คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : - CH 1 : hi -
chapter 01
เรื่องตลกร้ายในชีวิตผม
คือการที่ใครบางคนที่ผมพร้อมจะโดดรับลูกปืนแทนเขา
กลับเป็นคนยิงผมซะเอง
.....
“โถ่เว้ย !!”
อู๋
อี้ฝานตะโกนด้วยความหัวเสียเมื่อเป้าหมายที่ติดตามมาร่วมสิบนาทีหายไปจากสายตา มาร์เซราติที่เขานั่งอยู่ดูจะไร้ความหมายเมื่อมันไม่สามารถไล่ทันดูคาติสีดำคันนั้นได้
ดูคาติของผู้ชายอันตรายคนนั้น…ปาร์คชานยอล
“เป้าหมายหายไปจากการติดตามแต่ยังคงมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่วางแผนไว้
ขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม ระวังตัวกันด้วย!”
อี้ฝานกรอกเสียงผ่านบลูทูธที่เหน็บไว้บนใบหูเพื่อสั่งการกับคนอื่นๆภายในทีม
จงอินที่ทำหน้าที่ขับรถก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
ทุกคนต่างร้อนใจเพียงแค่ได้รู้ว่าเป้าหมายหายไป
แม้ชานยอลจะยังคงอยู่ในเส้นทางที่วางแผนเอาไว้ แต่โอกาสพลาดก็ยังคงมีอยู่
สายลับของพวกไนท์แมร์อย่างปาร์คชานยอลขี่ดูคาติหลบหนีได้อย่างเชี่ยวชาญราวกับรู้เส้นทางของที่นี่เป็นอย่างดี
เขามีฝีมือมากกว่าที่อี้ฝานประเมินไว้
กิตติศัพท์ของชานยอลว่าร้ายกาจเพียงใดก็ไม่อาจเทียบเท่าตัวตนที่แท้จริง
[ บีรายงาน ! พบพิกัดของเป้าหมายแล้ว
ผมกับวายจะทำการติดตามภายในสิบวินาที!]
เหมือนแสงสว่างในถ้ำมืดเมื่อเจ้าหน้าที่เลือดร้อนอย่างบยอนแบคฮยอนรายงานความคืบหน้ามาให้รับรู้
อี้ฝานกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะทำการตอบรับ “ติดตามอย่าให้คลาดสายตา
ผมจะไปรอยังปลายทางตามแผน รักษาตัวกันด้วย!!”
[รับทราบ!!]
สิ้นเสียงการขานรับ อี้ฝานก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
ดวงตาคมดังเหยี่ยวของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแต่ก็ยังฉายแววความหนักใจ
จงอินที่ยังคงขับรถไปตามท้องถนนหันมามองคนเป็นหัวหน้าเพียงชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
เพียงแค่หัวหน้าของทีมนึกไปถึงคนตัวเล็กที่ได้ยินเสียงไปเมื่อครู่นี้
ความอึดอัดก็ถาโถมเข้ามาเล่นงานหัวใจของเขา
มันไม่ใช่ความอึดอัดในเชิงที่ทำให้ลำบากใจ
แต่มันเป็นความอึดอัดที่ต้องแสดงออกสวนทางกับความรู้สึกเสียมากกว่า
เขาไม่อยากให้แบคฮยอนทำภารกิจนี้เลย…
เขาบอกเจ้าหน้าที่ตัวเล็กว่าอะไรกันนะ? รักษาตัวด้วยอย่างนั้นเหรอ? มันก็เป็นคำที่เหมาะสมกับสถานะหัวหน้ากับลูกทีมแล้วนี่
ใช่ มันถูกต้องแล้วที่เขาพูดไปแบบนั้น
แต่ใครเล่าจะรู้ได้ว่าภายในใจของอี้ฝานกลับมีเพียงประโยคเดียวที่อยากพูดออกไปมากที่สุดในเวลานี้
พี่เป็นห่วงเรานะ แบคฮยอน
แต่เขาก็ทำได้…เพียงแค่คิด
บรื้นนนนนนน
ผมขี่ CBR สีน้ำเงินคู่ใจด้วยความเร็วสูง
ถ้าถามว่าผมรู้สึกตื่นเต้นมากแค่ไหน ขอให้เสียงหัวใจที่คงดังพอๆกับเสียงของเครื่องยนต์และมือที่ชื้นเหงื่อเป็นคำตอบ
มันเป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้นและท้าทายยิ่งกว่าภารกิจใดๆที่เคยทำมา
แน่ล่ะ
ในเมื่อตอนนี้ผมกำลังตามจับวายร้ายของชาติอยู่นี่
เบื้องหน้าของผมคือปาร์คชานยอลที่ยังคงพุ่งทะยานไปพร้อมๆกับดูคาติสีดำ
ฮโยยอนเพื่อนร่วมทีมที่ขี่ CBR
ไล่ตามมาด้วยกันหายไปจากสายตาเสียแล้ว ผมเดาว่าเธอน่าจะคลาดกับผมเมื่อสี่แยกก่อน
แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมควรสนใจมากที่สุดก็คือชานยอล
เป้าหมายมาอยู่ตรงหน้าแล้วแต่ทำไมผมถึงไล่ตามไม่ทันสักที
ผมไม่แน่ใจว่าหมอนั่นขี่รถหรือเหาะกันแน่ถึงได้ไวอย่างนี้
ช้าๆหน่อยสิโว้ยยย!!! แต่เอาเถอะ ผมมันก็พวกตีนผีพอตัว
เราคงต้องมาลองกันสักตั้ง!
