ตอนที่ 16 : พญาสองแควทวงคำมั่น(ปรับปรุง)
หลังออกจากกรุงศรีอโยธยาได้ครึ่งเดือน ขบวนเสด็จของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ลุถึงนครไชยนาทสองแคว โดยมีพญายุทธิษเฐียร เจ้าเมืองแควนำเหล่าเจ้านครแลขุนนางฝ่ายเหนือทั้งปวงมารอรับเสด็จ
ยามสาย ภายในพระตำหนักหลังหนึ่งของพระราชวังจันทน์ในเมืองสองแคว สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงประทับพักผ่อนพระอิริยาบถเป็นการส่วนพระองค์โดยมีพญายุทธิษเฐียร ผู้เป็นพระสหาย เข้าเฝ้าอยู่
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จมาประทับยังสองแควได้สามวันแล้ว ทั้งนี้ตลอดสามวันที่ผ่านมา พระองค์ทรงโปรดให้เหล่าเจ้าเมืองและขุนนางฝ่ายเหนือเข้าเฝ้าเพื่อกราบทูลถึงความเป็นไปของบ้านเมืองฝ่ายเหนือพร้อมกันนี้พระองค์ก็ทรงซักถามข้อราชการสำคัญๆกับบรรดาเจ้าเมืองและขุนนางเหล่านั้น
“สามวันที่ผ่านมา เจ้ากับข้ายังมิได้มีโอกาสสนทนากันเป็นการส่วนตัวเลยนะ ยุทธิษเฐียร” พ่ออยู่หัวแห่งอโยธยาทรงรับสั่งกับพระสหายเก่า “วันนี้ ข้าใคร่สนทนากับเจ้าเยี่ยงสหายให้หายคิดถึง”
“ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า” อีกฝ่ายถวายบังคม “ยามนี้ใต้ฝ่าพระบาท ทรงเป็นพ่ออยู่หัวแล้ว ส่วนหม่อมฉันเป็นแต่เพียงขุนนาง จึงมิอาจทำเช่นนั้นได้”
“ยามนี้ มีแต่เพียงเราสองเท่านั้น เจ้ามิต้องถือพิธีให้มากนักดอก ขอให้เราสนทนากันเสมือนเมื่อก่อนเถิด”
“เป็นพระกรุณายิ่ง”
พระบรมไตรโลกนาถทรงแย้มสรวล “เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามนี้ ข้าก็ยังนึกถึง เมื่อครั้งที่เราเคยแข่งม้ากันในทุ่งนอกเมือง”
“หม่อมฉันยังจำได้ดีว่า พระองค์ทรงบังคับม้าได้เก่งกาจเพียงใด” เจ้าเมืองสองแควกราบทูล
“เจ้าเองก็หาได้อ่อนฝีมือไม่ กว่าที่ข้าจักชนะได้ ก็เหน็ดเหนื่อยมิน้อยเช่นกัน”พ่ออยู่หัวทรงพระสรวลเบาๆ “ที่จริง จักว่าไปแล้ว ในเพลานั้น มิว่าพวกเราทั้งสองแข่งขันอันใดกัน เจ้าก็จักสู้อย่างเต็มกำลังเสียทุกครั้งครา”
“หม่อมฉันคงเป็นคนที่ดื้อดึงเกินไปสักหน่อย”
“ข้าเองก็ชมชอบชัยชนะที่ได้มาอย่างยากลำบากเช่นกัน” พระบรมไตรโลกนาถตรัสยิ้มๆก่อนจะทรงหยิบจอกทองใส่น้ำจันทน์ขึ้นเสวย “เช่นนี้แล เราทั้งสองจึงเหมาะแล้วที่เป็นสหายกัน”
พญายุทธิษเฐียรทรงมององค์เหนือหัวครู่หนึ่ง ก่อนจะกราบทูลขึ้นว่า “พูดถึงเรื่องเมื่อครั้งเก่า หม่อมฉันยังมีความข้อหนึ่งใคร่กราบทูล แต่มิทราบว่าจักทรงโปรดหรือไม่”
พ่ออยู่หัวทรงวางจอกน้ำจันทน์ลง “จงว่ามาเถิด”
“พระองค์ยังทรงจำคำมั่นสัญญาที่ประทานแก่หม่อมฉันเมื่อครั้ง ก่อนทรงขึ้นครองราชย์ได้หรือไม่” เจ้าเมืองสองแควทรงกราบทูลถามด้วยสุรเสียงเรียบๆแต่พระเนตรนั้นมีประกายบางอย่าง
จอมคนทรงนิ่ง เมื่อได้ทรงสดับความเช่นนั้นจากพระสหายเก่า
