ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศรีอาริย์ ดั่งสวรรค์บนพสุธามนตราปาริชาติ

    ลำดับตอนที่ #15 : ศรีอาริย์ สวรรค์บนพื้นพสุธา มนตรา ต่อจากตอน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 69
      0
      10 ธ.ค. 54

    ณสวรรค์แดนสรวง ที่จะทำอะไรก็มีความสุขไปหมด เยี่ยงการปฎิบัติของเทวดา  กุศลที่เกิดก็ล้วนแต่เก็บเกี่ยวมาจากบุญเก่าเมื่อครั้งเป็นมนุษย์
    ใครปรารถนาจะเยี่ยมส่องดูสถาน ณโลกเบื้องล่าง   คือภพมนุษย์เช่นกัน  แต่ก็มองได้ชั่วครู่ชั่วยามเพราะเบื่อหน่าย  ความหยาบที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์   กิเลสหนาหนักที่ล้วนแต่ส่งกลิ่นเหม็น  ให้เทวดาอย่างเขาต้องเบือนหน้าหนี
    กลุ่มเทวดาชั้นต่าง โดยเฉพาะดาวดึงส์ ส่วนมากจะเป็นนักฤษีชีไพร พระภิกษุผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ  เมื่อละสังขาร ก็ได้มาจุติยังสถานภพงดงาม โดยได้รับการต้อนรับและเชื้อเชิญ
    รวมทั้งบุคคลในประวัติศาสตร์  พระมหากษัตริย์แต่อดีตเดิม  ซึ่งเคยปกครองบ้านเมือง
    แผ่นดิน ณที่ เทพคฑากรสถิต  ล้วนเต็มไปด้วยสิ่งรื่นรมย์ บันเทิงใจ   มีทั้งสระโบกขรณีทั้งสี่ด้าน  ดอกไม้ทิพย์ที่กรุ่นกลิ่นหอมรวยระรินแทบจะไม่หลงลืมมนต์เสน่ห์ ความหอมที่มีอยู่แห่งเดียว
    มองเห็นต้นไม้ที่คล้ายต้นมะม่วงในเมืองมนุษย์ แต่กลับออกดอกสีเหลืองนวลเช่นดอกทานตะวัน และบานอยู่ที่โคนต้น  ที่สำคัญมีกลิ่นหอมเย็นรวยรินปะทะจมูก
    ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าเทวดานางฟ้า จะรู้สึกเป็นปกติ   เพราะจุติมาก็สัมผัสถึงบุญกุศลที่ได้รับในวิถีทางของเทพและนางฟ้า  อันเป็นบุญโดยเฉพาะบุคคล
    หมายถึงบุญยิ่งยวดที่กระทำเมื่อครั้งเป็นมนุษย์  บุญระดับใหญ่   บุญแบบมหาบุญ
    เทพคฑากรมีสหายสนิท  คือเทพเวโรจน์  และเทพเวโรจน์มีสหายคือ  เทพตัสสะ กับ กถา
    “อ้าว  ท่านเทพเวโรจน์   ฉันตามหาท่านอยู่  ไม่ทราบว่า ท่านไปไหนมา”
    เสียงถามนุ่มไพเราะของเทพคฑากร
    เทพเวโรจน์ยิ้มให้ก่อนตอบ
    เราเลียบไปทางสระโบกขรณีทางโน้น ดูพวกนางฟ้าเขาเริงระบำฟ้อนกัน”
    “หรือท่าน  เราตามหาทานเหมือนกัน”
    เทพคฑากรเพิ่งจะถึงบางอ้อ  หลังจากที่ตามหาพระสหาย
    “วันนี้มีอะไรจะบอกกล่าวเราหรือ”
    ถามแล้วหันไปทางเทพเวโรจน์
    ซึ่งเทพเวโรจน์ครุ่นคิดก่อนตอบ
    “พรุ่งนี้ไง วันพระแล้ว  ทวยเทพทั้งหมดพร้อมที่ประชุม มีการประชุมใหญ่ของเหล่าคณะเทพทุกชั้นเหมือนกัน  สมเด็จพระศรีอาริย์ท่านเสด็จมาด้วย”
    เทพเวโรจน์และเหล่าเทพอื่นๆได้ยินกิตติศัพท์ พระศรีอาริย์  พระผู้มีเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้
    “ยังงั้นเรา ก็เตรียมรับเสด็จพระองค์”
    พระสหายทั้งสองต่างพยักหน้าให้กัน
    ขณะเดียวกันในโลกมนุษย์  ความวุ่นวายจากภัยพิบัติกำลังบังเกิด  ในเมื่อเข้าสู่กลียุค อย่างปัจจุบัน  ภัยพิบัติย่อมเกิดขึ้น  ไม่หยุดหย่อย ทุกสารทิศ
    ที่มนุษย์เราเข้าใจว่า ล้างโลก
