คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #93 : [SF KIHAEYERYEO]Secret in diary[-END-]
Pairing: KIHAE x YERYEO [KIHAEYERYEO]
Author:Sara_Pao
Rating:PG
Note:ตอนจบมาแล้ว!!!
คิบอมที่อุ้มทงเฮเข้าไปในห้องของเขาและเยซองวางคนตัวเล็กกว่าให้นอนลงบนเตียงของเขา ก่อนจะห่มผ้าให้ ร่างบางยังคงมีน้ำตาไหลออกมา เขารู้ดีว่าคนที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงของเขาต้องทนเก็บความรู้สึกมานานขนาดไหน
เขาเองก็เช่นกัน เขายอมคบเป็นแฟนกับพี่ทงเฮก็เพราะอยากจะลืมร่างบางอีกคนที่ทำให้สมองของเขาปั่นป่วนได้ตลอดเวลา
เขามองไปที่ร่างบางก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป...
เรียวอุคที่วิ่งออกไปจากห้องนั่งเล่นก็ไปนั่งร้องไห้อยู่ในห้องของตัวเอง ตอนนี้เขาหยุดร้องไห้แล้วความเจ็บปวดที่ได้รับมันมีมากเกินกว่าที่เขาจะรับไหว การโดนหลอกซ้ำซากไปมามันทำให้เขาดูเหมือนคนโง่ที่ไม่มีสมอง ความเชื่อใจในตัวของพี่ชายที่เขารักและไว้ใจที่สุดมันได้หมดลงไปแล้ว เขาไม่เคยคิดที่จะรั้งพี่เยซองเอาไว้เลยถ้าพี่เขาคิดที่จะรักใคร แต่ทำไมไม่บอกกันก่อน ทำไมไม่บอกกันบ้าง มัวแต่หลอกให้เชื่อใจอยู่ได้นานสองนาน
เรียวอุคก้มหน้าลงกับฝ่ามือของตัวเองแล้วเริ่มร้องไห้อีกครั้งอย่างสุดจะกลั้นไหว
เยซองที่เดินออกมาจากหอพักได้ไม่นานก็ต้องไปนั่งลงที่เก้าอี้ม้านั่งตัวยาวในสวนสาธารณะใกล้ๆ เขาเหม่อมองขึ้นไปยังท้องฟ้าเหล่าก้อนเมฆมากมายลอยไปมาบนท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากเขาเลยสักนิดเขาเอง...ก็ไร้จุดหมายที่จะทำต่อไปเหมือนกัน
มือเล็กเอื้อมขึ้นจัดทรงผมที่ปลิวไปตามสายลมให้เข้าที่ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบหูฟังขึ้นมาแล้วสวมใส่ลงไปในหูของตน มืออีกข้างกดเล่นเพลงmp3ที่เขาเพิ่งซื้อมาใหม่ เสียงเพลงค่อยๆดังขึ้นมาเบาๆก่อนที่เขาจะหลับตาลงช้าๆให้บทเพลงขับกล่อมไล่ความรู้สึกแย่ๆออกไป
ทงเฮที่เพิ่งรู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียและความรู้สึกไม่ดีเท่าที่ควร เขาอยากให้แต่เรื่องพี่เพิ่งเจอในตอนเย็นเป็นแค่ฝันกลางวันของเขา แต่ดูท่ามันจะไม่ใช่อย่างนั้น ดวงตาเรียวมองไปมาทั่วห้องของรุ่นน้องคนสนิทก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจไปมาช้าๆ
เขาไม่รู้ว่าตอนนี้อีกสามคนที่เหลือเป็นไงบ้าง โดยเฉพาะเรียวอุคคน ตัวเล็กของเขาป่านนี้คงจะนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวรอใครสักคนให้เข้าไปปลอบ เขาควรจะเข้าไปเลยในตอนนี้ดีหรือเปล่า...
แต่แล้วเขาก็ต้องส่ายหน้าไปมาช้าๆให้กับตัวเอง ...ไม่ดีๆเราควรจะหาเวลาเข้าไปปลอบ...
ทงเฮนึกในใจเขานั่งอยู่บนเตียงของรุ่นน้องสักพักก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป
.
.
.
.
คิบอมเดินออกมาจากหอพักได้นานพอสมควรแล้ว เขามองไปบนท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงเรื่อยๆตามปรากฏการณ์ธรรมชาติ ...ควรจะกลับได้แล้ว...
เขานึกในใจก่อนที่จะเดินทอดน่องมองไปตามทางเรื่อยๆ เขาเดินมาไกลพอสมควรจากหอพักของเขามาถึงนี่ก็ใช้เวลาเยอะพอตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทนเดินมาได้ยังไง อาจจะเพราะเอาแต่คิดแก้ปัญหาไร้สาระไปมาเลยมาจบทางอยู่ที่นี่มั้ง
เขาเดินไปเรื่อยๆตามทางกลับทางเดิมที่เขาเคยเดินผ่านมา สายตาก็มองไปเรื่อยๆไม่หยุดก่อนที่จะไปสะดุดเข้ากับร้านๆหนึ่งที่มีสร้อยขายหลายหลายไสตล์ มันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเข้าไปดู
ภายในตัวร้านจัดวางอย่างลงตัว สร้อยต่างๆถูกแขวนขึ้นไปบนฝ้าผนังแล้วห้อยลงมา มันอาจจะดูแปลกๆสำหรับเส้นอื่นๆแต่กลับสร้อยพวกนี้มันทำมาจากเงินแท้ดัดแปลงเป็นรูปร่างดวงดาวและก้อนเมฆเล็กๆ คิบอมเงยหน้าขึ้นไปมองผนังสีดำที่ถูกเติมแต่งจนกลายเป็นท้องฟ้ายามราตรจำลองในร้านแห่งนี้
‘สวยจัง’
เขาคิดในใจ ก่อนจะเดินไปดูตามที่อื่นๆในร้าน สร้อยเงินวาววับสะท้อนกับแสงไฟจากหลอดตะเกียบสองสามดวงที่ถูดจัดวางให้เข้ากับบรรยากาศของร้าน เขาเดินไปหยิบสร้อยเส้นหนึ่งขึ้นมาดู สร้อยเส้นนั้นเป็นรูปก้อนเมฆสีขาวซึ่งทำจากคริสตัลแท้ราคาของมันคงจะแพงโข เขาวางไว้ที่เดิมไม่ใช่ว่าไม่มีเงินจะซื้อแต่เขาคิดว่ามันคงจะหรูหราเกินไปที่เขาจะใส่
เขาเดินไปอีกนิดก็ต้องสะดุดเข้ากับสร้อยรูปหูฟังสีเงินที่วางอยู่ข้างๆสร้อยรูปแว่นตาสีเงินเช่นกัน มือหนาเอื้อมไปหยิบมาถือไว้อย่างถูกใจ
เจ้าของร้านที่เห็นว่ามีลูกค้าเดินเข้ามานานแล้วและดูท่าจะสนใจกับของที่เขาวางขาย จึงเดินเข้ามาถามและพูดคุยอธิบายเรื่องสร้อยนั้นเล็กน้อย
“ชอบเส้นนี้หรือครับ”
คิบอมหันไปมองคนมาทัก เขายิ้มเล็กๆก่อนที่จะพยักหน้าตอบไป
“ครับ”
“สร้อยเส้นนี้เหมาะมากสำหรับคนที่รักดนตรีน่ะครับ”
“รักดนตรี?”
