คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : - CH 3 : hide -
chapter 03
You’re gonna catch a cold
คุณจะต้องเหน็บหนาว
From the ice inside your soul
ด้วยความเย็นชาจากหัวใจของคุณเอง
…..
ไม่มีคำพูดใดออกมาจากริมฝีปากหยักได้รูป คนตรงหน้าทำเพียงแค่จ่อปืนมาที่ผม
ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นมองผมอย่างเรียบเฉยแต่ให้ความรู้สึกเหมือนถูกเกลียวคลื่นยักษ์สาดซัดเข้าใส่จนสูญเสียการควบคุม
สติของผมเบลอไปชั่วขณะ
ลำคอแห้งผากแต่กลับเรียกชื่อเขาได้อย่างชัดเจนเหลือเกินในความเงียบเช่นนี้
“ช...ชานยอล...”
“ยังจำกันได้นี่ น่าประทับใจจริงๆ”
เสียงทุ้มต่ำแฝงความเย้ยหยันเอาไว้ไม่ต่างจากที่เคยได้ยินเมื่อคราวก่อน
เขาเลิกคิ้วมองผมนิ่งๆก่อนจะพยักเพยิดกระบอกปืนเป็นคำสั่งให้ผมออกมาจากท้ายรถ
ผมค่อยๆก้าวขาออกไปทีละข้างแต่เหมือนจะไม่ทันใจ ตอนนั้นเองที่ชานยอลกระชากแขนผมอย่างแรงจนผมเซไปกระทบกับแผ่นอกกว้าง
เขาผลักผมออกแล้วใช้ปืนดันหลังเป็นการบังคับให้ผมเข้าไปในตัวรถ
“อยู่เงียบๆแล้วนายจะรอด” เขาบอกหลังจากที่ผลักผมให้นั่งลงไปยังเบาะข้างคนขับแล้วปิดประตูขังไว้
เขาเหน็บปืนเข้าที่เอวไม่ได้เข้ารถตามมา ผมได้แต่มองชานยอลที่ยืนพิงกระโปรงรถแล้วหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ
ควันสีขาวขุ่นถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากช้าๆ
มันม้วนตัวเป็นกลุ่มก้อนและกระจายออกเหมือนเป็นแค่ภาพลวงตา
ผมซอยสั้นสีดำสนิทของชานยอลเข้ากันได้ดีกับบุคลิก
ภาพที่เขานำบุหรี่จรดริมฝีปากนั้นช่างเหมือนกับนายแบบในนิตยสารสักฉบับ
เขามีรูปร่างสูงโปร่งและหน้าตาหล่อเหลาราวกับประติมากรรมชิ้นดีที่พระผู้เป็นเจ้าตั้งใจที่จะสรรสร้าง
แต่พระเจ้าจะรู้บ้างไหมว่าผลงานชิ้นเอกของพระองค์เลือกที่จะอยู่ฝ่ายซาตานแทนที่จะเป็นทูตสวรรค์
ผมไม่รู้ว่าชานยอลต้องการจะทำอะไร
บางทีเขาน่าจะฆ่าผมแล้วทำให้เรื่องมันจบๆไปซะ แต่ไม่
เขายังคงยืนสูบบุหรี่อย่างสบายใจ ทิ้งผมไว้กับความเย็นเฉียบของแอร์ภายในรถ
วินาทีนั้นเองที่ผมคิดหาทางหนี
มันเป็นจังหวะเดียวกับที่มีกลิ่นฉุนๆลอยมาจนผมต้องย่นจมูก
“แค่กๆๆ!”
ควันสีขาวคลุ้งไปทั่วตัวรถจนผมสำลัก
ผมปัดมือไปมาตรงหน้าทำเหมือนว่าจะช่วยให้มันหายไปได้และต่อมาผมก็ได้รู้ว่ากลิ่นและควันนั้นลอยออกมาจากแอร์ตรงคอนโซลหน้า
ผมดิ้นหนีพยายามเปิดประตูรถแต่มันถูกล็อคไว้
สติของผมเริ่มพร่าเลือนและเคลื่อนไหวช้าลง เรี่ยวแรงลดน้อยลงเรื่อยๆ
ผมรู้สึกง่วงจนไม่สามารถที่จะลืมตาเอาไว้ได้
และสิ่งสุดท้ายที่ผมเห็น มันคือรอยยิ้มของชานยอล
รอยยิ้มที่เหมือนให้ผมยอมรับและจดจำไว้ในขั้วสมอง…ว่าผมแพ้เขาแล้ว
แพ้อย่างราบคาบเสียด้วย
เขารู้ดี
ว่านี่มันเป็นแค่ความฝัน
‘แบคฮยอน
กลับบ้านกันเถอะลูก’
ชายหนุ่มเรียกเด็กชายตัวน้อยที่กำลังไกวชิงช้าในสนามเด็กเล่น
เขายิ้มให้เด็กชายและส่งมอบความรักผ่านทางสายตา
เด็กน้อยวิ่งเข้าไปสวมกอดผู้เป็นพ่อแล้วยิ้มจนตาหยี ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน
มันพลิ้วไหวยามที่สายลมพัดผ่าน นั่นทำให้เธอดูอ่อนหวานและใจดี
แต่ความอ่อนโยนจากภายนอกยังไม่เท่าที่เธอกำลังลูบหัวเขาด้วยความรักใคร่และทะนุถนอม
แบคฮยอนผละออกจากพ่อแล้วหันมาหาหญิงสาว
เธอยิ้มก่อนจะคว้าเด็กน้อยมาอุ้มไว้แนบอก ‘วันนี้ผมกินผักด้วยแหละ ครูชมว่าผมเก่งด้วยฮะแม่!’