**************
ยามค่ำ ภายในห้องบรรทมของพระตำหนัก พระราชวังจันทน์ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงประทับพิงพระเขนย อยู่บนพระแท่นบรรทม โดยมีพระอัครชายาเทพกัลยาศรีจุฬาลักษณ์ ประทับร่วมแท่น
“วันนี้ ทูลกระหม่อมทรงเป็นอันใดหรือเพคะ สีพระพักตร์จึงเคร่งเครียดนัก” พระอัครชายาทรงกราบทูลถาม ด้วยทรงเห็นว่าพระสวามีมีสีพระพักตร์เคร่งขรึมกว่าที่เคย
“ข้ากำลังคิดถึงเรื่องบางอย่าง”
“พอจะรับสั่งกับหม่อมฉันได้หรือไม่”
จอมคนทรงทอดพระเนตรพระอัครชายา ก่อนรับสั่งว่า “วันนี้ ข้าได้คุยกับยุทธิษเฐียร ถึงเรื่องเมื่อครั้งยังเด็ก เขาได้ทวงถามสัญญาเก่ากับข้า”
พระอัครชายาเทพกัลยา แสดงความฉงนพระทัย “เจ้าพี่ยุทธิษเฐียรทรงกราบทูลอันใด หรือเพคะ”
“เขาทวงถามถึงคำสัญญา อันข้าเคยให้ไว้ก่อนขึ้นครองราชย์ ว่าวันใดที่ข้าเป็นพ่ออยู่หัว จักให้เขาเป็นมหาอุปราช”
“หม่อมฉันคิดว่า พระองค์คงมีข้อข้องขัดบางประการที่จะทำตามคำสัญญานั้น”
“เทพกัลยา” พระบรมไตรโลกนาถทรงแย้มสรวลกับพระอัครชายา “เจ้ารู้ใจข้าเสมอ”
“หม่อมฉันเพียงแต่คาดเดาเท่านั้น”
“ข้าเคยเอ่ยเรื่องนี้กับเหล่าขุนนาง แต่ส่วนใหญ่ มิเห็นชอบด้วยการตั้งยุทธิษเฐียรเป็นมหาอุปราช ด้วยมองว่า ยุทธิษเฐียรยังขาดคุณสมบัติ ที่จักรับตำแหน่งนี้” ท้ายประโยค พ่ออยู่หัวทรงรับสั่งเชิงหารือ “เจ้าคิดว่า ข้าควรบอกเขาเช่นไร”
“หม่อมฉันรู้จักญาติผู้พี่ของหม่อมฉันดี” พระนางเทพกัลยา กราบทูล “เจ้าพี่ยุทธิษเฐียรเป็นคนใจร้อน แลบางครั้งก็ขาดความรอบคอบ หากจักให้ดำรงตำแหน่งสำคัญเช่นนั้นในยามนี้อาจมิเหมาะสมนัก”
“เจ้าจะให้ข้าผิดสัญญากับเขาหรือ”
“มิใช่เช่นนั้นเพคะ” พระอัครชายาผู้สืบสายวงศ์พระร่วงส่ายพักตร์ “หม่อมฉันเพียงเห็นว่า ควรทอดเพลาเรื่องนี้ไปก่อน รอให้เหล่าขุนนางยอมรับ ในองค์เจ้าพี่ยุทธิษเฐียรมากกว่านี้ แล้วพระองค์ค่อยทรงนำการนี้ มาพิจารณาใหม่ก็ได้”
“ข้าเกรงว่าเขาจักเคืองโกรธน่ะสิ”
“คงไม่ดอกเพคะ” พระนางเทพกัลยาทรงกราบทูล “ถึงอย่างไร เจ้าพี่ยุทธิษเฐียรก็เป็นพระสหายมาแต่เดิม ทั้งยังมีความจงรักภักดีต่อทูลกระหม่อมยิ่งนัก คงจะมิคิดเช่นนั้นเป็นแน่”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น”จอมคนทรงถอนพระหทัย “เพราะข้าคงไม่สบายใจหากต้องมาผิดใจกับเขาด้วยเรื่องนี้”
***********************
ยามค่อนรุ่ง ที่หน้าเรือนพักหลังหนึ่งในเมืองสองแคว อากาศเย็นยะเยือก สายหมอกยังคงโรยตัวปกคลุมไปทั่ว เสียงไก่ขันดังแว่วมา เป็นสัญญาณของวันใหม่ ขณะที่ขอบฟ้าทางทิศตะวันออก แสงสีทองเริ่มปรากฏให้เห็นแสนยืนอยู่ที่นอกชานพลางทอดสายตาไปยังลำคลองหน้าเรือนพักที่แลเห็นในแสงสลัวของยามเช้าตรู่ สีหน้าของชายหนุ่มนิ่งขรึมหากในดวงตานั้นแฝงประกายของความไม่สบายใจ
