Well, nice to meet you.
you look surprised. yes,like that
please express your feelings like that
and then i'll make something
--special for you
T--
"สวัสดีครับ"
เสียงเรียบเอ่ยออกมาเพียงเบาๆทว่าแววตาดุกลับหนักแน่นจนทำให้เจ้าของบ้านผู้เปิดประตูมาเบิกตาโพลง แทยงยืนค้างอยู่อย่างนั้นจนแขกผู้มาเยือนตัดสินใจยื่นหน้าเข้ามากระซิบใกล้ๆ
"ไหนว่าเชิญมาดินเนอร์ไง..."
เพื่อนบ้านหน้าหวานในชุดสะอาดและใบหน้าที่แจ่มใสทำให้แทยงกระพริบตาปริบๆก่อนจะหันรีหันขวางไปทางโดยองอย่างขอความคิดเห็น ฝ่ายเพื่อนคนเป็นนักเขียนจึงรีบลุกจากเก้าอี้ก่อนจะเดินมาหาคนทั้งสองที่ยังคงยืนนิ่งหน้าประตูบ้าน
"สวัสดีครับ คุณ.."
"ที"
"คุณที เหรอครับ...อ่า เป็นเกียรติจริงๆที่คุณยอมมารับประทานดินเนอร์กับพวกผม"
พูดจบโดยองก็ผายมือเชิญแขกหน้าหวานเดินเข้ามาภายในตัวบ้าน โดยลับหลังที่ ที เดินนำหน้าไปแทยงก็ส่งภาษามือมาหาเหมือนจะถามว่าทำยังไงต่อดี เห็นดังนั้นโดยองจึงทำปากพูดแบบไม่มีเสียงว่า เดี๋ยวจัดการเอง
"คุณทีนี่ ดูเป็นคนละคนกับที่ผมคิดไว้เลยนะครับ..."
"..."
โดยองบอกก่อนจะพาแขกคนพิเศษมานั่งที่เก้าอี้รับประทานอาหารแล้วจัดการตักซุปมันฝรั่งใส่ชามอย่างพิถีพิถัน โดยที่เจ้าของฝีมือผู้รังสรรค์อาหารมื้อพิเศษเช่นแทยงได้แต่ยืนค้างอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่มีท่าทีอยากจะเข้าไปร่วมวงที่โต๊ะดินเนอร์เท่าไหร่นัก
"เอ่อ ใช่ ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมโดยองครับเป็นเพื่อนของไอ้แท...อ้าว มานั่งสิวะ ยืนอยู่นั่นแหละ"
"อ...อืม"
"..."
พอเจ้าของบ้านขานรับสายตาก็ปราดไปสบเข้ากับดวงตาเรียวคู่ที่จ้องกลับมาหาทันที แถมใบหน้านั่นยังเสริมด้วยรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากซึ่งมองดูแล้วเหมือนกำลังแสยะยิ้มกลายๆ นั่นจึงทำให้แทยงเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกนึง ก่อนจะค่อยๆเดินอ้อมไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
"โอเค บรรยากาศไม่อึดอัดไปใช่มั้ยครับ"
โดยองแกล้งทำเสียงแซวๆเมื่อเห็นคนทั้งคู่มีท่าทีดูเชิงกันไปมา และใครจะคิดว่าเพื่อนบ้านน่าพิศวงคนเมื่อตอนบ่ายจู่ๆจะหัวเราะเสียงใสขึ้นมาเสียอย่างนั้น มันแปลก แปลกมากจริงๆ
"ขอโทษที่ผมดูไม่เป็นมิตรนะครับ..คุณแทยง"
"หื้อ?"
"แกจะหื้ออะไร" โดยองกระซิบเบาๆเมื่อเห็นเพื่อนทำท่าทางไร้มารยาทกับแขกคนพิเศษจนอาจจะพาลทำเสียบรรยากาศและถ้าแย่กว่านั้นก็คือเสียแผน
"แกยังไม่ได้บอกชื่อฉันกับเค้าเลยนี่"
"...."
จริงด้วย...
