คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : - CH 2 : high -
Your words in my head, knives in my heart
คำพูดของคุณคล้ายดังมีดที่ปักลงสู่หัวใจ
…..
“หน้าที่ของพวกคุณล้วนเป็นความลับ
ไม่มีใครในโลกแม้กระทั่งครอบครัวที่จะรู้ว่าคุณทำงานให้กับสตาส”
คำพูดของคุณคิมในวันแรกที่พวกเราเข้าประจำการยังคงประทับอยู่ในกล่องความทรงจำ
มันเป็นเหมือนเครื่องมือกระตุ้นให้รู้สถานะและหน้าที่ว่าควรวางตัวอย่างไรในชีวิตที่มีแต่ความเสี่ยงเช่นนี้
“พวกคุณอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย
แต่ต่อไปคุณจะรู้” ผมไม่แน่ใจว่ามือที่ชื้นเหงื่อในตอนนั้นเกิดจากอะไร
ผมรู้แค่ว่าหัวใจของผมเต้นแรงจนแทบกระดอนออกจากอก ทุกคำพูด
ทุกขั้นตอนที่เกิดขึ้นในวันนั้นล้วนทำให้ผมตื่นเต้นจนไม่อาจบรรยายได้
คุณคิมส่งสายตาสื่อความหมายบางอย่างให้พวกเรา
ผมอ่านออกว่านั่นเป็นสายตาของความเชื่อมั่น
วินาทีนั้นผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้เขาและประเทศชาติต้องผิดหวัง
น้ำเสียงของคุณคิมดังก้องไปทั่วห้องโถง ตรึงให้พวกเราฟัง จำ
และทำตามอย่างที่เขาประกาศ
“ชีวิตของพวกคุณต่อจากนี้เป็นของประเทศชาติ
การตายอย่างมีเกียรติย่อมดีกว่าการมีชีวิตอยู่โดยไร้ประโยชน์ และคุณจะไม่เสียดาย
หากได้ตาย…เพื่อชาติ”
ผมกลายเป็นเจ้าหน้าที่บยอน แบคฮยอนแห่งหน่วยS.T.A.S.เต็มตัว การเข้ามารับหน้าที่นี้ถือได้ว่ายอมเอาชีวิตเข้าแลกกับการทำภารกิจ
สองปีที่อดทนฝึกซ้อมอย่างหนักในโรงฝึกพิเศษเปลี่ยนให้ผมเข้มแข็งมากกว่าแบคฮยอนในอดีต
พวกเราถูกแบ่งออกเป็นทีม ทีมเอคือทีมที่ผมสังกัดอยู่
ผมสนิทกับคิมจงอินในช่วงฝึกและโชคดีที่เราได้อยู่ทีมเดียวกัน
นอกจากชื่อและนามสกุลของพวกเราแล้ว
ข้อมูลส่วนตัวอื่นๆล้วนถูกปกปิดโดยการสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ทุกคน
ชาวเกาหลีต่างรู้ว่าหน่วยสตาสมีผลงานที่น่ายกย่อง มีฝีมือ
แต่พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเรามีตัวตนที่แท้จริงอย่างไร
ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นคนของสตาส
ไม่ว่าจะเป็นญาติเพียงคนเดียวที่บูชอน เพื่อนสมัยเรียน หรือแม้กระทั่งคนตรงหน้า…
“เทา?”
ผมเอ่ยชื่อเด็กหนุ่มอย่างใคร่สงสัย
เวลานี้เขาควรจะอยู่ที่โรงเรียนมากกว่ามาเดินเตร็ดเตร่ริมถนนในชุดนักเรียนแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?
“พี่แบคฮยอน…” เขาเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาของเทายังคงเฉี่ยวคมและมีรอยคล้ำไม่ต่างจากสิบปีก่อนที่เราเจอกันครั้งแรก
“นี่นายโดดเรียนอีกแล้วเหรอ?” ผมถามเขาเสียงดุ
เทาหลบสายตาผมก่อนจะทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ของป้ายรถเมล์
ปกติเทาเป็นเด็กร่าเริงและชอบแกล้งผมตลอดเวลา แต่ตอนนี้เขาดูมีเรื่องไม่สบายใจและผมเดาได้ไม่ยากว่าเขาเป็นแบบนี้เพราะอะไร “หรือทะเลาะกับพ่อมาอีกแล้ว? ไหนบอกพี่มาซิ”
เทาไม่ตอบแต่กลับสวมกอดผมเต็มแรง คางของเขาเกยอยู่บนหัวของผม
วงแขนของเทากว้างจนโอบรอบตัวผมให้รู้สึกอุ่นได้
วินาทีนั้นเองที่ผมเพิ่งประจักษ์ว่าเขาเติบโตขึ้นมากนับตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน
ตอนนั้นเทาเพิ่งจะหกขวบ
ส่วนผมก็เป็นแค่เด็กประถมที่โดดคาบคณิตไปอ่านการ์ตูนในห้องน้ำ
ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับนารูโตะในมือ เสียงร้องไห้จากห้องข้างๆก็ทำเอาผมชะงัก
“ฮือๆ ฮึก…ฮือออออ”
ผมออกมายืนจ้องบานประตูที่มีเสียงร้องอยู่ข้างในอย่างกล้าๆกลัวๆ
ความจริงผมควรจะไม่สนใจแล้วเดินออกไปซะ
แต่ความขลาดกลัวกลับถูกแทนที่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ผมรวบรวมความกล้าก่อนจะตัดสินใจทุบประตูเต็มแรง
ปัง! ปัง! ปัง!
