่เลย
แต่ก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวทั้งนั้น
เมื่อข้ามถนนลาดยางที่เต็มไปด้วยป่าไม้ข้างทางโดยที่ต้องพึ่งป้ายบอกทางไปนั้น
พวกเขาก็จะมาถึงพื้นที่ในการซ้อมรบ ที่เป็นจุดหมายของพวกเขา
ปกติแล้วประชาชนทั่วไปจะถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ามาในบริเวณนี้
แต่จะได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้ในช่วงนิทรรศการการบิน
ร้านอาหารและเครื่องดื่มจะได้รับอนุญาตให้ขายได้ในบริเวณที่ใช้ในการออกกำลังกาย
สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในทางทหารถูกเปลี่ยนเป็นเทศกาลในชั่วพริบตา
ชายและหญิงทุกรุ่นทุกวัยรวมตัวกันอยู่ในบริเวณจัดงาน
ผู้คนเหล่านั้นเป็นทั้งครอบครัวของทหารในกองทัพบกและกองทัพเรือ ผู้ที่มาร่วมงานทั่วไป ผู้ที่คลั่งไคล้ในเครื่องบินตัวยงที่เดินทางมาจากที่ที่ห่างไกลเพื่อมาชมการแสดงโดยเฉพาะ
และคนอื่น ๆ อีกมากมาย คนในงานส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
หญิงสาวอย่างไวโอเล็ตและแคทลียาถือเป็นส่วนน้อยเลยล่ะ
“น่าทึ่งจัง มันใหญ่มากเลย
ปกติแล้วพวกเขาก็คงจะฝึกซ้อมกันที่นี่ด้วยสินะ...ดูสิ! เครื่องบินรบหรอ?
มันคือเครื่องบินรบหรอ?” แคทลียาไม่แม้แต่จะซ่อนความตกใจไว้เลยเมื่อเธอเห็นเครื่องบินรบเข้า
“มันคือเครื่องบินลาดตระเวนค่ะ ชื่อว่า Ptarmigan*”
ไวโอเล็ตได้บอกชื่อที่ถูกต้องของหน่วยรบนั่น “ทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือต่างก็มีกองทัพอากาศค่ะ
แต่ถ้ารู้ชื่อของเครื่องบิน
เราก็จะรู้ได้ทันทีเลยค่ะว่าเครื่องบินลำนี้เป็นของกองทัพไหน ชื่อของเครื่องบินกองทัพบกจะตั้งชื่อตามนกค่ะ
แต่รู้สึกว่ากองทัพเรือจะตั้งชื่อตามสัตว์น้ำนะคะ”
การที่หญิงสาวที่สวยงามและแสนลึกลับกำลังพูดถึงเรื่องเครื่องบินรบนั้นช่างเป็นภาพที่แปลกเหลือเกิน
เนื่องจากพื้นที่การซ้อมรบนั้นปกติจะมีแค่ทหารที่ใช้
มันจึงถูกกั้นออกเป็นหลายโซน พื้นที่ที่ใช้ในการจัดงานจึงเป็นกล่องสี่เหลี่ยม
นิทรรศการการบินจะจัดขึ้นตรงรอบนอกของงาน
ส่วนบริเวณโดยรอบเป็นโรงเก็บเครื่องบินซึ่งเต็มไปด้วยยานพาหนะมากมายของกองทัพบก สถานที่พักผ่อนหย่อนใจของทหาร สำนักงานใหญ่ของนิทรรศการการบิน
และหอควบคุมที่อยู่บนดาดฟ้าที่ถูกปิดไว้ด้วยผ้าคลุม
ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางมองเห็นข้างในได้เลย นอกจากนั้นสำนักงานใหญ่และหอควบคุมยังล้อมด้วยรั้ว
และใครก็ตามที่ไม่ใช่บุคลากรจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป
หนึ่งในไฮไลท์ของงานนิทรรศการบินซึ่งจะได้รับการถ่ายทอดสดจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกองทัพบกนั้นจะถูกจัดขึ้นในสำนักงานใหญ่
“ดูที่หน้างานสิครับ เครื่องบินรบงูทะเลหกลำกำลังจัดรูปแบบแถวเป็นแบบเพชรอยู่ครับ
ดูการจัดแถวของพวกเขาสิครับ”
เครื่องบินรบของกองทัพเรือบินผ่านพื้นที่ซ้อมรบและแสดงเทคนิคการบินที่ยอดเยี่ยม
ในขณะที่พวกเขาบินผ่านไปก็จะเหลือควันสีขาวไว้บนท้องฟ้าที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาบินผ่านมาแล้ว
“นักบินคนแรกคือจู๊ด แบรดเบิร์นจากไลเดน และคนที่สองคือเฮนรี่
การ์ดเนอร์จากเบรแกนด์!”
ผู้ชมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและส่งเสียงเชียร์
วงออเครสต้าเล่นดนตรีพร้อมกับคนพากย์ที่กำลังพากย์อย่างร้อนแรงเพื่อสร้างบรรยากาศในงาน
แคทลียาเปิดแผ่นพับที่เธอได้รับมาเพื่อดูเวลาที่เครื่องบินรบกำลังแสดงการสาธิตการบินอยู่
ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปตามตารางเวลาที่กำหนดไว้เป๊ะ
ซึ่งจดหมายโบยบินจะเริ่มหลังจากนี้
เธอจับแขนไวโอเล็ตที่สายตาของเธอได้ถูกเครื่องบินรบขโมยไปเรียบร้อย
“นี่ รู้สึกว่าอีกสักพักเลยล่ะจดหมายโบยบินถึงจะเริ่ม
ถ้าอย่างนั้นเราไปซื้อของกินแล้วก็มานั่งดูกันดีไหม
ดูเหมือนว่าการฝึกบินจะยังไม่หยุดง่าย ๆ น่ะนะ มีอะไรที่เธออยากกินไหมไวโอเล็ต?”
“เราได้รับอนุญาตให้ซื้ออาหารด้วยหรือคะ?
ถ้าอย่างนั้นเราก็ซื้ออะไรที่เก็บรักษาไว้ได้ดีกว่าซื้อสิ่งที่อร่อยดีไหมคะ?”
โดยที่ไม่ได้หันมามองแคทลียาเลยแม้แต่น้อย
ไวโอเล็ตขยับคอของเธอไปตามเครื่องบินรบที่อยู่บนท้องฟ้า
แคทลียาจึงยื่นนิ้วออกไปใกล้ ๆ ใบหน้าของเธอ และเมื่อไวโอเล็ตหัวหน้ามา
แก้มของเธอจึงโดนนิ้วจิ้ม และมันให้ความรู้สึกที่นุ่มหยุ่น
“ไวโอเล็ต มองฉันสิ”
ถึงแม้ว่าแขนที่แคทลียาจับไว้จะแข็ง
แต่แก้มของเธอช่างนุ่มเหลือเกิน
––เธอลึกลับ
และก็น่ากลัวหน่อย ๆ นะเนี่ย
อย่างไรก็ตาม
แคทลียาก็รู้สึกโล่งใจที่รู้ว่าหญิงสาวคนนี้ก็มีร่างกายบางส่วนที่นุ่มอยู่เหมือนกัน
“หยุดเถอะค่ะ”
เธอรู้สึกมีความสุขเมื่อเห็นปฏิกิริยาต่อต้านของไวโอเล็ต “แต่ฉันไม่อยากหยุดนี่นา
นี่น่ะเป็นการลงโทษจากฉันที่เธอไม่ยอมหันมามองกันดี ๆ นี่
ฉันว่าเธอน่ะกำลังเข้าใจผิดนะ ถึงนี่จะเป็นภารกิจก็เถอะ
แต่มันก็สนุกได้เหมือนกันนั่นแหละ เราไม่จำเป็นเก็บอาหารไว้หรอกนะ”
“’สนุก’ หรือคะ...?”
