ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] See through B's trick (chanbaek)

    ลำดับตอนที่ #3 : - CH 2 : high -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.9K
      53
      10 ธ.ค. 58


     

    chapter 02
     

     

     

    Your words in my head, knives in my heart

    คำพูดของคุณคล้ายดังมีดที่ปักลงสู่หัวใจ

    …..

     

              หน้าที่ของพวกคุณล้วนเป็นความลับ ไม่มีใครในโลกแม้กระทั่งครอบครัวที่จะรู้ว่าคุณทำงานให้กับสตาส

     

                คำพูดของคุณคิมในวันแรกที่พวกเราเข้าประจำการยังคงประทับอยู่ในกล่องความทรงจำ มันเป็นเหมือนเครื่องมือกระตุ้นให้รู้สถานะและหน้าที่ว่าควรวางตัวอย่างไรในชีวิตที่มีแต่ความเสี่ยงเช่นนี้

     

                พวกคุณอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย แต่ต่อไปคุณจะรู้ ผมไม่แน่ใจว่ามือที่ชื้นเหงื่อในตอนนั้นเกิดจากอะไร ผมรู้แค่ว่าหัวใจของผมเต้นแรงจนแทบกระดอนออกจากอก ทุกคำพูด ทุกขั้นตอนที่เกิดขึ้นในวันนั้นล้วนทำให้ผมตื่นเต้นจนไม่อาจบรรยายได้

     

                คุณคิมส่งสายตาสื่อความหมายบางอย่างให้พวกเรา ผมอ่านออกว่านั่นเป็นสายตาของความเชื่อมั่น วินาทีนั้นผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้เขาและประเทศชาติต้องผิดหวัง

     

                น้ำเสียงของคุณคิมดังก้องไปทั่วห้องโถง ตรึงให้พวกเราฟัง จำ และทำตามอย่างที่เขาประกาศ

     

                ชีวิตของพวกคุณต่อจากนี้เป็นของประเทศชาติ การตายอย่างมีเกียรติย่อมดีกว่าการมีชีวิตอยู่โดยไร้ประโยชน์ และคุณจะไม่เสียดาย หากได้ตายเพื่อชาติ

     

                ผมกลายเป็นเจ้าหน้าที่บยอน แบคฮยอนแห่งหน่วยS.T.A.S.เต็มตัว การเข้ามารับหน้าที่นี้ถือได้ว่ายอมเอาชีวิตเข้าแลกกับการทำภารกิจ สองปีที่อดทนฝึกซ้อมอย่างหนักในโรงฝึกพิเศษเปลี่ยนให้ผมเข้มแข็งมากกว่าแบคฮยอนในอดีต

     

                พวกเราถูกแบ่งออกเป็นทีม ทีมเอคือทีมที่ผมสังกัดอยู่ ผมสนิทกับคิมจงอินในช่วงฝึกและโชคดีที่เราได้อยู่ทีมเดียวกัน

     

                นอกจากชื่อและนามสกุลของพวกเราแล้ว ข้อมูลส่วนตัวอื่นๆล้วนถูกปกปิดโดยการสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ทุกคน ชาวเกาหลีต่างรู้ว่าหน่วยสตาสมีผลงานที่น่ายกย่อง มีฝีมือ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเรามีตัวตนที่แท้จริงอย่างไร

     

                ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นคนของสตาส ไม่ว่าจะเป็นญาติเพียงคนเดียวที่บูชอน เพื่อนสมัยเรียน หรือแม้กระทั่งคนตรงหน้า

     

             เทา?”

     

                ผมเอ่ยชื่อเด็กหนุ่มอย่างใคร่สงสัย เวลานี้เขาควรจะอยู่ที่โรงเรียนมากกว่ามาเดินเตร็ดเตร่ริมถนนในชุดนักเรียนแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?

     

                พี่แบคฮยอน…” เขาเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาของเทายังคงเฉี่ยวคมและมีรอยคล้ำไม่ต่างจากสิบปีก่อนที่เราเจอกันครั้งแรก

     

                นี่นายโดดเรียนอีกแล้วเหรอ?”  ผมถามเขาเสียงดุ เทาหลบสายตาผมก่อนจะทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ของป้ายรถเมล์ ปกติเทาเป็นเด็กร่าเริงและชอบแกล้งผมตลอดเวลา แต่ตอนนี้เขาดูมีเรื่องไม่สบายใจและผมเดาได้ไม่ยากว่าเขาเป็นแบบนี้เพราะอะไร หรือทะเลาะกับพ่อมาอีกแล้ว? ไหนบอกพี่มาซิ

     

                เทาไม่ตอบแต่กลับสวมกอดผมเต็มแรง คางของเขาเกยอยู่บนหัวของผม วงแขนของเทากว้างจนโอบรอบตัวผมให้รู้สึกอุ่นได้ วินาทีนั้นเองที่ผมเพิ่งประจักษ์ว่าเขาเติบโตขึ้นมากนับตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน

     

     

                ตอนนั้นเทาเพิ่งจะหกขวบ ส่วนผมก็เป็นแค่เด็กประถมที่โดดคาบคณิตไปอ่านการ์ตูนในห้องน้ำ ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับนารูโตะในมือ เสียงร้องไห้จากห้องข้างๆก็ทำเอาผมชะงัก 

     

                ฮือๆ ฮึกฮือออออ

     

                ผมออกมายืนจ้องบานประตูที่มีเสียงร้องอยู่ข้างในอย่างกล้าๆกลัวๆ ความจริงผมควรจะไม่สนใจแล้วเดินออกไปซะ แต่ความขลาดกลัวกลับถูกแทนที่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมรวบรวมความกล้าก่อนจะตัดสินใจทุบประตูเต็มแรง

     

                ปัง! ปัง! ปัง!

     

                เห้ย เป็นไรเปล่า?!” แหกปากถามจนเสียงร้องไห้ชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่นานเสียงปลดล็อคประตูก็ดังขึ้น  ผมกระชับนารูโตะในมือ กะว่าถ้าเจออะไรไม่ดีเข้าพ่อจะฟาดไม่ยั้ง

     

                ฮึก...ฮึก…” เสียงสะอื้นดังขึ้นพร้อมกับเด็กผู้ชายตัวเล็กในชุดอนุบาลที่โผล่หน้ามามองผม มือป้อมๆนั่นขยี้ตาตัวเองจนบวมไปหมด จมูกก็เป็นสีแดงช้ำ ผมเดาว่าคงร้องไห้มานานพอสมควร

     

                ร้องไห้ทำไมเนี่ย เพื่อนแกล้งรึไง?” ผมถามห้วนๆ ไม่ค่อยชอบเด็กเลยให้ตาย แต่พอเด็กขี้แยคนนี้เดินออกมาหาแล้วเงยหน้าสบตากับผมก็ทำให้รู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก

     

                เขาพยักหน้าเป็นคำตอบ คราบหมึกและน้ำสีคล้ำๆบนเสื้อซึ่งผมเดาว่าเป็นน้ำถูพื้นส่งกลิ่นตุๆจนผมเบ้หน้า อดคิดไม่ได้ว่าเด็กอนุบาลแกล้งกันแรงถึงขนาดนี้เชียวเหรอ?

     

                “เป็นลูกผู้ชายทำไมยอมให้คนอื่นแกล้งง่ายๆแบบนี้ล่ะ ฮึ?” ผมถอยห่างจากเด็กนี่นิดหน่อยเพราะกลัวคราบบนเสื้อของเขาจะมาเปื้อนผมด้วย หยุดร้องไห้ได้แล้ว

     

    ผม...ฮึก ผมไม่ได้ฮึก...ร้องไห้เพราะเพื่อนแกล้ง สำเนียงแปร่งๆบอกผมแบบนั้นแถมยังชี้ไปตามแขนเล็กๆของตัวเอง แต่ถ้าพ่อ...ฮึก..รู้ว่าผมโดนแกล้งอีกแล้ว พ่อก็...ฮึก...จะตีผมอีก

     

    ผมสังเกตเห็นรอยแดงเป็นจ้ำๆตามที่เขาชี้ เมื่อมองไปที่ขาก็พบรอยแดงๆเหมือนถูกอะไรฟาดด้วยเช่นกัน พ่อไม่ชอบ...ฮึก...คนอ่อนแอ พ่อจะตีผม ฮืออออ” 

     

                ผมนิ่งไป รู้สึกลำคอแห้งผากไปชั่วขณะ เด็กขี้แยร้องไห้จ้าอีกครั้ง ท่าทางว่าจะกลัวถูกผู้เป็นพ่อตีมากกว่าที่จะสนใจว่าตัวเองถูกแกล้งแบบไหน พ่อไม่รักผม พ่อชอบ...ฮึก...ตีผม

     

                ผมไม่แน่ใจว่าเกิดจากความรำคาญหรืออะไรกันแน่ที่สั่งให้ผมค่อยๆดึงเด็กนี่เข้ามากอดปลอบโดยที่ไม่กลัวเปื้อนเหมือนก่อนหน้านี้ หน้าเล็กๆนั่นซุกอยู่ที่ท้องของผม เขาสะอึกสะอื้น ผมจึงลูบหัวเด็กตัวเล็กนี่อย่างที่ไม่เคยทำกับเด็กที่ไหนมาก่อน ผมรู้แค่ว่าไม่อยากเห็นดวงตาเฉี่ยวคมคู่นี้มีน้ำตา ผมอยากทำอะไรก็ได้ให้เขาหยุดร้องไห้

     

                “ทำไมคิดแบบนั้นเล่าเด็กโง่ เด็กอย่างนายน่ะใครเห็นก็รักทั้งนั้นแหละ ผมสรรหาคำพูดมาปลอบ เขากอดตอบผมแน่น มือป้อมขยำเสื้อผมจนคาดว่ามันคงจะยับไปหมดแล้ว เลิกรองไห้ได้แล้ว เดี๋ยวไม่หล่อนะ

     

                แล้ว…” เด็กน้อยพูดเบาๆ ใบหน้าที่ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นเด็กเกาหลีเงยขึ้นมาสบตากับผม

     

                “หืม?”

