ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] See through B's trick (chanbaek)

    ลำดับตอนที่ #4 : - CH 3 : hide -

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.74K
      51
      13 เม.ย. 59

      


    chapter 03 




     

    You’re gonna catch a cold

    คุณจะต้องเหน็บหนาว

    From the ice inside your soul

    ด้วยความเย็นชาจากหัวใจของคุณเอง

    …..

     

                    ไม่มีคำพูดใดออกมาจากริมฝีปากหยักได้รูป คนตรงหน้าทำเพียงแค่จ่อปืนมาที่ผม ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นมองผมอย่างเรียบเฉยแต่ให้ความรู้สึกเหมือนถูกเกลียวคลื่นยักษ์สาดซัดเข้าใส่จนสูญเสียการควบคุม สติของผมเบลอไปชั่วขณะ ลำคอแห้งผากแต่กลับเรียกชื่อเขาได้อย่างชัดเจนเหลือเกินในความเงียบเช่นนี้

     

                 “...ชานยอล...”

     

                    “ยังจำกันได้นี่ น่าประทับใจจริงๆ

     

                    เสียงทุ้มต่ำแฝงความเย้ยหยันเอาไว้ไม่ต่างจากที่เคยได้ยินเมื่อคราวก่อน เขาเลิกคิ้วมองผมนิ่งๆก่อนจะพยักเพยิดกระบอกปืนเป็นคำสั่งให้ผมออกมาจากท้ายรถ ผมค่อยๆก้าวขาออกไปทีละข้างแต่เหมือนจะไม่ทันใจ ตอนนั้นเองที่ชานยอลกระชากแขนผมอย่างแรงจนผมเซไปกระทบกับแผ่นอกกว้าง เขาผลักผมออกแล้วใช้ปืนดันหลังเป็นการบังคับให้ผมเข้าไปในตัวรถ

     

                    “อยู่เงียบๆแล้วนายจะรอด” เขาบอกหลังจากที่ผลักผมให้นั่งลงไปยังเบาะข้างคนขับแล้วปิดประตูขังไว้ เขาเหน็บปืนเข้าที่เอวไม่ได้เข้ารถตามมา ผมได้แต่มองชานยอลที่ยืนพิงกระโปรงรถแล้วหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ ควันสีขาวขุ่นถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากช้าๆ มันม้วนตัวเป็นกลุ่มก้อนและกระจายออกเหมือนเป็นแค่ภาพลวงตา

     

                    ผมซอยสั้นสีดำสนิทของชานยอลเข้ากันได้ดีกับบุคลิก ภาพที่เขานำบุหรี่จรดริมฝีปากนั้นช่างเหมือนกับนายแบบในนิตยสารสักฉบับ เขามีรูปร่างสูงโปร่งและหน้าตาหล่อเหลาราวกับประติมากรรมชิ้นดีที่พระผู้เป็นเจ้าตั้งใจที่จะสรรสร้าง  แต่พระเจ้าจะรู้บ้างไหมว่าผลงานชิ้นเอกของพระองค์เลือกที่จะอยู่ฝ่ายซาตานแทนที่จะเป็นทูตสวรรค์

     

                    ผมไม่รู้ว่าชานยอลต้องการจะทำอะไร บางทีเขาน่าจะฆ่าผมแล้วทำให้เรื่องมันจบๆไปซะ แต่ไม่ เขายังคงยืนสูบบุหรี่อย่างสบายใจ ทิ้งผมไว้กับความเย็นเฉียบของแอร์ภายในรถ วินาทีนั้นเองที่ผมคิดหาทางหนี มันเป็นจังหวะเดียวกับที่มีกลิ่นฉุนๆลอยมาจนผมต้องย่นจมูก

     

                    “แค่กๆๆ!”

     

                    ควันสีขาวคลุ้งไปทั่วตัวรถจนผมสำลัก ผมปัดมือไปมาตรงหน้าทำเหมือนว่าจะช่วยให้มันหายไปได้และต่อมาผมก็ได้รู้ว่ากลิ่นและควันนั้นลอยออกมาจากแอร์ตรงคอนโซลหน้า ผมดิ้นหนีพยายามเปิดประตูรถแต่มันถูกล็อคไว้ สติของผมเริ่มพร่าเลือนและเคลื่อนไหวช้าลง เรี่ยวแรงลดน้อยลงเรื่อยๆ ผมรู้สึกง่วงจนไม่สามารถที่จะลืมตาเอาไว้ได้

     

                    และสิ่งสุดท้ายที่ผมเห็น มันคือรอยยิ้มของชานยอล

     

                    รอยยิ้มที่เหมือนให้ผมยอมรับและจดจำไว้ในขั้วสมองว่าผมแพ้เขาแล้ว

     

      แพ้อย่างราบคาบเสียด้วย




    เขารู้ดี ว่านี่มันเป็นแค่ความฝัน

     

                  แบคฮยอน กลับบ้านกันเถอะลูก

     

    ชายหนุ่มเรียกเด็กชายตัวน้อยที่กำลังไกวชิงช้าในสนามเด็กเล่น  เขายิ้มให้เด็กชายและส่งมอบความรักผ่านทางสายตา เด็กน้อยวิ่งเข้าไปสวมกอดผู้เป็นพ่อแล้วยิ้มจนตาหยี ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน มันพลิ้วไหวยามที่สายลมพัดผ่าน นั่นทำให้เธอดูอ่อนหวานและใจดี แต่ความอ่อนโยนจากภายนอกยังไม่เท่าที่เธอกำลังลูบหัวเขาด้วยความรักใคร่และทะนุถนอม

     

    แบคฮยอนผละออกจากพ่อแล้วหันมาหาหญิงสาว เธอยิ้มก่อนจะคว้าเด็กน้อยมาอุ้มไว้แนบอก วันนี้ผมกินผักด้วยแหละ ครูชมว่าผมเก่งด้วยฮะแม่!’

     

    เสียงเจื้อยแจ้วและท่าทางภูมิใจทำให้พ่อและแม่หัวเราะออกมาน้อยๆในความน่ารักของลูกชาย ดวงตาเรียวรีของผู้เป็นแม่ทอประกายความเมตตาอยู่ในนั้น มันเป็นดวงตาคู่สวยที่แบคฮยอนชอบ ดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยความอ่อนโยนเสมอ

     

    เอแล้วแม่จะให้รางวัลกับคนเก่งยังไงดีน้า?’

     

    อืม…’ แบคฮยอนในวัยหกขวบทำท่าครุ่นคิด คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันเป็นที่น่าเอ็นดูเหลือเกินในสายตาของทั้งสอง ‘ผมคิดไม่ออกอ่ะ...แต่ตอนนี้คุณพุงร้องจ๊อกๆใหญ่เลย ผมหิวจะแย่แล้วฮะ

     

    แบคฮยอนว่าพลางตบพุงกลมๆของตัวเอง นั่นยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อและแม่มีเสียงหัวเราะมากขึ้นไปอีก พ่อก็หิวแล้วเหมือนกัน ไหน ขอพ่อกินแบคฮยอนหน่อยซิ

     

    พูดจบพ่อก็งับแขนเล็กของเด็กน้อยเบาๆเรียกเสียงหัวเราะคิกคักน่ารักจากแบคฮยอน ทุกคนล้วนมีรอยยิ้ม มันเป็นภาพที่สวยงามเหลือเกินในความทรงจำ เสมือนภาพถ่ายที่ไม่เคยซีดจางลงตามกาลเวลา ความอบอุ่นจากพ่อและแม่แผ่ซ่านลงในกระแสเลือดและฝังความรู้สึกนี้ไว้ในห้วงความจำของเด็กชาย

     

    เป็นความสุขที่ผ่านมาและกำลังจะหายไปโดยที่ไม่มีใครทันตั้งตัว

     

     

    คุณมันแย่ ไอ้คนเฮงซวย!’

     

    ก็ยังดีกว่าผู้หญิงร่านๆกับไอ้ชู้สารเลวของเธอล่ะวะ!’ 

     

    เสียงทะเลาะและด่าทอลบภาพก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น ไม่มีความอบอุ่น ไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงแค่โทสะ น้ำเสียงเกรี้ยวกราดและน้ำตาของแม่ที่แบคฮยอนจำได้ดี มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อและแม่ทะเลาะกัน เด็กน้อยไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งนี้อยู่ตรงไหน เขารู้แค่ว่าเขาเกลียดเกลียดช่วงเวลานี้เหลือเกิน

     

    พ่อฮะ ฮึก ม...แม่ฮะ อย่า...ฮึก...ทะเลาะกัน ฮือออออ’ เด็กชายทำได้แค่เกาะราวบันได ร้องไห้อ้อนวอนขอให้พ่อและแม่เลิกทำร้ายหัวใจของเขาเสียที หากแต่มันก็ไร้ผลเหมือนอย่างที่ผ่านมา เสียงของแบคฮยอนเหมือนเป็นแค่สายลมเบาบางที่อ่อนแรงเหลือเกิน ‘ได้โปรด...ฮึก พ่อฮะ...

     

    เปรี้ยง!

     

    เสียงฟ้าร้องดังลั่นนอกหน้าต่างยิ่งทำให้แบคฮยอนเสียขวัญ เขาทำได้แค่เอามือปิดหูและหลับตาปี๋ แสงแปลบปลาบของฟ้าเหมือนเยาะเย้ยในโชคชะตาของเด็กน้อย เสียงสายฝนเหมือนเสียงหัวเราะสมเพช แบคฮยอนกลัวเกินกว่าจะขยับตัว เขาอยากจะหลับตาลงแล้วให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องสมมติ อยากให้พ่อกับแม่นอนกอดเขาเหมือนอย่างทุกคืน

     

    เพี๊ยะ!

     

    แบคฮยอนเห็นแม่ตบหน้าพ่ออย่างแรง เขากรีดร้องแข่งกับเสียงฟ้าขอให้ผู้เป็นแม่หยุดแต่ก็ไร้ประโยชน์ พ่อผลักแม่ล้มลง กระชากผมแม่และด่าทอเสียงดัง ไม่มีใครสนใจเด็กน้อยสักนิด น้ำตาของแบคฮยอนไหลอาบเต็มใบหน้า เขาสะอึกสะอื้นจนตัวโยนอย่างน่าสงสาร การทะเลาะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ในที่สุด ทุกอย่างก็จบลง

     

    จบลงพร้อมกับชีวิตของคนทั้งสองที่ไม่อาจหวนคืน...

     

                     

                    ซ่าาาาาา!!!

     

                   เฮือกกก!!

     

                ความเย็นเฉียบที่กระทบใบหน้าทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ค่อยๆลืมตาอย่างมึนงงแล้วกะพริบตาหลายครั้งเพื่อปรับสภาพ สติกลับมาหาผมทีละน้อยจนรู้ว่าตอนนี้ผมเปียกไปครึ่งตัว ภาพความฝันหายไปเหลือไว้เพียงแค่หัวใจของผมที่ยังคงสั่นรัว

     

                    ฝันที่ผมไม่ต้องการจะนึกถึง แต่ก็ไม่เคยที่จะลบมันออกไปจากความทรงจำได้เลยสักครั้ง

     

                    ผมลองขยับแขนขาแต่พบว่ามันถูกมัดติดไว้กับเก้าอี้เหล็กที่นั่งอยู่ รอบตัวปรากฏซากตู้เก่าๆและเศษไม้กองเต็มไปหมด ผมเดาว่ามันอาจเป็นโกดังหรือตึกร้างสักที่และต้นเหตุที่ทำให้ผมอยู่ในสภาพนี้จะเป็นใครไปได้นอกจากเขา

     

                    “ขี้เซาจริงนะ” ชานยอลแค่นหัวเราะก่อนจะลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งตรงหน้า “ฝันหวานไหมล่ะคุณเจ้าหน้าที่?”

     

                    ผมสะบัดหัวสองสามทีเพื่อไล่ความมึนงง พยายามคิดเหตุการณ์ก่อนหน้าแต่ชานยอลกลับเชยคางผมให้สบตากับเขา ดวงตาสีน้ำตาลมองผมนิ่งๆเช่นเคย ผมจ้องตาเขากลับก่อนจะเค้นเสียงออกจากลำคอที่แห้งผาก

     

                    “ทำไมทำไมนายยังไม่ฆ่าฉัน?”

     

                    “น้ำเย็นดีไหม? ดูนายสิ อย่างกับลูกหมาตกน้ำ ”

     

                    “ฉันถามว่าทำไมนายไม่ฆ่าฉัน!”

     

                     ผมตวาดใส่เขาด้วยความหงุดหงิดและสับสน ชานยอลเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาของเขาทำให้ผมขนลุกแต่ถึงกระนั้นผมก็ยังทำใจดีสู้เสือด้วยการจ้องกลับเหมือนไม่เกรงกลัว

     

                    “อยู่ในสภาพแบบนี้แล้วยังจะอวดเก่งได้อีกนะบยอน แบคฮยอน” ผมนิ่งไปชั่วครู่หลังจากที่เขาเอ่ยชื่อของผม มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนอย่างปาร์คชานยอลผู้ที่เคยเจาะข้อมูลของรัฐบาลมาแล้วจะรู้ชื่อของผมได้ เสียงทุ้มของเขาฟังดูแสนร้ายกาจแต่มันยังไม่เท่ากับสายตาดูแคลนที่เขาใช้มองผมสักนิด “อะไรทำให้นายคิดว่าฉันจะไม่ฆ่านาย?”

     

                    ผมไม่สามารถให้คำตอบกับเขาได้ คำถามของเขาทำเอาผมสะอึก

     

                    นั่นสินะ เขาบอกตอนไหนว่าเขาจะไม่ฆ่าผม?

     

                    “จะบอกอะไรให้นะ ยังไงซะ ฉันก็ต้องฆ่านายอยู่แล้ว” ชานยอลจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม เขากระตุกยิ้มเหมือนพึงพอใจกับการที่ได้เห็นผมจนตรอกและไร้ทางสู้ “ แต่ถ้านายลองร้องอ้อนวอนขอชีวิต ฉันอาจจะเมตตาก็ได้นะ

     

                 “ถุย!”

     

                    ผมถุยน้ำลายใส่หน้าเขาเพราะรู้สึกเหมือนโดนหยามศักดิ์ศรี ชานยอลสะบัดหน้าผมออกจากฝ่ามือหนา ดวงตาของเขาวาวโรจน์ไปด้วยโทสะและผมรับรู้ได้ในวินาทีนั้น

     

                 ว่าชานยอลพร้อมฆ่าผมแล้ว

     

                กล้าดียังไงมาถุยน้ำลายใส่หน้ากูวะ!!”

     

                   ผลั่วะ! ผลั่วะ!

     

                 ชานยอลต่อยผมจนรู้สึกเจ็บไปทั้งสันกรามและโหนกแก้ม เขาปล่อยกำปั้นมาอีกหลายหมัดที่ท้อง กลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกมาจากจมูกทำเอาสติพร่าเบลออีกครั้ง ผมถูกถีบลงไปกองกับพื้นทั้งเก้าอี้ ความเจ็บปวดแล่นเข้าเล่นงาน เสียงหอบหายใจถี่ของผมสะท้อนไปทั่วห้องมืดๆแห่งนี้ ชานยอลกระชากศรีษะของผมให้แหงนขึ้นก่อนจะขบกรามพูดชิดใบหู เหมือนเขาพยายามจะระงับอารมณ์แต่ก็ไร้ซึ่งประโยชน์

     

                    “อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าฆ่านาย แบคฮยอน

     

                    “ก็...แฮ่ก...ก็เอาสิ

     

                    คำพูดท้าทายหลุดออกจากปาก อย่างที่คุณรู้ว่าผมเป็นคนอวดดีมาตั้งแต่ต้น มันเป็นนิสัยแย่ๆของผมที่แก้เท่าไหร่ก็ไม่หาย คำพูดของผมเหมือนน้ำมันที่สาดเข้าใส่ไฟโทสะของชานยอลจนไฟนั้นลุกโชน เขาปล่อยศรีษะผมก่อนจะเดินไปหยิบบุหรี่จุดสูบ เพียงครู่เดียวเขาก็เดินเข้ามาหา ย่อตัวลงและชูบุหรี่ในมือขึ้นเหมือนต้องการให้ผมจับจ้องว่าเขาจะทำอะไรต่อไป  ชานยอลกระตุกยิ้ม แววตาร้ายกาจถูกส่งออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น

     

                “อ๊ากกกกก!!”

     

                    ผมร้องลั่นเมื่อเขาจี้บุหรี่ลงมาที่แก้ม ความร้อนทำให้ผมเจ็บแสบแทบคลั่ง เขาดับบุหรี่ด้วยเท้าก่อนจะแค่นหัวเราะมองผมที่นอนทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ความสนุกฉายชัดบนใบหน้าของชานยอล เขาล้วงเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ท และเช่นเดิม เขาชูมันขึ้นเพื่อให้ผมเห็นว่าเขาจะเล่นสนุกอะไรต่อไป

     

                    แล้วผมก็ได้รู้ ว่าสิ่งที่อยู่ในมือของเขานั้นมันคือเข็มฉีดยา

     

                    “เอาล่ะ” น้ำเสียงของเขาเหมือนน้ำเย็นจัดที่สาดเข้าหัวใจของผมจนรู้สึกชาหนึบ “ถึงเวลาเอาจริงซะที

     

                    ฉึก!!!

     

                    เขาปักเข็มเข้าที่แขนของผมอย่างแรง ความเจ็บตรงที่ถูกปลายเข็มปักเล่นเอาผมกระตุก บาดแผลตามร่างกายร่วมมือกันเล่นงานจนผมร้องไม่ออก ชานยอลยืนมองผมอย่างซ่อนความสะใจไว้ไม่มิด ในวินาทีนั้นเองที่ผมเริ่มหายใจติดขัด

     

                    ความเจ็บแสบแล่นริ้วมาตามผิวหนัง เหมือนถูกกัดกร่อนด้วยพิษยาที่ถูกฉีดเข้ากระแสเลือด ผมเริ่มทุรนทุราย รู้สึกหัวใจปวดหนึบจนน้ำตาคลอ ราวกับมีมีดนับพันๆเล่มพร้อมกันเชือดลงมาตามร่างกายและสับลงไปที่อวัยวะภายใน ลำคอของผมแห้งผากเกินกว่าจะเปล่งเสียงและในวินาทีต่อมาผมก็กระตุกอย่างแรงจนเหมือนกับจะทำลายเชือกที่มัดผมไว้กับเก้าอี้ให้ขาดออกจากกัน

     

                    ผมมองเห็นชานยอลเป็นภาพเบลอพร้อมกับลมหายใจของผมที่ขาดห้วงและหัวใจที่เต้นช้าลงเรื่อยๆ

     

                    จนมันหยุดเต้นไปในที่สุด

     

                    แต่เสียงของชานยอลกลับชัดเจนเหมือนจะฝังเข้าไปในโสตประสาทการรับรู้ครั้งสุดท้ายในชีวิตของผม

     

                    ลาก่อน แบคฮยอน

     

     

       

                เฮือกกกกกก!!!!!! 

     

                ผมสะดุ้งลุกขึ้นนั่งก่อนจะหอบหายใจ หัวใจเต้นถี่รัวจนน่ากลัวว่ามันจะกระดอนออกจากอก รู้สึกเหมือนผ่านการวิ่งมาหลายกิโลเมตรทั้งๆที่ไม่ได้ขยับตัวไปไหน ผมสำรวจร่างกายของตัวเอง ทุกอย่างยังคงปกติมีเพียงแค่อาการเบลอๆนิดหน่อยเท่านั้น หลังจากที่สติกลับมาอย่างสมบูรณ์ผมจึงเริ่มตระหนักไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าและผมก็ได้คำตอบให้กับตัวเอง

     

                    ผมเพียงแค่ฝันไป ผมแค่ฝันซ้อนฝัน

     

                    ผมหันมองรอบกาย มีซากตู้เก่าๆและเศษไม้เหมือนโกดังร้าง ผมไม่ได้ถูกมัดติดกับเก้าอี้เหมือนอย่างในฝัน แต่กลับนั่งอยู่บนเตียงเหล็กเก่าๆขนาดประมาณสามฟุต ภายในห้องมีแสงสลัวจากเทียนไข ผมหยิกตัวเองหนึ่งทีเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าทุกอย่างตรงหน้าคือเรื่องจริงและความเจ็บก็เป็นคำตอบ

     

                    ผมพยายามนึกว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ตอนนั้นเองที่ผมเบิกตากว้างด้วยรู้ถึงสาเหตุ

     

                    ผู้ชายคนนั้นปาร์คชานยอล เป็นคนจับผมมา

     

                    แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?

     

                    คำถามผุดขึ้นมาในหัวและเพียงไม่กี่วินาทีคำตอบก็มาปรากฏตรงหน้า

     

                    “ตื่นได้แล้วสินะ

     

                    น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่แฝงไว้เพียงแค่ความเรียบเฉยเอ่ยกับผม ร่างสูงโปร่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ไกลจากเตียงเท่าไรนัก เขากอดอกและจ้องผมนิ่งๆอย่างที่ทำมาตลอด

     

                    เขาลุกขึ้นเดินเข้ามาหาช้าๆ ผมถอยกายไปชิดกับหัวเตียง ภาพความป่าเถื่อนของเขาจากในฝันยังคงตรึงอยู่ในห้วงความคิด ผมไม่ใช่สาวน้อยที่จะกลัวเขาเพียงแค่เพราะฝัน แต่สิ่งที่ผมกำลังเป็นอยู่มันคือความหวั่นใจ ผมประมาทเขาไม่ได้แม้เพียงวินาทีเดียว

     

                    “อย่ากลัว ฉันไม่ได้จะทำร้ายนาย

     

                    ชานยอลบอกผมแบบนั้น ทั้งน้ำเสียงและรูปประโยคฟังดูเป็นคำสั่งมากกว่าที่จะทำให้อุ่นใจ

     

                    ผมนั่งนิ่งๆมองเขาอย่างไม่คลาดสายตา ชานยอลยิ้มน้อยๆเหมือนตลกกับท่าทางระแวงของผม เขาเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะนั่งที่ปลายเตียง ก็บอกว่าไม่ให้กลัวไง

     

                    “ฉันไม่ได้กลัวนาย” ความอวดดีของผมแสดงออกมาเป็นคำพูด ชานยอลเลิกคิ้วมองอย่างกวนประสาทก่อนจะขยับเข้ามาใกล้จนหัวไหล่เราแทบชนกัน

     

                    “ไมได้กลัวแล้วเขยิบหนีทำไม?”

     

                    “นายต้องการอะไร?”

     

                    ผมถามเขากลับ ไม่สนใจสิ่งที่เขาถามก่อนหน้า ผมพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น ดวงตาสีน้ำตาลมองผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกแต่กลับทำให้หัวใจแทบจะหยุดเต้นได้ ชานยอลมองหน้าผมนิ่งก่อนจะค่อยๆเปล่งเสียงออกมาทีละประโยคเหมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อเติมให้ภาพที่ผมสงสัยนั้นชัดเจนขึ้น

     

                    “นายรู้ใช่ไหม ว่าพวกฉันกำลังไล่ฆ่านาย?” เขาสร้างบทสนทนาใหม่แทนที่จะตอบคำถาม ผมนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “ฉันจะไม่อ้อมค้อมและจะพูดเพียงแค่ครั้งเดียว ฉะนั้นนายต้องตั้งใจฟัง

     

                     ถึงอย่างไรชานยอลก็ยังดูไม่น่าไว้ใจ ผมอยากจะหนีไปหรือทำยังไงก็ได้ให้จับเขาได้ด้วยตนเอง แต่จากการสู้กันคราวที่แล้วก็ทำให้พอจะรู้ว่าฝีมือของผมเป็นรองเขามากแค่ไหน

     

                    “ฉันสามารถช่วยให้นายไม่ถูกฆ่าได้

     

                    ชานยอลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับสร้างความปั่นป่วนอย่างหนักให้กับผม ความสงสัยก่อตัวขึ้นเป็นเส้นหนา ผมกับเขาที่เลือกเดินกันคนละเส้นทางจะมาช่วยเหลือกันทำไม

     

                    “นายจะช่วยฉันทำไม? นายก็แค่ฆ่าฉันเหมือนอย่างที่ทำกับฮโยยอนซะสิ!”

     

                    ผมตวาดลั่นด้วยความโมโหและสับสน แววตาของชานยอลสั่นไหวไปครู่หนึ่งเมื่อผมพูดถึงฮโยยอน แต่ผมไม่มีทางหลงกลเขาเด็ดขาด ในเมื่อยังไงซะ คนฆ่าฮโยยอนก็คือพวกของเขาทั้งนั้น!

     

                    “ฉันไม่ได้ช่วยชีวิตนายฟรีๆหรอกนะ ทุกอย่างมันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน

     

                    ผมแค่นหัวเราะ คิดไว้แล้วว่าคนอย่างเขาน่ะเหรอจะมาช่วยผมที่ถือได้ว่ามีสถานะเป็นศัตรูกันเฉกเช่นโจรกับตำรวจ แต่ชานยอลไม่ได้สนใจท่าทีของผมแม้แต่น้อยเขายังคงพูดในสิ่งที่เขาต้องการ

     

                    “แค่นายคอยรายงานเรื่องภารกิจที่เกี่ยวกับไนท์แมร์ให้ฉันฟัง เท่านี้นายก็จะรอด

     

                    “ไม่มีทาง!”

     

                    อีกครั้งที่ผมตะโกนลั่น สิ่งที่เขาพูดมันไม่ต่างอะไรกับการให้ผมทรยศต่อสตาสเลยสักนิดเดียว ผมกำมือแน่น รู้สึกถึงความโกรธที่อัดแน่นและพร้อมปะทุออกมาทุกเมื่อ ผมยอมตายดีกว่าที่จะต้องเป็นคนทรยศ

     

                    “นายปฏิเสธฉันไม่ได้หรอกบยอน แบคฮยอน” เขาเรียกชื่อผมด้วยเสียงทุ้มต่ำนั่น ผมไม่ได้ประหลาดใจที่เขารู้ชื่อผมอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มีแค่คำว่าโทสะเท่านั้นที่ผมรู้สึก

     

                    “ทำไมฉันจะปฏิเสธนายไม่ได้นายคิดว่าตัวเองเป็นใครกันชานยอล? เรื่องที่นายพูดมามันน่ารังเกียจเกินกว่าที่ฉันจะทำได้ อีกอย่างฉันไม่ได้ขอให้นายช่วยฉันเลย ฉันยอมตายดีกว่าที่จะต้องไปร่วมมือกับคนชั่วๆอย่างพวกนาย!”

     

                    “ฉันสั่งให้นายทำ” คำพูดของผมช่างดูไร้ความหมายเมื่อชานยอลไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขายังคงพูดด้วยท่าทางเหมือนคนเหนือกว่า

     

                    “แล้วถ้าฉันไม่ทำล่ะ?”

     

                    “…ก็ฆ่าทิ้งซะ

     

                    ผมแค่นหัวเราะอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัวต่อคนตรงหน้าอีกต่อไป คนแบบเขามันก็มีเพียงเท่านี้ เจ้าเล่ห์ เอาแต่ใจและชอบใช้กำลัง

     

                    “งั้นนายก็ฆ่าฉันเลยสิ รออะไรอยู่ล่ะ

     

                    “ฉันไม่ได้บอกว่าฉันจะฆ่านาย

     

                    “...”

     

                    “แต่ฉันหมายถึงบยอน นาบี

     

                    คำพูดของเขาเล่นเอาผมตาโตด้วยความตกใจ ผมรู้สึกตระหนกจนเกินกว่าจะยอมรับ ความกลัวกลับเข้ามาเกาะกินหัวใจผมอีกครั้ง ชื่อที่ชานยอลเอ่ยออกมานั้นเป็นชื่อป้าของผมญาติเพียงคนเดียวที่ผมเหลืออยู่

     

                    ทั้งๆที่มันเป็นข้อมูลส่วนตัวที่ถูกปกปิด แต่เขาก็ยังรู้ได้ เขาเก่งกาจทั้งเรื่องการเจาะข้อมูล

     

                   และเจาะหัวใจของผมให้พรุนช้าๆด้วยความหวาดหวั่นที่เขาเป็นคนยัดเยียดให้

     

                    “อย่ายุ่งกับป้าฉัน” ผมกัดฟันกรอด พยายามอย่างหนักที่จะไม่แสดงสีหน้าที่ทำให้ตกเป็นรอง

     

                    “ฉันไม่ยุ่งแน่ถ้านายทำตามที่ฉันบอก ฉันให้เวลานายคิดหนึ่งนาที

     

                    ชานยอลลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง เขามองออกไปที่ท้องฟ้ามืดสนิทนั่นเหมือนเป็นการให้เวลาผมคิด คำพูดของเขามันเหมือนมีเพียงตัวเลือกเดียวให้ผม นั่นคือเชื่อฟังเขา ผมขมวดคิ้ว คิดอย่างหนักจนรู้สึกว่าเส้นประสาทเต้นตุบๆ ผมเป็นห่วงป้าแต่ก็ทรยศหน่วยไม่ได้เช่นเดียวกัน

     

                    “ฉันไม่ชอบใช้กำลังเพราะมันเหมือนพวกไร้สมอง แต่หากฉันพูดอะไรออกไปแล้วนั่นหมายถึงว่าฉันทำจริง

     

                    ชานยอลบอกผมแบบนั้นและผมเข้าใจเขาภายในเสี้ยววินาที ชานยอลเก่งเรื่องการใช้สมองให้คนอื่นทุรนทุราย เป็นนักวางแผนและสามารถทำให้ผมกระวนกระวายใจได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ

     

                    ผมไม่รู้ว่าใช้เวลาคิดไปนานแค่ไหน รู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อชานยอลเดินกลับมานั่งประชิดตัวผมบนเตียงแล้วส่งสายตาเค้นเอาคำตอบ

     

                    “ว่าไง?”

     

                    ผมคิดหนักเป็นครั้งสุดท้าย หากผมไม่ทำตามข้อเสนอ ป้าของผมคงตกอยู่ในอันตรายแน่ ผมรู้ว่าชานยอลเอาจริง แววตาเขาบอกผมแบบนั้น ในวินาทีนั้นเองที่แผนการบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวและมันช่วยให้ผมตัดสินใจตอบคำถามของชานยอลได้

     

                    “ตกลง

     

                    “…”

     

                    “ฉันจะทำตามที่นายสั่ง

     

                    “เลือกได้ฉลาดดีนี่ แต่ฉันขอเตือนนายไว้อย่าง

     

                    “…”

     

                    “ถ้านายคิดตุกติก มันจะเกิดอะไรขึ้นนายคงรู้ดี

     

     

                    ผมกลับเข้ามาอยู่ในรถของชานยอลอีกครั้ง เขาใช้ผ้าปิดตาผมไว้เพื่อไม่ให้ผมรู้ว่าอยู่ตรงส่วนไหน เขาไม่คิดแม้แต่จะมัดมือผมด้วยซ้ำเหมือนเขามั่นใจว่าผมจะไม่พยศ

     

                    และน่าแปลก ที่ผมก็ไม่พยศจริงๆเสียด้วย

     

                    เขาออกรถมาครู่ใหญ่ เสียงที่ดังที่สุดระหว่างทางคือความเงียบระหว่างเราทั้งสอง ไม่มีใครปริปากพูดแม้แต่คำเดียว ในหัวของผมมีแต่เรื่องที่เพิ่งผ่านมา ผมยอมทำตามสิ่งที่เขาเสนอแลกกับชีวิตของป้า

     

                    แต่แน่นอน ว่าผมไม่ยอมเป็นคนทรยศต่อสตาสเช่นกัน

     

                    ชานยอลจอดรถและดึงผ้าปิดตาผมออก ผมหันไปมองนอกหน้าต่างก่อนจะแปลกใจเพราะมันคือแถวบ้านผมเอง เขาเอื้อมมือมาปลดเข็มขัดนิรภัยให้  รู้สึกได้ถึงปลายจมูกของเขาที่เฉียดผ่านผิวแก้มของผมไป ผมตกใจและหันไปมองหน้าเขาแต่ชานยอลยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉย เขาสบตาผมนิ่งก่อนจะพูดประโยคที่ทำเอาผมใจกระตุก

     

                    ตัวนายยังหอมเหมือนเดิมเลยนะ

     

                    เขากระตุกยิ้มเหมือนล้อเลียนเมื่อเห็นผมทำอะไรไม่ถูก ชานยอลจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถเพื่อให้ผมลงแต่ผมชิงเปิดก่อนเพราะเกรงว่าเขาจะทำอะไรให้ผมไปไม่เป็นอีก

     

                    ผมก้าวลงจากรถ พยายามไม่หันไปมองเขาแต่เสียงทุ้มๆนั่นกลับเป็นตัวรั้งผมไว้

     

                    “แบคฮยอน

     

                    ผมหันไปตามเสียงแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ตอนนั้นเองที่เขาพูดประโยคที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนสมองหยุดทำงาน

     

                    “คืนนี้ขอให้ฝันดีนะ

     

                    .

                    .

                    เพราะต่อไป นายจะสัมผัสแต่คำว่าฝันร้ายจนลืมไปเลยว่าการฝันดีน่ะมันเป็นยังไง



                    ผมเดินเข้าบ้านด้วยจิตใจอันสับสน ประโยคของชานยอลแล่นไปมาในหัว เหมือนเขาเตือนให้รู้ว่าชีวิตของผมตั้งแต่วินาทีนี้จะไม่ปกติอีกต่อไป 

     

                    ไฟในบ้านยังคงเปิดสว่าง เทานอนหลับอยู่ที่โซฟา ผมเดาว่าเขาคงรอผมจนเผลอหลับไป นาฬิกาที่ห้อยอยู่บนผนังบอกว่าเป็นเวลาตีสองครึ่ง นั่นทำให้ผมรู้สึกผิดที่ทำให้เทาต้องมารอผมแบบนี้

     

                    ผมหยิบผ้าห่มมาห่มให้เพราะไม่อยากรบกวนการนอนของเขา แต่เพียงแค่เนื้อผ้าสัมผัส เด็กหนุ่มตรงหน้าก็สะดุ้งตื่นเสียแล้ว

     

                    เทาขยี้ตาอย่างงัวเงียแต่เมื่อเห็นว่าเป็นผมเขาก็ตื่นเต็มตาก่อนจะดึงผมลงไปนั่งข้างๆ เขาทำหน้าตาเคร่งเครียดจนผมเป็นห่วงว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามเทาก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

     

                    “พี่ไปไหนมา ทำไมกลับบ้านช้าแบบนี้?”

     

                    “พี่เคลียร์งานอยู่น่ะ ทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องดีๆล่ะ

     

                    “พี่ไม่ต้องมาสนใจผมหรอก” เทาว่าพลางสะบัดผ้าห่มออกจากตัว “พี่นั่นแหละที่ทำให้ผมเป็นห่วง จะไปไหนทำไมไม่บอกผมก่อน

     

                    “นี่เราเป็นพ่อพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ หืม?”

     

                    ผมว่าพลางหัวเราะเบาๆแต่เทาไม่เล่นด้วย เขายังคงใช้สายตาจริงจังมองผมก่อนจะกระชากผมตัวปลิวเข้าสู่อ้อมกอด

     

                    “อย่าทำให้ผมเป็นห่วงแบบนี้อีกนะ เข้าใจไหม?”

     

                    น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและฟังดูเป็นห่วงผมมากจนผมลอบยิ้มออกมา นอกจากป้าแล้วก็คงจะมีน้องชายอย่างเทานี่แหละที่เป็นดังครอบครัวของผม ผมผละออกจากอ้อมกอดอบอุ่นนั่นแล้วยีหัวเขาแรงๆด้วยความหมั่นเขี้ยว

     

                    “รู้แล้วล่ะน่า ลุกไปนอนในห้องให้ดีๆไป บ่นเป็นตาแก่ไปได้

     

                    “ย่าห์ ! พี่แบคฮยอน นี่ผมเป็นห่วงจริงๆนะเนี่ย ไหงว่าผมบ่นอ่ะ พี่แบคฮยอนพี่แบคฮยอน!”

