คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #94 : [SF 2JONG]ดูแลไม่ไหว
Pairing: JONGHYUN x YESUNG [2JONG]
Author:Sara_Pao
Rating:PG
Note:ขอให้อ่านให้สนุกนะจ๊ะ
ท้องฟ้าในตอนเดือนมืดมันช่างมืดสนิทจริงๆ ดวงจันทร์ไม่ส่องแสง ดวงดาวไม่ปรากฏให้เห็น
เหมือนจิตใจของผมตอนนี้...ที่กำลังมืดมิดไม่มีแม้แต่แสงแห่งความหวัง
...ผมกำลังจะตาย…
พวกคุณอ่านกันไม่ผิดหรอก เพราะผมกำลังจะตายเนื่องจากเป็นมะเร็งเม็ดเลือกขาวระยะสุดท้าย แต่ผมไม่เคยคิดที่จะบอกร่างบางคนรักของผมให้รับรู้เพราะผมกลัวว่าเขาจะเสียใจ
ผมปิดบังเขามาตลอดจนเมื่อคืนก่อนตอนที่ผมและร่างบางกำลังจะเข้านอน ผมมีอาการหายใจไม่ออกและไอออกมาเป็นเลือด คนร่างบางที่หันมาเห็นตกใจและทำอะไรไม่ถูกมือบางที่สั่นระริกขณะที่กำลังจะเข้ามาจับตัวผม ใบหน้าหวานที่นองไปด้วยน้ำตา ผมรับรู้เพียงแค่นั้นก่อนที่สติทั้งหมดจะดับวูบลง
พอรู้ตัวอีกทีผมก็มาอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ร่างบางที่กำลังนอนหลับอยู่ข้างๆฝบหน้าหวานยังเต็มไปด้วยคราบรอยน้ำตา ผมเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมนิ่มนั่นเบาๆก่อนที่เขาจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา ผมไม่ได้อยากปลุกเขาให้ตื่นขึ้นแต่ผมอยากเห็นเขาก่อนที่จะจากเขาไป
ตอนนั้นหน้าของร่างบางซีดลงไปมากสงสัยจะไม่ได้กินอะไรและอดหลับอดนอนมาหลายวัน
“ผมหลับไปนานแค่ไหนเหรอฮะ”
ผมถามออกไป พี่ผมเรียกตัวเองแบบนี้ก็เพราะว่าคนร่างบางที่นอนอยู่ข้างๆเขาอายุมากกว่าผมน่ะสิ
“เหือบสองอาทิตย์แหนะพี่คิดว่านายจะไปจากพี่แล้วเสียอีก”
เขาเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้งไม่รู้ว่าดีใจหรือกำลังกลัว ผมเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้ออกจากใบหน้าสวยแล้วส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้
“ผมไม่เป็นอะไรหรอกฮะ ผมจะอยู่กับพี่ตลอดไปผมสัญญา”
ผมยื่นนิ้วก้อยออกไปอีกคน พี่เขาเกี่ยวก้อยตอบก่อนที่จะยิ้มออกมาน้ำตาก็ยังคงไหลอยู่ดี
ทั้งๆที่ผมรู้ว่ามันไม่มีทาง เพราะผมเคยมาถามหมอด้วยตัวเองว่าผมจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่
หมดเขาบอกผมว่า
‘อาการอย่างคุณมันเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก และทางรักษามันก็น้อยเหลือเกินหมอก็บอกได้แค่ว่าคงไม่เกินหนึ่งอาทิตย์’
ผมเบิกตามองใบหน้าของหมอที่รู้สึกเป็นกังวลมากกว่าผม ก่อนที่ผมจะตั้งสติได้และออกจากห้องหมอไป