     ล้างสารพัดสิ่งอย่าง    ที่หมายถึงธาตุทั้งสี่ ดินน้ำลมไฟ  เจอวาตภัย ลมพิษ  แผ่นดินไหว   อุทกภัย  ทางน้ำ อัคคีภัย  เถ้าถ่านลาวา เพลิงปะทุจากภูเขาไฟ
    ต่อไปนี้โลกมนุษย์ต้องพบเจอกับสิ่งเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    เทพเวโรจน์ถามเพื่อนเทพอย่าง  เทพคฑากร
    “ทำไมหรือมนุษย์ต้องได้รับบาปกรรมอย่างนี้”
    แม้จะรับรู้แล้วโดยอำนาจและจิตวิญญาณความเป็นเทพ ที่ล่วงรู้ ทะลุประโปร่ง  แต่ยังอยากทราบความคิดของสหาย ว่าจะเข้าใจตรงกันหรือเปล่า
     เทพคฑากรนิ่งคิดพิจารณาก่อนตอบ
    “เราเองก็รู้เช่นเดียวกับท่านไม่ใช่หรือ ท่านเวโรจน์   บาปกรรมที่มนุษย์ก่อ  นั้นหนักหนาเหลือเกิน ทวยเทพแต่รุ่นก่อน พยายามบอกและเตือนห้ามแล้ว  มนุษย์ทั้งหลายก็ไม่ฟัง ท่านได้ละเมิดข้อเหล่านี้ คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ศีลทั้งห้าข้อ  ความวุ่นวายยุ่งเหยิงต่างๆจึงบังเกิดในโลกมนุษย์ ไม่ว่าแก่งแย่งชิงดีชิงเดิน  สิ่งที่ผิดศีลหนัก คือข้อกาเม  กับประทุษร้ายเข่นฆ่ากันและกัน  มนุษย์นั้นได้ทำตัวเป็นเช่นสัตว์เดรัจฉานเข้าแล้ว”
    “องค์อินทร์ท่านทรงกริ้วหนัก  ที่มนุษย์ฝ่าฝืนกฎ  ไม่ได้กระทำ และวางตัว เช่นมนุษย์ยุคก่อน  คือเมตตาปรานี เห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือเกื้อกูล ช่วยเหลือสมัครสมานสามัคคี  ไม่คิดคดโกง ดังนั้น จึงบันดาลให้เกิดสิ่งที่มนุษย์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนในโลกนี้   เพราะมนุษย์ไม่เชื่อว่าบาปบุญนั้นมีจริง และคงความศักดิ์สิทธิ์ มาทุกยุคสมัย   แต่มนุษย์ก็ละเมิดจนได้  เห็นผิดเป็นชอบ”
    “จึงบันดาลให้เกิดพิบัติใหญ่ในโลกมนุษย์  ทั้งโรคภัยไข้เจ็บ  ข้าวยากหมากแพง  ฝนตกไม่ทั่วฟ้า ตกผิดกาลฤดู  ความสุขสบายจะไม่บังเกิดในโลกมนุษย์ เพราะมนุษย์มุ่งแต่ประหัตประหารฆ่ากันเอง   ข้าราชการก็ไม่มีความเป็นธรรม มุ่งแต่ฉ้อราษฎร์บังหลวง  และนับต่อไปนี้นั้น สิ่งที่มนุษย์ทุกคนได้เคยเห็นมาแล้วในอดีต และในปัจจุบันนี้ จะไม่ได้เห็นอีก แต่ว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือ สิ่งที่มนุษย์ผู้คนทั้งหลาย ซึ่งไม่เคยได้พบได้เห็น มาก่อน สิ่งเหล่านี้จะทำให้มนุษย์ทุกคนจะได้เห็น ”

    วิมานที่สถิต เกิดจากบุญกุศล ตั้งแต่จุติมา ก็พบว่าเนรมิตออยู่แล้ว   บุญกุศลนั้นของใครก็ของคนนั้น และอุบัติตั้งแต่  มนุษย์ผู้เป็นเจ้าของกองบุญเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์  ประกอบซึ่งคุณงามความดี
    และวิมานก็แตกต่างกันไป ตามแต่บุญที่ตกแต่ง สวยมาก สวยน้อย จนกระทั่งสวยมากที่สุด  ทั้งส่องแสงระยิบระยับ มีเลื่อมพราย  สีทอง  สีแสด สีเหลือง  ม่วงน้ำเงิน  หรือสีเงิน  แก้วไพฑูรณ์
    เป็นเรือนทรงปั้นหยา หรือจตรมุข หรือเหมือนโบสถ์  หรือบ้านทรงไทย  หรือราวกับปราสาทราชวัง  ก็บ่งบอกได้ว่า บารมีของเทพผู้นั้นมากน้อยเพียงใด
    เช่นเดียวกับรัศมีขององค์เทพก็ส่องสว่างแตกต่างกัน  พร้อมด้วยชุดอาภรณ์
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×