โดยองลอบกลืนน้ำลายก่อนจะเหลือบไปทางคุณทีเพื่อนบ้านคนที่ดูมีเงื่อนงำมากมายคนนั้น แต่ยังไม่ทันที่เค้าจะได้ประมวลความคิดอะไรจนกระจ่างแจ้งโดยองก็ต้องหยุดหายใจเพราะจู่ๆสายตาก็เหลือบไปเห็นมีดหั่นสเต็กที่ถูกบรรจงเฉือนลงบนสตูเนื้ออย่างพิถิพิถันหากแต่แฝงความรู้สึกกระอักกระอ่วนชวนหวาดผวาไม่น้อย
“พวกคุณคงมีคำถามเกี่ยวกับตัวผมเยอะสินะครับ”
เพื่อนบ้านหน้าหวานเท้าคางก่อนจะจิ้มสตูเนื้อเข้าปากอย่างอารมณ์ดี เจ้าตัวพึมพำกับตัวเองว่าอร่อยจังเบาๆ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมามองไปทางฝั่งแทยงด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
"สตูอร่อยดีนะครับ"
"ห้ะ"
คนฟังทำหน้าตาไม่เชื่อ เพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นเพื่อนบ้านตรงหน้ายิ้มกว้างจนตาหยี วินาทีต่อมาคุณทีอะไรนั่นก็ตักซุปมันฝรั่งชามข้างๆเข้าปาก แต่ทานอีกไม่กี่คำก็รวบช้อนในมือวางพักบนจานเสียอย่างนั้น
"ที่ผ่านมาผมคงจะดูน่ากลัวมากในสายตาคุณ" เพื่อนบ้านหน้าหวานพูดจบก็เท้าคางมองมาทางนักเขียนหนุ่มด้วยสายตาสั่นไหวทำเอาคนมองไปไม่เป็นอยู่สักพัก แต่ในที่สุดแทยงก็ตัดสินใจตอบกลับไปโดยไม่ลืมรักษาอาการของตัวเองเอาไว้พยายามให้ดูปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
“มันก็มีบ้างครับ โดยเฉพาะเวลาที่คุณ...พูดจาแปลกๆ”
“สำเนียงอังกฤษโบราณๆน่ะเหรอครับ”
“ครับ ?” คนเป็นนักเขียนทำหน้าประหลาดใจทันทีที่เห็นอีกฝ่ายตอบกลับมาโดยพลัน ไม่รอเวลาให้ตัวเองมีโอกาสคิดก่อนจะตอบเสียด้วยซ้ำ
“สำเนียงของผมมันคงจะแปลกจริงๆนั่นแหละ” เพื่อนบ้านสุดพิศวงว่าจบก็ทำหน้าสลดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาแทยงพาลรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างไม่สามารถหาเหตุผลได้ คนเป็นนักเขียนมองร่างเพรียวบางของคนที่นั่งตรงข้ามอย่างชั่งใจ ไม่รู้ทำไมจู่ๆคนตรงข้ามจึงดูน่าสงสารขึ้นมา
“คุณคงเห็นคุณยายกับพี่ชายไม่สมประกอบของผมแล้วใช่มั้ยครับ”
“เอ่อ....คุณหมายถึง..” หญิงชรากับชายร่างยักษ์เมื่อคืนก่อนน่ะหรือ แทยงคิดในใจ
“พวกเราเป็นครอบครัวที่อพยพมาจากอังกฤษน่ะครับ ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง จนถึงตอนนี้เหลือเพียงผมเป็นรุ่นสุดท้ายของตระกูล...”
"ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเหรอครับ ที่เยอรมันเนี่ยนะ" หลังจากที่นั่งฟังคนทั้งสองพูดคุยกันอยู่นาน โดยองก็ตัดสินใจร่วมบทสนทนาด้วยอีกคน เอาเข้าจริงตั้งแต่ที่สังเกตดูบุคคลิกคุณทีมาก็ยังไม่เห็นว่าคนคนนี้จะน่ากลัวอะไรอย่างที่เจ้าเพื่อนตัวดีเล่าให้ฟังเลยแม้แต่นิด
"ครับ แม้ว่าหลังสงครามประเทศจะถูกแบ่งและสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่มากก็จริง แต่ครอบครัวผมไม่ได้รับผลกระทบมากมายอยู่แล้วในเมื่อพวกเราซื้อที่ดินแปลนนี้แล้วย้ายมาไกลถึงนี่ แทบจะไม่เคยพบหน้าผู้คนที่ไหนด้วยซ้ำไป"
"เดี๋ยวนะครับ..." โดยองชักสีหน้าทันทีที่ได้ฟังคุณทีว่าจบ เจ้าตัวเผลอเหลือบไปสบตากับแทยงโดยไม่ได้ตั้งใจและเท่าที่อ่านความหมายจากแววตาของเจ้าเพื่อนสนิท ก็พบว่าขณะนี้แทยงเองก็คงจะมีคำถามแบบเดียวกันกับเค้าแน่ๆ
"มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะซื้อที่ดินผืนนี้ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในเมื่อเจ้าของที่ดินคนปัจจุบันขายที่นี่ให้เพื่อนผม แถมในแปลนยังเป็นบ้านหลังเดียวอีก" เมื่อเห็นเพื่อนเจ้าของบ้านทำหน้าประหลาดใจ แขกคนพิเศษจึงคลี่ยิ้มหวานก่อนจะยกแก้วชาขึ้นจิบแล้วบอกเสียงเรียบๆ
"ผมถึงได้สงสัยเพื่อนคุณไงครับ ว่าทำไมเค้าถึงมาอยู่บ้านหลังข้างๆผมได้ในเมื่อที่ดินแปลงนี้มันเป็นของผม.."

นี่มันเรื่องอะไรกัน......
หลังจากที่คุณทีพูดจบประโยคนั้นเจ้าตัวก็ขอตัวกลับก่อนเสียดื้อๆทิ้งให้แทยงกับโดยองนั่งมึนงงกับคำพูดที่ว่านั้นอยู่นานสองนาน ว่าตกลงแล้วเรื่องราวทุกอย่างมันเป็นมายังไงกันแน่ ? ไม่เพียงเท่านั้นพอเจ้าโดเห็นคุณทีออกไปสักพักจู่ๆก็ขอตัวรีบกลับบ้านไปทั้งๆที่ยังคุยธุระอะไรกันไม่จบเลยด้วยซ้ำ
"น่าปวดหัวจริงๆ..."
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของที่ดินก็ดีหรือเรื่องที่โดยองมีท่าทางแปลกๆก็ดี ให้ตายสิ สงสัยจะแย่อยู่แล้วว่าเรื่องราวของมันเป็นยังไงแน่ ใครเป็นคนขายที่ดินที่มีโฉนดทับซ้อนอันนี้ให้คุณทีกับเค้ากันนะ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ทว่าเวลานี้นักเขียนหนุ่มจำต้องลืมเรื่องราวชวนปวดกระหม่อมทิ้งไปให้หมดเนื่องด้วยความที่ตนไม่เหลือเวลาส่งต้นฉบับเสียแล้ว
แทยงเร่งแกะลายมือของตัวเองที่อยู่บนกระดาษใบที่เปื้อนหมึกสีดำ และเมื่อเค้าถอดคำได้ประโยคหนึ่งก็เร่งพิมพ์ข้อความลงคอมพิวเตอร์ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนในที่สุดก็สามารถพิมพ์จบบท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้สักที!
แม้อยากจะดีใจแค่ไหนแต่เหมือนว่าการที่เค้าเร่งทำงานจนเสร็จและมีเวลาว่างมากพอจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไหร่ เพราะว่าพอได้มีโอกาสอยู่กับตัวเองก็ไม่วายนึกถึงเรื่องของเพื่อนบ้านคนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง....
"กรี๊ดดดดดดด"
ราวกับเรื่องราวชวนขวัญหัวลุกนี่จะไม่ยอมจบลงง่ายๆ แทยงรีบกระโจนตัวลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงหวีดร้องฟังดูโหยหวน ในที่สุดความอดทนของนักเขียนหนุ่มที่มีต่อทุกสิ่งทุกอย่างก็พังครืน เจ้าตัวตัดสินใจวิ่งไปหยิบไฟฉายในลิ้นชักออกมาก่อนจะวิ่งออกไปยังหน้าประตูบ้านโดยมีความความต้องการเดียวที่โลดแล่นในสมองของเค้าตอนนี้....
ต้องรู้ให้ได้ว่าเสียงนั่นเป็นเสียงของใคร!!