ตลอดเวลาที่ร่างบางยังไม่รู้เพราะผมเป็นคนสั่งหมอเองว่าห้ามบอกใครทั้งนั้นซึ่งหมอเขาก็คงจะเข้าใจเลยรับปากผมไว้ ผมตัดสินใจว่าอยากจะใช้อีกหนึ่งอาทิตย์อยู่กับร่างบาง ผมเลยพาร่างบางมาอยู่ด้วยกันที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลที่พ่อแม่ของผมเคยสร้างเอาไว้
นี่ก็คงยังไม่ได้บอกสินะ
ผมนึกขอบคุณหมอเจ้าของไข้ผมในใจใช่ว่าผมก็จะไม่เคยสั่งหมอว่าห้ามบอกร่างบาง
“ผมเป็นอะไรเหรอ”
“หมอบอกว่าจงฮยอนเป็นโรคกระเพาะน่ะ”
ผมพยักหน้ารับสายตาเศร้าส่งไปให้ร่างบางที่ยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นว่าผมไม่เป็นอะไรมาก
ถ้าเป็นแค่โรคกระเพาะก็ดีน่ะสิ
ผมได้แต่คิดและยังส่งยิ้มไปให้ร่างบางอยู่
หลังจากวันนั้นเราสองคนก็กลับมาอยู่บ้านพักและผมก็แอบออกไปตรวจร่างกายบ่อยๆโดยไม่ให้ร่างบางรู้
ผมยังเดินเหินได้ดีไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจะมีก็แต่หน้าของผมที่มันซีดลงเรื่อยๆผิวกายเองก็เช่นกัน ร่างบางเหมือนจะสังเกตได้เลยถามผมว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ซึ่งผมก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา
และวันนี้ผมก็เลยจะแอบออกไปหาหมอตอนที่ร่างบางไปทำงาน มันแย่ใช่มั๊ยล่ะแทนที่ผมควรจะดูแลร่างบางแต่กลับเป็นคนทำให้ร่างบางเดือดร้อนเสียเอง
ผมมันไม่ได้เรื่องจริงๆ!!!
ผมขับรถของตัวเองออกจากบ้านมามุ่งหน้าตรงไปยังโรงพยาบาล รถติดไฟแดงเป็นพักๆให้ผมได้คิดว่าจะเอายังไงต่อไปดี
จนในที่สุดก็ถึงโรงพยาบาลผมก็ยังคิดอะไรไม่ออก ขาของผมค่อยๆก้าวขึ้นไปตามบันไดที่หน้าโรงพยาบาลประตูเปิดออกโดยอัตโนมัติเมื่อสัญญาที่ติดไว้จับได้ว่ามีคนมา ผมก้าวเท้าเข้าไปในโรงพยาบาลที่ๆผมมาบ่อยเสียยิ่งกว่าไปห้างเสียอีก
จมูกของผมเริ่มชินกับกลิ่นต่างๆในโรงพยาบาล ผมเดินไปที่เคาท์เตอร์เพื่อทำเรื่องก่อนที่จะไปนั่งรอให้เขาเรียกผม
วันนี้โรงพยาบาลรู้สึกว่าจะมีคนเยอะอยู่เหมือนกัน ทำไมคนเราถึงขยันป่วยกันจริง
ผมก็ได้แต่คิดไปเรื่อยเปื่อยจนได้ยินเสียงเรียกของนางพยาบาลดังขึ้นข้างตัว ผมเลยลุกขึ้นและไม่รอช้ารีบเดินไปที่ห้องของหมอทันที
ผมยืนรอให้นางพยาบาลเข้าไปแจ้งก่อนว่าคนไข้มาหาเรื่องอะไร และไม่นานเธอก็ผายมือให้ผมเดินเข้าไป
ผมเดินเขาไปก่อนที่จะนั่งลงตรงหน้าคุณหมอวัยกลางคนที่ใส่แว่นเลนส์ไม่หนาเท่าไหร่นัก คุณหมออ่านอะไรสักอย่างที่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับตัวของผม
ก่อนที่เขาจะเงยขึ้นมามองผมด้วยสายตาที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก ใบหน้าของหมอเจ้าของอาการผมดูเคร่งเครียด
“คุณทานยาที่ผมให้ไปมั่งหรือเปล่า”
เขาถามผมน้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยความโมโห ผมพยักหน้าตอบเขาไป
“ทานแล้วทำไมอาการของคุณมันแย่ลงแบบนี้หา?”