“ใช่ครับ อย่างพวกที่ชอบร้องเพลงหรือเล่นดนตรีอะไรทำนองนั้น ร้านเราทำขึ้นมาพิเศษเลยนะครับ”
ชายเจ้าของร้านบอก คิบอมเพียงแค่พยักหน้าน้อยๆแล้วสร้อยเส้นนั้นอย่างสนใจ เขายกขึ้นมาส่องกับแสงไฟจนจี้รูปหูฟังสะท้อนเข้ากับแสงไฟส่องแสงระยิบระยับ
“ตกลงครับ ผมเอาสร้อยเส้นนี้”
ในที่สุดเขาก็ซื้อมันมาจนได้เขามองมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ไม่รู้ทำไมมันถึงได้น่าสนใจแบบนี้ เขาเดินไปเรื่อยๆตามทางกลับหอพัก อาจจะมีแวะมองดูนู่นนี่บ้างตามประสาคนไม่ค่อยได้ออกสังคมเท่าไหร่ ก่อนที่จะไปสะดุดตากับร่างๆหนึ่งในสวนสาธารณะที่กำลังนั่งฟังเพลงอย่างสบายใจ เขามองแล้วมองอีกแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปทัก
ไม่ใช่กลัวทักคนผิด..แต่กลัวทักแล้วโดนด่ากลับมา
เยซองที่นั่งเล่นเรื่อยเปื่อยมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง ตอนนี้แสงไฟในตัวเมืองค่อยๆเปิดขึ้นมาอีกครั้งให้ความสว่างกับบริเวณท้องที่ เขามองไปตามร้านขายของต่างๆบ้างก็เริ่มเก็บร้านบ้างก็เพิ่งจะจัดร้าน เขานั่งมานานเหมือนกันนะ หูฟังก็ยังคงเสียบอยู่ในหูเพลงก็ยังคงบรรเลงต่อไปตามจำนวนเพลงที่เยซองได้ลงเอาไว้
เขาตัดสินใจลุกขึ้นมายืนยืดเส้นยืดสายและพร้อมที่จะกลับไปหอพักเผชิญหน้ากับอีกสามคนที่เหลือแล้ว
แต่แค่พอหันไปก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่างคุ้นตามายืนอยู่ด้านหลัง
“ไอ้คิบอม”
เขาพูดออกมาด้วยความตกใจ แต่คนโดนเรียกเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินมาหาร่างบางที่ค่อยๆถอยหลังอย่างกลัวๆ
“จะทำอะไรน่ะ”
“ผมแค่จะเข้ามาทักเฉยๆน่ะครับ”
คิบอมตอบหน้าตายทั้งๆที่การกระทำมันไม่ใช่แบบนั้น เยซองก็ยังคงถอยหลังออกไปให้ไกลากร่างสูงให้มากที่สุดอยู่ดี คิบอมเองก็เดินตามก้าวที่ร่างบางถอยไป
“แกจะมา....ว้าก!!!”
หมับ!!
เยซองยังพูดไม่ทันจบก็ต้องร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเขากำลังจะเดินตกลงไปในบ่อน้ำของสวนสาธารณะ ดีที่ได้ร่างสูงตรงหน้าช่วยเขาเอาไว้
คิบอมคว้าเข้าที่เอวบางของรุ่นพี่หน้าหวาน ก่อนจะดึงเข้าหาตัวแล้วใช้จังหวะนี้ถือเป็นการกอดร่างบางไปในตัว
ทั้งๆที่กำลังจะตัดใจได้อยู่แล้วเชียว!!!
“ปล่อยได้แล้ว”
เยซองพูดออกมาเบาๆ มือเล็กเอื้อมไปทุบที่อกแกร่งของอีกคน แต่คนตัวสูงก็ไม่ยอมปล่อยเอาแต่กอดอยู่อย่างนั้น
“นี่ฉันบอกว่า...”
“พี่เหมือนพี่ฮีชอลเลย”
“หา?นายว่าอะไรนะ”
“ขี้บ่นพอๆกันเลย”
เยซองทุบไปมาตามร่างกายของคนตัวสูงที่เอาแต่กอดเขาไม่ปล่อย เขาตีไปมาตามแขนแกร่งก่อนที่คนตัวสูงจะรัดตัวของเขาให้แน่นขึ้น
“พอได้แล้วฮะผมเจ็บ”
คิบอมพูดเสียงอ่อน เยซองหยุดตีอีกคนก่อนที่จะก้มหน้าซบลงไปในอกแกร่งของอีกคนปิดซ่อนความเขินอายของตัวเอง
“ผมขอโทษนะฮะ ที่ทำให้พี่กับเรียวอุคทะเลาะกัน”
คิบอมพูดออกมาเสียงเศร้า เขาไม่น่าจะล่วงเกินพี่ชายร่วมวงโดยการแอบกอดแบบนี้ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อคนเรามีโอกาสก็มักที่จะไขว่คว้าเอาไว้ทุกเวลา
“นายขอโทษแล้วมันทำให้ฉันกับเรียวอุคคืนดีกันได้หรือยังไงล่ะ”
“ผมรู้ครับ...แต่ผมรู้สึกผิดมากจริงๆ”
คิบอมเงียบไปส่งผลให้ร่างบางในอ้อมกอดเงียบตาม พวกเขาทั้งสองคนยังคงกอดกันอยู่ ทั้งคู่ต้องการไขว่คว้าโอกาสแบบนี้เอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่มันจะหมดลง
“ฉันอยากขอโทษทงเฮด้วยที่ทำไปแบบนั้น”
“...”