เมื่อคืน เขาฝันเห็นจันทน์หอม โดยในฝันนั้น เขากำลังนั่งคุยกับนางอยู่ที่ศาลาริมน้ำหน้าบ้านและในเวลานั้นเองก็มีเรือลำหนึ่งพายมาเทียบท่าที่หัวสะพาน เมื่อเห็นเรือลำนั้น สีหน้าของจันทน์หอมก็หม่นหมองลง นางลุกขึ้นและเดินผละจากเขา ไปที่ท่าน้ำ ชั่วขณะนั้นเอง นางหันมาและยิ้มให้เขาด้วยท่าทางเศร้าๆ ก่อนจะก้าวลงเรือไป
ในฝัน แสนลุกขึ้นวิ่งไปที่ท่าน้ำ ก่อนดึงมือภรรยาเอาไว้ ทว่าเขากลับไม่มีแรงพอ จะรั้งตัวจันทน์หอมให้ขึ้นมาจากเรือได้ โดยทันทีที่นางหลุดมือจากเขา เรือลำนั้น ก็เคลื่อนตัวพานางออกจากที่แห่งนั้น หายไปในสายหมอกและในเวลานั้นเอง ชายหนุ่มก็ตื่นขึ้นพอดี
แสนถอนหายใจพลางนึกถึงความฝันนั้น ชั่วขณะหนึ่ง เขาอดสังหรณ์ใจบางอย่างขึ้นมาไม่ได้ แต่ชายหนุ่มก็รีบปัดความคิดนั้นออกไป
“วันนี้ตื่นแต่เช้าเชียวหนา” เสียงร้องทักทางด้านหลัง ทำให้ชายหนุ่มหันกลับไปมอง
“พี่เทพเองหรือ” แสนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่าย
“ก็พี่น่ะสิ จักเป็นผู้ใด” สหายรุ่นพี่ว่า “เจ้าตื่นนานแล้วหรือ”
“ก่อนเช้ามืดนี่เอง”
“ดูท่าคงคิดถึงบ้านจนนอนมิหลับล่ะสิ”
“ไม่ถึงเพียงนั้นหรอก” แสนพูดเลี่ยงๆ ด้วยไม่อยากเอ่ยถึงความฝันที่ทำให้ตนไม่สบายใจ “เพียงรู้สึกตัวแล้ว ก็มิใคร่นอนต่ออีก“
“อย่างนั้นรึ” อีกฝ่ายยกมือกอดอกหลวมๆ “พี่ก็นึกว่าเจ้ามัวแต่คิดถึงลูกเมียจนนอนมิหลับ”
“แล้วพี่เล่า”แสนถามกลับไปบ้าง “จากบ้านมาร่วมเดือนแล้ว ไม่คิดถึงบ้างหรือ”
“มาราชการหัวเมืองเยี่ยงนี้ ก็ต้องมีบ้างนั่นแล” สหายรุ่นพี่ว่า พลางทอดสายตาไปข้างหน้า “แต่พอรู้ว่าเหลืออีกไม่กี่วัน ก็จะได้กลับแล้ว พี่ก็เลยไม่คิดถึงมากนัก”
“มิรู้ว่า ยามนี้ที่บ้านเราจักเป็นเช่นไรบ้าง”
“ลองพูดเยี่ยงนี้ เจ้าคงคิดถึงลูกเมียเป็นแน่” เทพหันมาพูดยิ้มๆ “ชะช้า ทีแรก ทำเป็นปากแข็งว่ามิได้คิดถึง”
“พี่ท่านพูดถูกแล้ว” แสนยอมรับ “ดูท่าทางข้าคงปิดบังเรื่องอันใดกับพี่มิได้เลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายหนึ่งก็หัวเราะเบาๆ
*********************
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์อย่างแท้จริงครับ สำหรับเรื่องนี้ ไม่เหมือนบางเรื่องที่บอกว่าอิงประวัติศาสตร์ แต่ไม่เห็นมีประวัติศาสตร์เท่าไหร่เลย ส่วนตัว ชอบแนวนี้มากมาย แต่ก็หาอ่านได้ไม่มากนัก ที่มี ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในยุคซ้ำๆกัน อย่างสมัยเสียกรุงครั้งที่สอง อยากรู้เรื่องในยุคอื่นๆบ้าง ก็มาเจอเรื่องนี้แหละ ที่สนองความต้องการได้ดีทีเดียว ก็ขอให้กำลังใจกับผู้เขียน ให้เขียนต่อไปและนำมาลงให้ต่อเนื่องกันนะครับ
มารบเกาหลีกาน เอิ้กๆๆ
http://my.dek-d.com/pongpon98988/writer/view.php?id=665760
ตกลงจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของแสนกันแน่นะ แล้วพญายุทธิษเฐียรจะทำอะไรกันแน่ อยากรู้มากมายครับ