เสียงเจื้อยแจ้วและท่าทางภูมิใจทำให้พ่อและแม่หัวเราะออกมาน้อยๆในความน่ารักของลูกชาย
ดวงตาเรียวรีของผู้เป็นแม่ทอประกายความเมตตาอยู่ในนั้น
มันเป็นดวงตาคู่สวยที่แบคฮยอนชอบ ดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยความอ่อนโยนเสมอ
‘เอ…แล้วแม่จะให้รางวัลกับคนเก่งยังไงดีน้า?’
‘อืม…’ แบคฮยอนในวัยหกขวบทำท่าครุ่นคิด
คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันเป็นที่น่าเอ็นดูเหลือเกินในสายตาของทั้งสอง ‘ผมคิดไม่ออกอ่ะ...แต่ตอนนี้คุณพุงร้องจ๊อกๆใหญ่เลย
ผมหิวจะแย่แล้วฮะ”
แบคฮยอนว่าพลางตบพุงกลมๆของตัวเอง
นั่นยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อและแม่มีเสียงหัวเราะมากขึ้นไปอีก ‘พ่อก็หิวแล้วเหมือนกัน ไหน ขอพ่อกินแบคฮยอนหน่อยซิ’
พูดจบพ่อก็งับแขนเล็กของเด็กน้อยเบาๆเรียกเสียงหัวเราะคิกคักน่ารักจากแบคฮยอน
ทุกคนล้วนมีรอยยิ้ม มันเป็นภาพที่สวยงามเหลือเกินในความทรงจำ เสมือนภาพถ่ายที่ไม่เคยซีดจางลงตามกาลเวลา
ความอบอุ่นจากพ่อและแม่แผ่ซ่านลงในกระแสเลือดและฝังความรู้สึกนี้ไว้ในห้วงความจำของเด็กชาย
เป็นความสุขที่ผ่านมาและกำลังจะหายไปโดยที่ไม่มีใครทันตั้งตัว
‘คุณมันแย่ ไอ้คนเฮงซวย!’
‘ก็ยังดีกว่าผู้หญิงร่านๆกับไอ้ชู้สารเลวของเธอล่ะวะ!’
เสียงทะเลาะและด่าทอลบภาพก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น
ไม่มีความอบอุ่น ไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงแค่โทสะ
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดและน้ำตาของแม่ที่แบคฮยอนจำได้ดี
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อและแม่ทะเลาะกัน
เด็กน้อยไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งนี้อยู่ตรงไหน เขารู้แค่ว่าเขาเกลียด…เกลียดช่วงเวลานี้เหลือเกิน
‘พ่อฮะ ฮึก ม...แม่ฮะ อย่า...ฮึก...ทะเลาะกัน
ฮือออออ’ เด็กชายทำได้แค่เกาะราวบันได
ร้องไห้อ้อนวอนขอให้พ่อและแม่เลิกทำร้ายหัวใจของเขาเสียที
หากแต่มันก็ไร้ผลเหมือนอย่างที่ผ่านมา
เสียงของแบคฮยอนเหมือนเป็นแค่สายลมเบาบางที่อ่อนแรงเหลือเกิน ‘ได้โปรด...ฮึก พ่อฮะ...’
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าร้องดังลั่นนอกหน้าต่างยิ่งทำให้แบคฮยอนเสียขวัญ
เขาทำได้แค่เอามือปิดหูและหลับตาปี๋
แสงแปลบปลาบของฟ้าเหมือนเยาะเย้ยในโชคชะตาของเด็กน้อย เสียงสายฝนเหมือนเสียงหัวเราะสมเพช
แบคฮยอนกลัวเกินกว่าจะขยับตัว
เขาอยากจะหลับตาลงแล้วให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องสมมติ
อยากให้พ่อกับแม่นอนกอดเขาเหมือนอย่างทุกคืน
เพี๊ยะ!
แบคฮยอนเห็นแม่ตบหน้าพ่ออย่างแรง
เขากรีดร้องแข่งกับเสียงฟ้าขอให้ผู้เป็นแม่หยุดแต่ก็ไร้ประโยชน์ พ่อผลักแม่ล้มลง
กระชากผมแม่และด่าทอเสียงดัง ไม่มีใครสนใจเด็กน้อยสักนิด
น้ำตาของแบคฮยอนไหลอาบเต็มใบหน้า เขาสะอึกสะอื้นจนตัวโยนอย่างน่าสงสาร
การทะเลาะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ในที่สุด ทุกอย่างก็จบลง
จบลงพร้อมกับชีวิตของคนทั้งสองที่ไม่อาจหวนคืน...
ซ่าาาาาา!!!
เฮือกกก!!
