ตอนที่ 15 : คลื่นน้ำใต้ความสงบ(ปรับปรุง)
ที่วัดมเหยงค์ ซึ่งเป็นวัดใหญ่นอกกำแพงกรุงอโยธยา ผู้คนจำนวนมากแต่งกายสวยงามบ้างอุ้มลูกจูงหลานเดินกันขวักไขว่ เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันพระ จึงมีชาวบ้านมาทำบุญและฟังธรรมเทศนาเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัว
แสนพามารดาและจันทน์หอมผู้เป็นภรรยากับสินเมือง บุตรชายของตนเดินเข้ามาในลานวัด โดยมีบ่าวหญิงห้าคนถือของเดินตามมาข้างหลัง
ขณะที่ทั้งหมดเดินมาถึงบันไดทางขึ้นศาลาไม้หลังใหญ่อันเป็นสถานที่ทำบุญเลี้ยงพระและฟังเทศน์ ชายหนุ่มก็พบกับหมื่นฤทธิ์โยธา สหายรุ่นพี่ ที่พาครอบครัวมาทำบุญที่วัดนี้เช่นกัน
หมื่นฤทธิ์โยธาและอุ่นเรือนผู้เป็นภรรยายกมือไหว้นางสายพิณ มารดาของแสน ขณะที่อีกฝ่ายยิ้มรับและพูดคุยถามทุกข์สุขเล็กน้อยก่อนจะเดินขึ้นไปบนศาลา โดยให้บุตรชายกับสะใภ้อยู่สนทนากับพันฤทธิ์และครอบครัวต่อ
“ช่างบังเอิญจริงๆนะพี่ท่าน ที่พวกเรามาปะกันที่วัดนี้” แสนกล่าว “แล้วนี่ มิได้พาเจ้าทองมาด้วยหรือ”
”พี่เอาไปฝากยังบ้านตายายเขา” หมื่นฤทธิ์บอก “เจ้าทอง มันซุกซนนัก หากพามาด้วย คงมิแคล้ววิ่งวุ่นทั่วศาลาเป็นแน่”
“หากจำมิผิด ลูกพี่อายุได้สี่ขวบปีแล้วสินะ”
“สี่ขวบกับสองเดือนแล้ว”
“เออแน่ะ เผลอแผลบเดียวก็สี่ขวบกว่าแล้ว เด็กๆนี่โตกันเร็วจริง”
“อย่างไรก็มิทันเจ้าสินเมืองดอก นี่ก็จวนหกขวบเข้าไปแล้วมิใช่หรือ” หมื่นฤทธิ์โยธา หรือ เทพ ว่าพลางก้มลงยิ้มกับเด็กชายที่จ้องเขาตาแป๋ว “ว่าเยี่ยงไร จำลุงได้ไหม สินเมือง”
“จำได้ขอรับ” เด็กชายพยักหน้า
“ยกมือไหว้ลุงเขาด้วยสิลูก” จันทน์หอมเตือนบุตรชาย
เด็กน้อยกระพุ่มมือไหว้ด้วยท่าทางน่าเอ็นดู ก่อนจะแหงนมองผู้ใหญ่ที่ยืนตรงหน้าด้วยดวงตากลมโตเป็นประกาย
“เจ้าหนูนี่ ท่วงทีองอาจมิเบา โตขึ้น คงได้เป็นขุนศึกผู้กล้ามิแพ้พ่อเป็นแน่” เทพเอ่ยชม
คนเป็นพ่อส่ายหน้า “โตขึ้นจักเป็นอันใด ข้ามิรู้ดอก รู้แต่เพลานี้ เจ้าสินเมืองมันซนเสียอย่างกับลูกลิงลูกค่าง ทำเอาผู้คนปวดหัวไปทั้งบ้านแล้ว”
“ข้ามิได้ซนเป็นลิงดังพ่อบอกสักหน่อย” เด็กน้อยเถียงเสียงใส
“ซนเยี่ยงเจ้า มิเรียกว่าซนเหมือนลิง แล้วจักให้เรียกว่าอันใด”
“ข้ามิได้ซนเหมือนลิง แต่ลิงมันซนเหมือนข้าต่างหาก”
“ชะช้า เจ้าสินเมือง อายุเท่านี้รู้จักเล่นลิ้นกับพ่อแล้วรึ” แสนว่าบุตรชายอย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดู ขณะที่ผู้ใหญ่อีกสามคนที่ยืนอยู่ด้วยพากันอมยิ้มไปตามๆกัน
“เห็นพี่เทพบอกว่า จันทน์หอมมิค่อยสบาย แล้วนี่เป็นเยี่ยงไรบ้างหรือ” อุ่นเรือนหันมาถามมารดาของสินเมือง
อีกฝ่ายยิ้มขอบคุณก่อนตอบว่า “ข้าเพียงเจ็บไข้เล็กน้อยเท่านั้นแลพี่อุ่นเรือน มิได้เป็นอันใดมากดอก”
