ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศรีอาริย์ ดั่งสวรรค์บนพสุธามนตราปาริชาติ

    ลำดับตอนที่ #16 : ศรีอาริย์ ต่อจากตอน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 75
      0
      25 ธ.ค. 54


    ครบแล้ววันพระแรมสิบสี่ค่ำ  เหนือปุยเมฆขาว ณวิมานที่สว่างพรายแสงเรืองรองตระการไม่เคยเปลี่ยน  สูงจากดาวดึงส์ที่  เทพคฑากรกับหมู่สหายสถิตอยู่
    คือดุสิต ชั้นที่ผู้มีบารมีเข้มข้น ระดับโพธิสัตว์   เตรียมตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล
    วิมานจึงมลังเมลืองดุจประสาทแก้วปราสาทเงิน และประกายนั้นส่องระยิบระยับแววแสงเหนือกว่าชั้นดาวดึงส์    สว่างพรายเหนือกว่า
    ดาวดึงส์ยังดูสวยสดงดงาม น่าทอดทัศนาแล้ว
    แต่ดุสิตเหนือกว่า
    ยากเกินจะพรรณนาเปรียบเทียบเปรียบปาน
    องค์เทพแต่ละองค์ล้วนสง่างาม  เช่นเดียวกับนางฟ้า  รัศมีเรืองรองรอบผิวกายเปล่งปลั่งระยับแสงอยู่ตลอดเวลา
    อันเป็นกิจวัตรประจำ ในการเสด็จมายังสถานที่ตรงหน้า จุฬามณีเจดียสถาน หรือเจดีย์แก้วผลึกสีเขียวแท่งทึบ ที่ชาวโลกรู้ดี ว่าองค์อินทรา  ท่านขโมยมาจากโทณพราหมณ์ในยุคสมัยที่พระพุทธจ้าของเราเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณกุสินารา
    องค์อินทราพร้อมด้สวยเหล่าทวยเทพก็เนรมิตสถานอัญเชิญพระแก้วมาประดิษฐาน  เพื่อให้หมู่เหล่าชาวเทพได้กราบไหว้เป็นทั้งเนื้อนาบุญและเป็นกุศลทิพย์ของเหล่าเทพ
    ที่มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
    วันนี้หมู่เทพที่ต้องการชื่นชมพระบารมีและสิริโฉมของพระศรีอาริย์  ก็มาร่วมงานด้วย
    เบื้องขอบฟ้าที่เห็นทรงลอยละลิ่ว  ก้าวตรงมา พร้อมด้วยนางฟ้าและเหล่าบริวาร  นางฟ้าเหล่านี้มีผิวพรรณวรรณะหมดจดผ่องใส และเครื่องแต่งกาย  ไปในลักษณะแบบต่างๆ
    เกิดจากการทำบุญเมื่อครั้งมีชีวิตในโลกมนุษย์ต่างกัน บูชาด้วยเครื่องหอมดอกไม้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์วัดวาอาราม  และถวายผ้าพระกฐิณ  ผ้าอาบน้ำฝน ผ้าไตร  แล้วแต่สิ่งของจะหาได้
    ด้วยจิตใจที่น้อมนอบด้วยผลทานที่บริสุทธิ์  ผลปัจจุบันทันด่วน เมื่อละสังขารลง บุญบารมีจึงฉุดให้มาสถิต ณ  ดุสิตสถาน ซึ่งเทวดาชั้นนั้น มีองค์อัมรินทร์ ชื่อ สันดุสิตเทวราช ผู้เป็นใหญ่
    ผู้บารมีเช่นนี้ อันดับแรก  จะต้องเป็นผู้ที่มีหิริ  คือความละอายต่อบาปทั้งปวง โอตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาปทั้งปวง
    เพราะสวรรค์ทุกชั้น ถ้ายิ่งสูงขึ้นมา ยิ่งมีแต่ความละเอียด มหัศจรรย์และแพรวพราวมากกว่าเดิม
    อีกทั้งจะต้องเป็นบุคคลที่เลี้ยงดูอุปัฐากบิดามารดาเมื่อยามที่เกิดเป็นมนุษย์  อย่างรู้หน้าที่ ตอบแทนกตัญญู  ไม่ละเลยเลี่ยงหนี
    และจะต้องเป็นผู้ที่จิตใจเป็นกุศลในทุกเรื่อง  อุทิศถวายทานให้แก่ผู้อื่น  มีจิตใจยิ่งใหญ่ล้นเหลือในเรื่องกรุณามุทิตา  หรือพรหมวิหารทั้งสี่ข้อ

    ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะ ตั้งแต่ครั้งเป็นมนุษย์ในโลก ชื่อสักกะมาณพ  มีจิตใจยิ่งใหญ่  นำพาดำริตนเองจะอุทิศสร้างถวาย ทำถนนหนทาง ปัดกวาด  เป็นสถานที่พักผ่อนแก่หมู่ชนทั้งหลาย  เมื่อเพื่อนๆทราบข่าวมีจิตใจน้อมรับความยินดีด้วย
    ผลกุศลเช่นนี้ จึงดลบันดาลให้อุบิตและจุติเสวยสุขในดาวดึงส์สถานเทวโลกด้วยกัน


    แต่ดุสิต   เป็นชั้นที่บารมีเข้มข้น  และเหนือกว่า  เพราะเป็นที่สถิตของเหล่าผู้ที่ปรารถนานิพพาน อย่าง พระปัจเจกพุทธเจ้า
    เมื่อพระศรีอาริย์เสด็จมาพร้อมกับนางฟ้าบริวาร เห็นแล้วพระฉวีดวงหน้าของพระองค์หมดจดผ่องแผ้ว เปล่งปลั่งสุกสกาว ราวกับดวงจันทราเป็นหมื่นดวง เพราะเปี่ยมด้วยหทัยแห่งการุณ  อิ่มเอิบสว่างไสว
    ถ้าพูดตามประสามนุษย์ หล่อเหลาเสียยิ่งกว่าหล่อ
    ประกายของฉัพพรรณรังสี   เจ็ดสี กระจายล้อม  เปล่งรัศมีตลอดเวลารอบองค์
    ส่วนวรกายดุจแก้วผลึก ขาวพร่าง หาที่ติมิเจอ   ฉลองพระองค์ในชุดสีขาว  สวมชฎาสูง  เครื่ององค์ทรงแต่งก็บริบูรณ์งดงาม   เป็นประดุจหนึ่งบุรุษที่ไม่มีใครงามเกิน
    ทรงสง่างามด้วยวัตรปฎิบัติ พระสุรเสียงแจ่มใสอ่อนโยน กังวานแว่ว  สำรวม นอบน้อมเมื่อเสด็จลงณเจดียสถาน  ทรงกราบไหว้ นมัสการสิ่งศักดิ๋สิทธิ์  คือ พระเจดีย์สีเขียวแท่งทึบ  หรือจุฬามณีเจดีย์
    ทรงทักทายโอภาปราศรัยกับเหล่าเทพตามปกติ  ได้ไม่นานนัก ก็จักเสด็จกลับวิมาน
    บางครั้งมีหมู่มนุษย์หรือฤษีชีไพร ผู้มีบารมีตบะบำเพ็ญแก่กล้า 
    พาร่างลอยล่องมายังเจดีย์สถานแห่งนี้แบบลัดมือเดียวถึง
    จิตที่อธิษฐานจิตบริสุทธิ์  ปราศจากความหยาบ กายละออกจากจิตก็ลอยล่องมาได้เฉกนี้
    ย่อมเป็นไปได้กับผู้ที่วิปัสสนาอย่างเคร่งครัดจนชิน จนกายหยาบนั้นถูกฟอกเฟ้นจนละเอียด  เช่นเดียวกับกิเลสและความขุ่นมัวได้ถูกทำลาย
    จิตจึงพามายังสวรรค์ชั้นนี้ได้ด้วยการอธิษฐาน
    เรื่องนี้เป็นปกติธรรมดาสำหรับผู้ที่อยากพบพระศรีอาริย์  เฉพาะผู้ที่ฝึกสมถะภาวนากรรมฐาน  กรรมฐานเท่านั้นที่ จะนำพาให้สมปรารถนา
    แต่การอยากพบพระศรีอาริย์  ก็หาใช่หนทางที่พระองค์ปรารถนาไม่ เพราะเชื่อว่า มนุษย์หรือกลุ่มบางเหล่า ยังมีความหลงใหลในรูปกายสังขาร  ที่ไม่จีรังยั่งยืน  เป็นเพียงสิ่งสมมติ  อุบัติมาชั่วคราว ถึงเวลาก็แตกทำลายไปตามกาล
    ด้วยท่านเห็นว่า เป็นเรื่องไม่ใช่เรื่อง  และหยุมหยิม คิดว่า เป็นไปในเรื่องของทางโลก  ที่ไม่ใช่นิพพาน
    สำหรับผู้ที่หลงติดยึดอยู่กับโลกและการเกิดแก่เจ็บตายเท่านั้น
    ส่วนผู้ที่ปรารถนานิพพานจะไม่คิดสิ่งเหล่านี้ และยึดติดกับสังขาร เพราะเป็นไปตามที่ปัจจุบัน ปัจจัยนั้นปรุงแต่งและตกแต่งไว้เท่านั้น เมื่อหมดและถึงวาระเวลา
    สังขารก็ไม่อยู่กับกาย แต่จะลอยละล่องไปตามเหตุเดิม จิตเดิมที่ถูกสร้างมาเท่านั้นถึงจะล่องลอยได้  ส่วนธาตุทั้งสี่ ดินน้ำลมไฟ ก็แตก    บังเกิดร่างใหม่