ว่าแล้วนักเขียนหนุ่มก็เดินเลาะรั้วไม้อย่างระมัดระวัง อากาศหนาวเหน็บทำให้ขนแขนภายใต้เสื้อโค้ทลุกชันทุกอณู และก่อนที่แทยงจะพบที่มาของเสียงร้องปริศนาเค้าก็ต้องรีบย่อตัวหลบหลังรั้วไม้ทันทีเพราะจู่ๆประตูของบ้านหลังข้างๆก็เปิดออกมา เมื่อแอบมองลอดรูของรั้วไม้คนเป็นนักเขียนก็พบกับร่างของคุณทีที่สวมชุดดำทั้งตัวแถมยังมีผ้าปิดปากและยังไม่วายสวมถุงมือเลอะคราบของอะไรสักอย่าง ซึ่งมองดูรวมๆตอนนี้การแต่งกายของคุณทีดูคล้ายพวกบุชเชอร์คนขายเนื้อไม่มีผิด
ตึก ตึก ตึก
บัดนี้คุณทีได้เดินผ่านโพรงหญ้าที่ขึ้นรกหน้าลานบ้านไปเป็นที่เรียบร้อยโดยที่ในมือของเค้าถือถังอะไรสักอย่างไปด้วย เห็นดังนั้นคนเป็นนักเขียนจึงตัดสินใจแอบย่องตามไปโดยสัญชาตญาณ.....ยิ่งคืนนี้เป็นคืนเดือนมืดด้วยแล้วพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้จึงมืดจนยากที่จะเดินเท้าต่อไปได้ สงสัยจริงเชียวว่าคุณทีแอบออกมาทำอะไรกันแน่ แทยงขบคิดขณะที่ลอบเดินตามเพื่อนบ้านออกไปเรื่อยๆจนในที่สุดเค้าก็เดินพ้นออกมาจากแสงไฟบริเวณบ้าน
มืดจริงๆ ไปต่อไม่ถูกแล้ว
คิดได้ดังนั้นนักเขียนหนุ่มก็ชั่งใจว่าจะเปิดไฟฉายดีรึไม่ หากตัดสินใจเปิดขึ้นมาแล้วคุณทีจับได้ว่าเค้าแอบตามมาอะไรจะเกิดขึ้น ? ขณะที่แทยงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความมืดอยู่นั้นเสียงคนเดินจากทิศเบื้องหลังเค้าก็ดังขึ้น! วินาทีต่อมาหัวใจนักเขียนหนุ่มจึงเต้นกระหน่ำเหมือนจะหลุดออกจากอกให้ได้ นอกจากจะก้าวขาไม่ออกเหงื่อเม็ดโตยังผุดรอบขมับทั้งสองทั้งที่อากาศเย็นยะเยือก ที่ชวนระทึกมากกว่านั้นน่าจะเป็นนิ้วมือของชายหนุ่มที่ยังวางค้างอยู่บนปุ่มเปิดไฟฉายเสียด้วยซ้ำ โชคดีแค่ไหนที่ยั้งความคิดตัวเองทันพอดีไม่เช่นนั้นนึกไม่ออกเลยว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป
"...."
น่าแปลกที่ขณะนี้จู่ๆรอบๆก็เงียบลงไปผิดวิสัย เสียงคนเดินเมื่อกี้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบแน่ชัด รู้เพียงว่าคนเป็นนักเขียนได้แต่ยืนแข็งทื่อเป็นหุ่นขี้ผึ้งเพราะกลัวจะโผล่ไปเจอเพื่อนบ้านพิศวงคนนั้นเข้าจังๆเสียก่อน และหากจะพูดว่าตอนนี้เค้ากลายเป็นคนตาบอดและหูหนวกโดยสมบูรณ์ก็อาจจะไม่ผิดนักเพราะแทยงไม่อาจมองเห็นอะไรสักอย่างในความมืดมิดชวนขวัญหนีดีฝ่อรวมถึงไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากเสียงหัวใจเต้นรัวของตัวเอง ทว่าประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่ก็ตรวจพบกลิ่นเหม็นคละคลุ้งเมื่อเค้าสูดหายใจเข้าปอดทำเอาแทยงรีบปิดจมูกแทบไม่ทัน เพราะมันเป็นกลิ่นที่คาวขึ้นจมูกให้ความรู้สึกชวนคลื่นไส้อาเจียนเสียเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นคือกลิ่นเหม็นนั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากทิศที่เค้ายืนอยู่นี้ แต่ก่อนที่นักเขียนหนุ่มจะเริ่มงานสืบของตนต่อเค้าก็เพิ่งเอะใจขึ้นมาได้ว่า คุณทีเพื่อนบ้านที่เล่นละครแสนดีเมื่อตอนเย็นไม่ได้เปิดไฟฉายเลยแม้แต่นิดเดียวซึ่งในความมืดเช่นนี้ไม่มีทางที่จะเดินไปไหนถูกแน่ๆ เป็นไปได้ยังไงกัน ?
