{short fic}I’m not your brother.. [thor x loki]
แม้ใจจะต้องการที่จะเคียงข้าง'เขา'สักเพียงไร แม้ใจจะคิดว่า'เขา'ยังคงเป็นพี่ชายคนสำคัญ หากแต่ความจริงนั้น ..ไม่อาจเป็นได้
ผู้เข้าชมรวม
1,218
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Thor x Loki
I’m not your brother..
กริ๊ง ..กริ๊ง
เสียงโซ่ซึ่งเกิดจากการสั่นไหวยามเมื่อผู้ถูกพันธนาการขยับตัวดังก้องไปทั่วท้องพระโรง ทั้งด้านข้างและด้านหลังต่างก็มีทหารคอยคุมเข้มเพื่อป้องกันการขัดขืนหรือหลบหนีของนักโทษ
กริ๊ง ..กริ๊ง
ไม่มีแม้สักคนที่จะส่งเสียงใดๆออกมา จะมีก็แต่เสียงโซ่ซึ่งยังคงดังต่อเนื่องตามการเคลื่อนไหวของนักโทษคนสำคัญผู้นี้ ซึ่งก่อให้เกิดบรรยากาศที่กดดันไปทั่วท้องพระโรง ถึงกระนั้นเจ้าของเสียงเพียงหนึ่งเดียวก็ยังคงก้าวย่างไปข้างหน้าทีละก้าว ทีละก้าวอย่างสม่ำเสมอหาได้หวั่นเกรงไม่ จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าบัลลังก์ทองอันโอ่อ่าซึ่งช่วยขับรัศมีให้แก่ผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ ผู้ที่มีนามอันลือเลื่องว่าเป็น กษัตริย์แห่งแอสการ์ด ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ..พ่อ
“อ่า ข้ายังไม่รู้เลยว่าข้าทำผิดอะไร ท่านพ่อ” โลกิยังคงท่วงท่าที่ไร้ซึ่งความสำนึกต่อสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป น้ำเสียงที่เปล่งออกมาล้วนแต่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันและเน้นหนักไปที่สองคำสุดท้าย แม้จะเอ่ยเรียกผู้ที่อยู่บนบัลลังก์เบื้องหน้าว่า ท่านพ่อ แต่เจ้าตัวหาได้คิดเช่นนั้นไม่
“จนถึงตอนนี้ เจ้าก็ยังไม่สำนึกเลยรึว่า ตัวเองทำผิดร้ายแรงแค่ไหน ที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้ เพราะข้าเห็นแก่แม่ของเจ้า แต่เจ้าจะไม่มีทางได้พบนางอีก พาตัวนักโทษไปที่คุกใต้ดิน” ผู้เป็นพ่อออกคำสั่งโดยไร้ซึ่งความลังเล แม้โลกิจะขึ้นชื่อว่าเป็นลูก แม้จะเลี้ยงดูมาเสมือนลูกซักเพียงไร แต่โลกิกลับไม่คิดเช่นนั้น ซ้ำยังก่อความผิดร้ายแรงอย่างมิอาจอภัย ในนามกษัตริย์แห่งแอสการ์ดจึงต้องลงโทษแก่ผู้กระทำผิดโดยการกักขังไว้ที่คุกใต้ดิน ตลอดไป..