เขาถามเสียงดังขึ้นกว่าเดิมซึ่งผมก็ได้แต่นั่งเงียบ ผมไม่รู้จะพูดยังไงดีในเมื่อผมก็ตามที่หมอเขาสั่งมาทุกอย่างไม่ว่าจะทานยา ดูแลเรื่องอาหารและร่างกายของตัวเอง
“หน้าคุณซีดเหมือนศพมากในตอนนี้”
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมหมอเขาต้องมาซ้ำเติมผมแทนที่จะพูดให้กำลังใจเพื่อไม่ให้คนป่วยคิดมาก
“ผมไม่ได้จะว่าอะไรคุณหรอกนะ เพียงแต่ว่าผมอยากช่วยให้คุณหายจริงๆแต่ถ้าอาการมันแย่ลงแบบนี้เรื่อยๆผมคงช่วยอะไรไม่ได้”
คุณหมอบอกน้ำเสียงเศร้าซึ่งผมก็ทำได้แต่ก้มหน้าลง
‘เวลาของผมมาถึงแล้ว...’
ผมเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยจิตใจห่อเหี่ยว ผมกลั้นใจถามหมอไปว่าผมจะมีเวลาอยู่ได้นานเท่าไหร่ หมอเขาบอกผมเสียงเศร้าว่า
‘ไม่เกินสามวันครับ หรืออาจจะน้อยกว่านั้นเพราะร่างกายของคุณ...มันมาถึงขีดสูงสุดแล้ว’
ผมถอนหายใจออกมาหนักๆระบายอารมณ์ที่ทั้งทุกข์และเครียดในเวลาเดียวกันออกมาทางลมหายใจ มือของผมที่สั่นและเหมือนจะไม่มีแรงตลอเวลาทำให้ผมเศร้าใจมากกว่าเดิม
ผมเดินไปที่โรงจอดรถก่อนที่จะเดินไปขึ้นรถแต่สายตาดันไปเห็นร่างคุ้นตาของใครบางคน ผมเพ่งมองไปก่อนที่ชายคนนั้นจะหันหน้ามา
....พระเจ้า....
ผมได้แต่อุทานในใจเพราะคนที่ผมเห็นก็คือพี่เยซอง พี่เยซองมากับใครไม่รู้เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงกว่าผมและดูมีน้ำมีนวลกว่าผมมาก ร่างกายที่แสนกำยำ พวกเขาสองคนกำลังเดินโอบกันเข้าไปในโรงพยาบาล เขาคนนั้นดูท่าจะเป็นคนรักใหม่ของพี่เยซอง...มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่พี่เขาจะได้เจอคนใหม่ ผู้ชายคนนั้นมีอะไรที่ผมไม่มีเยอะเลย เขาทั้งดูแข็งแรง ดูดีแล้วผมล่ะ
ผมมองตัวเองที่นั่งมองคนทั้งคู่อยู่ในรถ ก่อนที่จะส่องกระจกมองหลังแล้วหันไปมองทั้งคู่ ผมมองอยู่อย่างนั้นจนคนทั้งคู่เดินลับตาไป
‘ผมควรจะตัดสินใจในทางที่ถูกเสียที’
ผมนึกในใจก่อนที่จะขับรถออกไปช้าๆด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเดิม
บางที...ผมก็ไม่ควรจะรั้งเขาเอาไว้
ผมกลับมาถึงบ้านตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนแล้ว พี่เยซองยังกลับมาไม่ถึงเลย ปกติพี่เขาจะถึงบ้านประมาณหกโมงเย็นนี่ปาไปจะสองทุ่มแล้วผมยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่เขา หรือพี่เขาจะทิ้งผมไปจริงๆ
ผมมองนาฬิกาที่ติดแขวนผนังเอาไว้ เข็มสั้นและเข็มยาวชี้บอกเวลาสองทุ่มพอดี ผมละสายตาไปมองที่ประตูบ้านแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนตัวเล็กกลับมา
ผมมองกลับมาที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง หลังจากที่ขับรถกลับจากโรงพยาบาลผมก็แวะเข้าไปในตลาดสดเพื่อซื้อของกะว่าจะเอามาทำอาหารให้พี่เขาบ้าง ผมซื้อของมาหลายอย่างเพื่อจะทำงานเลี้ยงโดยที่พี่เขาไม่รู้ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นการเซอร์ไพส์อย่างหนึ่งของผม
ผมนำพวกมันกลับมาทำอาหารเย็นวางไว้บนโต๊ะกะเอาไว้ว่าถ้าพี่เขามาจะได้เลี้ยงฉลองกัน
พวกคุณคงงงว่าฉลองอะไรกัน...
