ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศรีอาริย์ ดั่งสวรรค์บนพสุธามนตราปาริชาติ

    ลำดับตอนที่ #14 : ศรีอาริย์ ต่อจากตอน

    • อัปเดตล่าสุด 5 ธ.ค. 54


    กถาเองเพิ่งรู้ว่ายุคชาติที่แล้วมานั้นตนเองเกิดอยู่ในกลียุค กว่าจะได้พบยุคพระศรีอาริย์ซึ่งรอคอยกันมานานเป็นเวลา  ที่ไม่อาจนับได้ รอคอยพบพระศรีอาริย์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่นี้  แต่ปัจจุบันก็สมใจ  เมื่อดำริระลึกถึงบุญกรรมทำแต่งของตนเองใต้ร่มเงาของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอย่างกัลปพฤกษ์และปาริชาติ
    ซึ่งสามารถระลึกนึกย้อนไปหาอดีตภพภูมิที่ตนเองเคยถือกำเนิดกระทั่งมุ่งย้อนไปสู่โลกอนาคตเบื้องหน้า  ก็รับทราบว่า ด้วยบุญอันนี้จึงกอปรสำเร็จให้ตนเองบรรลุสมฝั่งฝัน มีสิทธิเป็นหนึ่งบุคลที่ได้เกิดร่วมศาสนาพระองค์
    กลียุคดังกล่าวที่เพิ่งผ่านมา เขาเกิดอยู่ในครอบครัวหาเช้ากินค่ำ