“เห้ย เป็นไรเปล่า?!” แหกปากถามจนเสียงร้องไห้ชะงักไปครู่หนึ่ง
ไม่นานเสียงปลดล็อคประตูก็ดังขึ้น ผมกระชับนารูโตะในมือ
กะว่าถ้าเจออะไรไม่ดีเข้าพ่อจะฟาดไม่ยั้ง
“ฮึก...ฮึก…” เสียงสะอื้นดังขึ้นพร้อมกับเด็กผู้ชายตัวเล็กในชุดอนุบาลที่โผล่หน้ามามองผม
มือป้อมๆนั่นขยี้ตาตัวเองจนบวมไปหมด จมูกก็เป็นสีแดงช้ำ
ผมเดาว่าคงร้องไห้มานานพอสมควร
“ร้องไห้ทำไมเนี่ย
เพื่อนแกล้งรึไง?” ผมถามห้วนๆ ไม่ค่อยชอบเด็กเลยให้ตาย
แต่พอเด็กขี้แยคนนี้เดินออกมาหาแล้วเงยหน้าสบตากับผมก็ทำให้รู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก
เขาพยักหน้าเป็นคำตอบ
คราบหมึกและน้ำสีคล้ำๆบนเสื้อซึ่งผมเดาว่าเป็นน้ำถูพื้นส่งกลิ่นตุๆจนผมเบ้หน้า
อดคิดไม่ได้ว่าเด็กอนุบาลแกล้งกันแรงถึงขนาดนี้เชียวเหรอ?
“เป็นลูกผู้ชายทำไมยอมให้คนอื่นแกล้งง่ายๆแบบนี้ล่ะ ฮึ?” ผมถอยห่างจากเด็กนี่นิดหน่อยเพราะกลัวคราบบนเสื้อของเขาจะมาเปื้อนผมด้วย “หยุดร้องไห้ได้แล้ว”
“ผม...ฮึก ผมไม่ได้…ฮึก...ร้องไห้เพราะเพื่อนแกล้ง” สำเนียงแปร่งๆบอกผมแบบนั้นแถมยังชี้ไปตามแขนเล็กๆของตัวเอง “แต่ถ้าพ่อ...ฮึก..รู้ว่าผมโดนแกล้งอีกแล้ว พ่อก็...ฮึก...จะตีผมอีก”
ผมสังเกตเห็นรอยแดงเป็นจ้ำๆตามที่เขาชี้ เมื่อมองไปที่ขาก็พบรอยแดงๆเหมือนถูกอะไรฟาดด้วยเช่นกัน “พ่อไม่ชอบ...ฮึก...คนอ่อนแอ พ่อจะตีผม ฮืออออ”
ผมนิ่งไป รู้สึกลำคอแห้งผากไปชั่วขณะ เด็กขี้แยร้องไห้จ้าอีกครั้ง
ท่าทางว่าจะกลัวถูกผู้เป็นพ่อตีมากกว่าที่จะสนใจว่าตัวเองถูกแกล้งแบบไหน “พ่อไม่รักผม พ่อชอบ...ฮึก...ตีผม”
ผมไม่แน่ใจว่าเกิดจากความรำคาญหรืออะไรกันแน่ที่สั่งให้ผมค่อยๆดึงเด็กนี่เข้ามากอดปลอบโดยที่ไม่กลัวเปื้อนเหมือนก่อนหน้านี้
หน้าเล็กๆนั่นซุกอยู่ที่ท้องของผม เขาสะอึกสะอื้น
ผมจึงลูบหัวเด็กตัวเล็กนี่อย่างที่ไม่เคยทำกับเด็กที่ไหนมาก่อน
ผมรู้แค่ว่าไม่อยากเห็นดวงตาเฉี่ยวคมคู่นี้มีน้ำตา
ผมอยากทำอะไรก็ได้ให้เขาหยุดร้องไห้
“ทำไมคิดแบบนั้นเล่าเด็กโง่
เด็กอย่างนายน่ะใครเห็นก็รักทั้งนั้นแหละ” ผมสรรหาคำพูดมาปลอบ
เขากอดตอบผมแน่น มือป้อมขยำเสื้อผมจนคาดว่ามันคงจะยับไปหมดแล้ว “เลิกรองไห้ได้แล้ว
เดี๋ยวไม่หล่อนะ”
“แล้ว…” เด็กน้อยพูดเบาๆ
ใบหน้าที่ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นเด็กเกาหลีเงยขึ้นมาสบตากับผม
“หืม?”