สิ้นเสียงออกคำสั่ง ทหารผู้คุมตัวจึงพาตัวนักโทษไปยังทางออก โลกิจ้องมองผู้ซึ่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยแววตายากที่จะอ่านออก แม้ว่าเจ้าตัวจะเหมือนมีบางอย่างจะเอ่ย แต่กลับเงียบไว้แล้วเดินตามทหารผู้คุมออกไป
______________________________
ท้องนภาแห่งแอสการ์ดยามค่ำคืนยังคงงดงาม ผืนฟ้าดำขลับแผ่ขยายราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับกระอยู่ทั่วแผ่นฟ้าสีนิล มองไกลออกไปในระดับสายตา ทั่วทั้งอาณาจักรต่างพากันเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เป็นอีกคราที่ผู้รุกรานถูกกำราบจากกองกำลังอันลือชื่อซึ่งนำทัพโดยบุตรของกษัตริย์แห่งแอสการ์ด บุรุษผู้ซึ่งมีค้อน และสายฟ้าเป็นอาวุธ นามของคนผู้นั้นคือ ธอร์
หากแต่ธอร์ผู้ซึ่งถูกยกให้เป็นวีรบุรุษมิได้สนใจเข้าร่วมงานฉลองแม้แต่น้อย ตัวเอกของงานปลีกตัวมาอยู่คนเดียวตั้งแต่กลับมาถึง ธอร์นั่งชันเข่าอยู่บนราวกั้นริมระเบียง ปล่อยขาอีกข้างลงแกว่งเบาๆตามอารมณ์เจ้าตัว สายตามองจ้องไปยังหมู่ดาวบนท้องฟ้าอย่างมีเรื่องครุ่นคิดบางอย่าง
“ทำไมพระเอกของงานถึงมานั่งแกร่วอยู่คนเดียวที่นี่ล่ะ” หญิงสาวที่เอ่ยเรียกธอร์ให้หลุดออกมาจากภวังค์คนนี้เป็นหนึ่งในผู้ที่ออกรบร่วมกับเขาเสมอมา เธอมีผมยาวสลวยรับกับใบหน้าสวยคม แต่ความสามารถในการต่อสู้กับเด่นกว่าหน้าตาที่สระสวย
“งั้นข้าก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ทำให้คนที่หลงใหลงานเฉลิมฉลองอย่างเจ้าต้องผละออกมาตามหาข้า ซิฟ” ธอร์พูดแหย่ด้วยใบหน้ายิ้มๆ
“ตอนนี้ทุกคนเขาก็อยากดื่มฉลองให้กับวีรบุรุษผู้เก่งกล้าของเราทั้งนั้น” ซิฟยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“งั้นคงต้องเป็นภาระให้เจ้าชนแก้วแทนแล้วล่ะนะ วันนี้ข้ารู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” วีรบุรุษผู้เก่งกล้าหันหน้ากลับไปมองดวงดาวเช่นเดิม น้ำเสียงที่เอ่ยคำว่าเหนื่อยกลับไม่ได้แสดงความเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
“ยังคิดเรื่องของ ‘เขา’ อยู่อีกหรอ”
.....
สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ ธอร์ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกับประโยคคำถามนี้และยังคงนั่งเหม่อมองท้องฟ้าอยู่เช่นเดิม
“ดูเหมือนท่านจะอยากอยู่คนเดียว งั้นข้าไม่รบกวนแล้วล่ะ” ซิฟหันหลังแล้วเดินตรงไปที่บันได แต่ก่อนจะก้าวลงไปเธอก็หันกลับมาแล้วพูดว่า
“ถึงท่านจะมองท้องฟ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ‘เขา’ ไม่ได้อยู่บนนั้น และที่ที่ ‘เขา’ อยู่ตอนนี้ก็มองไม่เห็นท้องฟ้าด้วย”
หลังจากที่ซิฟจากไปธอร์ยังคงนั่งอยู่เฉกเช่นเดิม หากแต่ในห้วงความคิดกำลังคิดถึงประโยคสุดท้ายที่เธอทิ้งไว้กับเขาก่อนกลับเข้างานฉลองไป