เสียงเครื่องยนต์ที่ดังแข่งกันชวนให้ปวดแก้วหูแต่สายตาของผมมองแค่เป้าหมายเท่านั้น
หมวกกันน็อคแบบเต็มใบที่ชานยอลสวมใส่ดูคล้ายคลึงกับของผมมาก
แม้กระทั่งแจ็คเก็ตหนัง
กางเกงยีนส์สีดำและรองเท้าผ้าใบของเราก็ยังคล้ายกันจนแทบแยกไม่ออก
หากคุณไม่รู้ว่าผมกับเขาไม่รู้จักกันมาก่อน
คุณอาจจะคิดว่าเราเป็นฝาแฝดกันก็ได้ให้ตายเถอะ!
“เป้าหมายอยู่ห่างจากสะพานราวๆหนึ่งกิโลเมตร
ทุกคนเตรียมอาวุธให้พร้อมได้เลย” ผมรายงานทุกคนในทีมอีกครั้งด้วยบลูทูธที่เหน็บไว้บนใบหู
ชานยอลเร่งเครื่องหนี ผมรีบบิดคันเร่งตาม
เขาเว้นช่วงทิ้งห่างผมไปได้แต่ยังไม่หายไปจากสายตา เขามุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่จะตรงไปสู่สะพานข้ามแม่น้ำ
ซึ่งที่นั่นพวกเราได้วางกำลังสกัดจับไว้แล้ว หากชานยอลขี่ไปถึงสะพานนั้น
ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผนอย่างง่ายดาย
กว่าผมจะรู้ตัวว่าเรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้นก็ตอนที่ชานยอลเลี้ยวหายเข้าไปในตรอกเล็กๆแทนที่จะขับตรงไปยังสะพาน
“บ้าเอ๊ย!!” ผมสบถด้วยความหัวเสีย
ทำไมมันไม่ได้อย่างใจเลยวะ! “เป้าหมายออกนอกเส้นทางแต่ผมติดตามไว้ได้
ตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปทางทิศใต้!”
[เราจะส่งกำลังเสริมไปช่วย ส่งพิกัดมาแบคฮยอน]
“กว่าพวกคุณจะมาผมคิดว่าคงไม่ทันการ ผมจะทำการจับกุมด้วยตัวเอง
ไม่ต้องเป็นห่วง”
[แบคฮยอนนายคิดจะทำบ้าอะไร?!! แบคฮยอน! แบคฮยอน!]
ผมตัดบทสนทนาโดยไม่สนใจเสียงหัวหน้าอี้ฝานที่ยังคงตะโกนลั่น
คุณอาจจะคิดว่าผมผลีผลามและอวดเก่ง ใช่ ผมรู้ว่าผมเป็นแบบนั้น
แต่บางเรื่องมันก็ดีกว่าถ้าเราจะทำด้วยตัวคนเดียว
ผมเร่งเครื่องตามชานยอลเข้าไปในตรอกแต่กลับพบว่ามันเป็นทางตัน ผมจอดรถช้าๆ
ถอดหมวกกันน็อคที่ปกปิดใบหน้าออกก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ
ที่นี่เป็นตรอกเล็กๆและมีแต่ตึกทรุดโทรม
ซึ่งดูจากสภาพแล้วคงไม่มีคนอาศัยอยู่เป็นแน่
ผมเห็นดูคาติสีดำจอดนิ่งอยู่ตรงท้ายตรอกแต่กลับไร้เงาเจ้าของ
ผมเดาว่าชานยอลคงเข้าไปซ่อนอยู่ในตึกร้างสักตึก
เพล้ง!!