    เรื่องราวของพระศรีอาริย์ยังไม่จบ ท่านทั้งหลายที่อ่านคงทราบได้ว่าผู้เขียนหยุดไปอย่างต่อเนื่อง คือหยุดยาวไปเหมือนกันเพื่อตั้งหน้าตั้งตาริเริ่มทำงานเสียที เรื่องราวของพระองค์ท่านจะสมบูรณ์แบบได้ก็ต่อเมื่อข้อมูลต่างๆพร้อมพรั่ง ดังนั้นจึงเจียดเวลสาเสียสละค้นคว้าต่อ  ข้าพเจ้ารู้จักคำว่าศรีอาริย์มาตั้งแต่เด็ก  นับมาจนปัจจุบันได้สามสิบกว่าปีไปแล้ว 
    ก็ถือว่าพระองค์เป็นหลักชัย เรื่องราวส่วนตัวของพระองค์ชวนให้อยากจะเขียน ยิ่งมาทราบว่าท่านเป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าภายในภัททกัปป์สุดท้าย อย่างกัปป์ที่เราอยู่นี่
    เมื่อถึงเวลานั้น  ผู้เขียนเคยเขียนอธิบายไปแล้วนี่ จากตำราบ้างจากจิตใจลึกของคนเขียนที่ต้องการใช้ภาษาแบบตัวเองที่เรียกว่าลุ่มลึกทางงานเขียน  จะว่าไปเป็นภาษาชั้นสูงก็ถูก ท่านทั้งหลายมีปัญหาในการเดาความหรือเปล่า ผู้เขียนเองพยายามอธิบายตลอด เพื่อให้ท่านเข้าใจและติดตามอย่างต่อเนื่อง  ระหว่างเดียวกันผู้เขียนเองก็บำเพ็ญธรรมพร้อมๆกับพวกท่าน ขณะดำรงชีวิตอยู่ตามสภาพของตน วิถีง
    านงานที่เหมาะสมที่ต้องทำบุญสร้างกุศลทุกวัน  ท่านก็ทราบแล้วนี่ การทำบุญนั้นทำได้หลายอย่างหลายทางนี่ ไม่ว่าทางเร็วหรือทางลัด  หรือทางที่ทำแล้วได้ประโยชน์มากกว่าหรือทางที่ได้ประโยชน์น้อย  ผู้เขียนไม่ได้เขียนในข้อมูลที่อวดโอ่ ถ้าเป็นอย่างนี้ต้องขอโทษด้วยเพราะสักขณะจิตไม่เคยคิดแม้แต่สักนิดที่จะลบหลู่เบื้องบนเบื้องสูงไม่ว่าเทวดาอินทร์พรหม ถึงแม้จะไหลไปตามน้ำก็ต้องขออภัยอย่างสูง
    และเรื่องราวการปรากฏของพระศรีอาริย์ท่านนั้น ได้บังเกิดขึ้นทุกวัน ทุกเวลาทุกสถานที่   เพียงแต่ต่างภพเท่านั้นภาพที่ซ้อนกันอยู่  ลืมไปแล้วหรือว่าพระศรีอาริย์ท่านสามารถแปลงกายได้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่พระองค์ปรารถนาให้เป็ฌน แม้มนุษย์หรือเทพ อยู่ทวีปใดทวีปหนึ่งในภาพสง่างามหรืออัปลักษณ์ พระองค์ทำได้  แล้วท่านไม่คิดหรือไงว่า ท่านอยู่ใกล้ตัวเราตลอดเวลา คอยดูแลชี้แนะแนวทาง
    เพราะภารกิจของพระองค์กับผู้ช่วยเหลือนั้นมีความปรารถนาอยากให้มนุษย์ยุคสมัยนี้ไปเกิดทันศาสนาของพระองค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ตำนานบอกเพียงว่า หยิบมือเดียว หยิบมือเดียวคูณกับประชากรพลโลกจะสักเท่าใด ท่านไม่อยากเป็นหนึ่งในหยิบมือของพระองค์ท่านเชียวหรือ ฉะนั้นทุกวันนี้จงตั้งใจตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติคุณงามความดี  บุญกุศล 
    เรื่องที่จงใจกล่าวนี้ผู้เขียนต้องการกล่าวรวมไปถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะแม้แต่ศรีอาริย์สวรรค์บนพื้นพสุธามนตราปาริชาติก็เกี่ยวพันในเรื่องนี้  เรื่องที่ข้าพเจ้าบอกวก่า ทุกศาสนาหากเมื่อรวมตัวกันแล้วเป็นเพียงหนึ่งเดียว แค่นี้ล่ะขอให้ท่านกลับไปคิดลึกๆเสียเถอะเป็นไปได้มากมายแค่ไหนกัน  แต่ทุกวันนี้พวกที่รู้ผู้ที่รู้ท่านก็เตรียมกันแล้วล่ะปฏิบัติเพื่อให้ไปสู่ผลที่ตั้งวาดหวัง
    ไว้คือศาสนาของพระศรีอารย์เป็นเป้าหมาย  หากบุญเรามีไม่ถึงพอที่จะบรรลุและนิพพาน
    เพราะอย่างที่ผู้เขียนเขียนถึงความอลังการมลังเมลืองในทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างวัตถุกับจิตใจเจริญเทียบเท่าเทียมกันหมดสิ้น แตกต่างไปจากกลียุคของเรา เนื่องด้วยว่ามันเป็นกลียุคจึงมีแต่ทุกข์และทุกข์ไม่จบสิ้น ยุคที่วัตถุสูงและมันมีค่ากว่าจิตใจของมนุษย์ในความคิดของบางคน 
    มนุษย์ที่บูชาเงินตรา ละเลยการกระทำกองกุศลบุญกุศล  แต่ก้ยังมีมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่พากเพียรเร่งรีบสั่งตุนเสบียงนี้ไว้ให้กับตัวเอง เพราะรู้ไง  รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเองนับต่อจากนี้ ก็เร่งทำ ทำ ทุกเมื่อเชื่อวัน ผสมกับแรงอธิษฐาน  ผู้เขียนเคยบอกแล้วว่าศาสนาของพระศรีอาริย์  เป็นศาสนาแห่งการอธิษฐาน
    เมื่อถึงเวลานั้น  ใครอยากได้อะไรก็ขอให้บูชาเอา    เราผจญทุกข์ร่วมโศกแบบเดียวกันคือ หลุดเข้ามาอยู่ในช่วงที่โลกกลายเป็นกลียุค  แต่เราไม่ต้องโกรธไม่ต้องโทษ  เรามีหน้าที่สร้างบุญกุศลเท่านั้น  ในเมื่อกลียุคหมายถึงความเสื่อมไปในทางตกต่ำ  มนุษย์เราไซร้จะวาดหวังอะไรล่ะชีวิตที่ดีขึ้นหรืออย่าหวัง แม้แต่ชั้นสูงหรือชนชั้นกลางธรรมดาสามัญยังต้อง
    เผชิญทุกข์เช่นเดียวกัน ยุคที่ทุกข์มีมากกว่าสุข สุขมีน้อยครั้ง ยิ่งเลยกึ่งพุทธกาลมาถึง53ในปีนี้  ข่าวคราวต่างๆการพิจารณาเราก็พากันรู้ล่วงหน้าแล้วว่า ภัยพิบัติจะโหมกระหน่ำมนุษย์โลกนี้มากกว่าเดิมหลายเท่า