“เธอเองก็...มีช่วงที่ได้ใช้เวลาสนุก ๆ กับลักซ์เหมือนกันไม่ใช่หรอ?
อย่างเช่นดื่มชาอะไรแบบนั้นน่ะ”
“อ่า ค่ะ เราดื่มชาด้วยกัน”
“ใช่แล้ว เธอเองก็ต้องทำแบบนั้นกับฉันเหมือนกัน เราจะกิน คุย และก็ร่วมสนุกในงานเทศกาลด้วยกัน ดูเหมือนว่ากว่าจะถึงตอนนั้นทุกคนในบริษัทก็คงจะทำงานเสร็จไปบ้างแล้วล่ะ
เราค่อยไปร่วมสนุกกับพวกเขาทีหลังก็ได้”
“นี่เป็น…ภารกิจหรือเปล่าคะ?”
“ใช่ เป็นภารกิจที่เยี่ยมยอดไปเลยล่ะ สุดยอดของสุดยอดภารกิจเลย”
แคทลียาออกแรงดึงไวโอเล็ตผู้ที่ต้องการคำยืนยันไปยังร้านค้า
“ฉันอยากรู้รายละเอียดภารกิจที่ว่า ‘สนุก’ มากกว่านี้ค่ะ”
“เธอนี่เข้าใจยากจังนะ เธอไม่เคยใช้เวลา ๆ สนุกเลยใช่ไหมนี่? ไม่เป็นไรหรอก
เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะสอนเธอเอง”
ไวโอเล็ตมองไปยังมือของพวกเธอที่จับกันไว้ราวกับมันเป็นสิ่งที่แปลก
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้พยายามจะสะบัดมือออกแต่อย่างใด
และเดินตามแคทลียาไปราวกับลูกนกตัวหนึ่ง
ทั้งสองคนเข้าไปทุกร้านตั้งแต่ร้านแรกไปจนถึงร้านสุดท้าย
และซื้อเยอะเสียจนหอบด้วยแขนของพวกเธอไม่ไหว
พวกเธอมองไปยังเด็ก ๆ ที่กำลังวิ่งตามเครื่องบินรบด้วยสายตาอ่อนโยน โบกมือให้พวกผู้ชายที่เรียกพวกเธอเพราะพวกเธอไม่ได้มีผู้ชายมาด้วยอย่างแรง
และเอ่ยชมสื่อของกองทัพบกในระหว่างที่ปรบมือให้เครื่องบินรบหลายลำที่กำลังบินผ่านไป
พวกเธอยังได้เข้าไปเล่นในสนามเด็กเล่นอย่างเช่นม้าหมุนและปาลูกดอกที่เต็มไปด้วยเด็ก ๆ อีกด้วย
ถึงแม้แคทลียาจะรู้ว่าไวโอเล็ตเป็นคนที่เข้าใจอะไรยาก
แต่เธอก็หาวิธีที่จะทำให้อีกคนร่วมสนุกกับเธอได้เพราะความมีชีวิตชีวาและเป็นมิตรของเธอ
“แคทลียา รอก่อนค่ะแคทลียา”
“อันนี้อร่อยจัง อร่อยจริง ๆ นะ อ้าปากหน่อยสิ”
“ฉันไม่อยากกินค่ะ"
“มันเป็นภารกิจนะ เพราะฉะนั้นเธอต้องกิน”
“คุณคงไม่คิดว่าที่ฉันยอมทำแบบนี้ด้วยเป็นเพราะคุณพูดว่ามันเป็นภารกิจใช่ไหมคะ?”
“อ้ามม นี่ มันจะหล่นนะ ถ้ามันหล่นฉันจะโทษว่ามันเป็นความผิดของเธอ”
เธอดูอ่อนข้อลงอย่างน่าประหลาดเมื่อได้รับแรงกดดัน เพราะอย่างนั้นแคทลียาจึงคิดว่าเธอน่ารักเหมือนกับเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าเธอที่กำลังเดินเล่นอยู่
การที่ต้องทำตัวเหมือนพี่สาวเป็นอะไรที่ง่ายมากสำหรับแคทลียา
หลังจากที่เดินเล่นมาสักพัก
พวกเธอทั้งสองคนจึงตัดสินใจนั่งพัก ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงปลายหน้าร้อนแล้ว
แต่การที่ได้รับแสงอาทิตย์เป็นเวลานานก็มีแต่ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งกว่าเดิม
พวกเธอนั่งลงบนม้านั่งในสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่มีเต็นท์ขนาดใหญ่ไว้บังร่ม
ซึ่งช่วยให้ผู้ที่มานั่งพักรู้สึกเย็นขึ้นบ้าง
และพวกเธอก็ยังสามารถดูการฝึกซ้อมการบินจากตรงนี้ได้ด้วย
“ยังไม่เสร็จอีกหรอ?”
“เราไม่รู้ว่าใครจะได้รับจดหมายไปนี่คะ
แล้วก็มันจะต้องเป็นจดหมายที่ให้กำลังใจด้วย สิ่งนี้ถือเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของออโต้เมมโมรี่ดอลล์ค่ะ”
ไวโอเล็ตเขียนจดหมายสำหรับจดหมายโบยบิน
ซึ่งจดหมายทั้งหมดจะถูกรวบรวมให้กับนักบินและโปรยลงมาจากเครื่องบิน ซึ่งเครื่องบินใบพัดที่ทำหน้าที่นี้ก็ได้เริ่มรวบรวมจดหมายแล้ว
ผู้คนที่กำลังรวบรวมจดหมายนั้นกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน
ทั้งผู้หญิงและเด็กปีนขึ้นไปบนเครื่องบินลำนั้นได้ภายในครั้งเดียว
และอาจเป็นเพราะว่าตัวเครื่องบินมีสีเหลืองที่ส่องประกายตัดกับสีท้องฟ้าก็เป็นได้
เธอที่เขียนจดหมายเสร็จแล้วจึงไม่มีอะไรทำ
แคทลียาจึงยื่นจมูกเข้าไปใกล้ ๆ ไวโอเล็ต
ผู้ที่กำลังเขียนจดหมายและกำลังจะเขียนดีขึ้นเรื่อย ๆ
เธอพยายามเรียกร้องความสนใจ
แคทลียาเบ้ปาก “นี่
ไม่มีใครรู้หรอกนะว่าใครเป็นคนเขียนมันน่ะ เธออยากจะเขียนอะไรก็เขียนไปเถอะ"
“ฉันเขียนไม่ดีเลยค่ะ ฉันจะเขียนใหม่”
ไวโอเล็ตเก็บจดหมายของเธอที่เพิ่งเขียนไปไว้ในซองจดหมาย
และหยิบกระดาษขึ้นมาใหม่แต่ก็ยังไม่เริ่มเขียนอะไร “คุณเขียนว่าอะไรหรือคะแคทลียา?”
เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังถูกขอคำแนะนำ
แคทลียาจึงตอบพร้อมกับยืดอกเล็กน้อยซึ่งนั่นทำให้หน้าอกของเธอใหญ่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“’คุณโชคดีมากที่หยิบจดหมายของฉัน! สิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นกับคุณแน่นอน
ถึงมันไม่เกิดขึ้น คุณก็จะไม่ตายหรอกนะ’”
“คุณเขียนอย่างนั้นหรือคะ?”