เสียงขวดแก้วแตกกระจายบนพื้นเรียกให้ผมหันไปมอง
มันดังออกมาจากตึกที่อยู่ข้างหลังผมนี่เอง
ไม่รอช้า สองขาก็พาผมวิ่งเข้ามาข้างใน
บรรยากาศอึมครึมที่เป็นสัญญาณเตือนก่อนฝนตกทำให้ภายในตัวตึกดูเก่าและทึบแสงกว่าที่ผมคาดเดาไว้
วังเวง…
บรรยากาศแบบนี้มันหนังสยองขวัญสุดๆ ให้ตายสิ
นอกจากเสียงฟ้าร้องแล้วก็มีผีอีกอย่างที่ผมกลัวจนแทบบ้า
ผมก้าวขาไปข้างหน้าช้าๆพร้อมกับดึงปืนออกจากซองที่เหน็บไว้ตรงต้นขาอย่างเบามือ
แม้จะพยายามเดินให้เกิดเสียงน้อยที่สุดแล้วก็ตาม
แต่น้ำที่ขังจนชื้นแฉะอยู่บนพื้นกลับทำให้เกิดเสียงสะท้อนเมื่อผมทิ้งน้ำหนักเท้าลงไป
ข้างล่างนี่ไม่ปรากฏสิ่งมีชีวิตผมจึงต้องจำใจเดินขึ้นไปชั้นสอง
ข้างล่างว่าวังเวงแล้วแต่ข้างบนหลอนกว่าเป็นสองเท่า
ผมกระชับปืนในมือเล็งไปยังข้างหน้าอย่างมาดมั่น
อะไรโผล่มาตอนนี้พ่อได้ยิงไส้แตกแน่
ผมเดินสำรวจจนทั่วแต่กลับไม่พบชานยอลหรือแม้แต่หมาสักตัว
บางทีเขาอาจจะไม่ได้ซ่อนอยู่ในตึกนี้และผมต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุดเพื่อค้นตัวเขาให้พบก่อนที่เขาจะหนีไปได้
แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวขาเพื่อออกจากห้อง
สัญชาตญาณก็สั่งให้ผมหันไปมองทางด้านหลัง
!!
“เห้ยย!!” ผมร้องได้เท่านี้เมื่อขายาวของใครบางคนเตะข้อมือของผมจนปืนกระเด็นหล่นไปบนพื้น
ผมเงยหน้ามองเขาอย่างตกใจและตอนนั้นเองที่หัวใจของผมถึงกับเต้นผิดจังหวะ
เขา…ที่เป็นคนอันตราย
เขา…ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพถ่ายอย่างที่ผมเคยเห็น
เขา…ที่ชื่อว่าปาร์คชานยอล
ในวินาทีที่ดวงตาเรียวเล็กของผมสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลของเขา
ความรู้สึกหนึ่งก็ถาโถมเข้ามาจนทำให้ผมปั่นป่วน
เหมือนกับว่า…เราเคยเจอกันมาก่อน ณ
ที่ใดสักแห่งบนโลกใบนี้
ผมตั้งสติก่อนจะกระโดดถีบไปที่ยอดอกของเขา
ชานยอลเซถอยหลังแต่เพียงชัวครู่เขาก็กลับมาตั้งหลักได้และมองผมด้วยสายตาเรียบเฉย
เขาปัดรอยเท้าของผมบนหน้าอกตัวเองก่อนจะยกยิ้มกวนประสาท
ผมวาดหมัดออกไปหวังชกให้เขาล้มลง แต่ชานยอลเร็วกว่า
เขาเอี้ยวตัวหลบหมัดผมได้และยกขายาวๆข้างหนึ่งถีบหน้าอกผมอย่างแรงเป็นการเอาคืน
ผลั่ก!!
แผ่นหลังของผมกระแทกเข้ากับผนังจนรู้สึกชา ผมตั้งหลักอีกครั้งและพุ่งเข้าหาชานยอลก่อนจะวาดขาเตะไปที่ซี่โครงของเขา
แต่ท่อนแขนแข็งแกร่งกลับปัดขาของผมออกและหมัดหนักๆก็ซัดลงมาบนใบหน้าหลายครั้งจนผมเบลอไปชั่วขณะ
“อั่ก…!”
ชานยอลไม่ให้โอกาสผมตั้งตัวเป็นครั้งที่สอง แรงเตะที่ส่งเข้ามาที่ท้องทำเอาผมจุกจนตัวงอ
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาทีเมื่อชานยอลพุ่งตัวเข้ามาหา
แผลที่มุมปากจากหมัดของเขาทำให้ผมเบ้หน้าด้วยความเจ็บประกอบกับหายใจไม่ออกเพราะท่อนแขนที่เขาใช้ล็อคคอผมไว้
แผ่นหลังเล็กๆของผมกระทบกับแผ่นอกกว้างของชานยอล ร่างกายของเราใกล้ชิดจนแทบแนบสนิทกัน
ผมพยายามจะใช้ข้อศอกกระทุ้งไปที่หน้าท้องของชานยอลแต่เขากลับรู้ทัน
“อ๊ากกก!!” ผมร้องลั่นเมื่อความเจ็บปวดเข้าเล่นงาน
เขาบิดแขนข้างนั้นอย่างแรงจนผมน้ำตาคลอ
เสียงแค่นหัวเราะของชานยอลเหมือนตัวกระตุ้นให้เส้นประสาทของผมปวดหนึบ ผมรับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ผมตกเป็นรองเขาเสียแล้ว
ทั้งขนาดร่างกาย ชั้นเชิง
ฝีมือหรือแม้กระทั่งตอนนี้ที่ริมฝีปากของเขาลากผ่านต้นคอของผมก่อนจะส่งเสียงกระซิบชิดใบหู
เสียงทุ้มต่ำของเขาเล่นเอาผมขนลุกซู่
แต่นั่นไม่เท่ากับประโยคที่เขาตั้งใจพูดราวกับสนุกที่ได้แกล้งกัน
“ตัวนาย…หอมดีนะ”
แบคฮยอนได้แต่ยืนนิ่งหลังจากคำพูดที่ทำให้เกิดไฟฟ้าอ่อนๆช็อตไปทั่วร่างจบลง
ตัวหอมงั้นเหรอ? เขาไม่เข้าใจว่าคนตัวสูงที่แสนอันตรายคนนี้ต้องการจะสื่ออะไร
มันต้องเป็นเรื่องบ้าไปแล้วแน่ๆที่เขาใจกระตุกเพียงแค่ได้ยินประโยคไม่ชัดเจนจากชานยอล
ไม่มีใครทำให้แบคฮยอนต้องตั้งสติหลายครั้งภายในวันเดียวได้เท่าชานยอลอีกแล้ว
ทั้งๆที่คนตัวเล็กเคยฝึกร่างกายมาเป็นเวลานาน เคยบู๊แหลกกับภารกิจอื่นๆมาก็เยอะ
แต่ทำไมครั้งนี้เขาถึงสู้ชานยอลไม่ได้
“ปล่อยฉัน” แบคฮยอนกัดฟันพูดช้าๆแต่ไม่มีทีท่าว่าชานยอลจะคลายวงแขนออกเลยสักนิด
“…”
“ปล่อยสิวะ!”
“พูดไม่เพราะเลยนะคุณเจ้าหน้าที่” อีกครั้งที่เสียงทุ้มทำให้แบคฮยอนชะงัก
แต่เพียงชั่วครู่ร่างเล็กก็เริ่มแผลงฤทธิ์ออกแรงดิ้นจนชานยอลต้องออกแรงมากขึ้น
จากล็อคคอก็ดูเหมือนจะกลายเป็นการกอดไปเสียแล้ว
“ฉันคิดว่าการมอบตัวคือทางเลือกเดียวของนายนะชานยอล” แบคฮยอนหยุดดิ้นและเปลี่ยนเป็นใช้น้ำเย็นเข้าลูบ แม้ตอนนี้สภาพของเขาจะดูไม่จืดเลยก็ตาม
“มอบตัวงั้นเหรอ? สภาพอย่างนายน่ะเหรอที่จะมาจับฉัน
หืม?”
“…”
“ไว้เราค่อยมาเล่นไล่จับกันใหม่ก็แล้วกัน”
สิ้นเสียง ชานยอลก็ผลักคนตัวเล็กออกจากอ้อมแขนจนแบคฮยอนไถลไปกับพื้น
กว่าจะตั้งหลักได้ชานยอลก็พาร่างของตัวเองไปนั่งอยู่บนหน้าต่างบานใหญ่เสียแล้ว
ร่างสูงหันกลับมามองแบคฮยอนอีกครั้งและครั้งนี้เองที่ทำให้เขาอมยิ้มเจ้าเล่ห์
ดวงตาเรียวรี ริมฝีปากได้รูปที่เขาฝากรอยแผลเอาไว้
แม้ใบหน้าจะมีรอยฟกช้ำแต่แก้มยุ้ยๆสองข้างนั่นก็ยังคงชัดเจน ไหนจะหางตาตกๆที่ทำให้นึกถึงสัตว์ตัวเล็กๆสักตัว
อาจจะเป็นลูกหมาตัวน้อยล่ะมั้ง เครื่องหน้าที่ประกอบกันเป็นแบคฮยอน
ทำให้ชานยอลเข้าใจคำว่าจิ้มลิ้มได้โดยไม่ยาก
ใช่ จิ้มลิ้ม
คำๆนี้คงเหมาะกับแบคฮยอนที่สุดแล้ว
“ถ้าเราได้เจอกันอีกครั้ง หวังว่าเราจะมีโอกาสคุยกันมากกว่านี้นะ
คุณเจ้าหน้าที่”
ฟุ่บ…
ไม่ทันที่แบคฮยอนจะได้โต้ตอบ
ร่างสูงโปร่งก็กระโดดลงจากหน้าต่างชั้นสองไปแล้ว
แบคฮยอนวิ่งมาเกาะขอบหน้าต่างด้วยความตกใจก่อนจะพบว่าเบื้องล่างคือแม่น้ำที่ติดกับด้านหลังของตึกร้าง
เพียงไม่กี่วินาที
ชานยอลก็โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อหายใจแล้วว่ายน้ำไปยังเจ็ทสกีที่จอดนิ่งอยู่ไม่ไกล
เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ทำให้แบคฮยอนกลืนน้ำลาย ชานยอลเงยหน้ามองคนตัวเล็ก
โบกมือให้อย่างคนขี้แกล้งก่อนจะขับเจ็ทสกีไกลออกไปจากสายตา
“บ้าเอ๊ยยยย!!” แบคฮยอนเตะกำแพงอย่างแรงด้วยความโมโหที่เสียรู้ให้กับเป้าหมาย
ปาร์คชานยอลหายไปแล้ว
...เหลือทิ้งไว้เพียงความเจ็บปวดที่อยู่บนร่างกายของบยอนแบคฮยอนเพียงเท่านั้น
…...
หน่วยกลยุทธ์พิเศษและเจ้าหน้าที่สืบราชการลับ (The Special Tactics
And Secret agent Unit : S.T.A.S.)
เกือบชั่วโมงแล้วที่หัวหน้าอี้ฝานถูกคุณคิมเข้าเรียกพบ
คุณคิมคือคนที่มีอำนาจมากที่สุดใน ‘หน่วยสตาส’ ของเรา หากให้เปรียบเป็นตำแหน่งก็คงจะคล้ายกับผู้กำกับของตำรวจ
เหตุผลหลักๆที่คุณคิมจะเรียกพวกเราเข้าพบมีเพียงสามข้อ
คือเมื่อมีภารกิจใหม่มอบหมายให้ทำ
เมื่อเราทำภารกิจสำเร็จและเมื่อเราทำภารกิจล้มเหลว
แน่นอนว่ากรณีของพวกเราอยู่ในข้อสุดท้าย
ชานยอลมีฝีมือมากกว่าที่ประเมินไว้ เขาฉลาด เป็นนักวางแผนและเอาตัวรอดเก่ง
ผมนึกถึงดวงตาสีน้ำตาลอันแสนเจ้าเล่ห์คู่นั้น
เหมือนเขาอ่านแผนการของเราออกทั้งหมด
จากที่ผมเห็นเจ็ทสกีที่เขาเตรียมไว้ก็ทำให้ผมเข้าใจว่าชานยอลได้มีแผนของเขามาเช่นกัน
และเป็นแผนที่เหนือกว่าพวกเรามากนัก
เขาเพียงแค่หลอกล่อให้พวกเราตายใจว่าจะจับเขาได้
แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็กลายเป็นผู้ชนะ
เขาร้ายกาจ…นี่คือสิ่งที่ผมต้องจดจำเกี่ยวกับชานยอลอีกหนึ่งข้อ
“มึงโอเคเปล่าวะ?” จงอินเดินเข้ามาหาผม
เรายังไม่ได้คุยกันแม้แต่คำเดียวตั้งแต่กลับมา ทุกคนต่างรู้ว่าผมคือคนเดียวที่ได้ปะทะกับชานยอล
แหงล่ะ แผลบนหน้าผมที่เขาฝากไว้ฟ้องให้เห็นอยู่ทนโท่
“กูโอเค แต่ตอนนี้กูอยากรู้ว่าคุณคิมจะพูดอะไรกับหัวหน้าอี้ฝานวะ”
“ก็…คงโดนด่า
โดนสั่งโอนภารกิจให้ทีมอื่นทำแทนหรือถ้าหนักเข้าหน่อยก็โดนสั่งพักงานทั้งทีม” คำตอบของจงอินเล่นเอาผมแทบอยากฟาดเท้าใส่ปากมัน ห่านี่แม่ง
พูดจาเป็นมงคลบ้างไม่ได้รึไงวะ!
“หลบไปดิ๊!!...แบคฮยอน
ฉันขอโทษนะที่ช่วยอะไรนายไม่ได้ บางทีถ้าเราไม่คลาดกันคงจับชานยอลได้ไปแล้ว”
ฮโยยอนดันจงอินให้พ้นทางก่อนจะแทรกตัวเข้ามา เธอพูดด้วยความรู้สึกผิดแต่ผมว่ามันไม่ใช่ความผิดเธอหรอก
ผมจึงส่ายหน้าน้อยๆเพื่อไม่ให้เธอคิดมาก “ไม่ใช่ความผิดเธอหรอกน่า
เราทุกคนก็ทำเต็มที่แล้วนี่”
“ใช่ๆ เจ๊อย่าคิดมากดิ ตีนกาจะขึ้นรอบหน้าละเนี่ย”
“ไอ้จงอิน!!”
ฮโยยอนหันไปฟาดไหล่จงอินแรงๆจนเขาต้องยกมือขึ้นมาบังตัวเองให้วุ่นวายไปหมด
สองคนนี้ทะเลาะกันเป็นปกติ ถ้าเป็นเวลาอื่นผมคงขำกับท่าทางตลกๆเหล่านั้นไปแล้ว
ในตอนนั้นเองที่เสียงทุ้มของใครบางคนทำให้พวกเราชะงัก
“ได้ข่าวว่าทีมเอทำงานพลาดงั้นเหรอ? ว้าๆๆๆ” เสียงกวนประสาทที่ทำให้ผมคันเท้ายิบๆไม่ใช่ของใครนอกจาก โอเซฮุน ยักษ์ใหญ่ประจำทีมบีที่มาพร้อมกับตัวจ้อยอย่าง โดคยองซู
“…”
“ถ้ารู้ตัวว่าทำไม่ได้
ทำไมไม่ให้ทีมอื่นทำซะตั้งแต่แรก”
“…” เซฮุนยังคงพล่ามไปเรื่อยๆคนเดียวโดยที่คยองซูทำเพียงแค่เหลือกตามองเขาและทำหน้าเบื่อโลกเต็มทีโดยไม่ได้ทำตัวเป็นลูกคู่รับมุกของเซฮุนเลย
นี่มันมาด้วยกันเปล่าวะเนี่ย
“สงสัยคราวนี้ทีมเอคงจะต้องโดนพักงานซะหน่อยละม้างงง” เซฮุนยืนล้วงกระเป๋ากางเกงพูดด้วยใบหน้าที่คงคิดว่ากวนประสาทพวกผมได้
และคงต้องขอแสดงความยินดีด้วย เพราะหน้าเขาตอนนี้แม่งโคตรกวนตีนเลยให้ตาย!
“เชิญกลับทีมของนายไปซะเซฮุน อย่าเอาหมาในปากมาปล่อยแถวนี้”
ลู่หาน หนึ่งในทีมของผมที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
เขาเป็นคนพูดน้อย แต่ขอโทษเถอะ ถ้าเอ่ยปากแต่ละครั้งก็แสบทรวงอย่างที่คุณเห็น
พูดน้อยแต่ต่อยซี่โครงแตกนะคุณ
“โว้ๆๆๆ ลู่หาน ปากคอเราะร้ายนะนายน่ะ”
“ถ้านายยังไม่ไปจากตรงนี้ภายในห้าวิ ฉันจะตามหัวหน้าทีมบีมาลากนายไปซะ” หัวหน้าทีมบีที่ลู่หานว่านั้นหมายถึงจาง อี้ชิง ผมขอไม่พูดถึงมากนักเพราะผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหัวหน้าทีมบีเลยนอกจากเขาเป็นคนจีน
“นี่นายขู่ฉันเหรอ?”