    แต่ว่าเป็นสิ่งที่เบื้องบนตรองคิดแล้วว่าเป็นสิ่งดี มนุษย์ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีด้วยเช่นกันเพราะอะไรหรือ  ถ้าท่านไม่ได้ปฏิบัติบุญกุศลอย่างต่อเนื่องหรือกิจกรรมพระท่านจะมีจิตใจโอนเอนไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ แต่ผู้ที่มีจิตใจผูกพันและกระทำเป็นนิจสินอาจิณย่อมไม่พะวงครุ่นคิดใด เพราะรับกับสภาพเหล่านี้แล้วด้วยการปลงละวาง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในจิต  มันเกิดแล้วมันดับ สาระเป็นอย่างนี้เอง ไม่ว่าอะไรก็ตามทุกสิ่งทุกอย่าง
    ผู้เขียนจึงคิดว่าเป็นสิ่งดี ในเมื่อเบื้องบนว่าเป็นสิ่งดี ท่านอย่าเพิ่งแย้งนะ ผู้เขียนเองก็ปุถุชนมนุษย์คนหนึ่ง  ต้องเชื่อถือบุคลผู้สูงสุดท่านเป็นเทพเจ้าแห่งบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่  และมีชีวิตเป็นอมตะมีความเป็นจริง สถิตอยู่ในโลกวิญญาณ แม้แต่กายมนุษย์ก็ได้รับส่วนแบ่งความดีงามมาจากท่าน เมื่อท่านเป็นบุคลชั้นประเสริฐ์เช่นนี้แล้ว
    ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อถือท่านได้อย่างไรแล้ว  แต่ก่อนข้าพเจ้าก็เป็นคนที่โต้แย้งท่านในคำนี้เช่นกันว่า ท่านคิดไม่ถูกท่านคิดลบ  แบบนี้ท่านสุขสบายใจหรืออย่างไร  ที่เห็นมนุษย์ล้มตาย บางคนหนักข้อไปอีกไปปรักปรำท่านกลายเป็นเอาบาปติดตัวเองเสียอีก ดังนั้นขอชี้แจง ที่ว่าเมื่อการทำลายล้างหรือการชำระล้างเกิดขึ้น
    นั่นหมายถึงเบื้องบนไม่สามารถเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้ คือตรงนั้นเป็นความสกปรกขุ่นมัวก่อบาปกรรมร้ายแรงแก่คนกลุ่มนั้นมนุษย์เหล่านั้นแต่ปางภพไหนก็ไม่ทราบ  แต่เกิดขึ้นแล้ว บุคลผู้นี้เหล่านี้เป็นคนกระทำดังนั้นจึงต้องรับผลและโทษของกรรม ที่เป็นสัจธรรม 
    นั่นหมายถึงความชั่วจะต้องถูกทำลายแล้วความดีจะกลับมาคืนดังเดิม เหมือนชำระคราบสกปรกผ่านไป เหมือนมรสุมร้ายถูกเมฆหมอกพัดผผ่านเหมือนยามที่สายฝนจางจากลับขอบฟ้า  และฟ้าในเวลานั้นย่อมสว่างไสวมากกว่าเดิม  นี่คือภัยพิบัติ  มนุษย์จะไม่ล้มเจ็บตายเท่าแค่สึนามิแต่จะมากกว่าเดิมเป็นพันเป็นทวีคูณเท่า  เทวดากลุ่มหนึ่งท่านก็ทราบและรายงานพระอินทร์เมื่อทรงถาม มนุษย์ก่อกรรมทำเข็ญมากกว่าความดีหรือบุญกุศล 
    สิ่งนี้เป็นการลงโทษมนุษย์ที่ฝ่าฝืนและละเมิดกฏ  จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล ฤดูร้อนก็หนาวฤดูหนาวก็ร้อนตาลปัตรกลับกัน  ซ้ำร้อนยิ่งเพิ่มทวีคูณ  เหมือนที่บอกว่าโลกมันร้อนขึ้น  หากมองกลับกันจากโลกวิทยาศาสตร์ไปสู่โลกแห่งวิญญาณหรือโลกแห่งความนึกคิดของคนเราที่ว่ายเวียนอยู่รอบตัวนั้น จะทราบว่าการเปลี่ยนแปลงที่เป็นนิรันดร์เหล่านี้เบื้องหลังคือพระผู้สถิตณเบื้องสูงสุด  ดังนั้นสิ่งไม่ดีก็กลายเป็นดี สิ่งที่ดีแล้วก็ดีขึ้นไปอีก  จะไม่มีสิ่งไม่ดีปรากฏขึ้น เพราะฉะนั้นพระเบื้องบนประทานให้
    ท่านผู้มีดอกไม้ประจำกายคือดอกมณฑาทิพย์ ท่านสถิตอยู่ณเบื้องตะวันออก ท่านสามารถแปลงกายได้ทุกอย่างในโลกนี้ เป็นไปตามเจตจำนงที่ต้องการสร้างโลกพระศรีอาริย์  ตามตำนานกระจายไปทั่วทุกภูมิภาคท้องถิ่นเขตแว่นแคว้นประเทศ และบรรพบุรุษในอดีตกาลรับรู้เรื่องนี้มาก่อนพวกเราแล้วสั่งสมบอกเล่าต่อกันเป็นทอดๆว่า ใกล้จะถึงยุคพระศรีอาริบย์แล้วนะเตรียมทำตัวทำใจเถอะ 
    ให้ถึงพร้อมของความดีงาม  ชีวิตจะผาสุกนั้นพร้อมจะรองรับบารมีของพระองค์และพร้อมกับประชาชนพลเมืองของพระองค์จะมีความสุขอย่างที่ใดจะหาเปรียบปานไม่  ถึงเวลานั้นโลกมนุษย์ของเราณ  ปัจจุบันนั้นกลายเป็นสวรรค์ไปแล้ว  เป็นความเชื่อที่คงสถิตและถาวรอย่างที่สุด  ถ้าท่านเชื่อ กายและโลกของดวงวิญญาณที่มีมนุษย์เราทุกคนสิงถิตพักอยู่นั้นก็ย่อมเชื่อด้วยเช่นกัน 
    ท่านอย่าคิดว่าท่านมีกายเดียว กายที่พระท่านสร้างแต่งให้ท่านแต่แรกเริ่มเดิมที มีจิตใจบริสุทธิ์งดงามแท้อยู่บนโลกสวรรค์  ปรากฏจริงมีอยู่ ท่านต้องเร่งความเพียร เพื่อให้ได้กลับไปสถิตอยู่ณที่เดิม แบบนี้จึงได้คิดว่า ท่านและบรรพบุรุษของท่านที่หลากหลายภพชาติหมื่นแสนก็ตามที 
    ท่านจะคิดสักนิดไหมว่าผ่านทางกระแสเลือดหรือเซลล์เลือดหากเรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดโดยที่ไม่รู้และถึงแก่นแท้ของสุขทุกข์ไปถึงนิพพาน  กายทิพย์ที่นำพาในการเกิดรวมทั้งโลกวิญญาณภายในกายของท่านก็จะยังดำเนินชีวิตต่อไปร่วมทั้งสุขและร่วมทั้งทุกข์  สุดแท้ณเวลานั้นท่านเลือกให้ตนเองมีสุขหรือมีทุกข์มากกว่า ก็เช่นเดียวกัน