“น้องมิต้องห่วงจันทน์หอมดอก ผัวเขารักขนาดริ้นมิให้ไต่ไรมิให้ตอม ไหนเลยจักปล่อยให้เจ็บไข้ได้” เทพว่า
“นั่นสิ น้องจันทน์หอมน่ะเขาได้ผัวดี นับเป็นโชคดีกว่าใคร”
“แต่ยังมีอีกผู้หนึ่งนะ ที่โชคดีกว่าผู้ใด”
อุ่นเรือนมองหน้าสามี “พี่หมายถึงผู้ใดรึ”
คนพูดอมยิ้ม “ก็น้องอุ่นเรือนนี่อย่างไรเล่า”
“เชอะ อย่าให้พูดเลย อย่างพี่เทพนี่หนา เจ้าชู้จนเขาลือกันทั่วกรุง” หญิงสาวว่าพร้อมทำตาค้อน
“พุทโธ่ นั่นมันเมื่อก่อน ประเดี๋ยวนี้พี่ถอดเขี้ยวถอดเล็บหมดแล้ว” ผู้เป็นสามีทำเสียงอ่อน
“ก็ลองมิถอดสิ ได้เห็นกันแน่”
แสนยกมือกอดอกมองสหายรุ่นพี่พลางหัวเราะ หึ หึ ก่อนแกล้งเอ่ยกระเซ้าขึ้นว่า “ช่างเป็นบุญตาของข้าโดยแท้ ที่ได้เห็นเสือร้ายเยี่ยงพี่เทพกลายเป็นเสือสิ้นลายเช่นนี้”
ผู้ถูกเรียกว่า เสือสิ้นลาย ทำหน้าพิพักพิพ่วน “เอาล่ะๆ พี่ว่าพวกเราเลิกเจรจาแล้วรีบขึ้นไปบนศาลากันได้แล้ว” เทพพูดตัดบท ด้วยไม่รู้จะเถียงอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างไร
*********************
เมื่อเสร็จจากถวายภัตตาหารพระสงฆ์และฟังธรรมเทศนาแล้ว บรรดาผู้มาทำบุญก็ทยอยกันกลับ ขณะที่บ้างยังนั่งคุยกันอยู่บนศาลา สายลมเย็น ประกอบกับหมู่เมฆที่เคลื่อนมาบังแดดไว้ ทำให้บรรยากาศในยามสาย ไม่ร้อนมาก
เทพกับแสนปลีกตัวลงมายืนคุยกันอยู่ที่ลานดินใต้ต้นโพธิ์ข้างศาลาระหว่างที่รอคนในครอบครัวซึ่งยังนั่งคุยอยู่กับญาติๆและเพื่อนฝูงหลายคนที่มาทำบุญที่วัดนี้
“พี่ท่านรู้หรือยังว่า ปลายเดือนหน้า พ่ออยู่หัวจักเสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือ” แสนเอ่ยถาม
“กระนั้นรึ” อีกฝ่ายอุทานก่อนจะถามต่อ “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า ผู้ใดต้องตามเสด็จบ้าง”
“มีผู้อื่นใดบ้างนั้น ข้ามิรู้ดอก แต่ที่แน่ๆ คือพี่ท่านแลข้า ต้องตามเสด็จไปด้วย”
“ในเมื่อเป็นพระบัญชา พวกเราก็ต้องไป” เทพว่า “แล้วนี่เจ้าได้บอกเมียหรือยัง ว่าต้องไปเมืองเหนือในเดือนหน้า”
แสนมองกลับขึ้นไปบนศาลา “เอาไว้จวนใกล้เพลา ค่อยบอกก็ได้ หากบอกล่วงหน้านานๆ ข้าเกรงนางจักมิสบายใจ”
“เจ้าทั้งสองนี้ มีเรื่องให้ห่างกันเมื่อใด ทำราวกับจะเป็นจะตายเจียวหนา” สหายรุ่นพี่อดค่อนว่ามิได้ ขณะที่แสนเพียงแต่ยิ้มน้อยๆเป็นเชิงรับ เมื่อได้ยินเช่นนั้น
*********************
พลบค่ำ แสงจันทร์ส่องกระทบหลังคาเรือนหมู่อันงดงาม ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำน่านในเมืองสองแคว เรือนหลังนี้เป็นของพระยุทธิษเฐียร ผู้ที่บัดนี้ได้รับพระราชทานอวยพระยศให้เป็น พญายุทธิษเฐียร เจ้าผู้ครองนครไชยนาทสองแคว บรรยากาศทั่วบริเวณเงียบสงัด มีเพียงแสงเทียนที่จุดตามไฟยังที่ต่างๆพอสลัว บรรดาบ่าวทาสหญิงชายถูกเจ้าของเรือนสั่งให้กลับไปยังที่พัก เหลือเพียงชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งเฝ้าอยู่เท่านั้น