     

                แล้ว...พี่รักผมด้วยรึเปล่าครับ?”

     

                ผมเงียบไปหลังจากได้ยินคำถามใสซื่อที่ทำเอาผมขมวดคิ้ว ผมไม่รู้ว่าเด็กนี่ขาดความอบอุ่นหรือมีปัญหาครอบครัวขนาดไหนกันถึงได้ถามหาความรักจากคนอื่นแบบนี้

     

                แต่พอมองย้อนกลับไปแล้ว เทาในตอนหกขวบที่เป็นเด็กขาดความอบอุ่น กับผมตอนหกขวบที่พ่อแม่ตาย ความรู้สึกของเราสองคนมันก็คงจะเหมือนกัน ใช่ไหมนะ?

     

                เขาเบะปากทำท่าจะร้องไห้อีกรอบเมื่อผมไม่ตอบ ผมย่อตัวลงให้ส่วนสูงอยู่ในระดับเดียวกับเขา ผมลูบหัวกลมนั่นเบาๆ ทำท่าทางราวกับตัวเองเป็นผู้ใหญ่ทั้งๆที่ตอนนั้นผมเพิ่งจะสิบสองขวบ

     

                รักสิ ผมยิ้มให้เด็กตรงหน้า พ่อนายก็รักนายเหมือนกันนั่นแหละ เลิกขี้แยได้แล้ว

     

                เด็กน้อยยิ้มกว้างแล้วสวมกอดผมอีกครั้ง วินาทีนั้นผมคิดว่าเด็กคนนี้อ่อนแอและน่าปกป้องเกินกว่าที่จะปล่อยไปได้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้จักกันและพัฒนาความสัมพันธ์เป็นดังพี่น้องร่วมสายเลือด

     

                เทาเคยบอกว่าผมเป็นเหมือนแสงนำทางในวันที่เขาจมอยู่ในความมืดมิด แต่เขาไม่เคยรู้หรอกว่า เขาก็เป็นดังหยดน้ำที่ถูกค้นพบในวันที่แห้งแล้งที่สุด ผมมีค่าสำหรับเขาและเขาก็สำคัญกับชีวิตผมเช่นกัน

     

                คืนนี้ผมไปนอนบ้านพี่ได้ไหม?” เทากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ผมไม่รู้ว่าเขาโตขึ้นมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่อ่อนแอเหมือนตอนเด็กและตัวโตกว่าผมเสียอีก คนที่เดินผ่านไปมามองเราสองคนด้วยสายตาแปลกๆ แหงล่ะ ผู้ชายสองคนมานั่งกอดกันแบบนี้ใครๆก็ต้องสนใจทั้งนั้น

     

                แล้วไม่ต้องไปเรียนรึไงจะไปนอนกับพี่น่ะ

     

                วันนี้ผมไม่ไปแล้ว พรุ่งนี้วันเสาร์ด้วย นะพี่แบคฮยอน ผมขอไปนอนด้วย

     

                เทาปล่อยผมออกจากอ้อมแขนแล้วทำสีหน้าอ้อนวอน คุณลองคิดภาพผู้ชายอายุสิบเจ็ด สูงราวๆร้อยแปดสิบห้าแต่ประสานมือไว้ตรงหน้าแล้วกะพริบตาปริบๆ น่าขำเป็นบ้า

     

                โอเค ผมรู้แล้วว่าเทากำลังออกจากโหมดเศร้าแล้วเข้าสู่โหมดปกติ

     

                ก็ได้ แต่ช่วยเล่าให้พี่ฟังซิว่าทะเลาะอะไรกับพ่อมา

     

                พ่อจะให้ผมเรียนตำรวจ เทาแค่นหัวเราะอย่างกับเรื่องที่พูดเป็นเรื่องน่าขัน พี่ก็รู้ว่าผมไม่อยากเป็นเหมือนพ่อ เราทะเลาะกันแล้วผมก็เดินหนีออกมาจากบ้าน ผมกะจะโทรหาพี่แล้วแต่ว่าไม่ได้หยิบโทรศัพท์ออกมา กระเป๋าตังค์ก็ลืม

     