“ช่าย”
มันช่างเป็นอะไรที่เหมือนกับแคทลียามากเหลือเกิน แต่อย่างไรก็ตาม
มันก็ดูเหมือนจะไม่ใช่คำแนะนำที่ดีกับไวโอเล็ตเท่าไหร่
“อะไรกัน~?
เธอไม่เขียนจดหมายอย่างอื่นนอกเหนือจากงานหรืออะไรแบบนั้นเลยหรอ?
มันเป็นเรื่องที่หนักใจมากสำหรับเธอจริง ๆ น่ะหรอ?”
“ฉันไม่ได้เขียนจดหมายส่วนตัวให้ใครสักคนมานานแล้วค่ะ
ฉันจะเขียนก็ต่อเมื่อได้รับงานมาเท่านั้น"
แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นแค่เพียงแวบเดียว
แต่แคทลียาก็จับสังเกตการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนสีหน้าของไวโอเล็ตได้
เธอเป็นคนที่ชอบขยับเข้าไปใกล้คนอื่น ๆ อยู่แล้ว
และในตอนนี้ระยะห่างระหว่างเธอกับไวโอเล็ตก็เริ่มลดลง “ที่เธอพูดน่าสนใจดีนะ ทำไมเธอถึงไม่ได้เขียนแล้วล่ะ? บอกฉันหน่อยสิ”
ไวโอเล็ตขยับตัวออกห่าง และแคทลียาก็ขยับเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม
ไวโอเล็ตขยับตัวอีกครั้ง
จนในที่สุดพวกเธอทั้งสองคนก็มาตัวติดกันอยู่ตรงปลายม้านั่ง
“ทำไมฉันต้องบอกล่ะคะ?”
“เพราะว่ามันน่าสนใจน่ะสิ ทำไมเธอถึงเลิกเขียนล่ะ? ให้ฉันลองเดาดูดีไหม?
คนที่เธอส่งไปให้เป็นผู้ชายใช่ไหม? และก็เป็นคนพิเศษด้วย
ผู้ชายที่เธอให้ความสนใจมากเป็นพิเศษที่ไม่ใช่ครอบครัวหรือพี่น้อง”
“คุณรู้เพศได้ยังไงคะ?” ไวโอเล็ตมองไปที่แคทลียาตรง ๆ เป็นครั้งแรก
“ลูกค้าของเธอกับฉันน่ะต่างกันนะ ลูกค้าของฉันส่วนใหญ่จะเป็น…หญิงสาวที่อยากจะเขียนจดหมายรักอะไรแบบนั้น หรือเรียกในอีกชื่อหนึ่งก็ ‘หญิงสาวที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก’ ล่ะมั้ง พวกเธอเป็นผู้หญิงที่อยากรู้ว่าควรจะทำยังไงดีที่จะได้จับมือกับผู้ชายคนนั้น
หรือไม่ก็พวกผู้ชายที่ไม่เข้าใจผู้หญิงและก็อยากให้พวกเธอหันมาสนใจเขา
ฉันน่ะมักจะถูกถามเรื่องเคล็ดลับพวกนี้อยู่บ่อย ๆ เลยล่ะ”
“แค่สะกิดไหล่เธอแล้วก็เรียกชื่อเธอก็พอแล้วไม่ใช่หรือคะ?”
“มันไม่ใช่เรื่องแค่นั้นหรอกนะ” แคทลียาดีดหน้าผากของไวโอเล็ตด้วยนิ้วของเธอ
“นี่ เขาเป็นคนแบบไหนหรอ? คนที่เธอชอบน่ะ”
“ฉัน...ไม่ได้...ชอบเขาหรอกนะคะ”
“ถ้างั้นเธอเกลียดเขาหรอ?”
“ไม่มี...ทางเลยค่ะ...”
แคทลียาไม่สามารถหุบยิ้มได้
––เธอควรทำยังไงดีล่ะเนี่ย?
ผู้หญิงคนนี้น่าแกล้งเกินไปแล้ว
ไวโอเล็ต
เอเวอร์การ์เดน – หญิงสาวที่ราวกับทั้งตัวทำมาจากเหล็ก ดูลึกลับ จริงจัง และเงียบขรึม หญิงสาวที่ไม่เคยมีความลังเลใด ๆ กำลังพ่ายแพ้เพียงเพราะประโยคเดียวจากปากของแคทลียา
“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากพวกนั้นแล้วหนิใช่ไหม?
เขาไม่ใช่แค่...คนธรรมดา ๆ หรอกใช่ไหม? ดูจากสีหน้าของเธอแล้วน่ะ อย่าประเมินฉันต่ำไปสิ
ฉันน่ะหาเงินได้เพราะการปรึกษาเรื่องความรักนี่แหละ”
ไวโอเล็ตอ้าปากพะงาบ ๆ ดวงตาล่อกแล่ก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังจนมุม
––เธอเหมือนกับตุ๊กตาที่เพิ่งถูกใส่หัวใจเข้าไปเลย
แปลกชะมัด
แคทลียาไม่รู้เรื่องในอดีตของไวโอเล็ตเลยสักอย่าง
ดังนั้นเธอจึงปฏิบัติต่อเธออย่างที่เธอเป็น – อย่างที่หญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งเป็น
“นี่ ฉันเรียกเธออยู่นะ”
เธอแค่หวังจะเข้ากับหญิงสาวคนนี้ได้ก็เท่านั้นเอง
“นี่ เขาเป็นคนแบบไหนหรอ?”
เธอทำตัวแปลกไปเพราะผลจากการกระทำของเธอต่อไวโอเล็ต
เธอเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องที่เธอพยายามจะเปิดออกนั้นเป็นอัญมณีเม็ดหนึ่ง
“เธอเรียกเขาว่าอะไรหรอ?”
แต่สิ่งที่อยู่ในหัวใจของไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เดนนั้น…
“’ผู้พัน’ ค่ะ”
...เทียบไม่ได้…
“’ผู้พัน’ งั้นหรอ? เท่ดีนี่
ถ้างั้นเขาก็เป็นทหารน่ะสิ แล้วเธอก็เป็นทหารเก่าเหมือนกันด้วยหนิ
แล้วผู้พันของเธออายุเท่าไหร่ล่ะ? เขาหน้าตาเป็นยังไง?”
...กับอัญมณีเลยสักนิด
“ฉันไม่เคยถามค่ะ แต่ตอนนี้เขาน่าจะอายุประมาณสามสิบแล้ว”
“ไม่มีทางน่า เขาแก่กว่าเธอเยอะเลยหนิ ถ้าอย่างนั้นเขาก็อายุห่างจากเธอ…เท่า ๆ กับท่านประธานเลยใช่ไหม?”
ไวโอเล็ตไม่ได้พูดถึงคน ๆ นั้นมานานมากแล้ว
“ผมของเขาเป็นสีดำค่ะ แต่คนละเฉดกับสีผมคุณ…”
เธอเคยพูดถึงเขามาก่อนว่าเขาเป็นคนสำคัญ แต่ไม่เคยพูดถึงเขาลึกไปมากกว่านั้น
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ทั้งเธอและฮอดกินส์รู้จักเป็นอย่างดี
แต่ทั้งสองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง
ไวโอเล็ตละสายตาจากกระดาษที่เธอยังไม่ได้เขียนอะไรลงไปและมองไปยังผู้คน
ที่ซึ่งมีทหารใส่เครื่องแบบสีม่วงเข้มเหมือนกับที่เธอเคยใส่
ถึงแม้ว่าสงครามจะจบลงแล้ว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
และเธอไม่ได้เป็นคนที่ไม่รู้จักแม้แต่การเขียนคำสักคำอีกแล้ว
แต่เสียงของฝูงชนและเสียงกระทบพื้นของรองเท้าทหารก็ทำให้เธอหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เธอเคยเดินในเมืองที่เต็มไปด้วยโคมไฟอีกครั้ง
เขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่เธอจะติดตามเขาตลอดไป
“เขามีดวงตาสีเขียวมรกตค่ะ...”
เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามที่สุดเท่าที่เธอเคยพบ
“เขารับฉันมาเลี้ยงและก็ใช้ฉันเป็นอาวุธค่ะ”
เธอเป็นเครื่องมือ และเขาเป็นเจ้านาย
“แต่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”
ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเครื่องมือของเขา แต่เธอก็ปกป้องเขาไม่ได้
“กิลเบิร์ตตายแล้ว” ประโยคของฮอดกินส์เล่นกรอซ้ำอยู่ในหัวของไวโอเล็ตซ้ำไปซ้ำมา
พร้อมกับความหนักหน่วงและความเจ็บปวดราวกับได้รับคำสาป
“ผู้พันของเธอเขาไปอยู่ที่อื่นที่ห่างไกลหรอ?”
“ค่ะ เขาอยู่ที่ที่ห่างไกล และเขา...ก็จะไม่กลับมาอีกแล้วค่ะ”
“เธอยังรอเขาอยู่ไหม?”
“ค่ะ”
เมื่อได้ยินคำถามของแคทลียา
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ ไวโอเล็ตก็นึกถึงวันนั้น…
“ฉันยังรออยู่”
…วันที่เธอไม่ได้ให้คำตอบแก่เขา และหนำซ้ำยังต่อต้านมันพร้อมกับกล่าวอ้างว่าเธอไม่เข้าใจ
“ฉันเคย…ถูกสั่งให้เลิกทำแบบนั้นหลายครั้งแล้วค่ะ
แต่ว่า ไม่ว่ายังไง ฉัน…ฉัน...”
“ฉันรักเธอ”
“ฉันรักเธอ ไวโอเล็ต”
“เธอ...ฟังอยู่หรือเปล่า?”
“ฉัน...ชอบเธอ”
“ไวโอเล็ต ‘รัก’...คือ...”
“’รัก’ คือ…การที่เธออยากที่จะปกป้องใครคนหนึ่งมากที่สุดในโลก”
“…พบว่าตัวฉัน…ยังรอผู้พันกลับมาอยู่เสมอค่ะ” สีหน้าของเธอเหมือนกับคนที่กำลังอดทนต่อความเจ็บปวด
ในตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่แคทลียาเห็นไวโอเล็ตกำลังแสดงสีหน้าที่เหมือนกับการเป็นมนุษย์มากที่สุด
มีความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆกำลังเกิดขึ้นในหญิงสาวที่กำลังประหม่าคนนั้น
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยเสียจนคนที่มีอารมณ์หลากหลายความรู้สึกคงจะไม่สังเกตเห็นมัน
––อ่า
แคทลียาเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
พวกเธอยังไม่สนิทใจกัน และก็ไม่ใช่เพื่อนกันด้วย
ไม่ใช่ว่าเธอรู้เรื่องของไวโอเล็ตหรอก แต่เธอแค่รู้สึกว่าเธอเข้าใจต่างหาก
––เขาคนนั้นได้พรากความสุขในหัวใจของเธอไปกับเขา
เพราะแบบนั้นเธอก็เลยไม่ค่อยแสดงอารมณ์หรือเปล่านะ? แคทลียาสันนิษฐาน
“เธอ...คงจะหลงรักคน ๆ นั้นไปแล้วล่ะ”
ไม่เหมือนกับที่แคทลียาคิดไว้
พุ่มไม้ที่เธอได้ทะลุทะลวงเข้าไปนั้นจริง ๆ แล้วมันเป็นแค่ทางเข้าสู่ป่าลึกต่างหาก
“’หลงรัก’ หรือคะ?”
หญิงสาวที่เดินเล่นไปทั่วป่าไม่รู้ตัวเลยว่าเธอกำลังหลงทางอยู่ –
เธอถูกผ้าปิดตาไว้และไม่รู้วิธีที่จะถอดมันออก
ถูกปล่อยให้อยู่ตัวคนเดียวและให้คลำหาทางออกเอง แคทลียาคิดว่ามันน่าเสียดาย เพราะในความเป็นจริงแล้วมันไม่ควรจะเป็นบทสนทนาที่พูดในสถานที่แบบนี้เลย
“’หลงรัก’ คืออะไร...หรือคะ?”
ตุ๊กตาที่ถูกพรากหัวใจของตนไป – เพื่อนร่วมงานที่เยาว์วัยกว่าเธอ –
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความหลงใหลคืออะไร
“ไม่สิ คงจะเป็นรักไปแล้วล่ะมั้ง”
“’ร-รัก’...?”
พื้นที่ในการซ้อมรบคับคั่งกว่าตอนที่พวกเธอมาถึงมาก
ฝูงชนที่มาถึงเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
แคทลียามองไปยังผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปมา
ทุกคนต่างมีอายุและเพศที่ต่างกัน
และทุกคนต่างก็เผชิญกับความยากลำบากที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“มีความรักหลายแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะแบบเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท พี่น้อง หรือมิตรภาพ แต่สำหรับเธอน่ะเป็นความรักแบบคนรักกัน”
ตัวอย่างของคู่รักมีอยู่เต็มไปหมด
เป็นเรื่องธรรมดาที่โลกใบนี้จะอบอวนไปด้วยความรัก
แต่ถึงอย่างนั้นไวโอเล็ตก็ยังปฏิเสธ
เธอส่ายหัวไปมา ขมวดคิ้ว และกัดริมฝีปาก “ฉัน...รัก...ไม่ได้ค่ะ”
เธอค้านหัวชนฝา
“แต่เธอตกหลุมรักไปแล้ว”
“ไม่ค่ะ ฉันรักไม่ได้ค่ะ ฉันไม่เข้าใจมันเลย”
ถ้ามองจากมุมมองของคนอื่นคงดูเหมือนพวกเธอกำลังทะเลาะกันอยู่
แต่พวกเธอไม่ได้ทะเลาะกันแต่อย่างใด แต่ก็ไม่มีใครยอมหยุดเถียงเลยสักคน
คนหนึ่งบอกว่ามันคือความรัก ส่วนอีกคนบอกว่าไม่ใช่ พวกเธอสองคนกำลังเถียงกันอยู่
ถึงจะเริ่มรู้สึกเคือง
แต่แคทลียาก็ไม่ยอมแพ้ “ถึงฉันจะ...ไม่แน่ใจนักหรอกว่ามันเป็นยังไง
ความรักน่ะเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนหรอก และฉันก็ไม่ได้เก่งเรื่องความรักนัก
แต่ฉันจะบอกได้ในทันทีว่ามันคือความรัก
คนที่มีความรักก็บอกได้เหมือนกันถ้าเขาเห็นเธอ ความรักของเธอเป็นแบบนั้น
ถึงมันจะเป็นความรู้สึกที่เธอมีให้กับคนที่เธอจะไม่ได้เห็นเขาอีกแล้วก็เถอะ...”