    ถึงเวลาแล้วที่ประกาศถึงโองการยิ่งใหญ่  เมื่อการประชุมของเหล่าทวยเทพดำเนินมาถึง อาคารสถานธรรม หรือเทวสภา     เหล่าพระอรหันต์ทวยเทพทุกชั้นฟ้า ลอยล่องมาพร้อมกัน
    เป็นโองการที่ยิ่งใหญ่ ในการประกาศถึงกาสรช่วยเหลือของชาวโลก
    การประชุมนี้ดำเนินมาตลอดเวลา และทุกครั้ง ผู้เป็นประธานก็คือทวยเทพชั้นผู้ใหญ่  เจ้าของสวรรค์ทุกชั้น  และประธานกลาง  คือสมเด็จพระศรีอาริย์เมตไตรย
    ปรับเปลี่ยนเวียนกันมาปฏิบัติหน้าที่
    ด้วยองค์การนี้มีมาแต่ดั้งเดิม  มีมาแต่ช้านาน สมัยดึกดำบรรพ์บรรพบุรุษของขาวโลก   เพราะเป็นช่วงเวลาที่สนธิศาสนา
    ระหว่างพระสมณโคดมพุทะเจ้า กับพระศรีอาริย์ ที่ต้องทะนุบำรุงศาสนาพุทธให้ครบห้าพันปีตามที่ทราบไว้
    ส่วนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในโลกที่เสด็จดับขันธปรินิพานนานแล้ว  ก็เสด็จมาเป็นประธาน
    เหล่าทวยเทพเห็นพระองค์ชัดเจน  เพราะโลกของกายบริสุทธิ์ ต่างจะมองเห็นกันและกันเป็นเรื่องปกติ
    นอกจากชั้นหยาบ เช่นโลกมนุษย์เท่านั้น ที่มองไม่เห็นภาพสวยงามเหล่านี้ได้
    พร้อมด้วยเจ้าของทุกศาสนาในโลก ที่ขึ้นตรงและกำกับโดยเพียงหนึ่งเดียว ของพระผู้เป็นต้นปฐมของโลกนิพพาน
    เหล่าภูติปีศาจก็อยู่ด้านหนึ่ง   พระยายม  และเหล่าบริวาร     ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่
    ดังนั้นทุกศาสนาเมื่อรวมตัวกันแล้ว จึงมีเพียงหนึ่งเดียว
    ไม่ถูกแยกแยะจำกัดกีดกันเหมือนเช่นโลกมนุษย์
    องค์การที่พระศรีอาริย์ต้องการสร้างโลกของพระองค์ ต้องการเก็บเกี่ยวหมู่ผู้คนที่มีจิตใจน้อมนำไปในทางบุญกุศลอย่างมาก เพื่อ่ให้ได้เกิดทันศาสนาของพระองค์ ที่จะขยับก้าวใกล้มาทุกขณะ
    โลกดังกล่าวคือเนรมิตจำลองให้ดินแดนสวรรค์ ที่เต็มไปด้วยความสวยงาม รื่นรมย์บัง
    เกิดอยู่ในโลกมนุษย์  ผู้คนไม่มีทุกข์ มีแต่สุข  ไม่ต้องมีตำรวจ  เพราะไม่มีผู้ร้าย
    ผู้คนใจซื่อมือสะอาด  เกลียดกลัวบาปกรรม