ความเย็นเฉียบที่กระทบใบหน้าทำให้ผมสะดุ้งเฮือก
ค่อยๆลืมตาอย่างมึนงงแล้วกะพริบตาหลายครั้งเพื่อปรับสภาพ
สติกลับมาหาผมทีละน้อยจนรู้ว่าตอนนี้ผมเปียกไปครึ่งตัว ภาพความฝันหายไปเหลือไว้เพียงแค่หัวใจของผมที่ยังคงสั่นรัว
ฝันที่ผมไม่ต้องการจะนึกถึง
แต่ก็ไม่เคยที่จะลบมันออกไปจากความทรงจำได้เลยสักครั้ง
ผมลองขยับแขนขาแต่พบว่ามันถูกมัดติดไว้กับเก้าอี้เหล็กที่นั่งอยู่
รอบตัวปรากฏซากตู้เก่าๆและเศษไม้กองเต็มไปหมด
ผมเดาว่ามันอาจเป็นโกดังหรือตึกร้างสักที่และต้นเหตุที่ทำให้ผมอยู่ในสภาพนี้จะเป็นใครไปได้นอกจาก…เขา
“ขี้เซาจริงนะ” ชานยอลแค่นหัวเราะก่อนจะลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งตรงหน้า “ฝันหวานไหมล่ะคุณเจ้าหน้าที่?”
ผมสะบัดหัวสองสามทีเพื่อไล่ความมึนงง
พยายามคิดเหตุการณ์ก่อนหน้าแต่ชานยอลกลับเชยคางผมให้สบตากับเขา
ดวงตาสีน้ำตาลมองผมนิ่งๆเช่นเคย
ผมจ้องตาเขากลับก่อนจะเค้นเสียงออกจากลำคอที่แห้งผาก
“ทำไม…ทำไมนายยังไม่ฆ่าฉัน?”
“น้ำเย็นดีไหม? ดูนายสิ อย่างกับลูกหมาตกน้ำ ”
“ฉันถามว่าทำไมนายไม่ฆ่าฉัน!”
ผมตวาดใส่เขาด้วยความหงุดหงิดและสับสน
ชานยอลเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
สายตาของเขาทำให้ผมขนลุกแต่ถึงกระนั้นผมก็ยังทำใจดีสู้เสือด้วยการจ้องกลับเหมือนไม่เกรงกลัว
“อยู่ในสภาพแบบนี้แล้วยังจะอวดเก่งได้อีกนะ…บยอน แบคฮยอน” ผมนิ่งไปชั่วครู่หลังจากที่เขาเอ่ยชื่อของผม
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนอย่างปาร์คชานยอลผู้ที่เคยเจาะข้อมูลของรัฐบาลมาแล้วจะรู้ชื่อของผมได้
เสียงทุ้มของเขาฟังดูแสนร้ายกาจแต่มันยังไม่เท่ากับสายตาดูแคลนที่เขาใช้มองผมสักนิด “อะไรทำให้นายคิดว่าฉันจะไม่ฆ่านาย?”
ผมไม่สามารถให้คำตอบกับเขาได้ คำถามของเขาทำเอาผมสะอึก
นั่นสินะ เขาบอกตอนไหนว่าเขาจะไม่ฆ่าผม?
“จะบอกอะไรให้นะ ยังไงซะ ฉันก็ต้องฆ่านายอยู่แล้ว” ชานยอลจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม
เขากระตุกยิ้มเหมือนพึงพอใจกับการที่ได้เห็นผมจนตรอกและไร้ทางสู้ “ แต่ถ้านายลองร้องอ้อนวอนขอชีวิต ฉันอาจจะเมตตาก็ได้นะ”
“ถุย!”
ผมถุยน้ำลายใส่หน้าเขาเพราะรู้สึกเหมือนโดนหยามศักดิ์ศรี
ชานยอลสะบัดหน้าผมออกจากฝ่ามือหนา
ดวงตาของเขาวาวโรจน์ไปด้วยโทสะและผมรับรู้ได้ในวินาทีนั้น
ว่าชานยอลพร้อมฆ่าผมแล้ว
“กล้าดียังไงมาถุยน้ำลายใส่หน้ากูวะ!!”
ผลั่วะ! ผลั่วะ!
ชานยอลต่อยผมจนรู้สึกเจ็บไปทั้งสันกรามและโหนกแก้ม เขาปล่อยกำปั้นมาอีกหลายหมัดที่ท้อง
กลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกมาจากจมูกทำเอาสติพร่าเบลออีกครั้ง
ผมถูกถีบลงไปกองกับพื้นทั้งเก้าอี้ ความเจ็บปวดแล่นเข้าเล่นงาน
เสียงหอบหายใจถี่ของผมสะท้อนไปทั่วห้องมืดๆแห่งนี้
ชานยอลกระชากศรีษะของผมให้แหงนขึ้นก่อนจะขบกรามพูดชิดใบหู เหมือนเขาพยายามจะระงับอารมณ์แต่ก็ไร้ซึ่งประโยชน์
“อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าฆ่านาย แบคฮยอน”
“ก็...แฮ่ก...ก็เอาสิ”
คำพูดท้าทายหลุดออกจากปาก
อย่างที่คุณรู้ว่าผมเป็นคนอวดดีมาตั้งแต่ต้น มันเป็นนิสัยแย่ๆของผมที่แก้เท่าไหร่ก็ไม่หาย
คำพูดของผมเหมือนน้ำมันที่สาดเข้าใส่ไฟโทสะของชานยอลจนไฟนั้นลุกโชน
เขาปล่อยศรีษะผมก่อนจะเดินไปหยิบบุหรี่จุดสูบ เพียงครู่เดียวเขาก็เดินเข้ามาหา
ย่อตัวลงและชูบุหรี่ในมือขึ้นเหมือนต้องการให้ผมจับจ้องว่าเขาจะทำอะไรต่อไป
ชานยอลกระตุกยิ้ม แววตาร้ายกาจถูกส่งออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น
“อ๊ากกกกก!!”