ไม่มีคำตอบสำหรับคำถาม มีเพียงเสียงเดินลุยหิมะห่างออกไปจนในที่สุดเสียงก็เงียบลง ไม่แน่ว่าเพื่อนบ้านคนนั้นอาจจะเดินกลับไปยังบ้านของเค้าแล้ว และประจวบกับความรู้สึกร้อนรนกระหายที่อยากจะรู้ความจริงของแทยงทำให้สุดท้ายคนเป็นนักเขียนตัดสินใจเปิดไฟฉายก่อนจะพบว่าที่ที่ตัวเองอยู่เป็นบริเวณป่าสนที่ห่างจากตัวบ้านเกือบครึ่งกิโล ไม่น่าเชื่อเลยว่าเค้าจะเดินมาไกลถึงขนาดนี้ และก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองเสียเวลาไปมากกว่านั้นแทยงก็ตัดสินใจเดินตามทิศของกลิ่นเหม็นเน่าที่มีที่มามาจากบางสิ่งบางอย่าง สภาพแวดล้อมรอบๆเวลานี้อย่างกับหลุดมาจากหนังสยองขวัญไม่มีผิดเพี้ยนเพราะเมื่อสาดแสงไฟส่องไปทางไหนก็เห็นเงาของกิ่งก้านต้นไม้พาดยาวจนเกิดเป็นภาพปีศาจมือหงิกงอแบบที่คนเห็นต้องขวัญหนีดีฝ่อ ให้ตายเหอะเหงื่อกาฬเจ้าตัวพากันไหลไม่หยุด แทยงจึงนับหนึ่งถึงสามในใจแล้วเลือกที่จะปิดฉากละครเขย่าขวัญเรื่องนี้โดยการส่องไฟฉายไปยังจุดที่มีกลิ่นแรงที่สุด...
แล้วแทยงก็ได้พบว่าละครเขย่าขวัญที่เค้าจินตนาการไม่ได้จบลงเพียงแต่เพิ่งเริ่มเรื่องซ้ำร้ายยังมีเค้าเป็นตัวเอกตัวที่มีแววจะตายตอนจบเสียด้วยเพราะเมื่อสายตาปะทะเข้ากับกองเลือดสีแดงคล้ำตัดกับกองหิมะสีขาวแทยงก็แทบผงะ เกือบจะทรุดตัวล้มลงกับพื้น เพียงแต่สิ่งที่น่าหวาดผวามากกว่านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้นักเขียนหนุ่มยังคงยืนอยู่ด้วยร่างกายแข็งทื่อแทบลืมหายใจ ใครจะคิดว่าชาตินี้จะได้มาเห็นเศษนิ้วและเศษใบหูของมนุษย์กับตาตัวเอง!! พระเจ้าช่วย!!
เพื่อนบ้านของเค้าเป็นฆาตกร!!
คิดได้ดังนั้นคนเป็นนักเขียนก็หวาดกลัวจนเสียสติ รีบวิ่งโดยไม่ลืมทิ้งภาพชวนอาเจียนไว้เบื้องหลัง บัดนี้เจ้าตัวแทบไม่รับรู้ความเย็นที่ปะทะเข้ามาแม้แต่น้อย รู้เพียงสมองสั่งให้วิ่งวิ่งและวิ่งกลับไปยังบ้านของตัวเองให้เร็วที่สุด หากรู้แต่แรกว่าคำเตือนต่างๆและความพิศวงของคุณทีมีที่มาเช่นนี้ เค้าคงไม่หลวมตัวเอาตัวเองเข้ามาค้นหาความลึกลับของชายคนนั้นเป็นแน่ โชคดีที่สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นนี่ยังดีที่เพื่อนบ้านฆาตกรคนนั้นยังไหวตัวไม่ทัน ไม่เช่นนั้นแทยงคงกลายเป็นศพในป่าสนแห่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย!!