    พระศรีอาริย์..  อาคำนี้มิใช่หรือที่เพริดแพร้วผ่องแผ้วนพคุณทางตัวอักษรยิ่งกว่าเลิศล้ำพรรณราย  ในการอธิบายถ้อยความ ชื่อของพระองค์เป็นที่สถิตยิ่งของมหาชนมนุษยชาติทั่วจักรวาล  ต่างน้อบรับเอาคำสั่งสอนแนวทางปฏิบัติพากเพียรขวนขวาย  เพื่อได้มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเกิดในชาติของพระองค์
    ยิ่งเทพบริบูรณ์ไปด้วยบุญญาอภินิหาร  อย่างเทพตัสสะ หรือเทพกถา  มหานครแห่งสวรรค์ที่พรายพร่างแพรวพรายด้วยแสงสาดสว่างตลอดกาลมิมีดับ  ดุจแสงอัญมณีห้อมล้อมมหานครทิพย์กระนั้น  เป็นสิ่งที่อุบัติตั้งขึ้นมาตั้งแต่ได้ขึ้นชื่อว่าสวรรค์
    พันธ์ไม้ทิพย์ที่ต้นสูงเป็นพันโยชน์แห่งนี้กำลังนำพาไปสู่ภพชาติที่ผ่านมาแล้วนับไม่ถ้วน ปาริชาติสวรรค์  คืนกลับไปสู่ภพเดิมของภาพครั้งเป็นมนุษย์  ภาพค่อยฉายมาถึงครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเป็นครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน  มีอาชีพค้าขายของชำ  อยู่ในตรอกซอยแห่งหนึ่ง  ของมหานครกรุงเทพสมัยนั้น
    ตัสสะมองเห็นภาพลอยล่องของวัตถุสิ่งหนึ่งที่รับรู้ว่าเกิดการประชุมตัวมาจากธาตุทั้งสี่ของดินน้ำลมไฟและพรสรวงแห่งเบื้องบน  เพื่อให้มีจิตวิญญาณ  จากนั้นก็พุ่งวาบเข้าสู่ร่างของหญิงสาววัยไม่เกินสามสิบห้าปี ซึ่งเป็นภรรยาของเจ้าของบ้าน รับทราบได้ว่าเป็นโองการของสวรรค์เบื้องบนที่ชีวิตเหล่านี้จะต้องเกิด ผู้ที่ไม่ต้องเกิด คือผู้สิ้นอาสาวะกิเลส   ดิ่งดวงจิตไปสู่อมตฤทธิ์ของนิพพาน จิตที่สงบโดยปราศจากการคุกคามในวิถีวัฏจักรของกงล้อสัตว์ทั้งหกภูมิ อันได้แก่กลุ่ม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวก  พระปัจเจกพุทธเจ้า   และพระอรหันต์ปัจจุบัน เป็นโลกเกษมศานต์สุขยิ่งไม่มีใดเปรียบเหมือน