เมื่อคำว่า “คนที่เธอจะไม่ได้เห็นเขาอีกแล้ว” หลุดออกมาจากปากของแคทลียา ดวงตาสีฟ้าของไวโอเล็ตก็สั่นระริกด้วยความเศร้า
การที่ได้ยินคนอื่นพูดแบบนั้นทำให้เธอรู้สึกหน่วงมากกว่าได้ยินจากปากของตัวเอง
และการที่เธอแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมาก็ทำให้ใครบางคนสังเกตเห็นมันได้ “เห็นไหม เธอเล่นทำหน้าแบบนั้นแล้วมันจะเป็นไปไม่ได้ได้ยังไงล่ะ?”
“ไม่ค่ะ ฉันรักเขาไม่ได้ ฉัน...ทำ...ไม่ได้จริง ๆ...ผู้พัน...” ไวโอเล็ตยังคงปฏิเสธ ขนตาสีบลอนด์ยาวของเธอลู่ลง ไวโอเล็ตก้มหน้าลงจนชิดอก
เหมือนเคย
เข็มกลัดมรกตนั่นยังคงกลัดอยู่ตรงนั้น มันส่องแสงเปล่งประกาย และไม่เคยหม่นลงเลย
“ผู้พัน...”
ถึงแม้จะผ่านฤดูกาลต่าง ๆ มามากมาย
ทั้งรุ้งจันทราที่ทอประกายผ่านม่านน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ฝนแรกของฤดูร้อน ลมที่พัดใบไม้สีทองคำในฤดูใบไม้ร่วง
หรือน้ำที่แข็งตัวเป็นก้อนในคืนที่หนาวจัดในฤดูหนาว
แต่ตัวตนของผู้ชายที่มีนามว่ากิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียก็ยังอยู่ในใจของไวโอเล็ต
ไม่เคยจางลงเลย
“ผู้พันจากไปแล้วค่ะ” ประโยคที่เธอกระซิบออกมานั้นช่างโหดร้ายเหลือเกิน
เวลาได้หยุดเดินไปหนึ่งวินาที
ซึ่งถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่ได้เกิดขึ้นจริง
แต่ทั้งสองก็ไม่มีใครขยับตัวเลยราวกับว่าเวลาได้หยุดลงจริง ๆ การหายใจและการกะพริบตาของพวกเธอหยุดลงโดยแกนเวลาของโลกในเวลาหนึ่งวินาที
เมื่อเวลาเริ่มเดินอีกครั้ง
แคทลียาก็ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน “หะ หา?” เธอร้องเสียงแหลม
“เขาตายแล้วค่ะ ฉัน...ปกป้องเขาไม่ได้...ผู้พันก็เลย...ตาย
ถึงฉันจะเป็นเครื่องมือ เป็นโล่ และก็ดาบของเขาก็ตาม”
เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงบนแผ่นหลังของแคทลียา
––หัวใจของเธอถูกไม่ได้ถูกขโมยไปโดยคนที่อยู่ที่อื่น...แต่โดยคนที่ตายไปแล้วอย่างนั้นหรอ?
“นั่นเป็นมุกใช่ไหมน่ะ?” แคทลียาถาม
แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากไวโอเล็ต เธอฝืนยิ้มออกมาไม่ได้เลย
จึงได้แค่หัวเราะแห้ง ๆ ออกมาแทน
หน้าของเธอกระตุกเมื่อรู้ตัวว่าเธอได้พูดสิ่งที่ไม่เหมาะสมออกไป
ลมหายใจของเธอติดขัด และเธอก็กลืนน้ำลายได้อย่างยากลำบาก “ไวโอเล็ต
คน ๆ นี้...ตายในมหาสงครามหรอ?”
“ค่ะ”
“จริง ๆ หรอ?”
“อย่างที่ฉันบอกค่ะ เข็มกลัดชิ้นนี้...เป็นของที่ระลึกที่ฉันได้รับมาค่ะ”
แคทลียาเห็นวัตถุชิ้นนั้นแวววาวอยู่บนหน้าอกของเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน
เธอเห็นไวโอเล็ตจับมันอยู่เสมอด้วยนิ้วเทียมของเธอตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้
ในตอนแรกเธอคิดว่ามันเป็นเครื่องรางหรืออะไรสักอย่าง
มีอะไรหลายอย่างที่เธออยากจะพูดเพื่อให้บทสนทนาต่อเนื่อง
แต่เพราะเธอเป็นคนที่พูดไม่คิดเท่าไหร่นักจึงยังไม่พูดออกมา
อะไรบางอย่างในตัวเธอบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง
“แต่เธอ...ไม่เชื่อ...หรอก...ใช่ไหม?”
ความตื่นเต้นที่คล้ายกับลางสังหรณ์คืบคลานไปทั่วทั้งร่างของแคทลียา
สำหรับไวโอเล็ตแล้ว การตอบคำถามนั้นอาจจะเป็นข้อห้าม
“นี่
ตอบตามจริงนะ”
ในขณะที่เธอยังคงเงียบ
สีหน้าของเธอที่แคทลียาเคยมองว่ามันช่างเรียบเฉย ในตอนนี้กลับสะท้อนออกมาถึงความโดดเดี่ยว
“ฉัน...”
ความไม่พอใจที่เธอตอบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ นั้นคืบคลานไปทั่วทั้งกายของแคทลียา
และเธอก็อยากจะให้อีกคนพูดมันออกมาจนแทบทนไม่ไหว “เธอ...ไม่เชื่อหรอกใช่ไหม?
เธอบอกว่า...เธอยังรอเขาอยู่นี่”
เธออยากจะรู้คำตอบเสียเหลือเกิน
“แต่ท่านประธานฮอดกินส์บอกว่า––”
“ไม่เป็นไรหรอก
บอกสิ่งที่เธอคิดมาเถอะ”
“ค่ะ...”
ราวกับอาชญากรที่กำลังยอมรับความผิด ไวโอเล็ตสารภาพบาปของเธอ “ฉันเชื่อว่า...ผู้พัน...ยังมีชีวิตอยู่ค่ะ”
เธอคิดแบบนั้นมานานแค่ไหนนะ?
บางทีอาจจะตั้งแต่ที่เธอรู้ว่าเขาตายแล้วก็ได้ ถึงแม้ว่าเธอจะอาลัยในความปวดร้าว
ถึงแม้ว่าเธอจะเลิกหวังเพื่อที่เธอจะได้มีสติในโลกแห่งความเป็นจริง
แต่เธอก็ยังปฏิเสธมันมาอยู่เรื่อยไป และบอกกับตัวเธอเองว่าเขายังมีชีวิตอยู่
“เธอ...
เธอ...”
“เธอทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย?”
แคทลียาอยากจะกรีดร้องออกมา
การที่ยังโหยหาความรักจากคนที่อยู่ห่างไกลกับความรักแบบหัวปักหัวปำถึงคนที่ได้จากไปแล้วนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
เช่นเดียวกับไวโอเล็ต และแคทลียา ระยะทางอาจจะเอาชนะได้ด้วยความพยายาม
แต่กับความตายนั้นมันไม่มีทางหวนคืนกลับมาได้เลย
“ที่เธอพูดน่ะ...มันเหมือนกับการที่เธออยากได้แขนของเธอกลับมาเลยนะ!”
การที่เธอใช้เวลาอย่างไร้เหตุผลในการทำอะไรสักอย่างที่ไร้ประโยชน์
และไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมารักเธอ
และเชื่อว่าคนที่ตายไปแล้วยังมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์สิ้นดี
และแคทลียาก็อยากจะสั่งสอนเธอให้หยุดมันเดี๋ยวนี้ ยังมีสิ่งต่าง ๆ ในโลกใบนี้ที่สามารถทดแทนแขนของเธอและผู้ชายที่เธอรักได้เยอะแยะ
“เธอวางแผนที่จะมีชีวิตอยู่แบบนี้ตลอดไปงั้นหรอ?