"แฮก แฮกๆ"
เมื่อวิ่งกลับมาเกือบถึงตัวบ้านคนเป็นนักเขียนก็หมอบคลานหลบหลังรั้วก่อนจะพาตัวเองไปถึงหน้าประตูบ้านได้ในที่สุด แทยงปิดประตูแล้วล็อคกลอนอย่างแน่นหนาทันทีที่เข้ามาถึงในตัวบ้าน มือยังเย็นเฉียบแถมยังสั่นไม่หยุด พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองแล้วถามตนเองซ้ำๆว่าเค้าจะเอายังไงต่อไป เมื่อหายใจเข้าออกควบคุมสติอารมณ์ตัวเองได้แล้วแทยงก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจทันที!
(สวัสดีครับ แจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายเรื่องอะไรครับ)
"เพื่อนบ้านผมเป็นฆาตกรครับคุณตำรวจ!! ผมตามเค้าเข้าไปในป่า มีเศษนิ้วมือ มีเลือด มีใบหูเต็มไปหมด.."
ก็อก ก็อก ก็อก
"...!!" เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้นักเขียนหนุ่มเบิกตากว้าง ตกใจจนมือถือในมือแทบจะร่วงตกพื้น อย่าบอกนะว่าฆาตกรรู้ตัวแล้ว!!
"คุณตำรวจครับ บ้านเลขที่ xx รัฐบรันเดินบวร์ค แถวป่ากรีนนิชเฟลครับ ขอร้องล่ะครับรีบมาให้เร็วที่สุดเลยนะครับ..."
"คุณแทยง!" เสียงกร้าวที่ดังขึ้นจากหน้าประตูทำให้แทยงหอบหายใจเข้าปอดอย่างลุ้นระทึก รวบรวมสติข่มอารมณ์ตัวเองให้กลับมาเย็นลงเท่าที่จะสามารถทำได้ และในวินาทีสุดท้ายเค้าก็ตัดสินใจพูดตอบกลับไปด้วยเสียงเบาเท่าเสียงกระซิบ...
"ช่วยผมด้วยนะครับ รีบมาให้เร็วที่สุดขอร้องล่ะครับ ผม..ผมต้องวางแล้ว..."
ติ้ด ติ้ด ติ้ด
สัญญาณตัดไปเป็นที่เรียบร้อย โดยที่นักเขียนหนุ่มไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้เลยว่าคุณตำรวจจะมาช่วยเค้าทันเวลารึไม่ หรือถ้าหากโชคร้าย เกิดนายตำรวจนายนั้นคิดว่าการโทรมาแจ้งกลางดึกเป็นเพียงการเล่นตลกขึ้นมา คนที่จะซวยก็คือเค้านี่แหละ!
"คุณแทยง อยู่รึเปล่าครับ" เสียงที่ยังคงดังขึ้นหน้าบ้านอย่างต่อเนื่องทำให้แทยงตัดสินใจเดินไปหยิบมีดปลอกผลไม้มาซ่อนไว้ข้างหลัง แม้จะกลัวเพียงใดแต่ดูจากสัดส่วนแล้วคุณทีตัวเล็กกว่าเค้ามากถ้าหากเกิดอะไรขึ้นมีอาวุธไว้ข้างตัวก็น่าจะทำให้สู้กับฆาตกรหลังบานประตูได้อยู่ไม่มากก็น้อย
"มีอะไรรึเปล่าครับ" แทยงตะโกนถามโดยที่ยังไม่ยอมเปิดประตูออกไป
"เปิดประตูได้มั้ยครับ..."
เปิดก็บ้าแล้ว! นักเขียนหนุ่มคิด มีดในมือสั่นจนคนถือแทบจะเป็นบ้า กระนั้นเจ้าตัวยังสามารถรวบรวมสติตอบกลับเพื่อนบ้านที่มาหายามรัตติกาลได้อย่างแนบเนียนเหมือนเป็นปกติที่สุด
"เอ่อ คุณทีมีอะไรรึเปล่าครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว...."
"คุณทำไฟฉายตกอยู่หน้าบ้านน่ะครับ"
ไฟฉายเหรอ ? เมื่อได้ยินดังนั้นนักเขียนหนุ่มก็เพิ่งพบว่าไฟฉายของตนหล่นหายไปจริงๆอย่างที่เพื่อนบ้านว่า แต่กับอีแค่ไฟฉายอันเดียวเค้าไม่คิดจะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงหรอก ไม่คุ้ม!