    ในโลกมนุษย์บ้านของคุณน้อมจิต กำลังอธิบายเกี่ยวกับพระศรีอาริยะเมตไตรยให้บรรดาลูกชายลูกสาวที่สนใจใคร่รู้ฟัง   “ตามที่แม่รับฟังมานะลูก  แผ่นดินของท่านจะราบเรียบถนนหนทางตรงดิ่งไม่มีเว้าแหว่งขรุขระ แล้วผู้คนก็งดงามน้ำใจดี  ไม่มีคนอิจฉาริษยา  อัปลักษณ์ ผู้คนมีแต่สิ่งดีงาม พูดจาก็เพราะ ไม่มีคนยากจน  มีความเป็นอยู่เท่าเทียมกัน ไม่มีสงคราม อาณาเขตไม่มีกั้นแบ่งว่าประเทศใครประเทศมัน   มีแต่เป็นหนึ่งเดียว ไปไหนมาไหนด้วยการเหาะเหินไม่ทุกข์ร้อนเรื่องการเดินทาง  ผู้คนสนุกสนานร้องรำทำเพลง ความเศร้าหมอง  ไม่สบายใจไม่มี”  ตุ่น  ตารวี  ลูกสาวคนเล็กเอียงคอถามด้วยความใส่ใจ     “แล้วพระศรีอาริย์ ท่านจะเสด็จอุบัติมาในโลกเรานี้เมื่อไหร่กันละคะ แม่น้อมขา”เด็กหญิงวัยชั้นประถมปีสุดท้ายเอ่ยถาม  เธอสนใจใคร่รู้เรื่องนี้นัก 
    นางน้อมจิตยิ้มให้กับผู้เป็นลูกสาวที่ช่างน่าเอ็นดูเพราะคนนี้ใส่ใจเรื่องธรรมะมาตั้งแต่ยังไม่กี่ขวบ พาทำบุญที่วัดฟังเทศน์ในทุกวันพระ       ทำท่าครุ่นคิดขมวดคิ้วก่อนตอบ  “เท่าที่อ่านจากหลักฐานตำราพระพุทะเจ้าองค์ปัจจุบันของเรานี้  ก็นานพอดูละลูก   ครบห้าพันปีของศาสนาพระโคตมะ”  ตารวีเข้าใจว่าโคตมะเป็นพระนามของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเรียกท่านตามโคตรและวงศ์   นางน้อมจิต รู้อะไรมากกว่านั้นอีก และทุกวันนี้นางเองก็รับรู้ถึงหลายสิ่งหลายอย่าง ถึงความสุขที่บังเกิดรอบกายในครอบครัวและชีวิตประจำวัน..
    และครอบครัวของนางนี้เองเริ่มต้นฝึกจิตตั้งและสร้างบันไดขั้นแรกเพื่อที่จะเขยิบก้าวบารมีไปทีละชั้นเพื่อจะได้เกิดให้ทันยุคศาสนาพระศรีอาริย์ ในกาลอนาคต 
    หากแม้นไม่มีวาสนาจบสิ้นสังขารหรือสิ้นอาสาวะกิเลสในศาสนาของพระพุทะเจ้าโคตมะ    ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปที่เกิดเป็นชาวพุทธคิดและตั้งมั่นกันไว้ในใจตลอดมา  ได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากบรรพบุรุษ
    ทุกวันนี้ครอบครัวของคุณน้อมจิตรกลายเป็นโลกสวรรค์และเป็นลูกหลานพระศรีอาริย์ตัวน้อยๆ  สร้างแต่ความปลาบปลื้มเบิกบานใจให้แก่สังคมรอบข้าง  เพราะครอบครัวนี้ถือปฏิบัติศีลห้า    
    ศีลห้านี้เองเป็นตัวการที่นำไปสู่สุคติภพ  สู่สวรรค์  สู่พระอริยะเจ้า  สู่ศาสนาพระศรีอาริย์  เป็นคุณงามความดีอันประเสริฐ์  ที่มนุษย์ควรรักษาไว้และสร้างเพื่อให้แผ่ปกคลุมหุ้มกายแทนหุ้มกิเลส เพราะกุศลผลบุญเป็นสิ่งเดียวที่จะติดตามมนุษย์ได้ทุกภพทุกชาติ
    “ศีลห้าอย่างที่หนูประพฤติทุกวันไงจ้ะ”  ตารวีเข้าใจ    “ค่ะ  หนึ่ง ฆ่าสัตว์ สองลักทรัพย์  สามประพฤติผิดศีลธรรม   สี่พูดปด พูดมดเท็จ  ส่อเสียด นินทา   ห้าห้ามดื่มเหล้าเสพยาเสพติด  ใช่ไหมคะแม่”  ตอบมารดาแล้วยิ้มอีก
    “วันนี้หนู  ทำได้ครบสี่ ที่ไม่แน่ใจคือ ข้อแรกค่ะ แมลงตัวเล็ก มดที่ตุ่นก็ไม่แน่ใจว่าจะเผลอเหยียบหรือเปล่า” นางน้อมจิตรยิ้มให้บุตรสาว  เพียงเท่านี้นางก็ปลื้มใจแล้ว  นึกถึงบิดาของลูก ครอบครัวนี้ความจริงเพิ่งเปลี่ยนแปลงเป็นโลกสวรรค์ได้ไม่นานมานี้เอง    สุทินผู้เป็นพ่อของลูกหรือสามีนาง  เมื่อตอนที่เขาหลงฝักใฝ่ในกิเลสของมนุษย์หลงวัตถุเงินทอง หลงความหล่อเหลาของตัวเอง เขาก็สร้างความชอกช้ำใจให้แก่นางมาอย่างนับไม่ถ้วนเช่นกัน
    ตอนที่เขายังไม่หันเหเข้าสู่แสงธรรมอย่างแท้จริง  ทั้งเหล้า ทั้งผู้หญิง เมาอาละวาด แสดงตัวเป็นใหญ่ก่อนหน้านั้นชีวิตของนางน้อมจิตรใช่ว่าจะสุขกายสบายใจเช่นนี้ นางเองต้องชดใช้วิบากกรมไม่แตกต่างไปจากคนอื่น  สามีติดเหล้ามีผู้หญิงก็หึงหวงประสาอารมณ์ของปุถุชนที่แสดงความเป็นเจ้าของ  เจ็บทุกข์ทรมานใจอย่างสาหัสพอสมควร   ตอนนั้นตารวีเพิ่งอยู่ในท้องยังไม่คลอด
    บัดนี้สามีเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเหมือนได้สามีคนใหม่ที่พระเป็นเจ้าประทานให้  เขาเรียนรู้เรื่องธรรมะดีเข้าใจ  และปฎิบัติหนทางช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ เขาใส่ใจกับทุกข์ร้อนรอบข้าง สมาชิกที่ได้รับอนุญาตให้ดูแลความเป็นอยู่ทุกข์สุขของเขา สมดังกับคำว่า ถ้าเราให้ความสงสารห่วงใยดูแลครอบครัวผู้อื่นสมาชิก เรารักดุจดังเป็นครอบครัวของเราแล้ว  ความสุขจะกลับมาหาเราแทนที่  คำพูดสั้นๆ ช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้ครอบครัวและตัวเองมีความสุข