    ความรักก็จะมีเพียงหนึ่ง ไม่เบียดยื้อแย่งชิง
    คู่พรหมลิขิตใคร ก็เป็นของคนนั้น
    เป็นไปโดยอัตโนมัติ  ผู้คนจะมีศีลธรรมสูงสุด
    โดยเฉพาะศีลห้า
    จำเป็นจะต้องกวาดล้างคนบาปให้สิ้น

    ดังนั้นเวลานี้ โลกจึงต้องถูกทำลายล้าง เพื่อรองรับความสะอาดหมดจดของพระศรีอาริย์
    เพราะพระผู้มีบารมีสูงส่งหมดจดองค์นี้  ถ้าแผ่นดินไม่ขาวสะอาดบริสุทธิ์  ท่านไม่ยอมผุดมาเกิด
    การเป็นไปในโลก สิ่งต่างๆที่จะเกิดก็เป็นเรื่องที่ตระเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้แล้ว ว่าจะต้องเกิด
    ความขุ่นมัว ล่มจมหายนะ ทำลาย แก่งเบียดแย่งชิง รวมทั้งประหัตประหารมนุษย์ด้วยกันเอง คนฆ่ากันเอง  ผ่านสงครามโลกมาแล้วหลายครั้ง  ผู้คนที่เจ็บปวดชิงชัง ด้วยการแช่งชัก  ทำให้เกิดพลังพิษ คลื่นสีดำทีย้อนกลับมาทำลายคนในโลก  เพราะความที่ไม่ได้รับความยุติธรรม และอาฆาตแค้นที่ไม่จบสิ้น
    เหตุที่สึนามิ  ความแปรปรวนจากอากาศ หรือว่า เชื้อโรคร้ายต่าง เช่นซาร์  หวัดนก ก็มาจากสิ่งเหล่านี้
    และยังมีความสะพรึงกลัวมากกว่านั้นอีก
    เป็นความชั่วที่ถูกขจัดผ่านภัยธรรมชาติกลืนกิน
    เพราะเหตุทั้งปวงมนุษย์เป็นผู้ก่อ มนุษย์ทั้งหลายที่เคยเวียนว่ายตายเกิดมานับไม่ถ้วน และรับกรรมของตัวเอง
    จำเป็นจะต้องรับกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    นับจากนี้ไปการชำระล้าง การทำลายล้างก็จะยิ่งหนักหน่วงขึ้น
    บุคคลที่จะอยู่ได้ ต้องฝึกจิตให้แน่วแน่ มีสติการรับรู้ตลอดเวลา  ชั่วลมหายใจเข้าออก  และเป็นไปในทางครรลองคลองธรรม หรือสุจริต  
    อันหมายถึง   มีความเห็นชอบ  ในทุกอย่างที่เป็นด้านสุจริตหรือทางบุญกุศล   และไม่ใช่ความคิดเห็นที่ผิด  หมั่นทำบุญและกุศล  มีจิตใจเข้มแข็ง เมื่อฝึกปฎิบัติธรรมจนเกิดเป็นความเคยชิน จะมีปัญญาคือตัวสติให้ระลึกรู้โดยอัตโนมัติ
    สิ่งนี้ก็สามารถเรียกได้ว่า ขัดเกลากิเลสไปในตัว
    โดยที่เราแทบไม่รู้ตัว  และเป็นการปฏิบัติธรรมที่เราแทบจะไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน
    และจิตอธิษฐานในสิ่งที่ดี ให้แก่ชาวโลกทั้งหมดด้วยกัน แค่นี้ก็เป็นกุศล