เธอ ไวโอเล็ต...”
“ฉันรู้ตัวดีค่ะ”
ไวโอเล็ตตอบทันที “ฉันรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร
มันไม่มีความหมายอะไรเลย และก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้เลย แต่ถ้าไม่มีผู้พัน
ฉันก็เป็นฉันคนเดิมค่ะ ฉันคนที่ไร้ความหมายคนเดิม”
“ถ้าเป็นคนอื่นจะไม่ดีกว่าเหรอ?
ถึงตอนนี้มันจะยากไปหน่อย
แต่วันหนึ่งเขาก็จะกลายเป็นแค่ความทรงจำของเธอเท่านั้นแหละ
เพราะฉะนั้นยังมีเวลาที่จะ...”
“ไม่ค่ะ...ไม่”
ราวกับเธอกำลังประกาศสงครามกับทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ “ผู้พันกิลเบิร์ต โบเกนวิลเลียเป็นคน ๆ เดียวที่ฉันจะรักค่ะ”
แคทลียาตัวแข็งทื่อพร้อมกับอ้าปากค้าง
บางทีอาจเป็นเพราะหน่วยรบที่ได้รับความนิยมกำลังบินพาดผ่านท้องฟ้า
และเสียงเชียร์รอบข้างก็ดังขึ้น
มันเหมือนกับว่าไวโอเล็ตยังอยู่ตรงนั้น
แต่ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วยเหมือนกัน
นั่นคือสิ่งที่ดวงตาสีฟ้าที่แกร่งกล้าของเธอแสดงถึงความรู้สึกที่แปลกประหลาดออกมา
––ผู้หญิงคนนี้...มันอะไรกัน?
เธอทำให้คนอื่นรู้สึกเศร้าตามได้ยังไงเนี่ย?
อย่างกับเธอกำลังแหวกอกพวกเขายังไงยังงั้นล่ะ
ทัศนคติของเธอต่างจากแคทลียามากเกินไป
ความรู้สึกที่ไม่มีที่มากำลังวนเวียนอยู่ในอกของเธอด้วยความปวดร้าว
“ฉันเข้าใจค่ะว่าการกระทำของฉันทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัด”
เธอต้องใช้ชีวิตยังไงนะกับการที่เธอยังดื้อรั้นอยู่แบบนี้เนี่ย?
“อย่าสนใจฉันเลยค่ะ
ให้ฉัน...เป็นอย่างนี้ต่อไปเถอะค่ะ”
“เธอนี่...โง่เง่ามากเลยรู้ตัวไหม?”
ถึงแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามันไร้ประโยชน์
และถูกตีตราว่าไม่มีเหตุผลมานับหลายปี แต่เธอก็ยังเลือกที่จะเชื่อแบบนั้น
ถึงแม้จะมีคนบอกเธอว่า “มันไม่มีประโยชน์หรอก
เลิกซะเถอะนะ” เธอก็จะปิดหูของเธอ
“ค่ะ
ฉันเป็นคนโง่...และก็งั่งด้วยค่ะ”
เธอปรารถนาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
แคทลียาตบหน้าผากของเธอด้วยมือข้างเดียวและส่งเสียงคำรามออกมาราวกับสุนัข
การที่คิดเยอะเกินไปทำให้รู้สึกโมโหและหัวของเธอก็เริ่มร้าวแล้ว
และตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนจะป่วยมากกว่าตอนที่ทำงานเป็นออโต้เมมโมรี่ดอลล์เสียอีก
––นี่ไม่ดีเลย
ไวโอเล็ตยังคงปรารถนาอยู่เสมอมา
––คนที่ฉลาดน้อยกว่าเธอก็ดูออก
“ฉันอยากเจอคุณอีก
ฉันอยากเจอคุณอีกครั้ง”
––มันเหมือนกับการขู่ว่าจะผลักเด็กที่กำลังร้องไห้คนหนึ่งให้ตกจากหน้าผาเลย
เธอสวดอ้อนวอนพร้อมกับจับเข็มกลัดมรกตแน่น
––เธอจะโทษไวโอเล็ตไม่ได้
เธอจะโทษคนที่โง่เง่าอย่างไวโอเล็ต
เอเวอร์การ์เดนไม่ได้
ราวกับกำลังอาเจียนยาพิษออกมา
แคทลียาเอ่ยด้วยน้ำเสียงขมขื่น “เข้าใจล่ะ
ฉันเข้าใจแล้ว เธอ...เป็นยัยโง่จริง ๆ
และก็...ฉันคิดว่า...มันคงจะดีกว่าถ้าเธอตัดใจนะ...ฉันพูดจริง ๆ แต่ฉันก็คิดว่า...เรื่องแบบนี้...มันคงเป็นเรื่องที่...ช่วยไม่ได้น่ะนะ”
แววตาในดวงตาสีฟ้านั่นเปลี่ยนไป “จริงหรือคะ?
แต่ท่านประธานฮอดกินส์บอกให้ฉันเลิกคิดแบบนี้นะคะ”
เธอตบไหล่ของไวโอเล็ตจนเกิดเสียงปุปุ
จริง ๆ แล้วแคทลียาอยากจะเข้าข้างฮอดกินส์ แต่เธอเองก็ยังอยากเป็นเพื่อนกับไวโอเล็ตอยู่ดี
“เพราะว่ารักน่ะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการมีชีวิตอยู่ยังไงล่ะ
ความรักน่ะไม่ใช่สัญลักษณ์ของความสุขหรอกหรือ?
ก็เหมือนกับคู่รักที่แต่งงานกันแล้วคนใดคนหนึ่งตายไป…อีกคนหนึ่งก็มีชีวิตอยู่โดยพึ่งความทรงจำที่มีต่ออีกคน
อะไรแบบนั้นนั่นแหละ
มันไม่จำเป็นต้องเป็นความรักแบบโรแมนติกหรอก...แต่ความรักที่เธอได้รับมาน่ะจะไม่มีวันหายไป
ความรักของพ่อแม่ก็ด้วยเหมือนกัน
ฉัน...หนีออกมาจากบ้านและก็ถูกท่านประธานฮอดกินส์รับเข้ามาทำงาน
มี...หลายครั้งเหมือนกันที่ฉันรู้สึกเหงาเพราะฉันไม่รู้จักใครที่นี่เลย ฉันมีพ่อแม่ที่ไม่ค่อยดีน่ะ
แต่ในตอนที่พวกเขาเคยลูบหัวฉัน...สิ่งเหล่านั้น...ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกอ้างว้างฉันก็จะจำมันได้เสมอ”
ไวโอเล็ตผู้ที่ซึ่งไม่รู้เรื่องของแคทลียาเลยตอบว่า
“อย่างนั้นหรือคะ?”
ในที่สุดทั้งสองคนก็หันมาพูดซึ่ง ๆ หน้ากัน ไม่มีบทสนทนาจากปากของคน ๆ เดียวอีกต่อไป
“ถ้าอย่างนั้นรัก...ก็เป็นเรื่องที่...จำเป็นอย่างนั้นหรือคะ?”
“ใช่แล้ว แล้วเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรล่ะ?