    อานุภาพบุญแผ่กระจายเต็มที่ อันเนื่องจากการละสละจากการยึดติดตัวเองและครอบครัวมองเห็นภาพสัจธรรมความสุข สิ่งที่พอกพูนฉายในจิตใจ เบื้องหลังคือพระ  และบรรพบุรุษที่รายรอบคอยผลักส่งเสริมช่วยเหลือ   สุทินมีความรู้สึกดีเต็มเปี่ยม ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติและน่าอัศจรรย์ใจที่เขาสัมผัสได้  แม้เล่าให้คนอื่นก็ไม่เชื่อ   ต้องให้เรื่องที่น่าจะเรียกได้ว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับคนนั้นเอง  ถึงจะเป็นคำตอบได้

    “พี่กีสาล่ะคะแม่   วันนี้พี่ชายหนูไปไหน”ตารวีเอ่ยถามมารดาถึงพี่ชายคนรอง  ครอบครัวนี้มีอยู่กันสี่คน  ลูกสาวคนโตแต่งงานออกเรียนไปแล้ว  พี่ชายคนรอง  แล้วก็พี่ชายอีกคน   พี่ เทิด  จนมารั้งท้ายสุด  คือตารวี  แต่ก่อนหน้านั้น  แม่เอ่ยบอกถึงเรื่องความเสียใจ ว่าได้แท้งลูก คือพี่สาว และพี่ชายของ  ตารวีไปถึงสองคน   ซึ่งเป็นลูกแท้งก่อนหน้าพี่ กีสา หนึ่งคน เป็นผู้ชาย    ก่อนหน้าที่เธอจะเกิดอีก
    สาเหตุจากตอนนั้นคุณพ่อเมาเหล้าติดผู้หญิงคุณแม่หนักใจ และคุณพ่อบ่นว่าไม่อยากเอาลูกไว้ สิ้นเปลือง  ตอนนั้นหนี้สินจม คิดหาทางออกไม่ได้  เพราะครอบครัวหมุนเงินไม่ทัน  ไม่ทันได้คิดอะไร  ความคิดชั่ววูบ ทำให้ตัดสินใจไปทำแท้ง   ตารวีเมื่อได้รับรู้และฟังในเรื่องนี้แล้ว  รู้สึกสะเทือนใจมาก  เนื่องจากขณะนั้นพ่อกับแม่มีลูกถี่และชิดติดกัน

    ตารวีดูข่าวแล้วอุทาน
    มหาอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่