“ใช่ ‘เขา’ไม่ได้อยู่บนท้องฟ้า หากแต่อยู่ใต้ดิน ลึกลงไปที่ซึ่งไม่อาจจะเห็นท้องฟ้าอันสวยงามนี้”
‘เขา’ จะเป็นอย่างไรบ้างนะ
______________________________
เป็นวันที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ เพราะภายในคุกใต้ดินไม่อาจได้เห็นท้องฟ้า ไม่อาจได้เห็นดวงอาทิตย์ แม้แต่ตอนนี้เป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ช่างยากจะคาดเดา แต่รู้ไปก็เท่านั้น ในวันหนึ่งๆนอกจากจะนั่ง นอน กิน ก็ไม่มีอย่างอื่นให้ทำอยู่แล้ว
“ช่าง..น่าเบื่อจริงๆ” ว่าแล้วโลกิก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ
แท้จริงแล้วห้องคุมขังนักโทษไม่มีแม้โต๊ะหรือเก้าอี้ ยิ่งหนังสือยิ่งไม่มีทางที่จะมีได้ เพียงแต่ยังมีใครบางคนที่แม้จะไม่ขัดขวางการลงโทษและคิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันผิด แต่ก็ยังคงเป็นห่วงเขาจากใจจริง เป็นผู้ที่แม้จะไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดแม้แต่นิดเดียวก็ตาม แต่ก็เลี้ยงดูเขาด้วยความรักเปรียบเสมือนเขาดั่งลูกในไส้ของตัวเอง คนเพียงคนเดียวที่เขารู้สึกรักและเคารพอย่างแท้จริง แม่ ของเขา
“อืม..” โลกิมองจ้องหนังสือในมือ ถึงกระนั้นเขากลับไม่ได้กำลังอ่านมันอยู่ แต่กลับคิดถึงวันนั้น วันที่เขาได้คุยกับแม่
“หนังสือที่แม่ส่งให้ไม่ถูกใจเลยหรือ” ราชินีแห่งแอสการ์ดผู้ที่มีความงามขัดกับอายุ นางยืนมองลูกชายแล้วเอ่ยถามเสมือนกับอยู่ในส่วนหนึ่งของพระราชวัง ไม่ใช่คุกใต้ดิน
“ให้ข้าใช้เวลาชั่วกาลนาน อ่านหนังสือหรอ” โลกิเลิกคิ้วแล้วเอ่ยประโยคเชิงคำถาม แต่ไม่ได้ต้องการคำตอบ
“แม่ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อให้เจ้าได้สบายขึ้น” แม้ว่าผู้เป็นแม่จะไม่ขัดขวางการที่โลกิต้องมาถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน แต่นางก็ไม่ยินดีที่จะต้องทนเห็นลูกของนางต้องลำบาก
“ข้ารู้ ข้ารู้มีแต่ท่านเท่านั้นแหละที่ยังห่วงใยข้าอยู่” โลกิพยักหน้าแล้วเอ่ยคำพูดที่เหมือนจะแสดงความเข้าใจ แต่กลับเป็นการประชดประชัน
“เจ้ารู้อยู่แก่ใจ เจ้าทำตัวเอง เจ้าถึงต้องมาอยู่ที่นี่ พ่อของเจ้า..”
“เค้าไม่ใช่พ่อของข้า!!” ยังไม่ทันที่ราชินีแห่งแอสการ์ดจะพูดจบโลกิก็โพล่งขัดขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว
คนเป็นแม่นิ่งไปชั่วอึดใจแล้วเอื้อนเอ่ยอย่างแผ่วเบากับชายผู้ที่นางรักดั่งลูกโดยไม่สนใจว่าเขาคนนี้ไม่ใช่ลูกของนางจริงๆ
“งั้นข้าก็ไม่ใช่แม่ของเจ้า”
โลกินิ่งเงียบไป เขาหันมาสบตาผู้ที่คอยเลี้ยงดูเขาตลอดมา แววตาที่โลกิจ้องมองเข้าไปมีความเสียใจที่แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน แต่ถึงกระนั้นกลับไม่มีความโกรธเคืองต่อตัวเขาแม้แต่นิดเดียว กลับกันเขายังคงเห็นความรักและห่วงใยอยู่ในแววตาคู่นั้นอย่างที่เคยมีเสมอมา