“แล้ว...พี่รักผมด้วยรึเปล่าครับ?”
ผมเงียบไปหลังจากได้ยินคำถามใสซื่อที่ทำเอาผมขมวดคิ้ว ผมไม่รู้ว่าเด็กนี่ขาดความอบอุ่นหรือมีปัญหาครอบครัวขนาดไหนกันถึงได้ถามหาความรักจากคนอื่นแบบนี้
แต่พอมองย้อนกลับไปแล้ว เทาในตอนหกขวบที่เป็นเด็กขาดความอบอุ่น
กับผมตอนหกขวบที่พ่อแม่ตาย ความรู้สึกของเราสองคนมันก็คงจะเหมือนกัน ใช่ไหมนะ?
เขาเบะปากทำท่าจะร้องไห้อีกรอบเมื่อผมไม่ตอบ
ผมย่อตัวลงให้ส่วนสูงอยู่ในระดับเดียวกับเขา ผมลูบหัวกลมนั่นเบาๆ
ทำท่าทางราวกับตัวเองเป็นผู้ใหญ่ทั้งๆที่ตอนนั้นผมเพิ่งจะสิบสองขวบ
“รักสิ” ผมยิ้มให้เด็กตรงหน้า “พ่อนายก็รักนายเหมือนกันนั่นแหละ
เลิกขี้แยได้แล้ว”
เด็กน้อยยิ้มกว้างแล้วสวมกอดผมอีกครั้ง
วินาทีนั้นผมคิดว่าเด็กคนนี้อ่อนแอและน่าปกป้องเกินกว่าที่จะปล่อยไปได้
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้จักกันและพัฒนาความสัมพันธ์เป็นดังพี่น้องร่วมสายเลือด
เทาเคยบอกว่าผมเป็นเหมือนแสงนำทางในวันที่เขาจมอยู่ในความมืดมิด
แต่เขาไม่เคยรู้หรอกว่า เขาก็เป็นดังหยดน้ำที่ถูกค้นพบในวันที่แห้งแล้งที่สุด
ผมมีค่าสำหรับเขาและเขาก็สำคัญกับชีวิตผมเช่นกัน
“คืนนี้ผมไปนอนบ้านพี่ได้ไหม?” เทากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
ผมไม่รู้ว่าเขาโตขึ้นมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาไม่อ่อนแอเหมือนตอนเด็กและตัวโตกว่าผมเสียอีก
คนที่เดินผ่านไปมามองเราสองคนด้วยสายตาแปลกๆ แหงล่ะ
ผู้ชายสองคนมานั่งกอดกันแบบนี้ใครๆก็ต้องสนใจทั้งนั้น
“แล้วไม่ต้องไปเรียนรึไงจะไปนอนกับพี่น่ะ”
“วันนี้ผมไม่ไปแล้ว
พรุ่งนี้วันเสาร์ด้วย นะพี่แบคฮยอน ผมขอไปนอนด้วย”
เทาปล่อยผมออกจากอ้อมแขนแล้วทำสีหน้าอ้อนวอน
คุณลองคิดภาพผู้ชายอายุสิบเจ็ด
สูงราวๆร้อยแปดสิบห้าแต่ประสานมือไว้ตรงหน้าแล้วกะพริบตาปริบๆ น่าขำเป็นบ้า
โอเค ผมรู้แล้วว่าเทากำลังออกจากโหมดเศร้าแล้วเข้าสู่โหมดปกติ
“ก็ได้
แต่ช่วยเล่าให้พี่ฟังซิว่าทะเลาะอะไรกับพ่อมา”
“พ่อจะให้ผมเรียนตำรวจ” เทาแค่นหัวเราะอย่างกับเรื่องที่พูดเป็นเรื่องน่าขัน “พี่ก็รู้ว่าผมไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ
เราทะเลาะกันแล้วผมก็เดินหนีออกมาจากบ้าน ผมกะจะโทรหาพี่แล้วแต่ว่าไม่ได้หยิบโทรศัพท์ออกมา
กระเป๋าตังค์ก็ลืม”
เทาเล่าไปก็ใส่อารมณ์ไปเมื่อพูดถึงพ่อของตัวเอง พ่อของเทาเป็นตำรวจ
ยศสูงเสียด้วย เพราะพ่อที่ชอบบังคับบงการเขาทุกอย่างทำให้เทาเกลียดตำรวจมาก
นั่นรวมไปถึงข้าราชการอื่นๆหรือแม้กระทั่งหน่วยสตาส
ผมคิดภาพไม่ออก
ถ้าหากวันหนึ่งที่เทารู้ว่าผมเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาเกลียด เขาจะโกรธผมมากแค่ไหน
“พี่ไม่อยากให้นายโดดเรียนด้วยเหตุผลนี้หรอกนะเทา” เด็กหนุ่มหน้าจ๋อยแต่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้สำนึกขนาดนั้นหรอก “เอาเถอะ
พี่หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
ผมยื่นกุญแจบ้านให้เทา
บ่อยครั้งที่น้องชายต่างสายเลือดทะเลาะกับพ่อแล้วหนีมานอนกับผม
เขามักพูดเสมอว่าผมเป็นที่พึ่งเดียวที่เขามี
“พี่ไม่กลับพร้อมผมเหรอ?”