    ผลกระทบเป็นลูกโซ่ ต่อเนื่องกัน  หนังสือพิมพ์ทุกฉบับและข่าวทางโทรทัศน์รายงานพร้อมกัน  ประเทศไทยกำลังประสบภาวะหนักถึงขั้นวิกฤติ
    ตารวีมองจ้องจอโทรทัศน์  ร้องเรียกแม่ลั่นบ้าน
    “แม่จ๋า  เขาว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพ  ตอนนี้น้ำกำลังท่วมนครสวรรค์แล้ว”
    เอ่ยอย่างตระหนกเพราะเสียงได้ยืนยันจากผู้สื่อข่าวของโทรทัศน์  ยืนยันว่า  น้ำเหนือกำลังไหลบ่าเข้าสู่ภาคกลาง
    ใช้คำว่า อาจจะท่วมกรุงเทพฯ  
    ตารวีตื่นตระหนกตกใจใหญ่
    ดูข่าวน้ำท่วม น้ำพัดพาทุกอย่างไปหมด ในสายตาไม่เหลือ แม้แต่รถยนต์ก็จมกับน้ำ บ้านแต่ละหลังจมมิดหลังคา
    ตารวียิ่งตระหนก
    “แม่ถ้าน้ำเข้ามาอย่างนี้  คนกรุงเทพเราตายแน่”
    อยู่กรุงเทพ แม้จะเคยประสบพบเห็นภาพน้ำท่วมมาหลายหน แม้แต่ครั้งยิ่ง
    ใหญ่ ที่ท่วมกรุงเทพ   พ.ศ.2538
    นางน้อมจิตรเหลือบมองดูลูกสาว  แม้มองจะรู้สึกตระหนก แต่ใจก็ยังมีพระ อยู่ตลอดเวลา สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    แต่สติมาเป็นอันดับแรก เพราะผ่านการฝึกสอน  มีลมหายใจอยู่กับการรับรู้
    “แม่ว่า คงไม่ท่วมหรอก  คิดดีเอาไว้ก่อน”
    “แม่ก็อย่างงี้แหละ”  
    คำตอบเหมือนบอกว่า ตารวีไม่เชื่อคำว่าพระมีอยู่ในใจเช่นแม่
    แวบหนึ่งความคิดที่ค้านออกไป  ทั้งๆที่ตารวีก็ปฎิบัติธรรมกับแม่  เพราะบางสิ่งบางอย่างเธอไม่เชื่อเรื่องที่เป็นปาฏิหาริย์  หรือไม่เชื่อเรื่องที่มองไม่เห็น
    คำตอบของลูกสาวทำให้รู้ว่า ลูกเธอไม่ได้เชื่อในธรรมมะ   แต่ก็คิดว่าอาจเป็นเพราะตื่นกลัว แล้วคงจะหาย
    “ยังไงลูกต้องเชื่อในสิ่งที่เราปฏิบัติมา  ที่ครอบครัวของเรามีความสุข เพราะแม่ทำอย่างนี้”
    จึงไม่ได้เถียงมารดา

    เพราะสุขที่ได้จากการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นความสุขที่ประเสริฐ     นางน้อมจิตคิดอย่างนี้

    เวลาไปวัดก็ชี้ให้บุตรสาวดูภาพที่ติดอยู่ข้างฝาโบสถ์ ที่มีรูปภาพต่างๆบรรยายถึงภาพของยุคพระศรีอาริย์    การทำบุญ  ทำได้ทุกอย่าง ทุกสถานที่   ไม่ว่าวัดหรือสถานธรรมแห่งใด  ล้วนเป็นบุญกุศลอันสูงสุด  ถ้าขึ้นชื่อว่าสถานธรรม
    แม้จะเป็นลัทธิหรือองค์กากร ศาสนาใดก็ตาม
    “โน่นดูซิลูก  ศาสนาของยุคพระศรีอาริย์  คนที่มีบุญจะได้ไปเกิดอย่างนั้น”
    ตารวีเงยไปตามมารดาบอก
    “แต่ละคนสวยๆงามกันทั้งนั้นเลย  อย่างนี้หรือเปล่าคะแม่  สวยเหมือนเทพบุตรกับนางฟ้า”
    “จ้ะ ลูก  สวยเหมือนกันหมด  นี่แหละคนเกิดในยุคของพระศรีอาริย์ จะเป็นแบบนี้”
    นางบอกลูกสาว ให้นึกไปถึงภาพจำลองจากจินตนาการยุคนั้น
    ตารวีไม่หมดคำถามที่จะซัก
    “ทำไม ท่านรู้ล่ะคะ แม่ว่า ยุคพระศรีอาริย์จะเป็นอย่างนั้น”
    นางน้อมจิตรจึงได้ตอบลูกสาวช่างซัก
    “บรรพบุรุษของเราแต่ละรุ่นบอกต่อกันมา  ให้เตรียมตัวไว้ และในสมัยนั้นก็มีแต่คนเก่งๆ  เทียบเท่าพระอรหันต์ท่านบอกไว้..  ลูกทราบไม่ใช่หรือว่า คนที่เป้นพระอรหันต์ ท่านสามารถรู้ชาติภพล่วงหน้าของคนสัตว์ในโลกนี้ได้  ท่านย้อนไปไกลถึงอนาคต กี่ชาติๆได้หมด ไม่ว่าจะย้อนไปดูข้างหน้า หรือกลับไปภพหลัง”
    ที่มารดาพูดดูเหมือนจะมีเหตุผล
    “นั่นล่ะ คนเก่งๆแบบนั้นล่ะ ท่านบอกไว้ ก่อนที่ท่านจะไปแบบไม่กลับ”
    ยังนึกสงสัยอีก ตารวีเอ่ยถาม
    “ไปแล้วไม่กลับยังไงคะ”
    “ก็นิพพานสิลูก  นิพพานหมายถึงตัดขาดจากเชื้อการเกิด  ซึ่งคนเราจะต้องเกิดแก่เจ็บตาย แต่ผู้ที่จะไปนิพพานเป็นพระอรหันต์ ท่านจะไม่มีสิ่งเหล่านี้  เป็นสิ่งที่สุดท้ายของท่าน ภพชาตินี้ หมดแล้วก็หมดเลย   นี่แหละคือสิ่งที่คนเราปรารถนากันทุกคน  และจะต้องไปให้ถึงทุกคน”
    นางน้อมจิตรบอกลูกสาวอย่างคนที่เข้าใจถ่องแท้ในธรรม
    “งั้นหรือคะแม่”  ตารวีเข้าใจจึงพยักหน้า