โลกิย่างเดินเข้าไปหาคนอีกคนที่อยู่ในห้องนี้ แต่ยามเมื่อเขาเอื้อมมือไปหวังจะกุมมือนั้นไว้ ราชินีย์แห่งแอสการ์ดกลับสลายไป นี่ไม่ใช่ตัวจริงแต่เป็นแค่ภาพที่สร้างขึ้นพระราชาไม่มีทางยอมให้เขาได้พบกับนางอีก แต่แค่นี้ก็พอแล้ว สำหรับตอนนี้
“ข้าไม่อาจเป็นลูกท่านได้ ท่านแม่ ตราบใดที่ข้ายังถูกมองเป็นศัตรูของแอสการ์ด เป็นศัตรูกับโอดินกษัตริย์แห่งแอสการ์ด!” จากรำพึงรำพันกลายเป็นตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวยามเมื่อเขาเอ่ยถึงโอดิน
เขาไม่เคยคิดแม้สักครั้งว่าชายผู้นั้นเป็นพ่อของเขา อย่างไรก็ตามเขาจะต้องช่วงชิงบัลลังก์นั้นมาเป็นของตัวเองให้ได้ ด้วยเหตุนี้ โลกิไม่อาจคิดว่าตนเป็นลูกของราชินีแห่งแอสการ์ดได้ เขาไม่ต้องการให้ผู้ที่เขารักเสมือนแม่แท้ๆต้องปวดร้าวยามเห็นลูกของตนเองสู้กับคนที่นางคิดว่าเป็นพ่อของเขา และที่สำคัญเขาไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกของท่านแม่ ไม่คู่ควรแม้สักนิด แท้จริงแล้วโลกิเป็นลูกลอเฟย์ เป็นลูกของวายร้ายตัวฉกาจ ซึ่งโลกิเองก็กำลังจะกลายไปเป็นวายร้ายตัวฉกาจยิ่งเช่นกัน
และข้าก็ไม่อาจเป็นน้องชายของท่านได้ ..ธอร์
______________________________
ตึก ตึก ตึก
“อ่า.. ดูซิ วันนี้มีใครมาเยี่ยม นี่มันฮีโร่คนเก่ง บุตรแห่งโอดินมิใช่หรือ” โลกิเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจที่ฟังดูก็รู้ได้ทันทีว่าแกล้งทำทั้งๆที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ใช่แม้ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองเขาก็รู้ว่าผู้มาเยือนครานี้เป็นใคร เพราะอะไรน่ะหรือ
ข้าจำได้แม้เป็นเพียงเสียงฝีเท้าของท่าน
“โลกิ ข้าไม่ต้องการทะเลาะกับเจ้า” ธอร์หยุดยืนอยู่หน้าห้องคุมขังซึ่งกำแพงนั้นโปร่งใสจนเห็นด้านในอย่างชัดเจน
“ถ้าอย่างนั้นเกิดมีน้ำใจมาเยี่ยมข้าอย่างนั้นหรือ ท่านพี่” โลกิปิดหนังสือแล้วลุกขึ้นมายืนประจันหน้ากับธอร์
“ข้าแค่มาเยี่ยม..น้องชาย” ผู้เป็นพี่ชายมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเขียวที่ยังคงสวยงามเสมอมา
“ว้า งั้นข้าก็ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยที่จะต้องบอกกับเจ้าว่า ‘น้องชาย’ ของเจ้า ไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”โลกิถือโอกาสนี้หลบสายตามองลงพื้นแล้วแกล้งยักไหล่อย่างยียวนทั้งๆที่ในใจกลับสั่นสะท้านเพราะดวงตาที่แน่วแน่คู่นั้น
“น้องข้า มองตาข้า” ธอร์ยังคงไม่สนใจคำพูดและท่าทางยั่วโมโหของโลกิเช่นเดิมแต่กลับเอ่ยเรียกน้องชายอย่างหนักแน่น
“ข้าไม่อยากคุยกับเจ้า กลับไปเถอะ พี่ชาย” คนเป็นน้องยืนหันหลังให้ แม้มองจากด้านหลังจะเห็นว่าเจ้าตัวไม่สนใจสิ่งที่พี่ชายเอ่ยก็ตาม แต่ริมฝีปากกลับเม้มแน่นเหมือนกำลังอดกลั้นบางอย่างไว้
ได้โปรดกลับไป ข้าไม่ใช่น้องชายของท่านอีกแล้ว ไม่ใช่..