“พี่ต้องไปทำงานต่อ
ถ้าหิวก็เวฟข้าวในตู้เย็นเอานะ”
ผมบอกพร้อมกับลุกขึ้นแต่เทากลับกระตุกแขนผมให้นั่งตามเดิมแล้วหอมแก้มผมแรงๆจนได้ยินเสียงฟอด
ผมนั่งแข็งเป็นหินในขณะที่เขาลุกขึ้นวิ่งไปตามทางได้ระยะหนึ่งก่อนจะหันกลับมาป้องปากตะโกน
“ขอบคุณนะพี่แบคฮยอน
กลับบ้านเร็วๆนะ ผมจะรอ!!”
“ย่าห์...! ไอ้หวงจื่อเทา!” ผมตะโกนไล่หลังเด็กทะลึ่งที่วิ่งหนีไปไกลแล้วพลางเช็ดแก้มของตัวเอง
เขาชอบเล่นอะไรที่มักถึงเนื้อถึงตัวโดยให้เหตุผลว่าพี่น้องที่ไหนเขาก็ทำกัน
แต่เทามันลืมไปหรือเปล่าว่าเราเป็นผู้ชายทั้งคู่นะโว้ย!
…..
ผมเดินเข้าไปในอาคาร
โค้งทักทายรปภ.ที่ยิ้มให้ก่อนจะเดินเลยส่วนของฝ่ายจัดซื้อไปยังด้านหลังแล้วกรอกรหัสผ่านเจ็ดตัวที่มุมของชั้นหนังสือซึ่งอยู่ในที่ลับสายตาคน
ติ๊ง!
เสียงสัญญาณร้องเตือนว่ารหัสผ่านถูกต้องและวินาทีต่อมาชั้นหนังสือก็เคลื่อนตัวออกให้ผมเดินผ่านเข้าสู่ด้านในที่เป็นห้องขนาดใหญ่พอสมควร
สิ่งที่พวกคุณจะได้เห็นเป็นอันดับแรกหากคุณเข้ามาในห้องนี้กับผมได้
คือตัวอักษรขนาดใหญ่ที่มีไฟขาวจ้ารอบๆเสริมให้ข้อความเด่นขึ้น
‘S.T.A.S.’
