ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประกายแก้ว

    ลำดับตอนที่ #2 : ลาวดำเนินทราย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 33
      0
      28 ต.ค. 58



              “คีตะ เมื่อคืนมึงไม่ได้นอนหรือไงวะ?” เสียงถามดังขึ้นจากปากของหนุ่มแว่นหน้าตี๋ เขามองถุงใต้ตาที่ดำคล้ำของเพื่อนสนิทด้วยความสงสัยปนแปลกใจ คีตกวีถอนหายใจออกมาก่อนฟุบหน้าลงบนโต๊ะ

              “ก็นิดหน่อยว่ะตี๋” เขาตอบด้วยน้ำเสียงง่วงงุน “วันนี้มีประชุมสภาด้วยเนี่ย ตายแน่ๆ”

              ประทีปหายใจออกมาเบาๆก่อนจะตบไหล่เพื่อนด้วยความเห็นอกเห็นใจ

              กริ๊ง~!’ เสียงกริ่งที่ดังขึ้นทำให้คีตะโงหัวขึ้นมาแล้วลูบหน้าลูบตาให้เรียบร้อย จากนั้นเขาจึงเดินคุยสรรพเพเหระกับเพื่อนสนิทระหว่างทางไปเข้าแถวเหมือนกิจวัตรประจำวันปกติ...

             

              “งบประมาณตรงนี้น่าจะเยอะไปหน่อยนะ ถึงจะเป็นชมรมที่ได้รางวัลใหญ่ระดับประเทศมาแล้วก็เถอะ” เสียงแย้งดังจากสภาคนหนึ่งทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาเพื่อเตรียมจดอย่างยากลำบาก “ใครเห็นด้วยบ้าง” มือจำนวนหนึ่งยกขึ้น แต่ก็ยังไม่พอจะชนะคะแนนเสียงอยู่ดี คีตะจดสิ่งนั้นลงในสมุดก่อนจะฟุบหน้าลงใหม่

              “เอาล่ะ วันนี้จะมีการโยกย้ายตำแหน่งซักหน่อยนะ” เสียงที่ดังจากปากของ ธีรเมธ มหาโรจนเกรียงไกรหรืออีกนัยหนึ่งก็คือประธานสภานักเรียนทำให้คีตะเอื้อมมือไปหาสมุดทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่

              “มารศรี ย้ายไปฝ่ายการเงิน เรวัติ ไปฝ่ายกิจการ กัมพล ไปฝ่ายเอกสาร..” เสียงร่ายยาวดังขึ้นทำให้   คีตะจดยิกๆทั้งที่เปลือกตาจะปิดอยู่แล้ว แต่เขาก็สะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินรายชื่อสุดท้ายออกจากปากของประธานสภา

              “สุดท้าย คีตกวี ไปฝ่ายวินัย”

              “อะไรนะครับ!” เขาร้องออกมาพร้อมกับสะดุ้งพรวดจนเกือบชนแก้วน้ำหก จากที่เกือบจะหลับเมื่อครู่นี้กลายเป็นตื่นเต็มตาไปโดยปริยาย “พี่ธีรเมธคิดยังไงถึงย้ายผมไปฝ่ายวินัยอย่างนี้ล่ะครับ?”

              “ก็นะ คนออกความคิดนั้นไม่ใช่พี่ แต่เป็นมลต่างหาก” ประธานสภาตอบเสียงเรียบพลางชำเลืองตาไปทางเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ ดวงกมลพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นยืน

              “อย่างที่ธีร์พูดนั่นแหละ มันเป็นความคิดของพี่เอง การย้ายครั้งนี้เกิดจากที่พี่จับได้ว่ามีสภาบางคนที่แอบโยนงานของตนเองให้คนอื่นทำแทน ก็เลยจัดการย้ายให้เกิดความเหมาะสมในหน้าที่  ดังนั้นจะไม่มีคำขอร้องเรียน หวังว่าจะไม่มีแบบนี้อีก ไม่งั้นอาจจะไม่จบแค่การย้ายตำแหน่งงาน” รองสภาพูด ดวงตาสีดำสนิทฉายประกายที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ “วันนี้ขอจบการประชุมแค่นี้ ขอบคุณทุกคนที่สละเวลามานะคะ”

              คีตะเดินลงบันไดมาพร้อมกับหนีบสุมดเอาไว้แน่น ดวงตาสีอำพันสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงกระซิบนินทาผ่านหูไป แต่เขาก็ถอนหายใจแล้วก็รีบเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีก

              “ดูเด็กนั่นสิ แม่ง ถ้าไม่ติดว่ามีเส้นท่านรอง กูจะยำให้เละคาตีน น่าหมั่นไส้ฉิบหาย”

              “นั่นสิ เรื่องอะไรวะ เพิ่งมาใหม่แต่ได้เลื่อนขั้นเร็วอย่างกับติดจรวด”

              ร่างสูงรีบก้าวฉับๆไปยังห้องเรียนแล้วคว้ากระเป๋าเดินไปสถานที่ที่อยู่ในหัว เรือนแดง หรือก็คือห้องดนตรีไทยของโรงเรียนนั่นเอง คีตกวีถอดรองเท้าแล้วเข้าไปยังชานเรือน เขานั่งลงที่เก้าอี้ไม้ แล้วก็รอ

              รอ..เผื่อว่าจะเจอเธอคนนั้นอีกครั้ง

              ดวงหน้าสงบนิ่งและดวงตาโศกสีน้ำตาลเข้มที่ตราตรึง ดูจากหน้าตาเธอคงอายุพอๆกับเขา

              เราคงไม่เจอเธอที่นี่หรอก เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว เด็กหนุ่มสะบัดหัวเพื่อไล่มันออกจากสมอง เขาเอนตัวลงนอน แล้วความเหนื่อยล้าก็ฉุดคีตะลงสู่ห้วงนิทราที่มืดไร้ความสิ้นสุด...

             

              “..ทีนี้ท่านประธานก็เลยยั๊วะจัดจนหยิบไม้ฆ้องไล่ฟาดไอ้หนึ่งจนน่วมเลยล่ะคะพี่บุษย์” เสียงเจื้อยแจ้วเหมือนนกการเวกของเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งดังขึ้นขณะร่างบางอุ้มจะเข้เนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อนมาด้วย บุษย์อมยิ้มเล็กน้อยขณะอุ้มขิมสีน้ำตาลดำ แต่เธอก็หยุดชะงักเมื่อเห็นรองเท้านักเรียนเบอร์๔๑ที่ยื่นออกมาจากชานเรือน

              แถมเป็นรองเท้าของสภานักเรียนที่หลับไม่รู้เรื่องเสียด้วย

              “ใครกันเหรอคะพี่บุษย์ เล่นมานอนหลับแบบนี้” เสียงถามดังจากปากของเด็กสาวที่ชะโงกหน้าข้ามไหล่มาดู ดวงตาสีน้ำตาลดำฉายแววฉงน บุษย์วางขิมลงแล้วหยิบสมุดขึ้นมาเขียนข้อความให้รุ่นน้องสาวดู

              เขาคงมาคุยกับพี่ล่ะมั้ง เราเข้าไปซ้อมก่อนเถอะ มนสา

              “ค่ะ ถ้างั้นส้มไม่รบกวนพี่บุษย์แล้วล่ะ” มนสาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินเข้าห้องดนตรีไทยไป แล้วเสียงจะเข้เป็นเพลงลาวดำเนินทรายก็แว่วดังออกมาจากห้องนั้น

              ร่างบางของเด็กสาวมือขิมทรุดตัวลงข้างๆขิมไม้มะริดสีน้ำตาลสวย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสังเกตอีกฝ่าย ใบหน้าคมสันและรูปร่างสูงใหญ่บ่งบอกว่าเป็นลูกเสี้ยวตะวันตก มือหนาที่ห้อยอยู่ข้างลำตัว ปลายนิ้วที่มีรอยด้านทำให้เด็กสาวเอื้อมไปแตะด้วยความสงสัย ฉับพลันนั้น ดวงตาสีอำพันของเด็กหนุ่มก็ลืมขึ้น

              ร่างบางผงะออกไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ ดวงตาสีน้ำตาลที่ทอประกายโศกสบกับดวงตาสีอำพันสนิทราวกับยางสนเนื้อดีโดยไม่ได้ตั้งใจ

              “เอ่อ ขอโทษเรื่องเมื่อวาน แล้วก็สวัสดีครับ” คีตะเริ่มพูดก่อน “ผมชื่อคีตกวี ขัตติยะวงศ์..แล้วคุณ?”

              รอยยิ้มบางระบายบนใบหน้าของเด็กสาวที่ไม่เคยพูดมาตลอด๑๖ปี แล้วมือบางจึงหยิบกระดานขึ้นชู

              ฉันสัตตบุษย์ กระแสสมุทร ยินดีที่ได้รู้จัก


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×