ภายในห้องเล็กด้านใน พญายุทธิษเฐียรในวัยยี่สิบเศษ ประทับนั่งบนตั่งไม้สักทอง แกะลวดลายงดงาม ลาดด้วยผ้าเนื้อหนา บนตั่งอีกสองตัว ซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้าม มีแขกต่างวัย ผู้มีอาวุโสสูงกว่าสองคน นั่งอยู่ ซึ่งได้แก่ พญาราม ผู้ครองเมืองเชลียงหรือศรีสัชนาลัย กับ พญาสุโขทัย ผู้ครองเมืองสุโขทัย
“ที่ข้าเชิญท่านทั้งสองมา ก็ด้วยมีเรื่องสำคัญจักหารือ” ผู้เป็นเจ้าบ้านตรัส
แขกทั้งสองลอบสบตากัน ก่อนพญารามจะกล่าวขึ้นว่า “พระองค์มีการอันใดก็กล่าวมาเถิด ข้าพเจ้าทั้งสองกำลังฟังอยู่”
“เรื่องที่ข้าจักกล่าวนี้ เป็นการสำคัญต่อหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวง” พญายุทธิษเฐียรตรัสช้าๆพลางดูปฏิกิริยาของผู้ฟัง “ยามนี้ พ่ออยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์มาร่วมปีแล้ว แต่จนเพลานี้ ก็ยังมิได้ทรงมีรับสั่งเรื่องการแต่งตั้งมหาอุปราชองค์ใหม่ สำหรับดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือตามราชประเพณีแต่อย่างใด จนคล้ายกับว่า ทรงละเลยการของหัวเมืองฝ่ายเหนือ จึงมิได้แต่งตั้งให้ผู้ใดมาดูแลเยี่ยงนี้”
“แม้ไม่มีมหาอุปราช แต่หัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งหลายก็ล้วนมีขุนนางปกครองต่างพระเนตรพระกรรณ ฉะนี้แล้วพระองค์จะบอกว่า พ่ออยู่หัวทรงละเลยได้เยี่ยงไร” เจ้าเมืองสุโขทัยเอ่ยแย้งขึ้น
“ท่านพญาคงลืมไปแล้วกระมังว่า หัวเมืองฝ่ายเหนือหาใช่หัวเมืองสามัญธรรมดา หากมีศักดิ์เป็นถึงเมืองประเทศราช เช่นนี้แล้วจักปล่อยให้ไร้ผู้ปกครองได้เยี่ยงไร”
“แต่พ่ออยู่หัวก็ทรงให้พระองค์ขึ้นครองสองแควแล้วมิใช่ฤา แลเมืองสองแควนั้น ก็เป็นนครเอกของแผ่นดินฝ่ายเหนือ ฉะนี้แล้วก็เท่ากับ พระองค์มีหน้าที่เสมือนเป็นมหาอุปราชดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนืออยู่ในยามนี้”
“แต่ก็หาใช่มหาอุปราชจริงๆไม่” เจ้าชายหนุ่มแห่งวงศ์พระร่วงตรัสเถียง “ข้าขอกล่าวกับท่านทั้งสองโดยสัตย์ว่า คราหนึ่ง ก่อนขึ้นครองราชย์ พ่ออยู่หัวเคยประทานคำมั่นแก่ข้าว่า เมื่อใดที่ขึ้นเสวยราชย์ ก็จักให้ข้าเป็นพระมหาอุปราช ครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ แต่ยามนี้ เพลาล่วงไปกว่าขวบปี แต่ก็ยังมิทรงแต่งตั้งข้า ดังรับสั่ง”
“คำพูดเมื่อครั้งยังเยาว์จักถือเป็นจริงจังได้ละหรือ”
“ท่านพญาสุโขทัย” พญายุทธิษเฐียรทรงมองหน้าอีกฝ่าย “ท่านมิเคยได้ยินหรือว่า กษัตริย์ตรัสแล้วมิคืนคำ แม้ยามนั้น พ่ออยู่หัวจะยังมิได้ครองราชย์ แต่ก็ทรงเป็นพระมหาอุปราช ซึ่งหมายถึงพ่ออยู่หัวในวันหน้า เช่นนี้แล้วจักมิทรงรักษาคำพูดได้เยี่ยงไร”