นั่นคือสิ่งที่ผมเห็น
ป้ายชื่อหน่วยของเรา
บางทีคุณอาจจะคิดออกแล้วว่า บริษัท ACC มันเป็นแค่ฉากบังหน้าของหน่วยS.T.A.S.เท่านั้นเอง แน่นอนว่าพนักงานที่เดินกันอยู่ด้านนอกหรือแม้แต่รปภ.ที่เจอตรงหน้าประตู ทุกคนล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ของสตาสทั้งสิ้น
ห้องนี้เป็นห้องประจำทีมเอ
ซึ่งแต่ละทีมจะมีห้องลับต่างกันออกไป
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราทีมเอทั้งหมดเข้าหน่วยหลังจากที่ภารกิจล่าสุดล้มเหลว
นับเวลาดูแล้วก็ราวๆสี่วันได้ ผมนั่งที่โต๊ะประชุมด้านริมขวาสุด
คิมจงอินนั่งข้างๆผม ถัดไปเป็นอีจินกิที่หน้าตาดูยังไม่ตื่นเท่าไหร่
ตรงข้ามผมเป็นคิมจงแดที่ใส่แว่นหนาสมกับเป็นมันสมองของทีม
ที่นั่งของคิมฮโยยอนและลู่หานว่างเปล่า ผมเดาว่าพวกเขาอาจตามมาทีหลัง
หัวหน้าอี้ฝานนั่งอยู่หัวโต๊ะ
เขามีสีหน้าเคร่งเครียดมากกว่าที่เราเจอกันครั้งล่าสุด คิ้วหนาขมวดมุ่น
แววตามีแต่ประกายความจริงจังจนผมอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องราวที่จะได้ฟังต่อไปนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
“ลู่หานถูกลอบทำร้าย”
นั่นคือสิ่งที่หัวหน้าอี้ฝานบอกกับพวกเรา
เขาพูดขึ้นมาทื่อๆไร้ประโยคปลายเปิดหรือการเกริ่นนำใดๆ
มันพุ่งตรงและเข้าประเด็นทันทีเหมือนฮุกหมัดหนักๆใส่หน้าอก
“อะไรนะครับ?” จินกิเป็นคนแรกที่โพล่งถามไปแบบนั้น
ทั้งๆที่ผมมั่นใจว่าเขาได้ยินชัดเจนแล้ว
“เมื่อสามวันก่อนมีคนดักโจมตีเขาระหว่างออกไปทำธุระส่วนตัว” หัวหน้าอี้ฝานถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนจะเล่าต่อ “เขาได้รับบาดเจ็บหนักพอสมควร
ซี่โครงและแขนซ้ายหัก ร่างกายบอบช้ำ คงต้องพักรักษาตัวอีกระยะหนึ่ง
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือมันไม่ได้ตั้งใจแค่จะทำร้าย...”
หัวหน้าอี้ฝานยื่นซองใสที่มีไว้สำหรับเก็บวัตถุหลักฐานมาตรงหน้าพวกเรา
ข้างในนั้นมีหน้ากากสีขาวแบบเต็มใบหน้า มีตัวอักษรเล็กๆเขียนไว้บนหน้ากากว่า
‘เตือนครั้งที่หนึ่ง’
“นี่คือสิ่งที่คนร้ายทิ้งไว้หลังจากที่หลบหนีไปได้” สิ่งที่หัวหน้าอี้ฝานบอกทำเอาพวกเราตาโต
แหงล่ะ ก็หน้ากากขาวแบบนี้มันเป็นสัญลักษณ์ของ…
“พวกไนท์แมร์...?” จงอินเอ่ยออกมาแผ่วเบาแต่ชัดเจน
หัวหน้าอี้ฝานพยักหน้าช้าๆเป็นคำตอบ
อีจินกิแทบสติแตกหลังจากได้ยินแบบนั้นแต่คนอื่นๆยังคงนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง ไนท์แมร์คือกลุ่มอาชญากรที่หน่วยสตาสและตำรวจร่วมมือกันตามจับกุม
พวกมันเคยก่อเหตุหลายครั้งทั้งปล้นธนาคาร วางเพลิงก่อกวน
หรือแม้กระทั่งขโมยข้อมูลลับของรัฐบาล
ทั้งๆที่มีโอกาสจับกุมได้หลายครั้ง แต่น่าแปลกที่สุดท้ายแล้ว
พวกไนท์แมร์ก็จะหลบหนีไปได้ดั่งมีเวทย์มนตร์
ตัวอย่างที่คุณคงเห็นได้ชัดเจนนั่นก็คือเป้าหมายล่าสุดอย่างปาร์คชานยอล
ฉลาด เจ้าวางแผน เล่ห์เหลี่ยมจัดและชอบความท้าทาย นั่นล่ะ ไนท์แมร์
“และนี่คือชิ้นที่สองที่พวกมันทิ้งไว้ให้กับฮโยยอน” หัวหน้าอี้ฝานยื่นซองบรรจุหน้ากากให้อีกหนึ่งอัน
มีตัวอักษรเล็กๆเขียนไว้เหมือนกับอันแรกแต่ข้อความต่างกัน
‘อย่าลองดี’
“แสดงว่าฮโยยอนก็ถูกทำร้ายด้วยใช่ไหมครับหัวหน้า?” จงแดถามพลางสำรวจหน้ากากอย่างใคร่สงสัย
หัวหน้าอี้ฝานเงียบไปครู่หนึ่ง เขาสบตาพวกเราทีละคน ผมสังเกตว่าดวงตาของเขาสั่นไหวไร้ความมั่นคงเหมือนครั้งก่อนๆ
“คิมฮโยยอน…เธอตายแล้ว”
เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง
ราวกับนาฬิกาถูกหยุดค้างไว้จนเข็มวินาทีไม่อาจขยับได้
จงอินเป็นคนแรกที่ได้สติก่อนใครอื่น “ห...หัวหน้าอย่าล้อเล่นสิครับ
ฮ่าๆๆ... โอเคผมขำให้ก็ได้
เลิกเล่นเถอะ” เขาพยายามขำฝืดๆออกมาแต่ทุกคนรู้ว่านี่ไม่ใช่การล้อเล่น
แววตาของหัวหน้าอี้ฝานบอกพวกเราว่ามันคือเรื่องจริง
จงอินหยุดหัวเราะก่อนจะก้มหน้าสลด เขากลอกตาไปมาเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ฮโยยอนคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเรามาหลายปี คนที่ชอบทะเลาะกับจงอิน
คนที่ซ่อนความอ่อนแอไว้ภายใต้รอยยิ้ม
คนที่มักเป็นห่วงพวกเราเสมอแม้ตัวเองจะบาดเจ็บ
คนที่เป็นผู้หญิงคนเดียวภายในทีมแต่กลับเข้มแข็งไม่แพ้คนอื่นๆ
คนที่เป็นเหมือนพี่น้องของพวกเรา คนที่พวกเรา...รัก
“มัน…เกิดขึ้นได้ยังไงครับ?” ผมเอ่ยถามทั้งที่รู้สึกลำคอแห้งผากและขอบตาอุ่นร้อน
“เธอถูกฆ่าหลังจากที่ลู่หานถูกลอบทำร้าย
พวกมันบุกเข้าไปในบ้านของเธอ ปาดคอเธอแล้วทิ้งศพไว้แบบนั้น
ผมเดาว่าพวกมันคงสะกดรอยตามเธอไปถึงได้รู้ว่าเธอพักอยู่ที่ไหน” หัวหน้าอี้ฝานเว้นช่วงคล้ายจะตั้งสติให้ตัวเองใจเย็นลง “มันคงอยากท้าทายเรา
พวกมันคงคิดว่าอยู่เหนือเราได้หลังจากที่เราจับชานยอลไม่สำเร็จ
หมอนั่นคงจะไปบอกพรรคพวกล่ะว่าเราเป็นอย่างไรบ้าง
เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ได้เห็นหน้าพวกเราระหว่างการจับกุม”
“นี่มันบ้าชัดๆ!” จงอินสบถอย่างหัวเสีย ดวงตาของเขาแดงก่ำเหมือนคนจะร้องไห้
ผมเอื้อมมือไปบีบไหล่เขาเบาๆ จงอินคงเสียใจมากที่ฮโยยอนจากไป
เราล้วนเสียใจไม่ต่างกัน ทั้งๆที่เมื่อไม่กี่วันก่อนเรายังทำภารกิจร่วมกันอยู่แท้ๆ
“สิ่งสำคัญที่ผมอยากจะบอกพวกคุณคือเรื่องต่อไปนี้” หัวหน้าอี้ฝานพยายามไม่สนใจความอาลัยอาวรณ์ของพวกเรา
เขายังคงทำหน้าที่ผู้นำได้อย่างดีเยี่ยม
เขาไล่สายตามองทีละคนก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ผม “พวกมันคงไล่เก็บเราทีละคน
ผมอยากให้พวกคุณระวังตัวกันให้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะคุณ…”
“ผม?” เสียงสั่นเครือหลุดออกไปจากปากที่แห้งผากของผมและเสียงทุ้มห้าวของหัวหน้าอี้ฝานก็ทำเอาผมแทบหยุดหายใจ
“แบคฮยอน...คุณเป็นคนที่เข้าใกล้ชานยอลมากที่สุด
เพราะฉะนั้นชีวิตของคุณก็เสี่ยงมากที่สุดเช่นกัน”
…..
ผมเดินลงจากรถเมล์ด้วยสภาพเหมือนคนไร้จิตใจ
สิ่งที่ผมจำได้มีแค่ดวงตาที่ซึมเศร้าของคิมจงอิน สีหน้าเคร่งเครียดของคิมจงแด
หน้าตาตื่นตระหนกของอีจินกิและเสียงทุ้มห้าวของหัวหน้าอี้ฝานที่เอ่ยปากขอมาส่งแต่ผมปฏิเสธเขาไป
สายตาเป็นห่วงที่หัวหน้าอี้ฝานมีต่อผมนั้นปิดไม่มิดเอาเสียเลย ใช่
ผมอ่านแววตาของเขาออก แต่ตอนนี้ ผมรู้เพียงแค่ว่าฮโยยอนตายแล้วและลู่หานถูกทำร้าย
ผมไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะต้องพบเจอเรื่องราวแบบนั้น แต่ผมห่วงคนอื่นๆ
รวมทั้งเสียใจที่จะไม่ได้ยินเสียงของคิมฮโยยอน พี่น้องของพวกเราอีกต่อไปแล้ว
ผมต้องเดินเข้าซอยไปอีกประมาณสี่ร้อยเมตรจึงจะถึงบ้าน
ป่านนี้เทาคงรอผมแย่แล้ว
ผมคงต้องหาข้อแก้ตัวดีๆอย่างเช่นมีทำโอทีจึงกลับบ้านดึกอะไรอย่างนี้ซะล่ะมั้ง
ตึก …
ระหว่างที่จิตใจของผมกำลังถูกความโศกเศร้าครอบงำ
เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านหลังก็กระชากผมให้กลับเข้าสู่ความเป็นจริง
ผมหันหลังไปมองตามสัญชาตญาณแต่มันกลับว่างเปล่า
มีเพียงแค่ความมืดของกลางคืนและรั้วบ้านที่ปิดสนิทเท่านั้น
แต่ผมรับรู้ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องปกติ ผมไม่สามารถหลอกตัวเองได้ว่าหูฝาด
ผมค่อนข้างแน่ใจว่า…มีคนสะกดรอยตามผมอยู่
ผมแกล้งเดินเลี้ยวไปอีกทางที่ไม่ใช่ทางไปสู่บ้าน
แม้ที่บ้านจะมีปืนที่เอาออกมาใช้สู้กับมันได้แต่ผมคงไม่ยอมให้เทาต้องมาเป็นอันตรายไปด้วย
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าปริศนาชัดขึ้นเรื่อยๆจนผมมั่นใจแล้วว่ามีคนตามผมแน่นอน
แถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยวและดึกมากเกินกว่าจะมีใครออกมาเห็นหากผมโดนทำร้ายจริงๆ
เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมหันกลับไปมองฝ่าเท้าหนักๆก็กระแทกเข้าท้องของผมจนร้องไม่ออก
ผลั่ก !
“อั่ก...!”
แรงถีบส่งผลให้ผมล้มลงไปตัวงอกับพื้น
ผมค่อยๆยันตัวขึ้นเพื่อประจันหน้าแต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามันไม่ได้มาคนเดียวแต่กลับมีถึงสาม
ในมือของพวกมันมีท่อนเหล็กที่หากได้โดนเข้าไปสักครั้งคงเจ็บไปหลายวัน
ทุกคนล้วนใส่หน้ากากสีขาว เพียงเท่านี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าผมถูกพวกไนท์แมร์เล่นงาน
ผมตั้งสติก่อนจะยกขาถีบเข้าที่หน้าอกของหนึ่งในพวกมันเต็มแรง
มันเซถลาไปชนกับอีกสองคนจนล้มไปกองกันบนพื้น ผมจึงใช้โอกาสนี้วิ่งหนีสุดกำลัง
มาคนเดียวผมอาจจะยังพอสู้ไหว แต่นี่สาม
แถมผมไม่มีอาวุธอะไรติดมือเลยด้วยซ้ำ ขืนสู้ไปคงมีแต่เสียกับเสียให้ตายสิ!
“แฮ่ก...แฮ่ก...” ผมหอบจนตัวโยนพร้อมมองหาทางหนีในขณะที่แผ่นหลังแนบไปกับกำแพงของตรอกมืดๆแห่งหนึ่ง
ผมไม่รู้ว่าผมวิ่งมาอยู่ตรงส่วนไหนแต่หากผมยังอยู่ตรงนี้
พนันได้เลยว่าพวกมันต้องหาตัวผมเจอแน่
“เอาเข้ามาไว้ในนี้เลย!”
ผมหันไปตามเสียงตะโกนที่ได้ยิน มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังขนลังออกจากท้ายรถยนต์และเอาเข้าไปไว้ในโกดังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตามที่ชายแก่อีกคนคอยตะโกนกำกับงาน
พวกเขาหายเข้าไปในโกดังนั่นและเหมือนพระเจ้าจะเข้าข้างผม
ชายคนนั้นยังไม่ได้ปิดกระโปรงท้ายรถ!
ไม่รอช้า ผมรีบวิ่งไปที่รถคันนั้นแล้วแทรกตัวเข้าไปอย่างเงียบเชียบ
ผมเอื้อมมือไปปิดท้ายกระโปรงรถแต่ไม่สนิทเพื่อเว้นช่องไว้ให้พอหายใจและมองเห็นด้านนอก
ตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่าพวกไนท์แมร์ทั้งสามวิ่งมาทางรถที่ผมซ่อนตัวอยู่
พวกมันสอดส่ายตามองหาผมไปทั่ว แต่เมื่อไม่พบพวกมันก็แยกย้ายไปที่อื่น
ผมถอนหายใจโล่งอกและคิดว่าควรจะออกไปก่อนที่เจ้าของรถจะกลับมา
แต่พระเจ้าไม่เคยเข้าข้างผมเป็นครั้งที่สอง ในขณะที่ผมจะยันตัวลุกขึ้น
ท้ายรถกลับถูกมือใหญ่ของใครบางคนกดลงมาจนได้ยินเสียงล็อค
กริ๊ก!
เสียงล็อคเป็นดังสัญญาณบอกว่าผมถูกขังเสียแล้ว เสียงสตาร์ทรถดังขึ้น
ผมรู้สึกได้ว่ารถเคลื่อนตัวออกไป เจ้าของรถไม่รู้แน่ๆว่าผมอยู่ในนี้และถ้าเขาเปิดมาเจอผมเข้าคงตกใจมากทีเดียว
รถเคลื่อนตัวออกมาได้สักพักหนึ่งพร้อมๆกับเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นตามซอกคอ
อากาศเหมือนจะค่อยๆหายไปจนผมเริ่มหายใจติดขัด
ตอนนั้นเองที่ผมตัดสินใจทุบท้ายรถเต็มแรงเพื่อบอกเจ้าของรถให้รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้
ปึก! ปึก! ปึก!
ผมเคาะไปอีกหลายทีกระทั่งรู้สึกได้ว่ารถถูกเบรกอย่างแรง
ผมถลาไปกระแทกกับผนังรถจนรู้สึกเจ็บที่แขน
เสียงเปิดปิดประตูรถและเสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้นดังเข้ามาในโสตประสาท
ตึก ตึก ตึก
เจ้าของรถหยุดอยู่ที่ท้ายรถแล้ว
ผมคงต้องเตรียมเหตุผลดีๆไว้บอกเขาว่าทำไมผมถึงมาอยู่ในรถของเขาได้
วินาทีที่เสียงปลดล็อคดังขึ้นเหมือนผมจะหยุดหายใจไปด้วย
อากาศข้างนอกทะลักเข้ามาข้างใน มันเย็นยะเยือกจนขนอ่อนที่คอตั้งชัน
ท้ายรถค่อยๆเปิดขึ้นด้วยมือหนา ผมยิ้มกว้างเพื่อเป็นการไม่ให้เจ้าของรถตกใจที่เห็นผมแบบนี้
แต่สิ่งที่ผมเห็นเป็นลำดับแรกมันไม่ใช่สีหน้างุนงงของเขา
มันไม่ใช่อะไรเลยอย่างที่ผมคาดหวังไว้
แต่มันกลับเป็น...ปลายกระบอกปืนที่จ่อมายังใบหน้าของผม
รอยยิ้มของผมค่อยๆหายไป ความหนาวเย็นของอากาศกลายเป็นความอบอุ่นไปในทันทีเมื่อเทียบกับแววตาเย็นชาของคนตรงหน้าที่แผ่ซ่านความเย็นเยียบเข้าสู่หัวใจของผม
ผมเพิ่งเข้าใจคำว่าหนีเสือปะจระเข้ก็วันนี้
ผมเกลียดดวงตาของเขา
ดวงตาสีน้ำตาลที่เหมือนกับอ่านผมออกจนทะลุปรุโปร่งและสมเพชไปในคราวเดียวกัน
สายตาที่เหมือนกับบอกผมว่าเขาอยู่เหนือกว่า
เขาคือผู้ชนะและผมคือเหยื่อที่เดินตามเกมเขามาโดยตลอด
ผมเค้นเสียงออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก
ริมฝีปากแห้งผากและยากเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ย
รู้สึกยากเหลือเกินกับการเอ่ยชื่อเรียกคนตรงหน้าในเวลานี้
“ช...ชานยอล…!”
TBC
สอบเสร็จแล้ว ต่อไปคงได้มาต่อบ่อยขึ้น
แบคฮยอนเรื่องนี้ซวยทั้งเรื่องอ่ะนี่บอกเลย นี่เพิ่งสองตอน ยังหรอก ยังจะอ่วมกว่านี้อีกเยอะ สะใจ 555555555555555555555
เมนท์หรือติดแท็ก #ficsee2b เป็นกำลังใจได้น้า
@BlackQ238
อีกเรื่องหนึ่งคือเราอยากให้อซอ.ทุกคนสู้นะ
ทุกอย่างมันจะผ่านไปแล้วก็จะดีขึ้น เหมือนอย่างที่พวกเราเคยผ่านมาได้ ไฟท์ติ้งนะ !
up : 12/10/2014
ความคิดเห็น