มันคืองานฉลอง...ก่อนที่ผมจะตัดสินใจปล่อยพี่เขาไป
แอ๊ด!
ประตูบ้านที่ดูท่าจะฝืดพอสมควรดังขึ้นบอกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปดูผู้มาใหม่ แล้วคนที่ผมคิดถึงตลอดเวลาก็มาเสียที พี่เยซองนั่นเองที่เป็นคนเปิดประตูเข้ามา ผมมองไปที่พี่เขาพี่หิ้วข้าวของพะรุงพะรังผมทำท่าจะลุกขึ้นไปช่วยแต่ก็ต้องนั่งลงแทบจะทันทีเมื่อรู้สึกเจ็บที่หน้าอกขึ้นมาเสียเฉยๆ
“จงฮยอน...นายเป็นอะไรหรือเปล่า”
พี่เยซองเอาข้าวของวางไว้ที่โซฟาแล้ววิ่งเข้ามาดูผมแทบจะทันที ผมมองใบหน้าของพี่เขาที่ดูเป็นห่วงผมเสียเหลือเกิน ผมไม่รู้ว่าพี่เขาเสแสร้องหรือเปล่า...?
แล้วทำไมผมถึงต้องคิดแบบนั้นด้วย
“ไม่..ไม่หรอกครับ”
ผมส่ายหน้าแล้วจับมือของพี่เยซองออกไป พี่เขาเงยหน้ามองหน้าของผมก่อนที่จะระบายรอยยิ้มออกมา
“นายโกรธอะไรพี่เหรอ”
ผมหันมามองคนร่างบางที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของผม ผมส่ายหน้าไปมา
“เปล่าครับ”
“จง..นายแปลกๆไปนะ”
พี่เขาทำหน้าเป็นห่วงใส่ผม ผมจึงยิ้มออกมาบางๆ
“ผมไม่ได้แปลกไปซะหน่อยว่าแต่ทำไมพี่กลับช้าจังครับ”
ผมเปลี่ยนเรื่องพูดทันที พี่เยซองมองหน้าของผมสักพักก่อนที่จะหันไปมองข้าวของที่เขาเพิ่งวางเอาไว้
“พี่ซื้อเสื้อตัวใหม่มาให้นายน่ะ”
พี่เขายิ้ม ผมก็ยิ้มแต่มันช่วงเจ็บปวดในใจจริงๆ ถ้าพี่เขารู้ว่าผมจะไม่ได้ใส่มันพี่เขาจะรู้สึกยังไง
“ก็ไม่รู้ว่านายจะชอบหรือเปล่า แต่พี่เลือกสีฟ้าอ่อนมาให้นะเพราะเห็นช่วงนี้นายดูเศร้าๆ”
“แล้วมันเกี่ยวกันยังไงครับ”
ผมถามพี่เขาไปก่อนจะดึงตัวของพี่เขาขึ้นมาให้นั่งลงบนตักของผม ผมโอบกอดร่างอีกคนแน่นก่อนจะซบหน้าลงบนแผ่นหลังบางนั่น
“ก็พี่คิดว่าถ้านายเห็นอะไรที่ดูสบายตาบางทีมันอาจจะทำให้นายสดใสขึ้นมา”
ผมเงียบไปก่อนที่จะหลับตาลงช้าๆ ผมรู้ว่าอาหารที่ผมทำขึ้นมามันคงจะจืดชืดไปแล้วแต่ตอนนี้ผมอยากอยู่กับคนในอ้อมกอดให้มากที่สุดก่อนที่ผมจะจากเขาไป
พี่เยซองเองก็เอื้อมมือมาจับมือของผมแล้วบีบเบาๆก่อนที่จะเงียบไปเช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลย
“จงฮยอนนายทำข้าวเย็นแทนพี่เหรอ ทำไมล่ะ”
“...”