                เทาเล่าไปก็ใส่อารมณ์ไปเมื่อพูดถึงพ่อของตัวเอง พ่อของเทาเป็นตำรวจ ยศสูงเสียด้วย เพราะพ่อที่ชอบบังคับบงการเขาทุกอย่างทำให้เทาเกลียดตำรวจมาก นั่นรวมไปถึงข้าราชการอื่นๆหรือแม้กระทั่งหน่วยสตาส

     

                ผมคิดภาพไม่ออก ถ้าหากวันหนึ่งที่เทารู้ว่าผมเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาเกลียด เขาจะโกรธผมมากแค่ไหน

     

                พี่ไม่อยากให้นายโดดเรียนด้วยเหตุผลนี้หรอกนะเทา เด็กหนุ่มหน้าจ๋อยแต่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้สำนึกขนาดนั้นหรอก เอาเถอะ พี่หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก

     

                ผมยื่นกุญแจบ้านให้เทา บ่อยครั้งที่น้องชายต่างสายเลือดทะเลาะกับพ่อแล้วหนีมานอนกับผม เขามักพูดเสมอว่าผมเป็นที่พึ่งเดียวที่เขามี

     

                พี่ไม่กลับพร้อมผมเหรอ?”

     

                พี่ต้องไปทำงานต่อ ถ้าหิวก็เวฟข้าวในตู้เย็นเอานะ

     

                ผมบอกพร้อมกับลุกขึ้นแต่เทากลับกระตุกแขนผมให้นั่งตามเดิมแล้วหอมแก้มผมแรงๆจนได้ยินเสียงฟอด ผมนั่งแข็งเป็นหินในขณะที่เขาลุกขึ้นวิ่งไปตามทางได้ระยะหนึ่งก่อนจะหันกลับมาป้องปากตะโกน

     

                ขอบคุณนะพี่แบคฮยอน กลับบ้านเร็วๆนะ ผมจะรอ!!”

     

                ย่าห์...! ไอ้หวงจื่อเทา!” ผมตะโกนไล่หลังเด็กทะลึ่งที่วิ่งหนีไปไกลแล้วพลางเช็ดแก้มของตัวเอง เขาชอบเล่นอะไรที่มักถึงเนื้อถึงตัวโดยให้เหตุผลว่าพี่น้องที่ไหนเขาก็ทำกัน แต่เทามันลืมไปหรือเปล่าว่าเราเป็นผู้ชายทั้งคู่นะโว้ย!

     

    …..

     


                หลังจากที่เจอกับเทาแล้วผมก็นั่งรถเมล์มาลงยัง บริษัทACC’  ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและยา มันเป็นแค่บริษัทขนาดเล็ก ธรรมดา และไม่มีอะไรน่าสนใจ นั่นคือความคิดของคนทั่วไป ตราบเท่าที่พวกเขายังไม่เคยได้เข้ามาสัมผัสภายใน

     

                ผมเดินเข้าไปในอาคาร โค้งทักทายรปภ.ที่ยิ้มให้ก่อนจะเดินเลยส่วนของฝ่ายจัดซื้อไปยังด้านหลังแล้วกรอกรหัสผ่านเจ็ดตัวที่มุมของชั้นหนังสือซึ่งอยู่ในที่ลับสายตาคน

     

                ติ๊ง!

     

                เสียงสัญญาณร้องเตือนว่ารหัสผ่านถูกต้องและวินาทีต่อมาชั้นหนังสือก็เคลื่อนตัวออกให้ผมเดินผ่านเข้าสู่ด้านในที่เป็นห้องขนาดใหญ่พอสมควร

     

                สิ่งที่พวกคุณจะได้เห็นเป็นอันดับแรกหากคุณเข้ามาในห้องนี้กับผมได้ คือตัวอักษรขนาดใหญ่ที่มีไฟขาวจ้ารอบๆเสริมให้ข้อความเด่นขึ้น

     

                ‘S.T.A.S.’

     

                นั่นคือสิ่งที่ผมเห็น ป้ายชื่อหน่วยของเรา

     

                บางทีคุณอาจจะคิดออกแล้วว่า บริษัท ACC มันเป็นแค่ฉากบังหน้าของหน่วยS.T.A.S.เท่านั้นเอง แน่นอนว่าพนักงานที่เดินกันอยู่ด้านนอกหรือแม้แต่รปภ.ที่เจอตรงหน้าประตู ทุกคนล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ของสตาสทั้งสิ้น

     