“1”
“คิดว่าคนอย่างโอเซฮุนจะกลัวรึไง?”
“2”
“เฮ้ลู่หาน…”
“3” ผมไม่รู้ว่าเซฮุนกลัวลู่หานไหมแต่ผมเห็นว่าเขากำลังเหงื่อแตก
“…”
“4”
“เออๆๆ! ไปก็ได้วะไอ้พวกไก่อ่อน!!” เซฮุนว่าเสียงดังก่อนจะกระฟัดกระเฟียดเดินออกไป
คยองซูชูนิ้วโป้งให้เราอย่างขี้เล่น เดาว่าเขาก็คงถูกใจที่ลู่หานเอาชนะเซฮุนได้
สาบานเถอะว่าพวกเขามาจากทีมเดียวกัน
“ประสาท” จงอินบ่นเหมือนตาแก่ทันทีที่สองคนนั้นเดินไปจนลับตา “กวนตีนได้ทุกวี่ทุกวัน มันน่าอัดให้ล้ม”
ผมกำลังจะด่ามันว่าทีเมื่อกี๊ไม่เห็นเก่งแบบนี้แต่ก็ต้องเป็นอันชะงักไปเมื่อเห็นหัวหน้าอี้ฝานเดินออกมาจากห้องของคุณคิมแล้ว
สีหน้าเขาดูเคร่งเครียดแต่ถึงกระนั้นก็ยังดูดี
พวกผมรีบเดินเข้าไปหาเขาแล้วใช้สายตาเป็นคำถาม
หัวหน้าอี้ฝานถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขามองหน้าพวกผมทีละคนก่อนจะเอ่ยปากพูดช้าๆ
“หมดหน้าที่ของพวกคุณแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ”
“หมายความว่ายังไงครับหัวหน้า แล้วเรื่องชานยอลล่ะ?” อีจินกิ ละล่ำละลักถาม
หมอนี่เป็นคนที่ตื่นตูมที่สุดในทีม
แม้คนอื่นๆจะตกใจไม่ต่างกันแต่เขามักเป็นคนแรกที่พูดออกมาเสมอ
“ลืมเรื่องของชานยอลแล้วกลับไปพักผ่อนซะ
นี่คือคำสั่ง”
“แต่ภารกิจของเรายังไม่สำเร็จเลยนะคะหัวหน้า
อีกอย่างเราก็ควรวางแผนเพื่อเตรียมตัวในขั้นต่อๆไปไม่ใช่เหรอ?” น้ำเสียงของฮโยยอนเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
แต่ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวหรอกที่มีความรู้สึกนั้น พวกเราทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
“ผมบอกให้พวกคุณกลับไปซะ”
หัวหน้าอี้ฝานบอกพวกเราอย่างไม่สบอารมณ์และทำท่าจะเดินฝ่าวงล้อมของพวกเราไป
ในวินาทีนั้นเองที่ผมส่งมือของตัวเองไปคว้าข้อมือของเขาไว้
“แต่ผมต้องการคำอธิบาย” วูบหนึ่งที่ผมเห็นดวงตาของหัวหน้าอี้ฝานสั่นไหวเมื่อมองไปยังมือของผมที่สัมผัสกับร่างกายของเขา
ผมปล่อยข้อมือนั้นให้เป็นอิสระและพยายามไม่สนใจสายตาคู่นั้นที่ส่งความรู้สึกประหลาดมาให้
หัวหน้าอี้ฝานมองใบหน้าของผมนิ่ง
เขาทำท่าเหมือนจะเอื้อมมือมาจับบาดแผลแต่ผมเบือนหน้าหนี นั่นทำให้เขารู้สึกตัวและกระแอมไอแก้เก้อสองสามที
เขาจ้องตาผมนิ่งในระหว่างที่พูด
น้ำเสียงของเขาเหมือนอะไรสักอย่างที่ซึมเข้าสู่โสตประสาทช้าๆ
“ผมไม่มีคำอธิบาย”
“…”
“แต่เรื่องของทีมเราและภารกิจที่เกี่ยวข้องกับชานยอลมันจบลงแล้ว”
“…”
“เลิกพูดถึงเรื่องนี้ซะ”
บ้า!!
ผมว่าเรื่องนี้มันโคตรบ้า!!