“พี่บอกแล้วใช่มั๊ยว่าอย่าทำนายยิ่งไม่แข็งแรงอยู่ถ้าเป็นอะไรขึ้นมามันจะแย่เอานะ เด็กดื้อนี่เตือนแล้วไม่ฟังกันบ้างเลย”
พี่เขาบ่นออกมาเป็นชุดก่อนที่จะตีมือของผมเบาๆผมก็ยังเงียบต่อไป ผมไม่สนแล้วว่าพี่เขาจะว่าอะไรผมหรือจะพูดยังไงตอนนี้ขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆพี่เขาแค่นี้ก็พอ
“จงฮยอนนายเงียบเกินไปแล้วนะ”
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆรู้สึกได้ถึงความเปียกที่แก้ม ผมมองไปที่เสื้อของร่างบางก่อนที่จะตกใจคราบน้ำตามากมายมันเปรอะเปื้อนเต็มแผ่นหลังนั่นไปหมด
“จงฮยอน นายร้องไห้”
พี่เยซองที่คงจะรู้สึกเปียกที่หลังเอ่ยขึ้นมาก่อนที่จะหันหน้ามาดู ผมรีบเช็ดน้ำตาที่เหลือออกลวกๆแล้วส่งยิ้มไปให้
“นายเป็นอะไรน่ะจงฮยอน ทำไมนายร้องไห้ทำไม”
พี่เยซองเอื้อมมือมาแตะแก้มของผมเบาๆก่อนที่จะไล้น้ำตาที่ยังไหลอยู่ออกไป ผมเอื้อมมือมาจับมือนิ่มนั่นแล้วมองไปที่คนตัวเล็กกว่า
“พี่ครับ...”
ผมควรจะปล่อยพี่ไปใช่มั๊ย?
“หืม?”
“...”
แต่พอเห็นสีหน้าเป็นห่วงของคนร่างบางผมก็คิดจะทำไม่ลง
“ผม...ผมมีเรื่องจะบอกพี่ครับ”
ผมตัดสินใจพูดออกไป พี่เยซองเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“พี่ครับ...ผมเป็นมะเร็ง”
“!!!”
พี่เยซองดวงตาเบิกโตในทันที มือที่จับแก้มผมอยู่สั่นน้อยๆ
“ผมเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว...ระยะสุดท้าย”
ผมตัดสินใจพูดออกไปแผ่วเบา พี่เยซองเงียบไปไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเราทั้งคู่ต่างเงียบ พี่เยซองดูท่าจะตั้งสติได้ก่อนส่งยิ้มเศร้าๆมาให้ผม
“อย่า..อย่ามาล้อเล่นนะ”
“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ!!”
“...”
“ผมกำลังจะตาย หมอบอกว่าผมกำลังจะตาย ผมกำลังจะตายได้ยินหรือเปล่าครับ!!!”
ผมตะโกนสุดเสียงทั้งๆที่พี่เขาก็นั่งอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกเหมือนพี่เขาห่างออกไปไกลเหลือเกิน ไกลเกินที่ผมจะเอื้อมไปคว้ากลับมา
พี่เยซองมองผมแล้วยิ้มทั้งน้ำตา พี่เขาสั่นไปหมดทั้งตัว
“นาย...นายจะตายได้ยังไงกัน”
“พี่ครับ...ผมว่าเราเลิกกันเถอะ”
“!!!!”