    ฝ่ายเทพคฑากร  ซึ่งเสวยสุขอยู่บนสวรวงสวรรค์ ณ ใต้ร่มดอกกัลปพฤกษ์และปาริชาต  ซึ่งสูงเป็นพันๆโยชน์  แต่สำหรับทวยเทพแล้วเป็นปกติ  ต้นไม้ระลึกชาติแห่งนี้ สามารถระลึกย้อนไปหาภพภูมิข้างหน้า หรือย้อนหลังในอดีตได้
    กลิ่นหอมรวยระรินไปไกล หอมฟุ้งตระหลบอย่างมาก โดยเฉพาะปาริชาต
    ภาพที่เกิดขึ้นในนิมิตนี้ คฑากรเทพอยากจะรู้ว่า ตนเองมีบุญวาสนาเกิดในยุคพระศรีอาริย์
    และเขาดำเนินชีวิตอยู่อย่างไรพร้อมกับคนในยุคนั้น
    ขณะนี้เขายังสถิตอยู่ณสวรรค์  อันเกิดจากบุญกุศลที่กระทำเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์
    บุญกุศลที่ยิ่งยวด ทำให้เขามีคุณสมบัติเทพ  จุติมาเสวยและรับกับความสุขในกองบุญจากอดีตชาติ
    และเป็นไปแนวทางของกุศลสวรรค์
    ที่ไม่มีโลกมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง

    เพราะการใช้ชีวิตแบบชาวสวรรค์ก็คือแบบโลกสวรรค์
    ไม่มีโลกมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง
    และโลกมนุษย์ก็คือโลกมนุษย์
    สองภพนี้กลับเชื่อมโยงต่อกัน  เพราะสวรรค์ชั้นที่หนึ่งติดอยู่กับโลกมนุษย์มากที่สุด
    สรรพสิ่งทุกอย่าง บังเกิด จากธาตุทั้งสี่ ดินน้ำลมไฟให้ชุบฟื้นวิญญาณมีเลือดเนื้อการเกิดและเกิดๆๆๆๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
    ครั้นเมื่อจากไปแล้วก็ละทิ้งแต่ธาตุทั้งสี่  ให้ว่ายวนเวียนไปเกิดในภาพใหม่  ทิ้งร่างเก่าที่เน่าเหม็นเป็นซากอสุภ  และวิถีชีวิตมนุษย์เป็นเช่นนี้เอง
    เจริญหรือตกต่ำขึ้นอยู่กับการกระทำเป็นหลัก

    ดังนั้นแม้โลกมนุษย์จะไม่ได้ห่างไกลจากการรับรู้  แต่เทวดาและนางฟ้าก็ไม่ใคร่จะสนใจ  เพราะความหยาบกระด้างขุ่นมัวในจิตใจ    ทำให้ย่างกรายไปไม่ได้ เพราะสภาวะของเทพบุตรและเทพธิดาเป็นทิพย์
    ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนบริสุทธิ์   ความหยาบกระด้างสกปรก  จึงไม่เป็นที่ปรารถนาของเทพ
    แค่เฉียดร่างเข่าไป ก็เหม็นสุดที่จะเหลือทน
    แต่สำหรับมนุษย์ด้วยกัน ทนอยู่กับความหยาบด้วยกันได้

    เทพคฑากรมองเห็นหมู่กินรีเริงระบำฟ้อน  กับเหล่านางฟ้าที่ปรารถนาเรื่องบันเทิงขับฟ้อน  อันมีเครื่องดนตรีทิพย์ ทั้งดีดสีตีเป่า   เวลาและวันคืนที่ยาวนาน ทำให้ทำทุกสิ่งทุกอย่างได้
    นี่คือความเป็นเทพ  ที่วันๆไม่รู้จะทำอะไร  นอกจากสุขกายสบายใจ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×