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ธอร์ยังคงอยู่ที่เดิม โลกิรู้ดีแม้ไม่หันไปมอง เขายังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพี่ชายเลย แต่เขาก็ยังคงยืนหันหลังอยู่ที่เดิมพลางคิดว่า เดี๋ยวธอร์ก็จะไป
แต่ทันใดนั้นจู่ๆตัวเขาก็โดนดึงให้หมุนกลับแล้วโดนคนตัวใหญ่กว่าดันจนติดกำแพง ยามเมื่อหันกลับมาก็พบว่ากำแพงโปร่งใสนั้นไม่โปร่งใสอีกต่อไป มันกลายเป็นสีทึบที่ทำให้ไม่สามารถมองเห็นภายนอกและภายนอกก็ไม่สามารถมองเห็นภายในได้เช่นกัน ที่เงียบไปเมื่อครู่เพราะธอร์กำลังจัดการกับเจ้ากำแพงเปลี่ยนสีนี่เอง
“เจ้า!!” โลกิตกใจอย่างมากเพราะไม่คิดว่าธอร์จะพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างนี้
“มองตาข้า โลกิ” คนตัวใหญ่พันธนาการแขนทั้งสองข้างของโลกิอย่างหนาแน่นด้วยมือทั้งสองของตน
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!!” คนตัวเล็กกว่าพยายามขัดขืนและดึงมือกลับ แต่ก็ไม่เป็นผล
หมอนี่แรงควายเป็นบ้า!!
“ข้าจะปล่อยก็ต่อเมื่อเราคุยกับจบเรียบร้อยแล้ว น้องชาย” จบประโยค โลกิก็เลื่อนสายตามาสบกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายโดยไม่หลบเลี่ยง
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ใช่น้องของเจ้า! ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าเป็นพี่ชายแม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าเกลียดเจ้า เจ้ามันมีทุกๆอย่าง แล้วดูข้าสิ ข้ามีอะไรบ้าง ทุกอย่างที่ข้ามีล้วนแต่เป็นสิ่งหลอกลวง เจ้าไม่เข้าใจและไม่มีวันเข้าใจว่าข้ารู้สึกยังไง และข้าขอให้เจ้าจำไว้ อย่ามาทำตัวเป็นพี่ชายข้าอีก ข้าสะอิดสะเอียน!!” โลกิตะคอกใส่ธอร์ราวกับว่าทุกๆอย่างที่เขาเคยรู้สึกระเบิดออกมาพร้อมกันทีเดียว ดวงตาสีเขียวเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับสั่นเคลืออย่างไม่น่าจะเป็น
“เจ้าไม่ได้มีแต่สิ่งหลอกลวง สิ่งที่เจ้ามีทุกอย่างล้วนเป็นของจริง แต่เจ้าไม่ยอมรับมัน เจ้าจะบอกว่าความรักที่ท่านแม่มีให้เจ้านั้นเป็นสิ่งหลอกลวงงั้นหรือ เจ้าจะบอกว่าที่เจ้ามีชีวิตอยู่มาได้ทุกวันนี้เพราะท่านพ่อเป็นคนพาเจ้ามาเป็นส่งหลอกลวงงั้นหรือ น้องข้าเจ้าต่างหากที่หลอกลวง แม้แต่ตอนนี้เจ้ายังไม่กล้าที่จะเปิดเผยความจริงเลย หยุดสร้างภาพกับข้าซะ โลกิ!!” ธอร์ตวาดกลับด้วยความหงุดหงิด ใช่เขากำลังหงุดหงิด เพราะคนตรงหน้ากำลังหลอกลวงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองอยู่
สิ้นเสียงธอร์ใบหน้าขอโลกิค่อยๆเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น จากใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแปรเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าแห่งความโศกเศร้า น้ำใสๆกำลังไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างอาบลงบนแก้มของเขา เมื่อครู่เขาสร้างภาพตั้งแต่ก่อนสบตากับธอร์ เพราะเขามั่นใจ ว่าถ้าเขาคุยกับคนตรงหน้าทั้งๆที่ต้องสบตา เขาต้องหวั่นไหวอย่างรุนแรงแน่ๆ และก็เป็นดังคาด น้ำตาของโลกิเริ่มไหลออกมาตั้งแต่เขาพูดประโยคยังไม่จบด้วยซ้ำ