“ฉัน...มันเป็นพี่ที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ”
เยซองพูดออกมาอย่างเศร้าใจ มันก็จริงอย่างที่เขาพูด เขามันไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง แทนที่จะช่วยพี่อีทึกดูแลน้องๆแต่กลับหาแต่ปัญหามาให้
“ไม่จริงหรอกครับ”
คิบอมพูดปลอบโยนคนในอ้อมกอด เยซองหลับตาลงสักพักก่อนที่จะผลักตัวของคิบอมออกไป
“เราทำผิดมามากพอแล้ว กลับไปหาทงเฮเสียเถอะ”
“ทั้งๆที่พี่ก็รู้ว่าพี่ทงเฮเขารักเรียวอุค”
“...”
“ทั้งๆที่พี่ก็รู้ว่าพี่ทงเฮไม่เคยสนใจผมเลย ในหัวใจของพี่เขามีแต่เรียวอุคทั้งนั้นแต่พี่ก็ยังจะผลักไสผมไปเนี่ยนะ”
“นายพูดอย่างกับว่าฉันกำลังจะเสียนายไปอย่างนั้นแหละ”
“...”
“พอสักที ถ้านายไม่กลับไปหาทงเฮก็หาคนใหม่ซะ คนใหม่...ที่มาแทนพี่ทงเฮ”
เยซองกำลังจะเดินออกไปแต่กลับโดนคนตัวสูงคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน คิบอมดึงตัวของเยซองเข้ามากอดแล้วซุกหน้าลงไปบนไหล่ลาด
“ก็ใช่น่ะสิครับ...ถ้าพี่ปล่อยผมไปพี่จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตนะครับ”
“....”
เยซองเงียบไป เขาเถียงกับหัวใจของตัวเองในใจเงียบๆ
ใช่!!เขารู้ว่าถ้าเขาปล่อยคนตัวสูงที่กอดเขาอยู่ไป เขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
แต่จะให้ทำยังได้ล่ะ..ก็ในเมื่อเขาทำผิดต่อเรียวอุคเขายังไม่ได้บอกอะไรเรียวอุคเลย
ไม่ได้บอกความรู้สึกในตอนนี้.....
“ไปหาคนอื่นซะ”
เยซองกัดฟันพูดออกมาเสียงต่ำ แล้วผลักตัวของคิบอมออกก่อนจะเดินจากไป น้ำตากำลงจะไหลลงมาเขาจะให้เห็นไม่ได้
คิบอมมองคนร่างบางที่กำลังจะเดินจากไป มือกำถุงสร้อยแน่นก่อนที่จะนึกอะไรได้ มือหนายกถุงสร้อยขึ้นมาดู
.
.
.
.
ทงเฮเดินขึ้นไปถึงชั้นสองหน้าห้องของคนตัวเล็ก เขาเอื้อมมือจะไปเคาะประตูห้องแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อบานประตูเปิดออกมาก่อน
คนร่างเล็กเดินออกมาด้วยสภาพไม่ค่อยดีนัก ดวงตาเรียวแดงก่ำใบหน้าเต็มไปด้วยรอยคราบน้ำตา ใบหน้าดูซีดเซียวลง ทงเฮมองอย่างตกใจเขาอยากจะดึงคนร่างบางมากอดเหลือเกิน
“เรียวอุค”
เมื่อร่างบางกำลังจะเดินออกไปเขาก็คว้าเข้าที่ข้อมือเล็ก เรียวอุคหันมามองคนที่ดึงรั้งเขาไว้ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ
“มีอะไรเหรอครับ”
น้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาไม่สมกับเป็นเรียวอุคคนก่อน ทงเฮมองด้วยความตกใจ
“พี่...มีเรื่องอยากจะคุยกับนาย สักนิดได้มั๊ย”
เรียวอุคเงียบไปเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาก่อนจะหมุนข้อมือของตัวเองออกแล้วเดินลงไปข้างล่าง แต่ก็โดนอีกคนดึงตัวเข้ามากอด
“นายเป็นอะไรไป”
เรียวอุคก็ยังคงเงียบเช่นกัน ทงเฮกอดอีกคนแน่นขึ้นกว่าเดิมเขาไม่เข้าใจว่าคนในอ้อมกอดตอนนี้เป็นอะไรไป ทำไมถึงได้เย็นชานัก
“เรียวอุค ตอบพี่มาสิ”
เรียวอุคไม่ตอบแต่กลับดิ้นไปมาสองมือพยายามดันตัวของอีกคนออกไปให้ห่างจากตน แต่ด้วยแรงที่เขาแทบจะไม่มีเดินเลยไม่สามารถทำได้อย่างที่หวัง
“เรียวอุค!!!”
ทงเฮตะโกนออกมาเสียงดังลั่น เรียวอุคชะงักและหยุดดิ้นลง แต่ก็เพียงแค่แปบเดียวก่อนที่จะเริ่มดิ้นใหม่
“เรียวอุค นายเป็นอะไรไปน่ะบอกพี่มาสิ”
“...”
“...”