จนถึงตอนนี้เธอก็มีช่วงชีวิตที่เธอได้รับการปฏิบัติอย่างใจดี
ไม่ว่าจะสิ่งของหรือคำพูด เธอก็มีความสุขที่ได้รับมันใช่ไหม? มันเป็นเพราะว่าพวกเขา...อยู่ในตัวเธอ...เธอถึงมีชีวิตอยู่ยังไงล่ะ”
“ตะ...แต่...” ไวโอเล็ตตอบอ้ำอึ้ง “ถึงฉันไม่มีอะไรเลย ฉัน...ก็ต้องมีชีวิตอยู่ดีค่ะ”
แคทลียาเอียงหัว
เธอไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั่นเลย
“แม้แต่ตอนนี้ ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ ฉันลืมผู้พันไม่ได้ เพราะแบบนั้น...มันถึงไม่ใช่ความรักค่ะ”
แคทลียาไม่รู้ว่าไวโอเล็ตเคยใช้ชีวิตอยู่บนเกาะที่โดดเดี่ยว
เธอจึงสรุปเอาเองว่าที่เธอพูดคงหมายถึงช่วงเวลาก่อนที่เธอจะได้พบผู้พัน
“นี่ ไวโอเล็ต”
“เรื่องของฉัน...มันไม่ได้เป็นแบบนั้นค่ะ ฉันเป็นเครื่องมือ
เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรก...”
“ฟังฉันนะ ‘เครื่องมือ’
เนี่ยนะ...เธอพูดอะไรอยู่น่ะ? มันไม่ใช่เพราะว่าเธอ...เป็นทหารเก่าหรอกหรือ?
เธอหมายถึงว่าพวกทหารเป็นเครื่องมืออย่างนั้นหรอ?
นั่นไม่หยาบคาย...กับคนที่ปกป้องประเทศนี้ไปหน่อยหรอ?”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันเป็น...เครื่องมือมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ
เพราะงั้นถ้าฉันไม่ใช่...เครื่องมือ...”
บางทีอาจเป็นเพราะไวโอเล็ตไม่ได้อธิบายตัวเธออย่างชัดเจน
แคทลียาจึงจับนิ้วกลของเธอแน่น
“ฉันก็คงไม่เป็นที่ต้องการของผู้พันค่ะ”
เมื่อเธอพูดออกมาแบบนั้น
ปัญหาจึงไม่สามารถคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย
“ฉันไม่ใช่คนค่ะ ฉันไม่มีอะไรดีเลย...ถ้าฉันไม่ใช่เครื่องมือ...ฉันคงจะต่อสู้ไม่ได้
ฉันคงไม่มีสิทธิ์ได้อยู่เคียงข้างผู้พัน เพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างผู้พัน
และเป็นเครื่องมือของใครสักคน เรื่องแบบนั้น...จะต้องถูกยับยั้งค่ะ”
แคทลียายังคงเอียงหัวไปมา
และเอียงตัวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหมือนเธอกำลังจะลื่นตกจากม้านั่ง “เดี๋ยวนะ ฉันขอนั่งตรง ๆ ก่อน” เธอยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อจัดตำแหน่งของเธอ
“ค่ะ” ไวโอเล็ตยินยอมอย่างเชื่อฟัง
เธอรอให้แคทลียานั่งให้ตรงก่อน
“ผู้พันของเธอตายแล้ว”
“ค่ะ”
“แต่เธอชอบเขาและก็รอเขามาตลอด เธอเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่”
“ฉันเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ค่ะ”
“ฉันคิดว่ามันคือความรักนะ และเธอก็กำลังตกหลุมรักด้วยเหมือนกัน
แต่เธอบอกว่าไม่ใช่...เพราะว่าเธอคิดว่าตัวเองคงจะไร้ประโยชน์สำหรับผู้พันถ้าเธอคิดแบบนั้น”
“ค่ะ”
“เธอบังคับตัวเองให้ไม่รู้จักรัก...และต้องการจะเป็นเครื่องมือ
เพราะว่ามันเป็นทางเดียวที่เธอจะได้อยู่ข้างเขา
ฉันไม่เข้าใจ...ที่เธอพูดเลยไวโอเล็ต...คือฉันหมายถึง
ไม่มีเหตุผลที่เธอต้องสู้อีกแล้วหนิใช่ไหม? ผู้พันจากไปแล้ว
และเธอก็ไม่ได้เป็นทหารอีกแล้ว”
“ค่ะ” บางทีอาจเป็นเพราะความจริงนั้นไม่ถูกใจไวโอเล็ต
เธอจึงตอบเสียงเบา
“เธอออกมาจากกองทัพแล้ว และตอนนี้เธอก็ทำงานในบริษัทของเราใช่ไหม?
เธอเข้าใจไหมว่าไอ้สิ่งที่เธอคิดเพื่อที่จะปฏิเสธว่าเธอไม่ต้องการรักและก็คิดว่ามันไม่ใช่รักน่ะมันไม่มีอยู่แล้ว”
“ฉัน...รู้ตัว...ดีค่ะ”
หลังจากนั้นไวโอเล็ตก็เงียบไป
เธอกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่พูดอยู่
เธอละสายตาจากนิ้วของแคทลียาที่จับนิ้วของเธอไว้อยู่
และเงยหน้าขึ้นหลังจากก้มหน้าลงเสียนาน
และท้ายที่สุดดูเหมือนเธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่ทันใดนั้นดวงตาของไวโอเล็ตก็เบิกกว้าง
เธอเห็นอะไรบางอย่าง
สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าที่เหมือนอัญมณีขนาดใหญ่ของเธอนั้นเป็นชายร่างสูง
ชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและหายไปท่ามกลางฝูงชน
มือของเธอเอื้อมออกไปหาเขาโดยอัตโนมัติ
“...พัน” ไวโอเล็ตพูดอะไรบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเป็นอย่างมาก
ริมฝีปากของเธอสั่นระริก
ชายคนนั้นมีผมสีดำเป็นมันวาว
“นี่ ฉันไม่เข้าใจหรอกนะถ้าเธอยังเงียบอยู่แบบนี้น่ะ
แล้วทำไมเธอถึงเรียกตัวเองว่าเป็นอาวุธล่ะ?” แคทลียาเหนื่อยที่จะรอให้ใครอีกคนพูด
เธอจึงทำลายความเงียบและเรียกเธอ
และเมื่อเธอทำแบบนั้น
ไวโอเล็ตก็ลุกขึ้นทันที แคทลียารู้สึกตกใจที่เห็นสีหน้าจริงจังของเธอ
“ทะ-โทษที เธอโกรธหรอ?” เธอถามด้วยความกลัว
และไวโอเล็ตก็เอ่ยตอบว่า “เปล่าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น...” ไวโอเล็ตเดินถอยห่างจากม้านั่งไปหนึ่งก้าว สองก้าว และทำท่าทีราวกับว่าหัวใจของเธอไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย
และมองไปทางฝูงชน
“ไวโอเล็ต?”
เมื่อเธอถูกเรียกชื่อ ไวโอเล็ตก็หันหลังให้แคทลียา “ถ้าคน ๆ นั้นยังมีชีวิตอยู่
ฉันก็จะอยู่เพื่อเป็นอาวุธของเขาอย่างถูกต้องค่ะ…ถ้าเวลาที่เขาต้องการฉันมาถึง
แคทลียา ฉันขอตัวสักประเดี๋ยวนะคะ” สีหน้าของเธอไม่ได้ว่างเปล่าราวกับผีเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป
“หา เดี๋ยวสิ...! เธอจะไปไหนน่ะ?!”
“ฉันจะไปตามเขาค่ะ ฉันจะกลับมาทำภารกิจให้เสร็จแน่นอนค่ะ”
“ตามใครกัน!?”