“ผมดูแลพี่ไม่ได้แล้ว..ผมทำหน้าที่นี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”
“ไม่นะจงฮยอน พี่ไม่เลิก”
“พี่ไปหาคนที่ดีกว่าผมเถอะครับ คนนั้น คนที่พี่พาเขาไปโรงพยาบาล”
ผมปล่อยตัวของร่างบางออกแต่พี่เยซองเขากลับกอดผมเสียเอง น้ำตาของร่างบางมันคงไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เสียแล้วเพราะผมสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่ไหล่ของผม ผมเหมือนกำลังโดนบีบหัวใจแน่น
“พี่ไม่ไปพี่จะไม่ทิ้งนายไป”
“พี่ต้องไปหาคนที่เขามีทุกอย่างและพร้อมที่จะดูแลพี่ ไม่ใช่ไอ้ขี้โรคอย่างผม ไม่ใช่....ฮึก”
ผมสะอื้นออกมา พี่เยซองกอดผมแน่นขึ้นกว่าเดิม ผมซุกหน้าลงกับไหล่เล็กที่กำลังสั่นสะท้านเพราะอาการสะอื้น
“พี่จะไม่ทิ้งนายไปไหน พี่จะไม่ทิ้งนายไป”
ผมกอดตอบอีกคนเบาๆก่อนที่จะกระชับให้แน่นขึ้นกว่าเดิมแล้วร้องไห้ออกมาเงียบๆ ตอนนี้ผมเจ็บไปหมดทั้งใจ ไม่มีใครรู้หรอกว่าผมต้องทนกล้ำกลืนขนาดไหนในการบอกเลิกพี่เยซอง เราสองคนต่างร้องไห้ออกมาด้วยกันทั้งคู่
ผมไม่อยากให้พี่เขาต้องมาเสียน้ำตาให้ผม มาเสียน้ำตาให้กับคนอย่างผม!!!
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในกลางดึกและรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่กดทับลงไปบนหน้าท้องของตัวเอง ผมเหลือบสายตามองฝ่าความมืดไปก่อนจะเจอกับร่างบางที่กำลังนอนหลับสนิท คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเป็นปม รอยคราบน้ำตายังคงติดอยู่บนแก้มนวล ผมค่อยๆแกะมือนั่นออกมาช้าๆแล้วลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะกระเถิบตัวออกมาจากที่นอน ผมไม่รู้ว่าพวกเราหลับกันไปตอนไหนแต่ตอนนี้ผมคงจะต้องไปเสียทีปล่อยให้คนที่หลับสนิทคนนี้ได้เจอคนใหม่ที่ดีกว่าผม...
“ผมรักพี่นะครับ”
ผมกระซิบที่ข้างหูของอีกคนก่อนที่จะก้มลงจุมพิตหน้าผากมนอย่างแผ่วเบาแล้วลุกจากปิท้งอีกคนเอาไว้ในความมืดตามลำพัง
‘ขอให้พี่...เจอคนที่ดีกว่าผมนะครับ’
...ฉันดูแลไม่ไหวไม่ใช่ว่าไม่รัก ก็ไม่ต้องการทนเห็นเธอลำบาก มันก็เลยต้องยอมตัดใจ ให้เธอไปกับเขาจะเจ็บสักแค่ไหน แต่ถึงยังไงมันต้องยอมรับไว้ ถ้าเธอเจอกับใครที่ฝัน แค่ได้รู้เธออยู่ข้างเขา ไม่ปวดร้าวเท่าอยู่ข้างฉัน ขอแค่นั้นให้ฉันได้ทำเพื่อเธอ...
TBC - - ->PART[2]
10/03/2553
แน่นอนว่ามันต้องมีสองตอนเพราะถ้ามีตอนเดียวกวาโดนลีดเดอร์ที่น่ารักฆ่าเอาแน่ๆ
แต่งยากมากคู่นี้= =;แบบว่าไม่ค่อยมีรูปออกมาให้จิ้นสักเท่าไหร่(แต่กวาก็พอมีอยู่ฮ่าๆ)
ตอนที่สองคงต้องรอกันสักแปบเพราะกวาขอไปแต่งF4ก่อนแล้วจะรีบมาลงโดยเร็ว
ตอนนี้มีคนโหวตเพิ่มแล้ว(กวาขอเอาชื่อเรื่องมาลงละกันนะ)
1. [SF CINYE]แกล้ง
2. Merry Christmas DAESUNG x YESUNG[SF DAEYE]
3. special [SF MINHOYE]เมะกับเคะ
4. [SF .....YE]ซาลาเปาของ....(ใคร?)
เปิดโหวตสี่เรื่องนี้แล้วกันนะ
ความคิดเห็น