ต่างคนต่างก็เงียบเป็นคำตอบให้แก่กันและกัน ทงเฮยังคงกอดเรียวอุคอยู่ไม่ยอมหนีไปไหน
“ปล่อยผม”
คำพูดแรกที่หลุดออกมาจากปากของเรียวอุคทำเอาทงเฮชะงัก เขามองคนในอ้อมกอดที่ไม่มีท่าทีว่าจะเลิกเย็นชาแต่อย่างใด
“เรียวอุค”
เสียงเรียกของทงเฮช่างแผ่วเบา เรียวอุคมองอีกคนที่มองเขาอย่างเจ็บปวดแต่ทงเฮไม่รู้หรอกว่าเขาเจ็บมากกว่าเพียงใด
“ทำไมเรียวอุค ทำไมนายถึงเปลี่ยนไป”
“...ถ้าเป็นพี่ล่ะครับ”
“...”
“ถ้าพี่โดนคนที่เชื่อใจมาตลอดหลอกเอาแบบนี้ พี่ยังจะทำตัวยิ้มแย้มได้อีกเหรอครับ”
เรียวอุคระเบิดอารมณ์ออกมาเขายกมือขึ้นทุบหน้าอกของอีกคนไปแรงๆหลายครั้ง ทงเฮก็ไม่ได้ว่าหรือปัดป้องใดๆ เขายอมให้คนที่เขารักทำร้ายเขาถ้ามันจะทำให้อีกคนพอใจหรือสบายใจขึ้น
“พี่มันก็เหมือนคนอื่นๆ เอาแต่หลอกลวงผม...ฮึก”
เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบาง ทงเฮยังคงยืนนิ่งไม่ได้ตอบโต้อะไรมีเพียงสายตาที่แสดงความเป็นห่วงตลอดเวลาแสดงตอบไป
“พี่มันก็คนหลอกลวง!!!”
เรียวอุคหยุดทุบตัวของอีกคนแล้ว เขาเอามือที่กำเข้าหากันแน่นค้างอยู่บนหน้าอกแกร่งนั่นแล้วค่อยๆซบหน้าลงไป เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเหลือทำอะไรอีกแล้ว
“ผมเกลียดคนหลอกลวง!!!”
“....”
“พี่ได้ยินหรือเปล่า..ว่าผมเกลียดคนหลอกลวง!!!”
“ได้ยินสิ”
เสียงของทงเฮสั่นเครือ เขามองเรียวอุคที่ร้องไห้ซบอกเขาอยู่มือบางยกขึ้นลูบหัวอีกคนเบาๆอย่างปลอบโยน
“ทำไมพี่จะไม่ได้ยินเสียงของนายล่ะ”
“ฮึก ฮือๆ”
“แต่พี่อยากให้นายฟังคนอื่นบ้าง”
“ฮึก...อึก ฮือ”
“อย่าทำให้พี่เป็นห่วงมากไปกว่านี้ได้มั๊ย”
เรียวอุคเงยหน้าขึ้นมองอีกคนช้าๆ น้ำใสๆไหลออกมาจากตาไม่หยุด ทงเฮเองก็มองอีกคนเช่นกันมือบางเลื่อนจากหัวลงมาจับที่รอบเอวของอีกคนก่อนจะรั้งตัวของคนในอ้อมกอดเข้ามาหาตัวเอง
“ทำไมฮึก ทำไมพี่ต้องเป็นห่วงผมฮือ ทั้งๆที่มันฮึกไม่จำเป็น ฮึก”
“ก็เพราะพี่รักนายไง เพราะพี่ทนเห็นนายร้องไห้ไม่ได้ เพราะพี่ทนเห็นน้ำตาของนายไม่ได้”
“!!!”
ใบหน้าของทงเฮค่อยๆเลื่อนเข้ามาหาอีกคนช้าๆ เรียวอุคมองอีกคนดวงตายังคงว่างเปล่าเช่นเดิมไม่มีอารมณ์อะไรแสดงออกมาทั้งนั้น
“ถ้าหากเป็นไปได้....”
“...”
“ให้โอกาสพี่ได้มั๊ยครับ คนดี”
ทงเฮพูดจบก็ค่อยๆประทับริมฝีปากของตัวเองลงไปบนริมฝีปากของอีกคนอย่างแผ่วเบา เรียวอุคค่อยๆหลับตาลงช้าๆรับสัมผัสที่อีกคนจะมอบให้ เรียวลิ้นร้อนค่อยๆแทรกผ่านเข้าไปด้านในของโพรงปากอีกคนช้าๆก่อนจะควานหาความหอมหวานที่เขาถวิลหามานาน มือบางที่ว่างอีกข้างจับท้ายทอยของอีกคนให้รับสัมผัสที่เขาจะมอบให้อย่างเต็มที่ ลิ้นเล็กพยายามที่จะโต้ตอบอีกคนแต่ก็ยังคงดูเก้ๆกังๆ ทั้งคู่ต่างมอบความหวานและความอ่อนโยนให้กันและกันเนิ่นนาน
.
.
.
.
เยซองที่ตั้งใจว่าจะขึ้นไปขอโทษอีกคนก็ต้องชะงักฝีเท้าอยู่กลับที่ รอยยิ้มอ่อนโยนค่อยๆปรากฏออกมา
‘เอาไว้พี่ค่อยมาหานายใหม่ละกันนะ เรียวจัง’
เยซองค่อยๆย่องลงไปให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะกลัวจะไปขัดความสุขของคนทั้งคู่ที่เพิ่งปรับความเข้าใจกันได้
เขาเดินล้วงกระเป๋าลงมาจากชั้นสองของหอพัก เขาเดินไปเรื่อยๆพลางคิดอะไรไปต่างๆนานา เรื่องของน้องชายสุดที่รักก็จบลงไปแล้ว...ทีนี้ก็คงเป็นของเขา
เฮ้อ!!!แค่คิดก็ต้องถอนหายใจออกมายาวเหยียด เขายังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงดี
แต่คิดได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งน้อยๆเมื่อโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงดันสั่นขึ้นมา เยซองล้วงเอามือถือของตัวเองขึ้นมากดดูก็ต้องทำหน้าเบื่อหน่าย
‘ข้อความ ของเครือข่ายอีกอ่ะดิ’
แต่พอเขากดเข้าไปดูก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชื่อของคนที่ส่งมา
‘คิบอม’
เยซองคิดอยู่นานว่าจะกดอ่านดีมั๊ย ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ เขาเปิดข้อความนั้นอ่านก่อนที่คิ้วเรียวจะขมวดเข้าหากัน
‘คืนนี้ตอนหนึ่งทุ่ม มาหาผมที่สวนสาธารณะตอนเย็นหน่อยได้มั๊ยครับ ไม่ต้องส่งตอบหลับมาหรอกนะฮะ แล้วตอนหนึ่งทุ่มเราค่อยเจอกัน
คิม คิบอม’
เยซองปิดหน้าจอโทรศัพท์ลง เขามองมันอยู่นานก่อนที่จะเก็บลงเข้ากระเป๋าไป
‘ทำไมฉันต้องไปด้วยล่ะ ไอ้เด็กบ้า!!!’
เขาคิดแบบนั้นก่อนที่จะมองนาฬิกาซึ่งมันบอกเขาว่าตอนนี้เวลาเดินมาหกโมงครึ่งแล้ว
.......
‘เฮอะ ไม่ไปหรอกโว้ย’
คิบอมที่เพิ่งส่งข้อความไปก็เก็บเอาโทรศัพท์เข้ากระเป๋าตามเดิม ก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋าหยิบถงสร้อยเมื่อตอนเย็นขึ้นมาดูแล้วอมยิ้มให้กับมัน
“ฉันว่าเจ้าของแกต้องไม่มาแน่ๆ”
เขาพูดกับมันก่อนที่จะยิ้มแบบเดิม แหมเขาจะพูดอย่างนั้นออกไปแต่ในใจก็หวังอยู่เหมือนกันว่าอยากให้ใครอีกคนมา
เขาเดินไปที่ร้านขนาสร้อยนี้อีกครั้งก่อนที่เจ้าของร้านจะเข้ามาทัก
“ต้องการสร้อยแบบไหนครับ”
“เอ่อ...คือผมมีเรื่องอยากจะขอร้อง ได้หรือเปล่าครับ”
“เอ๋?”
.
.
.
.
.
เฮ้อ...ในที่สุดเขาก็เดินออกมาจากหอพัก ถึงแม้ตอนนี้มันจะเลยนัดมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วก็ตาม มือเล็กก็ยังคงเอาล้วงกระเป๋าเหมือนเดิม เพราะอะไรว้า..ถึงได้อยากไปหาเจ้าเด็กนั่นขนาดนี้
ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ!!!!
มือเล็กที่ล้วงในกระเป๋ากางเกงรับรู้ถึงการสั่นไปมาของโทรศัพท์ตัวเอง เขารีบคว้าขึ้นมาดูทันทีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหวาน
‘บริการโหลดเสียงรอสาย.....’
ปิ๊บ!
เยซองต้องยิ้มค้างเมื่อเห็นว่าข้อความที่ส่งมาไม่ใช่ของคนที่เขารอ ห่วยแตกจริงๆ!!!
ไอ้ข้อความสัปปะรังเค
เขาก่นด่าไอ้คนที่ส่งข้อความมาให้เขาดีใจเก้อ ก่อนที่จะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าตามเดิม
เยซองเดินมาถึงสวนสาธารณะที่คิบอมนัดเข้าเอาไว้ แต่พอมาถึงก็ยังไม่เห็นเจอใครสักคน ลมเย็นๆพัดผ่านตัวของเขาไปความรู้สึกหนาวทำให้เขาต้องเอามือลูบไปมาตามลำแขนของตัวเองเบาๆ
หนาวโว้ย!!!
เยซองนั่งลงที่ม้านั่งตัวยาวใต้ต้นไม้ใหญ่ เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าความคิดของต่างๆก็ไหลทะลักเข้ามาทันที
‘เจ้าเด็กนั่นมันจะทำอะไรของมัน’
เยซองมองไปมาตามทางต่างๆ แม้แต่ด้านหลังต้นไม้ที่เขานั่งอยู่เขาก็ลุกขึ้นไปมองว่าจะมีใครแอบอยู่หรือเปล่า
‘ไม่ได้หรอก เจ้าเด็กนั่นร้ายกาจจะตาย’
เยซองคิด เขานั่งรอไปเรื่อยๆ
หมับ!
เยซองสะดุ้งดวงตาลืมโพลงเขาดิ้นไปมาเมื่อท่อนแขนแกร่งรัดตัวของเขาแน่นขึ้นไปอีก
“ปล่อย”
สั่งเสียงดังแล้วดิ้นไปมา เยซองพยายามใช้มือของเขาฟาดไปตามลำตัวของผู้จับกุมตัวของเขาเอาไว้
“อยู่เฉยๆก่อนนะครับ”
เยซองหยุดดิ้นลงเมื่อเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างใบหู ลมร้อนที่รวยรินอยู่ที่ต้นคอของเขามันทำให้รู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งร่างกาย
“ไอ้เด็กบ้า เล่นอะไรของนาย”
“...”
คิบอมเงียบไม่ได้ตอบอะไรกลับไป มือหนาเอื้อมไปหยิบผ้าสีดำในกระเป๋ากางเกงออกมาก่อนที่จะสั่งให้อีกคนหลับตา
“หลับตาลง...แล้วเดินตามผมไปนะครับ”
เยซองยังคงดิ้นไปมา เขายังไม่หลับตาจนโดนอีกคนสั่งเข้าให้จึงต้องทำตาม เขาค่อยๆปิดเปลือตาของตัวเองลงมา
คิบอมเมื่อรู้ว่าอีกคนหลับตาลงและหยุดดิ้นแล้วเขาก็ค่อยๆเอาผ้าผืนเล็กสีดำสนิทมาปิดที่ดวงตาทั้งสองข้างของคนร่างบาง
“จะทำ...”
“อยู่เฉยๆสักพักนะครับ”
เยซองยอมเงียบลงตามที่คิบอมสั่ง คิบอมเอื้อมมือที่มีผ้าผืนเล็กสีดำสนิทมาผูกตาอีกคนเอาไว้ไม่ได้แน่นและไม่ได้หลวมจนเกินไป
“นี่เลขอะไรครับ”
คิบอมเดินออกมาชูสองนิ้วให้เยซองที่มีผ้าสีดำสนิทปิดตา เยซองเอามือคลำๆไปทั่วพื้นที่ ก่อนจะมองหาที่มาของเสียง
“ฉันจะไปรู้เหรอวะ ก็แกปิดตาฉันอยู่เนี่ย”
เยซองแหวใส่อีกคนซึ่งคิบอมพอแน่ใจแล้วว่าร่างบางมองอะไรไม่เห็นแน่แล้วก็ค่อยๆเดินไปจับมือของร่างบางมากุมเอาไว้ก่อนจะออกแรงดึงน้อยๆ
“อ๊ะ”
ร่างบางพอถูกดึงก็ร้องออกมาอย่างตกใจ ก่อนที่จะลุกเดินตามคิบอมไป
ตลอดทางเขาก็เอาแต่ถามคนตัวสูงว่าจะเขาไปที่ไหนแต่ร่างสูงก็เอาแต่เงียบจนเขาหงุดหงิด
“นี่ไอ้เด็กบ้าคิบอม ฉันถามว่านายจะพาฉันไปไหน”
เยซองถามอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่เริ่มจะฉุนเฉียวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“พี่ครับ...ผมมีอะไรจะบอกพี่”
“...”
“แต่ถ้าพี่รู้ไปแล้ว...สัญญานะฮะว่าจะไม่โกรธผม”
คิบอมหยุดเดินทำให้เยซองที่เดินตามหลังมาติดๆชนเข้ากับแผ่นหลังหนาของอีกคน คิบอมค่อยๆหันตัวมาหาเยซองแล้วเอาสองมือจับใบหน้าหวานนั่นอย่างแผ่วเบา
“บ..บอกอะไร”
“เชื่อในตัวผมนะครับ”
คิบอมเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะเลื่อนหน้าไปหาอีกคนช้าๆก่อนจะประทับจุมพิตลงไปบนหน้าผากเนียนของอีกคนแผ่วเบา ก่อนจะเลื่อนมือลงไปกุมมือของคนร่างบางเหมือนเดิมแล้วออกแรงดึงน้อยๆ
เยซองที่ตกใจกับรอยจูบแผ่วเบาที่หน้าผากก็ได้แต่เขินอายหัวใจเต้นแรงไม่หยุดจนเขากลัวว่ามันจะเด้งออกมาเต้นข้างนอก เสียงอัตราการเต้นของหัวใจแรงขึ้นจนจับจังหวะไม่ถูก
‘ไอ้เด็กบ้า อย่ามาทำให้หวั่นไหวไปมากกว่านี้นะโว้ย!!’
“ถึงแล้วครับ”
คิบอมปล่อยมือออกจากมือของอีกคนก่อนที่อีกคนจะมองไปมาแล้วโวยเล็กๆ
“อะไรอ่ะยังไม่เห็นเลย แกไม่ยอมแก้ผ้าผูกตาออกแล้วฉันจะเห็นป่ะวะ”
คิบอมอมยิ้มกับอาการแก้เขินของรุ่นพี่ตัวบางข้างๆ เขารู้ดีว่ารุ่นพี่คนนี้แอบมองเขามานาน แต่ถ้าจะให้เขาคิดเข้าข้างตัวเองไปมากกว่านี้มันคงไม่ดี
คิบอมเอื้อมมือไปแกะผ้าผูกตาออกจากตาของร่างบางก่อนที่จะวิ่งหายออกไปจากตรงนั้น เยซองที่พอไม่มีอะไรมาบดบังสายตาแล้วก็สะบัดหัวไปมาสองสามทีก่อนจะกระพริบตาปริบๆให้ชินแสงจ้าที่ส่องวาบเข้ามาหาเขา พอสายตาเริ่มชินเขาก็มองเห็นอะไรต่างๆได้มากยิ่งขึ้น
ภาพที่เขาเห็นทำให้เขาตกใจและเผลอยิ้มออกมา
สร้อยรูปก้อนเมฆต่างๆลอยไปมาบนท้องฟ้า ไม่สิต้องบอกว่าผนังที่ถูกทาด้วยสีดำเหมือนสีของผืนท้องฟ้ายามราตรีต่างหาก สร้อยรูปก้อนเมฆหลายหลายสไตล์ห้อยลงมาส่องแสงสะท้อนแสงไฟแข่งกันระยิบระยับไปหมด เขาค่อยๆก้าวเท้าเดินเข้าไป แต่ก็ต้องหยุดมองภาพของตัวเองที่ถูกห้อยลงมาพร้อมกับสร้อยรูปหัวใจ เขาเดินไปจับภาพนั้นขึ้นมาดูช้าๆก่อนจะอมยิ้มออกมา แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนใจมากที่สดก็คงจะเป็นภาพคู่ของเขาและใครอีกคนที่ห้อยลงมาไม่น้อยไปกว่ารูปของเขาเท่าไหร่นัก
เยซองเดินไปมองมันอยู่นาน ภาพของเขาและใครอีกคนที่คอยแอบจับมือหรือกอดกันตลอดเวลา เดินไปอีกนิดก็ต้องเจอกับภาพของเขาที่ถูกตัดต่อให้มาอยู่รวมกับใครอีกคน พวกเขาทั้งสองกำลังมองกันด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
“ชอบหรือเปล่าแบบนี้”
เสียงทุ้มนุ่มที่ดังอยู่ข้างๆใบหูทำให้เขาที่ตกอยู่ในภวังค์สะดุ้งก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับอีกคน
“อะ...”
เขาไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะเพียงแค่ขยับปากริมฝีปากของคิบอมก็จะชนริมฝีปากของเขาอยู่แล้ว เขาสองคนจ้องมองลงไปในดวงตาสีรัตติกาลของกันและกันเนิ่นนานเหมือนต้องการค้นหาอะไรบางอย่างในใจของแต่ละคน
“พี่ยังไม่ได้ตอบคำถามผม”
เยซองหันหน้าหนีไปอีกทางทันที เขาไม่สามารถจ้องตากับอีกคนได้นานๆ สายตาคู่นั้นทำให้หัวใจของเขาละลายได้ทุกเมื่อ
“มันไม่จำเป็นไม่ใช่หรือไงล่ะ”
เขาพูดเสียงอ้อมแอ้ม คิบอมโอบกอดเอวบางของอีกคนเอาไว้ก่อนจะดันตัวให้เข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น จมูกโด่งคลอเคลียอยู่ที่พวงแก้มป่องใสนั่น
“ทำบ้าอะไรน่ะ”
เยซองทุบไปที่แผงอกของอีกคนแรงๆแต่อีกคนกลับไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นยังคงแกล้งเขาไปมา
“ถ้ามีใครมาเห็น...”
“มันไม่มีทางหรอกครับ เพราะผมจองร้านนี้ไว้แล้ว รวมไปถึงหัวใจของพี่ด้วย”
คิบอมพูดออกมาอย่างมั่นใจ ในเมื่อตอนนี้เรื่องมันก็เลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าเขาจะทำผิดต่อเรียวอุคอีกสักหน่อยคงไม่เป็นไร
“ใครบอกนายน่ะ หลงตัวเองจริงๆ”
เยซองบ่นออกมาเบาๆแต่จะรู้มั๊ยว่ามันทำให้ร่างสูงอยากจะเอาริมฝีปากตัวเองบดขยี้ลงไปบนริมฝีปากที่อวดดีนั่น
“ผมไม่ได้หลงตัวเอง แต่ดวงดาวพวกนั้นบอกมา”
คิบอมชี้ไปที่สร้อยรูปดวงดาวต่างๆที่กำลังแข่งกันสะท้อนแฟงไฟส่องแสงระยิบระยับเหมือนมองดาวบนท้องฟ้าจริงๆ
“แล้วพี่ชอบมันหรือเปล่า”
“ไม่ชอบ!!!”
คิบอมหัวใจหล่นวูบเขาพยายามที่จะกลั้นอารมณ์เศร้าเอาไว้
“แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ พวกมันทำให้ฉันยิ้มได้”
เยซองบอกออกมาเบาๆก่อนจะซุกหน้าลงกับแผงอกแกร่งของอีกคนปิดซ่อนความเขินอาย
“แล้วพี่รักผมหรือเปล่า”
เยซองสะอึกเขาไม่ตอบร่างสูงแต่กลับพยักหน้าไปมาเร็วๆในแผงอกแกร่ง
“ฉันรักนายก็แค่น้องเท่านั้นแหละ”
คิบอมมองอีกคนที่โกหกไม่เก่ง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนร่างบางนี่ทิฐิเยอะขนาดไหน
“งั้นทำยังไงผมถึงจะเลื่อนขึ้นได้ล่ะครับ”
เยซองฟาดฝ่ามือลงไปบนแผงอกแกร่งของอีกคนแรงๆจนอีกคนร้องออกมา
“อย่ามาเล่นลิ้นนะ บอกว่าน้องก็แค่น้องสิ”
เยซองหลบสายตาของอีกคนอย่างเขินอาย
“บอกหน่อยเถอะนะฮะ”
“จะให้บอกแบบนี้ได้ไงล่ะ ถ้าอยากเอาชนะใจฉันก็ลองหาทางดูเอาสิ”
เยซองพูดแค่นี้ก่อนที่จะมองไปทางอื่นแล้วผลักอีกคนออกไป แต่เขาก็หนีไม่พ้นมือหนาคว้าเข้าที่ข้อมือของเขาก่อนจะดึงเข้าหาตัวอีกครั้ง มือหนาล้วงเข้าไปหยิบสร้อยออกมาก่อนจะใส่มันให้ร่างบาง
“ผมเห็นว่าพี่ชอบร้องเพลง เลยซื้อมันมาให้หวังว่าจะชอบนะครับ”
เยซองหยิบสร้อยรูปหัวฟังที่คิบอมเพิ่งใส่ให้ขึ้นมามองแล้วอมยิ้มไปมา
“มันแสดงให้เห็นว่าคนที่ใส่มันชอบการร้องเพลง และชอบเสียงดนตรี”
“มันเหมาะกับพี่มากเลยใช่มั๊ยล่ะ”
“อืม”
เยซองตอบสั้นๆก่อนที่จะยกมันขึ้นมาดูอย่างชอบใจ
“และผมเองก็จะทำให้พี่ยอมรับผมให้ได้ไม่ว่าจะต้องทำด้วยวิธีไหน”
“...”
“เชื่อใจในตัวของผมนะครับ”
คิบอมยื่นนิ้วห้อยออกมาสัญญาก่อนที่เยซองจะมองแล้วเกี่ยวก้อยลงไป ทั้งคู่เหมือนเด็กที่เพิ่งจะคืนดีกันหลังจากโกรธกันมานาน
สัญญานิ้วก้อย....
รอยจูบที่แสนอ่อนโยน....
พวกเราจะเคียงคู่กันตลอดไป
++แถม++
หลังจากวันนั้นทงเฮก็คอยดูแลเรียวอุคตลอดเวลาไม่ว่าคนตัวเล็กจะไปทำอะไรที่ไหนเขาก็จะตามไปด้วยตลอดเวลา
ทงเฮทำหน้าที่แทนเยซองได้ดีและดีมากในความคิดของเรียวอุค จากในตอนแรกที่เขาไม่ยอมเชื่อใจใครแต่ตอนนี้เขาค่อยๆไว้วางใจในตัวของทงเฮอย่างไม่รู้ตัว
วันนี้ก็เช่นกันที่ทงเฮนัดให้เขาขึ้นไปหาเจ้าตัวที่ดาดฟ้า เรียวอุคไปยืนรอตั้งแต่สองทุ่มนี่ก็จะปาเข้าไปสามทุ่มแล้วคนที่นัดเขาไว้ก็ยังไม่เห็นโผล่หน้ามา
เฮ้อ...หรือเขาจะคิดผิดอีกครั้ง!!!
ปั้ง!!