ผมร้องลั่นเมื่อเขาจี้บุหรี่ลงมาที่แก้ม
ความร้อนทำให้ผมเจ็บแสบแทบคลั่ง
เขาดับบุหรี่ด้วยเท้าก่อนจะแค่นหัวเราะมองผมที่นอนทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด
ความสนุกฉายชัดบนใบหน้าของชานยอล เขาล้วงเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ท
และเช่นเดิม เขาชูมันขึ้นเพื่อให้ผมเห็นว่าเขาจะเล่นสนุกอะไรต่อไป
แล้วผมก็ได้รู้ ว่าสิ่งที่อยู่ในมือของเขานั้นมันคือ…เข็มฉีดยา
“เอาล่ะ” น้ำเสียงของเขาเหมือนน้ำเย็นจัดที่สาดเข้าหัวใจของผมจนรู้สึกชาหนึบ “ถึงเวลาเอาจริงซะที”
ฉึก!!!
เขาปักเข็มเข้าที่แขนของผมอย่างแรง
ความเจ็บตรงที่ถูกปลายเข็มปักเล่นเอาผมกระตุก
บาดแผลตามร่างกายร่วมมือกันเล่นงานจนผมร้องไม่ออก
ชานยอลยืนมองผมอย่างซ่อนความสะใจไว้ไม่มิด ในวินาทีนั้นเองที่ผมเริ่มหายใจติดขัด
ความเจ็บแสบแล่นริ้วมาตามผิวหนัง
เหมือนถูกกัดกร่อนด้วยพิษยาที่ถูกฉีดเข้ากระแสเลือด ผมเริ่มทุรนทุราย
รู้สึกหัวใจปวดหนึบจนน้ำตาคลอ
ราวกับมีมีดนับพันๆเล่มพร้อมกันเชือดลงมาตามร่างกายและสับลงไปที่อวัยวะภายใน ลำคอของผมแห้งผากเกินกว่าจะเปล่งเสียงและในวินาทีต่อมาผมก็กระตุกอย่างแรงจนเหมือนกับจะทำลายเชือกที่มัดผมไว้กับเก้าอี้ให้ขาดออกจากกัน
ผมมองเห็นชานยอลเป็นภาพเบลอพร้อมกับลมหายใจของผมที่ขาดห้วงและหัวใจที่เต้นช้าลงเรื่อยๆ
จนมันหยุดเต้นไปในที่สุด
แต่เสียงของชานยอลกลับชัดเจนเหมือนจะฝังเข้าไปในโสตประสาทการรับรู้ครั้งสุดท้ายในชีวิตของผม
“ลาก่อน แบคฮยอน”
เฮือกกกกกก!!!!!!
ผมสะดุ้งลุกขึ้นนั่งก่อนจะหอบหายใจ หัวใจเต้นถี่รัวจนน่ากลัวว่ามันจะกระดอนออกจากอก
รู้สึกเหมือนผ่านการวิ่งมาหลายกิโลเมตรทั้งๆที่ไม่ได้ขยับตัวไปไหน
ผมสำรวจร่างกายของตัวเอง ทุกอย่างยังคงปกติมีเพียงแค่อาการเบลอๆนิดหน่อยเท่านั้น
หลังจากที่สติกลับมาอย่างสมบูรณ์ผมจึงเริ่มตระหนักไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าและผมก็ได้คำตอบให้กับตัวเอง
ผมเพียงแค่ฝันไป ผมแค่ฝันซ้อนฝัน
ผมหันมองรอบกาย มีซากตู้เก่าๆและเศษไม้เหมือนโกดังร้าง
ผมไม่ได้ถูกมัดติดกับเก้าอี้เหมือนอย่างในฝัน
แต่กลับนั่งอยู่บนเตียงเหล็กเก่าๆขนาดประมาณสามฟุต ภายในห้องมีแสงสลัวจากเทียนไข
ผมหยิกตัวเองหนึ่งทีเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าทุกอย่างตรงหน้าคือเรื่องจริงและความเจ็บก็เป็นคำตอบ
ผมพยายามนึกว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
ตอนนั้นเองที่ผมเบิกตากว้างด้วยรู้ถึงสาเหตุ
ผู้ชายคนนั้น…ปาร์คชานยอล เป็นคนจับผมมา
แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?