                ห้องนี้เป็นห้องประจำทีมเอ ซึ่งแต่ละทีมจะมีห้องลับต่างกันออกไป นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราทีมเอทั้งหมดเข้าหน่วยหลังจากที่ภารกิจล่าสุดล้มเหลว นับเวลาดูแล้วก็ราวๆสี่วันได้ ผมนั่งที่โต๊ะประชุมด้านริมขวาสุด คิมจงอินนั่งข้างๆผม ถัดไปเป็นอีจินกิที่หน้าตาดูยังไม่ตื่นเท่าไหร่ ตรงข้ามผมเป็นคิมจงแดที่ใส่แว่นหนาสมกับเป็นมันสมองของทีม ที่นั่งของคิมฮโยยอนและลู่หานว่างเปล่า ผมเดาว่าพวกเขาอาจตามมาทีหลัง

     

                หัวหน้าอี้ฝานนั่งอยู่หัวโต๊ะ เขามีสีหน้าเคร่งเครียดมากกว่าที่เราเจอกันครั้งล่าสุด คิ้วหนาขมวดมุ่น แววตามีแต่ประกายความจริงจังจนผมอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องราวที่จะได้ฟังต่อไปนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

     

                ลู่หานถูกลอบทำร้าย

     

                นั่นคือสิ่งที่หัวหน้าอี้ฝานบอกกับพวกเรา เขาพูดขึ้นมาทื่อๆไร้ประโยคปลายเปิดหรือการเกริ่นนำใดๆ มันพุ่งตรงและเข้าประเด็นทันทีเหมือนฮุกหมัดหนักๆใส่หน้าอก

     

                อะไรนะครับ?” จินกิเป็นคนแรกที่โพล่งถามไปแบบนั้น ทั้งๆที่ผมมั่นใจว่าเขาได้ยินชัดเจนแล้ว

     

                เมื่อสามวันก่อนมีคนดักโจมตีเขาระหว่างออกไปทำธุระส่วนตัว หัวหน้าอี้ฝานถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนจะเล่าต่อ เขาได้รับบาดเจ็บหนักพอสมควร ซี่โครงและแขนซ้ายหัก ร่างกายบอบช้ำ คงต้องพักรักษาตัวอีกระยะหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือมันไม่ได้ตั้งใจแค่จะทำร้าย...”

     

                หัวหน้าอี้ฝานยื่นซองใสที่มีไว้สำหรับเก็บวัตถุหลักฐานมาตรงหน้าพวกเรา ข้างในนั้นมีหน้ากากสีขาวแบบเต็มใบหน้า มีตัวอักษรเล็กๆเขียนไว้บนหน้ากากว่า

     

    เตือนครั้งที่หนึ่ง

     

    นี่คือสิ่งที่คนร้ายทิ้งไว้หลังจากที่หลบหนีไปได้ สิ่งที่หัวหน้าอี้ฝานบอกทำเอาพวกเราตาโต แหงล่ะ ก็หน้ากากขาวแบบนี้มันเป็นสัญลักษณ์ของ

     

    พวกไนท์แมร์...?” จงอินเอ่ยออกมาแผ่วเบาแต่ชัดเจน หัวหน้าอี้ฝานพยักหน้าช้าๆเป็นคำตอบ

     

    อีจินกิแทบสติแตกหลังจากได้ยินแบบนั้นแต่คนอื่นๆยังคงนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง ไนท์แมร์คือกลุ่มอาชญากรที่หน่วยสตาสและตำรวจร่วมมือกันตามจับกุม พวกมันเคยก่อเหตุหลายครั้งทั้งปล้นธนาคาร วางเพลิงก่อกวน หรือแม้กระทั่งขโมยข้อมูลลับของรัฐบาล

     

    ทั้งๆที่มีโอกาสจับกุมได้หลายครั้ง แต่น่าแปลกที่สุดท้ายแล้ว พวกไนท์แมร์ก็จะหลบหนีไปได้ดั่งมีเวทย์มนตร์ ตัวอย่างที่คุณคงเห็นได้ชัดเจนนั่นก็คือเป้าหมายล่าสุดอย่างปาร์คชานยอล

     

    ฉลาด เจ้าวางแผน เล่ห์เหลี่ยมจัดและชอบความท้าทาย นั่นล่ะ ไนท์แมร์

     

    และนี่คือชิ้นที่สองที่พวกมันทิ้งไว้ให้กับฮโยยอน หัวหน้าอี้ฝานยื่นซองบรรจุหน้ากากให้อีกหนึ่งอัน มีตัวอักษรเล็กๆเขียนไว้เหมือนกับอันแรกแต่ข้อความต่างกัน

     

    อย่าลองดี

     

    แสดงว่าฮโยยอนก็ถูกทำร้ายด้วยใช่ไหมครับหัวหน้า?” จงแดถามพลางสำรวจหน้ากากอย่างใคร่สงสัย หัวหน้าอี้ฝานเงียบไปครู่หนึ่ง เขาสบตาพวกเราทีละคน ผมสังเกตว่าดวงตาของเขาสั่นไหวไร้ความมั่นคงเหมือนครั้งก่อนๆ