ใครกันที่เธอพยายามไล่ตามเขาอยู่?
ถึงขนาดต้องทิ้งแคทลียาไว้แบบนี้น่ะนะ
แคทลียาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอลุกขึ้นของและจดหมายของพวกเธอก็ร่วงหล่นลงมาและกลิ้งมาหยุดที่เท้าของเธอ
“ผู้...ใช้งานคนเก่าของฉันค่ะ” หลังจากที่พูดออกมาแบบนั้น
ไวโอเล็ตก็หายตัวไปในฝูงชนที่คับคั่ง
แคทลียายังคงยืนอยู่ตรงนั้นและตะลึงงัน
“หา ผู้พันน่ะหรอ?” ในที่สุดเธอก็รู้ว่าเขาคือใคร “นี่ เดี๋ยวก่อนสิไวโอเล็ต”
อย่างไรก็ตาม มันคงจะสายไปแล้ว เธอได้หายไปแล้ว
และเนื่องจากว่าเธอเป็นคนใจเย็นและบอบบาง
เท้าของเธอจึงดูเหมือนเคลื่อนไหวไม่เร็วนัก แต่เธอก็ยังคงว่องไวเพราะเธอเป็นทหาร
“ฉันอยู่ตัวคนเดียวเลยเนี่ยรู้ไหม” แคทลียาคร่ำครวญ
ถึงแม้เธอจะรู้สึกตกใจที่เธอต้องอยู่ตัวคนเดียว
แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากก้มลงเก็บจดหมายและของที่ร่วงหล่นลงไปและกระจัดกระจาย
– ทั้งปากกาหมึกซึม กระดาษ ซองจดหมาย จดหมายที่เธอเขียน
และ...
“อ่า” เธอเจอจดหมายฉบับหนึ่งที่นอนอยู่บนพื้น
และมันไม่ใช่ของเธอ
มันเป็นจดหมายที่ไวโอเล็ตยังเขียนไม่เสร็จ
เธอใส่มันไว้ในซองจดหมายและวางไว้บนตักของเธอ
มันเป็นฉบับที่เธอบอกว่ามันใช้ไม่ได้และหยุดเขียน
แคทลียาไม่ได้สังเกตเลยว่าไวโอเล็ตเขียนเรื่องอะไร
แต่ในตอนที่เธอหยิบมันขึ้นมา เธอคิดว่ามันเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์เป็นอย่างมาก
เพราะว่าออโต้เมมโมรี่ดอลล์นั้นมักใช้กระดาษและซองจดหมายเพื่อเขียนในนามของผู้อื่น
และสิ่งของเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่บริษัทผลิตขึ้นมา
แน่นอนว่าพวกเขาต้องเตรียมอุปกรณ์ที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าของเขา
แต่สิ่งที่ไวโอเล็ตนำมาจากบ้านนั้นมีคุณภาพที่ต่างจากของบริษัทลิบลับ
กระดาษสีขาวที่มีเนื้อสัมผัสดีล้อมรอบด้วยรูปวาดดอกกุหลาบสีเงิน
ดูเหมือนว่าเธอจะซื้อมันด้วยเงินเก็บของเธอ
––ถึงแม้ว่าเธอจะเคยบอกว่าเธอไม่ได้เขียนจดหมายส่วนตัวอีกแล้วก็ตาม…
ผู้ที่เขียนจดหมายเป็นประจำย่อมรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่า การเลือกกระดาษและซองจดหมายที่ดูแพงเช่นนี้ก็บอกได้เลยว่าเจ้าของจดหมายให้ความเคารพกับผู้ที่ได้รับจดหมายมากขนาดไหน พวกมันอาจจะไม่ใช่ของแพงอะไร แต่กระดาษและซองจดหมายนี้เพียงแค่มองก็ให้ความรู้สึกนั้นเป็นอย่างดี
“นี่น่ะเป็นบทลงโทษที่เธอทิ้งฉันไว้คนเดียว” ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แคทลียาจึงตัดสินใจเปิดอ่านมัน
หลังจากนั้น
เมื่อไวโอเล็ตกลับมา แคทลียาก็จะล้อเธอเรื่องนี้
เนื่องจากไวโอเล็ตบอกว่าเธอเขียนได้ไม่เหมาะนัก คนที่อ่านจึงอาจเข้าใจผิดได้ว่ามันคงน่าเบื่อมาก
นั่นคือสิ่งที่แคทลียาคิดระหว่างอ่านจดหมาย
“ยัยซื่อบื้อเอ๊ย”
เนื้อหาที่อยู่ข้างในไม่ได้เป็นอย่างที่แคทลียาคิดเลยสักนิด
เธออ่านจบด้วยความรวดเร็วเพราะมันมีเพียงแค่แผ่นเดียว
เธอค่อยๆไล่นิ้วไปตามลายมือของไวโอเล็ตอย่างช้า ๆ
––เธอสงสัยมาตลอด
ว่าทำไม...เธอถึง...ต้องเขียนอะไรแบบนี้ด้วย...?
สิ่งที่เธอเขียนนั้นไม่เหมือนกับที่แคทลียาเขียนเลย
เธอเพิ่งจะได้เริ่มคุยกับใครจริง ๆ จัง ๆ ก็วันนี้เอง
ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจของเธอนั้นย่อมมีข้อจำกัด
––...ด้วยคำพูด...ที่เหมือนจะพรากหัวใจของผู้คนออกมาแบบนี้น่ะ
อย่างไรก็ตาม
ดวงตาสีอะมีทีสของเธอก็เริ่มเอ่อล้นด้วยน้ำตา
เธอจินตนาการแทบไม่ออกเลยว่าไวโอเล็ตรู้สึกอย่างไรในตอนที่พวกเธอคุยกัน หรือความทรงจำแบบไหนที่เธอต้องทนอยู่กับมัน
‘คุณสบายดีไหมคะ?
มีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหม? ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะ? มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?
ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวได้ผ่านพ้นไป
และวนอยู่เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปตลอดกาล แต่ไม่มีฤดูกาลไหนที่คุณอยู่ที่นี่เลย
เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันตื่น นอนหลับ หรือรู้สึกหม่นหมอง
ฉันพบว่าตัวฉันจะมองหาคุณตลอดเลยค่ะ ฉันฝันถึงคุณไม่บ่อยนัก
เพราะแบบนั้นฉันถึงรู้สึกว่าฉันอาจจะลืมหน้าตาของคุณไปแล้ว ฉันกรอเทปความทรงจำของคุณในหัวของฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คุณไม่อยู่แล้วจริง ๆ หรือคะ? ฉันเดินทางไปทั่วโลก และไปยังหลายประเทศ
แต่คุณก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย ฉันไม่เจอคุณเลย แต่ฉันก็ยังตามหาคุณ
ถึงจะมีคนบอกกับฉันว่าคุณจากไปแล้ว แต่ฉันก็ยังตามหาคุณ
ฉันทำตามคำสั่งของคุณเป็นอย่างดีค่ะ
ฉันมีชีวิตอยู่ ฉันอยู่ อยู่ และก็อยู่ต่อไป
โลกหลังความตายมีอะไรอยู่งั้นหรือคะ? ถึงฉันจะไม่รู้
แต่ฉันก็ยังจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงแบบนั้น––’
ไวโอเล็ตจับแขนของชายที่มีผมสีดำ “รอเดี๋ยวค่ะ”
ผู้ชายคนนั้นหันกลับมา และมีดวงตาสีมรกตอย่างที่ตระกูลโบเกนวิลเลียมี
ความคิดเห็น