"ไฟฉายเหรอครับ คงไม่ใช่ของผมหรอก"
"งั้นมันจะเป็นของใครล่ะครับ" เสียงเย็นทว่าฟังดูคุกรุ่นในความรู้สึกทำให้ขนแขนนักเขียนหนุ่มลุกชัน สมองขาวโพลนไปหมด ส่วนหูก็อื้ออึ้งเหมือนคนกำลังตกจากที่สูง
"..."
"คุณยังกลัวผมอยู่อีกเหรอครับ ผมคิดว่าเมื่อตอนเย็นเราปรับความเข้าใจกันดีแล้วซะอีก..." จู่ๆน้ำเสียงของคนหลังบานประตูก็อ่อนลงจนแทยงอดประหลาดใจไม่ได้ แม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงละครลวงตาก็ตามที
"โอเค ถ้าคุณไม่สะดวกใจงั้นผมวางไว้หน้าประตูนะครับ ราตรีส.."
"ยกมือขึ้นเหนือหัวเดี๋ยวนี้!!"
เสียงเอะอะที่ดังขึ้นหน้าลานบ้านเป็นเสียงของบุคคลที่สามที่เค้าไม่อาจทราบว่าเป็นใคร ไม่อยากเข้าข้างตัวเองว่าตำรวจมาช่วยตนทันเวลาเพราะหากสุดท้ายเป็นหลุมพรางเค้าคงถูกลวงออกไปฆ่าเป็นแน่ แทยงจึงตัดสินใจวิ่งไปดูที่ประตูหน้าต่างเมื่อสายตาพบเข้ากับรถตำรวจชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก รีบเปิดประตูไปก่อนจะพบกับคุณทีในสภาพที่ถูกตำรวจล็อคกุญแจมืออย่างแน่นหนา สายตาของเพื่อนบ้านดูสับสนเหมือนเป็นผู้บริสุทธิที่ถูกใส่ความเสียอย่างนั้น
"คุณเป็นคนแจ้งความใช่มั้ย"
"ครับ!"
"ช่วยพาเราไปดูที่เกิดเหตุด้วยครับ"
"ได้ครับ ตามผมมาเลย" นักเขียนหนุ่มบอกเสียงดัง และก่อนที่เค้าจะเดินนำพาตำรวจอีกสองนายเข้าไปในป่า เสียงคนร้ายก็ดังขัดขึ้นมาทำเอาคนที่แจ้งความชะงักไปครู่นึง
"นี่มันเรื่องอะไรกันครับ คุณตำรวจจับผมทำไม!?"
"คุณก็รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่เหรอ" แทยงพูดจบก็รีบหันกลับไปหาตำรวจอีกสองนายที่ยืนรออยู่แล้ว นักเขียนหนุ่มอยากจะปรบมือให้กับการแสดงละครสมจริงสมจังของฆาตกรตรงหน้า ติดแต่ว่าไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาที เค้าจึงวิ่งไปหาตำรวจที่ยืนรออยู่แล้วและทำการเดินนำเข้าไปในป่าสนทางที่ยังคงมีรอยเท้าประทับไว้บนหิมะไม่เลือนหายเมื่อเดินตามรอยเท้าต่อไปเพียงอึดใจแสงไฟฉายที่สาดไปกระทบกองเลือดหลังต้นสนต้นใหญ่ก็ทำให้นายตำรวจคนนึงเพิ่มความระมัดระวังโดยการล้วงเอาปืนที่คาดติดเอวออกมาถือเล็งห่างจากตัวต้นไม้ประมาณสองคืบ ส่วนนายตำรวจอีกคนก็เดินสาดไฟเข้าไปใกล้กองเลือดกองนั้นโดยที่มีแทยงยืนลุ้นอยู่ไม่ห่าง
"กวางนี่..."
"ห้ะ ?"
ไม่อยากจะเชื่อหูแต่เมื่อดูด้วยตาก็ต้องเชื่อ! เพราะภาพที่แทยงเห็นบัดนี้คือลูกกวางตัวจ้อยที่นอนคอหักจมกองเลือดแทนที่จะเป็นเศษนิ้วมือและเศษใบหูอย่างที่เค้าเห็นก่อนหน้านี้!! มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง!?