     

                    ผมเดินเข้าห้องนอนแสร้งทำเป็นไม่สนใจเสียงโวยวายของเทา ความเป็นห่วงของเขานั้นผมรับรู้ได้แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะเล่นกับเทาในตอนนี้ ผมได้ยินเสียงปิดประตูจากห้องข้างๆ เทาคงเข้าห้องไปแล้ว

     

                    ท้องฟ้านอกหน้าต่างยังคงมืดสนิทแต่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าพระอาทิตย์ก็จะขึ้นต้อนรับวันใหม่

     

                พร้อมกับสัญญาระหว่างผมและชานยอลที่จะเริ่มต้นขึ้นด้วยเช่นกัน

     

     .....


     

                    ร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่ภายในรถแอบซุ่มมองไฟของบ้านหลังหนึ่งอยู่นาน จนกระทั่งไฟในบ้านหลังนั้นดับลง เขาเดาว่าคนในบ้านคงนอนกันหมดแล้ว

     

                    เขาเลือกที่จะใช้แบคฮยอนเป็นเครื่องมือเพื่อแลกกับสิ่งที่ต้องการ ปาร์คชานยอลรู้ดีว่าแบคฮยอนต้องไม่ยอมเขาแน่นอน แต่การวางแผนและใช้วาจาหลอกล่อให้เหยื่อตกหลุมพรางนั้นเป็นสิ่งที่เขาถนัด

     

                    และเหยื่อชิ้นดีอย่างแบคฮยอนก็ตกหลุมพรางอย่างที่เขาคิดไว้

     

                    ชานยอลไม่ชอบใช้กำลัง เขาจึงเลือกที่จะรมควันยาสลบแบคฮยอนแทนการทำร้าย ชานยอลรู้ว่าพวกของเขาวางแผนจะทำอะไรกับคนตัวเล็ก เขาที่ผ่านไปทำธุระแถวนั้นและเห็นเหตุการณ์พอดีจึงแสร้งเปิดท้ายรถไว้โดยหวังว่าคนอย่างแบคฮยอนจะฉลาดพอ

     

                    มันเป็นกับดักที่ชานยอลวางไว้เพื่อหลอกล่อเหยื่อ แม้สามคนที่ไล่ล่าแบคฮยอนมานั้นจะเป็นพวกเดียวกันกับเขา แต่ชานยอลไม่ต้องการให้แบคฮยอนต้องมาตายตอนนี้ คนตัวเล็กยังมีประโยชน์อีกมากสำหรับเขา

     

                    มือหนาล้วงสร้อยคอที่เป็นรูปแม่กุญแจสีเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาเก็บมันได้จากการสู้กับคนตัวเล็กเมื่อคราวก่อน แบคฮยอนไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าเขาหยิบมันไปตอนไหน

     

                    ในตอนนั้นเองที่ชานยอลล้วงสร้อยคออีกเส้นออกมาจากคอเสื้อของตน น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาใส่สร้อยเส้นนี้ไว้ตลอดเวลา

     

                    สร้อยของเขา มันเป็นสร้อยคอรูปลูกกุญแจ

     

                    มือหนาจัดการใช้มันลองไขกับสร้อยรูปแม่กุญแจนั่นเพื่อปลดล็อคและผลลัพธ์ที่ได้ก็ทำให้เขากระตุกยิ้มพึงพอใจ

     

                 มันไขได้พอดี

     

                    ชานยอลมองเข้าไปในตัวบ้านของแบคฮยอนอีกครั้ง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกจุดขึ้นมุมปาก เขาทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้แบคฮยอนแต่กลับมีเพียงเขาเองที่ได้ยิน 

     

                    “ของสำคัญหายแบบนี้ นายไม่รู้สึกอะไรเลยรึไง แบคฮยอน

     

                    ชานยอลค้นพบแล้วว่า สิ่งที่เขาต้องการนั้น มันกำลังก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างโดยเกิดจากตัวแปรที่สำคัญที่สุด

     

                  ตัวแปรที่ชื่อว่า บยอน แบคฮยอน

     



    TBC

     นี่สามครึ่ง มาอัพแบบโคตรดึก -_-

    อ่านแล้วเหนื่อยกันไหม

    แต่นี่อยากจะบอกว่านี่เหนื่อยมาก 55555555555555

    เราเป็นประเภทแก้แล้วแก้อีกแก้จนกว่าเราจะพอใจอ่ะ มันถึงได้อัพช้าแบบนี้ ขอโทษน้า ค้างกันไหมเนี่ยยยย

    ทุกคนเข้าใจภาษาของเรากันหรือเปล่า เราไม่ค่อยแน่ใจภาษาตัวเองเท่าไหร่ ติชมกันได้นะเหวยยยยย

    ติดแท็ก #ficsee2b หรือคอมเมนท์เป็นกำลังใจได้นะ @BlackQ238

    ขอบคุณทุกคนที่เม้นท์ ที่แท็ก ที่เฟบมากๆเลย ขอบคุณจริงๆน้า

    อ้อ See through someone’s trick = การอ่านใครบางคนออกจนทะลุปรุโปร่ง

    See through B’s trick = ปาร์คชานยอลอ่านบยอนแบคฮยอนออกจนทะลุปรุโปร่ง 55555555555555 

    up : 18/10/2014 (10%) 23/10/2014 (100%) 


                  

     

                    

     

          

                 

     


     

               

     

                   

     

     

                   

     

     

     

     

    © themy  butter
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×