คำถามผุดขึ้นมาในหัวและเพียงไม่กี่วินาทีคำตอบก็มาปรากฏตรงหน้า
“ตื่นได้แล้วสินะ”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่แฝงไว้เพียงแค่ความเรียบเฉยเอ่ยกับผม
ร่างสูงโปร่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ไกลจากเตียงเท่าไรนัก
เขากอดอกและจ้องผมนิ่งๆอย่างที่ทำมาตลอด
เขาลุกขึ้นเดินเข้ามาหาช้าๆ ผมถอยกายไปชิดกับหัวเตียง
ภาพความป่าเถื่อนของเขาจากในฝันยังคงตรึงอยู่ในห้วงความคิด
ผมไม่ใช่สาวน้อยที่จะกลัวเขาเพียงแค่เพราะฝัน แต่สิ่งที่ผมกำลังเป็นอยู่มันคือความหวั่นใจ
ผมประมาทเขาไม่ได้แม้เพียงวินาทีเดียว
“อย่ากลัว ฉันไม่ได้จะทำร้ายนาย”
ชานยอลบอกผมแบบนั้น
ทั้งน้ำเสียงและรูปประโยคฟังดูเป็นคำสั่งมากกว่าที่จะทำให้อุ่นใจ
ผมนั่งนิ่งๆมองเขาอย่างไม่คลาดสายตา ชานยอลยิ้มน้อยๆเหมือนตลกกับท่าทางระแวงของผม
เขาเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะนั่งที่ปลายเตียง “ก็บอกว่าไม่ให้กลัวไง”
“ฉันไม่ได้กลัวนาย” ความอวดดีของผมแสดงออกมาเป็นคำพูด
ชานยอลเลิกคิ้วมองอย่างกวนประสาทก่อนจะขยับเข้ามาใกล้จนหัวไหล่เราแทบชนกัน
“ไมได้กลัวแล้วเขยิบหนีทำไม?”
“นายต้องการอะไร?”
ผมถามเขากลับ ไม่สนใจสิ่งที่เขาถามก่อนหน้า
ผมพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น
ดวงตาสีน้ำตาลมองผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกแต่กลับทำให้หัวใจแทบจะหยุดเต้นได้
ชานยอลมองหน้าผมนิ่งก่อนจะค่อยๆเปล่งเสียงออกมาทีละประโยคเหมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อเติมให้ภาพที่ผมสงสัยนั้นชัดเจนขึ้น
“นายรู้ใช่ไหม ว่าพวกฉันกำลังไล่ฆ่านาย?” เขาสร้างบทสนทนาใหม่แทนที่จะตอบคำถาม
ผมนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “ฉันจะไม่อ้อมค้อมและจะพูดเพียงแค่ครั้งเดียว
ฉะนั้นนายต้องตั้งใจฟัง”
ถึงอย่างไรชานยอลก็ยังดูไม่น่าไว้ใจ
ผมอยากจะหนีไปหรือทำยังไงก็ได้ให้จับเขาได้ด้วยตนเอง
แต่จากการสู้กันคราวที่แล้วก็ทำให้พอจะรู้ว่าฝีมือของผมเป็นรองเขามากแค่ไหน
“ฉันสามารถช่วยให้นายไม่ถูกฆ่าได้”
ชานยอลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับสร้างความปั่นป่วนอย่างหนักให้กับผม
ความสงสัยก่อตัวขึ้นเป็นเส้นหนา
ผมกับเขาที่เลือกเดินกันคนละเส้นทางจะมาช่วยเหลือกันทำไม
“นายจะช่วยฉันทำไม? นายก็แค่ฆ่าฉันเหมือนอย่างที่ทำกับฮโยยอนซะสิ!”
ผมตวาดลั่นด้วยความโมโหและสับสน
แววตาของชานยอลสั่นไหวไปครู่หนึ่งเมื่อผมพูดถึงฮโยยอน
แต่ผมไม่มีทางหลงกลเขาเด็ดขาด ในเมื่อยังไงซะ คนฆ่าฮโยยอนก็คือพวกของเขาทั้งนั้น!
“ฉันไม่ได้ช่วยชีวิตนายฟรีๆหรอกนะ ทุกอย่างมันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
ผมแค่นหัวเราะ
คิดไว้แล้วว่าคนอย่างเขาน่ะเหรอจะมาช่วยผมที่ถือได้ว่ามีสถานะเป็นศัตรูกันเฉกเช่นโจรกับตำรวจ
แต่ชานยอลไม่ได้สนใจท่าทีของผมแม้แต่น้อยเขายังคงพูดในสิ่งที่เขาต้องการ
“แค่นายคอยรายงานเรื่องภารกิจที่เกี่ยวกับไนท์แมร์ให้ฉันฟัง
เท่านี้นายก็จะรอด”
“ไม่มีทาง!”