"นี่หมายความว่าไง" ไม่พูดเปล่าเจ้าหน้าที่คนนึงยังล็อคตัวแทยงแน่นจนเจ้าตัวดิ้นไม่หลุด
"แต่ผมเห็นจริงๆนะครับ ผมไม่ได้โกหกนะครับผมพูดจริงๆ!!" มาถึงตอนนี้ต่อให้ตะโกนแหกปากไปก็ไม่มีใครเชื่อ หลักฐานชิ้นที่จะมัดตัวฆาตกรจู่ๆก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแถมสุดท้ายกลายมาเป็นเค้าที่ต้องถูกตำรวจจับกุมเสียอย่างนั้น!!
เมื่อถูกกุมตัวกลับมายังหน้าบ้าน ตำรวจที่รออยู่ก็ประหลาดใจที่เห็นคนแจ้งความกลับกลายมาเป็นผู้ต้องหาเสียได้ เค้าจึงรีบนำตัวแพะที่นั่งอยู่ในรถออกมาพบทุกฝ่าย
"ใครเป็นคนร้ายกันแน่ ?" ชายคนที่ยืนรอถาม
"ไม่มั่นใจว่ะ คงต้องสอบปากคำทั้งคู่" ส่วนฝ่ายตำรวจที่กุมตัวแทยงมาก็ผลักร่างเค้าอัดติดกับตัวรถตำรวจอย่างแรง
"แจ้งความเท็จก็ติดคุกได้นะไอ้หนุ่ม แถมยังใส่ความเพื่อนบ้านอีก สองกระทงเน้นๆ"
"ผมพูดจริงๆนะครับ ผมไม่ได้โกหก ผมเห็นเค้าเข้าไปในป่าแล้วก็เทเศษชิ้นส่วนคนจริงๆ!!"
"ถ้ายังไม่หยุดใส่ความ แกมีสิทธิโดนคดีหนักกว่าเดิมนะอย่าหาว่าฉันไม่เตือน หลักฐานก็ไม่มีจะให้เชื่อยังไง" นายตำรวจร่างท้วมที่ยืนรออยู่กับแพะเมื่อตอนก่อนหน้าบอกเสียงหงุดหงิดพลางรีบไขกุญแจมือปล่อยฆาตกรตัวร้ายในสายตาแทยงให้เป็นอิสระ!!
"ผมบอกแล้วไงว่าคุณเข้าใจผิด..." เสียงเย็นดังขึ้นทันทีที่ข้อมือถูกปลดกุญแจ และเมื่อสายตาแทยงเหลือบไปเห็นชุดและการแต่งกายที่สะอาดสะอ้านผิดจากทีแรกของอีกฝ่าย คนเป็นนักเขียนก็ค้นพบว่านอกจากฆาตกรจะไม่เพียงไหวตัวทันแต่ยังจัดบทเรียนครั้งใหญ่สนองกลับมาให้เค้าเสียด้วย บัดนี้ลีแทยงจึงถูกจับโยนเข้าไปในรถตำรวจอย่างแรงตามมาด้วยนายตำรวจที่นั่งขนาบข้าง พอมองทะลุกระจกออกไปก็พบใบหน้าของเพื่อนบ้านกำลังมีรอยยิ้ม...มันเป็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดเมื่อเทียบกับรอยยิ้มจอมปลอมที่เค้าเห็นมาทั้งวัน...
ผู้ชายคนนั้นกำลังสะใจ...
พอเห็นแบบนั้นแล้วความรู้สึกกลัวที่เคยเกิดขึ้นก็เปลี่ยนไปกลายเป็นความโกรธ...
TBC
...............................................
มีรีดเข้าใจว่าทั้งหมดเป็นฝันด้วย
บอกเลยไม่ฝันจ้า
มันเล่นกันโต้งๆงี้เลย 555 เห็นฟีดแบ้คบางส่วนละดีใจ
ไม่คิดว่าจะมีคนชอบแนวผีบ้าแบบนี้อยู่ด้วย
มันจะผีบ้าทวีคูณนะ เตือนแล้วนะ ;__;
เดี๋ยวบทหน้ามันส์แน่นวล ใกล้ถึง
จุดพี้กแล้วฮะ ฝากด้วยนะจ้ะ รัก
เม้นหน่อย ><
#ฟิคหมึกสีดำ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย