ตอนที่ 7 : เจ้าชายสองพระองค์(ปรับปรุง)
ม้าสองตัววิ่งตามกัน ผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี ผู้ที่นั่งบนหลังม้าสีดำที่นำหน้า เป็นเด็กหนุ่มวัยสิบสามย่างสิบสี่ รูปร่างสันทัด ผิวสีน้ำผึ้งอ่อน ใบหน้าคมคาย ส่วนอีกผู้หนึ่งที่ควบม้าสีน้ำตาลตามมา เป็นหนุ่มรุ่นคราวเดียวกัน ร่างผอมสูง ผิวค่อนข้างขาว เสื้อผ้าที่ทั้งสองสวมใส่แม้มีลวดลายเรียบๆแต่ก็ทอจากผ้าเนื้อดี
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ม้าทั้งสองก็มาหยุดยังแนวไม้ติดชายทุ่ง เด็กหนุ่มบนหลังม้าตัวแรกหันไปเอ่ยกับผู้ที่เพิ่งตามมาถึงว่า “วันนี้เจ้าเป็นอันใด ยุทธิษเฐียร เหตุใดจึงช้านักเล่า”
“ม้าของหม่อมฉันเป็นแต่ม้าหัวเมือง ไหนเลยจะสู้ฝีเท้าม้าจากพระนครได้” อีกฝ่ายตอบ
“เจ้าโทษผู้อื่นอีกแล้วนะ ก็เมื่อวันก่อน ข้าก็ใช้ม้าตัวเดียวกับเจ้ามิใช่หรือ”
“เช่นนั้น ก็คงเป็นด้วยหม่อมฉันมิอาจเทียบพระบารมีของพระองค์ได้ พระราเมศวร” เด็กหนุ่มผิวขาวว่า
อีกฝ่ายหัวเราะ “มิต้องมายกยอ อันการขี่ม้าเกี่ยวอันใดกับบุญบารมีด้วยเล่า”
“หม่อมฉันเป็นเพียงข้าแผ่นดิน ไหนเลยจักเทียมพระองค์ ผู้เป็นหน่อพระพุทธเจ้าได้” ผู้มีนาม ยุทธิษเฐียร กล่าวขรึมๆ
“อย่าได้เจรจาเยี่ยงนั้นอีก” พระราเมศวรตรัสอย่างจริงจัง “ตัวเจ้าเองก็สืบสายวงศ์พระร่วงเจ้า หาได้มีศักดิ์ด้อยกว่าไม่ แลที่สำคัญ ข้านั้นถือว่าเจ้าคือสหาย ฉะนั้นแล้วขอจงอย่าได้ถือยศถือศักดิ์อันใด”
“ขอบพระทัย” อีกฝ่ายรับคำพร้อมกับยิ้มอย่างรู้สึกดีขึ้น
เจ้าชายหนุ่มแห่งอโยธยาทรงยิ้มตอบ พระยุทธิษเฐียรกับพระองค์นั้นเป็นสหายสนิทคุ้นเคยกันมานานปีตั้งแต่เมื่อครั้งที่พระราเมศวรเสด็จขึ้นมาประทับยังเมืองสองแควเป็นคราแรก
หลังจากทั้งสองบังคับม้าเดินเหยาะย่างเคียงกันไปได้ครู่หนึ่ง พระยุทธิษเฐียรก็ทูลเอ่ยขึ้นว่า ”หม่อมฉันยินว่า วันพรุ่ง พระองค์จักเสด็จกลับอโยธยาแล้ว”
“ใช่ “พระราเมศวรทรงพยักพักตร์ “มาอีกที ก็คงปีหน้า”
“สามเดือนช่างเร็วนัก” อีกฝ่ายว่า “น่าเสียดาย นี่หม่อมฉันหมายเชิญพระองค์ ไปล่องเรือด้วยกันในวันพรุ่งโดยแท้”
พระราชโอรสแห่งพ่ออยู่หัวอโยธยาทรงแย้มสรวล “ไว้คราหน้า ข้ามิปฏิเสธแน่”
“เช่นนั้น หม่อมฉันจักรอ”
“ยังมีอีกสิ่ง ที่ข้าใคร่ขอเจ้า”
“เรื่องอันใดฤา”
“ข้าขอให้เจ้าเร่งฝึกขี่ม้าให้เก่ง มาคราหน้า เราจักได้แข่งกันให้สนุกยิ่งขึ้น”
พระยุทธิษเฐียรทรงยิ้มรับ “หม่อมฉันขอรับปากว่าคราหน้า จักต้องชำนะให้จงได้”
“ข้าจะคอยดู” ตรัสแล้วพระราเมศวรก็ทรงพระสรวลอย่างรื่นเริง
****************
ม้าสีน้ำตาลตัวหนึ่งควบตะบึงมาตามถนนดินจนฝุ่นตลบ แต่ก็ยังไม่เร็วเท่ากับที่ใจของผู้ซึ่งอยู่บนหลังของมันต้องการ..
หลังติดตามถวายอารักขาขบวนเสด็จของพระราเมศวรกลับถึงพระนคร แสนก็ได้ทราบข่าวจากบ่าวของตนที่ไปรอรับยังซุ้มประตูเมืองว่า จันทน์หอมเจ็บท้องใกล้คลอด เมื่อรู้เรื่อง ชายหนุ่มก็รีบตรงกลับบ้านทันทีด้วยความเป็นห่วงภรรยาและลูกในท้องของนาง
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน แสนโดดลงจากหลังม้าและวิ่งขึ้นเรือนอย่างรีบเร่ง ซึ่งเมื่อขึ้นไป ก็พบนางสายพิณ มารดาของตนนั่งอยู่ ส่วนบรรดาบ่าวไพร่ต่างก็เดินไปมาดูวุ่นวาย
ชายหนุ่มปราดเข้าไปคุกเข่ากราบผู้เป็นมารดาก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า”ยามนี้จันท์หอมเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
“หมอตำแยเพิ่งเข้าไปเมื่อสักครู่นี้เอง” อีกฝ่ายตอบ “อีกสักประเดี๋ยวก็คงจะคลอดแล้ว”
“พอรู้ว่าจันทน์หอมเจ็บท้อง ข้าก็รีบมาทันที”แสนมองเข้าไปในห้องด้วยความกังวล”มิรู้ว่า ยามนี้นางเป็นอันใดบ้าง”
ผู้เป็นมารดามองบุตรชายอย่างเข้าใจ “ใจเย็นเถิดลูกแม่” นางปลอบ “จันทน์หอมกับลูกของเจ้าต้องปลอดภัยแน่”
“แต่ข้าเป็นห่วงนางกับลูกยิ่งนัก”
“เพลานี้ ถึงเจ้าร้อนรนไป ก็มิทำให้สิ่งใดดีขึ้นมาดอก”
แม้ได้ยินเช่นนั้น แต่แสนก็มิอาจใจเย็นได้ เขาภาวนาในใจขอคุณพระศรีรัตนไตรคุ้มครองเมียแลลูกที่กำลังจะเกิดมา
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากในห้อง แสนลุกขึ้นยืนแทบจะในทันที
“เสียงเด็กร้อง” เขาอุทาน
ครู่ต่อมา บ่าวหญิงผู้หนึ่งก็เดินออกจากห้องมาคุกเข่าตรงหน้าเจ้าบ้านทั้งสอง “นายหญิงจันทน์หอมคลอดแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าได้ลูกหญิงหรือชาย”แสนถาม
“เป็นชายเจ้าค่ะ”อีกฝ่ายตอบ
“แล้วเมียกับลูกข้าปลอดภัยดีหรือไม่”
“ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็รีบก้าวเข้าไปในห้อง โดยมีผู้เป็นมารดาก้าวตามเข้าไปอย่างช้าๆ
…เมื่อเข้ามาข้างใน แสนเห็นภรรยานอนพักบนที่นอนซึ่งปูบนยกพื้นสูง ส่วนทารกน้อยที่ยามนี้หลับสนิทไปแล้ว มีบ่าวผู้หนึ่งกำลังอุ้มอยู่ เด็กน้อยมีเค้าหน้าคล้ายกับผู้เป็นบิดา
“น่ายินดีแท้ ที่เจ้าได้บุตรเป็นชาย” นางสายพิณกล่าวพลางมองดูหลานชาย รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า “วันหน้าจักได้สืบการสำคัญแก่แผ่นดิน”
ในเวลาเดียวกัน แสนแทบไม่ได้ยินสิ่งใด ด้วยมัวแต่ปลาบปลื้มยินดี เมื่อรู้ว่าตนได้บุตรชายและได้เห็นผู้เป็นภรรยาปลอดภัย ชายหนุ่มเข้าไปนั่งอยู่ข้างนาง พลางยกมือขึ้นลูบหน้าผากแผ่วเบา
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง จันท์หอม”
อีกฝ่ายยิ้มอ่อนแรง “ข้ามิเป็นไรดอก พี่แสน“
“สีหน้าเจ้าอิดโรยเหลือเกิน เจ้าต้องพักผ่อนให้มากนะ” ชายหนุ่มบอกอย่างเป็นห่วงพลางกุมมือภรรยาเอาไว้
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ “พี่เห็นลูกของเราแล้วหรือยัง หน้าตาเขาเหมือนกับพี่มาก”
“พี่เห็นแล้ว” สีหน้าของชายหนุ่มหันไปดูทารกน้อยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู ก่อนจะหันมากล่าวกับภรรยาว่า “ขอบใจเจ้านัก ที่ให้ลูกคนนี้แก่พี่”
จันท์หอมยิ้มบางๆ อีกครั้ง ก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนแรง ขณะที่ผู้เป็นสามียังคอยเฝ้าดูแลอยู่มิห่าง
****************
เช้าวันต่อมา เทพมาเยี่ยมแสนที่เรือน เพื่อแสดงความยินดีที่อีกฝ่ายได้บุตรคนแรก โดยนำข้าวของมากมายติดมือมาด้วย
“ขอบน้ำใจพี่ท่าน ที่มาเยี่ยม” แสนที่ยืนรออยู่ตรงหัวสะพานกล่าวต้อนรับขณะที่เรือของสหายรุ่นพี่มาถึง
พันฤทธิ์โยธาหรือเทพ ยิ้มกว้าง “น้องข้าได้ลูกชายคนแรกทั้งที มีหรือที่ข้าจักไม่มา”
“ลำพังพี่ท่านมาเยี่ยมข้ากับเมีย ก็ดีนักแล้ว มิต้องขนข้าวของมามากมายเยี่ยงนี้ก็ได้” แสนกล่าวอย่างเกรงใจ
“แล้วผู้ใดบอกเล่าว่า ข้านำมาให้เจ้า” อีกฝ่ายแกล้งว่า “ของพวกนี้ ข้านำมารับขวัญหลานชายข้าต่างหาก”
เจ้าบ้านหัวเราะ ก่อนหันไปสั่งบ่าวไพร่ของตนช่วยคนของอีกฝ่ายขนของขึ้นจากเรือ
“เห็นเจ้ามีลูกเมียเยี่ยงนี้แล้ว ก็อดนึกถึงตัวเองมิได้” เทพเปรยพลางแกล้งถอนหายใจ “ข้าสิ อยู่จนบัดนี้แล้ว ยังต้องเดียวดายไร้คู่เรียงเคียงหมอนอยู่เลย”
คนฟังอมยิ้ม ก่อนพูดว่า “ถึงยังไร้คู่ แต่พี่ท่านก็กวาดเอาสาวๆในอโยธยามาเคียงข้างมิใช่น้อยแล้ว ไม่ใช่หรือ”
อีกฝ่ายทำหน้าบอกไม่ถูกพร้อมรีบกล่าวแก้เกี้ยว “อย่าพูดเยี่ยงนั้นสิ ฟังคล้ายพี่เป็นคนเสเพลเช่นไรมิรู้ หากแม้นท่านหมื่นวิชิตได้ยินเข้า คงมิยอมยกแม่อุ่นเรือน ธิดาของท่านให้พี่เป็นแน่”
“ข้ามิพูดก็ได้”แสนหัวเราะ “หากแต่ยามนี้ พี่ท่านรีบขึ้นเรือนดีกว่า จักได้ไปดูหน้าเจ้าหนูด้วยกัน”
“เช่นนั้นก็ไปสิ” อีกฝ่ายเห็นด้วย
ครู่ต่อมา แสนก็พาผู้เป็นแขกมาไหว้มารดาของตนที่หอนั่ง โดยหลังจากพูดคุยกับมารดาของเจ้าบ้านได้พักหนึ่ง เทพก็ตามสหายรุ่นน้องไปเยี่ยมลูกชายของอีกฝ่ายที่กำลังหลับสนิทหลังจากกินนมจนอิ่มแล้ว
“แหม เจ้าหลานคนนี้หน้าตามันน่าเกลียดน่าชังเสียจริง” เทพกล่าวขึ้นอย่างเอ็นดูขณะที่มองทารกน้อยที่หลับอยู่บนที่นอน “ดูไปแล้ว พี่ว่ารูปหน้าของเจ้าหนู มันค่อนไปทางแม่เสียมากกว่าพ่อนา”
“พี่เทพก็พูดเกินไป เด็กผู้ชายก็ต้องเหมือนพ่อ จักเหมือนแม่ได้เยี่ยงไร” จันท์หอมที่อยู่ด้วยเอ่ยขึ้น
“ไม่หรอกนะ จันท์หอม” แสนว่า “เจ้ามิเคยได้ยินหรือไร ที่โบราณเขาว่า ลูกชายหน้าคล้ายแม่ จักมิอาภัพ”
“มีบิดาเป็นขุนศึกผู้กล้าแห่งอโยธยา ข้าว่าชีวิตเจ้าหนู มันคงมิอาภัพดอก” ผู้เป็นแขกกล่าวยิ้มๆ ก่อนจะหันไปถามนายทหารรุ่นน้องว่า “แล้วนี่ เจ้าตั้งชื่อให้เจ้าหนูหรือยัง”
อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนตอบ “ข้าได้ตั้งชื่อเขาว่า สินเมือง”
“ทั้งไพเราะแลความหมายก็ดีนัก” เทพชม “ข้าเชื่อว่า เมื่อเติบใหญ่ เขาจักได้เป็นขุนศึกเยี่ยงเจ้าเป็นแน่”
“ขอเพียงให้ลูกข้าแข็งแรงแลเติบโตขึ้นเป็นคนดีก็พอแล้ว ส่วนจักเป็นเยี่ยงข้าหรือไม่นั้น หาสำคัญไม่” แสนกล่าวก่อนจะหันไปดูบุตรชายตัวน้อยที่ยังคงหลับสนิทอยู่บนที่นอน ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและห่วงใย
*****************
หลังได้ลูกคนแรก แสนรู้สึกว่าชีวิตของเขามีความสุขมากยิ่งขึ้น เวลานี้ เขามีลูกชายที่น่ารักและภรรยาที่แสนดี ซึ่งทำให้ครอบครัวของเขาอบอุ่นสมบูรณ์พร้อม จนชายหนุ่มคิดว่า เขาคงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว
ทว่า เวลาแห่งความสงบสุขดำรงอยู่เพียงช่วงสั้นๆ เนื่องจากอีกสามเดือนต่อมา ข่าวศึกก็มาถึงอโยธยาและแสนก็ต้องไปราชการสงครามอีกครั้ง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

541 ความคิดเห็น
-
#456 ทะเล ฝัน (จากตอนที่ 7)วันที่ 3 สิงหาคม 2556 / 19:25ชอบตอนนี้จัง อยากให้ความสุขความอบอุ่นคงอยู่แบบนี้ตลอดไปคะ#4560
-
#420 yukai (จากตอนที่ 7)วันที่ 18 พฤษภาคม 2556 / 17:10ว้า มีความสุขแค่ประเดี๋ยวประด๋าวเอง#4200
-
ความเห็นนี้ถูกลบแล้ว :(