อีกครั้งที่ผมตะโกนลั่น
สิ่งที่เขาพูดมันไม่ต่างอะไรกับการให้ผมทรยศต่อสตาสเลยสักนิดเดียว ผมกำมือแน่น
รู้สึกถึงความโกรธที่อัดแน่นและพร้อมปะทุออกมาทุกเมื่อ
ผมยอมตายดีกว่าที่จะต้องเป็นคนทรยศ
“นายปฏิเสธฉันไม่ได้หรอก…บยอน แบคฮยอน” เขาเรียกชื่อผมด้วยเสียงทุ้มต่ำนั่น
ผมไม่ได้ประหลาดใจที่เขารู้ชื่อผมอีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้มีแค่คำว่าโทสะเท่านั้นที่ผมรู้สึก
“ทำไมฉันจะปฏิเสธนายไม่ได้? นายคิดว่าตัวเองเป็นใครกันชานยอล?
เรื่องที่นายพูดมามันน่ารังเกียจเกินกว่าที่ฉันจะทำได้
อีกอย่างฉันไม่ได้ขอให้นายช่วยฉันเลย
ฉันยอมตายดีกว่าที่จะต้องไปร่วมมือกับคนชั่วๆอย่างพวกนาย!”
“ฉันสั่งให้นายทำ” คำพูดของผมช่างดูไร้ความหมายเมื่อชานยอลไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
เขายังคงพูดด้วยท่าทางเหมือนคนเหนือกว่า
“แล้วถ้าฉันไม่ทำล่ะ?”
“…ก็ฆ่าทิ้งซะ”
ผมแค่นหัวเราะอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัวต่อคนตรงหน้าอีกต่อไป
คนแบบเขามันก็มีเพียงเท่านี้ เจ้าเล่ห์ เอาแต่ใจและชอบใช้กำลัง
“งั้นนายก็ฆ่าฉันเลยสิ รออะไรอยู่ล่ะ”
“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันจะฆ่านาย”
“...”
“แต่ฉันหมายถึง…บยอน นาบี”
คำพูดของเขาเล่นเอาผมตาโตด้วยความตกใจ
ผมรู้สึกตระหนกจนเกินกว่าจะยอมรับ ความกลัวกลับเข้ามาเกาะกินหัวใจผมอีกครั้ง ชื่อที่ชานยอลเอ่ยออกมานั้นเป็นชื่อป้าของผม…ญาติเพียงคนเดียวที่ผมเหลืออยู่
ทั้งๆที่มันเป็นข้อมูลส่วนตัวที่ถูกปกปิด แต่เขาก็ยังรู้ได้
เขาเก่งกาจทั้งเรื่องการเจาะข้อมูล
และเจาะหัวใจของผมให้พรุนช้าๆด้วยความหวาดหวั่นที่เขาเป็นคนยัดเยียดให้
“อย่ายุ่งกับป้าฉัน” ผมกัดฟันกรอด
พยายามอย่างหนักที่จะไม่แสดงสีหน้าที่ทำให้ตกเป็นรอง
“ฉันไม่ยุ่งแน่ถ้านายทำตามที่ฉันบอก ฉันให้เวลานายคิดหนึ่งนาที”
ชานยอลลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง เขามองออกไปที่ท้องฟ้ามืดสนิทนั่นเหมือนเป็นการให้เวลาผมคิด
คำพูดของเขามันเหมือนมีเพียงตัวเลือกเดียวให้ผม นั่นคือเชื่อฟังเขา ผมขมวดคิ้ว
คิดอย่างหนักจนรู้สึกว่าเส้นประสาทเต้นตุบๆ
ผมเป็นห่วงป้าแต่ก็ทรยศหน่วยไม่ได้เช่นเดียวกัน
“ฉันไม่ชอบใช้กำลังเพราะมันเหมือนพวกไร้สมอง
แต่หากฉันพูดอะไรออกไปแล้วนั่นหมายถึงว่าฉันทำจริง”
ชานยอลบอกผมแบบนั้นและผมเข้าใจเขาภายในเสี้ยววินาที
ชานยอลเก่งเรื่องการใช้สมองให้คนอื่นทุรนทุราย
เป็นนักวางแผนและสามารถทำให้ผมกระวนกระวายใจได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
ผมไม่รู้ว่าใช้เวลาคิดไปนานแค่ไหน
รู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อชานยอลเดินกลับมานั่งประชิดตัวผมบนเตียงแล้วส่งสายตาเค้นเอาคำตอบ
“ว่าไง?”