     

    คิมฮโยยอนเธอตายแล้ว

     

    เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง

     

    ราวกับนาฬิกาถูกหยุดค้างไว้จนเข็มวินาทีไม่อาจขยับได้

     

    จงอินเป็นคนแรกที่ได้สติก่อนใครอื่น ...หัวหน้าอย่าล้อเล่นสิครับ ฮ่าๆๆ... โอเคผมขำให้ก็ได้ เลิกเล่นเถอะ เขาพยายามขำฝืดๆออกมาแต่ทุกคนรู้ว่านี่ไม่ใช่การล้อเล่น แววตาของหัวหน้าอี้ฝานบอกพวกเราว่ามันคือเรื่องจริง จงอินหยุดหัวเราะก่อนจะก้มหน้าสลด เขากลอกตาไปมาเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

     

    ฮโยยอนคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเรามาหลายปี คนที่ชอบทะเลาะกับจงอิน คนที่ซ่อนความอ่อนแอไว้ภายใต้รอยยิ้ม คนที่มักเป็นห่วงพวกเราเสมอแม้ตัวเองจะบาดเจ็บ คนที่เป็นผู้หญิงคนเดียวภายในทีมแต่กลับเข้มแข็งไม่แพ้คนอื่นๆ คนที่เป็นเหมือนพี่น้องของพวกเรา คนที่พวกเรา...รัก

     

    มันเกิดขึ้นได้ยังไงครับ?” ผมเอ่ยถามทั้งที่รู้สึกลำคอแห้งผากและขอบตาอุ่นร้อน

     

     “เธอถูกฆ่าหลังจากที่ลู่หานถูกลอบทำร้าย พวกมันบุกเข้าไปในบ้านของเธอ ปาดคอเธอแล้วทิ้งศพไว้แบบนั้น ผมเดาว่าพวกมันคงสะกดรอยตามเธอไปถึงได้รู้ว่าเธอพักอยู่ที่ไหน หัวหน้าอี้ฝานเว้นช่วงคล้ายจะตั้งสติให้ตัวเองใจเย็นลง มันคงอยากท้าทายเรา พวกมันคงคิดว่าอยู่เหนือเราได้หลังจากที่เราจับชานยอลไม่สำเร็จ หมอนั่นคงจะไปบอกพรรคพวกล่ะว่าเราเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ได้เห็นหน้าพวกเราระหว่างการจับกุม

     

    นี่มันบ้าชัดๆ!” จงอินสบถอย่างหัวเสีย ดวงตาของเขาแดงก่ำเหมือนคนจะร้องไห้ ผมเอื้อมมือไปบีบไหล่เขาเบาๆ จงอินคงเสียใจมากที่ฮโยยอนจากไป เราล้วนเสียใจไม่ต่างกัน ทั้งๆที่เมื่อไม่กี่วันก่อนเรายังทำภารกิจร่วมกันอยู่แท้ๆ

     

    สิ่งสำคัญที่ผมอยากจะบอกพวกคุณคือเรื่องต่อไปนี้ หัวหน้าอี้ฝานพยายามไม่สนใจความอาลัยอาวรณ์ของพวกเรา เขายังคงทำหน้าที่ผู้นำได้อย่างดีเยี่ยม เขาไล่สายตามองทีละคนก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ผม พวกมันคงไล่เก็บเราทีละคน ผมอยากให้พวกคุณระวังตัวกันให้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะคุณ…”

     

    ผม?”  เสียงสั่นเครือหลุดออกไปจากปากที่แห้งผากของผมและเสียงทุ้มห้าวของหัวหน้าอี้ฝานก็ทำเอาผมแทบหยุดหายใจ

     

    แบคฮยอน...คุณเป็นคนที่เข้าใกล้ชานยอลมากที่สุด เพราะฉะนั้นชีวิตของคุณก็เสี่ยงมากที่สุดเช่นกัน

     

    …..

     

    ผมเดินลงจากรถเมล์ด้วยสภาพเหมือนคนไร้จิตใจ สิ่งที่ผมจำได้มีแค่ดวงตาที่ซึมเศร้าของคิมจงอิน สีหน้าเคร่งเครียดของคิมจงแด หน้าตาตื่นตระหนกของอีจินกิและเสียงทุ้มห้าวของหัวหน้าอี้ฝานที่เอ่ยปากขอมาส่งแต่ผมปฏิเสธเขาไป

     

    สายตาเป็นห่วงที่หัวหน้าอี้ฝานมีต่อผมนั้นปิดไม่มิดเอาเสียเลย ใช่ ผมอ่านแววตาของเขาออก แต่ตอนนี้ ผมรู้เพียงแค่ว่าฮโยยอนตายแล้วและลู่หานถูกทำร้าย ผมไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะต้องพบเจอเรื่องราวแบบนั้น แต่ผมห่วงคนอื่นๆ รวมทั้งเสียใจที่จะไม่ได้ยินเสียงของคิมฮโยยอน พี่น้องของพวกเราอีกต่อไปแล้ว