เจ้าเมืองสุโขทัยนิ่งเงียบ ขณะที่พญารามเอ่ยว่า “เช่นนั้น พระองค์หมายให้พวกเราทำอันใด”
“เดือนหน้า พ่ออยู่หัวจักเสด็จหัวเมืองฝ่ายเหนือ ข้าใคร่ขอความร่วมมือจากท่านทั้งสอง ช่วยกราบบังคมทูล ขอให้ทรงแต่งตั้งข้าเป็นพระมหาอุปราชดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ ส่วนตัวข้านั้นก็จะเข้าเฝ้าเพื่อกราบทูลทวงถามถึงสัญญานี้เป็นการส่วนพระองค์” เจ้าชายหนุ่มผู้ครองนครสองแควตรัส
“ทำดังนี้ เหมาะควรละหรือ”
“ท่านตรองดูเถิด ตัวข้าเป็นโอรสพระมหาธรรมราชาบรมปาล เจ้าประเทศราชครองแคว้นสุโขทัยพระองค์ก่อน มีศักดิ์แลสิทธิ์เต็มที่ในราชบัลลังก์ฝ่ายเหนือ หากวันนี้ กลับมีศักดิ์เพียงเจ้าเมืองสองแควมิผิดอันใดกับขุนนางสามัญ เช่นนี้แล้ว สืบไปภายหน้า ราชวงศ์พระร่วงแลแคว้นสุโขทัยของเรามิถูกกดลงจนเป็นเพียงข้าของอโยธยาละหรือ”
เจ้าเมืองศรีสัชนาลัยเอ่ยว่า “พระองค์วิตกมากไปกระมัง ยามนี้ ข้าก็มิเห็นว่า อโยธยากดขี่พวกเราแต่อย่างใด”
“ท่านพญารามกล่าวถูกแล้ว” เจ้าเมืองสุโขทัยเห็นด้วย “พระองค์ทรงเลิกล้มความคิดนี้เสียเถิด อย่าได้ไปกราบทูลให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเลย”
ผู้อ่อนวัยจะเอ่ยแย้ง ทว่าแขกทั้งสองกลับลุกขึ้น เป็นทีว่าไม่ต้องการสนทนาในเรื่องนี้อีกต่อไป
“ในเมื่อเสร็จธุระแล้ว ข้าพเจ้าทั้งสองเห็นทีต้องขอลา” พญาสุโขทัยกล่าว ก่อนจะเดินออกไปจากห้องขณะที่พญารามนั้นสบตากับเจ้าชายหนุ่มแห่งวงศ์พระร่วงเจ้าเล็กน้อย ก่อนจะตามผู้เป็นสหายออกไป
พญายุทธิษเฐียรทรงมองตามสองพญาที่เดินออกไปด้วยสายพระเนตรผิดหวังและไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ในพระทัยนั้นก็คิดว่า จักต้องทวงถามสัญญาจากสหายเก่า ที่ยามนี้เป็นพ่ออยู่หัวพระองค์ใหม่ของอโยธยาให้จงได้
********************
เรือยาวหนึ่งร้อยลำจอดเรียงกันริมฝั่งแม่น้ำน่าน ถัดขึ้นไปบนตลิ่ง เป็นป่าโปร่ง พลับพลาใหญ่หลังหนึ่งตั้งอยู่ใต้ต้นไทรที่แผ่ร่มเงากว้าง รอบพลับพลา มีทหารองครักษ์สองร้อยคนคอยเฝ้าอยู่ ห่างจากพลับพลาออกมา มีกระโจมและเพิงพักหลายสิบหลังตั้งอยู่รายรอบ ผู้คนจำนวนมาก บ้างเดินไปมา บ้างนั่งในเพิงและบ้างก็กำลังก่อไฟหุงหาอาหาร ควันไฟจางๆลอยอ้อยอิ่งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็น เสียงนกและสัตว์ป่าดังแว่วมาเป็นระยะ
แสนนั่งเอนหลังพิงโคนต้นมะเดื่อใหญ่ที่ขึ้นอยู่ริมน้ำ พลางทอดสายตาไปยังแม่น้ำเบื้องหน้า ดาบคู่กายสอดอยู่ในฝักวางอยู่บนพื้นใกล้มือ อากาศที่ค่อนข้างเย็นทำให้ชายหนุ่มนึกย้อนไปวันก่อนหน้าที่เขาจะออกเดินทาง...
“ข้าให้พี่” จันทน์หอมยื่นห่อของให้แสน ซึ่งเมื่อคลี่ออกดู ก็พบว่าเป็นเสื้อแขนยาวสีเลือดหมู ผ้าเนื้อหนาตัวหนึ่ง
“ข้าตัดเย็บเองกับมือ”หญิงสาวบอก “ยินคนพูดว่า ปีนี้หัวเมืองเหนือหนาวเย็นนัก ข้าจึงเย็บเสื้อให้พี่ไว้ใส่กันหนาว”
“ที่เจ้านั่งทำอยู่ทุกวันจนถึงค่ำน่ะหรือ”
อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มอย่างภาคภูมิ
ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ “เจ้ามิเห็นต้องทำเองให้ลำบากเลย”
สีหน้าของหญิงสาวดูผิดหวัง “พี่ไม่ชอบหรือ”
“ชอบสิ พี่ชอบมาก” แสนบอก “แต่พี่มิใคร่ให้เจ้าต้องเหน็ดเหนื่อยเกินไป ลำพังดูแลเจ้าสินเมือง เจ้าก็เหนื่อยนักแล้ว”
“ข้ามีความสุขที่ได้ทำเพื่อลูกแลพี่” จันทน์หอมมองหน้าสามี “ชีวิตคนเราสั้นนัก ข้าจึงอยากใช้เวลาที่มี ดูแลคนที่ข้ารักให้มากที่สุด”
”ชีวิตจักสั้นหรือยาวเพียงใด พี่หารู้ไม่ พี่รู้แต่เพียงว่า การได้อยู่กับเจ้าทำให้พี่ไม่เคยเสียดายคืนวันที่ผ่านไปเลย” แสนกล่าวพลางโอบร่างภรรยาเข้ามาในอ้อมกอดอย่างทะนุถนอม ท่ามกลางเสียงร้องของหริ่งหรีดเรไรในค่ำคืนนั้น....
....ออกหลวงหนุ่มยกมือขึ้นลูบแขนเสื้อสีเลือดหมูที่สวมอยู่ พลางถอนหายใจเมื่อนึกถึงค่ำคืนสุดท้ายก่อนออกเดินทางมาสองแคว กลิ่นหอมระรินแลไออุ่นจากเรือนกายของภรรยายังคงชัดเจนในความทรงจำ แม้เสื้อที่นางเย็บมา จะช่วยให้อุ่นกาย แต่หัวใจที่ยามนี้มีแต่ความคิดคำถึงนางนั้น กลับเหน็บหนาวว้าเหว่ยิ่งนัก
*********************
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

541 ความคิดเห็น
-
#426 yukai (จากตอนที่ 15)วันที่ 19 พฤษภาคม 2556 / 17:28คิดแปรภักดิ์ หรือเปล่า#4260
-
#372 วิชชารัณ (จากตอนที่ 15)วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556 / 23:33"ชีวิตคนเราสั้นนัก ข้าจึงอยากใช้เวลาที่มี ดุแลคนที่ข้ารักให้ดีที่สุด" ประโยคนี้ช่างโดนใจจริงๆค่ะ#3720
-
#371 กระบี่ใจเดียว (จากตอนที่ 15)วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556 / 15:07พญาสองแควจะทำยังไงต่อไป อยากรู้จริงๆ รีบมาลงเร็วๆนะครับ#3710
-
#366 purisawat (จากตอนที่ 15)วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2556 / 11:39ท่าทางสองแควจะมีปัญหาเร็วๆนี้แหละ#3660
-
#363 พินิจอักษรา (จากตอนที่ 15)วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2556 / 10:56แสนช่างรักภรรยาจริงๆ ใครได้แบบนี้ โชคดีจัง#3630
-
#216 นาฬิกาทราย (จากตอนที่ 15)วันที่ 23 ตุลาคม 2554 / 23:32ไม่น่าเชื่อว่า เวบนี้จะมีนิยายแหวกกระแสกับเขาด้วย#2160