“แฮ่กๆ”
เสียงเปิดประตูดังลั่นก่อนที่เสียงหอบแฮ่กจะดังปลุกสติของเรียวอุคให้หันไปมอง ทงเฮที่ยืนหอบโดยยึดเอาขอบประตูไว้เป็นที่พึ่งพิง
“ขอโทษนะเรียวอุค”
ทงเฮค่อยๆเดินเข้ามาอีกคนที่มองอย่างงอนๆ
“ผมงอนพี่แล้ว”
เรียวอุคยืนกอดอกก่อนจะเดินจากไปแต่ก็โดนอีกคนกอดเข้าให้เสียก่อน
“ปล่อยนะ”
“พี่ขอโทษนะที่พี่มาช้า”
“อย่ามาพูดเลย”
เรียวอุคพูดออกไปอีกครั้ง ทงเฮทำหน้าเศร้าก่อนที่จะกระชับอ้อมกอดแน่น
“แล้วจะให้พี่ทำยังไงล่ะถึงจะหายโกรธ”
“เฮอะ!”
เรียวอุคทำเสียงขึ้นจมูกบอกทงเฮกลายๆว่า’ผมไม่หายโกรธพี่ง่ายๆหรอก’
“งั้นพี่เล่านิทานให้ฟังเอามั๊ย”
“ผมไม่ใช่เด็กนะ”
เรียวอุคขึ้นเสียงซึ่งเรียกรอยยิ้มได้อย่างดี
“ในสายตาของพี่ นายคือเด็กนะ เด็ก.....ที่พี่จะปกป้องไปตลอดชีวิต”
“....”
เรียวอุคยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว หัวใจของเขาที่เคนเลิกรักคนๆนี้กลับมาเต้นให้คนๆนี้อีกครั้ง
“กาลครั้งหนึ่ง....มีสาวทอผ้าคนหนึ่งซึ่งเป็นนางฟ้า1ใน7นางพระราชธิดาแห่งเง็กเซียนฮ่องเต้ และหนุ่มเลี้ยงวัวเป็นมนุษย์เดินดินธรรมดาๆ มีเรื่องเล่ากันมาว่า สาวทอผ้าได้ลงมายังโลกและมาพบรักกับหนุ่มเลี้ยงวัว จนทั้งสองอยู่กินกัน แต่เรื่องราวกับไปรู้ถึงเจ้าแม่ซีหวังหมู่พระพันปีหลวง ทรงสั่งให้ท้าวจตุรโลกบาลมาจับสาวทอผ้ากลับสวรรค์ สาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัวจึงพลัดพรากจากกัน หนุ่มเลี้ยงวัวถึงจะเป็นมนุษย์เดินดินไม่มีพลังอำนาจวิเศษใดๆก็ตาม แต่ก็ด้วยความพยายามในความรักเดินทางมายังสวรรค์จงได้ แต่พอสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัวพบกันทั้งสองก็หมายจะวิ่งไปหากัน แต่พระพันปีหลวงกลับใช้ปิ่นปัดผมของพระองค์ปาให้ล่องกลางระหว่างสาวทอผ้ากับ หนุ่มเลี้ยงวัว เกิดว่าแผ่นฟ้าเคลื่อนออกจากกัน เกิดเป็นสายน้ำสีขาว( ทางช้างเผือก ) บังเกิดขึ้น ทำให้หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าอยู่กันคนละฝั่ง ทั้งสองต่างร่ำไห้กันอยู่คนละฝั่ง คิดว่าคงไม่ได้อยู่ร่วมกันอีกแล้ว แต่เทพเจ้าบางองค์ก็ไม่ได้ไร้หัวใจต่างพากันช่วยบันดาลฝูงนกบินมาต่อกันเป็นสะพาน ให้สาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัวข้ามมาพบกัน แต่จะเป็นเช่นนี้ได้ก็แค่ปีละครั้งเท่านั้น....”
เรียวอุคที่ฟังทงเฮเล่าจบก็ถึงกับงงไปเลย เขาพยายามที่จะถามทงเฮว่าต้องการสื่อถึงอะไร แต่เหมือนอีกคนจะรู้ใจเลยพูดขัดออกมาเสียก่อน
“ที่พี่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็เพราะพี่คิดว่าเราทั้งคู่เหมือนสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัวน่ะสิ ถึงแม้ว่าเราจะมีอุปสรรคมากมายมาขวางกั้นแต่เราก็ยังได้มารักกันถึงแม้ว่า....เราจะไม่ได้แสดงออกมาก็ตาม”
ทงเฮพูดจบด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ เรียวอุคหัวใจกระตุกวูบก่อนที่จะเอามือลูบไปตามือแกร่งที่เกาะเอวของตนเอาไว้อยู่ ทงเฮเอาคางเกยไว้บนไหล่ลาดก่อนที่จะหลับตาลงแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
‘ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้แสดงออกต่อกันว่ารักกันมากเพียงใด แต่พี่ก็จะรอ...รอจนกว่าวันนั้นจะมาถึงวันที่เราได้แสดงออกถึงความรู้สึกที่มีให้แก่กัน เรียวอุคพี่รักนายนะ...’
THE END
06/03/2553
อ่าๆๆจะบอกว่าในตอนนี้ทงเฮยังนึกว่าเย่กับเรียวยังรักกันอยู่นะ(ถึงแม้พี่เย่แกจะไปอยู่กับบอมแล้วอ่ะนะ) เอาเป็นว่ากวาขอฝากฟิคเรื่องใหม่ด้วยนะกวาเอามาลงแทน’พี่เลี้ยงวายร้ายกับคุณชายเย็นชา’อ่ะครับยังไงก็ฝากติดตามด้วยละกันนะครับ ขอบคุณฮะ
ช่วงนี้กวาคงจะอัพฟิคนานหน่อยนะเรื่องเรียนต่อยังเคลียไม่เสร็จเลย แล้วก็นะช่วงนี้กวาจะไม่พูดเรื่องเรียน เพราะฉะนั้นต้องห้ามพูดกันนะมันแทงจึกลงไปในจิตใจกันเลยทีเดียว เจ็บจี๊ดเลยอ่ะToT
ตกลงแล้วนะ^___^
ความคิดเห็น