“เป็นเพราะเจ้า! เพราะเจ้าคนเดียว ไม่ว่าเมื่อไหร่เจ้าก็ดูข้าออกเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่เจ้าก็เข้าใจข้าเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่เจ้าก็เป็นพี่ชายที่ดีของข้าเสมอ แล้วข้าจะไปเกลียดเจ้าลงได้ยังไง! ถ้าเจ้าไม่มาทำดีกับข้า ข้าก็คงเกลียดเจ้าแล้ว ข้าอยากจะเกลียดเจ้า ได้ยินมั้ย ข้าอยากกลียดเจ้า!!” แม้จะพูดว่าเกลียดหลายครั้ง แต่คนพูดกลับตะโกนทั้งน้ำตา ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งสั่นเคลือมากขึ้นเรื่อยๆจนคนฟังต้องเปลี่ยนเป็นดึงอีกคนเข้ามากอดไว้ราวกับจะปลอบประโลม
“ข้ารู้แล้ว ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ต้องพูดอีกแล้ว นะ” คนโอบกอดยกมือหน้าลูบหัวน้องชายเบาๆ
“ปล่อยข้านะ เจ้าต้องเกลียดข้าสิ ถ้าเจ้าเกลียดข้า ข้าจะได้เกลียดเจ้า เกลียดข้า!!” ยามนี้คนที่เคยมีท่าทีไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดกลับกลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่งอแงอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวใหญ่กว่า
“ข้าจะไปเกลียดเจ้าได้ยังไง” ธอร์ผละออกเล็กน้อยแล้วค่อยๆช้อนคางคนตัวเล็กกว่าขึ้นสบตา
“ข้ารักเจ้า โลกิ” จบคำคนตัวสูงก็จัดการปิดปากอีกคนก่อนที่ได้จะได้ทันเอ่ยอะไรออกมา
ธอร์ประทับริมฝีปากอยู่เนิ่นนานราวกับว่าอยากจะให้สัมผัสนี้คงอยู่ตลอดไป คนเป็นพี่ค่อยๆถอนจุมพิตแล้วใช้มือไล้กับแก้มขาวนวลก่อนจะค่อยๆปาดคราบน้ำตาที่ยังคงหลงเหลืออยู่ด้วยหัวแม่โป้งเบาๆ
“ข้ายังคิดอยู่เสมอ ว่าน้องชายข้ายังคงอยู่ในตัวเจ้า” พอได้ยินคำนั้นคนเป็นน้องจึงหลับตาลงแล้วนิ่งคิดไปสักครู่ ก่อนที่จะตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วลืมตาขึ้น
“ข้าจะไม่หันหลังกลับ” โลกิตอบด้วยเสียงและแววตาที่ตั้งมั่น
“..ไม่ผิดจากที่ข้าคาดไว้” ทั้งสองต่างฝ่ายต่างสบตากันนิ่งเงียบราวกับอยากจะหยุดเวลา ณ ตอนนี้ไว้ แต่เวลาก็ยังทำหน้าที่ของมันต่อไปและไม่เคยจะหยุดเดินเพื่อใคร หรืออะไรก็ตาม
“จากนี้ไปไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร อาจทำอะไร อาจเป็นศัตรูของแอสการ์ด อาจเป็นศัตรูของข้า อาจเป็นผู้ที่ปลิดชีพข้า หรือข้าอาจเป็นคนคอยขัดขวางเจ้า อาจเป็นคนปลิดชีพเจ้า ขอให้เจ้าจงจำไว้ แม้ว่าข้าไม่อาจอยู่เคียงข้างเจ้า หรือแม้ว่าข้าไม่อาจรักเจ้าได้อีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะไม่มีทางเกลียดเจ้าตลอดกาล” ธอร์กระชับอ้อมกอดแน่นราวกับว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ทำมันก่อนจะปล่อยให้คนในอ้อมกอดเป็นอิสระแล้วเดินออกจากห้องคุมขังนี้
หลังจากที่ธอร์ก้าวออกไปจากห้อง กำแพงสีทึบก็เปลี่ยนกลับมาโปร่งใสเช่นเดิมแต่ก่อนที่พี่ชายเพียงคนเดียวจะลับสายตาไปน้องชายก็ได้เอ่ยคำที่แม้จะแผ่วเบาแต่ก็ส่งผ่านไปถึงพี่ชายได้อย่างชัดเจน
“ข้าก็จะไม่มีทางเกลียดเจ้าตลอดกาล พี่ข้า”
ข้ารักท่าน ..ธอร์
ผลงานอื่นๆ ของ mrs.สะระแหน่ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ mrs.สะระแหน่
ความคิดเห็น