    คิดดี ทำดี พูดดี ใฝ่ดี
    จึงไม่มีการตีโพยตีพาย พรั่นพรึง  เพราะจิตใจสงบเยือกเย็น  และรับรู้ถึงสัจธรรมการแก่เจ็บตายที่ไม่มีทางเลี่ยงของมนุษย์
    ท่องจิตต่อธาตุธาตุต่อจิต  อยู่ในใจ  ท่องให้กลายเป็นความเคยชิน  และมีสมาธิ
    ยิ่งสวดชินบัญชรได้  ก็ยิ่งประเสริฐเพราะคาถาบาลีที่ระบุข้อความนี้ เป็นของเทวดาชื่อปัญชระเทพบุตร
    ที่มีแก่ใจบอกชาวโลก สมเด็จโตฯท่านได้มา
    จิตใจสงบ แม้เกิดเหตุร้าย ปรากฏตรงหน้า ก็ไม่มีความไหวหวั่น สะพรึงกลัว  ต้องฝึกจิตให้ได้อย่างนี้ กอบกับคนที่หมั่นทำบุญรักษาศีลถวายทาน ปันให้ผู้อื่น  เป็นผู้ให้ตลอดเวลา
    การปฏิบัติถึงจะสอดคล้อง กับคำว่า มนุษย์  ที่แปลว่าผู้ประเสริฐ
    เพราะนับจากนี้ไป สิ่งที่มนุษย์ได้เคยได้เห็นมาแล้ว จะไม่มีให้เห็นอีก
    แต่สิ่งที่เหล่ามนุษย์ไม่เคยได้พบได้เห็นและรู้จัก
    จะเกิด เกิด และเกิด
    เพราะจะว่าไปตามคำทำนาย จะล้างมนุษย์ให้หมดโลก
    ยิ่งทุกวันนี้ ต้องการ แยกให้คนดี อยู่กับคนดี
    ส่วนคนชั่วแยกให้อยู่กับคนชั่ว
    เมื่อก่อน  คนชั่วและคนดีอยู่ปะปนกันได้
    แต่คราวนี้ไม่มีแล้ว 
    เบื้องบนจะเข้มงวด
    เพราะถูกปล่อยปละละเลยมานาน
    ไม่สนใจที่จะละบาป เปลี่ยนพฤติกรรมชั่ว ให้เป็นคนดี
    มีแต่ถลำลึกใฝ่ต่ำไปกับกองอบาย ยาเสพติด โจร  แย่งชิง  เข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง   ก่อกรรมเวร หยาบช้า พร่า ข่มขืน  ไม่ว่าจะโดยทางตรงและทางอ้อม
    เหตุนี้เบื้องบนจึงไม่สามารถให้อภัยได้
    เพราะให้โอกาสในการแก้ตัวหลายครั้ง  เปลี่ยนแปลงนิสัย ก่อให้เกิดความสุขสามัคคีในหมู่สังคมและประเทศชาติ
    แต่นี่ยิ่งแต่จะมีการนองเลือด  สร้างศัตรู ฆ่ากันเอง  เป็นที่น่าอดสู สังเวช
    กับความกระหายใคร่อยากในอำนาจ และบารมี
    ที่เป็นเพียงสิ่งสมติลวงตาหลอกหลอกโลกมนุษย์เท่านั้น
    เพราะที่สุดปลายทางของทุกคน ต้องกลับไปสู่กองฟอน
    และสิ่งที่สามารถนำพาติดตัวเองไปได้นั้นมีเพียงแค่เจ้าสองสิ่ง
    คือบาปและบุญเท่านั้น
    เงินร้อย หมื่นล้านก็เอาไปไม่ได้

    หายนะครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษชาติ จำเป็นที่มนุษย์ต้องหันเหเอาใจใส่ศึกษาใฝ่ธรรมะ
    เพราะถ้าหากฝึกสิ่งเหล่านี้ได้ เคยชิน จะช่วยบรรเทา ทุเลาความกลัว และ
    สิ่งชั่วร้ายไม่บังเกิด
    หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ  ถ้าท่องบ่นทำวัตรได้ยิ่งจะดี เพราะสิ่งเหล่านี้ถือว่าอยู่ใกล้สวรรค์
    เพราะหายนะครั้งนี้มุ่งผลเฉพาะคนชั่ว เท่านั้น
    ถ้าหากเป็นคนดี  เทวดาจะคุ้มครอง
    มนุษย์ยุคนี้ มีวิถีที่ยุ่งเหยิง เช้าขึ้นมาต้องมีหน้าที่รับใช้กับคำว่างาน งานงาน และงาน จนไม่มีที่และเวลาพักผ่อนสำหรับตน
    ตลอดเดือนตลอดปี งานคือ กิเลส  ที่หมุนวนกลืนชีวิตมนุษย์ให้เป็นข้ารับใช้
    แต่ถ้าไม่มีงานก็ไม่มีกิน
    สิ่งเหล่านี้ถูกต้อง
    แต่ควรให้สองสิ่งเสมอกัน
    ควรเอาทางโลกและทางธรรม
    การทำมาหาชีพก็เป็นสิ่งที่ควร และถูกต้อง หากเราไม่ทำงาน คงไม่มีเงินเอามาทำบุญ
    แต่บุญกุศลก็อย่าละ มีเงินมีทองก็ควักจ่ายในการทำบุญ สร้างเสบียงบ่มเพาะสวรรค์ให้แก่ตัวเอง
    เพราะละสังขารไป ตรงนี้แหละช่วยได้ เป็นกองบุญ หรือคลังบุญที่พวกเราทุกคนสร้างไว้

    ศตวรรษที่ 21  ปัจจุบันกาลในโลกนี้    หนึ่งร้อยปีต่อครั้งของโลก  ผ่านมาได้ 21 ครั้ง  คนเราเกิดและตาย นับเนื่อง
    โครงการที่พระศรีอาริย์ริเริ่มและนับเนื่อง ผ่านช่วงระยะเวลาเชื่อมทอดต่อกันมิขาด  พระองค์ประจักษ์ถึงการสร้างสวรรค์ให้อยู่ในผืนโลกมนุษย์  ด้วยสายตาที่กว้างไกลเปี่ยมพระญาณ  อันเป็นญาณของพระโพธิสัตว์
    ที่ ทำอย่างไร คนในโลกนี้ จะได้มีโอกาสได้มาเกิดทันศาสนาของพระองค์ให้มากที่สุด
    การประชุมมีบ่อยครั้ง  และเป็นประจำที่สภาเทพ
    เทวดาผู้เป็นใหญ่ทุกชั้น ท่านก็พร้อมเพรียงเสด็จมา
    แม้แต่พรหมก็เช่นกัน
    เพื่อดูแผนงานการปฏิบัติ  ร่วมกันช่วยเหลือโลกมนุษย์ที่กำลังได้รับภัยพิบัติอย่างหนัก


    แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ช่วยเท่าที่กำลังเทพและกำลังพรหมสามารถทำได้  และอยู่ในขอบข่ายกฎเกณฑ์
    ไม่ฝืนกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้
    และเหล่าเทพอสูรมาร อสรุกาย ปีศาจ  คนธรรพ์  ครุฑ  ยักษ์  ต่างก็มารายงานการปฏิบัติที่กระทำแก่พระองค์ท่าน
    เบื้องหน้าซึ่งมีพระพุทธเจ้า  ทุกพระองค์ ที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานทั้งหมด  ทรงมาปรากฏกายเบื้องหน้า  นิพพานเป็นการแตกดับของกิเลส คือการฆ่ากิเลส  และไม่กลับมาเวียนวนอยู่ในโลกธาตุทั้งสี่ หรือฉกามาพจร หรือเป็นเวียนเกิดแก่เจ็บตายเช่นมนุษย์
    ท่านจึงกล่าวว่า นิพพานเป็นบรมสุข  เพราะไม่มีเชื้อเกิด
    เชื้อเกิดที่นำไปสู่อุปาทานขันธ์  ในการยึดมั่นถือว่าว่าเป็นตัวของตนของเราของเขา

    เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง  คือสภาวะความว่างเปล่า   ไม่มีตัวตน
    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ดังกล่าวนั้นคือ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×