ผมคิดหนักเป็นครั้งสุดท้าย หากผมไม่ทำตามข้อเสนอ
ป้าของผมคงตกอยู่ในอันตรายแน่ ผมรู้ว่าชานยอลเอาจริง แววตาเขาบอกผมแบบนั้น
ในวินาทีนั้นเองที่แผนการบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวและมันช่วยให้ผมตัดสินใจตอบคำถามของชานยอลได้
“ตกลง”
“…”
“ฉันจะทำตามที่นายสั่ง”
“เลือกได้ฉลาดดีนี่ แต่ฉันขอเตือนนายไว้อย่าง”
“…”
“ถ้านายคิดตุกติก มันจะเกิดอะไรขึ้น…นายคงรู้ดี”
ผมกลับเข้ามาอยู่ในรถของชานยอลอีกครั้ง เขาใช้ผ้าปิดตาผมไว้เพื่อไม่ให้ผมรู้ว่าอยู่ตรงส่วนไหน
เขาไม่คิดแม้แต่จะมัดมือผมด้วยซ้ำเหมือนเขามั่นใจว่าผมจะไม่พยศ
และน่าแปลก ที่ผมก็ไม่พยศจริงๆเสียด้วย
เขาออกรถมาครู่ใหญ่
เสียงที่ดังที่สุดระหว่างทางคือความเงียบระหว่างเราทั้งสอง
ไม่มีใครปริปากพูดแม้แต่คำเดียว ในหัวของผมมีแต่เรื่องที่เพิ่งผ่านมา
ผมยอมทำตามสิ่งที่เขาเสนอแลกกับชีวิตของป้า
แต่แน่นอน ว่าผมไม่ยอมเป็นคนทรยศต่อสตาสเช่นกัน
ชานยอลจอดรถและดึงผ้าปิดตาผมออก ผมหันไปมองนอกหน้าต่างก่อนจะแปลกใจเพราะมันคือแถวบ้านผมเอง
เขาเอื้อมมือมาปลดเข็มขัดนิรภัยให้ รู้สึกได้ถึงปลายจมูกของเขาที่เฉียดผ่านผิวแก้มของผมไป
ผมตกใจและหันไปมองหน้าเขาแต่ชานยอลยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉย
เขาสบตาผมนิ่งก่อนจะพูดประโยคที่ทำเอาผมใจกระตุก
“ตัวนาย…ยังหอมเหมือนเดิมเลยนะ”
เขากระตุกยิ้มเหมือนล้อเลียนเมื่อเห็นผมทำอะไรไม่ถูก
ชานยอลจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถเพื่อให้ผมลงแต่ผมชิงเปิดก่อนเพราะเกรงว่าเขาจะทำอะไรให้ผมไปไม่เป็นอีก
ผมก้าวลงจากรถ
พยายามไม่หันไปมองเขาแต่เสียงทุ้มๆนั่นกลับเป็นตัวรั้งผมไว้
“แบคฮยอน”
ผมหันไปตามเสียงแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
ตอนนั้นเองที่เขาพูดประโยคที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนสมองหยุดทำงาน
“คืนนี้…ขอให้ฝันดีนะ
.
.
เพราะต่อไป นายจะสัมผัสแต่คำว่าฝันร้ายจนลืมไปเลยว่าการฝันดีน่ะมันเป็นยังไง”
ผมเดินเข้าบ้านด้วยจิตใจอันสับสน ประโยคของชานยอลแล่นไปมาในหัว
เหมือนเขาเตือนให้รู้ว่าชีวิตของผมตั้งแต่วินาทีนี้จะไม่ปกติอีกต่อไป
ไฟในบ้านยังคงเปิดสว่าง เทานอนหลับอยู่ที่โซฟา
ผมเดาว่าเขาคงรอผมจนเผลอหลับไป นาฬิกาที่ห้อยอยู่บนผนังบอกว่าเป็นเวลาตีสองครึ่ง
นั่นทำให้ผมรู้สึกผิดที่ทำให้เทาต้องมารอผมแบบนี้
ผมหยิบผ้าห่มมาห่มให้เพราะไม่อยากรบกวนการนอนของเขา
แต่เพียงแค่เนื้อผ้าสัมผัส เด็กหนุ่มตรงหน้าก็สะดุ้งตื่นเสียแล้ว
เทาขยี้ตาอย่างงัวเงียแต่เมื่อเห็นว่าเป็นผมเขาก็ตื่นเต็มตาก่อนจะดึงผมลงไปนั่งข้างๆ
เขาทำหน้าตาเคร่งเครียดจนผมเป็นห่วงว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามเทาก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“พี่ไปไหนมา ทำไมกลับบ้านช้าแบบนี้?”
“พี่เคลียร์งานอยู่น่ะ ทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องดีๆล่ะ”
“พี่ไม่ต้องมาสนใจผมหรอก” เทาว่าพลางสะบัดผ้าห่มออกจากตัว “พี่นั่นแหละที่ทำให้ผมเป็นห่วง จะไปไหนทำไมไม่บอกผมก่อน”
“นี่เราเป็นพ่อพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ หืม?”
ผมว่าพลางหัวเราะเบาๆแต่เทาไม่เล่นด้วย
เขายังคงใช้สายตาจริงจังมองผมก่อนจะกระชากผมตัวปลิวเข้าสู่อ้อมกอด
“อย่าทำให้ผมเป็นห่วงแบบนี้อีกนะ เข้าใจไหม?”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและฟังดูเป็นห่วงผมมากจนผมลอบยิ้มออกมา นอกจากป้าแล้วก็คงจะมีน้องชายอย่างเทานี่แหละที่เป็นดังครอบครัวของผม
ผมผละออกจากอ้อมกอดอบอุ่นนั่นแล้วยีหัวเขาแรงๆด้วยความหมั่นเขี้ยว
“รู้แล้วล่ะน่า ลุกไปนอนในห้องให้ดีๆไป บ่นเป็นตาแก่ไปได้”
“ย่าห์ ! พี่แบคฮยอน นี่ผมเป็นห่วงจริงๆนะเนี่ย
ไหงว่าผมบ่นอ่ะ พี่แบคฮยอน! พี่แบคฮยอน!”