     

    ผมต้องเดินเข้าซอยไปอีกประมาณสี่ร้อยเมตรจึงจะถึงบ้าน ป่านนี้เทาคงรอผมแย่แล้ว ผมคงต้องหาข้อแก้ตัวดีๆอย่างเช่นมีทำโอทีจึงกลับบ้านดึกอะไรอย่างนี้ซะล่ะมั้ง

     

    ตึก 

     

    ระหว่างที่จิตใจของผมกำลังถูกความโศกเศร้าครอบงำ เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านหลังก็กระชากผมให้กลับเข้าสู่ความเป็นจริง ผมหันหลังไปมองตามสัญชาตญาณแต่มันกลับว่างเปล่า มีเพียงแค่ความมืดของกลางคืนและรั้วบ้านที่ปิดสนิทเท่านั้น

     

    แต่ผมรับรู้ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องปกติ ผมไม่สามารถหลอกตัวเองได้ว่าหูฝาด ผมค่อนข้างแน่ใจว่ามีคนสะกดรอยตามผมอยู่

     

    ผมแกล้งเดินเลี้ยวไปอีกทางที่ไม่ใช่ทางไปสู่บ้าน แม้ที่บ้านจะมีปืนที่เอาออกมาใช้สู้กับมันได้แต่ผมคงไม่ยอมให้เทาต้องมาเป็นอันตรายไปด้วย

     

    ตึก ตึก ตึก

     

    เสียงฝีเท้าปริศนาชัดขึ้นเรื่อยๆจนผมมั่นใจแล้วว่ามีคนตามผมแน่นอน แถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยวและดึกมากเกินกว่าจะมีใครออกมาเห็นหากผมโดนทำร้ายจริงๆ

     

    เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมหันกลับไปมองฝ่าเท้าหนักๆก็กระแทกเข้าท้องของผมจนร้องไม่ออก

     

    ผลั่ก !

     

    อั่ก...!”

     

    แรงถีบส่งผลให้ผมล้มลงไปตัวงอกับพื้น ผมค่อยๆยันตัวขึ้นเพื่อประจันหน้าแต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามันไม่ได้มาคนเดียวแต่กลับมีถึงสาม ในมือของพวกมันมีท่อนเหล็กที่หากได้โดนเข้าไปสักครั้งคงเจ็บไปหลายวัน

     

    ทุกคนล้วนใส่หน้ากากสีขาว เพียงเท่านี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าผมถูกพวกไนท์แมร์เล่นงาน ผมตั้งสติก่อนจะยกขาถีบเข้าที่หน้าอกของหนึ่งในพวกมันเต็มแรง มันเซถลาไปชนกับอีกสองคนจนล้มไปกองกันบนพื้น ผมจึงใช้โอกาสนี้วิ่งหนีสุดกำลัง

     

    มาคนเดียวผมอาจจะยังพอสู้ไหว แต่นี่สาม แถมผมไม่มีอาวุธอะไรติดมือเลยด้วยซ้ำ ขืนสู้ไปคงมีแต่เสียกับเสียให้ตายสิ!

     

    แฮ่ก...แฮ่ก...” ผมหอบจนตัวโยนพร้อมมองหาทางหนีในขณะที่แผ่นหลังแนบไปกับกำแพงของตรอกมืดๆแห่งหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าผมวิ่งมาอยู่ตรงส่วนไหนแต่หากผมยังอยู่ตรงนี้ พนันได้เลยว่าพวกมันต้องหาตัวผมเจอแน่

     

    เอาเข้ามาไว้ในนี้เลย!”

     

    ผมหันไปตามเสียงตะโกนที่ได้ยิน มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังขนลังออกจากท้ายรถยนต์และเอาเข้าไปไว้ในโกดังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตามที่ชายแก่อีกคนคอยตะโกนกำกับงาน พวกเขาหายเข้าไปในโกดังนั่นและเหมือนพระเจ้าจะเข้าข้างผม ชายคนนั้นยังไม่ได้ปิดกระโปรงท้ายรถ!

     

    ไม่รอช้า ผมรีบวิ่งไปที่รถคันนั้นแล้วแทรกตัวเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ผมเอื้อมมือไปปิดท้ายกระโปรงรถแต่ไม่สนิทเพื่อเว้นช่องไว้ให้พอหายใจและมองเห็นด้านนอก ตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่าพวกไนท์แมร์ทั้งสามวิ่งมาทางรถที่ผมซ่อนตัวอยู่ พวกมันสอดส่ายตามองหาผมไปทั่ว แต่เมื่อไม่พบพวกมันก็แยกย้ายไปที่อื่น

     

    ผมถอนหายใจโล่งอกและคิดว่าควรจะออกไปก่อนที่เจ้าของรถจะกลับมา แต่พระเจ้าไม่เคยเข้าข้างผมเป็นครั้งที่สอง ในขณะที่ผมจะยันตัวลุกขึ้น ท้ายรถกลับถูกมือใหญ่ของใครบางคนกดลงมาจนได้ยินเสียงล็อค

     

    กริ๊ก!