หัวหน้าอี้ฝานไม่อธิบายอะไรให้พวกเราฟังจริงๆและนั่นทำให้ผมหงุดหงิด โมโห
บันดาลโทสะ จะใช้คำไหนก็ช่างเหอะ แต่ผมอารมณ์ไม่ดีที่ภารกิจนี้มันจบง่ายเกินไป
ผมอยากจะตะโกนคำว่าแม่งเอ๊ยยยยยยใส่หน้าหัวหน้าอี้ฝานดังๆแต่ก็ทำได้แค่คิด
ผมกลับมาบ้านปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์
รู้สึกตัวอีกทีก็มืดเสียแล้ว กว่าจะทำภารกิจส่วนตัวเสร็จเวลาก็ล่วงเลยมาจนห้าทุ่ม
“บ้าเอ๊ย!!” ไม่รู้ว่าวันนี้ผมพูดคำนี้ไปกี่รอบแล้ว
รอยแผลที่ชานยอลฝากไว้ตามร่างกายเริ่มระบมจนช้ำ
ยิ่งแผลที่มุมปากกับโหนกแก้มนี่โคตรเจ็บเลยให้ตาย หมอนั่นหมัดหนักโคตรๆ
คงใช้เวลาหลายวันกว่ารอยแผลจะหาย
ผมทำแผลให้ตัวเองเงียบๆและไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเงียบหรือเปล่าที่ทำให้ผมนึกถึงชานยอลขึ้นมา
‘ถ้าเราได้เจอกันอีกครั้ง ฉันหวังว่าเราจะมีเวลาคุยกันมากกว่านี้นะ
คุณเจ้าหน้าที่’
เสียงทุ้มต่ำของเขาฝังลึกอยู่ในโสตประสาท
ถ้าเราได้เจอกันอีกครั้งผมจะกระโดดถีบเอาคืนให้สะใจไปเลยคอยดู!
‘ตัวนาย…หอมดีนะ’
ผมก้มตัวดมตามเสื้อผ้าที่สวมใส่หรือแม้แต่รักแร้แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีกลิ่นหอมบ้าบออย่างที่ชานยอลว่า
บางทีหมอนั่นอาจจะแค่คนปากว่างที่ชอบพูดจาเลอะเทอะ
“…”
แล้วผมจะไปใส่ใจทำไมวะเนี่ย!!
ผมเก็บกล่องยาลวกๆแล้วเตรียมตัวเข้านอน
ท้องฟ้าที่อึมครึมมาทั้งวันเริ่มปล่อยเม็ดฝนลงมา
จากหยดเล็กๆก็กลายมาเป็นสายฝนที่ตกกระหน่ำพร้อมกับแสงแปลบปลาบน่ากลัว
ผมได้แต่ภาวนาขอให้ค่ำคืนนี้ไม่มีเสียงฟ้าร้อง
เปรี้ยง!!
แต่เหมือนกับว่าพระเจ้าจะไม่เคยฟังคำร้องขอของผมเลย…แม้สักครั้งเดียว
ผมนอนขดตัวอยู่บนเตียง หัวใจเต้นรัวเร็วด้วยความกลัว
หลับตาปี๋และพยายามไม่ฟังเสียงฟ้าคำรามนั่น
แต่ทุกครั้งที่ฟ้าร้องหัวใจของผมก็ยิ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ
ผมรีบคลำไปที่คอเพื่อกำสร้อยรูปกุญแจอันเป็นที่พึ่งเดียวในการฝ่าความกลัวครั้งนี้ไป
แต่ลำคอของผมกลับว่างเปล่า…
ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจแต่ก็ต้องกลับมาหลับตาปี๋เหมือนเดิมเมื่อฟ้าส่งเสียงร้องอีกครั้ง
สร้อยของผมหายไปแล้ว ผมไม่รู้ว่ามันหายไปตอนไหน หัวสมองของผมว่างเปล่า
คิดอะไรไม่ออกในตอนนี้
ภาพของพ่อและแม่เข้าเล่นงานผมอีกครั้ง เสียงหวีดร้อง
เสียงมีดคมที่แทงทะลุผิวเนื้อ ภาพเลือดที่สาดกระเซ็น
ทุกอย่างดูชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหนๆในยามที่ผมไร้ที่พึ่งเช่นนี้
เปรี้ยง!!
และคืนนี้คือค่ำคืนที่ผมฝันร้ายที่สุดในชีวิต
TBC.
ปล้น ! นี่คือการหยุด มีให้หมดส่งมาเท่าไหร่
คอมเม้นท์หรือติดแท็ก#ficsee2b เป็นกำลังใจได้น้า
@BlackQ238
up : 19/09/2014
ความคิดเห็น