ผมเดินเข้าห้องนอนแสร้งทำเป็นไม่สนใจเสียงโวยวายของเทา
ความเป็นห่วงของเขานั้นผมรับรู้ได้แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะเล่นกับเทาในตอนนี้ ผมได้ยินเสียงปิดประตูจากห้องข้างๆ
เทาคงเข้าห้องไปแล้ว
ท้องฟ้านอกหน้าต่างยังคงมืดสนิทแต่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าพระอาทิตย์ก็จะขึ้นต้อนรับวันใหม่
พร้อมกับสัญญาระหว่างผมและชานยอลที่จะเริ่มต้นขึ้นด้วยเช่นกัน
.....
ร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่ภายในรถแอบซุ่มมองไฟของบ้านหลังหนึ่งอยู่นาน
จนกระทั่งไฟในบ้านหลังนั้นดับลง เขาเดาว่าคนในบ้านคงนอนกันหมดแล้ว
เขาเลือกที่จะใช้แบคฮยอนเป็นเครื่องมือเพื่อแลกกับสิ่งที่ต้องการ
ปาร์คชานยอลรู้ดีว่าแบคฮยอนต้องไม่ยอมเขาแน่นอน แต่การวางแผนและใช้วาจาหลอกล่อให้เหยื่อตกหลุมพรางนั้นเป็นสิ่งที่เขาถนัด
และเหยื่อชิ้นดีอย่างแบคฮยอนก็ตกหลุมพรางอย่างที่เขาคิดไว้
ชานยอลไม่ชอบใช้กำลัง
เขาจึงเลือกที่จะรมควันยาสลบแบคฮยอนแทนการทำร้าย ชานยอลรู้ว่าพวกของเขาวางแผนจะทำอะไรกับคนตัวเล็ก
เขาที่ผ่านไปทำธุระแถวนั้นและเห็นเหตุการณ์พอดีจึงแสร้งเปิดท้ายรถไว้โดยหวังว่าคนอย่างแบคฮยอนจะฉลาดพอ
มันเป็นกับดักที่ชานยอลวางไว้เพื่อหลอกล่อเหยื่อ
แม้สามคนที่ไล่ล่าแบคฮยอนมานั้นจะเป็นพวกเดียวกันกับเขา แต่ชานยอลไม่ต้องการให้แบคฮยอนต้องมาตายตอนนี้
คนตัวเล็กยังมีประโยชน์อีกมากสำหรับเขา
มือหนาล้วงสร้อยคอที่เป็นรูปแม่กุญแจสีเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เขาเก็บมันได้จากการสู้กับคนตัวเล็กเมื่อคราวก่อน
แบคฮยอนไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าเขาหยิบมันไปตอนไหน
ในตอนนั้นเองที่ชานยอลล้วงสร้อยคออีกเส้นออกมาจากคอเสื้อของตน
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาใส่สร้อยเส้นนี้ไว้ตลอดเวลา
สร้อยของเขา มันเป็นสร้อยคอรูปลูกกุญแจ…
มือหนาจัดการใช้มันลองไขกับสร้อยรูปแม่กุญแจนั่นเพื่อปลดล็อคและผลลัพธ์ที่ได้ก็ทำให้เขากระตุกยิ้มพึงพอใจ
มันไขได้พอดี…
ชานยอลมองเข้าไปในตัวบ้านของแบคฮยอนอีกครั้ง
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกจุดขึ้นมุมปาก
เขาทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้แบคฮยอนแต่กลับมีเพียงเขาเองที่ได้ยิน
“ของสำคัญหายแบบนี้ นายไม่รู้สึกอะไรเลยรึไง แบคฮยอน”
ชานยอลค้นพบแล้วว่า สิ่งที่เขาต้องการนั้น
มันกำลังก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างโดยเกิดจากตัวแปรที่สำคัญที่สุด
ตัวแปรที่ชื่อว่า บยอน แบคฮยอน
TBC
นี่สามครึ่ง มาอัพแบบโคตรดึก -_-
อ่านแล้วเหนื่อยกันไหม…
แต่นี่อยากจะบอกว่านี่เหนื่อยมาก 55555555555555
เราเป็นประเภทแก้แล้วแก้อีกแก้จนกว่าเราจะพอใจอ่ะ มันถึงได้อัพช้าแบบนี้ ขอโทษน้า ค้างกันไหมเนี่ยยยย
ทุกคนเข้าใจภาษาของเรากันหรือเปล่า เราไม่ค่อยแน่ใจภาษาตัวเองเท่าไหร่ ติชมกันได้นะเหวยยยยย
ติดแท็ก #ficsee2b หรือคอมเมนท์เป็นกำลังใจได้นะ @BlackQ238
ขอบคุณทุกคนที่เม้นท์ ที่แท็ก ที่เฟบมากๆเลย ขอบคุณจริงๆน้า
อ้อ See through someone’s trick = การอ่านใครบางคนออกจนทะลุปรุโปร่ง
See through B’s trick = ปาร์คชานยอลอ่านบยอนแบคฮยอนออกจนทะลุปรุโปร่ง 55555555555555
up : 18/10/2014 (10%) 23/10/2014 (100%)
ความคิดเห็น