     

    เสียงล็อคเป็นดังสัญญาณบอกว่าผมถูกขังเสียแล้ว เสียงสตาร์ทรถดังขึ้น ผมรู้สึกได้ว่ารถเคลื่อนตัวออกไป เจ้าของรถไม่รู้แน่ๆว่าผมอยู่ในนี้และถ้าเขาเปิดมาเจอผมเข้าคงตกใจมากทีเดียว

     

    รถเคลื่อนตัวออกมาได้สักพักหนึ่งพร้อมๆกับเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นตามซอกคอ อากาศเหมือนจะค่อยๆหายไปจนผมเริ่มหายใจติดขัด ตอนนั้นเองที่ผมตัดสินใจทุบท้ายรถเต็มแรงเพื่อบอกเจ้าของรถให้รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้

     

    ปึก! ปึก! ปึก!

     

    ผมเคาะไปอีกหลายทีกระทั่งรู้สึกได้ว่ารถถูกเบรกอย่างแรง ผมถลาไปกระแทกกับผนังรถจนรู้สึกเจ็บที่แขน เสียงเปิดปิดประตูรถและเสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้นดังเข้ามาในโสตประสาท

     

    ตึก ตึก ตึก

     

    เจ้าของรถหยุดอยู่ที่ท้ายรถแล้ว ผมคงต้องเตรียมเหตุผลดีๆไว้บอกเขาว่าทำไมผมถึงมาอยู่ในรถของเขาได้ วินาทีที่เสียงปลดล็อคดังขึ้นเหมือนผมจะหยุดหายใจไปด้วย อากาศข้างนอกทะลักเข้ามาข้างใน มันเย็นยะเยือกจนขนอ่อนที่คอตั้งชัน ท้ายรถค่อยๆเปิดขึ้นด้วยมือหนา ผมยิ้มกว้างเพื่อเป็นการไม่ให้เจ้าของรถตกใจที่เห็นผมแบบนี้ แต่สิ่งที่ผมเห็นเป็นลำดับแรกมันไม่ใช่สีหน้างุนงงของเขา มันไม่ใช่อะไรเลยอย่างที่ผมคาดหวังไว้

     

    แต่มันกลับเป็น...ปลายกระบอกปืนที่จ่อมายังใบหน้าของผม

     

    รอยยิ้มของผมค่อยๆหายไป ความหนาวเย็นของอากาศกลายเป็นความอบอุ่นไปในทันทีเมื่อเทียบกับแววตาเย็นชาของคนตรงหน้าที่แผ่ซ่านความเย็นเยียบเข้าสู่หัวใจของผม

     

    ผมเพิ่งเข้าใจคำว่าหนีเสือปะจระเข้ก็วันนี้

     

    ผมเกลียดดวงตาของเขา ดวงตาสีน้ำตาลที่เหมือนกับอ่านผมออกจนทะลุปรุโปร่งและสมเพชไปในคราวเดียวกัน สายตาที่เหมือนกับบอกผมว่าเขาอยู่เหนือกว่า เขาคือผู้ชนะและผมคือเหยื่อที่เดินตามเกมเขามาโดยตลอด

     

     ผมเค้นเสียงออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก ริมฝีปากแห้งผากและยากเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ย รู้สึกยากเหลือเกินกับการเอ่ยชื่อเรียกคนตรงหน้าในเวลานี้ 

     

    ...ชานยอล…!”

     

     

     

     

     

               

    TBC

     

    สอบเสร็จแล้ว ต่อไปคงได้มาต่อบ่อยขึ้น

    แบคฮยอนเรื่องนี้ซวยทั้งเรื่องอ่ะนี่บอกเลย นี่เพิ่งสองตอน ยังหรอก ยังจะอ่วมกว่านี้อีกเยอะ สะใจ 555555555555555555555

    เมนท์หรือติดแท็ก #ficsee2b เป็นกำลังใจได้น้า
    @BlackQ238
    อีกเรื่องหนึ่งคือเราอยากให้อซอ.ทุกคนสู้นะ
    ทุกอย่างมันจะผ่านไปแล้วก็จะดีขึ้น เหมือนอย่างที่พวกเราเคยผ่านมาได้ ไฟท์ติ้งนะ !
    up : 12/10/2014

     

     

               

     


    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×